ผู้สูงอายุในอีสานเพิ่มขึ้น สวนทางกับผู้ที่ได้รับเงินกองทุนผู้สูงอายุ ปี 64 กำลังบอกอะไร ?
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรครั้งสำคัญ คือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยสัดส่วนประชากรในวัยทำงานและวัยเด็กลดลง เนื่องจากอัตราการเกิดและอัตราการตายลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชากรไทยโดยเฉลี่ยมีอายุยืนยาวขึ้น . ปี 2564 ไทยมีประชากรสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จำนวน 13.4 ล้านคน เมื่อมาลองดูในระดับภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดอย่างภาคอีสาน พบว่ามีประชากรสูงอายุกว่า 3 ล้านคน หรือคิดเป็น 22.5% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด . จังหวัดที่มีประชากรสูงอายุมากที่สุดในอีสาน ได้แก่ 1. นครราชสีมา 2. ขอนแก่น และ 3. อุบลราชธานี . แต่ที่น่าสนใจ คือ อีสานมีประชากรสูงอายุที่ได้รับอนุมัติเงินกองทุนผู้สูงอายุเพียง 625 คน (ลดลง 75.7% จากปี 2563) อีกทั้งจังหวัดที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดอย่าง นครราชีมา และอุบลราชธานี กลับไม่มีผู้ที่ได้รับเงินกองทุนผู้สูงอายุเลย . อีสานอินไซต์จึงอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จัก “เงินกองทุนผู้สูงอายุ” เพื่อหาสาเหตุว่า เกิดอะไรขึ้น และสถานการณ์แบบนี้กำลังบอกอะไรเรา . ก่อนอื่นต้องรู้ว่า ‘เงินกองทุนผู้สูงอายุ’ ไม่เหมือนกับ ‘เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ’ . โดย เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คือ สวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ภาครัฐจัดสรรไว้ให้กับผู้สูงอายุที่เข้าเกณฑ์ทุกคน เพื่อเป็น ‘เงินช่วยเหลือ’ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายการดำรงชีวิตในแต่ละเดือน . ส่วนเงินกองทุนผู้สูงอายุ คือ เงินเพื่อเป็น ‘ทุนใช้จ่าย’ เกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริม และสนับสนุนผู้สูงอายุในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการประกอบอาชีพ ซึ่งประกอบด้วย . 1. การให้การสนับสนุนงบโครงการแบบให้เปล่า (ในลักษณะกลุ่ม ชมรม องค์กร และเครือข่ายด้านผู้สูงอายุ) แบ่งเป็น 1.1) โครงการขนาดเล็ก ในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท 1.2) โครงการขนาดกลาง ในวงเงินเกิน 50,000 – 300,000 บาท 1.3) โครงการขนาดใหญ่ วงเงินตั้งแต่ 300,000 บาทขึ้นไป . 2. ให้กู้ยืมเงินเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพ (ต้องมีผู้ค้ำประกัน) แบ่งเป็น 2.1) กู้ยืมเป็นรายบุคคล ได้คนละไม่เกิน 30,000 บาท 2.2) กู้ยืมเป็นรายกลุ่ม ๆ ละไม่น้อยกว่า 5 คน ได้กลุ่มละไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ ให้ผ่อนชำระเป็นรายงวด ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ย . การที่ประชากรสูงอายุได้รับอนุมัติเงินกองทุนผู้สูงอายุลดลงจึงสะท้อนความเป็นไปได้ 3 ข้อ […]