Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

“LONG STAY” Talk : “ลอง STAY” Khon Kaen New Destination

บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 🟥 : “ลอง STAY” Khon Kaen New Destination โดย คุณธนัฏฐา โกสีหเดช และคุณภิรญา รวงผึ้งทอง / ผู้ก่อตั้ง The Contextual ที่ปรึกษาด้านธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องงานออกแบบบริการและประสบการณ์ผู้ใช้ (Service Design)   พลิกโฉมขอนแก่นสู่จุดหมาย Long Stay การสร้างประสบการณ์ Long Stay ที่น่าประทับใจต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายประการ โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจภาพรวมของเป้าหมายของขอนแก่นในการเป็น “New Destination” ไปจนถึงการออกแบบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของกลุ่มผู้พักอาศัยระยะยาวแต่ละกลุ่ม และการพิจารณาองค์ประกอบของเมืองโดยรวม ต่อไปนี้คือองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณา: การกำหนดทิศทางของขอนแก่นในฐานะ New Destination: ก่อนที่จะระบุว่าขอนแก่นจะเป็น New Destination ของอะไร จำเป็นต้องคิดอย่างรอบคอบว่าควรจะเป็นของกลุ่มคนประเภทไหน เช่นเดียวกับที่กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายของชาวญี่ปุ่น ภูเก็ตเป็นของชาวสแกนดิเนเวียน หรือเชียงใหม่ก็เป็นของชาวญี่ปุ่น ซึ่งมักมีเหตุผลจากวิถีชีวิต ปรัชญา หรือค่าครองชีพที่คล้ายกัน การกำหนดทิศทางนี้จะช่วยให้แน่ใจว่านโยบายการพัฒนาของทั้งจังหวัดไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถดึงดูดกลุ่มคน Long Stayer ที่ต้องการเข้ามาได้ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (Persona) และความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่ม: จากการศึกษาของ The Contexual ที่ได้รับมอบหมายจาก CA ให้มุ่งเน้น 5 กลุ่มหลัก และพบเพิ่มเติมอีก 2 กลุ่มย่อยในขอนแก่น พบว่ามี 7 กลุ่มหลัก โดยแต่ละกลุ่มมีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน: Digital Nomads / Work from Anywhere (ต่างชาติ): แรงจูงใจ: มักถูกว่าจ้างจากบริษัทในประเทศที่มีค่าครองชีพสูง เช่น อเมริกา ทำให้การมาใช้ชีวิตในเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำกว่าอย่างขอนแก่นช่วยให้มีเงินเก็บมากขึ้น พร้อมกับได้ไลฟ์สไตล์ที่ดีและน่าสนใจ ความต้องการหลัก: สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงาน: ต้องการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อการประชุม และสถานที่ที่เอื้อต่อการทำงานคนเดียว เช่น คาเฟ่ หรือ Co-working space ที่เป็นมิตร หรือแม้แต่ร้านเบียร์ที่มี Wi-Fi ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ทำงานแบบออฟฟิศ: พวกเขาต้องการอิสระในการทำงานได้ทุกที่ที่รู้สึกสบาย ไม่ใช่พื้นที่ทำงานแบบเป็นทางการ ความน่าอยู่ของเมือง: เลือกเมืองที่มีความน่าสนใจ มีเรื่องราวที่อยากไปใช้ชีวิตอยู่ ข้อสังเกต: บางคนอาจทำงานต่าง Time Zone ทำให้ใช้ชีวิตและทำงานในเวลาที่ต่างกัน (เช่น เที่ยวกลางวัน ทำงานกลางคืน) Work from Anywhere (คนไทย): […]

“LONG STAY” Talk : “ลอง STAY” Khon Kaen New Destination อ่านเพิ่มเติม »

“LONG STAY” Talk ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่”

บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 🟨 : ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่” โดย Xiaokun Gao, Country Manager – Sanook, Image Future (Thailand) Ltd / Tencent   โอกาสใดที่อีสานมีเพื่อดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจีนให้มาลองอยู่ระยะยาว? อีสานมีศักยภาพและโอกาสหลายประการในการดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจีนให้มาลองพำนักระยะยาว โดยสิ่งสำคัญที่ตลาดจีนมองหาคือ การบริการและผู้คน ผลิตภัณฑ์ และประสบการณ์ โอกาสสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการจีน: ผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม: ตลาดจีนกำลังมองหา ผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนต้องการสินค้าพรีเมียม คุณภาพดี ในราคาที่สมเหตุสมผล อีสานมี ศักยภาพทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่แข็งแกร่งมาก ทำให้เป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรที่จะเข้าสู่จีน การสร้างแบรนด์: การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งสำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น ข้าวหอมมะลิ สามารถเพิ่มมูลค่าและราคาได้อย่างมากในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน แทนที่จะผ่านกระบวนการค้าส่งเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันยังไม่มีแบรนด์จากอีสานที่เป็นที่จดจำในตลาดจีนเท่ากับแบรนด์เครื่องสำอาง Mistine หรือน้ำมะพร้าว IF ที่มาจากไทย การใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นที่รู้จักและ มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่นักศึกษาจีน ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นในการนำเสนอเสน่ห์ของอีสานให้กับนักธุรกิจจีน โดยเฉพาะผู้ที่มองหาโอกาสด้านการศึกษา การเชื่อมโยงผ่านชุมชนอีสานในกรุงเทพฯ: แทนที่จะให้นักลงทุนเดินทางมาอีสานโดยตรง วิธีที่รวดเร็วกว่าคือ การสร้างช่องทางและระบบนิเวศสำหรับคนอีสานในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เพื่อให้นักธุรกิจจีนสามารถเข้าถึงและเชื่อมโยงกับคนอีสานในกรุงเทพฯ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งคนเหล่านี้สามารถช่วยประสานงานธุรกิจในอีสานได้ โอกาสสำหรับนักท่องเที่ยวจีนที่มาพำนักระยะยาว (Long Stay): การสร้างชุมชน: ปัจจุบันเชียงใหม่ยังเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับการพักระยะยาวของชาวจีน เนื่องจากมีชุมชนชาวจีนที่พักอาศัยอยู่แล้วหลายหมื่นคน สำหรับอีสาน สิ่งสำคัญคือการ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาและสร้างชุมชนขึ้นก่อน เพื่อให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยดึงดูดผู้คนได้มากขึ้น การตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักศึกษา/คนวัยทำงานที่พักจากการเรียน/ทำงาน (Experienced Children): กลุ่มนี้มองหาการพำนักระยะยาวเพื่อหลีกหนีชีวิตประจำวัน และคาดหวัง ความสะดวกสบายในการเข้าถึงข้อมูล อาหาร ที่พัก และบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ขอนแก่นมีศักยภาพสูงสำหรับกลุ่มนี้ สิ่งที่ต้องทำคือการ สร้างข้อมูลเป็นภาษาจีนที่เข้าถึงได้ง่าย และเผยแพร่บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน เพื่อให้พวกเขารู้ว่าสามารถใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ได้อย่างง่ายดายในอีสาน การตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัว (Family Stays): กลุ่มนี้มักมาเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว เช่น ตรุษจีน โดยใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จุดหมายปลายทางจะต้อง เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (เช่น มีป้ายหรือข้อมูลภาษาจีนที่อ่านง่าย เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่พูดภาษาอื่นไม่ได้นอกจากจีน) ต้อง เป็นมิตรกับเด็ก (เช่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็ก และสถานที่ที่เข้าถึงได้สะดวกสำหรับเด็ก) การสร้างจุดเด่นหรือ Flagship Product/Experience: ควรมี หนึ่งหรือสองสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์หรือเป็นจุดขายสำคัญ ที่ทำให้ผู้คนจดจำอีสานหรือขอนแก่นได้ เทศกาลสงกรานต์ในขอนแก่น เป็นเทศกาลขนาดใหญ่และน่าสนใจ ที่สามารถเป็นจุดขายที่ง่ายที่สุดในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวจีน ผลิตภัณฑ์เด่น

“LONG STAY” Talk ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่” อ่านเพิ่มเติม »

“LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย

บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 🟦 : ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย โดย ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย /ผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนภาคและเมือง และการยกระดับการจัด Festival, รองผู้อำนวยการ Center of Excellence in Social Design Chulalongkorn University   กลยุทธ์ Long Stay ควรปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใดและเพราะเหตุใด กลยุทธ์ Long Stay ควรปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ ที่เรียกว่า “Long Stayer” ซึ่งหมายถึงชาวต่างชาติที่เดินทางมาพำนักในประเทศไทยเป็นระยะเวลานานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป คือ เกิน 10 วันขึ้นไป โดยไม่เปลี่ยนสัญชาติหรืออพยพย้ายถิ่นฐานถาวร การเปลี่ยนแปลงแนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจาก “Visitor Economy” แบบดั้งเดิมที่เน้นปริมาณ ไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณค่าสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น กลุ่มนักท่องเที่ยวที่กลยุทธ์ Long Stay ควรมุ่งเน้นและเหตุผลในการดึงดูดมีดังนี้: ผู้สนับสนุน (Supporters) และผู้พำนักระยะยาว (Residents): เหตุผล: เดิมที “Visitor Economy” เน้นจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายต่อครั้ง แต่ปัจจุบันต้องการสร้างฐานแฟนคลับ (fan base) ที่รักและผูกพันกับวัฒนธรรมไทย มาเยี่ยมเยียนซ้ำ ๆ และใช้ชีวิตเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง พวกเขาจะช่วยเผยแพร่เรื่องราวดี ๆ ของไทยไปสู่ตลาดสากล กลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูง (High Spenders): เหตุผล: โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวญี่ปุ่นที่มีรายได้มากกว่า 10 ล้านเยนต่อปี (ประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อปี) มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายในทุกด้านเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เมื่อมาพำนักระยะยาว การมุ่งเป้าไปที่กลุ่มนี้จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในท้องถิ่น ผลลัพธ์: กลุ่ม Long Stayer ชาวญี่ปุ่นที่มาพำนักในไทยแล้ว เมื่อออกไปเที่ยวในประเทศจะใช้จ่ายเกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่านักท่องเที่ยวคุณภาพสูงทั่วไปที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 5,172 บาทต่อคนต่อวันเสียอีก กลุ่ม Expat และครอบครัว (Experts and Families): เหตุผล: พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีกำลังใช้จ่ายสูง มักจะอยู่เป็นครอบครัว และสามารถทำหน้าที่เป็น “Influencer” หรือผู้มีอิทธิพลในการจูงใจผู้อื่นได้ดี เมื่อมาอยู่ไทยแล้วมักประทับใจและกลับมาเที่ยวซ้ำ รวมถึงแนะนำให้ครอบครัวและเพื่อนมาเที่ยว โดยเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย ความท้าทาย: ปัจจุบัน Expat ชาวญี่ปุ่นมักจะหาข้อมูลการท่องเที่ยวในไทยเองไม่เจอ และพึ่งพา HR หรือคนไทยช่วยหา

“LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย อ่านเพิ่มเติม »

โคราช แดน วีรสตรีแห่ง “สุรา” สู่ถิ่นธุรกิจผลิตไวน์ สุรา แห่งอีสาน

‘สุรา’ ทั้งในรูปแบบกลุ่นและหมัก ในภาคอีสานมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เริ่มต้นจากการนำเอาข้าวเหนียวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวอีสานมาหมักและกลั่นเป็นสุรา ในอดีตชาวบ้านจะทำสุรากลั่นใช้ในครัวเรือนเอง โดยเฉพาะในช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าวที่มีข้าวเหลือใช้มาก หรือข้าวที่มีคุณภาพไม่ดีพอสำหรับการบริโภค บทบาทของสุราในภาคอีสาน ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มที่ใช้เพื่อความมึนเมา แต่สุรากลั่นมีบทบาทสำคัญในงานบุญและประเพณีต่างๆ ของชาวอีสาน เช่น งานบุญผะเหวด งานบุญข้าวจี่ งานบุญบั้งไฟ โดยจะใช้เป็นเครื่องไหว้เจ้าที่ ผีปู่ย่า และเป็นเครื่องดื่มในการสังสรรค์ การเสิร์ฟสุรากลั่นให้แขกที่มาเยือนเป็นการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความจริงใจของเจ้าบ้าน ถือเป็นมารยาทที่ดีในวัฒนธรรมอีสาน    ความรู้เรื่องกรรมวิธีการทำสุราได้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยผู้สูงอายุจะสอนให้ลูกหลานได้เรียนรู้เทคนิคและวิธีการที่เป็นความลับของแต่ละท้องถิ่น ทำให้เกิดความหลากหลายในรสชาติและวิธีการผลิตในแต่ละพื้นที่ ซึ่งความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมเหล่านี้ ได้ผนวกรวมกับความรู้และนวัตกรรมสมัยใหม่ ต่อยอดเป็นธุรกิจการผลิตสุราในท้องถิ่น ที่ไม่เพียงสะท้อนวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชุมชน แต่ยังมีศักยภาพในการสร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก   โคราช แหล่งธุรกิจผลิตสุราและไวน์แห่งอีสาน โคราช ดินแดน ย่าโม ท้าวสุรนารี วีรสตรีที่สร้างชัยชนะด้วย “สุรา” พื้นที่แห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งอารยธรรมและมี สาโท ที่เป็นสุราท้องถิ่นที่โด่งดังมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันในภาคอีสานมีธุรกิจผลิตสุรากลั่นและไวน์ ทั้งรายใหญ่และรายย่อยรวมกัน 137 ราย มีรายได้รวมกว่า 14,000 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีธุรกิจประเภทผลิตสุรากลั่นและไวน์มากที่สุดในอีสาน ได้แก่ นครราชสีมา หรือ โคราช โดยมีนิติบุคคลจดทะเบียนทั้งสิ้น 33 ราย รองลงมาคือ กาฬสินธุ์ 18 ราย โดยธุรกิจผลิตสุรากลั่นและไวน์ในโคราช ล้วนปล้วเป็นเป็นธุรกิจรายย่อยที่ไม่ใช่โรงงานผลิตของบริษัทใหญ่   โดยนิติบุคคลในธุรกิจผลิตสุรากลั่นและไวน์ ของโคราชมีรายได้รวมกันกว่า 250 ล้านบาท โดย 3 อันดับนิติบุคคลที่มีรายได้มากที่สุด ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สัมฤทธิ์มั่นคง ทุนจดทะเบียน: 400,000 บาท (2 กรกฎาคม 2545) รายได้รวม: 66,766,721.71 บาท เป็นนิติบุคคลที่ผลิตสุราประเภทสุราแช่มากว่า 20 ปี โดยมีสินค้าหลักคือ “สาโทสยาม” ซึ่งผลิตมาจากการหมักข้าวเหนียว ซึ่งเป็นวัตถุดิบท้องถิ่น @ploy.chompu_ สาโทสยาม #สุราไทย #สุราก้าวไกล ♬ เจ็บเมื่อไหร่ KRIST – RISER MUSIC บริษัท อโศกวัลเล่ย์ ไวน์เนอร์รี่ จำกัด ทุนจดทะเบียน: 5,000,000 บาท (5 พฤศจิกายน 2551) รายได้รวม: 57,435,961.47 บาท เป็นธุรกิจผลิตไวน์องุ่นรายใหญ่ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ อ.ปากช่อง ตัวอย่างสินค้า เช่น ไวน์แบรนด์ “GranMonte” นอกจากนั้นยังมีไร่องุ่นและร้านอาหารที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ห้างหุ้นส่วน อังคณาเทรดดิ้ง จำกัด  ทุนจดทะเบียน: 5,000,000 บาท (5 พฤศจิกายน 2551) รายได้รวม:

โคราช แดน วีรสตรีแห่ง “สุรา” สู่ถิ่นธุรกิจผลิตไวน์ สุรา แห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ปอยเปต ประตูชายแดนกัมพูชา เศรษฐกิจของเมืองที่โตจาก “ด่าน” มากกว่า “ดิน”

ส่องซอด ปอยเปต เมืองชายแดนของกัมพูชา ตรงข้ามกับอรัญประเทศของไทย ที่เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดจากการดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะผ่านธุรกิจกาสิโน จนถูกขนานนามว่าเป็น “นครแห่งธุรกิจสีเทา” ทั้งยังเป็นจุดผ่านแดนสำคัญ ที่มีมูลค่าการค้าคิดเป็นกว่า 63.4% ของการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาทั้งหมด แต่ใครจะรู้—ความรุ่งเรืองที่ผูกอยู่กับ “ด่าน” อาจกลายเป็นความเปราะบางที่ย้อนกลับมาเป็นจุดอ่อนของเมืองในระยะยาว . ปอยเปต เป็นเมืองชายแดนของกัมพูชา ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย อยู่ติดกับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ของไทย เมืองนี้มีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในจุดผ่านแดนที่มีการสัญจรของผู้คนและการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชามากที่สุด อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของแหล่งกาสิโนขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนไทยมากที่สุดแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ปอยเปตยังเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศสูงอย่างน่าจับตามอง ในอดีต ปอยเปตเป็นเพียงพื้นที่ป่ากว้าง มีประชากรบางส่วนใช้พื้นที่เพาะปลูกเพื่อยังชีพ และยังเคยผ่านการเปลี่ยนแปลงอำนาจอาณานิคมหลายครั้ง ตั้งแต่การอยู่ภายใต้สยาม การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส จนถึงการประกาศเอกราชของกัมพูชา หากจะเข้าใจการเติบโตทางเศรษฐกิจของปอยเปต เมืองชายแดนห่างไกลจากเมืองหลวง จำเป็นต้องย้อนกลับไปถึงแนวคิดของรัฐบาลกัมพูชาในการหารายได้จากกิจการกาสิโนซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการดัดแปลงสถานพักผ่อนยุคอาณานิคมฝรั่งเศสให้กลายเป็นรีสอร์ทและคาสิโน เพื่อใช้เป็นแหล่งรายได้ของรัฐ อย่างไรก็ตาม รายได้จากกาสิโนเพียงแห่งเดียวยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ รัฐบาลกัมพูชาจึงดำเนินกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์การค้า โรงแรม และกาสิโน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา พร้อมได้รับใบอนุญาตดำเนินกิจการกาสิโน โดยเฉพาะในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศ แต่การขยายตัวของกาสิโนในพนมเปญ ทั้งที่ถูกกฎหมายและลักลอบเปิด ดันให้เกิดปัญหาสังคมอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรม พฤติกรรมติดการพนัน และการขยายตัวของเศรษฐกิจสีเทา จนในปี พ.ศ. 2541 นายกรัฐมนตรีฮุน เซน สั่งกวาดล้างคาสิโนผิดกฎหมาย และห้ามเปิดกาสิโนในรัศมี 200 กิโลเมตรจากเมืองหลวง คำสั่งดังกล่าวทำให้ธุรกิจกาสิโนส่วนใหญ่ต้องย้ายออกจากพนมเปญ โดยพื้นที่ชายแดน เช่น ปอยเปตและบาเวต กลายเป็นปลายทางใหม่ที่ได้รับอานิสงส์จากข้อจำกัดเชิงภูมิศาสตร์และกฎหมาย เมืองชายแดนเหล่านี้สามารถดึงดูดรายได้จากนักท่องเที่ยวและนักพนันต่างชาติได้อย่างมหาศาล . เศรษฐกิจปอยเปต: เติบโตจากด่าน มากกว่าดิน การเข้ามาของกาสิโนในปอยเปตส่งผลให้เมืองมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ นักท่องเที่ยวและนักเสี่ยงโชคจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ส่งผลให้ธุรกิจในพื้นที่เฟื่องฟู ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม ศูนย์การค้า และกาสิโนที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ส่วนใหญ่ดำเนินกิจการโดยนักการเมือง นักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพล หรือแม้แต่บุคคลในภาครัฐเอง ปรากฏการณ์นี้ก่อให้เกิดคำถามจากประชาชนว่า ปอยเปตสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศและประชาชนทั่วไปจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแหล่งรายได้ของกลุ่มทุนรายใหญ่ที่ดูดเงินและทรัพยากรจากพื้นที่โดยไม่กระจายผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม และนอกจากนี้ ปอยเปตยังถูกจับตาว่าเป็นแหล่งกบดานของอาชญากรรมไซเบอร์ ฟอกเงิน และทุนจีนสีเทา ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองกลายเป็น “เมืองสีเทา” ที่พึ่งพารายได้จากธุรกิจผิดกฎหมายและการพนันเป็นหลัก ที่มา: กรมการค้าต่างประเทศ การเติบโตของปอยเปตได้กลายเป็นแรงผลักสำคัญต่อการค้าชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชา ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ (ม.ค.–พ.ค. 2567) ระบุว่า มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชากว่าครึ่ง (80,723 ล้านบาท หรือ 48.3%) เกิดขึ้นผ่านเส้นทางชายแดน โดยเฉพาะด่านปอยเปต–อรัญประเทศซึ่งมีสัดส่วนถึง 63.4% ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมด นอกจากนี้ ปอยเปตยังเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ภายใต้โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Poipet SEZ) ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักของรัฐบาลกัมพูชาในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป บรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และสายไฟ โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้า ต้นทุนแรงงานต่ำและแรงงานจำนวนมาก ส่งผลให้ประเทศอย่างจีน เวียดนาม มาเลเซีย

ปอยเปต ประตูชายแดนกัมพูชา เศรษฐกิจของเมืองที่โตจาก “ด่าน” มากกว่า “ดิน” อ่านเพิ่มเติม »

งานบุญแห่ ผีตาโขน หน้ากากผีเอกลักษณ์ สะท้อนความเชื่อท่องถิ่น บินไกลสู่สากล

1.ประเพณีเดือน 7 : ประเพณีการละเล่นผีตาโขนในงานบุญหลวง จังหวัดเลย ผีตาโขน เป็นคำเรียกชื่อการละเล่นชนิดหนึ่งที่ผู้เล่นต้องสวมหน้ากากที่วาดหรือแต้มให้น่ากลัวแต่งกายด้วยชุดทำจากเศษผ้านำมาเย็บติดกัน ซึ่งจะเข้าร่วมขบวนแห่และมีการแสดงท่าทางต่าง ๆ เพื่อสร้างความตื่นเต้น สนุกสนาน รื่นเริง ในระหว่างที่มีงานบุญประเพณีใหญ่หรือที่เรียกว่า “งานบุญหลวง” หรือ “บุญผะเหวด” ซึ่งตรงกับเดือน 7เป็นการละเล่นที่มีเฉพาะในท้องที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ว่ากันว่าการแห่ผีตาโขนเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและนางมัทรีจะเดินทางออกจากป่ากลับสู่เมือง บรรดา ผีป่าหลายตน และสัตว์นานาชนิดอาลัยรักจึงพาแห่แหนแฝงตัวแฝงตน มากับชาวบ้านเพื่อมาส่งทั้งสอง พระองค์ กลับ เมือง “ผีตามคน” หรือ “ผีตาขน” จนกลายมาเป็น “ผีตาโขน” อย่างในปัจจุบัน Chaikom / Shutterstock.com . จังหวัดเลย อำเภอด่านซ้าย ณ ที่แห่งนี้ได้มีการกำเนิดประเพณีที่มีต้นกำเนิดมาจากเวสสันดรชาดก พระชาติที่ 10 ที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้า หรือ ตำนานผีตามคนนั่นเอง โดยในปีนี้ประเพณีผีตาโขน จะถูกจัดขึ้นที่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย วันที่ 28-30 มิถุนายน ปี 2568 ภายในงานปีนี้ก็จะมีกิจกรรมมากมายตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น วันโฮม,ขบวนแห่,สู่ขวัญเจ้าพ่อกวน และ เจ้าแม่นางเทียม,มีพิธีจุดบั้งไฟขอฝนอีกด้วย และยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายภายในงาน ภาพจาก:ด่านซ้ายไทเลย งานประเพณีบุญหลวง และงานผีตาโขน จะมีหลักๆ 3 วันด้วยกันคือ วันที่ 1 เป็น เทศกาลผีตาโขน ซึ่งเรียกวันนี้ว่า วันรวม หรือ วันโฮม จะมี พิธีเบิกพระอุปคุต พิธีการบวชพราหมณ์ เพื่อเชิญพระอุปคุต พิธีแห่จากวัดโพนชัย ไปริมฝั่งแผ่น้ำหมันเพื่อเชิญพระอุปคุต พิธีงมพระอุปคุตจากแม่น้ำหมันอัญเชิญขึ้นประดิษฐานหออุปคุต วัดโพนชัย พิธีเบิกพระอุปคุต พร้อมยิงปืนทั้ง 4 ทิศ พิธีบายศรีสู่ขวัญเจ้าพ่อกวนและเจ้าแม่นางเทียม วันที่ 2 เป็น วันแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง หรือ ขบวนแห่ผีตาโขน พิธีสู่ขวัญพระเวส อัญเชิญพระเวสเข้าเมือง ขบวนแห่พระเวสเข้าเมือง (ขบวนแห่ผีตาโขน) เจ้าพ่อกวนและคณะ นำขบวนแห่ไปวัดโพนชัยแห่รอบโบสถ์ 3 รอบ เจ้าพ่อกวนและคณะจุดบั้งไฟขอฝน คณะผู้เล่นบุญนำหน้ากากผีตาโขนน้อยและผีตาโขนใหญ่ทิ้งลงแม่น้ำหมัน วันที่ 3 เป็น วันฟังเทศน์มหาชาติ 13 กัณฑ์ พิธีสวดมาลัยหมื่นมาลัยแสน ในการฟังเทศมหาชาติ พิธีสวดชำฮะเพื่อขอขมาลาโทษสะเดาะเคราะห์รับโชค นำอาหารหวานใส่กระทง เพื่อให้ทานสะเดาะเคราะห์ และสืบชะตาบ้านเมือง พ่อแสนท้าพิธี “จำเนื้อจำคิง” เพื่อการสะเดาะเคราะห์ นำเครื่องสะเดาะเคราะห์ทิ้งลงแม่น้ำหมัน พิธีคารวะองค์องค์พระใหญ่ โดยเจ้าพ่อกวนและคณะ เป็นอันเสร็จพิธี และประเพณียังคงมีความเชื่อกันว่า สำหรับคนที่เล่นหรือมีการแต่งตัวเป็น ผีตาโขนใหญ่ ต้องถอดเครื่องแต่งกายผีตาโขนใหญ่ออกให้หมดและนำไปทิ้งในแม่น้ำหมัน ห้ามนำเข้าบ้าน เป็นการทิ้งความทุกข์ยากและสิ่งเลวร้ายไปอีกด้วย 2.หนึ่งเดียวในภาคอีสาน ผีตาโขนของชาวไท-เลย ทำไมประเพณีผีตาโขนจึงมีเพียงที่เดียวในภาคอีสาน และพบเฉพาะในจังหวัดเลย? คำตอบอยู่ที่ความเชื่อที่ฝังแน่นในวิถีชีวิตของชาวไท–เลย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ไท–ลาวในอำเภอด่านซ้าย ซึ่งมีความเชื่อแบบ พุทธผสมอนิมิสต์ หรือศรัทธาที่ผสานระหว่างพุทธศาสนาและความเชื่อพื้นบ้านที่เชื่อว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา

งานบุญแห่ ผีตาโขน หน้ากากผีเอกลักษณ์ สะท้อนความเชื่อท่องถิ่น บินไกลสู่สากล อ่านเพิ่มเติม »

ศักยภาพมุกดาหาร ด่านโตแสนล้าน แต่เศรษฐกิจ(อาจโต)ไม่ถึงมือประชาชน

1.ศักยภาพของจังหวัดชายแดนขนาดเล็ก อย่างที่เรารู้กันจังหวัดมุกดาหารไม่ได้เป็นจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่มากนัก รวมไปถึงจำนวนประชากรที่ก็ไม่ได้เยอะมากด้วย เช่นกัน ถึงแม้ว่าจังหวัดมุกดาหารจะมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กก็ตามแต่มุกดาหารยังมีศักยภาพที่สามารถทำให้มุกดาหารนั้นเติบโตขึ้นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นภาคการบริการ และ ภาคการเกษตร ที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆของจังหวัด และ รวมไปถึงการค้าระหว่างชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง สปป ลาว ทำให้เศรษฐกิจภาคบริการ และ การค้าระหว่างประเทศของจังหวัดมุกดาหารมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีที่ผ่าน มูลค่าการค้าชายแดนในปีที่ผ่านมามีมูลค่าอยู่ที่ 286,775 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าโตขึ้นมาจากปี 66 อยู่ที่ 10.13% สินค้าหลักในการส่งออกนั่นคือน้ํามันดีเซล,น้ำมันสําเร็จรูปอื่นๆ และ น้ำตาลทรายขาว และ ด้วยความที่เป็นจังหวัดชายแดนตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงตรงข้ามกับแขวงสะหวันนะเขตของประเทศลาวนั่นทำให้มุกดาหารเป็น ด่านส่งออก และ นำเข้าสินค้าสำคัญจาก ไทย-จีน เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีเส้นทางถนนเชื่อมต่อได้ยาวถึงประเทศจีน สินค้าที่ขนมาทางรถส่วนหนึ่งก็จะมาเส้นทางนี้ และกระจายต่อไปยัง จ.ขอนแก่นโดยเส้นทางที่ผ่านด่านมุกดาหารนั่นคือเส้นทางสาย R9 ที่เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการค้าระหว่างไทย – จีน โดยแบ่งเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 : ด่านมุกดาหาร (ประเทศไทย) –> ด่านสะหวันนะเขต     (สปป.ลาว) –> ด่านลาวบาว (ประเทศเวียดนาม) –> กรุงฮานอย (ประเทศเวียดนาม) –> ด่านหูหงิ (ประเทศเวียดนาม) –> ด่านโหยวอี้กวน เมืองผิงเสียง (ประเทศจีน) –> นครหนานหนิง  เขตปกครองตนเองกว่างสีจ้วง (ประเทศจีน) ด้วยระยะทางรวมประมาณ 1,590 กิโลเมตร การพัฒนาเส้นทาง R9 เส้นทางที่ 1 นี้ได้ช่วยลดระยะเวลาการขนส่งเมื่อเทียบกับการขนส่งสินค้าไทยทางเรือ ยกตัวอย่าง การขนส่งผลไม้ของไทยไปยังประเทศจีนก่อนหน้านี้ใช้เวลาประมาณ 7-8 วัน แต่การขนส่งทางผ่านเส้นทาง R9 ทำให้ระยะเวลาการขนส่งสั้นลงเหลือเพียง 2-3 วัน ซึ่งมีความสำคัญต่อธุรกิจการส่งออกผลไม้เป็นอย่างมาก เนื่องจากระยะเวลาขนส่งมีผลต่ออายุและการรักษาความสดของผลไม้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เส้นทางที่ 2 : ด่านมุกดาหาร (ประเทศไทย) –> ด่านสะหวันนะเขต (สปป.ลาว) –> ด่านลาวบาว (ประเทศเวียดนาม) –> ด่านหม่องก๋อย (ประเทศเวียดนาม) –> ด่านตงชิง (เมืองฝางเชิงก่าง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ประเทศจีน) ที่เป็นเส้นทางใหม่ในการขนส่งผลไม้ไทยสู่จีน หลังจากนั้น จะไปสิ้นสุดที่นครหนางหนิงเพื่อกระจายสินค้าไปยังมณฑลฝูเจี้ยน มณฑลกวางตุ้ง มณฑลหูหนาน กรุงปักกิ่ง และนครเซี่ยงไฮ้ เส้นทาง R9 นั้นเป็นเส้นทางการส่งโดยรถยนต์ซึ่งนอกเหนือจากเส้นทางนี้ จะมีรถไฟรางคู่สายบ้านไผ่-นครพนมที่จะมาเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของการขนส่งสินค้า และ การเดินทางของนักท่องเที่ยวหรือผู้คนในพื้นที่ ซึ่งเส้นทางรถไฟรางคู่นี้จะเล็งตัดถนนเส้นใหม่ ระยะทาง 14 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมโยงระบบราง และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 มุกดาหาร-สะหวันนะเขต

ศักยภาพมุกดาหาร ด่านโตแสนล้าน แต่เศรษฐกิจ(อาจโต)ไม่ถึงมือประชาชน อ่านเพิ่มเติม »

🇹🇭โต 3% แทบไม่มีหวัง🌏World Bank หั่นไทยเหลือ 1.8% ปี 2025 โตต่ำสุดในอาเซียน เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย(เชิงเทคนิค)📉

ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (economic recession) หรือนิยมเรียกย่อ ๆ ว่า recession มีหลายนิยามแตกต่างกัน หากยึดตามนิยามของ NBER[1] คือ ภาวะการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ กินเวลายาวนานหลายเดือน และดูตัวชี้วัดหลายตัวร่วมด้วย ได้แก่ (1) รายได้ของบุคคลหักด้วยรายจ่าย (2) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payrolls) (3) ตัวเลขการจ้างงานของครัวเรือน (4) รายจ่ายเพื่อการบริโภค (5) ยอดขายสินค้า และ (6) การผลิตในภาคอุตสาหกรรม ส่วนภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (technical recession) คือ ภาวะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ติดลบติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนวัฏจักรเศรษฐกิจโดยรวม แต่เรามักได้ยินสำนักข่าวใช้ในการรายงานข่าว เพราะดูจากแค่จีดีพีอย่างเดียว ซึ่งสามารถหาได้ง่ายและรวดเร็ว   ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia and Pacific: EAP) ในปี 2025 จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงเหลือ 4.5% จาก 5% ในปี 2024 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบทางตรงของมาตรการกีดกันทางการค้า และผลกระทบทางอ้อมจากความไม่แน่นอนเชิงนโยบายที่เพิ่มสูงขึ้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความเชื่อมั่นที่อ่อนแรงลง ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการลงทุน การส่งออก และการบริโภคในประเทศต่าง ๆ ของภูมิภาค โดยธนาคารโลกได้มีการปรับคาดการณ์ของประเทศไทยลงเหลือ 1.8% ลดลง -1.1% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงกัน  สรุปตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี 2025 ในกลุ่มอาเซียน โดย World Bank จากรายงาน Global Economic Prospects, June 2025 ของ World Bank ภาพแสดงการคาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP ในกลุ่มประเทศอาเซียนปี 2025 โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้: ภาพรวมการเติบโต: เวียดนาม คาดการณ์การเติบโตสูงสุดที่ 5.8% แม้จะมีการปรับลดลงเล็กน้อยจากประมาณการเดือนเมษายน 2025 ที่ -0.8% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่ยังคงโดดเด่น ฟิลิปปินส์ คาดการณ์การเติบโต 5.3% โดยมีการปรับลดลง -0.8% อินโดนีเซีย คาดการณ์การเติบโต 4.7% โดยมีการปรับลดลง -0.4% กัมพูชา คาดการณ์การเติบโต 4.0% โดยมีการปรับลดลง -1.5% ซึ่งเป็นการปรับลดที่มากที่สุดในกลุ่มนี้ มาเลเซีย คาดการณ์การเติบโต 3.9% โดยมีการปรับลดลง -0.6% ลาว คาดการณ์การเติบโต 3.5%

🇹🇭โต 3% แทบไม่มีหวัง🌏World Bank หั่นไทยเหลือ 1.8% ปี 2025 โตต่ำสุดในอาเซียน เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย(เชิงเทคนิค)📉 อ่านเพิ่มเติม »

อีก 3 ปี หากไม่แก้ รักษาฟรีอาจไม่มี บัตรทอง ระเบิดต้นทุนโรงพยาบาลที่รอวันปะทุ เปิด 4 ปัจจัยทำไมโรงพยาบาลรัฐถึงขาดทุน

บัตรทอง⌛ระเบิดเวลา อีก 3 ปี หากไม่แก้ รักษาฟรีอาจไม่มี❗สปสช.วางแผนรับมือ เตรียมตั้ง คกก.กลางศึกษาต้นทุนโรงพยาบาล เหตุโรงพยาบาลทั่วไทย🏥ขาดสภาพคล่อง 901 แห่ง 5.1 หมื่นล้าน และ ขาดทุนอีก 183 แห่ง 4.3 พันล้าน เฉพาะ Top10 ร.พ.ขาดทุน มาจากภาคอีสาน 4 ใน 10 [4 ปัจจัยทำไมโรงพยาบาลรัฐถึง(เงินสมทบติดลบ)ขาดทุน❓] โรงพยาบาลรัฐในประเทศไทยประสบปัญหาหนี้สะสมและขาดทุนจากหลายสาเหตุที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน โดยหลักๆ มาจากความไม่สมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย รวมถึงโครงสร้างระบบสาธารณสุขในปัจจุบัน ปัจจัยสำคัญมีดังนี้: . 1. รายรับไม่เพียงพอต่อต้นทุนที่แท้จริง:💸 ▪️งบเหมาจ่ายรายหัว (บัตรทอง/หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า) ต่ำกว่าต้นทุน: ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีการจัดสรรงบประมาณแบบเหมาจ่ายรายหัวให้กับโรงพยาบาล ซึ่งมักจะต่ำกว่าต้นทุนจริงในการให้บริการ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่ซับซ้อนหรือโรคเรื้อรัง ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนจากการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ ▪️การหักเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่าย: เดิมมีการหักเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่ายรายหัวที่จัดสรรให้โรงพยาบาล ซึ่งทำให้โรงพยาบาลมีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ลดลง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีบุคลากรจำนวนมาก ▪️การเคลมค่าบริการต่ำกว่าความเป็นจริง: บางครั้งการเคลมค่าบริการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบการจ่ายเงิน (เช่น สปสช.) ไม่ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด หรือมีการจ่ายล่าช้า ทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระทางการเงิน ▪️การรักษาผู้ป่วยต่างด้าว: โรงพยาบาลรัฐจำนวนมากต้องให้การรักษาผู้ป่วยต่างด้าวโดยไม่ได้มีการชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพียงพอ ทำให้เกิดหนี้ค้างชำระ . 2. ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น:💊 ▪️ค่าวัสดุทางการแพทย์และค่ายาที่เพิ่มขึ้น: ราคาของยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ค่าชดเชยที่ได้รับอาจไม่ปรับเพิ่มตาม ▪️การรักษาที่ซับซ้อนและทันสมัยขึ้น: เมื่อวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น การวินิจฉัยและการรักษามีความซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น ▪️ค่าตอบแทนบุคลากรที่ไม่สอดคล้อง: แม้บุคลากรทางการแพทย์จะทำงานหนัก แต่ค่าตอบแทนอาจไม่จูงใจเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับภาระงานและความรับผิดชอบ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนบุคลากรและอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว ▪️ภาระงานที่หนักเกินไป: จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลรัฐมีภาระงานล้นมือ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนแฝง เช่น ค่าล่วงเวลา หรือการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ . 3. ปัญหาเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการ:🏦 ▪️ข้อจำกัดด้านงบประมาณภาครัฐ: รัฐบาลมีงบประมาณจำกัดในการจัดสรรให้กับระบบสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาลไม่ได้รับงบประมาณที่เพียงพอต่อการดำเนินงานและพัฒนา ▪️การบริหารจัดการที่ไม่ยืดหยุ่น: โรงพยาบาลรัฐบางแห่งอาจมีข้อจำกัดในการบริหารจัดการงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้ไม่สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ▪️การขาดประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้: โรงพยาบาลอาจมีปัญหาในการจัดเก็บรายได้จากผู้ป่วยบางกลุ่ม หรือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง . 4. ผลกระทบที่ตามมา:🧑‍⚕️ ▪️โรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง: เมื่อรายจ่ายสูงกว่ารายรับต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่มีเงินเพียงพอในการชำระหนี้ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ หรือค่าสาธารณูปโภค ▪️คุณภาพบริการอาจได้รับผลกระทบ: เมื่อโรงพยาบาลประสบปัญหาการเงิน อาจส่งผลต่อการจัดซื้อยาและอุปกรณ์ที่จำเป็น หรือการพัฒนาบุคลากร ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการรักษาพยาบาล ▪️บุคลากรหมดกำลังใจ: การทำงานภายใต้ภาวะขาดแคลนทรัพยากรและภาระงานที่หนัก อาจทำให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดภาวะหมดกำลังใจและลาออก . 🏥โดยสรุปแล้ว ปัญหาหนี้สะสมและการขาดทุนของโรงพยาบาลรัฐเป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งเรื่องของโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณ ต้นทุนที่สูงขึ้น และการบริหารจัดการ ซึ่งต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาเชิงระบบจากภาครัฐอย่างจริงจังและต่อเนื่อง   จริงๆ ตอนนี้ทาง สปสช. เตรียมตั้ง คณะกรรมการกลาง ศึกษาต้นทุนโรงพยาบาล เพื่อหาต้นทุนกำหนดปัญหา#พร้อมย้ำไม่ล่ม . รวมทั้งศึกษาแนวโน้มความเป็นไปได้ต่างๆ

อีก 3 ปี หากไม่แก้ รักษาฟรีอาจไม่มี บัตรทอง ระเบิดต้นทุนโรงพยาบาลที่รอวันปะทุ เปิด 4 ปัจจัยทำไมโรงพยาบาลรัฐถึงขาดทุน อ่านเพิ่มเติม »

ท่องเที่ยวไทย จีนไป เมกา มา อีสานไม่กระทบ สหรัฐฯ ยกไทยสู่ประเทศ ‘ปลอดภัยระดับ 1’ ในวันที่ชาวจีนไม่กล้าเที่ยวไทย

ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนลดลงจากความกังวลเรื่องความปลอดภัย(จากจีนเทา) สหรัฐฯ ยกไทยสู่ประเทศ ‘ปลอดภัยระดับ 1’ เทียบเท่า ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และสิงคโปร์ สร้างแรงหนุนความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวโลก ในปี 2568 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยลดลงราว -46.1% ต่อเดือนตลอดช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วงต้นปีลดลงไปประมาณ 1 ล้านคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นอัตราลดลงที่ -32.7% นักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นกลุ่มหลักที่ประเทศไทยพึ่งพาในภาคการท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนแต่ละคนมักใช้เวลาเที่ยวเฉลี่ย 5 – 7 วันต่อทริป และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 25,000 – 50,000 บาทต่อคน หรือประมาณวันละ 6,118 บาท แม้ว่าจะไม่สูงเท่านักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลางก็ตาม ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 63,000 – 94,000 ต่อทริป ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นซึ่งอยู่ที่ราว 4,077 บาทต่อวัน ดังนั้น ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงและมูลค่าการใช้จ่ายที่สูงนั้นส่งผลให้การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศ และเศรษฐกิจในพื้นที่ยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวจีนมักเดินทางไปเยือน ภาพที่ 1 จำนวนนักท่องเที่ยว 5 เดือนแรกของไทยแบ่งตามสัญชาติ 10 อันดับแรก ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากรายงานของ KKP Research พบว่า ชาวจีนกว่า 50% มองว่าไทยไม่ปลอดภัย เพิ่มขึ้นจาก 38% ในปีก่อน ปัจจัยที่ส่งผลต่อทัศนคตินี้รวมถึงกรณีข่าวลักพาตัวชาวจีน การปราบปรามธุรกิจสีเทา และเหตุการณ์ภัยพิบัติในไทยที่ถูกขยายผ่านสื่อจีน โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้เป็นพิเศษมากกว่าผู้ที่เดินทางกับกรุ๊ปทัวร์ อีกทั้ง ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในจีน ทำให้ชาวจีนมีแนวโน้มใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนเองก็ผลักดันนโยบาย “เที่ยวในประเทศ” เพื่อลดการไหลออกของเงินตราและกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ทำให้การเดินทางออกนอกประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่กลับมาสูงถึง 93.6% ของระดับก่อนโควิดแล้ว นอกจากนี้ยังรายงานอีกว่า นักท่องเที่ยวจีนในปัจจุบันเลือกเดินทางด้วยตนเองมากขึ้น แทนการมาแบบกรุ๊ปทัวร์เหมือนในอดีต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อรูปแบบการใช้จ่าย ความคาดหวัง และประสบการณ์ที่ต้องการในต่างประเทศ โดยกลุ่ม FIT มักให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์เฉพาะตัว มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว ทั้งยังมีแนวโน้มเที่ยวซ้ำเฉพาะพื้นที่ที่ชอบ ทำให้การตัดสินใจมาเที่ยวประเทศเดิมซ้ำต้องใช้เวลาพิจารณามากขึ้น อย่างไรก็ดี แม้การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนจะกระทบต่อภาพรวมรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ก็มีสัญญาณบวกจากนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับคำแนะนำการเดินทาง (Travel Advisories) ของประเทศไทยเป็นระดับ 1 (Level 1: Exercise Normal Precautions) ให้ใช้ความระมัดระวังตามปกติในการเดินทางในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่ยังคงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยมีเพียงพื้นที่บริเวณ 4 จังหวัดในภาคใต้ที่ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเดินทางไป ได้แก่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา เนื่องจากความไม่สงบจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในพื้นที่ นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์

ท่องเที่ยวไทย จีนไป เมกา มา อีสานไม่กระทบ สหรัฐฯ ยกไทยสู่ประเทศ ‘ปลอดภัยระดับ 1’ ในวันที่ชาวจีนไม่กล้าเที่ยวไทย อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top