Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

เผย Fan-Art 3D น้องปูกลอง ต่อยอดจาก Mascot 2D จังหวัดมหาสารคาม

เผยภาพเรนเดอร์ 3 มิติ “น้องปูกลอง” งานแฟนอาร์ตจาก Thitiphat Thepwiriviriyaphong หนุ่มร้อยเอ็ด ได้เผยแพร่การสานต่อผลงาน Mascot ที่จะชนะการประกวดของจังหวัดมหาสารคาม ในกลุ่ม Blender Community Thailand จนได้รับคำชื่นชมในผลงานกันอย่างล้นหลาม . หลังจากมีกระแสในโซเชียลมีเดียในหลากหลายความเห็น ล่าสุด ทางหน่วยงานได้ออกแถลงการณ์ จังหวัดมหาสารคาม ออกแถลงการณ์ชี้แจงประเด็น ผลการประกวดมาสคอตประจำจังหวัดฯ ยืนยันตัดสินด้วยความโปร่งใสและคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของจังหวัดมหาสารคามเป็นสำคัญ ตามที่จังหวัดมหาสารคาม มอบหมายให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดมหาสารคาม ดำเนินโครงการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ จังหวัดมหาสารคาม กิจกรรม การประกวดและจัดทำมาสคอต (Mascot) จังหวัดมหาสารคาม เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดมหาสารคาม ในการกระตุ้นการท่องเที่ยว และส่งเสริมการตลาด เผยแพร่ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของจังหวัด รวมถึงเป็นการประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวจังหวัดมหาสารคามให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยมีการประกาศผลการประกวดฯ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา นั้น จากกระแสความคิดเห็นของประชาชนที่แสดงความกังวลและตั้งคำถามเกี่ยวกับ ผลการประกวดมาสคอต ประจำจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งจังหวัดมหาสารคามขอขอบคุณสำหรับความสนใจและข้อเสนอแนะ ที่มีต่อกิจกรรมครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง จังหวัดมหาสารคามขอเรียนชี้แจงในส่วนของเกณฑ์การตัดสินมี 5 ด้าน ซึ่งได้แจ้งประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย 1. แนวความคิดในการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ 2. การสื่อความหมายเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของจังหวัด เพื่อใช้เป็นตัวแทนในการประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวของจังหวัดมหาสารคาม 3. ความสวยงามและความครบถ้วนสมบูรณ์ขององค์ประกอบ 4. ความโดดเด่น จดจำง่าย และความเด่นชัด 5. ความเหมาะสมและการใช้งานได้จริงในการประชาสัมพันธ์ กระบวนการตัดสินผลงานมี 2 รอบ ดังนี้ รอบที่ 1: จังหวัดมหาสารคามได้จัดให้มีการโหวตมาสคอตที่ส่งมาประกวดทุกผลงานผ่านทาง Google Form ในระหว่างวันที่ 12 – 22 ธันวาคม 2567 โดยผลงานที่มียอดโหวตอันดับที่ 1 – 5 จะผ่านเข้ารอบตัดสินในรอบที่ 2 รอบที่ 2: จังหวัดมหาสารคามได้เชิญผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคมต่าง ๆ ภายในจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 205 ท่าน เพื่อร่วมพิจารณาตัดสินผลงาน โดยเจ้าของผลงานที่ผ่านเข้ารอบจะต้องมานำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการเพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยผลงานที่ชนะการประกวดในครั้งนี้ ได้แก่ “น้องปูกลอง” เจ้าของผลงาน : นางสาวอิสราภรณ์ ลามี จังหวัดมหาสารคามขอเรียนว่า การตัดสินในครั้งนี้ดำเนินไปด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของจังหวัดมหาสารคามเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนทุกท่านจะถูกนำไปปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมในอนาคต เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและสะท้อนเสียงของประชาชนให้มากยิ่งขึ้น และขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและร่วมกันพัฒนาจังหวัดมหาสารคามของเรา

พามาเบิ่ง🇻🇳ทำไมเวียดนามถึงน่าลงทุนในมุมมองของต่างชาติ

ISAN Insight สิพามาเบิ่ง ทำไมเวียดนามถึงน่าลงทุนในมุมมองของต่างชาติ   . ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้นมีหลายข้อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่สภาพสังคมและเศรษฐกิจที่ดี เสถียรภาพทางการเมือง การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนของกำลังแรงงาน จำนวน FTA ที่มี 16 ฉบับครอบคลุมมากถึง 56 ประเทศ อีกทั้งช่องว่างของโอกาสทางธุรกิจที่ผ่านการวางรากฐานที่ดีและพร้อมที่จะเติบโตในอนาคต ส่งผลให้นักลงทุนจากต่างชาติมองเห็นโอกาสที่เวียดนามจะสามารถเติบโตขึ้นได้อีก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนสนับสนุนให้เวียดนามสามารถดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศได้มาก   ประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอย่างเวียดนาม นับว่าเริ่มมีบทบาทโดดเด่นขึ้นมากจากอดีต จากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในปีค.ศ. 1986 ที่เปลี่ยนผันจากประเทศที่มีการพึ่งพารายได้จากภาคการเกษตร กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่สูง อีกทั้งการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และปัจจัยสนับสนุนอื่นๆอีกมากมาย ยังช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเวียดนาม มีอัตราการเติบโตที่สูงเฉกเช่นเดียวกันกับประเทศไทยช่วงก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง  รูปภาพ 1 : แสดงถึงอัตราการเติบโตของ GDP ในเวียดนามรายไตรมาส ที่มา : Trading Economics . ภาพรวมเศรษฐกิจเวียดนาม อัตราการเติบโตของ GDP เวียดนามในไตรมาส 3 ของปีปัจจุบัน มีอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 2 ปี โดยอยู่ที่ 7.4% โดยมีปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก ซึ่ง GDP ของเวียดนามในอดีตเคยน้อยกว่าไทยถึง 3 เท่า แต่ในปัจจุบัน GDP ของเวียดนามเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเทียบเท่ากับ 85% ของ GDP ไทย บ่งบอกถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ที่เริ่มไล่ตามหลังไทยมาอย่างต่อเนื่อง  รูปภาพ 2 : แสดงถึงมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศ ที่มา : Food and Agriculture Organization of the United Nation   . การลงทุนจากต่างประเทศในเวียดนาม เมื่อมองในภาพรวมจะเห็นว่ามูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศของเวียดนามมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเวียดนามในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ อีกทั้งข้อได้เปรียบในด้าน FTA ของเวียดนามที่มีจำนวนมากและผ่านการวางรากฐานการพัฒนามาอย่างดี ยิ่งช่วยส่งเสริมให้การลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในเวียดนามมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีทั้งการลงทุนและร่วมทุนในเวียดนาม โดยมีบริษัทมากถึง 116 บริษัทไทยที่ได้เข้าไปลงทุน อีกทั้งภายในปีหน้าเวียดนามก็มีโอกาสที่จะได้เข้า FTSE ซึ่งสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น   . การผลักดันเศรษฐกิจเวียดนามจากภาคอุตสาหกรรม ภายหลังจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของเวียดนามที่ออกจากกรอบการพึ่งพารายได้จากภาคเกษตรกรรมที่สูง โดยสนับสนุนให้ประเทศมีการขยายตัวและมีรายได้จากภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ช่วยดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามมากขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว อีกทั้งต้นทุนที่ถูกและแรงงานที่มีประสิทธิภาพ ยังช่วยผลักดันให้ต่างชาติสนใจลงทุนในเวียดนามมากขึ้นอีกด้วย   . การลงทุนจากไทยประเทศไทย ข้อมูลในปี 2561 พบว่ามีบริษัทในประเทศไทยมากถึง 116 บริษัทที่มีการลงทุนและร่วมทุนในประเทศเวียดนาม โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต 59 บริษัท  กลุ่มการเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรประมง 18 บริษัท และกลุ่มธุรกิจบริการ 39 บริษัท โดยมีบริษัทใหญ่ๆอย่าง SCG PTT และ CPall …

พามาเบิ่ง🇻🇳ทำไมเวียดนามถึงน่าลงทุนในมุมมองของต่างชาติ อ่านเพิ่มเติม »

“ซิ่ง แซบ ม่วน” เที่ยวปีใหม่ ปลอดภัย ไม่ต้องเจอด่าน🚨👮 กลับมาอีกครั้ง🚌ททท.ขอนแก่น x บัสซิ่ง🚍 เปิดวิ่งรถบัส ฟรี!

“ซิ่ง แซบ ม่วน” เที่ยวปีใหม่ ปลอดภัย ไม่ต้องเจอด่าน🚨👮 กลับมาอีกครั้ง🚌ททท.ขอนแก่น x บัสซิ่ง🚍 เปิดวิ่งรถบัส ฟรี! FREE BUS กลับมาแล้วพี่น้อง! นั่งบัสซิ่งไปม่วนงานปลาร้าหมอลำ พร้อมเที่ยวงานปีใหม่ขอนแก่นกันเด้อ . ปลาร้า หมอรำ Isan To The World จัดเต็มความซิ่ง แซบ ม่วน ครบจบในงานเดียว พร้อมกิจกรรมพิเศษ ขอนแก่นซิตี้บัส ร่วมกับ ททท.สำนักงานขอนแก่น TAT Khonkaen Fanpage จัดรถบัสฟรี พร้อมแสดงหมอลำ On The Bus จากศิลปินอีสาน และยังมีกิจกรรมเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมสนุกลุ้นของรางวัลกันอีกด้วย . FREE BUS ให้บริการตั้งแต่ 26 ธ.ค. 67 – 1 ม.ค. 68 เวลา 16:30 – 22:30 น. ( พิเศษ คืนวันเคาท์ดาวน์ มีรถให้บริการถึง 02:00 น.) . ปักหมุดเส้นทางเดินรถไว้เลย ⎯ บขส. 1 (Park & Go) ⎯ เฮือนโบราณ ⎯ ถนนกลางเมือง ⎯ บขส. 2 (ปรับอากาศ) (Park & Go) ⎯ พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ (Park & Go) ⎯ ขอนแก่น อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ ⎯ ศาลหลักเมือง ⎯ Pullman Khon Kaen ⎯ สถานีรถไฟ (Park & Go) ⎯ ตลาดต้นตาล (Park & Go) ⎯ เซ็นทรัล ขอนแก่น (Park & Go) . ม่วนกับหมอลำ On The Bus แล้วถ่ายภาพหรือวิดีโอโพสต์ลง Social Media พร้อมติดแฮชแท็ก #PlaraMorlam24 #ISANToTheWorld #ประเพณีสีอีสาน #ประเพณีสีอีสานวิถีแห่งศรัทธา ใครที่ได้ยอดไลค์ ยอดแชร์สูงสุด ลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษจาก ททท.ขอนแก่น …

“ซิ่ง แซบ ม่วน” เที่ยวปีใหม่ ปลอดภัย ไม่ต้องเจอด่าน🚨👮 กลับมาอีกครั้ง🚌ททท.ขอนแก่น x บัสซิ่ง🚍 เปิดวิ่งรถบัส ฟรี! อ่านเพิ่มเติม »

การเลือกเอเจนซี่การตลาดในประเทศไทย เลือกเอเจนซี่ใหญ่หรือเล็กดี

  การเลือกเอเจนซี่การตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบางเอเจนซี่จะเหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่บางแห่งจะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดของเอเจนซี่ก็มีผลต่อการทำงาน เช่น ทรัพยากรที่ใช้ ทีมงาน และขั้นตอนการทำงาน ไม่ว่าคุณกำลังมาหา เอเจนซี่รับทำ SEO ยิงแอดเฟสบุค หรือเอเจนซี่ด้านไหนก็ตาม การเลือกเอเจนซี่ที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำงานร่วมกันราบรื่นและทำให้ธุรกิจเติบโตได้ดีขึ้น ในบทความนี้เราจะพูดถึงข้อดีและข้อเสียของเอเจนซี่ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพื่อให้คุณเลือกเอเจนซี่ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด เอเจนซี่ขนาดใหญ่ เอเจนซี่ขนาดใหญ่มักจะมีทีมงานที่หลากหลายและมีความเชี่ยวชาญในหลายด้านของการตลาด ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ การทำโฆษณาออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูล จนถึงการจัดการแคมเปญที่ซับซ้อน พวกเขามักจะทำงานกับลูกค้าใหญ่ๆ หรือแบรนด์ที่มีงบประมาณสูง และมักมีเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยในการทำงาน ข้อดีของเอเจนซี่ขนาดใหญ่: มีทีมงานหลากหลายและทรัพยากรที่ครบครัน เอเจนซี่ใหญ่มีทีมงานที่เชี่ยวชาญในหลายๆ ด้าน และมีเครื่องมือทันสมัยที่ช่วยให้การทำการตลาดเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค การจัดการแคมเปญที่มีหลายช่องทางเป็นต้น ซึ่งเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการกลยุทธ์การตลาดที่ซับซ้อนและครบวงจร ประสบการณ์ในการดูแลแบรนด์ใหญ่ เอเจนซี่ใหญ่มีประสบการณ์ในการทำงานกับแบรนด์ขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะต้องการกลยุทธ์ที่มีความซับซ้อนและเป็นระเบียบ เช่น การวางแผนการตลาดในระยะยาว หรือการทำแคมเปญโฆษณาที่ครอบคลุมหลายช่องทาง มีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจน การทำงานในเอเจนซี่ขนาดใหญ่มีมาตรฐานและกระบวนการทำงานที่ชัดเจน ทำให้การดำเนินการทุกขั้นตอนมีความเป็นระเบียบและไม่เสียเวลา ซึ่งเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความชัดเจนและคาดการณ์ได้ ข้อเสียของเอเจนซี่ขนาดใหญ่: ค่าใช้จ่ายสูง เอเจนซี่ขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีทรัพยากรและเครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งอาจไม่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด อาจขาดความยืดหยุ่น บางครั้งการทำงานกับเอเจนซี่ขนาดใหญ่จะมีขั้นตอนที่เป็นระเบียบและตายตัว ซึ่งอาจทำให้การปรับเปลี่ยนแคมเปญหรือกลยุทธ์ใหม่ๆ ทำได้ช้ากว่าเอเจนซี่ขนาดเล็ก บริการที่อาจไม่เน้นที่ลูกค้าแต่ละราย เอเจนซี่ใหญ่ที่มีลูกค้าหลายรายอาจไม่สามารถให้บริการที่เฉพาะเจาะจงกับธุรกิจขนาดเล็กได้เท่ากับเอเจนซี่ขนาดเล็ก เพราะพวกเขามักจะมีทีมงานที่ต้องดูแลลูกค้าหลายรายในเวลาเดียวกัน     เอเจนซี่ขนาดเล็ก เอเจนซี่ขนาดเล็กมักจะมีทีมงานที่ไม่ใหญ่ แต่เน้นให้บริการที่ใกล้ชิดและตอบสนองได้เร็วกว่า พวกเขามักจะมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ดีตามความต้องการของลูกค้า ข้อดีของเอเจนซี่ขนาดเล็ก: บริการที่ใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว หนึ่งในข้อดีที่สำคัญของเอเจนซี่ขนาดเล็กคือการให้บริการที่เป็นส่วนตัวและใกล้ชิด พวกเขาสามารถเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เร็วกว่า เพราะมีทีมงานที่ไม่มากและเน้นดูแลลูกค้าแต่ละรายอย่างใกล้ชิด ความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ เอเจนซี่ขนาดเล็กสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์หรือตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นหรือการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการเอเจนซี่ขนาดเล็กมักจะต่ำกว่า เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่สูงเหมือนเอเจนซี่ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด ข้อเสียของเอเจนซี่ขนาดเล็ก: ทรัพยากรจำกัด เอเจนซี่ขนาดเล็กอาจขาดทรัพยากรหรือเครื่องมือที่ทันสมัยในการทำการตลาด ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถทำแคมเปญที่มีความซับซ้อนได้ดีเท่าเอเจนซี่ขนาดใหญ่ ขาดประสบการณ์ในบางด้าน การทำงานกับเอเจนซี่ขนาดเล็กอาจไม่สามารถให้คำปรึกษาได้ครอบคลุมทุกด้านของการตลาด เนื่องจากพวกเขามีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญที่จำกัดในบางด้าน   เอเจนซี่ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ การเลือกเอเจนซี่การตลาดที่เหมาะสมควรพิจารณาจากขนาดของธุรกิจและวัตถุประสงค์ทางการตลาดของคุณ ธุรกิจขนาดใหญ่: หากคุณเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการกลยุทธ์การตลาดที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ เอเจนซี่ขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรและเครื่องมือครบครันจะเหมาะสม เพราะพวกเขาสามารถจัดการแคมเปญที่มีความซับซ้อนได้ ธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลาง: หากคุณเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ และค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงเกินไป เอเจนซี่ขนาดเล็กอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะพวกเขาสามารถให้บริการที่ใกล้ชิดและตอบสนองได้เร็ว ท้ายที่สุด การเลือกเอเจนซี่การตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณจะช่วยให้คุณสามารถดำเนินกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและผลักดันธุรกิจของคุณไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการติดต่อปรึกษากับเอเจนซี่ที่คุณสนใจ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญของพวกเขาในด้านที่คุณต้องการ และเพื่อดูว่ากระบวนการทำงานของเอเจนซี่นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าแนวทางการทำงานและบริการของพวกเขาตรงกับความต้องการและเป้าหมายของธุรกิจคุณหรือไม่ หากคุณกำลังมองหาเอเจนซี่การตลาดที่น่าไว้วางใจในประเทศไทย และมีประสบการณ์ในการทำการตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กอย่างประสบความสำเร็จ ขอแนะนำให้ลองปรึกษากับ IBEX เอเจนซี่ที่ให้บริการด้าน SEO ในกรุงเทพ ที่นี่เป็นเอเจนซี่ขนาดกลางๆที่มีความสามารถในการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะขนาดไหน ทีมงานที่ IBEX พร้อมให้คำปรึกษาและพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของคุณอย่างตรงจุด ปรึกษาได้ที่ https://www.ibex.co.th/

“จังหวัดสนุก” เสน่ห์สีสันแห่งศรัทธา งามอลังการงานแห่ดาว

ตื่นตางานแห่ดาว “จังหวัดสนุก” เสน่ห์สีสันแห่งศรัทธา💗 ประเพณีสีสนุก สีสันเทศกาลแห่ดาว✨️Magical of Songkhon ททท.ชวนชมความสวยงามตระการตาของเทศกาลแห่ดาวอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนชาวคริสต์ใน 3 จังหวัดสนุก คือ สกลนคร มุกดาหาร และนครพนม ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ระหว่างวันที่ 20-27 ธ.ค.67 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท) สำนักงานนครพนม ชวนเที่ยวงานเทศกาลแห่ดาวคริสต์มาสกลุ่มจังหวัดสนุก (สกลนคร มุกดาหาร นครพนม) ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 20 – 27 ธันวาคม 2567 โดยกำหนดจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลที่เต็มไปด้วยความรื่นเริงและความสุข เพื่อเฉลิมฉลองการบังเกิดมาของพระเยซูเจ้า ระลึกถึงและแสดงถึงความเชื่อความศรัทธา ของการส่งมอบความสุข ความรื่นเริง ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตชนในช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยพื้นที่กลุ่มจังหวัดสนุกเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ศาสนาและความเชื่อ อยู่หลอมรวมกันอย่างกลมกลืนกลายเป็นเส้นทางแห่งศรัทธา 2 ศาสนา ที่ลงตัว สวยงาม เปี่ยมไปด้วยศรัทธา ทั้งการแห่ดาวบนบก และการแห่ดาวในดาวน้ำ ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สกลนคร -งานเทศกาลแห่ดาวคริสต์มาสจังหวัดสกลนคร ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 20 – 26 ธันวาคม 2567  พบกับกิจกรรมภายในงานดังนี้ • วันที่ 20 ธันวาคม 2567 : ชม ชิม ช้อป แชะ สินค้าและอาหาร ชมโบราณสถาน ของหมู่บ้านคริสต์ ที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี ชมดนตรีวาไรตี้ ณ ถนนคนเดินชมดาวรอบอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลท่า หมู่บ้านท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร • วันที่ 21 ธันวาคม 2567 : ท่าแร่แล่นเด้อ Night Color Run 2024 ณ หมู่บ้านท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร • วันที่ 22 ธันวาคม 2567 : สีสันแห่งหนองหาร” การแห่ดาวทางน้ำ การแสดงแสง สี เสียง การแสดงละครประวัติบ้านท่าแร่ ณ สวนสาธารณะดอนเกิน หมู่บ้านท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร งานแห่ดาว ชุมชนท่าแร่ จ.สกลรคร • Highlight วันที่ 23 ธันวาคม 2567 : เวลา 18.00 น. มหัศจรรย์แห่งดวงดาว สุกสกาวความสุข” …

“จังหวัดสนุก” เสน่ห์สีสันแห่งศรัทธา งามอลังการงานแห่ดาว อ่านเพิ่มเติม »

หาได้ไม่พอจ่าย เเถมเสี่ยงส่งต่อหนี้เป็นมรดก เผยเหตุปัจจัยฉุดกําลังซื้อคนอีสานตํ่าสุดในประเทศ

ภาคอีสานถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีประชากรมากที่สุดและมีการพึ่งพาเศรษฐกิจฐานรากเป็นหลัก ทั้งด้านการเกษตร การบริโภคภายในประเทศ ข้อมูลจากธนาคารเเห่งประเทศไทย เผยดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index : PCI) ของประเทศไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและอยู่เหนือระดับก่อนโควิด-19 แล้ว ขณะที่ การบริโภคภาคเอกชนของภูมิภาคค่อย ๆ ฟื้นตัวและยังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 โดยภาคอีสานฟื้นตัวช้ากว่าทุกภูมิภาค โดยการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3 ในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากการใช้จ่ายสินค้า ประเภทกึ่งคงทนและคงทนที่มีแนวโน้มลดลง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง    การบริโภคภาคเอกชนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอีสาน เป็นตัวชี้ทิศทางการอุปโภคบริโภคหรือการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ภาคธุรกิจ และรวมถึงการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งแสดงถึงกำลังซื้อโดยรวมของภาคเอกชน  หากการบริโภคลดลงย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนก็เป็นอีกภาพสะท้อนหนึ่งที่เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าคนในพื้นที่นั้นมีเงินสําหรับการจับจ่ายใช้สอยมากเเค่ไหน ดังเช่นนั้นหากจะสํารวจหรือกล่าวถึงเหตุปัจจัยที่มีผลต่อกำลังซื้อคนอีสานในช่วงที่ผ่านมาและสร้างแรงกดดันต่อการบริโภคของคนอีสาน มีความสําคัญเเละจําเป็นที่ต้องคํานึงเเละพิจารณาถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภาคอีสาน    รายได้   ทราบหรือไม่ว่ากว่า  58%  ของครัวเรือนในภาคอีสานนั้นอยู่ในภาคการเกษตร เเละมีโครงสร้างของกําลังเเรงงานเเละเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้อง โดยมีเเรงงานอยู่ในภาคเกษตรเกินครึ่งเเต่กลับสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เพียงเเค่  1 ใน 5 ของมูลค่าเศรษฐกิจในภูมิภาค  เเละทราบหรือไม่ว่าอาชีพเกษตกรกลับเป็นกลุ่มอาชีพที่มีคนอยากจนมากที่สุดหากใช้เส้นความยากจนเป็นเกณฆ์โดย 10.62% ของเกษตกรเป็นคนยากจน ซึ่งสูงกว่า สัดส่วนเฉลี่ยของประเทศที่ 4.54% เป็นเท่าตัว   ปัญหาความยากจนดังกล่าวมีสาเหตุมาจากรายได้การเกษตรที่ต่ำ โดยเกษตกรมีรายได้เฉลี่ยจากการเกษตรเพียง 233.61 บาท/วัน ซึ่งตํ่ากว่าค่าเเรงขั้นตํ่าของจังหวัดที่มีค่าเเรงขั้นตํ่าที่สุด ซึ่งอยู่ที่ 332  บาท/วัน นอกจากรายได้น้อยการผลิตยังมีประสิทธิภาพต่ำ จากข้อมูลขององค์การเเรงงานระหว่างประเทศ ประสิทธิภาพการผลิตของเเรงงานภาคเกษตร(รายวัน) เกษตรกรไทยผลิตได้เพียง 8.74 ดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเเละเเปซิฟิกเป็นเท่าตัว เท่ากับว่าลงเเรงมากเเต่ได้ผลน้อย    โดยระดับรายได้ของเกษตกรที่น้อยเช่นนี้มิได้เกิดจากความขี้เกียจ หรือไร้สมรรถนะของเกษตรกรไปซะทีเดียว เเต่ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ราคาผลผลิตตํ่าเเละผันผวน เกษตกรกําหนดเองไม่ได้   เนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรเน่าเสียได้ง่าย และเกษตรกรมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าพ่อค้าคนกลาง เกษตรกรจึงมักถูกบีบให้ขายผลผลิตในราคาต่ำ เกษตรกรต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนในการทำเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  โดยเฉพาะในครัวเรือนที่ปลูกข้าวและมันสำปะหลัง ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นน้อยกว่าต้นทุน การทําการเกษตรมีต้นทุนเเละความเสี่ยงสูง เช่น ด้านความเสี่ยงจากสภาพอากาศ โดยในภาคอีสานมีพื้นที่ชลประทานเพียงร้อยละ 7.8 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด  จึงต้องพึ่งพิงน้ำฝนเป็นหลักเมื่อสภาพภูมิอากาศแปรปรวนย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตและรายได้เกษตรกรที่จะนำไปใช้เพื่อการบริโภค  รายได้หลักที่มาจากเกษตรกรรมจึงมีความผันผวน ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศพึ่งพาฟ้าฝนเป็นหลัก ในช่วงก่อนโควิด-19 ขนาดเศรษฐกิจ (GRP) และรายได้ต่อหัวเฉลี่ย (GRP per capita) ของอีสานมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3 และร้อยละ 4 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่รายได้ครัวเรือนเติบโตเพียงร้อยละ 1 ต่อปีเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอีสานส่งผ่านมาที่รายได้ครัวเรือนอีสานเพียงเล็กน้อย ทำให้ครัวเรือนอีสานในปัจจุบันมีรายได้สำหรับนำไปใช้จ่ายอย่างจำกัด สะท้อนจากรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยของอีสานที่ต่ำที่สุดในประเทศเพียง 181,231 บาทต่อครัวเรือนต่อปี อีกทั้งสัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยในปี 2566 ในภาคอีสานที่อยู่ที่ 67 %เเทบจะไม่เปลี่ยนเเปลงไปจากอดีตเมื่อ 10 ปีก่อน  และจำนวนคนฐานะยากจนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนมากที่สุด ที่อีสานมีมากถึง 277,875 คน หรือร้อยละ …

หาได้ไม่พอจ่าย เเถมเสี่ยงส่งต่อหนี้เป็นมรดก เผยเหตุปัจจัยฉุดกําลังซื้อคนอีสานตํ่าสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

ภาษีมูลค่าเพิ่มกับประเทศไทย ของแสลงคนไทย รายได้หลักรัฐบาล

“บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอนนอกจากความตายและภาษี” – Benjamin Franklin, 1789 – จากส่วนหนึ่งของประโยค “Our new Constitution is now established, everything seems to promise it will be durable; but, in this world, nothing is certain except death and taxes.” ประโยคดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของจดหมายที่เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) เขียนถึงฌอง-บัปติสต์ เลอรัว (Jean-Baptiste Le Roy) ในปี ค.ศ. 1789 สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเชิงปรัชญาเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของชีวิตและข้อเท็จจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลก ซึ่งก็คือ “ความตาย” และ “ภาษี” และยังคงสะท้อนถึงความจริงที่ยังคงเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน   แต่สำหรับกรณีประเทศไทยนั้นภาษีนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นของแสลงต่อกัน ที่หลายคนมีความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีอย่างสุดความสามารถ ขณะที่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ทำตามระบบอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดและโดนเรียกภาษีย้อนหลังซึ่งถือเป็นฝันร้ายสำหรับใครหลายๆ คน   จากกรณีในช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมาที่มีการรายงานข่าวว่ารัฐบาลกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยเป็น 15% จากปัจจุบันที่มีการบังคับใช้อยู่ที่ 7% จึงทำให้เกิดข้อโต้แย้งและการตั้งคำถามว่าการที่คิดจะปรับภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัวนั้นเหมาะสมแล้วจริงๆหรือ? หากดูจากสถานการณ์ปัจจุบันของไทยนั้นควรจะทำหรือไม่? ซึ่งในทุกครั้งที่ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ตามมีการพูดถึงการปรับขึ้น หรือการไม่ต่อพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเกิดการตั้งคำถามทุกครั้งว่าเหมาะสมแล้วหรือยัง?   ทำไมภาษีจึงสำคัญ? แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้นที่สำคัญ แต่ภาษีทุกตัวล้วนมีความสำคัญต่อประเทศทั้งหมด เพราะเงินภาษีที่ได้มากจากประชาชนนั้นจะเป็นแหล่งงบประมาณของรัฐบาลในปีงบประมาณต่อไป ซึ่งหากเงินภาษีที่เก็บมาได้นั้นไม่เพียงพอต่องบประมาณจะทำให้รัฐบาลต้องไปกู้เงินจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมาเป็นงบประมาณของรัฐบาลในปีนั้นๆ หากดูสัดส่วนรายได้จากภาษีของไทยจะพบว่ารายได้หลักของรัฐบาลที่มีสัดส่วนมากที่สุด 5 อันดับแรก ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2535 จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งมีสัดส่วนเฉลี่ย 25% ของรายได้ทั้งหมดต่อปี ภาษีเงินได้นิติบุคคล 20.8% ต่อปี ภาษีสรรพสามิต 18.6% ต่อปี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 11.3% ต่อปี และภาษีศุลกากร 7.5% ต่อปี ขณะที่รายได้จากแหล่งอื่น ๆ รวมกันคิดเป็น 16.7% ของรายได้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าภาษีมูลค่าเพิ่มถือเป็นรายได้ที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล โดยมีสัดส่วนสูงสุดต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มได้ถึง 947,320 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้ที่สามารถจัดเก็บได้ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มคาดว่าจะยังคงอยู่ที่ประมาณ 30% ของรายได้ทั้งหมด รูปที่ 1: สัดส่วนการจัดเก็บรายได้รัฐบาล ปีงบประมาณ 2533 – 2567 ที่มา: ส่วนนโยบายรายได้ …

ภาษีมูลค่าเพิ่มกับประเทศไทย ของแสลงคนไทย รายได้หลักรัฐบาล อ่านเพิ่มเติม »

ยโสธรเมืองพญาแถน แดนบั้งไฟ ผลักดันเทศกาลไทย ไปนานาชาติ

ยโสธร จังหวัดที่ถือได้ว่าได้กลายเป็น “ภาพจำแห่งวิถีชีวิตอีสาน” ในสายตาคนทั่วไป ซึ่งหากพูดถึงยโสธร หลายคนคงนึกถึงนากว้างใหญ่เขียวขจีและวัฒนธรรมอีสานดั้งเดิม ซึ่งได้ถูกสะท้อนออกมาจากภาพยนต์ไทยระดับตำนานอย่าง “แหยม ยโสธร” จนกลายเป็นภาพจำ โดยบทความนี้ อีสาน อินไซต์ สิพามาสำรวจถึง เศรษฐกิจ สังคม และประเด็นที่น่าสนใจว่า “บั้งไฟเมืองยโส” ถึงได้ดังไกลระดับนานาชาติจริงหรือ?   จังหวัดยโสธร เป็นจังหวัดเล็กๆอยู่ในอีสานตอนกลาง มีเนื้อที่ 4,161.664 ไร่ หรือ 2,601,040.0 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 17 ของภาค ประกอบด้วย 9 อำเภอ 78 ตำบล และ 885 หมู่บ้าน ซึ่งลักษณะพื้นที่ของจังหวัดจะมีลักษณะโดดเด่นคล้ายกับรูปพระจันทร์เสี้ยว โดยยโสธรมีอาณาเขตติดกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดร้อยเอ็ดและมุกดาหาร ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดอำนาจเจริญและอุบลราชธานี ทิศใต้ ติดกับจังหวัดศรีสะเกษ ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดร้อยเอ็ด ที่มารูปภาพ:https://www2.yasothon.go.th/general-information/   ด้านประชากร ในปี 2566 จังหวัดยโสธรมีประชากรประมาณ 528,878 คน ซึ่งประชากรในจังหวัดมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องทุกๆปี และมีประชากรผู้สูงอายุ 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งปัญหาด้านการลดลงของประชากรและสังคมผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับจังหวัดยโสธร ในด้านเศรษฐกิจ จังหวัดยโสธรมีมูลค่าผลิตมวลรวมจังหวัด (GPP) ปี 2565 เท่ากับ 32,468 ล้านบาท ซึ่งก็ถือว่ามีขนาดเศรษฐกิจที่ไม่ใหญ่มาก อยู่ที่อันดับ 16 ของภาค มีรายได้ต่อหัวของคนในจังหวัดเท่ากับ 72,523 บาท โดยมีมูลค่าและสัดส่วนภาคเศรษฐกิจหลักๆ ดังนี้ สาขาเกษตรกรรม 8,218 ล้านบาท (25%) สาขาการศึกษา 4,654 ล้านบาท (14%) สาขาการผลิตอุตสาหกรรม 4,381 ล้านบาท (13%) สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์และจักรยานยนต์ 3,588 ล้านบาท (11%)   จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจจังหวัดยโสธรพึ่งพาการทำการเกษตรเป็นหลัก โดยมีพื้นที่ทำการเกษตรกว่า 1,824,765 ไร่ หรือประมาณ 70% ของพื้นที่จังหวัด โดยมีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ซึ่งมีพื้นที่นาข้าวเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของพื้นที่จังหวัด โดยปี 2566 มีผลผลิตข้าวนาปีและนาปรังรวมกันกว่า 622,232 ตัน พืชเศรษฐกิจอื่นๆ ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน เป็นต้น ในด้านการเลี้ยงปศุสัตว์ในพื้นที่ยโสธร มีการเลี้ยง โคเนื้อ กระบือ สุกร ไก่ เป็ดและแพะ เป็นต้น โดยในปี 2565 …

ยโสธรเมืองพญาแถน แดนบั้งไฟ ผลักดันเทศกาลไทย ไปนานาชาติ อ่านเพิ่มเติม »

คนไทย🇹🇭 มีลูกน้อยลง นักประชากรศาสตร์ เผย คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30%

สถิติโลกเผย ประเทศไทยติด TOP3 อัตราการเกิดต่ำลงสุดในโลก ลดลงมากถึง 81% ในรอบ 74 ปีที่ผ่านมา แซงหน้าประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อย ปัญหาการลดลงของประชากร เป็นปัญหาที่ทั่วโลกต้องเจอ เนื่องด้วยเศรษฐกิจ มลภาวะ สภาพแวดล้อมต่างๆ ไม่เอื้อให้คนอยากมีลูก ล่าสุด Global Statistics ได้ออกมาเปิดสถิติการเกิดของประเทศต่างๆในโลก โดยพบว่า ประเทศไทย มีอัตราการเกิดต่ำอยู่ในอันดับ 3 จาก 80 ประเทศทั่วโลก ลดลงมากถึง 81% Global Statistics ทำการดึงข้อมูลมาจาก United Nations Population Division (UNPD) และรวบรวมตั้งแต่ปี 1950-2024 ซึ่งประเทศไทยอัตราการเกิดลดลงถึง 81% ในช่วง 74 ปีที่ผ่านมา โดย 5 อันดับแรก คือ ประเทศ เกาหลีใต้ (88%), จีน (83%), ไทย (81%), ญี่ปุ่น (80%), และ อิหร่าน (75%) ทำให้ชาวเน็ตส่วนหนึ่งวิเคราะห์อันดับการเกิดที่ลงจากประเทศที่ติดอันดับ TOP5 พบว่าหลายประเทศมีความชายเป็นใหญ่ มีกรอบกดทับเพศหญิงเยอะ หรือบางประเทศก็มีปัญหาเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ ประกอบกับหลายคนให้ความเห็นว่าอาจจะเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสุขภาพของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับมลภาวะและอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ส่งผลต่อร่างกาย 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นคนโสด นอกจากคนโสดจะมีมากขึ้น แต่แนวโน้มของครอบครัวก็มีขนาดลดลง และเป็นครอบครัวที่ไม่มีบุตรมากขึ้น ทั้งด้วยภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือปัจจัยอื่นๆ ซึ่งสามารถอ่านต่อได้ที่บทความที่แนบด้านล่างนี้ คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30% #โลกในขณะที่ประชากรโลกกำลังเพิ่มช้าลง จำนวนและสัดส่วนของประชากรสูงอายุกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปี พ.ศ.2565 ทั่วทั้งโลกมีประชากรสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากถึง 1,109 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรโลก 8,000 ล้านคน . #อาเซียน ในปี พ.ศ.2565 มี 7 ใน 10 ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” ที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่าร้อยละ 10 เหลือเพียง 3 ประเทศได้แก่ลาวกัมพูชาและฟิลิปปินส์เท่านั้นที่ยังไม่เป็นสังคมผู้สูงอายุ . #ประเทศไทย  ปี 2564 เป็นครั้งแรกที่อัตราการเกิดของเด็กไทยต่ำกว่าอัตราการตาย และอัตราการเกิดมีเเนวโน้มลดลงในทุกๆ ปีเเละคาดการณ์ว่าจะลดลงโดยไม่มีทีท่าจะเพิ่มขึ้น ผนวกกับอัตราการตายที่ลดลง ทำให้อัตราการเปลี่ยนเเปลงของประชากรตามธรรมชาติมีเเนวโน้มลดลงตามไปด้วย ซึ่งการที่อัตราการเปลี่ยนเเปลงของประชากรตามธรรมชาตินี้ลดลง ทำให้ประชากรในอนาคตจะมีอายุเฉลี่ยที่มากขึ้นเรื่อยๆ . จากวิถีชีวิตของหนุ่มสาวที่เปลี่ยนไป …

คนไทย🇹🇭 มีลูกน้อยลง นักประชากรศาสตร์ เผย คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30% อ่านเพิ่มเติม »

กาฬสินธุ์ ถิ่นน้ำดำจากจังหวัดที่ยากจน สู่จังหวัดที่เติบโตด้านการท่องเที่ยว✈️ และลงทุนจากจีนอันดับ 2 ของภาคอีสาน

กาฬสินธุ์ถิ่นน้ำดำ แดนไดโนเสาร์  . .     จังหวัดกาฬสินธุ์อีกหนึ่งจังหวัดในภาคอีสานที่มีธรรมชาติ ศิลปะ และ วัฒนธรรมที่สวยงาม และ เป็นจังหวัดที่มีการค้นพบ ฟอลซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์อย่าง ไดโนเสาร์ เป็นที่แรกของประเทศไทย อีกด้วยที่มีการค้นพบและปัจจุบันก็ยังมีการค้นพบอยู่ และอีกอย่างที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือความสวยงามของจังหวัดกาฬสินธุ์ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ท่องเที่ยว หรือ ธรรมชาติที่สวยงามของกาฬสินธุ์ และ ปัจจุบันได้มีการลงทุนจากภายนอกอีกด้วย  . แล้วทำไมจังหวัดกาฬสินธุ์ของเราถึงเป็นอีกหนึ่งในที่ลงทุนจากภายนอกล่ะแล้วมันมีโอกาสการเติบโตมากแค่ไหน อีสานอินไซต์จะพามาเบิ่ง . 1.โครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัด กาฬสินธุ์              จังหวัดกาฬสินธุ์มีขนาดพื้นที่ 6,947 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 968,465 คน และในปี 2564 จังหวัดกาฬสินธุ์ขนาดเศรษฐกิจของจังหวัด อยู่ที่ 60,997 ล้านบาท และรายได้ต่อหัวของจังหวัดอยู่ที่ 77,397 บาท . มีโครงสร้างเศรษฐกิจและธุรกิจ SME ดังนี้ -ภาคบริการ คิดเป็น 43% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหารมีผู้ประกอบการอยู่ 3,051 ราย -ภาคการเกษตร คิดเป็น 26% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การเลี้ยงโคนมและโคเนื้อ มีผู้ประกอบการอยู่ 364 ราย -ภาคการผลิต คิดเป็น 20% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การทอผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ   มีผู้ประกอบการอยู่ 4,791ราย  -ภาคการค้า คิดเป็น 12% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การขายปลีกสินค้าในร้านค้าทั่วไป มีผู้ประกอบการอยู่ 4,687 ราย  สินค้า GI ของจังหวัด ได้แก่ ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ ข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์ และพุทรานมบ้านโพน . . จากโครงสร้างเศรษฐกิจพบว่า GPP ของจังหวัดกาฬสินธุ์นั้น มีความคงที่ ไม่ได้มีการเติบโตขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่อันดับ 12  ของภูมิภาค มาตลอด แม้กระทั่งในปี 2565 ที่ผ่านมาเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้รายได้ต่อหัว (GPP Per capita) มีอันดับที่คงที่เช่นกัน อยู่ในอันดับที่12 ของภูมิภาค  และถ้าเราลองวิเคราะห์ต่อไปยัง รายได้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี แล้วยังมีค่าครองชีพที่ต่ำที่สุดในกลุ่มจังหวัด “ร้อยแก่นสารสินธุ์” . แต่ยังมีข้อสังเกต คือ กาฬสินธุ์ยังมีความเจริญที่กระจุกตัวในตัวอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ โดยหากดูเฉพาะข้อมูลของจำนวนเงินฝากในธนาคารทั้งจังหวัดเราจะพบว่าอำเภอเมืองกาฬสินธุ์มีจำนวนเงินฝากกว่า 1.6 หมื่นล้าน หรือคิดเป็น 89.2% …

กาฬสินธุ์ ถิ่นน้ำดำจากจังหวัดที่ยากจน สู่จังหวัดที่เติบโตด้านการท่องเที่ยว✈️ และลงทุนจากจีนอันดับ 2 ของภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top