Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

🇹🇭ไทยเที่ยวจีนแต่🇨🇳จีนไม่เที่ยวไทย ผ่านมา ปีครึ่ง “ฟรีวีซ่า ไทย-จีน” นนท.ไม่เพิ่ม การท่องเที่ยวปี 68 หดตัว

ตั้งแต่ มีนาคม 2567 เป็นต้นมา มาตรการ ฟรีวีซ่า ไทย-จีน เป็นผลดีมากน้อยเพียงใด เวลาอาจเป็นเครื่องพิสูจน์ และยังเป็นการเน้นย้ำว่า มาตรการเดียวอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาการท่องเที่ยวไทยได้ทั้งหมด ISAN Insight พามาเบิ่ง ข้อมูลด้านธุรกิจและเศรษฐกิจ ที่รวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว “ไทย-จีน” หลังนโยบายฟรีวีซ่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจและมีข้อมูลล่าสุดที่ควรนำมาวิเคราะห์ดังนี้   “ฟรีวีซ่า ไทย-จีน” นทท.ไม่เพิ่มจริงหรือ?   ข้อมูลล่าสุดปี 2568 ชี้ว่า แม้จะมีนโยบายฟรีวีซ่าถาวรระหว่างไทยกับจีนที่เริ่มต้นเมื่อเดือนมีนาคม 2567 แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทย ไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ก้าวกระโดดอย่างที่คาดหวังไว้แต่แรก จำนวนนักท่องเที่ยวจีน: ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยประมาณ 4-5 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ฟื้นตัวได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงก่อนนโยบายฟรีวีซ่า แต่ยังไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 8 ล้านคนภายในสิ้นปี [1] แรงกดดันจากเศรษฐกิจจีน: ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของจีน เช่น ภาวะเงินฝืด และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง ทำให้ชาวจีนชะลอการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวต่างประเทศลง ประกอบกับสายการบินระหว่างไทย-จีนยังไม่กลับมาให้บริการอย่างเต็มที่เท่าช่วงก่อนโควิด-19 และราคาตั๋วเครื่องบินที่ยังคงสูง [2] ทำให้ปัจจัยเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีน   “ไทยเที่ยวจีนแต่จีนไม่เที่ยวไทย” – สถิติอัปเดตปี 2568   ข้อมูลล่าสุดจากปี 2568 ชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ และตลาดจีนซึ่งเคยเป็นตลาดอันดับหนึ่งก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่   สถานการณ์ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยปี 2568   จำนวนนักท่องเที่ยวหดตัว: ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ตลอดปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยจะอยู่ที่ประมาณ 32.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการ หดตัว 9% จากปี 2567 [3] 10 อันดับแรกนักท่องเที่ยวต่างชาติ (8 เดือนแรกปี 2568): จีน: 3,096,017 คน มาเลเซีย: 3,049,961 คน อินเดีย: 1,563,806 คน รัสเซีย: 1,195,430 คน เกาหลีใต้: 1,036,361 คน ญี่ปุ่น: 712,158 คน สหราชอาณาจักร: 708,929 คน สหรัฐ: 692,212 คน ไต้หวัน: 672,067 คน ลาว: 630,051 คน [4] แม้จีนจะยังครองอันดับหนึ่ง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน ลดลงกว่า 34.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน [5] ขณะที่นักท่องเที่ยวจากตลาดอื่น ๆ เช่น ยุโรป, เอเชียใต้ (อินเดีย), และตะวันออกกลาง […]

🇹🇭ไทยเที่ยวจีนแต่🇨🇳จีนไม่เที่ยวไทย ผ่านมา ปีครึ่ง “ฟรีวีซ่า ไทย-จีน” นนท.ไม่เพิ่ม การท่องเที่ยวปี 68 หดตัว อ่านเพิ่มเติม »

เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน

ไทม์ไลน์ข่าว: ธนาคารอายัดบัญชีมั่วและมาตรการสกัดกั้นภัยทางการเงิน มาตรการจำกัดวงเงินโอนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวข้องโดยตรงกับข่าวการอายัดบัญชีมั่ว เนื่องจากทั้งสองเรื่องเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของภาครัฐและสถาบันการเงินในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน โดยเฉพาะ “บัญชีม้า” ที่ใช้ในการหลอกลวงประชาชน จุดเริ่มต้น: มาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากความพยายามของภาครัฐในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ที่ใช้ “บัญชีม้า” เป็นเครื่องมือในการรับและโอนเงินเพื่อฟอกเงิน ซึ่งนำไปสู่การออกกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง มีนาคม 2566: มีการประกาศใช้ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 [1] โดยมีสาระสำคัญคือ การให้สถาบันการเงินสามารถระงับการทำธุรกรรมหรืออายัดบัญชีได้ทันที หากมีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตุลาคม 2566: ธปท. ร่วมกับสถาบันการเงิน จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (ศปปง.) หรือที่เรียกว่าศูนย์ AOC (Anti-Online Scam Operation Center) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานระหว่างธนาคารและตำรวจ ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ มกราคม 2567: เริ่มมีประชาชนร้องเรียนมากขึ้นว่าบัญชีธนาคารถูกอายัดอย่างไม่เป็นธรรม โดยส่วนใหญ่เป็นกรณีที่โอนเงินหรือรับโอนเงินจากบุคคลที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า แม้ว่าตัวเองจะไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดก็ตาม [2] เมษายน 2567: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาชี้แจงว่า ธนาคารมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องอายัดบัญชีที่มีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ และยืนยันว่าการอายัดไม่ได้เป็นไปอย่าง “มั่วซั่ว” แต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดไว้ [3] อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนยังคงยืนยันว่ากระบวนการไม่โปร่งใสและขาดการตรวจสอบที่รัดกุมก่อนจะอายัด พฤษภาคม 2568: ปัญหาลุกลามจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างบนโลกออนไลน์ เมื่อมีข่าวว่ามีประชาชนหลายรายที่ได้รับผลกระทบจากการที่ บัญชีธนาคารถูกอายัดจาก “บัญชีม้า” ที่เป็นเครือข่ายยาว โดยอาจมีการโอนเงินที่เชื่อมโยงกันเป็นทอด ๆ ทำให้บัญชีของผู้บริสุทธิ์ถูกอายัดไปด้วย ทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็น [4] สิงหาคม 2568: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการใหม่เพื่อป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกให้โอนเงิน โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จำกัดวงเงินโอนเงินสำหรับ “กลุ่มเสี่ยง” ซึ่งได้แก่ กลุ่มลูกค้าใหม่ หรือบัญชีที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยไว้ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน [5] มาตรการดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้กับทุกคน แต่จะพิจารณาจากพฤติกรรมการทำธุรกรรมของแต่ละบุคคลและแบ่งลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือ S, M, และ L ตามความเสี่ยง [6] กันยายน 2568: เกิดกระแสความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนที่กลัวว่าบัญชีของตนจะถูกอายัดไปด้วย จึงทำให้มีรายงานข่าวว่า ประชาชนจำนวนมากแห่ไปถอนเงินสดออกจากธนาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของตนได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ทำให้ธนาคารบางแห่งมีปัญหาเงินขาดมือ [7] สถานการณ์ปัจจุบัน: ผลกระทบที่ลุกลามและข้อเรียกร้อง ความเดือดร้อนของประชาชน: ปัญหาการอายัดบัญชีลุกลามจนเป็นความเดือดร้อนในวงกว้างสำหรับประชาชนผู้บริสุทธิ์หลายพันราย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และกลุ่มที่รับจ้างโอนเงิน เช่น รับโอนเงินจากผู้สูงอายุ หรือรับโอนเงินจากการขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกอายัดบัญชีโดยไม่ทันตั้งตัว ความชัดเจนของมาตรการ: แม้ว่ารัฐบาลและธนาคารจะยืนยันว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นเพื่อป้องกันอาชญากรรม แต่กระบวนการที่ขาดความรัดกุมและขาดการสื่อสารกับผู้ใช้งานอย่างทันท่วงที ทำให้มาตรการที่หวังจะแก้ปัญหา กลับสร้างปัญหาใหม่ให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ อัพเดตล่าสุด 13 กันยายน 2568 นางสาวดารณี แซ่จู

เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน อ่านเพิ่มเติม »

“หนี้กตัญญู” วังวนความสิ้นหวังของลูกชนชั้นกลาง

ในสังคมไทย คำว่า “ความกตัญญู” เป็นค่านิยมที่ได้รับการยกย่องมาอย่างยาวนาน ลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าถูกมองว่าเป็นลูกที่ดีและมีคุณธรรม แต่เมื่อค่านิยมนี้ต้องมาเผชิญกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ ภาระดังกล่าวได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “หนี้กตัญญู” หนี้นี้ต่างจากหนี้สินทั่วไป หนี้กตัญญูไม่มีสัญญาหรือดอกเบี้ย หากแต่เป็นภาระที่สังคมคาดหวังให้ลูกหลานต้องแบกรับ โดยเฉพาะ ชนชั้นกลาง ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด พวกเขามีรายได้มากพอที่จะถูกคาดหวังว่าจะดูแลพ่อแม่ได้ แต่ในความเป็นจริง รายได้เหล่านั้นต้องถูกใช้ไปกับค่าครองชีพ การผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และการลงทุนเพื่ออนาคต ทำให้คนกลุ่มนี้ตกอยู่ในสถานะ Sandwich Generation คือถูกบีบทั้งจากภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ที่อายุมากขึ้น และการดูแลลูกที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันค่านิยมเรื่อง “ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่” เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเลือกที่จะครองโสด หรือถึงจะแต่งงานก็ไม่ได้ต้องการมีบุตรเหมือนในอดีต คำถามเชิงสังคมที่มักได้ยินอย่าง “เมื่อไหร่จะมีลูก” หรือ “มีลูกไว้ให้เลี้ยงดูตอนแก่” จึงสะท้อนแรงกดดันที่ไม่สอดคล้องกับความจริงทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตรที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ผนวกกับภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวชนชั้นกลางและชนชั้นล่างที่ต้องดูแลทั้งลูกและพ่อแม่พร้อมกัน ทำให้การฝากความหวังไว้กับลูกเพียงอย่างเดียวไม่อาจถือเป็นหลักประกันที่มั่นคงได้อีกต่อไป หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้รุนแรงขึ้น คือโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีสัดส่วนถึงเกือบ 30% ของประชากรทั้งหมด ครอบครัวไทยในอดีตมีลูกหลายคนช่วยกันดูแลพ่อแม่ แต่ปัจจุบันครอบครัวมีขนาดเล็กลง ภาระทั้งหมดจึงมักตกอยู่กับลูกเพียงคนหรือสองคน ในขณะเดียวกัน คนรุ่นพ่อแม่หรือที่เรียกว่า Baby Boomer, Gen X ในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงต่ำส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเตรียมการทางการเงินเพื่อวัยเกษียณมากพอ ขาดทั้งความรู้ด้านการเงินและโอกาสในการลงทุน ทั้งนี้ยังไม่รวมในส่วนของหนี้สินต่างๆที่ได้มีการก่อไว้ทั้งในด้านของผู้ถูกเลี้ยงดู และผู้ที่จะต้องเลี้ยงดูที่จะต้องแบกรับภาระในส่วนนี้เช่นกัน เมื่อเข้าสู่วัยชราพวกเขาจึงต้องพึ่งพาลูกหลานเป็นหลัก โดยมีความเชื่อฝังแน่นว่าลูกต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการดูแลตลอดชีวิต ปัญหานี้ไม่ได้มีเพียงมิติทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีรากทางวัฒนธรรม “ความกตัญญู” ในอดีตหมายถึงการเคารพและดูแลพ่อแม่ทั้งด้านจิตใจและการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในปัจจุบันค่านิยมนี้ถูกตีค่าในเชิงการเงินมากขึ้น การให้เงิน ซื้อของแพง หรือพาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญู ขณะที่ลูกที่ไม่สามารถทำได้อาจถูกมองว่า “อกตัญญู” แม้จะดูแลพ่อแม่ในรูปแบบอื่นแล้วก็ตาม แรงกดดันนี้ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวตึงเครียด และทำให้หลายคนรู้สึกหมดหวังเพราะไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังทางสังคมได้ หากมองถึงต้นตอของปัญหา จะบอกว่า “ความกตัญญู” ที่ทำให้ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ แม้ตัวเองยังต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพจนแทบไม่พอกิน เป็นสิ่งที่ “ผิด” ก็คงไม่ถูกนัก ในขณะเดียวกัน หากจะชี้ว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ที่ทำงานมาทั้งชีวิตแต่กลับไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ยามชรา ต้องหันมาพึ่งพาลูกหลานเพียงอย่างเดียว ก็ดูจะไม่ยุติธรรมเช่นกัน หากมองให้ลึกลงไป ปัญหาแท้จริงอาจอยู่ที่ “รายได้” ของครัวเรือนที่ไม่เติบโตสอดคล้องกับ “รายจ่าย” ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า และ “ปัญหาด้านรัฐสวัสดิการ” ที่มีให้ในปัจจุบันนั้นไม่สามารถช่วยเหลือ หรือแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้ เมื่อมองในมิติแบบนี้ อาจช่วยให้เราเห็นภาพและหาข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นว่า เรื่องนี้เป็นผลสะสมจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มากกว่าจะเป็นความผิดของใครโดยตรง ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในตะวันตกอย่างยุโรปและอเมริกา การดูแลผู้สูงอายุถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จัดสวัสดิการด้านบำนาญและการรักษาพยาบาลอย่างครอบคลุม เมื่อลูกเติบโตขึ้นก็มักแยกออกไปสร้างชีวิตของตนเองตามแนวคิดครอบครัวที่เน้นความเป็นอิสระ ภาระการดูแลผู้สูงอายุจึงไม่ได้ตกอยู่กับลูกหลานโดยตรง แต่ถูกแบกรับผ่านระบบรัฐสวัสดิการที่ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวได้มาก ตรงกันข้าม ในหลายประเทศเอเชีย เช่น ไทย จีน และเกาหลี ค่านิยมที่ “ลูกต้องดูแลพ่อแม่” ฝังลึกจนกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคม การพึ่งพาลูกหลานจึงกลายเป็นกลไกหลักในการดูแลผู้สูงอายุ ยิ่งในบริบทของประเทศไทยที่ระบบสวัสดิการยังมีข้อจำกัด เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเริ่มต้นเพียง 600 บาทต่อเดือน หรือบำนาญจากประกันสังคมที่ไม่สูงพอเมื่อเทียบกับค่าครองชีพจริง (โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ค่าใช้จ่ายเกิน 7,000 บาทต่อเดือน) ช่องว่างนี้ยิ่งทำให้ครอบครัวต้องรับภาระเพิ่มขึ้น

“หนี้กตัญญู” วังวนความสิ้นหวังของลูกชนชั้นกลาง อ่านเพิ่มเติม »

สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และสัญญะทางการทูตในวันที่ สวีเดน ไร้สถานทูตในกัมพูชา

ฮู้บ่ว่าสวีเดนปิดสถานทูตที่กัมพูชาตั้งแต่ปี 64 ลดเหลือ “สำนักงานย่อย” ก่อนปิดทั้งหมดเมื่อ ปี 67 ที่ผ่านมา สวีเดนได้ดำเนินการปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 และต่อมาได้ลดระดับเป็น “สำนักงานย่อย” (Section Office) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงเทพมหานคร ล่าสุด สำนักงานย่อยดังกล่าวได้ปิดทำการและยุติการดำเนินงานอย่างถาวรไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024)   สาเหตุหลักของการปิดสถานทูต   เหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลสวีเดนตัดสินใจยุติบทบาททางการทูตในกัมพูชา มาจากการถดถอยของระบอบประชาธิปไตยและสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในกัมพูชาที่ย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 การจำกัดพื้นที่ประชาธิปไตย: รัฐบาลสวีเดนได้ระบุอย่างเป็นทางการว่า “พื้นที่ของระบอบประชาธิปไตยในกัมพูชาถูกจำกัดอย่างรุนแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” ซึ่งการกระทำดังกล่าวรวมถึงการยุบพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญ (CNRP) และการปราบปรามองค์กรภาคประชาสังคมและสื่ออิสระ ความยากลำบากในการร่วมมือ: สถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลสวีเดนมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะสานต่อความร่วมมือในระดับทวิภาคีที่กว้างขวางและใกล้ชิดกับรัฐบาลกัมพูชาได้อีกต่อไป การปรับเปลี่ยนนโยบายความช่วยเหลือ: ก่อนหน้าที่จะปิดสถานทูต สวีเดนได้ตัดสินใจยุติความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในด้านอื่นๆ แก่รัฐบาลกัมพูชา และมุ่งเน้นงบประมาณไปที่การสนับสนุนองค์กรที่ทำงานด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรมโดยตรงแทน การปิดสถานทูตจึงเป็นขั้นตอนที่สอดคล้องกับนโยบายที่เปลี่ยนไปนี้ แม้ทางการทูตจะลดระดับลง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังคงดำเนินต่อไป โดยมี สถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทางการทูตดูแลประเทศกัมพูชา   การที่สวีเดนไม่มีสถานทูตในกัมพูชาส่งผลกระทบในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านการทูต การเมือง และเศรษฐกิจในระยะยาว ส่วนความสัมพันธ์ทางการค้าในปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็มีความท้าทายเช่นกัน   ผลกระทบและภาพรวมความสัมพันธ์   ด้านการทูตและการเมือง   การส่งสัญญาณเชิงนโยบาย: การปิดสถานทูตคือการส่งสัญญาณทางการทูตที่ชัดเจนว่าสวีเดนไม่พอใจต่อสถานการณ์ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่ถดถอยในกัมพูชา ลดทอนความสัมพันธ์: แม้จะยังคงมีความสัมพันธ์ทางการทูตผ่านสถานทูตที่กรุงเทพฯ แต่การไม่มีผู้แทนระดับเอกอัครราชทูตประจำการอยู่ ย่อมลดทอนความใกล้ชิดและความรวดเร็วในการประสานงานระดับสูง ผลกระทบต่อภาคประชาสังคม: สวีเดนเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในกัมพูชา การปิดสถานทูตอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและการระดมทุนขององค์กรเหล่านี้ในระยะยาว   ด้านเศรษฐกิจและการค้า     ภาพรวม   การปิดสถานทูตไม่ได้หมายถึงการยุติความสัมพันธ์ทางการค้า แต่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนใหม่ๆ และการสนับสนุนจากภาครัฐบาล อย่างไรก็ตาม การค้าภาคเอกชนโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่อย่าง H&M และ IKEA ซึ่งมีฐานการผลิตในกัมพูชา ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไป   ดุลการค้าและมูลค่าการค้า   ข้อมูลล่าสุดจาก Observatory of Economic Complexity (OEC) ในเดือนเมษายน 2568 แสดงให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนว่า: กัมพูชาเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าอย่างมหาศาล: กัมพูชาส่งออกไปสวีเดน: 47.6 ล้านโครนาสวีเดน (SEK) กัมพูชานำเข้าจากสวีเดน: 7.82 ล้านโครนาสวีเดน (SEK) ทำให้กัมพูชามีดุลการค้าเป็นบวก 39.8 ล้านโครนาสวีเดน แนวโน้ม: เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า การส่งออกของกัมพูชาไปยังสวีเดน เพิ่มขึ้น 12.3% ในขณะที่การนำเข้าจากสวีเดน ลดลงถึง 36.8%

สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และสัญญะทางการทูตในวันที่ สวีเดน ไร้สถานทูตในกัมพูชา อ่านเพิ่มเติม »

ส่องซอด🧐กลยุทธ์ “สุกี้ตี๋น้อย” สเกลธุรกิจยังไง แต่กำไรยังโต

ชื่อของ สุกี้ตี๋น้อย กลายเป็นเคสการตลาดร้านอาหารที่น่าสนใจ ด้วยภาพจำ “บุฟเฟต์ราคามหาชน” ถูกใจคนไทย จนทำให้ขยายสาขาได้ไว ตอนนี้มีแล้ว 86 สาขา (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 2568) ล่าสุด แบรนด์ทำให้ตลาดหันมาสนใจอีกครั้ง เมื่อประกาศ หาพื้นที่โชว์รูมรถยนต์เก่า-ใหม่ทั่วประเทศ เพื่อเปิดสาขาเพิ่ม โดยนำร่องเริ่มทำในโชว์รูมที่ปราจีนบุรีแล้ว (ตรงข้ามโรบินสัน) เตรียมเปิดปลายปี 2568 นี้ คำถาม คือ ทำไมต้องเป็นโชว์รูมรถ? 3 เหตุผลที่สุกี้ตี๋น้อยมองเห็นโอกาส 1. พื้นที่ใหญ่ โปร่ง จอดรถสะดวก บุฟเฟต์ตี๋น้อยเน้นกลุ่มลูกค้าเป็นครอบครัวหรือแก๊งเพื่อนที่มากันเยอะ โชว์รูมรถมีพื้นที่กว้าง เพดานสูง และที่จอดรถพร้อม รองรับการทำสาขาแบบ Stand Alone หรือแม้แต่แฟล็กชิปสโตร์ได้ทันที 2. ทำเลติดถนนใหญ่ เห็นชัดเจน โชว์รูมส่วนใหญ่อยู่บนถนนสายหลัก เหมาะจะเป็น Landmark ร้านใหญ่ ช่วยเลี่ยงการแข่งขันกับพื้นที่ห้างหรือคอมมูนิตี้มอลล์ 3. ต้นทุนเช่าต่ำกว่าห้างมาก หลังโควิด หลายโชว์รูมปิดกิจการหรือย้าย ทำให้เกิดช่องว่างด้านอสังหาฯ สุกี้ตี๋น้อยเจาะเข้าไปด้วยค่าเช่าที่คุ้มกว่ามาก ค่าเช่าโชว์รูมรถถูกกว่าห้างหลายเท่า ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ราคาเช่า 3,000 – 5,500 บาท/ตร.ม./เดือน คอมมูนิตี้มอลล์ ราคาเช่าต่ำกว่า 1,000 – 3,000 บาท/ตร.ม./เดือน *อ้างอิงข้อมูล สถานการณ์และแนวโน้มพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ปี 2568-2570 ของวิจัยกรุงศรี* แต่ถ้าเป็น โชว์รูมรถ (พื้นที่ 600–700 ตร.ม. ขึ้นไป) พบว่า มีค่าเช่าเฉลี่ยเพียง 240 – 500 บาท/ตร.ม./เดือน (**ผลสำรวจเบื้องต้นจากเว็บไซต์ livinginsider) ยกตัวอย่าง โชว์รูมรถ ติดถนนราชพฤกษ์ นนทบุรี พื้นที่ 750 ตร.ม. ค่าเช่า 180,000 บาท/เดือน เฉลี่ย 240 บาท/ตร.ม./เดือน โชว์รูมรถ ติดถนนพหลโยธิน นวนคร พื้นที่ 1,320 ตร.ม. ค่าเช่า 350,000 บาท/เดือน เฉลี่ย 265 บาท/ตร.ม./เดือน จะพบว่า ค่าเช่าโชว์รูมรถถูกกว่าการเช่าพื้นที่ค้าปลีกทั่วไปหลายเท่า และยังได้พื้นที่กว้างพร้อมที่จอดรถครบ ถือเป็นจังหวะที่สุกี้ตี๋น้อยใช้ “อสังหาฯ กลุ่มโชว์รูมรถที่ซบเซาลง” มาต่อยอดธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด พามาฮู้จัก “สุกี้ตี๋น้อย” ร้านสุกี้เจ้าดังในดวงใจของชาวบุฟเฟ่ต์ เตรียมเปิดสาขาแรกของอีสาน Project Finance 101 #HowtoScale โชว์รูมรถยนต์เก่าที่สุกี้ตี๋น้อยเตรียมไปเปิดสาขาในปลายปี 2568 เห็นข่าวการสเกลของสุกี้ตี๋น้อยผ่านโชว์รูมรถเเล้ว ชวนมาลองเล่นกับตัวเลขด้วยกัน ปี 2562: รายได้ 499 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 15 ล้านบาท ปี 2563: รายได้ 1,223 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 140 ล้านบาท ปี 2564: รายได้

ส่องซอด🧐กลยุทธ์ “สุกี้ตี๋น้อย” สเกลธุรกิจยังไง แต่กำไรยังโต อ่านเพิ่มเติม »

ค้าชายแดน 2 ฝั่งไทย-กัมพูชาร่วง 92.6% หลังเหตุปะทะ ราคาที่ต้องจ่ายนอกจากชีวิต เศรษฐกิจ เพื่อสนองอำนาจทางการเมือง

เงินเฟ้อเขมรพุ่ง 3-5%💸เงินทุนสำรองลดลงต่อเนื่อง หลังค้าชายแดน 🇹🇭ไทย-🇰🇭กัมพูชา ก.ค.ร่วงหนัก📉92.6% จาก มิ.ย.ร่วง 23%📉 เศรษฐกิจ“กัมพูชา”กำลังทรุดหนัก เงินทุนสำรองหมดประเทศ เงินเรียลอาจกลายเป็นเศษกระดาษ หลังเงินเฟ้อหนัก จากเหตุปะทะ ไทย-กัมพูชา พามาเบิ่งการค้าระหว่างไทย–กัมพูชาพึ่งพาการค้าผ่านชายแดน กระทบเพียงใดหลังเหตุปะทะ มูลค่าการค้าชายแดนไทย ปี 2567 ในปี 2567 ไทยเกินดุลการค้ากับกัมพูชา 280,532 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยแบ่งเป็น มูลค่ารวม: 323,631 ล้านบาท 💱ส่งออก: 323,631 ล้านบาท นำเข้าจากกัมพูชา: 43,098 ล้านบาท ดุลการค้าส่งออก: 280,532.16 ล้านบาท (เกินดุล) มูลค่าการค้าชายแดนไทย ปี 2568 สำหรับช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568: ไทยเกินดุลการค้า 89,300 ล้านบาท การค้ารวม 67,071 ล้านบาท ส่งออก 50,541 ล้านบาท นำเข้า 16,530 ล้านบาท มูลค่าการค้าชายแดน 🇹🇭ไทย-🇰🇭กัมพูชา ก.ค.ร่วงหนัก📉92.6% จากเดิม มิ.ย.ร่วง 23%📉หลังเหตุปะทะชายแดน ไทย-กัมพูชา รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เผยเศรษฐกิจ“เขมร”ตกต่ำถึงขีดสุด คาด ทุนสำรองระหว่างประเทศจะหมดลงในเดือน ต.ค.นี้ “รศ.ดร.อัทธ์” ชี้ จะส่งผลให้เงินเรียลกลายเป็นเศษกระดาษ เงินเฟ้อพุ่งสูง-ต้องเข้าแผนฟื้นฟูของ IMF แบบเดียวกับอาร์เจนติน่าและศรีรังกา อีกทั้งการสร้าง”เฟคนิวส์”รายวันทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้าเข้าไปลงทุน “อ.ทรงฤทธิ์” ระบุ กัมพูชาระส่ำหนักหลังไทยปิดด่าน นักท่องเที่ยวหาย แรงงานรายได้หด ขณะที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 15% ด้าน “พล.อ.รังษี” เผย กัมพูชาขาดดุลบัญชีเดือนสะพัดติดต่อกัน 8 ไตรมาสแล้ว เชื่อ หากเข้า IMF เขมรจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ วิเคราะห์ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจของกัมพูชาย่ำแย่มาก เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ไทยไม่ส่งสินค้าเข้าไปขายในกัมพูชา ทำให้ชาวกัมพูชาต้องซื้อสินค้าประเทศอื่นในราคาที่แพงขึ้น นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศถอนตัวจากกัมพูชา เช่น จีนไม่ลงทุนในช่วงนี้เพราะเศรษฐกิจ ภายในประเทศจีนชะลอตัว ขณะที่นักลงทุนชาวไทยซึ่งเข้าไปลงทุนในกัมพูชามากเป็นอันดับต้นๆก็ไม่เข้าไป ส่วนมาเลเซียกับสิงคโปร์ที่เคยลงทุนในกัมพูชาก็ไม่กล้าเข้าไปเพราะกัมพูชามีสถานการณ์สู้รบ เนื่องจากมีการปิดด่านและมีการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้แรงงานกัมพูชาหลายแสนคน ต้องเดินทางกลับประเทศตามนโยบายของรัฐบาลกัมพูชา แต่เมื่อเดินทางกลับไปแล้วกลับไม่มีงานทำ ส่งผลให้ชาวกัมพูชาขาดรายได้ ในช่วงที่ไทยกับกัมพูชามีปัญหาระหว่างประเทศ ทางรัฐบาลกัมพูชามุ่งแต่จะต่อสู้ทางการทหารและปั้นข่าวปลอมเพื่อตอบโต้ไทย จนไม่มีเวลาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในประเทศตัวเอง การที่กัมพูชาหันไปซบสหรัฐฯทำให้จีนซึ่งให้การช่วยเหลือกัมพูชาอยู่ไม่พอใจและหยุดการช่วยเหลือ ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติมปัญหาในช่วงที่ประเทศเกิดวิกฤต รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวต่อว่า วิกฤตเศรษฐกิจของกัมพูชาครั้งนี้ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น จาก 3% เป็น 5% เนื่องจากสินค้าของไทยที่เข้าไปขายในกัมพูชานั้นคิดเป็น 30% ของสินค้าในตลาดกัมพูชาทั้งหมด เมื่อไทยปิดด่านไม่ส่งสินค้าไปกัมพูชา

ค้าชายแดน 2 ฝั่งไทย-กัมพูชาร่วง 92.6% หลังเหตุปะทะ ราคาที่ต้องจ่ายนอกจากชีวิต เศรษฐกิจ เพื่อสนองอำนาจทางการเมือง อ่านเพิ่มเติม »

Gripen E/F ดีลฟ้าผ่า สะเทือนสมดุลอำนาจและการทูตในภูมิภาค

บทวิเคราะห์: Gripen E/F ดีลฟ้าผ่า สะเทือนสมดุลอำนาจและการทูตในภูมิภาค   บทนำ ท่ามกลางสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ร้อนระอุ ประเทศไทยได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวงการความมั่นคงและการทูตในอาเซียน เมื่อกองทัพอากาศไทย นำโดย พล.อ.อ.พันธุ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ได้ลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินขับไล่ยุคใหม่ Gripen E/F จำนวน 4 เครื่องแรกจากประเทศสวีเดน เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา [1] แต่ดีลครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การซื้อขายยุทโธปกรณ์ แต่ยังพ่วงมาด้วยข้อตกลงการลงทุนด้าน R&D และการถ่ายทอดเทคโนโลยี AI ขั้นสูงจากบริษัท Saab ซึ่งเป็นผู้ผลิต และท่าทีทางการทูตที่แข็งกร้าวร่วมกับสวีเดนต่อกรณีพิพาทชายแดนกับกัมพูชา ทำให้ข้อตกลงนี้กลายเป็นหมุดหมายใหม่ที่สะท้อนยุทธศาสตร์ “การทูตนำการทหาร” ของไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน   มากกว่าเครื่องบินรบ: ดีลชดเชยทางเศรษฐกิจและการลงทุนแห่งอนาคต   การจัดหา Gripen E/F ในเฟสแรกจำนวน 4 เครื่อง (เครื่องนั่งเดี่ยว 3 เครื่อง และสองที่นั่ง 1 เครื่อง) มีมูลค่าประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท [6] ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดหาทั้งหมด 12 เครื่อง เพื่อทดแทนฝูงบิน F-16 ที่กำลังจะปลดประจำการ [5] แต่หัวใจสำคัญของข้อตกลงนี้ที่ทำให้แตกต่างจากการจัดซื้อในอดีต คือ นโยบายชดเชยทางเศรษฐกิจ (Defence Offset Policy) ที่ไทยจะได้รับประโยชน์กลับคืนสู่ประเทศมูลค่ามหาศาล นาย Micael Johansson ประธานและ CEO ของ Saab กล่าวว่า “เรายินดีต้อนรับประเทศไทยในฐานะลูกค้าล่าสุดของ Gripen E/F ไทยเป็นผู้ใช้งาน Gripen ที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว และคุ้นเคยกับจุดแข็งที่ Gripen มอบให้กับกองทัพไทยเป็นอย่างดี” [6] คำกล่าวนี้สะท้อนความร่วมมือที่ลึกซึ้ง โดยข้อตกลง Offset Policy ที่ลงนามควบคู่กันไปนั้น ระบุชัดเจนถึงการที่ Saab และหน่วยงานสวีเดนจะเข้ามาลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีในประเทศไทย [4] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง: การวิจัยและพัฒนาร่วม (R&D): Saab จะตั้งศูนย์ R&D ในประเทศไทย เพื่อร่วมพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการบินและอวกาศ ซึ่งรวมถึง ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เป็นหัวใจของระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์และระบบช่วยนักบินใน Gripen E/F การลงทุนในภาคอุตสาหกรรม: ข้อตกลงยังครอบคลุมถึงการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมไซเบอร์และการบินของไทย ซึ่งจะช่วยสร้างงานทักษะสูงและยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ [4]   มิติใหม่ทางการทูต: เมื่อสวีเดนหนุนไทยในเวทีโลก   นอกเหนือจากความร่วมมือทางทหารและเศรษฐกิจ การเยือนสวีเดนของคณะนายทหารระดับสูงและ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้สร้างมิติใหม่ทางการทูตที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มีรายงานข่าวว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้พลเรือนเป็น

Gripen E/F ดีลฟ้าผ่า สะเทือนสมดุลอำนาจและการทูตในภูมิภาค อ่านเพิ่มเติม »

ชัยภูมิ เมืองแห่งภูมิประเทศธรรมชาติ🌱 🌳แดนอุทยาน และโมเดลเศรษฐกิจสีเขียวของอีสาน

#KeyInsight ท่องเที่ยวจังหวัดที่มีอุทธยานแห่งชาติมาที่สุด และ เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุด แนวทางการทำให้จังหวัดชัยภูมิมีศักยภาพในการเป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ชัยภูมิ: เมืองแห่งภูมิประเทศธรรมชาติ และโมเดลเศรษฐกิจสีเขียวของอีสาน จังหวัดชัยภูมิ อาจยังไม่ใช่ชื่อแรกที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกเมื่อนึกถึงภาคอีสาน แต่ในแง่ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ชัยภูมิกลับเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพมากที่สุดในกลุ่มจังหวัดตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในมิติของการเป็น “เมืองทุนทางธรรมชาติ” ที่มีความพร้อมในการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงนิเวศและขับเคลื่อนการเติบโตภายใต้แนวคิด Green Economy ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (2566–2570) . . 1.ท่องเที่ยวจังหวัดที่มีอุทธยานแห่งชาติมาที่สุด และ เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุด ชัยภูมิมีภูมิประเทศที่หลากหลายตั้งแต่ที่ราบสูงบนเทือกเขาภูแลนคา จนถึงพื้นที่ป่าและอุทยานแห่งชาติที่กระจายอยู่ทั่วทั้งจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม, อุทยานแห่งชาติไทรทอง, และภูเขียว–น้ำหนาว ซึ่งนับรวมแล้วทำให้ชัยภูมิกลายเป็นจังหวัดที่มีอุทยานแห่งชาติมากที่สุดในภาคอีสาน และเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีพื้นที่ป่าธรรมชาติสูงเป็นอันดับ 3 ของภาคอีสาน ครอบคลุมพื้นที่ป่ามากกว่า 2.5ล้านไร่ หรือประมาณ 31.5% ของพื้นที่จังหวัดทั้งหมด พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “มรดกทางธรรมชาติ” แต่นับเป็น “ทุนทางธรรมชาติ” ตามนิยามของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่สามารถนำไปต่อยอดทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างหลากหลาย โดยไม่ทำลายสมดุลของระบบนิเวศ แนวคิดนี้สอดคล้องกับ BCG Economyซึ่งรัฐบาลไทยใช้เป็นกรอบพัฒนาประเทศในระยะยาว ชัยภูมิเองจึงมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจสีเขียวที่เติบโตจากฐานทรัพยากรและวัฒนธรรมชุมชนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากข้อมูลโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัด ชัยภูมิยังมีแรงงานจำนวน 189,178 คน หรือกว่า40.7% อยู่ในภาคการเกษตรซึ่งยังต้องพึ่งพิงพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และอ้อย โดยเฉพาะมันสำปะหลังที่จังหวัดชัยภูมิมีการปลูกกว่า 879,394 ไร่ ซึ่งสามารถทำผลผลิตกว่า 19.3 แสนตัน ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 2 ของภาคอีสานเลยทีเดียว หากสามารถเปลี่ยนผ่านเกษตรกรเหล่านี้เข้าสู่ระบบเกษตรกรรมแบบยั่งยืนที่สอดคล้องกับระบบนิเวศ ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า แม้ชัยภูมิจะมีศักยภาพด้านธรรมชาติสูง แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งยังยากลำบาก อีกทั้งระบบขนส่งมวลชนยังไม่เอื้อต่อการกระจายนักท่องเที่ยวในระดับพื้นที่ ดังนั้น ความท้าทายเชิงนโยบายคือ การพัฒนาแบบ “ไม่เร่งรีบ” หรือ over-tourism แต่ใช้โมเดลแบบ Slow Tourism ที่ผสานกับอัตลักษณ์ชุมชนและมรดกธรรมชาติ หากจังหวัดสามารถผนวก “แนวนโยบาย BCG” กับ “ความเข้มแข็งของชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์” และปรับบทบาทของหน่วยงานท้องถิ่นให้มีบทบาทเชิงรุกในการบริหารจัดการทุนทางธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงในฐานะพื้นที่อนุรักษ์ แต่เป็นแหล่งผลิต แหล่งเรียนรู้ และแหล่งสร้างงาน ชัยภูมิจะไม่เพียงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงนิเวศเท่านั้น แต่จะกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาเมืองสีเขียวในภาคอีสาน ที่สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง . . 2.แนวทางการทำให้จังหวัดชัยภูมิมีศักยภาพในการเป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติ หนึ่งในจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ชัยภูมิมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเมืองเศรษฐกิจสีเขียว ก็คือ ความหลากหลายของระบบนิเวศและพื้นที่อนุรักษ์ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งจังหวัด โดยเฉพาะในรูปแบบของอุทยานแห่งชาติ ซึ่งชัยภูมินับได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีอุทยานแห่งชาติมากที่สุดในภาคอีสาน ทั้งในเชิงปริมาณและคุณค่าทางระบบนิเวศ โดยพื้นที่เหล่านี้ไม่ได้มีเพียงบทบาทเชิงอนุรักษ์ แต่ยังสามารถยกระดับให้เป็นฐานของเศรษฐกิจชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของชัยภูมิ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่นักท่องเที่ยวจะได้ชม “ทุ่งดอกกระเจียว” ซึ่งบานสะพรั่งทั่วลานหินงาม สร้างรายได้หมุนเวียนเข้าสู่ชุมชนในพื้นที่รอบอุทยานอย่างต่อเนื่อง ป่าหินงามยังเป็นจุดที่ผสานความงดงามของภูมิทัศน์กับกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เช่น การเดินป่า การชมผาหำหด และการเรียนรู้ระบบนิเวศของป่าเบญจพรรณ ขณะที่ อุทยานแห่งชาติไทรทอง โดดเด่นด้วย

ชัยภูมิ เมืองแห่งภูมิประเทศธรรมชาติ🌱 🌳แดนอุทยาน และโมเดลเศรษฐกิจสีเขียวของอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

กว่า 3 ทศวรรษแล้ว ทำไมกัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิดยังไม่หมดและอะไรคือข้อจำกัด?

ข้อมูลที่คุณมีว่าเก็บกู้ได้เพียง 10% อาจเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างเก่า หากอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดของ องค์กรปฏิบัติการทุ่นระเบิดและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแห่งกัมพูชา (CMAA) กัมพูชาได้เก็บกู้และเคลียร์พื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดตกค้างจากสงครามไปได้แล้วเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่ยังคงเหลือพื้นที่ที่ปนเปื้อนอยู่อีกมาก   ภาพรวมสถานการณ์ล่าสุด ความคืบหน้า: นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ถึงปัจจุบัน กัมพูชาได้เคลียร์พื้นที่ที่ปนเปื้อนกับระเบิดไปแล้วกว่า 2,794 ตารางกิโลเมตร และทำลายทุ่นระเบิดและยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด (UXO) ไปแล้วหลายล้านชิ้น ทำให้พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัยและสามารถนำกลับมาใช้เพื่อการเกษตรและพัฒนาชุมชนได้ เป้าหมาย: รัฐบาลกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศ ปลอดทุ่นระเบิดภายในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) พื้นที่ที่ยังคงมีความเสี่ยง: แม้จะมีความคืบหน้าไปมาก แต่คาดว่ายังคงมีพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดเหลืออยู่อีกประมาณ 538 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ปนเปื้อนวัตถุระเบิดอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่ทุ่นระเบิด) อีกประมาณ 1,323 ตารางกิโลเมตร   เหตุผลหลักที่ทำให้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในกัมพูชาเป็นไปอย่างยากลำบากและใช้เวลานาน แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติและการลงนามในสนธิสัญญาต่างๆ แต่ความท้าทายในการเก็บกู้ระเบิดในกัมพูชามีความซับซ้อนหลายมิติ ดังนี้ครับ   1. ขนาดและความหนาแน่นของการปนเปื้อนที่มหาศาล มรดกจากสงครามหลายทศวรรษ: กัมพูชาต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งภายในประเทศมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ทำให้มีการใช้ทุ่นระเบิดและระเบิดพวง (Cluster Munitions) อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ แนวรบ K-5: ในช่วงทศวรรษ 1980 มีการวางทุ่นระเบิดจำนวนมหาศาลตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เรียกว่า “แนวรบ K-5” ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดหนาแน่นที่สุดในโลก ทำให้การเก็บกู้ทำได้ยากและอันตรายอย่างยิ่ง ไม่มีแผนที่ที่ชัดเจน: ทุ่นระเบิดส่วนใหญ่ถูกวางโดยไม่มีการบันทึกตำแหน่งที่แม่นยำ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้วิธีการสำรวจและเก็บกู้แบบ “ปูพรม” ซึ่งต้องใช้เวลาและทรัพยากรมหาศาล   2. ความซับซ้อนทางเทคนิคและภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมที่ท้าทาย: พื้นที่ที่ปนเปื้อนจำนวนมากอยู่ในป่าทึบ ภูเขา และพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการเก็บกู้ ชนิดของระเบิดที่หลากหลาย: มีการใช้ทุ่นระเบิดหลายชนิด ทั้งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทุ่นระเบิดต่อสู้รถถัง บางชนิดทำจากพลาสติกซึ่งยากต่อการตรวจจับด้วยเครื่องมือโลหะ การเสื่อมสภาพของวัตถุระเบิด: วัตถุระเบิดที่ฝังอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานอาจเสื่อมสภาพและมีความไวต่อการระเบิดมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงให้กับเจ้าหน้าที่เก็บกู้   3. ข้อจำกัดด้านเงินทุนและทรัพยากร ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก: การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นภารกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ตั้งแต่ค่าจ้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ค่าอุปกรณ์ป้องกัน อุปกรณ์ตรวจจับ ไปจนถึงค่าดำเนินการในพื้นที่ ความไม่แน่นอนของเงินทุนสนับสนุน: แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจากนานาชาติ (เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป) แต่เงินทุนเหล่านี้อาจมีความไม่แน่นอนและไม่ต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและนโยบายของผู้บริจาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวางแผนระยะยาว   4. ผลกระทบจากการลงนามในอนุสัญญาออตตาวา ด้านบวก: การลงนามใน อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และว่าด้วยการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ในปี พ.ศ. 2540 เป็นการแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนของกัมพูชา และช่วยระดมการสนับสนุนจากนานาชาติได้เป็นอย่างดี ข้อจำกัด: อนุสัญญาฯ เน้นไปที่ “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” เป็นหลัก แต่ในกัมพูชายังมีปัญหาจาก “วัตถุระเบิดตกค้างจากสงคราม (ERW)” อื่นๆ เช่น

กว่า 3 ทศวรรษแล้ว ทำไมกัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิดยังไม่หมดและอะไรคือข้อจำกัด? อ่านเพิ่มเติม »

เปิดกลยุทธ์ การเชื่อมเมืองหลัก เมืองรอง ให้กลายเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 4 พันล้าน

CEA ขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์ 2568 ดันเมืองรองใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างโอกาสใหม่ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 4,382 ล้านบาท และพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ 17 จังหวัดทั่วประเทศ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคที่ “ความคิดสร้างสรรค์” และ “ทุนวัฒนธรรม” กลายเป็นทรัพยากรสำคัญ          ทางเศรษฐกิจ ทำให้เมืองต่าง ๆ หันมาใช้จุดแข็งทางด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งอาชีพ รายได้ และยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เมืองให้มีความสามารถทางการแข่งขัน              ในระดับโลก ด้วยความสำคัญนี้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่อย่างเข้มข้น ผ่านการจัดเทศกาลสร้างสรรค์และการขับเคลื่อนเครือข่ายย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประเทศไทย หรือ Thailand Creative District Network (TCDN) พร้อมพัฒนา “คน” ให้เป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ผ่านการบ่มเพาะหลักสูตรพัฒนาเมืองและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผสานทุนวัฒนธรรมเข้ากับนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับพลังสร้างสรรค์ระดับท้องถิ่นให้เป็นพลังทางเศรษฐกิจทั้งในมิติของผู้คน ธุรกิจ และพื้นที่ ผลักดันให้ทุกเมืองมีโอกาสเติบโต และทุกชุมชนสามารถเป็นเจ้าของ “แบรนด์เมือง” ได้จากรากฐานของตนเอง CEA คาดว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการจัดเทศกาลสร้างสรรค์ในปี 2568 มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 4,382 ล้านบาท และพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ไม่น้อยกว่า 17 จังหวัดทั่วประเทศ 6 จังหวัด สนับสนุน เทศกาลเมืองสร้างสรรค์ทั้งจาก CEA และ TCEB ศรีสะเกษ งานซาวสีเกด 2567 (Sound of Sisaket 2024) เทศกาลศิลปะและดนตรี จากนั้นยังชนะเลิศอันดับ 2 โครงการประกวดอวดเมือง จาก TCEB รับทุนต่อเนื่อง 3 ปี รวม 45 ล้าน นครราชสีมา งาน K- Battle งานประกวดการแข่งขัน Battle นานาชาติ จากนั้นยังชนะเลิศอันดับ 1 โครงการประกวดอวดเมือง จาก TCEB รับทุนต่อเนื่อง 3 ปี รวม 45 ล้าน อุบลราชธานี คัมโฮม งานศิลปะ+งานแห่เทียนพรรษาประจำปี ขอนแก่น Columbo Creative Community Festival ISAN Creative Festival  เลย เทศกาลเลยอาร์ตเฟส  อุดรธานี เทศกาล Udon

เปิดกลยุทธ์ การเชื่อมเมืองหลัก เมืองรอง ให้กลายเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 4 พันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top