Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

อุบลราชธานี เศรษฐกิจเงินสะพัดพันล้าน สู่ อวดเมือง “ฅน เมือง เทียน”

อุบลราชธานี เมืองแห่งปราชญ์-ปรัชญา-ภูมิปัญญาริมฝั่งโขง จังหวัดอุบลราชธานี หนึ่งใน จังหวัดที่ถูกเรียกว่า Big 4 ของอีสาน และ หนึ่งในเมืองรองของการท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคอีสานซึ่งในตอนนี้เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้านขึ้นแซง โคราช ขอนแก่น อะไรทำให้เมืองชายแดนที่ดูเหมือนจะอยู่นอกสายตาอย่าง “อุบลราชธานี” กลายมาเป็นจังหวัดที่สร้างรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์ได้สูงที่สุดในภาคอีสาน? ทำไมเมืองที่ไม่ได้อยู่กลางแผนที่เศรษฐกิจอย่างกลุ่ม Big 4 ถึงสามารถแซงหน้าเมืองใหญ่อย่างขอนแก่นและโคราชได้ในมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์? อีสานอินไซต์สิพามาเบิ่ง . 1.อุบลหนึ่งในเมืองรองที่สำคัญของภาคอีสาน ด้วยความที่เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวในภาคอีสานไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ หรือ การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ถึงแม้อุบลจะเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดนแต่ก็ยังมีผู้เยี่ยมเยือนผ่านเข้าออกอยู่เป็นประจำในแต่ละปี ซึ่งมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนในปี 2567 อยู่ที่ 3,763,066 คน ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 5 ของภาคอีสาน สามารถทำรายไดไปปมากถึง 9126.57 ล้านบาท ถือว่าสูงเป็นอันดับ 6 ของภาคอีสานในด้านรายได้จากการท่องเที่ยว และมีอีกสิ่งที่น่าตกใจอย่างมากในปีนี้ก็คือ เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้าน โดยภาคอีสานสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 38,778 ล้านบาท เฉพาะงานอีสานสร้างสรรค์ปี 67 ก็สร้างมูลค่ากว่า 6 ร้อยล้านบาท แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานะเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง “กลุ่ม Big 4 ของอีสาน” ที่ประกอบด้วย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี แต่ในช่วงหลัง อุบลฯ กลับเป็นจังหวัดเดียวในกลุ่มนี้ที่ “แซงหน้า” เมืองใหญ่ในมิติของธุรกิจสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจน โดยในปี 2567 อุบลราชธานีสร้างรายได้จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้สูงสุดของภาคอีสาน มูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าขอนแก่นและโคราชที่เคยเป็นผู้นำในด้านนี้ นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่สะท้อนปรากฏการณ์ใหม่ของเมืองชายแดนที่สามารถเติบโตจาก “ทุนวัฒนธรรม” อย่างยั่งยืนหัวใจของความสำเร็จอยู่ที่การรู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ให้เกิดมูลค่าอย่างมีกลยุทธ์ อุบลราชธานีไม่ได้เริ่มต้นจากความว่างเปล่า แต่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นจำนวนมากที่รอการต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นงานเทียนพรรษา ผ้าทอ เครื่องจักสาน ผ้าย้อมคราม หัตถกรรมพื้นบ้าน ไปจนถึงศิลปะการแสดงแบบอีสาน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดร่วมสมัย พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์เศรษฐกิจ จาก “ประเพณีแห่เทียนพรรษา” ทั่วอีสาน ที่สร้างรายได้มหาศาล❗กระตุ้นเศรษฐกิจพุ่ง❗ สิ่งที่ทำให้อุบลฯ เดินได้เร็วกว่าเมืองอื่น คือการมีคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด และกล้าลงมือสร้างธุรกิจจากวัฒนธรรมดั้งเดิม นักออกแบบรุ่นใหม่ ศิลปินพื้นถิ่น และผู้ประกอบการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและวิทยาลัยในพื้นที่ต่างผนึกกำลังกันสร้างแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน เช่น แบรนด์เสื้อผ้าที่นำผ้าทอมาดีไซน์ร่วมสมัย คาเฟ่และโฮมสเตย์ที่ใช้แนวคิดภูมิสถาปัตย์ ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ไม่ได้ยืนดูเฉย ๆ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ได้ร่วมมือกับจังหวัดและองค์กรภาคีต่าง ๆ สร้างโครงการอย่าง “Ubon Creative City Fair”, “ตลาดนัดคนสร้างสรรค์”, และเทศกาล “Isan Creative Festival” ซึ่งมีนักสร้างสรรค์เข้าร่วมกว่า 900 ราย […]

อุบลราชธานี เศรษฐกิจเงินสะพัดพันล้าน สู่ อวดเมือง “ฅน เมือง เทียน” อ่านเพิ่มเติม »

อุบลราชธานี ยืนหนึ่งเรื่อง ‘ปลานิล’ แห่งอีสาน จากแหล่งน้ำที่ดี สู่ฟาร์มประมงคุณภาพสูง

ในขณะที่จังหวัดขอนแก่นครองตำแหน่งผู้นำด้านจำนวนฟาร์มเลี้ยงปลานิลในภาคอีสาน ด้วยจำนวนฟาร์มนับหมื่น แต่เมื่อมองลึกลงไปในแง่ของผลผลิต กลับกลายเป็นว่า อุบลราชธานี ต่างหากที่ขึ้นแท่นเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตปลานิลมากที่สุดในภูมิภาคนี้   ปี 2566 จังหวัดอุบลราชธานีมีจำนวนฟาร์มเลี้ยงปลานิลเพียง 8,820 แห่ง คิดเป็นลำดับที่ 13 ของภาค แต่กลับผลิตได้มากถึง 10,744 ตัน หรือ คิดเป็น 15% ของทั้งภาคอีสาน สร้างมูลค่าสูงถึง 644 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นที่ไม่อาจมองข้ามได้   ฟาร์มน้อย…แต่ผลิตได้มาก เพราะอะไร? เบื้องหลังตัวเลขอันน่าทึ่งนี้ สะท้อนถึงความจริงข้อหนึ่งที่มักถูกมองข้ามในวงการเกษตรน้ำจืด  “จำนวนฟาร์มไม่ได้สะท้อนศักยภาพการผลิตเสมอไป” เพราะปริมาณนั้นอาจน้อยกว่า แต่คุณภาพของระบบเลี้ยงต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ   ภูมิประเทศของอุบลราชธานีเอื้ออำนวยอย่างยิ่งต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะปลานิล เพราะเป็นพื้นที่ “ปลายน้ำ” ของแม่แม่น้ำสำคัญของภาคอีสานไหลผ่านหลายสาย ทั้งแม่น้ำโขง ชี และมูล รวมไปถึงลำน้ำสายย่อยอีกมากมาย ทำให้มีแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวนมากและคุณภาพน้ำดีเหมาะแก่การเลี้ยงปลาในกระชัง   และนี่คือหัวใจสำคัญ  อุบลราชธานีมีการเลี้ยงปลานิลในกระชังมากที่สุดในอีสาน ด้วยจำนวน 493 ฟาร์ม ซึ่งระบบกระชังในแหล่งน้ำไหลผ่านเหล่านี้ ช่วยให้ปลานิลมีสุขภาพแข็งแรง โตไว เนื้อแน่น รสชาติดี และได้ราคาสูงกว่าการเลี้ยงในบ่อ   แหล่งผลิตหลักอยู่ที่ไหน? หากมองลึกลงไปในระดับพื้นที่ พบว่าอำเภอที่มีฟาร์มเลี้ยงปลานิลมากที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ อำเภอเดชอุดม อำเภอม่วงสามสิบ อำเภอนาจะหลวย พื้นที่เหล่านี้ล้วนมีลำน้ำสายย่อยจำนวนมากเชื่อมกับแม่น้ำหลัก ทำให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันยังมีการรวมกลุ่มและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในระดับท้องถิ่นที่เข้มแข็ง   รายได้เฉลี่ยต่อฟาร์มสูงกว่าจังหวัดอื่น แม้จำนวนฟาร์มปลานิลจะไม่มากเท่าจังหวัดอื่น แต่ รายได้เฉลี่ยต่อฟาร์มของเกษตรกรในอุบลฯ กลับสูงถึง 73,043 บาท/ฟาร์ม แสดงให้เห็นว่าระบบการเลี้ยงมีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงกับตลาดได้ดี   ในส่วนของการเลี้ยงปลานิลในกระชังเพียงอย่างเดียว ยังสร้างมูลค่าถึง 517 ล้านบาท จากทั้งหมด 644 ล้านบาท หรือมากกว่า 80% ของมูลค่ารวมจากปลานิลทั้งจังหวัด   ปริมาณและมูลค่าผลผลิตสัตว์น้ำจืด นอกจากปลานิลอุบลฯ จะยืนหนึ่งในอีสานแล้วนั้น การเลี้ยงสัตว์น้ำจืดชนิดอื่นๆ ก็มีการเลี้ยงมากและสร้างมูลค่ามากเช่นเดียวกัน โดยอุบลฯ ,uปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำจืดรวมทั้งสิ้น 13,474 ตัน คิดเป็นร้อยละ 2.93 ของปริมาณผลผลิตทั้งประเทศ มูลค่าผลผลิตรวมทั้งสิ้น 814,052 พันบาทผลผลิตส่วนใหญ่มาจากการเลี้ยงในกระชัง ซึ่งมีปริมาณ 8,883 ตัน และมูลค่า 532,589 พันบาท ชนิดสัตว์น้ำจืดที่ผลิตได้และมูลค่า (บางส่วน): ปลานิล: ปริมาณ 10,744 ตัน มูลค่า 644,236 พันบาท  ปลาดุก: ปริมาณ 1,604 ตัน มูลค่า 89,544 พันบาท  กุ้งก้ามกราม: ปริมาณ 6

อุบลราชธานี ยืนหนึ่งเรื่อง ‘ปลานิล’ แห่งอีสาน จากแหล่งน้ำที่ดี สู่ฟาร์มประมงคุณภาพสูง อ่านเพิ่มเติม »

ส่องธุรกิจในเครือ ‘เอราวัณ’ แห่ง หนองบัวลำภู น้ำตาล ขนส่ง และผลิตไฟฟ้า กวาดรายได้รวมกว่า 7 พันล้านบาท

  จังหวัดหนองบัวลำภูมีพื้นที่ประมาณ 3,859 ตารางกิโลเมตร (2,411,875 ไร่) ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นที่ราบสูงและที่ราบลุ่ม ประกอบกับสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อนที่มีฤดูฝนและฤดูแล้ง ทำให้เหมาะสมกับการปลูกอ้อยเป็นอย่างมาก ดินในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อ้อยสามารถเจริญเติบโตได้ดี   ปี 2567/2568 จังหวัดหนองบัวลำภู มีพื้นที่เพาะปลูกอ้อยทั้งสิ้น 335,806 ไร่ (14% ของพื้นที่จังหวัด) มากเป็นอันดับ 6 จาก 20 ของภาคอีสาน มีปริมาณอ้อยทั้งสิ้น 3,264,034 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 9.72 ตันต่อไร่ อ้อยเป็นแหล่งรายได้หลักของเกษตรกรในจังหวัดหนองบัวลำภูซึ่งปลูกกันทุกอำเภอ โดยแต่ละอำเภอมีพื้นที่ปลูกอ้อยดังนี้ อำเภอศรีบุญเรือง 122,470 ไร่ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู 69,245 ไร่ อำเภอนากลาง 61,640 ไร่  อำเภอสุวรรณคูหา 32,084 ไร่  อำเภอโนนสัง 6,091 ไร่   อุตสาหกรรมอ้อยในจังหวัดสร้างงานให้กับคนในพื้นที่นับหมื่นคน ตั้งแต่การปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยว การขนส่ง ไปจนถึงการแปรรูป โดยหนองบัวลำภูนั้น มีโรงงานผลิตน้ำตาลทรายจากอ้อยรายใหญ่อย่าง ‘บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด’ เป็นนิติบุคคลประเภทธุรกิจ : 10722 (การผลิตน้ำตาลบริสุทธิ์) ที่มีรายได้มากที่สุดในอีสาน  โดยบทความนี้ อีสาน อินไซต์ จะพามาส่องเบิ่ง กลุ่มธุรกิจในเครือเอราวัณ ที่นอกเหนือจากผลิตน้ำตาล ก็ยังมีธุรกิจประเภทอื่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดหนองบัวลำภู   บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด    เป็นนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงงานผลิตน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายดิบ น้ำเชื่อมและผลิตภัณฑ์จากการผลิตน้ำตาลทุกชนิด ตั้งอยู่ เลขที่ 111 หมู่ที่ 12 ตำบลนากลาง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู จดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2547 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 6,138 ล้านบาท มีรายได้ 7,443 ล้านบาท และกำไร 962 ล้านบาท สูงที่สุดในบรรดานิติบุคคลสาขา การผลิตน้ำตาลน้ำตาลบริสุทธิ์ ในภาคอีสาน    โดยนอกจากผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลแล้วนั้น กลุ่มบริษัทเอราวัณมีศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ทำงานด้านการวิจัยอย่างครบวงจร ซึ่งประกอบด้วย การวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อย การผลิตวัสดุปรับปรุงดิน โครงการผลิตอ้อยสะอาดปลอดโรคใบขาว และการพัฒนาเครื่องมือการเกษตร   ซึ่งการลงทุนในส่วนนี้สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นเพียงกำไรในระยะสั้น แต่ต้องการสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำ (เกษตรกร) ไปจนถึงปลายน้ำ (โรงงาน) ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกรคู่สัญญา และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว   กลุ่มบริษัทอื่น ในเครือ น้ำตาลเอราวัณ นอกจากโรงงานผลิตน้ำตาลแล้ว

ส่องธุรกิจในเครือ ‘เอราวัณ’ แห่ง หนองบัวลำภู น้ำตาล ขนส่ง และผลิตไฟฟ้า กวาดรายได้รวมกว่า 7 พันล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

Customer-Centric Mindset : Hack เคล็ดลับ ‘อ่านใจ’ ลูกค้า ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจสร้างสรรค์

เกริ่น ‘พี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ’ เป็นอดีตผู้บริหาร dtac ผู้โด่งดังในหมู่นักการตลาดจากการทำแบรนด์ Happy ของ dtac ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารฝ่ายการตลาด ธนาคารไทยพาณิชย์ และประธานกรรมการบริหาร Purple Ventures บริษัทลูกของ SCB ที่ดูแล Robinhood แอป Food Delivery สัญชาติไทย   1.Topic : การสร้าง “แฟน” ไม่ใช่แค่ “Follower” เนื้อหา : ในยุคที่การยิงโฆษณาไม่คุ้มค่า เพราะแพลตฟอร์มปิดกั้นการมองเห็น คุณโจ้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้าง “แฟน” ที่แท้จริง  แฟนคือลูกค้าที่ให้คะแนนความพึงพอใจสูงมาก (9-10 คะแนน) พวกเขาจะบอกต่อ เชียร์ ปกป้อง และพร้อมจ่ายทุกราคา การมีแฟนเพียงไม่กี่ร้อยคนมีค่ากว่าการมีผู้ติดตามเป็นล้าน   เนื้อหา : ในยุคที่การยิงแอดแพงขึ้นและเข้าถึงยากขึ้น แบรนด์ไม่ควรหวังแค่ “ยอดวิว” หรือ “ผู้ติดตามจำนวนมาก” แต่ต้องโฟกัสที่การสร้าง “แฟนตัวจริง” ซึ่งคือกลุ่มลูกค้าที่รักแบรนด์ พร้อมสนับสนุน และบอกต่อโดยไม่ต้องจ้าง แฟนตัวจริงไม่ใช่แค่ซื้อซ้ำ แต่ยังปกป้องแบรนด์ แชร์ต่อแบบจริงใจ และพร้อมจ่ายแม้สินค้าแพงกว่า เพราะเขา อิน กับแบรนด์จริงๆ แม้จะมีแค่หลักร้อยคน แต่มีพลังมากกว่าผู้ติดตามหลักล้านที่ไม่เคยซื้อเลย   2.Topic : แม่น้ำเปลี่ยนทิศ จุดกำเนิดธุรกิจ  เนื้อหา : ความจำเป็นในยุคที่ “แม่น้ำเปลี่ยนทิศ” คุณโจ้ได้อธิบายว่าหลายสิ่งในโลกธุรกิจกำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างถาวร ไม่ใช่แค่ขึ้นๆ ลงๆ ชั่วคราวเหมือนแต่ก่อน45 เช่น หุ้นไทย การท่องเที่ยวไทย และแพลตฟอร์มการค้าต่าง ๆ ที่กลายเป็นของต่างชาติ5 ในสภาวะเช่นนี้ การหวนกลับมายังหลักการพื้นฐานและจุดกำเนิดของธุรกิจ นั่นคือ “ลูกค้า” จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง   เนื้อหา : ทุกวันนี้หลายอย่างเปลี่ยนไปแบบถาวร ไม่ใช่แค่แผ่วแล้วเดี๋ยวกลับมาเหมือนเดิม เหมือนแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศ ธุรกิจเองก็ต้องปรับตาม ไม่งั้นก็หลงทาง คุณโจ้เลยย้ำว่า ถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไง ให้กลับไปที่จุดเริ่มต้นของทุกธุรกิจ  “ลูกค้า”ลองกลับไปฟังจริง ๆ ว่าลูกค้าต้องการอะไร ชอบอะไร หรืออะไรที่เขาไม่ชอบ ไม่ใช่แค่ขายของ แต่ต้องเข้าใจและเชื่อมโยงกับเขาให้ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่อยู่รอด ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่คือคนที่เข้าใจลูกค้าที่สุดต่างหาก   3.Topic : การเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของลูกค้า –ลูกค้าในปัจจุบันมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื้อหา : ใจร้อนขึ้นมาก ลูกค้ามีความอดทนน้อยลงอย่างมหาศาล เช่น จากที่เคยรอการอนุมัติธนาคาร 3 วัน กลายเป็นต้องได้ภายใน 1 ชั่วโมง

Customer-Centric Mindset : Hack เคล็ดลับ ‘อ่านใจ’ ลูกค้า ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจสร้างสรรค์ อ่านเพิ่มเติม »

“LONG STAY” Talk : “ลอง STAY” Khon Kaen New Destination

บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 🟥 : “ลอง STAY” Khon Kaen New Destination โดย คุณธนัฏฐา โกสีหเดช และคุณภิรญา รวงผึ้งทอง / ผู้ก่อตั้ง The Contextual ที่ปรึกษาด้านธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องงานออกแบบบริการและประสบการณ์ผู้ใช้ (Service Design)   พลิกโฉมขอนแก่นสู่จุดหมาย Long Stay การสร้างประสบการณ์ Long Stay ที่น่าประทับใจต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายประการ โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจภาพรวมของเป้าหมายของขอนแก่นในการเป็น “New Destination” ไปจนถึงการออกแบบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของกลุ่มผู้พักอาศัยระยะยาวแต่ละกลุ่ม และการพิจารณาองค์ประกอบของเมืองโดยรวม ต่อไปนี้คือองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณา: การกำหนดทิศทางของขอนแก่นในฐานะ New Destination: ก่อนที่จะระบุว่าขอนแก่นจะเป็น New Destination ของอะไร จำเป็นต้องคิดอย่างรอบคอบว่าควรจะเป็นของกลุ่มคนประเภทไหน เช่นเดียวกับที่กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายของชาวญี่ปุ่น ภูเก็ตเป็นของชาวสแกนดิเนเวียน หรือเชียงใหม่ก็เป็นของชาวญี่ปุ่น ซึ่งมักมีเหตุผลจากวิถีชีวิต ปรัชญา หรือค่าครองชีพที่คล้ายกัน การกำหนดทิศทางนี้จะช่วยให้แน่ใจว่านโยบายการพัฒนาของทั้งจังหวัดไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถดึงดูดกลุ่มคน Long Stayer ที่ต้องการเข้ามาได้ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (Persona) และความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่ม: จากการศึกษาของ The Contexual ที่ได้รับมอบหมายจาก CA ให้มุ่งเน้น 5 กลุ่มหลัก และพบเพิ่มเติมอีก 2 กลุ่มย่อยในขอนแก่น พบว่ามี 7 กลุ่มหลัก โดยแต่ละกลุ่มมีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน: Digital Nomads / Work from Anywhere (ต่างชาติ): แรงจูงใจ: มักถูกว่าจ้างจากบริษัทในประเทศที่มีค่าครองชีพสูง เช่น อเมริกา ทำให้การมาใช้ชีวิตในเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำกว่าอย่างขอนแก่นช่วยให้มีเงินเก็บมากขึ้น พร้อมกับได้ไลฟ์สไตล์ที่ดีและน่าสนใจ ความต้องการหลัก: สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงาน: ต้องการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อการประชุม และสถานที่ที่เอื้อต่อการทำงานคนเดียว เช่น คาเฟ่ หรือ Co-working space ที่เป็นมิตร หรือแม้แต่ร้านเบียร์ที่มี Wi-Fi ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ทำงานแบบออฟฟิศ: พวกเขาต้องการอิสระในการทำงานได้ทุกที่ที่รู้สึกสบาย ไม่ใช่พื้นที่ทำงานแบบเป็นทางการ ความน่าอยู่ของเมือง: เลือกเมืองที่มีความน่าสนใจ มีเรื่องราวที่อยากไปใช้ชีวิตอยู่ ข้อสังเกต: บางคนอาจทำงานต่าง Time Zone ทำให้ใช้ชีวิตและทำงานในเวลาที่ต่างกัน (เช่น เที่ยวกลางวัน ทำงานกลางคืน) Work from Anywhere (คนไทย):

“LONG STAY” Talk : “ลอง STAY” Khon Kaen New Destination อ่านเพิ่มเติม »

“LONG STAY” Talk ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่”

บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 🟨 : ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่” โดย Xiaokun Gao, Country Manager – Sanook, Image Future (Thailand) Ltd / Tencent   โอกาสใดที่อีสานมีเพื่อดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจีนให้มาลองอยู่ระยะยาว? อีสานมีศักยภาพและโอกาสหลายประการในการดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจีนให้มาลองพำนักระยะยาว โดยสิ่งสำคัญที่ตลาดจีนมองหาคือ การบริการและผู้คน ผลิตภัณฑ์ และประสบการณ์ โอกาสสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการจีน: ผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม: ตลาดจีนกำลังมองหา ผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนต้องการสินค้าพรีเมียม คุณภาพดี ในราคาที่สมเหตุสมผล อีสานมี ศักยภาพทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่แข็งแกร่งมาก ทำให้เป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรที่จะเข้าสู่จีน การสร้างแบรนด์: การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งสำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น ข้าวหอมมะลิ สามารถเพิ่มมูลค่าและราคาได้อย่างมากในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน แทนที่จะผ่านกระบวนการค้าส่งเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันยังไม่มีแบรนด์จากอีสานที่เป็นที่จดจำในตลาดจีนเท่ากับแบรนด์เครื่องสำอาง Mistine หรือน้ำมะพร้าว IF ที่มาจากไทย การใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นที่รู้จักและ มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่นักศึกษาจีน ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นในการนำเสนอเสน่ห์ของอีสานให้กับนักธุรกิจจีน โดยเฉพาะผู้ที่มองหาโอกาสด้านการศึกษา การเชื่อมโยงผ่านชุมชนอีสานในกรุงเทพฯ: แทนที่จะให้นักลงทุนเดินทางมาอีสานโดยตรง วิธีที่รวดเร็วกว่าคือ การสร้างช่องทางและระบบนิเวศสำหรับคนอีสานในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เพื่อให้นักธุรกิจจีนสามารถเข้าถึงและเชื่อมโยงกับคนอีสานในกรุงเทพฯ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งคนเหล่านี้สามารถช่วยประสานงานธุรกิจในอีสานได้ โอกาสสำหรับนักท่องเที่ยวจีนที่มาพำนักระยะยาว (Long Stay): การสร้างชุมชน: ปัจจุบันเชียงใหม่ยังเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับการพักระยะยาวของชาวจีน เนื่องจากมีชุมชนชาวจีนที่พักอาศัยอยู่แล้วหลายหมื่นคน สำหรับอีสาน สิ่งสำคัญคือการ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาและสร้างชุมชนขึ้นก่อน เพื่อให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยดึงดูดผู้คนได้มากขึ้น การตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักศึกษา/คนวัยทำงานที่พักจากการเรียน/ทำงาน (Experienced Children): กลุ่มนี้มองหาการพำนักระยะยาวเพื่อหลีกหนีชีวิตประจำวัน และคาดหวัง ความสะดวกสบายในการเข้าถึงข้อมูล อาหาร ที่พัก และบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ขอนแก่นมีศักยภาพสูงสำหรับกลุ่มนี้ สิ่งที่ต้องทำคือการ สร้างข้อมูลเป็นภาษาจีนที่เข้าถึงได้ง่าย และเผยแพร่บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน เพื่อให้พวกเขารู้ว่าสามารถใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ได้อย่างง่ายดายในอีสาน การตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัว (Family Stays): กลุ่มนี้มักมาเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว เช่น ตรุษจีน โดยใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จุดหมายปลายทางจะต้อง เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (เช่น มีป้ายหรือข้อมูลภาษาจีนที่อ่านง่าย เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่พูดภาษาอื่นไม่ได้นอกจากจีน) ต้อง เป็นมิตรกับเด็ก (เช่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็ก และสถานที่ที่เข้าถึงได้สะดวกสำหรับเด็ก) การสร้างจุดเด่นหรือ Flagship Product/Experience: ควรมี หนึ่งหรือสองสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์หรือเป็นจุดขายสำคัญ ที่ทำให้ผู้คนจดจำอีสานหรือขอนแก่นได้ เทศกาลสงกรานต์ในขอนแก่น เป็นเทศกาลขนาดใหญ่และน่าสนใจ ที่สามารถเป็นจุดขายที่ง่ายที่สุดในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวจีน ผลิตภัณฑ์เด่น

“LONG STAY” Talk ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่” อ่านเพิ่มเติม »

“LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย

บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 🟦 : ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย โดย ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย /ผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนภาคและเมือง และการยกระดับการจัด Festival, รองผู้อำนวยการ Center of Excellence in Social Design Chulalongkorn University   กลยุทธ์ Long Stay ควรปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใดและเพราะเหตุใด กลยุทธ์ Long Stay ควรปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ ที่เรียกว่า “Long Stayer” ซึ่งหมายถึงชาวต่างชาติที่เดินทางมาพำนักในประเทศไทยเป็นระยะเวลานานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป คือ เกิน 10 วันขึ้นไป โดยไม่เปลี่ยนสัญชาติหรืออพยพย้ายถิ่นฐานถาวร การเปลี่ยนแปลงแนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจาก “Visitor Economy” แบบดั้งเดิมที่เน้นปริมาณ ไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณค่าสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น กลุ่มนักท่องเที่ยวที่กลยุทธ์ Long Stay ควรมุ่งเน้นและเหตุผลในการดึงดูดมีดังนี้: ผู้สนับสนุน (Supporters) และผู้พำนักระยะยาว (Residents): เหตุผล: เดิมที “Visitor Economy” เน้นจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายต่อครั้ง แต่ปัจจุบันต้องการสร้างฐานแฟนคลับ (fan base) ที่รักและผูกพันกับวัฒนธรรมไทย มาเยี่ยมเยียนซ้ำ ๆ และใช้ชีวิตเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง พวกเขาจะช่วยเผยแพร่เรื่องราวดี ๆ ของไทยไปสู่ตลาดสากล กลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูง (High Spenders): เหตุผล: โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวญี่ปุ่นที่มีรายได้มากกว่า 10 ล้านเยนต่อปี (ประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อปี) มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายในทุกด้านเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เมื่อมาพำนักระยะยาว การมุ่งเป้าไปที่กลุ่มนี้จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในท้องถิ่น ผลลัพธ์: กลุ่ม Long Stayer ชาวญี่ปุ่นที่มาพำนักในไทยแล้ว เมื่อออกไปเที่ยวในประเทศจะใช้จ่ายเกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่านักท่องเที่ยวคุณภาพสูงทั่วไปที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 5,172 บาทต่อคนต่อวันเสียอีก กลุ่ม Expat และครอบครัว (Experts and Families): เหตุผล: พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีกำลังใช้จ่ายสูง มักจะอยู่เป็นครอบครัว และสามารถทำหน้าที่เป็น “Influencer” หรือผู้มีอิทธิพลในการจูงใจผู้อื่นได้ดี เมื่อมาอยู่ไทยแล้วมักประทับใจและกลับมาเที่ยวซ้ำ รวมถึงแนะนำให้ครอบครัวและเพื่อนมาเที่ยว โดยเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย ความท้าทาย: ปัจจุบัน Expat ชาวญี่ปุ่นมักจะหาข้อมูลการท่องเที่ยวในไทยเองไม่เจอ และพึ่งพา HR หรือคนไทยช่วยหา

“LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย อ่านเพิ่มเติม »

โคราช แดน วีรสตรีแห่ง “สุรา” สู่ถิ่นธุรกิจผลิตไวน์ สุรา แห่งอีสาน

‘สุรา’ ทั้งในรูปแบบกลุ่นและหมัก ในภาคอีสานมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เริ่มต้นจากการนำเอาข้าวเหนียวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวอีสานมาหมักและกลั่นเป็นสุรา ในอดีตชาวบ้านจะทำสุรากลั่นใช้ในครัวเรือนเอง โดยเฉพาะในช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าวที่มีข้าวเหลือใช้มาก หรือข้าวที่มีคุณภาพไม่ดีพอสำหรับการบริโภค บทบาทของสุราในภาคอีสาน ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มที่ใช้เพื่อความมึนเมา แต่สุรากลั่นมีบทบาทสำคัญในงานบุญและประเพณีต่างๆ ของชาวอีสาน เช่น งานบุญผะเหวด งานบุญข้าวจี่ งานบุญบั้งไฟ โดยจะใช้เป็นเครื่องไหว้เจ้าที่ ผีปู่ย่า และเป็นเครื่องดื่มในการสังสรรค์ การเสิร์ฟสุรากลั่นให้แขกที่มาเยือนเป็นการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความจริงใจของเจ้าบ้าน ถือเป็นมารยาทที่ดีในวัฒนธรรมอีสาน    ความรู้เรื่องกรรมวิธีการทำสุราได้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยผู้สูงอายุจะสอนให้ลูกหลานได้เรียนรู้เทคนิคและวิธีการที่เป็นความลับของแต่ละท้องถิ่น ทำให้เกิดความหลากหลายในรสชาติและวิธีการผลิตในแต่ละพื้นที่ ซึ่งความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมเหล่านี้ ได้ผนวกรวมกับความรู้และนวัตกรรมสมัยใหม่ ต่อยอดเป็นธุรกิจการผลิตสุราในท้องถิ่น ที่ไม่เพียงสะท้อนวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชุมชน แต่ยังมีศักยภาพในการสร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก   โคราช แหล่งธุรกิจผลิตสุราและไวน์แห่งอีสาน โคราช ดินแดน ย่าโม ท้าวสุรนารี วีรสตรีที่สร้างชัยชนะด้วย “สุรา” พื้นที่แห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งอารยธรรมและมี สาโท ที่เป็นสุราท้องถิ่นที่โด่งดังมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันในภาคอีสานมีธุรกิจผลิตสุรากลั่นและไวน์ ทั้งรายใหญ่และรายย่อยรวมกัน 137 ราย มีรายได้รวมกว่า 14,000 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีธุรกิจประเภทผลิตสุรากลั่นและไวน์มากที่สุดในอีสาน ได้แก่ นครราชสีมา หรือ โคราช โดยมีนิติบุคคลจดทะเบียนทั้งสิ้น 33 ราย รองลงมาคือ กาฬสินธุ์ 18 ราย โดยธุรกิจผลิตสุรากลั่นและไวน์ในโคราช ล้วนปล้วเป็นเป็นธุรกิจรายย่อยที่ไม่ใช่โรงงานผลิตของบริษัทใหญ่   โดยนิติบุคคลในธุรกิจผลิตสุรากลั่นและไวน์ ของโคราชมีรายได้รวมกันกว่า 250 ล้านบาท โดย 3 อันดับนิติบุคคลที่มีรายได้มากที่สุด ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สัมฤทธิ์มั่นคง ทุนจดทะเบียน: 400,000 บาท (2 กรกฎาคม 2545) รายได้รวม: 66,766,721.71 บาท เป็นนิติบุคคลที่ผลิตสุราประเภทสุราแช่มากว่า 20 ปี โดยมีสินค้าหลักคือ “สาโทสยาม” ซึ่งผลิตมาจากการหมักข้าวเหนียว ซึ่งเป็นวัตถุดิบท้องถิ่น @ploy.chompu_ สาโทสยาม #สุราไทย #สุราก้าวไกล ♬ เจ็บเมื่อไหร่ KRIST – RISER MUSIC บริษัท อโศกวัลเล่ย์ ไวน์เนอร์รี่ จำกัด ทุนจดทะเบียน: 5,000,000 บาท (5 พฤศจิกายน 2551) รายได้รวม: 57,435,961.47 บาท เป็นธุรกิจผลิตไวน์องุ่นรายใหญ่ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ อ.ปากช่อง ตัวอย่างสินค้า เช่น ไวน์แบรนด์ “GranMonte” นอกจากนั้นยังมีไร่องุ่นและร้านอาหารที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ห้างหุ้นส่วน อังคณาเทรดดิ้ง จำกัด  ทุนจดทะเบียน: 5,000,000 บาท (5 พฤศจิกายน 2551) รายได้รวม:

โคราช แดน วีรสตรีแห่ง “สุรา” สู่ถิ่นธุรกิจผลิตไวน์ สุรา แห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ปอยเปต ประตูชายแดนกัมพูชา เศรษฐกิจของเมืองที่โตจาก “ด่าน” มากกว่า “ดิน”

ส่องซอด ปอยเปต เมืองชายแดนของกัมพูชา ตรงข้ามกับอรัญประเทศของไทย ที่เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดจากการดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะผ่านธุรกิจกาสิโน จนถูกขนานนามว่าเป็น “นครแห่งธุรกิจสีเทา” ทั้งยังเป็นจุดผ่านแดนสำคัญ ที่มีมูลค่าการค้าคิดเป็นกว่า 63.4% ของการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาทั้งหมด แต่ใครจะรู้—ความรุ่งเรืองที่ผูกอยู่กับ “ด่าน” อาจกลายเป็นความเปราะบางที่ย้อนกลับมาเป็นจุดอ่อนของเมืองในระยะยาว . ปอยเปต เป็นเมืองชายแดนของกัมพูชา ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย อยู่ติดกับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ของไทย เมืองนี้มีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในจุดผ่านแดนที่มีการสัญจรของผู้คนและการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชามากที่สุด อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของแหล่งกาสิโนขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนไทยมากที่สุดแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ปอยเปตยังเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศสูงอย่างน่าจับตามอง ในอดีต ปอยเปตเป็นเพียงพื้นที่ป่ากว้าง มีประชากรบางส่วนใช้พื้นที่เพาะปลูกเพื่อยังชีพ และยังเคยผ่านการเปลี่ยนแปลงอำนาจอาณานิคมหลายครั้ง ตั้งแต่การอยู่ภายใต้สยาม การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส จนถึงการประกาศเอกราชของกัมพูชา หากจะเข้าใจการเติบโตทางเศรษฐกิจของปอยเปต เมืองชายแดนห่างไกลจากเมืองหลวง จำเป็นต้องย้อนกลับไปถึงแนวคิดของรัฐบาลกัมพูชาในการหารายได้จากกิจการกาสิโนซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการดัดแปลงสถานพักผ่อนยุคอาณานิคมฝรั่งเศสให้กลายเป็นรีสอร์ทและคาสิโน เพื่อใช้เป็นแหล่งรายได้ของรัฐ อย่างไรก็ตาม รายได้จากกาสิโนเพียงแห่งเดียวยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ รัฐบาลกัมพูชาจึงดำเนินกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์การค้า โรงแรม และกาสิโน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา พร้อมได้รับใบอนุญาตดำเนินกิจการกาสิโน โดยเฉพาะในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศ แต่การขยายตัวของกาสิโนในพนมเปญ ทั้งที่ถูกกฎหมายและลักลอบเปิด ดันให้เกิดปัญหาสังคมอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรม พฤติกรรมติดการพนัน และการขยายตัวของเศรษฐกิจสีเทา จนในปี พ.ศ. 2541 นายกรัฐมนตรีฮุน เซน สั่งกวาดล้างคาสิโนผิดกฎหมาย และห้ามเปิดกาสิโนในรัศมี 200 กิโลเมตรจากเมืองหลวง คำสั่งดังกล่าวทำให้ธุรกิจกาสิโนส่วนใหญ่ต้องย้ายออกจากพนมเปญ โดยพื้นที่ชายแดน เช่น ปอยเปตและบาเวต กลายเป็นปลายทางใหม่ที่ได้รับอานิสงส์จากข้อจำกัดเชิงภูมิศาสตร์และกฎหมาย เมืองชายแดนเหล่านี้สามารถดึงดูดรายได้จากนักท่องเที่ยวและนักพนันต่างชาติได้อย่างมหาศาล . เศรษฐกิจปอยเปต: เติบโตจากด่าน มากกว่าดิน การเข้ามาของกาสิโนในปอยเปตส่งผลให้เมืองมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ นักท่องเที่ยวและนักเสี่ยงโชคจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ส่งผลให้ธุรกิจในพื้นที่เฟื่องฟู ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม ศูนย์การค้า และกาสิโนที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ส่วนใหญ่ดำเนินกิจการโดยนักการเมือง นักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพล หรือแม้แต่บุคคลในภาครัฐเอง ปรากฏการณ์นี้ก่อให้เกิดคำถามจากประชาชนว่า ปอยเปตสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศและประชาชนทั่วไปจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแหล่งรายได้ของกลุ่มทุนรายใหญ่ที่ดูดเงินและทรัพยากรจากพื้นที่โดยไม่กระจายผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม และนอกจากนี้ ปอยเปตยังถูกจับตาว่าเป็นแหล่งกบดานของอาชญากรรมไซเบอร์ ฟอกเงิน และทุนจีนสีเทา ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองกลายเป็น “เมืองสีเทา” ที่พึ่งพารายได้จากธุรกิจผิดกฎหมายและการพนันเป็นหลัก ที่มา: กรมการค้าต่างประเทศ การเติบโตของปอยเปตได้กลายเป็นแรงผลักสำคัญต่อการค้าชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชา ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ (ม.ค.–พ.ค. 2567) ระบุว่า มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชากว่าครึ่ง (80,723 ล้านบาท หรือ 48.3%) เกิดขึ้นผ่านเส้นทางชายแดน โดยเฉพาะด่านปอยเปต–อรัญประเทศซึ่งมีสัดส่วนถึง 63.4% ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมด นอกจากนี้ ปอยเปตยังเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ภายใต้โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Poipet SEZ) ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักของรัฐบาลกัมพูชาในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป บรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และสายไฟ โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้า ต้นทุนแรงงานต่ำและแรงงานจำนวนมาก ส่งผลให้ประเทศอย่างจีน เวียดนาม มาเลเซีย

ปอยเปต ประตูชายแดนกัมพูชา เศรษฐกิจของเมืองที่โตจาก “ด่าน” มากกว่า “ดิน” อ่านเพิ่มเติม »

งานบุญแห่ ผีตาโขน หน้ากากผีเอกลักษณ์ สะท้อนความเชื่อท่องถิ่น บินไกลสู่สากล

1.ประเพณีเดือน 7 : ประเพณีการละเล่นผีตาโขนในงานบุญหลวง จังหวัดเลย ผีตาโขน เป็นคำเรียกชื่อการละเล่นชนิดหนึ่งที่ผู้เล่นต้องสวมหน้ากากที่วาดหรือแต้มให้น่ากลัวแต่งกายด้วยชุดทำจากเศษผ้านำมาเย็บติดกัน ซึ่งจะเข้าร่วมขบวนแห่และมีการแสดงท่าทางต่าง ๆ เพื่อสร้างความตื่นเต้น สนุกสนาน รื่นเริง ในระหว่างที่มีงานบุญประเพณีใหญ่หรือที่เรียกว่า “งานบุญหลวง” หรือ “บุญผะเหวด” ซึ่งตรงกับเดือน 7เป็นการละเล่นที่มีเฉพาะในท้องที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ว่ากันว่าการแห่ผีตาโขนเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและนางมัทรีจะเดินทางออกจากป่ากลับสู่เมือง บรรดา ผีป่าหลายตน และสัตว์นานาชนิดอาลัยรักจึงพาแห่แหนแฝงตัวแฝงตน มากับชาวบ้านเพื่อมาส่งทั้งสอง พระองค์ กลับ เมือง “ผีตามคน” หรือ “ผีตาขน” จนกลายมาเป็น “ผีตาโขน” อย่างในปัจจุบัน Chaikom / Shutterstock.com . จังหวัดเลย อำเภอด่านซ้าย ณ ที่แห่งนี้ได้มีการกำเนิดประเพณีที่มีต้นกำเนิดมาจากเวสสันดรชาดก พระชาติที่ 10 ที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้า หรือ ตำนานผีตามคนนั่นเอง โดยในปีนี้ประเพณีผีตาโขน จะถูกจัดขึ้นที่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย วันที่ 28-30 มิถุนายน ปี 2568 ภายในงานปีนี้ก็จะมีกิจกรรมมากมายตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น วันโฮม,ขบวนแห่,สู่ขวัญเจ้าพ่อกวน และ เจ้าแม่นางเทียม,มีพิธีจุดบั้งไฟขอฝนอีกด้วย และยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายภายในงาน ภาพจาก:ด่านซ้ายไทเลย งานประเพณีบุญหลวง และงานผีตาโขน จะมีหลักๆ 3 วันด้วยกันคือ วันที่ 1 เป็น เทศกาลผีตาโขน ซึ่งเรียกวันนี้ว่า วันรวม หรือ วันโฮม จะมี พิธีเบิกพระอุปคุต พิธีการบวชพราหมณ์ เพื่อเชิญพระอุปคุต พิธีแห่จากวัดโพนชัย ไปริมฝั่งแผ่น้ำหมันเพื่อเชิญพระอุปคุต พิธีงมพระอุปคุตจากแม่น้ำหมันอัญเชิญขึ้นประดิษฐานหออุปคุต วัดโพนชัย พิธีเบิกพระอุปคุต พร้อมยิงปืนทั้ง 4 ทิศ พิธีบายศรีสู่ขวัญเจ้าพ่อกวนและเจ้าแม่นางเทียม วันที่ 2 เป็น วันแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง หรือ ขบวนแห่ผีตาโขน พิธีสู่ขวัญพระเวส อัญเชิญพระเวสเข้าเมือง ขบวนแห่พระเวสเข้าเมือง (ขบวนแห่ผีตาโขน) เจ้าพ่อกวนและคณะ นำขบวนแห่ไปวัดโพนชัยแห่รอบโบสถ์ 3 รอบ เจ้าพ่อกวนและคณะจุดบั้งไฟขอฝน คณะผู้เล่นบุญนำหน้ากากผีตาโขนน้อยและผีตาโขนใหญ่ทิ้งลงแม่น้ำหมัน วันที่ 3 เป็น วันฟังเทศน์มหาชาติ 13 กัณฑ์ พิธีสวดมาลัยหมื่นมาลัยแสน ในการฟังเทศมหาชาติ พิธีสวดชำฮะเพื่อขอขมาลาโทษสะเดาะเคราะห์รับโชค นำอาหารหวานใส่กระทง เพื่อให้ทานสะเดาะเคราะห์ และสืบชะตาบ้านเมือง พ่อแสนท้าพิธี “จำเนื้อจำคิง” เพื่อการสะเดาะเคราะห์ นำเครื่องสะเดาะเคราะห์ทิ้งลงแม่น้ำหมัน พิธีคารวะองค์องค์พระใหญ่ โดยเจ้าพ่อกวนและคณะ เป็นอันเสร็จพิธี และประเพณียังคงมีความเชื่อกันว่า สำหรับคนที่เล่นหรือมีการแต่งตัวเป็น ผีตาโขนใหญ่ ต้องถอดเครื่องแต่งกายผีตาโขนใหญ่ออกให้หมดและนำไปทิ้งในแม่น้ำหมัน ห้ามนำเข้าบ้าน เป็นการทิ้งความทุกข์ยากและสิ่งเลวร้ายไปอีกด้วย 2.หนึ่งเดียวในภาคอีสาน ผีตาโขนของชาวไท-เลย ทำไมประเพณีผีตาโขนจึงมีเพียงที่เดียวในภาคอีสาน และพบเฉพาะในจังหวัดเลย? คำตอบอยู่ที่ความเชื่อที่ฝังแน่นในวิถีชีวิตของชาวไท–เลย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ไท–ลาวในอำเภอด่านซ้าย ซึ่งมีความเชื่อแบบ พุทธผสมอนิมิสต์ หรือศรัทธาที่ผสานระหว่างพุทธศาสนาและความเชื่อพื้นบ้านที่เชื่อว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา

งานบุญแห่ ผีตาโขน หน้ากากผีเอกลักษณ์ สะท้อนความเชื่อท่องถิ่น บินไกลสู่สากล อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top