SHARP ADMIN

คนไทย🇹🇭 มีลูกน้อยลง นักประชากรศาสตร์ เผย คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30%

สถิติโลกเผย ประเทศไทยติด TOP3 อัตราการเกิดต่ำลงสุดในโลก ลดลงมากถึง 81% ในรอบ 74 ปีที่ผ่านมา แซงหน้าประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อย ปัญหาการลดลงของประชากร เป็นปัญหาที่ทั่วโลกต้องเจอ เนื่องด้วยเศรษฐกิจ มลภาวะ สภาพแวดล้อมต่างๆ ไม่เอื้อให้คนอยากมีลูก ล่าสุด Global Statistics ได้ออกมาเปิดสถิติการเกิดของประเทศต่างๆในโลก โดยพบว่า ประเทศไทย มีอัตราการเกิดต่ำอยู่ในอันดับ 3 จาก 80 ประเทศทั่วโลก ลดลงมากถึง 81% Global Statistics ทำการดึงข้อมูลมาจาก United Nations Population Division (UNPD) และรวบรวมตั้งแต่ปี 1950-2024 ซึ่งประเทศไทยอัตราการเกิดลดลงถึง 81% ในช่วง 74 ปีที่ผ่านมา โดย 5 อันดับแรก คือ ประเทศ เกาหลีใต้ (88%), จีน (83%), ไทย (81%), ญี่ปุ่น (80%), และ อิหร่าน (75%) ทำให้ชาวเน็ตส่วนหนึ่งวิเคราะห์อันดับการเกิดที่ลงจากประเทศที่ติดอันดับ TOP5 พบว่าหลายประเทศมีความชายเป็นใหญ่ มีกรอบกดทับเพศหญิงเยอะ หรือบางประเทศก็มีปัญหาเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ ประกอบกับหลายคนให้ความเห็นว่าอาจจะเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสุขภาพของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับมลภาวะและอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ส่งผลต่อร่างกาย 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นคนโสด นอกจากคนโสดจะมีมากขึ้น แต่แนวโน้มของครอบครัวก็มีขนาดลดลง และเป็นครอบครัวที่ไม่มีบุตรมากขึ้น ทั้งด้วยภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือปัจจัยอื่นๆ ซึ่งสามารถอ่านต่อได้ที่บทความที่แนบด้านล่างนี้ คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30% #โลกในขณะที่ประชากรโลกกำลังเพิ่มช้าลง จำนวนและสัดส่วนของประชากรสูงอายุกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปี พ.ศ.2565 ทั่วทั้งโลกมีประชากรสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากถึง 1,109 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรโลก 8,000 ล้านคน . #อาเซียน ในปี พ.ศ.2565 มี 7 ใน 10 ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” ที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่าร้อยละ 10 เหลือเพียง 3 ประเทศได้แก่ลาวกัมพูชาและฟิลิปปินส์เท่านั้นที่ยังไม่เป็นสังคมผู้สูงอายุ . #ประเทศไทย  ปี 2564 เป็นครั้งแรกที่อัตราการเกิดของเด็กไทยต่ำกว่าอัตราการตาย และอัตราการเกิดมีเเนวโน้มลดลงในทุกๆ ปีเเละคาดการณ์ว่าจะลดลงโดยไม่มีทีท่าจะเพิ่มขึ้น ผนวกกับอัตราการตายที่ลดลง ทำให้อัตราการเปลี่ยนเเปลงของประชากรตามธรรมชาติมีเเนวโน้มลดลงตามไปด้วย ซึ่งการที่อัตราการเปลี่ยนเเปลงของประชากรตามธรรมชาตินี้ลดลง ทำให้ประชากรในอนาคตจะมีอายุเฉลี่ยที่มากขึ้นเรื่อยๆ . จากวิถีชีวิตของหนุ่มสาวที่เปลี่ยนไป […]

คนไทย🇹🇭 มีลูกน้อยลง นักประชากรศาสตร์ เผย คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30% อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา!

ฮู้บ่ว่ามากกว่า 1 ใน 4 ของสิ่งปลูกสร้างอยู่ที่ภาคอีสาน โดยในภาคอีสานมีบ้านกว่า 7.5 ล้านหลัง จาก 27.7 ล้านหลังทั่วไทย ISAN Insight and Outlook พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา! . มื่อนี่เฮามาพร้อมข้อมูลที่น่าสนใจหลายเด้อ! รู้บ่ว่าแต่ละจังหวัดในอีสานมีจำนวนบ้านเท่าไหร่บ้าง? จากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความคึกคักอย่างนครราชสีมา ไปจนถึงชุมชนอันเงียบสงบในบึงกาฬ ทุกพื้นที่ต่างมีลักษณะบ้านเรือนที่สะท้อนถึงความหลากหลายและวิถีชีวิตของคนอีสานที่ไม่เหมือนกัน . ข้อมูลสถิติเหล่านี้บ่ได้มีแค่ตัวเลข แต่ยังสะท้อนภาพการเติบโตของชุมชน ความหนาแน่นของประชากร และแนวโน้มของการพัฒนาเมืองในอนาคต หากเฮามองลึกลงไป การรู้ว่าจังหวัดใดมีบ้านหลายหรือหน่อย ยังสามารถช่วยในเรื่องการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน การจัดสรรทรัพยากร และการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อีกด้วย . ที่มา กรมการปกครอง สำนักงานสถิติ . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #จำนวนบ้านในอีสาน

พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา! อ่านเพิ่มเติม »

กาฬสินธุ์ ถิ่นน้ำดำจากจังหวัดที่ยากจน สู่จังหวัดที่เติบโตด้านการท่องเที่ยว✈️ และลงทุนจากจีนอันดับ 2 ของภาคอีสาน

กาฬสินธุ์ถิ่นน้ำดำ แดนไดโนเสาร์  . .     จังหวัดกาฬสินธุ์อีกหนึ่งจังหวัดในภาคอีสานที่มีธรรมชาติ ศิลปะ และ วัฒนธรรมที่สวยงาม และ เป็นจังหวัดที่มีการค้นพบ ฟอลซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์อย่าง ไดโนเสาร์ เป็นที่แรกของประเทศไทย อีกด้วยที่มีการค้นพบและปัจจุบันก็ยังมีการค้นพบอยู่ และอีกอย่างที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือความสวยงามของจังหวัดกาฬสินธุ์ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ท่องเที่ยว หรือ ธรรมชาติที่สวยงามของกาฬสินธุ์ และ ปัจจุบันได้มีการลงทุนจากภายนอกอีกด้วย  . แล้วทำไมจังหวัดกาฬสินธุ์ของเราถึงเป็นอีกหนึ่งในที่ลงทุนจากภายนอกล่ะแล้วมันมีโอกาสการเติบโตมากแค่ไหน อีสานอินไซต์จะพามาเบิ่ง . 1.โครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัด กาฬสินธุ์              จังหวัดกาฬสินธุ์มีขนาดพื้นที่ 6,947 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 968,465 คน และในปี 2564 จังหวัดกาฬสินธุ์ขนาดเศรษฐกิจของจังหวัด อยู่ที่ 60,997 ล้านบาท และรายได้ต่อหัวของจังหวัดอยู่ที่ 77,397 บาท . มีโครงสร้างเศรษฐกิจและธุรกิจ SME ดังนี้ -ภาคบริการ คิดเป็น 43% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหารมีผู้ประกอบการอยู่ 3,051 ราย -ภาคการเกษตร คิดเป็น 26% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การเลี้ยงโคนมและโคเนื้อ มีผู้ประกอบการอยู่ 364 ราย -ภาคการผลิต คิดเป็น 20% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การทอผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ   มีผู้ประกอบการอยู่ 4,791ราย  -ภาคการค้า คิดเป็น 12% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การขายปลีกสินค้าในร้านค้าทั่วไป มีผู้ประกอบการอยู่ 4,687 ราย  สินค้า GI ของจังหวัด ได้แก่ ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ ข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์ และพุทรานมบ้านโพน . . จากโครงสร้างเศรษฐกิจพบว่า GPP ของจังหวัดกาฬสินธุ์นั้น มีความคงที่ ไม่ได้มีการเติบโตขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่อันดับ 12  ของภูมิภาค มาตลอด แม้กระทั่งในปี 2565 ที่ผ่านมาเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้รายได้ต่อหัว (GPP Per capita) มีอันดับที่คงที่เช่นกัน อยู่ในอันดับที่12 ของภูมิภาค  และถ้าเราลองวิเคราะห์ต่อไปยัง รายได้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี แล้วยังมีค่าครองชีพที่ต่ำที่สุดในกลุ่มจังหวัด “ร้อยแก่นสารสินธุ์” . แต่ยังมีข้อสังเกต คือ กาฬสินธุ์ยังมีความเจริญที่กระจุกตัวในตัวอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ โดยหากดูเฉพาะข้อมูลของจำนวนเงินฝากในธนาคารทั้งจังหวัดเราจะพบว่าอำเภอเมืองกาฬสินธุ์มีจำนวนเงินฝากกว่า 1.6 หมื่นล้าน หรือคิดเป็น 89.2%

กาฬสินธุ์ ถิ่นน้ำดำจากจังหวัดที่ยากจน สู่จังหวัดที่เติบโตด้านการท่องเที่ยว✈️ และลงทุนจากจีนอันดับ 2 ของภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

รถถูกยึดขายออกไม่ทัน เต็มลานประมูล สะท้อนภาพเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์

ตลาดรถยนต์ปิดยอดขายเดือนกันยายน 2567 ประมาณ 39,000 คัน ซึ่งเป็นยอดต่อเดือนที่ต่ำที่สุดในรอบ 51 เดือน หลังจากวิกฤตโควิด19 ขณะที่ตลาดรวม 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ร่วง 25% โตโยต้า คาดตัวเลขรวมทั้งปีอาจไม่ถึง 6 แสนคัน ตลาดรถยนต์เมืองไทยเดือนกันยายน 2567 ทำยอดขายได้ประมาณ 39,000 คัน ถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่า 4 หมื่นคันครั้งแรกในรอบ 51 เดือน หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เดือนเมษายน 2563 มีตัวเลขแค่ 30,109 คัน   จากยอดขาย 39,000 คัน ถือว่าลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน นับตั้งแต่มิถุนายน 2567 ทั้งยังส่งผลให้ตลาดรวม 3 ไตรมาส ปิดตัวเลข 4.38 แสนคัน ลดลง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มา: กรมการขนส่งทางบก   ปัจจัยต่อมากน้อยจากตัวแบรนด์หรือผู้จัดจำหน่ายแล้วนั้นยังคงมีปัจจัยอื่นๆอีกได้แก่ สถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากความกังวลของทางธนาคารต่อผู้กู้ในด้านของความสามารถในการชำระหนี้ จากช่วงก่อนหน้านี้ที่มีประเด็นเรื่องหนี้ครัวเรืองสูง และเป็นหนี้เสียเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนี้บ้าน หนี้รถ และหนี้บัตรเครดิต กำลังซื้อของประชาชนยังคงอ่อนแอ หากมองในด้านของการซื้อรถกระบะไปใช้งานโดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นกลุ่มผู้ที่อยู่ในภาคเกษตรกรรม และการขนส่ง เหตุผลส่วนหนึ่งสอดคล้องกับข้อก่อนหน้าในด้านของหนี้สิน และอีกส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยในด้านของราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ผันผวน ส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร   จากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้นไม่ได้ส่งผลต่อรถกระบะเท่านั้น แต่ส่งผลต่อรถจดทะเบียนใหม่ในภาพรวมทั่วประเทศไม่ใช่เฉพาะภาคอีสานเท่านั้น จากกราฟที่ 2 แสดงให้เห็นว่าภาพรวมของรถจดทะเบียนใหม่ในภาพอีสานเริ่มมียอดจดทะเบียนใหม่ต่ำลงตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจดทะเบียนใหม่รถกระบะนั้นลดลงหนักกว่ารถประเภทอื่น และฟื้นตัวช้ากว่ารถประเภทอื่นเช่นกัน โดยคาดว่าจะคงเป็นแบบนี้ไปจนถึงช่วงปีหน้า แต่ทั้งนี้ก็เริ่มมีสัญญาณที่ดีทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 0.25% และคาดว่าในช่วงต้นปีหน้าจะมีการปรับลดอีครั้งหนึ่ง จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve System: FED) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ 0.25% หลังจากก่อนหน้านี้ในเดือนกันยามีการปรับลดรอบแรก 0.5% และปัจจัยอีกส่วนหนึ่งคือการที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อนโยบายของไทยจะอยู่ในกรอบเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ที่มา: กรมการขนส่งทางบก   ลานประมูลรถมือสองคึกคัก สยามอินเตอร์การประมูลโคราช เปิดให้ชาวโคราชและจังหวัดใกล้เคียง เข้าประมูลรถยึดขายทอดตลาด คัดเฉพาะคันสวย สภาพดี ประมูลรถยนต์/มอเตอร์ไซค์ : วันที่ 11-12 ธ.ค. 67 รถยนต์ 11 ธ.ค. 67 มอเตอร์ไซค์ 12 ธ.ค. 67 เริ่มเวลา 11.11น ฟรีบริการอาหารและเครื่องดื่ม สามารถเข้าชมบรรยากาศงานประมูลได้ฟรี สนใจลงทะเบียนประมูลและสอบถามเพิ่มเติม https://lin.ee/2oVYYCO สยามอินเตอร์การประมูล ถนนเลี่ยงเมือง ต.หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา ใกล้ สารสาสน์วิเทศโคราช โลเคชั่น https://bit.ly/3woD4DR

รถถูกยึดขายออกไม่ทัน เต็มลานประมูล สะท้อนภาพเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์ อ่านเพิ่มเติม »

38 ปีของความไว้วางใจ ไปที่ไหนกี่ครั้งก็สุขหัวใจทุกครั้ง เมื่อไปกับ…นครชัยแอร์

เมื่อพูดถึงการเดินทางไปยังต่างจังหวัด เรามีตัวเลือกที่หลากหลายให้เลือกใช้ แต่หากพูดถึงการเดินทางด้วยรถทัวร์ เชื่อว่าหนึ่งในชื่อที่หลายคนจะนึกถึงและพูดถึงในวงสนทนาอย่างแน่นอนก็คือ “นครชัยแอร์” บริษัทที่เป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน นครชัยแอร์เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยคุณจักรินทร์ วงศ์เบญจรัตน์ ทายาทของนายซง วงศ์เบญจรัตน์ ผู้ก่อตั้ง “นครชัยขนส่ง” โดยเริ่มดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2529 ด้วยเส้นทางเดินรถระหว่างกรุงเทพฯ-ขอนแก่น และกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี โดยใช้รถโดยสารเพียง 20 คันในระยะแรก เพียงหนึ่งปีต่อมา บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ด้วยการเป็นเจ้าแรกที่ใช้คำว่า “รถนอนพิเศษ” พร้อมลดจำนวนที่นั่งในรถจาก 42 เหลือเพียง 32 ที่นั่ง โดยเน้นความกว้างขวางและสามารถปรับเอนนอนได้ แม้จะส่งผลให้ต้นทุนต่อรอบสูงขึ้น แต่กลยุทธ์นี้ช่วยดึงดูดลูกค้าที่มองหาความสะดวกสบายในการเดินทางระยะไกล แม้ค่าบริการจะสูงกว่าคู่แข่งก็ตาม ในปี พ.ศ. 2535 นครชัยแอร์ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ด้วยการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจองตั๋วและสำรองที่นั่ง ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) และเพิ่มความสะดวกให้ทั้งผู้โดยสารและพนักงาน ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 บริษัทได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการขนส่ง ด้วยการเปิดตัวบริการ “NCA First Class” ที่มีที่นั่งเพียง 21 ที่เท่านั้น มอบประสบการณ์การเดินทางที่เป็นส่วนตัวและสะดวกสบายอย่างเหนือชั้น บริการนี้ได้รับการตอบรับอย่างดี แม้ราคาจะสูงกว่าตั๋วโดยสารทั่วไปประมาณ 100-200 บาท เนื่องจากผู้โดยสารยอมจ่ายเพื่อความสบายและคุณภาพที่ดีขึ้น ในปัจจุบัน นครชัยแอร์ยังคงพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง โดยนำรถลำตัวยาว 15 เมตร (safety coach) มาใช้ในบริการ First Class เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวก นอกจากนี้ ทุกที่นั่งของนครชัยแอร์ยังติดตั้งหน้าจอความบันเทิงส่วนตัว ซึ่งเป็นจุดเด่นที่หลายบริษัทคู่แข่งยังไม่มี เนื่องจากต้นทุนที่สูง ทั้งในด้านการติดตั้ง ค่าลิขสิทธิ์เนื้อหา และค่าบำรุงรักษาระยะยาว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้โดยสาร   นครชัยแอร์แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตและการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยในปี พ.ศ. 2556 บริษัทได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังอาคารที่ 109 ถนนวิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร เพื่อรองรับการขยายตัวของกิจการ และล่าสุด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ได้ย้ายสำนักงานใหญ่อีกครั้งไปยัง 21/88 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ เพื่อสอดรับกับการเติบโตและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นครชัยแอร์ยังแสดงถึงความสามารถในการปรับตัวตามสถานการณ์ โดยปรับปรุงภายในรถโดยสารให้รองรับมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดความใกล้ชิดระหว่างผู้โดยสาร และเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการอาหารจากการรับประทานบนรถ เป็นการจอดพักให้ผู้โดยสารลงไปรับประทานอาหารแทน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ   วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนส่งมวลชน ซึ่งพึ่งพาผู้โดยสารในการสร้างรายได้ แต่สถานการณ์โรคระบาดที่บีบบังคับให้ผู้คนต้องกักตัวอยู่บ้าน ลดการเดินทาง และทำงานแบบ Work from Home ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการขนส่งมวลชนลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ การปิดประเทศในหลายพื้นที่ทั่วโลกเพื่อควบคุมการระบาด ยังส่งผลให้การเดินทางเพื่อธุรกิจและการท่องเที่ยวแทบหยุดชะงัก ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งหลายแห่งต้องเผชิญกับปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน บางรายต้องปลดพนักงาน

38 ปีของความไว้วางใจ ไปที่ไหนกี่ครั้งก็สุขหัวใจทุกครั้ง เมื่อไปกับ…นครชัยแอร์ อ่านเพิ่มเติม »

โรงไฟฟ้าพลังงานขยะขอนแก่น ต้นแบบด้านความยั่งยืนและพลังงานแห่งอีสาน

การนำขยะมาผลิตเป็นไฟฟ้า เป็นแนวคิดด้านความยั่งยืนที่เริ่มนิยมขึ้นในยุคสมัยใหม่ซึ่งผู้คนใส่ใจและให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานทดแทนนอกเหนือจากฟอสซิล ซึ่งภาคอีสานได้มีการนำขยะ มาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าแล้วที่ “โรงไฟฟ้าขยะชุมชนขอนแก่น” ตั้งอยู่ที่ บ้านคำบอน หมู่ 7 ต.โนนท่อน อ.เมืองขอนแก่น โรงไฟฟ้าขยะชุมชนขอนแก่น เดิมเป็นสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของทน.ขอนแก่น ต่อมาได้มีการร่วมมือกับเอกชนอย่างบริษัท อัลไลแอนซ์ คลีน เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) (ACE) ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดของไทย โรงไฟฟ้าขยะนี้เปิดดำเนินการเมื่อพ.ศ.2558 ภายใต้พื้นที่ 24 ไร่ โดยสามารถกำจัดขยะได้ 450 ตันต่อวัน โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าสูงสุด 6 เมกะวัตต์ต่อวัน  กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากขยะทำได้โดยขนขยะจากชุมชนขอนแก่นเข้ามายังโรงไฟฟ้า จากนั้นทำการเผาขยะด้วยอุณหภูมิ 850 – 1,050 องศาเซลเซียส ไอร้อนจากการเผาจะถูกนำไปใช้ในการปั่นเครื่องเครื่องผลิตไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกนำไปจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและกระจายสู่ชุมชนรอบๆ เทศบาลขอนแก่นเป็นแห่งแรกๆ ในอีสานที่มีการนำขยะมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า การร่วมมือกับเอกชนเป็นเรื่องดีในด้านงบประมาณและการจัดการ แต่ก็ยังมีอุปสรรคและปัญหา หลักๆคือปริมาณขยะจากชุมชนตกค้างที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้กำจัดขยะได้ไม่ทัน นอกจากนั้นชุมชนรอบๆได้มีการร้องเรียนเรื่องมลพิษทางกลิ่นและน้ำเสียที่มาจากโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าชุมชนขอนแก่น ถือได้ว่ามาถูกทางและเป็นกรณีศึกษาสำคัญในการใช้พลังงานทดแทนในอีสาน เป็นผลดีแก่การจัดตั้งและจัดการโรงไฟฟ้าขยะที่จะเกิดขึ้นในภาคอีสานและประเทศไทยในอนาคตต่อไป #โรงไฟฟ้าขยะ #สิ่งแวดล้อม   อ้างอิงจาก ระบบสารสนเทศ ด้านการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชน Absolute Clean Energy Public Company Limited ศูนย์ข่าวพลังงาน Thai PBS ศูนย์ข่าวภาคอีสาน  

โรงไฟฟ้าพลังงานขยะขอนแก่น ต้นแบบด้านความยั่งยืนและพลังงานแห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ทศวรรษแห่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจขอนแแก่นและการทิ้งห่างของเศรษฐกิจโคราช

ทศวรรษแห่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจขอนแก่นและการทิ้งห่างของเศรษฐกิจโคราช   หากพูดถึงจังหวัดใหญ่ๆ ในภาคอีสาน แน่นอนว่าทุกคนต้องนึกถึง ‘นครราชสีมา’ และ ‘ขอนแก่น’ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งอีสาน ที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด(GPP) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ เศรษฐกิจของทั้ง 2 จังหวัดเรียกได้ว่าตีคู่กันมาตลอด 30 ปี ซึ่งด้วยความที่นครราชสีมาเป็นจังหวัดอุตสาหกรรม มีประชากรและพื้นที่มากกว่าขอนแก่น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นครราชสีมาจะมีขนาดเศรษฐกิจที่มากกว่าขอนแก่นอยู่ระดับหนึ่ง โดยปี 2565 นครราชสีมามี GPP เท่ากับ 335,472 ล้านบาท และฝั่งขอนแก่น เท่ากับ 216,367 ล้านบาท เมื่อมามองที่ค่าผลต่างระหว่างมูลค่าของ GPP ทั้ง 2 จังหวัด (GPP นครราชสีมา ลบ GPP ขอนแก่น) ตั้งแต่ปี 2538 จนถึง ปี 2565 ที่แสดงในกราฟที่ 1 จะพบจุดสังเกตุสำคัญคือมูลค่าความต่างของGPP นครราชสีมาที่มากกว่าขอนแก่น เริ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะตั้งแต่ช่วงปี 2556 เป็นต้นมา  และหากนำ GPP ของทั้ง 2 จังหวัดตลอด 27 ปีนี้มาเปรียบเทียบดูเทรนด์โดยใช้กราฟเส้น จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 เส้นมีลักษณะ ‘บาน’ ออกจากกันมากในช่วงประมาณ 10 ปีหลัง และหากมองอย่างเจาะจงมากกว่านั้น จะเห็นว่า GPP ของนครราชสีมามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปกติ แต่ที่ทำให้เส้น GPP ทั้งสองมีลักษณะ ‘บาน’ ออกจากกันหรือทิ้งห่างกันมากขึ้น คือ GPP ของขอนแก่น ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง  นอกเหนือจากนั้น หากมาดูที่ค่าเฉลี่ยการเติบโตของ GPP 4 จังหวัด Big 4 อีสานตลอด 20 ปี โดยแบ่งช่วงเป็น 10 ปีแรก 2546 – 2555 และ 10 ปีหลัง 2556 – 2565 จะพบว่า ช่วง 10 ปีแรก GPP ขอนแก่นเติบโตเฉลี่ย 10% นครราชสีมา อุดรธานี และอุบลราชธานี เติบโตเฉลี่ยประมาณ 9% ซึ่งในช่วง 10 ปีหลัง ทั้ง 4 จังหวัดมีการเติบโตเฉลี่ยที่ลดลง ผลจากการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของทั้งประเทศหดตัว แต่หากเปรียบเทียบระหว่าง 4 จังหวัดกลับพบว่า ขอนแก่น มีการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยที่ต่ำกว่าอีก 3 จังหวัด

ทศวรรษแห่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจขอนแแก่นและการทิ้งห่างของเศรษฐกิจโคราช อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง 8 อันดับธุรกิจ ใน vs นอก ตลาดหุ้น ที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน

พาเปิดเบิ่ง 8 อันดับธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน . (1) บริษัทในตลาดหุ้น ภาคอีสานของเราก็มีหลายบริษัทที่สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ ซึ่งมีกว่า 17 บริษัทเลยทีเดียว แต่อีสานอินไซต์จะขอยกตัวอย่างมาเพียง 8 บริษัทในตลาดหุ้นที่มีรายได้รวมมากที่สุด . เมื่อพูดถึงภาคอีสานคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการทำเกษตรกรรมอย่างการปลูกข้าวนาปี, ยางพารา, มันสำปะหลัง และอ้อย นอกจากนี้แรงงานกว่า 37% ก็อยู่ในภาคการเกษตรด้วยเช่นกัน นั่นจึงส่งผลดีต่อธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรอย่างน้ำตาลขอนแก่น (KSL), แปรรูปมันสำปะหลัง (UBE) และ (PQS), ยางแผ่น (NER)  . โดยหุ้นที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสานก็คงหนีไม่พ้น วัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน รายใหญ่ระดับประเทศอย่างโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) และดูโฮม (DOHOME)  . และก็ยังมีหุ้นน้องใหม่มาแรงในปีนี้อย่างเจ้าสัว (CHAO) อีกด้วย . แต่ความมั่งคั่งของคนภาคอีสานนั้นกลับกระจุกตัวอยู่จังหวัดหัวเมืองหลักของภาคอีสาน จึงทำให้ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มต้นจากจังหวัดใหญ่ ๆ อย่างจังหวัดนครราชสีมาอย่างชิ้นส่วนยานยนต์ (PCSGH) . จะเห็นได้ว่าธุรกิจใหญ่หลาย ๆ ตัวมีจุดเริ่มต้นมาจากต่างจังหวัด ก็สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ ซึ่งการเริ่มต้นธุรกิจในต่างจังหวัดนี้ ก็เป็นเพียงหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้เติบโตและเป็นที่รู้จักขึ้นมาได้ แต่ก็ยังมีการทำการตลาดอื่น ๆ นอกจากนี้อีกด้วย อย่างการมีเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ชัดเจนและการทำการตลาดที่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ . . (2) บริษัทนอกตลาดหุ้น ส่วนบริษัทนอกตลาดหุ้นที่มีรายได้รวมที่มากก็มีเยอะเช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะมีหลายปัจจัยภายในที่ยังไม่มีแพลนที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นในเร็วๆนี้ . โดย 8 อันดับบริษัทที่มีรายได้รวมมากที่สุดในอีสาน ก็มักจะอยู่จังหวัดหัวเมืองของภาคอีสานเช่นเดียวกัน อย่างนครราชสีมา และขอนแก่น  . จังหวัดขอนแก่น มี “บจก.ห้างทองทองสวย” ที่ประกอบกิจการร้านขายทอง และ “บจก.นำรุ่งโรจน์” ที่ประกอบกิจการการขายส่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ . ส่วนจังหวัดนครราชสีมาก็หลากหลายบริษัท อย่าง “บจก.นำกิจการ” ที่ประกอบกิจการขายส่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  “บจก.เอสอีดับเบิ้ลยูที โคราช” และ “บจก.ฮิตาชิ แอสเตโม โคราช เบรก ซิสเตมส์” ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ “บจก.ศิลาบริการขนส่ง” ประกอบกิจการขายส่งสินค้าทั่วไป “บจก.คาสิโอ (ประเทศไทย)” ประกอบกิจการการผลิตนาฬิกา “บจก.ฟูไน (ไทยแลนด์)” ประกอบกิจการการผลิตเครื่องรับวิทยุเครื่องบันทึก . จะเห็นได้ว่าบริษัทที่มีรายได้รวมมากที่สุดในนครราชสีมาส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทจากต่างชาติที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตภายในจังหวัด ถึงก็แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพขอจังหวัดที่มีเหล่านักลงทุนจากหลาย ๆ ที่ให้ความสนใจในการลงทุนภายในจังหวัด  . ซึ่งก็จะปฏิเสธไม่ได้ว่า นครราชสีมาตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางรถไฟ และทางอากาศ ทำให้การขนส่งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปไปยังตลาดต่างๆ ทั่วประเทศและต่างประเทศทำได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการกระจายสินค้า . นอกจากนี้ การที่นครราชสีมามีบริษัทที่เป็นฐานการผลิตจำนวนมาก ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของจังหวัดในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น โรงงานอุตสาหกรรมสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก . อย่างไรก็ตาม การมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้เช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น . .

พาเปิดเบิ่ง 8 อันดับธุรกิจ ใน vs นอก ตลาดหุ้น ที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ปี2566

“ฮู้บ่ว่า? จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมของภาคอีสานบอกอะไรเราได้บ้าง?” . ภาคอีสาน, ดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งของแรงงาน และเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ข้อมูลจำนวนผู้ประกันตนในแต่ละประเภทในพื้นที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขธรรมดา แต่สะท้อนถึงโครงสร้างการจ้างงานและทิศทางการพัฒนาอย่างแท้จริง! มาตรา 33: ตัวเลขแรงงานที่ทำงานในบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ หากมีการเปลี่ยนแปลง จะส่งผลต่อภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในอีสาน ขยายหรือหดตัว? ตัวเลขนี้ตอบได้! มาตรา 39: แสดงถึงผู้ที่ยังคงรักษาสิทธิประโยชน์ แม้จะออกจากการเป็นลูกจ้างแล้ว สะท้อนความต้องการความมั่นคงในสวัสดิการ แม้ต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น มาตรา 40: กับยุคของแรงงานอิสระที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นสัญญาณว่าคนในภาคอีสานกำลังปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม . การเข้าใจตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในอีสาน ว่าจะก้าวไปทางไหน และยังช่วยกำหนดทิศทางนโยบายที่จะสนับสนุนแรงงานในภูมิภาคนี้ได้อย่างตรงจุด! . “เพราะในโลกของเศรษฐกิจและสังคม ตัวเลขไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นคงและคุณภาพชีวิตให้กับคนอีสาน” . ที่มา  สำนักงานประกันสังคม . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight . . #ISANInsight #อีสานอินไซต์ #อีสาน #ผู้ประกันตน#ผู้ประกันตนอีสาน2566

พาส่องเบิ่ง จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ปี2566 อ่านเพิ่มเติม »

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน สงครามเย็น (พ.ศ. 2490-2534) เป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา (นำโดยฝ่ายประชาธิปไตยและทุนนิยม) และสหภาพโซเวียต (นำโดยฝ่ายคอมมิวนิสต์) เป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ การเมือง และการแย่งชิงอิทธิพลในระดับโลก โดยประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ และพื้นที่ยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จังหวัดอุดรธานี มีความสำคัญมากในช่วงสงครามเย็นและสงครามเวียดนาม เนื่องจากเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศซึ่งสหรัฐฯ ใช้เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติการทางทหารในอินโดจีน โดยสามารถสรุปเหตุการณ์สำคัญช่วงสงครามเย็นในอุดรธานี ได้ดังต่อไปนี้ พ.ศ. 2488-2489 : การอพยพครั้งใหญ่ของชาวเวียดนาม หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและเวียดนามภายใต้การนำของโฮจิมินท์ประทุขึ้น คนเวียดนามหลายชีวิต หลบหนีการปราบจากฝรั่งเศส ข้ามฝั่งมายังชายแดนฝั่งโขงของไทย ในพื้นที่ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร(ในขณะนั้นยังคงเป็นอำเภอ) และขยายถิ่นฐานมาตั้งรกรากยังอุดรธานีและขอนแก่น พ.ศ. 2497 : การเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ในอีสาน สหรัฐฯ ภายใต้การนำของปธน. จอห์น เอฟ เคนเนดี เริ่มเข้ามามีบทบาทในการป้องกันการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งเป็นการเปิดฉากสงครามเวียดนาม ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าประเทศไทยเป็น “แนวหน้า” ของการต่อสู้กับการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายพื้นที่ในอีสาน รวมถึงอุดรธานี กลายเป็นพื้นที่สำคัญแก่กองทัพสหรัฐฯ ในการตั้งฐานทัพ พ.ศ. 2497-2505: เศรษฐกิจอุดรฯ ถูกพลิกโฉม สหรัฐฯ ได้มีการสนับสนุนงบประมาณ ในการก่อสร้างถนนมิตรภาพที่ตัดผ่านใจกลางเมืองอุดรจนแล้วเสร็จ รวมไปถึงเส้นทางรถไฟ และขยายถนนในแถบอีสานตอนบน ซึ่งวลีที่ว่า “ถนนไปที่ไหน ความเจริญไปที่นั่น” คงชัดเจนในกรณีของอุดรฯ ซึ่งเมืองอุดรในช่วงสงครามเวียดนามได้กลายเป็นศูนย์กลางการซื้อขายพืชเศรษฐกิจ การค้า การบริการ มีคนจีนอพยพเข้ามาค้าขายมาก ส่งผลเศรษฐกิจของอุดรธานีได้เจริญเติบโตในช่วงนี้ พ.ศ. 2507: กำเนิด “ค่ายรามสูร” เมืองอุดร ถูกเลือกเป็น 1 ใน 9 ที่ตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยเพื่อการสนับสนุนกำลังรบ และได้สร้าง “ค่ายรามสูร” เพื่อเป็นสถานีตรวจจับสัญญาณวิทยุ ฐานทัพมีทหารประจำการกว่า 8,500 คน ก่อให้เกิดการจ้างงานคนท้องที่กว่า 10,000 คนเพื่อเป็นลูกจ้างและเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ คนอุดรฯ มีการค้าขายและให้บริการกับทหารสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เศรษฐกิจอุดรธานี ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พ.ศ. 2519: สิ้นสุดสงคราม อุดรซบเซา หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และได้ถอนกำลังทหารออกจากไทย รวมถึงในอุดรฯ ส่งผลคนท้องที่สูญเสียแหล่งรายได้จากการจ้างงานและการค้าขายกับทหารสหรัฐฯ เศรษฐกิจของจังหวัดจึงได้ซบเซาลงอย่างรวดเร็ว เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี พ.ศ. 2531: จาก “ฐานทัพ” สู่ “ศูนย์กลางการค้าแห่งอีสาน” เศรษฐกิจจังหวัดอุดรธานีได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง ในยุคสมัยของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ที่ได้ประกาศนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ส่งผลให้อุดรฯ ที่ใกล้กับเวียงจันทร์ กลับมาเป็นศูนย์กลางการค้าของอีสานและได้พัฒนามาจวบจนปัจจุบัน ผลจากช่วงสงครามเย็นต่อเมืองอุดรฯในปัจุบัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐานหลายแห่งในอุดรธานียังคงเป็นมรดกจากช่วงสงครามเย็น ยกตัวอย่างที่สำคัญ

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top