SHARP ADMIN

พามาเบิ่ง🧐ความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่และพีระมิดประชากรกัมพูชา🇰🇭

พามาเบิ่งความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่และพีระมิดประชากรกัมพูชา . กัมพูชามีประชากรรวมประมาณ 16.3 ล้านคน คนกัมพูชาส่วนใหญ่พูด ภาษาเขมร (Khmer) ซึ่งเป็นภาษาราชการและภาษาหลักของประเทศ . มีเนื้อที่ประมาณ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือมีขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย เส้นเขตแดนโดยรอบประเทศยาวประมาณ 2,000 กิโลเมตร โดยมีเส้นเขตแดนติดต่อกับประเทศไทยยาว 798 กิโลเมตร . #ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระจุกตัวของประชากร เศรษฐกิจและโอกาสการจ้างงาน – เมืองใหญ่ เช่น พนมเปญ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การศึกษา และอุตสาหกรรม ทำให้มีประชากรอพยพเข้ามาทำงาน โครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม – พื้นที่ที่มีถนนและเส้นทางคมนาคมที่ดีจะดึงดูดผู้คนให้มาตั้งรกราก เช่น จังหวัดรอบ ๆ ทะเลสาบโตนเลสาบ (Tonle Sap) สภาพภูมิประเทศ – พื้นที่ที่เป็นภูเขาหรือป่าไม้ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ มีประชากรเบาบาง . #วิเคราะห์พีระมิดประชากรกัมพูชา โครงสร้างเป็นพีระมิดฐานกว้าง– มีประชากรวัยเด็ก (0-14 ปี) และวัยแรงงานตอนต้น (15-29 ปี) จำนวนมาก แสดงถึงอัตราการเกิดที่ยังสูง แม้จะเริ่มลดลงเมื่อเทียบกับอดีต อัตราการลดลงของประชากรเมื่ออายุสูงขึ้น– เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังวัย 50 ปีขึ้นไป สัดส่วนประชากรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงอายุขัยเฉลี่ยที่ยังไม่สูงมาก จำนวนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในวัยสูงอายุ– หลังอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย ซึ่งเป็นแนวโน้มปกติในหลายประเทศ เนื่องจากอายุขัยเฉลี่ยของผู้หญิงมักสูงกว่าผู้ชาย กัมพูชามีโครงสร้างประชากรที่ค่อนข้างหนุ่มสาว และมีกำลังแรงงานที่กำลังเติบโต ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ต่อไปนี้เป็นภาพรวมของประชากรและโครงสร้างวัยแรงงานของกัมพูชา: ภาพรวมประชากร ขนาดประชากร: ประมาณ 17 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ. 2566) อัตราการเติบโต: อัตราการเติบโตของประชากรค่อนข้างสูง การกระจายตัว: ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท แต่การย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองกำลังเพิ่มขึ้น โครงสร้างอายุ กัมพูชามีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก โดยมีสัดส่วนประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานสูง สัดส่วนประชากรวัยแรงงานที่สูงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โครงสร้างวัยแรงงาน กำลังแรงงานส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมสิ่งทอ ภาคบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว กำลังเติบโตและสร้างโอกาสการจ้างงานเพิ่มขึ้น รัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป ลักษณะเฉพาะของโครงสร้างประชากรและวัยแรงงาน ประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก: ก่อให้เกิดโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ก็มีความท้าทายในการสร้างงานและให้การศึกษาแก่เยาวชน การเปลี่ยนแปลงจากภาคเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการ: ส่งผลต่อความต้องการแรงงานที่มีทักษะที่แตกต่างกัน การย้ายถิ่นฐาน: การย้ายถิ่นฐานจากชนบทสู่เมืองก่อให้เกิดความท้าทายในการจัดการกับการเติบโตของเมืองและสร้างโอกาสในการจ้างงานในเมือง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ประชากรวัยแรงงานที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การพัฒนาทักษะแรงงานเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกัมพูชาในเศรษฐกิจโลก การจัดการกับการเติบโตของเมืองและการสร้างโอกาสการจ้างงานในเมืองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีประชากรและโครงสร้างวัยแรงงานที่สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทักษะแรงงานและการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต “กัมพูชาเข้ามาทำงานที่คนไทยไม่ทำ และอุตสากรรมก่อสร้างและอสังหาฯ ใช้แรงงานต่างด้าวเป็นหลัก” แรงงานชาวกัมพูชาเข้ามาทำงานในประเทศไทยด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้: โอกาสในการหารายได้ที่สูงกว่า: ค่าแรงในประเทศไทยโดยทั่วไปสูงกว่าในกัมพูชา ทำให้แรงงานชาวกัมพูชาจำนวนมากต้องการเข้ามาทำงานในไทยเพื่อหารายได้ที่มากขึ้น เพื่อส่งกลับไปจุนเจือครอบครัว ความต้องการแรงงานในประเทศไทย: ประเทศไทยมีความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น […]

พามาเบิ่ง🧐ความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่และพีระมิดประชากรกัมพูชา🇰🇭 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง! ปริมาณการจราจรผ่านสะพานมิตรภาพ

  รถยนต์(คัน) รถโดยสาร(คัน) รถบรรทุก(คัน) สะพาน1   91503 51130 387692 % 17% 10% 73%   สะพาน 2 17251 5431 33141 % 31% 10% 59%   สะพาน 3 27323 6581 160689 % 14% 3% 83%   สะพาน 4  12202 792 88090 % 12% 1% 87%   ในยุคที่การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการคมนาคมมีความสำคัญ ข้อมูลปริมาณการจราจรทางถนนผ่านสะพานระหว่างประเทศที่มีด่านเก็บค่าธรรมเนียม  จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินการเคลื่อนย้ายและการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ . 1.ค่าธรรมเนียม หมายถึง ค่าบริการที่เรียกเก็บในการผ่านทางสะพานมิตรภาพที่กรมทางหลวงรับผิดชอบ 2.ปริมาณการจราจร หมายถึง ปริมาณยานพาหนะที่ใช้งานสะพานมิตรภาพ ทั้งขาเข้าและขาออก . ประเภทของรถที่ผ่านสะพานประเทศ รถยนต์ ได้เเก่  รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง, รถโดยยสาร ได้เเก่ รถโดยสารขนาดเล็ก 7 ที่นั่งแต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง,รถโดยสารขนาดเล็ก 7 ที่นั่งแต่ไม่เกิน 20 ที่นั่ง,รถโดยสารขนาดกลาง 12 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 24 ที่นั่ง,รถโดยสารขนาดใหญ่เกิน 20 ที่นั่ง,รถโดยสารขนาดใหญ่เกิน 24 ที่นั่ง รถบรรทุก ได้เเก่ รถบรรทุก 4 ล้อ,รถบรรทุก 6 ล้อ ,รถบรรทุก 10 ล้อ,รถบรรทุกเกิน 10 ล้อ . . ปริมาณการจราจรทางถนนผ่านสะพานระหว่างประเทศที่มีด่านเก็บค่าธรรมเนียม . สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์)     530,325 คัน  สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต)     55,823 คัน สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน)         194,593 คัน  สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) 

พามาเบิ่ง! ปริมาณการจราจรผ่านสะพานมิตรภาพ อ่านเพิ่มเติม »

ราคาที่ดินทะยาน โรงงานจีนขยายฐาน ต่างชาติแห่ลงทุน

. ฮู้บ่ว่า? ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายฐานการผลิตของจีน ซึ่งกว่า 47% ของจำนวนโรงงานตั้งใหม่ในปี 2567 ที่มีการลงทุนจากจีนกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่นี้ . สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ส่งผลให้ผู้ประกอบการจีนต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยย้ายฐานการผลิตออกไปยังต่างประเทศมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากร และเพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดปลายทาง ซึ่งไทยกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญ เนื่องจากศักยภาพในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่สูง และการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ระบุว่า FDI จากจีนที่ลงทุนในภาคการผลิตของไทยพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ภายในสามไตรมาสแรกของปี 2024 นอกจากนี้ จำนวนและมูลค่าโครงการที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI เติบโตขึ้นกว่า 14 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเริ่มต้นของสงครามการค้า สะท้อนถึงแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและ อุตสาหกรรมที่จีนมีข้อได้เปรียบในด้านเทคโนโลยีและกำลังการผลิต ซึ่งจากโครงการที่นักลงทุนต่างชาติยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน BOI จากทุกประเทศทั้งหมด 2050 โครงการในปี 2567 อยู่ในภาคตะวันออกจำนวน 1,222 โครงการ (491,717 ล้านบาท) ภาคกลางจำนวน 674 โครงการ (305,682 ล้านบาท) ตามด้วยภาคเหนือ ใต้ อีสาน และตะวันตกตามลำดับ รูปภาพที่ 1: จำนวนการตั้งโรงงานในไทยปี 2567 จำแนกตามสัญชาติที่มีการลงทุน ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมโรงงานอุตสาหกรรม รูปภาพที่ 2: จำนวนการตั้งโรงงานที่มีการลงทุนจากจีน จำแนกตามภูมิภาค ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมโรงงานอุตสาหกรรม หมายเหตุ: การจำแนกสัญชาติโรงงานตั้งใหม่ คัดเลือกข้อมูลนิติบุคคล (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) เฉพาะนิติบุคคลที่มีสัดส่วนการลงทุนจากสัญชาติจีน และเชื่อมกับข้อมูลนิติบุคคลของข้อมูลโรงงานตั้งใหม่ (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) . จากโรงงานตั้งใหม่กว่า 1,444 โรงงานในปี 2567 มีโรงงานกว่า 179 โรงงานที่มีการลงทุนจากจีน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้ากว่า 164% โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตยางและพลาสติก ผลิตภัณฑ์จากโลหะ และผลิตภัณฑ์อาหาร ที่เป็นอุตสาหกรรมที่จีนมีศักยภาพในการผลิตที่สูง โรงงานที่ได้รับการลงทุนจากจีนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจังหวัดอื่นๆ ในภาคตะวันออก ตามด้วย กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และภาคกลาง โดย 47% ของโรงงานเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ใน 3 จังหวัดของ EEC ซึ่งเป็นศูนย์กลางนิคมที่รองรับการตั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่มีข้อได้เปรียบด้านแรงงาน อีกทั้งยังมีโครงสร้างพื้นฐานและทำเลที่เอื้อต่อการกระจายสินค้าทั้งในและนอกประเทศ โดยในพื้นที่ EEC มีการตั้งโรงงานที่มีการลงทุนจากจีนจำนวนมากที่สุดในจังหวัด ชลบุรี (37 แห่ง) ตามด้วยระยอง (26 แห่ง) และฉะเชิงเทรา (22 แห่ง) ซึ่งการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ ความต้องการที่ดินเพิ่มสูงขึ้น และนำไปสู่การปรับตัวของ ดัชนีราคาที่ดิน ในพื้นที่ดังกล่าวตามไปด้วย รูปภาพที่

ราคาที่ดินทะยาน โรงงานจีนขยายฐาน ต่างชาติแห่ลงทุน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ทำไม ‘เครือเซ็นทรัล’ ถึงมอง “กังสดาล มข.” เป็นทำเลศักยภาพในการตั้ง Central Khon Kaen Campus

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ‘Central Khonkaen Campus’ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลแห่งที่ 2 ของจังหวัดขอนแก่น โดยมี นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้ข้อมูล ‘Central Khonkaen Campus’ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูง บนพื้นที่รวม 30 ไร่ ใกล้ย่านการศึกษาและโรงพยาบาลหลักของเมือง โครงการนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ที่ผสมผสานระหว่าง Urban Lifestyle และ Local Wisdom เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ของขอนแก่น โดยมีพื้นที่ศูนย์การค้ารวม (GBA) 67,000 ตร.ม. และคาดว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุน ผู้ประกอบการท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ซึ่ง ‘Central Khonkaen Campus’ ประกอบไปด้วย 📍 ศูนย์การค้าใหม่รองรับการเติบโตขอนแก่น 📐 พื้นที่ 30 ไร่ ใกล้ย่านการศึกษาและโรงพยาบาล 🛍️ ศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น 🗓️ แผนเปิดตัวไตรมาส 2 ปี 2569 🏨 เตรียมคอนโดใหม่และ GO! Hotel แห่งแรกในอีสาน . นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กล่าวว่า “ขอนแก่นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การศึกษา และการแพทย์ของภาคอีสาน เรามองเห็นศักยภาพของเมืองและความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น โครงการนี้จะช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของชาวขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่” ISAN Insight and Outlook สิพามาเบิ่ง ทำไม ‘เครือเซ็นทรัล’ ถึงมอง “กังสดาล มข.” เป็นทำเลศักยภาพในการตั้ง Central Khon Kaen Campus 1. ทำเลติดถนนเส้นถนนมิตรภาพ เนื่องจากเป็นเส้นทางสัญจรหลักของอีสาน และเป็น 1 ถนนที่มีการใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจาก ทางหลวงหมายเลข 3 “ถนนสุขุมวิท” ทำให้โอกาสการเดินทาง และการลงทุนในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินทางที่ดินได้หลายเท่าตัว ขอนแก่น เป็นเมืองแม่เหล็ก (ไมซ์ซิตี้ หรือ MICE City) ลำดับที่ 5 ของไทย เป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและงานแสดงสินค้าระดับสากล สามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนได้อย่างมีมาตรฐาน งานประชุมและนิทรรศการทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ ที่จะเกิดขึ้นทำให้ขอนแก่นยังมีพื้นที่รองรับการท่องเที่ยวที่มีความต้องการมากขึ้น ทำให้ เครือเซ็นทรัล ลงทุนสร้าง GO! Hotel

พามาเบิ่ง ทำไม ‘เครือเซ็นทรัล’ ถึงมอง “กังสดาล มข.” เป็นทำเลศักยภาพในการตั้ง Central Khon Kaen Campus อ่านเพิ่มเติม »

บริษัทใหญ่ในอีสาน ใช้เวลากี่ปีกว่ารายได้จะแตะพันล้าน

การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยโอกาสและอุปสรรค ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เกิดจากความมุ่งมั่น อดทน และการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาด การเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ไปจนถึงการสร้างธุรกิจที่มีมูลค่าหลักพันล้านนั้น ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน กลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาเบิ่ง บริษัทในอีสานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด สามารถสร้างรายได้พันล้านในเวลาไม่ถึงทศวรรษ โดยแบ่งตามการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศไทย (TSIC) ทั้งนี้ ทางทีมงานจะไม่ได้นำทุกธุรกิจมาแสดง เพียงแต่นำธุรกิจที่ดูน่าสนใจและหลายคนอาจจะคุ้นชินมานำเสนอเท่านั้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งบริษัท: นาย ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2549 ปีที่รายได้แตะหมื่นล้าน: พ.ศ. 2561 รายได้ปีที่แตะหมื่นล้าน: 10,084 ล้านบาท ระยะเวลาที่ใช้: 12 ปี สัดส่วนแบ่งรายได้ทั่วประเทศ: 11.7% จังหวัดที่ตั้ง: บุรีรัมย์   บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งบริษัท: นาย วิทูร สุริยวนากุล ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2538 ปีที่รายได้แตะหมื่นล้าน: พ.ศ. 2555 รายได้ปีที่แตะหมื่นล้าน:  11,099 ล้านบาท ระยะเวลาที่ใช้: 17 ปี สัดส่วนแบ่งรายได้ทั่วประเทศ: 9.2% จังหวัดที่ตั้ง: ร้อยเอ็ด   บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งบริษัท: นาย อดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา และ นาง นาตยา ตั้งมิตรประชา ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2536 ปีที่รายได้แตะหมื่นล้าน: พ.ศ. 2554 รายได้ปีที่แตะหมื่นล้าน: 10,544 ล้านบาท ระยะเวลาที่ใช้: 18 ปี สัดส่วนแบ่งรายได้ทั่วประเทศ: 39.2% จังหวัดที่ตั้ง: อุบลราชธานี   บริษัท ห้างทองทองสวย จำกัด ผู้ก่อตั้งบริษัท: นาย อุดม ตติเวชกุล ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2539 ปีที่รายได้แตะหมื่นล้าน: พ.ศ. 2563 รายได้ปีที่แตะหมื่นล้าน: 17,193 ล้านบาท ระยะเวลาที่ใช้: 24 ปี สัดส่วนแบ่งรายได้ทั่วประเทศ: 0.8% จังหวัดที่ตั้ง: ขอนแก่น เริ่มต้นด้วยธุรกิจในภาคการเกษตรเป็นรากฐานสำคัญของภาคอีสาน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่คุ้นชินกับการทำเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์

บริษัทใหญ่ในอีสาน ใช้เวลากี่ปีกว่ารายได้จะแตะพันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง พื้นที่สีเขียว ปอดของแต่ละภาคและแผ่นดิน ก้าวสู่อนาคตสีเขียวของไทย

พามาเบิ่ง พื้นที่สีเขียว ปอดของแต่ละภาคและแผ่นดิน ก้าวสู่อนาคตสีเขียวของไทย . ภาค พื้นที่สีเขียว (ตร.ม) พื้นที่สีเขียว (ตร.ม) / ประชากร (คน) พื้นที่สีเขียว / ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 49,845,704 2.31 0.03% ภาคเหนือ 41,535,394 3.49 0.02% ภาคกลาง 33,833,473 1.48 0.03% ภาคใต้ 10,079,756 1.06 0.01%   หมายเหตุ: ข้อมูล ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 หน่วย ตารางเมตร ต่อ 1 คน   ฮู้บ่ว่า ประเทศไทยมีพื้นที่สีเขียวทั้งหมด 135,294,300 ตร.ม. (84,558.95 ไร่) หรือคิดเป็นเพียง 0.03% ของพื้นที่ทั้งหมด และมีสัดส่วนพื้นที่สีเขียวต่อประชากร อยู่ที่ 2.04 ตร.ม ต่อ คน ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างหนักหน่วง พื้นที่สีเขียวกลายเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาสมดุลทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดอุณหภูมิของเมือง หรือสร้างความสุขให้กับผู้คนที่อยู่อาศัย ทว่า หากพิจารณาสัดส่วนพื้นที่สีเขียวของแต่ละภาคในไทย เรากลับพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และอาจสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เราต้องเผชิญ   อีสานของเราเป็นผู้นำด้านพื้นที่สีเขียวแต่ยังมีอุปสรรค ปัจจุบันอีสานมีพื้นที่สีเขียวมากที่สุดในประเทศ คิดเป็น 49.85 ล้านตารางเมตร แม้ตัวเลขนี้จะดูสูง แต่เมื่อพิจารณาในแง่ของพื้นที่สีเขียวต่อประชากร กลับพบว่ามีเพียง 2.31 ตารางเมตรต่อคน และในภาพใหญ่ของไทย พื้นที่สีเขียว ต่อคน มีเพียง 2.04 ตร.ม. ต่อคนเพียงเท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำให้มีพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 9 ตารางเมตรต่อคน    เมื่อเปรียบเทียบพื้นที่สีเขียวของแต่ละภาค พบว่าภาคเหนือแม้มีพื้นที่สีเขียวรวมรองลงมา (41.53 ล้านตารางเมตร) แต่กลับมีพื้นที่สีเขียวต่อประชากรสูงที่สุดที่ 3.49 ตารางเมตรต่อคน ในขณะที่ภาคกลางมีพื้นที่สีเขียวเพียง 1.48 ตารางเมตรต่อคน และภาคใต้ต่ำที่สุดที่ 1.06 ตารางเมตรต่อคน นอกจากนี้ หากดูสัดส่วนพื้นที่สีเขียวต่อพื้นที่ภาค พบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางมีเพียง 0.03%ขณะที่ภาคเหนืออยู่ที่ 0.02% และภาคใต้ต่ำสุดเพียง 0.01%   ด้วยตัวเลขที่ยังถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานมาก นี่อาจเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ โดยต้นไม้ 1 ต้นสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 9-15 กิโลกรัมต่อปี นั่นหมายความว่าเราจำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในอีสานและภูมิภาคอื่น ๆ ให้ได้

พามาเบิ่ง พื้นที่สีเขียว ปอดของแต่ละภาคและแผ่นดิน ก้าวสู่อนาคตสีเขียวของไทย อ่านเพิ่มเติม »

ตลอด 10 ปีมานี้ คนอำเภอเมือง Big 4 แห่งอีสาน เริ่มหายไป?

Big 4 แห่งอีสาน หรือ 4 จังหวัดในภาคอีสานที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด ประกอบไปด้วย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี ซึ่งจังหวัดเหล่านี้โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอเมือง มีการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคม สาธารณูปโภค สิ่งปลูกสร้าง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีการเชิดชูวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว หวังดึงดูดการลงทุนและสร้างโอกาสในการทำงาน  โดยการพัฒนาเหล่านี้จะนำไปสู่การขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) ในพื้นที่อำเภอเมืองของจังหวัดใหญ่ในอีสาน โดยในด้านผู้คน ก็เป็นหนึ่งในฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการขยายของตัวเมือง หรือที่คนมักพูดกันว่า “เมืองไหนคนมากแสดงว่าเจริญ” อย่างไรก็ดี แม้ว่าในเมืองใหญ่จะมีการกระจุกตัวของประชากรสูง แต่หากมาดูที่ข้อมูลของกรมการปกครอง ด้านสถิติการเคลื่อนย้ายประชากรออกในเขตพื้นที่อำเภอเมืองของกลุ่ม Big 4  ตั้งแต่ปี 2558 – 2568 จะพบตัวเลขที่สำคัญคือ “มีการย้ายออกมากกว่าการย้ายเข้ามาอยู่”  โดยเพื่อความชัดเจนในเชิงการอธิบายการเคลื่อนย้ายประชากรในช่วง 10 ปีนี้ จะใช้วิธีวัดจาก อัตราการย้ายถิ่นสุทธิ (Net Migration Rate) คำนวณจาก (จำนวนผู้ย้ายเข้าช่วง 10 ปีนี้ – จำนวนผู้ย้ายออกช่วง 10 ปีนี้)/จำนวนประชากรเฉลี่ยตลอด 10 ปี และเพื่อสะท้อนแนวโน้มการเพิ่มขึ้น-ลดลงของจำนวนประชากรในช่วง 10 ปีนี้ เทียบกับประชากร 1,000 คน จะประเมินการเติบโตของจำนวนประชากรโดยวิธีอัตราการเติบโตของประชากรแบบทบต้น (CAGR) โดยได้ผลลัพธ์ในแต่ละจังหวัด ดังนี้ 1. อำเภอเมืองขอนแก่น ข้อมูลประชากรเบื้องต้น: จำนวนประชากร: 199,258 คน สัดส่วนประชากรต่อทั้งจังหวัด: 15% ความหนาแน่นของประชากร: 209 คน/ตร.กม. อำเภอเมืองขอนแก่นมีอัตราการย้ายถิ่นสุทธิเท่ากับ – 289 ต่อ 1,000 คนในช่วง 10 ปีนี้ หรือก็คือถ้าประชากรเมืองมี 1,000 คน ในปีแรก นั่นแปลว่าใน 10 ปี มีคน ย้ายออกสุทธิประมาณ 289 คน นอกจากนั้นยังมีการแนวโน้มประชากรที่ลดลงจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยเท่ากับ -2.5% ต่อปี  ซึ่งเมืองขอนแก่นมีแนวโน้มประชากรย้ายออกและลดลงมากที่สุดในบรรดากลุ่ม Big 4    2. อำเภอเมืองอุบลราชธานี ข้อมูลประชากรเบื้องต้น: จำนวนประชากร: 166,791 คน สัดส่วนประชากรต่อทั้งจังหวัด: 9% ความหนาแน่นของประชากร: 411 คน/ตร.กม. อำเภอเมืองอุบลราชธานีมีอัตราการย้ายถิ่นสุทธิเท่ากับ -245 ต่อ 1,000 คนในช่วง 10 ปีนี้ แสดงว่าเมืองกำลังสูญเสียประชากรจากการย้ายถิ่นฐานเป็นรองแค่เมืองขอนแก่น ประชากรเมืองมีแนวโน้มลดลงเฉลี่ย และมีแนวโน้มของจำนวนประชากรที่ลดลงเท่ากับ -0.12% ต่อปี   3. อำเภอเมืองอุดรธานี ข้อมูลประชากรเบื้องต้น:

ตลอด 10 ปีมานี้ คนอำเภอเมือง Big 4 แห่งอีสาน เริ่มหายไป? อ่านเพิ่มเติม »

🌊💦“ชวนเบิ่งสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ในอีสานล่าสุด!”

ชื่อ จังหวัด ความจุอ่าง (ล้าน ลบ.ม.) น้ำในอ่าง ปริมาณน้ำปัจจุบัน  (ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นเปอร์เซ็น เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี 1,966 1,181 60% เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ 1,980 1,169 59% เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร 520 286 55% เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น 2,431 1,193 49% เขื่อนลำพระเพลิง จ.นครราชสีมา 155 76 49% เขื่อนห้วยหลวง จ.อุดรธานี 136 65 48% เขื่อนลำแชะ จ.นครราชสีมา 275 126 46% เขื่อนมูลบน จ.นครราชสีมา 141 63 45% เขื่อนน้ำพุง จ.สกลนคร 165 69 42% เขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ 164 65 39% เขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ 121 39 32% เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา 314 65 21% หมายเหตุ: ข้อมูลนี้มาจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อ้างอิงจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ข้อมูลวันที่ 12 มีนาคม 2568 🌊💦“ชวนเบิ่งสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ในอีสานล่าสุด!” . 🌧️การจัดการน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ของภาคอีสานในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารจัดการปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ที่บางแห่งมีระดับน้ำลดลงในช่วงเวลาที่ผ่านมา วันนี้วันที่ 12 มีนาคม 2568 ปีนี้ มีน้ำกักเก็บในอ่าง 4,398 ล้าน ลบ.ม แต่ถ้าเทียบกับวันนี้ 12 มีนาคม ปีที่แล้ว มีปริมาณน้ำมากกว่าปีนี้ถึง 580 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ ทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวนและความต้องการใช้น้ำในพื้นที่จำนวนมาก เช่น การเกษตรและการผลิตไฟฟ้า . 🌪️ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เขื่อนลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีระดับน้ำในเขื่อนลดลงต่ำกว่าค่ามาตรฐานตามปกติ แต่ถึงแม้ว่าจะมีการลดลงของระดับน้ำในเขื่อน แต่ยังสามารถใช้น้ำได้ในบางส่วน เพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคภายในพื้นที่ได้ตามแผนการจัดสรรน้ำที่กำหนดไว้ เพียงแต่ต้องมีการควบคุมการใช้น้ำอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น . 💧ปัญหาการจัดการน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ของภาคอีสานจึงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ และการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างความตระหนักให้กับประชาชนในเรื่องการใช้น้ำอย่างประหยัด เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำในอนาคต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ต่างๆ การเตรียมความพร้อมและการปรับตัวในเรื่องนี้จะช่วยให้การจัดการน้ำมีความสมดุลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น . หมายเหตุ: ข้อมูลนี้มาจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อ้างอิงจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ข้อมูลวันที่ 12 มีนาคม 2568 . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์

🌊💦“ชวนเบิ่งสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ในอีสานล่าสุด!” อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง จำนวนสถานพยาบาลที่มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน และจำนวนเตียงในภาคอีสาน

ทั่วราชอาณาจักร แห่ง 1,401 เตียง 171,359   ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แห่ง 390 เตียง 43,943 เรียงน้อยไปมากโดย อิงจากจำนวนสถานพยาบาล เป็นหลัก จังหวัด แห่ง เตียง 1.นครราชสีมา 47 5,901 2.อุบลราชธานี 35 4,326 3.ขอนแก่น 33 5,291 4.อุดรธานี 29 3,166 5.บุรีรัมย์ 25 2,876 6.ศรีสะเกษ 24 2,344 7.ร้อยเอ็ด 21 2,237 8.สุรินทร์ 20 2,707 9.สกลนคร 20 2,284 10.กาฬสินธุ์ 19 1,839 ชัยภูมิ 18 2,008 เลย 17 1,370 มหาสารคาม 15 1,567 นครพนม 14 1,194 หนองคาย 12 1,180 ยโสธร 11 955 มุกดาหาร 8 710 บึงกาฬ 8 671 อำนาจเจริญ 7 674 หนองบัวลำภู 7 643 หมายเหตุ: จำนวนโรงพยาบาลรวมทั้งภาครัฐและเอกชน ข้อมูลมาจากปี 2566   สัดส่วนสถานพยาบาลรายภูมิภาคของไทย สัดส่วนจำนวนสถานพยาบาลรายภูมิภาคของไทย กรุงเทพฯ 10.35% ภาคกลาง 26.91% ภาคเหนือ 19.34% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 27.84% ภาคใต้ 15.56% สัดส่วนจำนวนตียงรายภูมิภาคของไทย กรุงเทพฯ 17.91% ภาคกลาง 26.99% ภาคเหนือ 16.53% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 25.64% ภาคใต้ 12.93%   👀🫵🏻”เบิ่งให้ชัด! สถานพยาบาลและเตียงผู้ป่วยในภาคอีสาน—พอไหมหรือยังต้องเพิ่ม?” . 🏥ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสถานพยาบาลที่สามารถรองรับผู้ป่วยค้างคืนได้ 390 แห่ง และมีเตียงรวม 43,943 เตียง ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน ประมาณ 2 เตียงต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสากลที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 3-5 เตียงต่อประชากร 1,000 คน (World

พามาเบิ่ง จำนวนสถานพยาบาลที่มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน และจำนวนเตียงในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ทุเรียนเวียดนามบุกตลาดจีน คู่แข่งสำคัญของไทยในเวลาเพียง 3 ปี

ฮู้บ่ว่า ครั้งหนึ่งจีนเคยนำเข้าทุเรียนสดทั้งหมดจากไทยเพียงประเทศเดียว แต่ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ทุเรียนจากเวียดนามได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ และกลายเป็นคู่แข่งหลักของไทย โดยครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 42%    . ในอดีต จีนนำเข้าทุเรียนโดยพึ่งพาการส่งออกจากไทยเพียงประเทศเดียว เนื่องจากคุณภาพของทุเรียนไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และความนิยมในกลุ่มลูกค้าชาวจีน ยิ่งผลักดันให้ทุเรียนไทยสามารถครองตลาดได้อย่างสมบูรณ์   . ผลผลิตของทุเรียนไทยกว่าครึ่งมาจากภาคตะวันออก โดยเฉพาะสามจังหวัดหลัก ได้แก่ จันทบุรี ระยอง และตราด ถือเป็นศูนย์กลางการผลิตทุเรียนของประเทศมาอย่างยาวนาน ด้วยสภาพภูมิอากาศและดินที่เอื้อต่อการปลูกทุเรียนคุณภาพสูง ส่งผลให้ในปี 2566 พื้นที่เหล่านี้ให้ผลผลิตรวมกว่า 776,914 ตัน และคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต ความสำคัญของภาคตะวันออกในการเป็นแหล่งผลิตหลักสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของเกษตรกรและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่สนับสนุนอุตสาหกรรมทุเรียน   นอกเหนือจากภาคตะวันออก ภาคใต้ก็เป็นอีกแหล่งผลิตสำคัญ โดยคิดเป็น 43% ของผลผลิตรวมของประเทศ ขณะที่พื้นที่อื่นๆ มีสัดส่วนประมาณ 6% แม้ว่าสัดส่วนของภาคใต้จะยังเป็นรองภาคตะวันออก แต่ก็มีแนวโน้มเติบโตเนื่องจากมีฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่แตกต่าง ทำให้สามารถกระจายผลผลิตเข้าสู่ตลาดได้ยาวนานขึ้น การกระจายพื้นที่เพาะปลูกในหลายภูมิภาคช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพอากาศและภัยธรรมชาติที่อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิต โดยทุเรียนของไทยก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน จากจุดเด่นด้านคุณภาพ รสชาติ และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์   . ทุเรียนไทยไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีคุณภาพสูงจนสามารถขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ ตลาดจีน ซึ่งเป็นปลายทางหลักของการส่งออกทุเรียนสดจากไทย คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 97% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ ไทยยังส่งออกทุเรียนไปยังกัมพูชา เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทุเรียนไทยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ   . บทบาทของด่านการค้าชายแดนภาคอีสานในการส่งออกทุเรียนไทย ด่านการค้าชายแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีบทบาทสำคัญในการส่งออกทุเรียนไทยไปยังตลาดจีน โดยปัจจุบัน กว่า 80% ของการส่งออกทุเรียนไทยไปจีนดำเนินการผ่านด่านศุลกากรในภาคอีสาน โดยเฉพาะที่ ด่านมุกดาหาร ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าผ่าน สปป.ลาว ก่อนเข้าสู่จีน เส้นทางดังกล่าวช่วยลดระยะเวลาการขนส่งเมื่อเทียบกับเส้นทางเรือ ทำให้ทุเรียนสดสามารถคงคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น   ความสำคัญของด่านการค้าในภาคอีสานจะยิ่งเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่สูงขึ้นในตลาดจีน และการเติบโตของผลผลิตทุเรียนในประเทศ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ มูลค่าการค้าชายแดนของภาคอีสานขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของปริมาณสินค้าและมูลค่าทางเศรษฐกิจ . ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เวียดนามได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดทุเรียนจีนอย่างรวดเร็ว หลังจากที่จีนอนุมัติให้นำเข้าทุเรียนจากเวียดนามอย่างเป็นทางการในปี 2565 โดยเวียดนามสามารถใช้ข้อได้เปรียบในด้าน ต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ระยะทางขนส่งที่ใกล้กว่า และฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่แตกต่างจากไทย ทำให้สามารถส่งออกทุเรียนไปยังจีนได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปริมาณการนำเข้าทุเรียนจากไทยจะไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่จีนกลับเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าจากเวียดนามมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกลไกราคา หรือแม้กระทั่งการขยายตัวของการผลิตทุเรียนไทยที่อาจถึงจุดอิ่มตัว   จากสถิติการนำเข้าทุเรียนของจีน พบว่า เวียดนามสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2022 เป็น 32% และล่าสุดแตะระดับ 42% ส่งผลให้ไทยซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกรายเดียวต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของทุเรียนไทย   . อนาคตของทุเรียนไทยในตลาดจีน แม้ไทยจะยังคงเป็นผู้นำในการส่งออกทุเรียนไปจีน แต่การแข่งขันจากเวียดนามทำให้ไทยต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับคุณภาพสินค้า การพัฒนาเทคโนโลยีการเก็บรักษาเพื่อขยายช่วงเวลาส่งออก และการทำตลาดเชิงรุกเพื่อรักษาฐานลูกค้าในจีน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดทุเรียนจีนกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผู้ส่งออกไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในอนาคต  

ทุเรียนเวียดนามบุกตลาดจีน คู่แข่งสำคัญของไทยในเวลาเพียง 3 ปี อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top