Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

🔎พาเปิดเบิ่ง ตัวอย่าง 8 ธุรกิจแดนอีสานที่เหมือนกัน ในตลาดหุ้น VS นอกตลาดหุ้น🏭💰

ภาคอีสานมีหลายบริษัทที่สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ ซึ่งมีกว่า 17 บริษัท แต่อีสานอินไซต์จะขอยกตัวอย่างมาเพียง 8 ธุรกิจที่เหมือนกันทั้งในตลาดหุ้นและนอกตลาดหุ้น ซึ่งในภาคอีสานเองก็มีบริษัทใหญ่หลายบริษัทที่ยังไม่เข้าสู่ตลาดหุ้นและมีรายได้มากกว่าหลักร้อย-พันล้าน   จะเห็นได้ว่าประเภทธุรกิจอันดับที่ 1 – 6 บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นก็จะมีรายได้รวมที่สูงกว่าบริษัทนอกตลาดหุ้น ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่บริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้นนั้นก้เหมือนเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสในการระดมเงินทุนจากนักลงทุนจำนวนมหาศาล ทั้งรายย่อยและสถาบัน ทำให้บริษัทมีเงินทุนเพียงพอในการลงทุนและทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด    และการที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักหุ้นก็จะช่วยเสริมภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัท แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งก็จะดึงดูดลูกค้า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจให้เข้ามาร่วมงานกับบริษัทมากขึ้นอีกด้วย หรือแม้กระทั่ง​​เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียในธุรกิจนั้น ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเสนอแนะและปรับปรุงธุรกิจเดิมให้ดีขึ้น      แต่ก็ยังมีหลายบริษัทที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องเข้าสู่ตลาดหุ้น จะเห็นได้จากธุรกิจอันดับที่ 7 – 8 อย่าง    “บจก.ก้าวหน้าไก่สด” ที่มีรายได้มากกว่า 4,339 ล้านบาท และยังเป็นฟาร์มเลี้ยงไก่ที่มีรายได้มากเป็นอับดับที่ 5 ของประเทศเลยทีเดียว ก้าวหน้าไก่สดเป็นธุรกิจครอบครัวหลักพันล้านที่กว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่ง่าย ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านล้ม ผ่านลุก มานับไม่ถ้วน ซึ่งเป็นเรื่องของความตั้งใจจริงและไม่ล้มเลิกความฝัน คุณสุนีย์ ที่สู้ไม่ถอย สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ในปี 40 ในช่วงฟองสบู่แตก นับเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ขายได้เงินมากขึ้น และยังทำให้ก้าวหน้าไก่สดก็แข็งแรงขึ้น   และ “บจก.บ้านสาริน” ที่มีรายได้มากกว่า 912 ล้านบาท ถือว่าเป็นทุนท้องถิ่นยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดอุบลราชธานี ที่สามารถฟันฝ่าวิกฤต และเติบโตเป็นผู้นำตลาดบ้านจัดสรรอันดับต้นๆ ภายในจังหวัด ที่อยู่มานานกว่า 26 ปีแล้ว บ้านสารินมีโปรดักต์ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม แต่ยังคงเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบทั้งหมด คอนโดฯยังไม่มี ลูกค้าหลัก 60% ซื้อบ้านในราคาเฉลี่ย 2-4 ล้านบาท เป็นกลุ่มข้าราชการหรือพนักงานเงินเดือนประจำ ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มตลาดบนอย่างเจ้าของธุรกิจซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด     โดยทั้ง 2 บริษัทนี้ถือว่าเป็นบริษัทนอกตลาดหุ้นที่เติบโตอย่างมากเนื่องจากเป็นบริษัทใหญ่ที่มีสภาพคล่อง หรือมีความสามารถในการกู้ยืม เพียงพอต่อการขยายกิจการ อีกทั้งยังมีหลายปัจจัยภายในที่ยังไม่มีแพลนที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นในเร็วๆนี้     อ้างอิงจาก:  – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า – Optiwise – เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ – ประชาชาติธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #หุ้นในอีสาน #ตลาดหุ้น #ตลาดหลักทรัพย์ #บริษัทใหญ่ในอีสาน

เผาอ้อยเฮ็ดหยัง? ต้นตอฝุ่นควัน กับเหตุผลที่หลายคนยังไม่รู้

วันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นวันเปิดหีบอ้อยผลิตน้ำตาลทราย ฤดูการผลิตปี 2567/68 ของโรงงานน้ำตาลภาคอีสาน ซึ่งต่อไปตั้งแต่สิ้นปีนี้ไปจนถึงต้นปีหน้า ก็จะเป็นช่วงที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยทุกๆปี จะพบปัญหาสำคัญจากการเก็บเกี่ยวอ้อยคือ “การเผาอ้อย” ที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านมลภาวะไม่ว่าจะเป็น ควัน ฝุ่น PM 2.5 เถ้าจากการการเผาหรือที่เรียกกันติดปากว่า “หิมะดำ” ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นวงกว้างในด้านทัศนียภาพและสุขภาพอนามัยของคนในพื้นที่ จากรายงานจุดความร้อนพื้นที่ปลูกอ้อย ในช่วงเวลาการเปิดหีบปีการผลิต เดือนธันวาคม – เมษายน 2566/2567 พบว่าภาคอีสานเป็นภาคที่พบจุดความร้อนในพื้นที่ปลูกอ้อยมากที่สุดในประเทศกว่า 1,237 จุด เนื่องจากมีพื้นที่เก็บเกี่ยวอ้อยมากที่สุด 4.6 ล้านไร่ รองลงมาเป็นภาคกลาง 661 จุด ภาคเหนือ 580 จุด และภาคตะวันออก 152 จุด ลดหลั่นลงตามพื้นที่ปลูกและเก็บเกี่ยวอ้อย โดยปริมาณอ้อยลักลอบเผาหรืออ้อยไฟไหม้ที่เกษตรชาวไร่อ้อยอีสานได้นำมาขายให้โรงงานมีปริมาณทั้งสิ้น 14 ล้านตัน หรือเป็นสัดส่วนกว่า 34% ของปริมาณอ้อยเข้าหีบในภาคอีสาน ทำไมต้องเผาอ้อย? สาเหตุที่การเผาอ้อยเกิดขึ้น มีอยู่ และจะยังคงมีต่อในอนาคต ปัจจัยหลักมาจากเรื่อง “ต้นทุน” โดยจากรายงานศึกษาของสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร พบว่าชาวไร่อ้อยต้องแบกรับต้นทุนที่สูง เฉลี่ยทั้งประเทศประมาณ 10,974 บาท/ไร่ ส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเลือกที่จะทำการ “เผาก่อนตัด” ซึ่งการเผาก่อนตัด จะช่วยให้ลดต้นทุนในด้านการเก็บเกี่ยว จากการที่ประหยัดเวลากว่าการตัดอ้อยสดถึง 3 เท่าต่อวัน จ้างคนน้อยกว่าและสามารถแรงงานตัดอ้อยได้ง่ายกว่า เนื่องจากการตัดอ้อยที่เผาแล้วนั้นง่ายกว่าตัดอ้อยสด ไม่ต้องเสี่ยงกับใบอ้อยบาดมือ แรงงานไร่อ้อยทั้งไทยและต่างชาติจึงชอบการตัดอ้อยเผา ในด้านของเครื่องจักร เกษตรกรชาวไร่อ้อยหลายรายเลือกที่จะไม่ใช้ เนื่องจากเครื่องตัดอ้อยสดนั้นหามาใช้ได้ยากกว่า มีต้นทุนที่สูง และอาจไม่เหมาะกับพื้นที่ของไร่ ด้วยเหตุนี้ปัจจัยด้านการประหยัดต้นทุนทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเลือกที่จะเผาไร่อ้อย   ปัญหามลภาวะที่เกิดจากการเผาอ้อย เป็นสิ่งที่ภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามแก้ไขเรื่อยมา โดยปีเก็บเกี่ยว 2567/68 นี้ บอร์ดคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล ได้ออกมาตรการลดการเผาอ้อยเพื่อลดฝุ่น โดยการเน้นจูงใจเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้เลือกตัดอ้อยสดมากกว่า โดยมีแนวทางได้แก่ สร้างมูลค่าเพิ่มให้ใบและยอดอ้อย ในการให้ชาวไร่อ้อยส่งขาย ให้การสนับสนุนและดูแลเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดโดยชาวไร่อ้อยจะมีรายได้เพิ่มประมาณ 120 บาท/ตันอ้อย และมาตรการสำคัญในปีนี้ที่แตกต่างไปจากเดิมคือ การหักเงินชาวไร่อ้อยเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนอ้อยลักลอบเผาที่ส่งเข้าโรงงาน ตั้งแต่ 30-130 บาท/ตันอ้อย    ซึ่งหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะลดการเผาอ้อยในพื้นที่ภาคอีสานและทั้งประเทศได้เพิ่มขึ้น เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น โดย อีสาน อินไซต์ จะขอติดตามประเด็นนี้ต่อไป #อ้อย #เผาอ้อย #pm2.5   ที่มา สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ฐานเศรษฐกิจ สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร โรงงานน้ำตาลแห่งประเทศไทย ไทยรัฐออนไลน์

พามาเบิ่ง 10 พระเครื่องดังภาคอีสาน

พามาเบิ่ง 10 พระเครื่องดังภาคอีสาน ดินแดนแห่งความศรัทธาและวัฒนธรรมอันงดงาม พระเครื่องในภาคอีสานนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่เลื่องลือในด้านพุทธคุณที่หลากหลาย เช่น เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย และโชคลาภ แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเชื่อของชาวอีสานที่สืบทอดกันมาช้านาน  เราจึงนำเสนอตัวอย่าง 10 พระเครื่องดังจากภาคอีสาน . 1.เหรียญพระอาจารย์มั่น-พระอาจารย์เสาร์ ปี พ.ศ. 2493 . 2.เหรียญหลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพ รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2500 . 3.เหรียญหลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพาราม รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2508 . 4.เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่รอด ปี พ.ศ. 2483 . 5.เหรียญพระอาจารย์สิงห์ วัดป่าสาลวัน รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2477 . 6.รูปหล่อโบราณ หลวงปู่สุข วัดโพธิ์ทรายทอง ปี พ.ศ. 2512 . 7.เหรียญหลวงปู่พุธ วัดป่าสาลวัน รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2509 . 8.เหรียญมนต์พระกาฬหลวงปู่หมุน . 9.เหรียญพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2507 . 10.เหรียญหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์ รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2507 . ในเมื่อภาคอีสานมีประวัติศาสตร์ยาวนานและได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมและศาสนาพุทธอย่างแน่นแฟ้น ทำให้พระเครื่องถูกมองไม่เพียงแค่เป็นเครื่องรางของขลัง แต่ยังเป็นตัวแทนของคุณค่าทางจิตใจ การสืบทอดของมาจากบรรพบุรุษ ผู้คนในพื้นที่นี้จึงให้ความสำคัญกับพระเครื่องที่มีความเก่าแก่ ความขลัง หรือเป็นของเกจิอาจารย์ที่เป็นที่ตนเองนับถือ . แหล่งที่มาและราคาที่หลากหลายนั้นมีผลต่อตลาดพระเครื่องในภาคอีสานประกอบด้วยพระจากแหล่งวัดดัง วัดประจำท้องถิ่น และพระที่สร้างขึ้นใหม่โดยพระอาจารย์ชั้นนำ แต่ละแหล่งมีจุดเด่นแตกต่างกัน เช่น พระเครื่องบางองค์ราคาสูงเพราะมีประวัติศาสตร์มานานหรือสร้างโดยเกจิชื่อดัง ในขณะที่พระเครื่องรุ่นใหม่ที่เพิ่งสร้างอาจมีราคาย่อมเยากว่า ทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกหลากหลายตามกำลังทรัพย์และความชอบ อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อที่เป็นนักสะสมหรือผู้ที่ศรัทธามากก็ที่จะยอมจ่ายราคาสูงเพื่อแลกกับความหายากและความศรัทธา . ในปัจจุบันโลกดิจิทัลทำให้การซื้อขายพระเครื่องนั้นเปิดกว้างไม่ได้จำกัด ผู้ขายสามารถใช้สื่อสังคมออนไลน์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และการไลฟ์สดเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในภูมิภาคอื่น ๆ และไปต่างประเทศ สิ่งนี้ช่วยขยายตลาดและเพิ่มความสะดวกในการซื้อง่ายขึ้น และยังได้มีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นคนกลางในการตรวจสอบพระเครื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของผู้ตรวจเช็คหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาซื้อขาย . และบางช่วงเวลาจะมีพระเครื่องบางรุ่นหรือบางสำนักเป็นที่นิยมอย่างมาก อาจมาจากข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ การสื่อสารแบบปากต่อปาก หรือความต้องการในด้านพุทธคุณเฉพาะทาง เช่น พระที่ขึ้นชื่อด้านการปกป้องคุ้มภัยหรือด้านโชคลาภ สิ่งเหล่านี้ทำให้ราคาขึ้น-ลงตามกระแสความนิยม ความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลา   ที่มา: เพจ Eager of Know เรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทย  

5 อันดับอาณาจักรผลิตน้ำตาลเจ้าใหญ่ในภาคอีสาน มีบริษัทอะไรบ้าง ?

  ปี 2565 มูลค่าบริษัท จังหวัด อันดับที่ 1 น้ำตาล เอราวัณ จำกัด 7,440 ล้านบาท หนองบัวลำภู อันดับที่ 2 โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด 7,108 ล้านบาท บุรีรัมย์ อันดับที่ 3 บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด 5,797 ล้านบาท อุดรธานี อันดับที่ 4 สหเรือง จำกัด 3,015 ล้านบาท มุกดาหาร อันดับที่ 5 อุตสาหกรรมน้ำตาลอีสาน จำกัด 2,515 ล้านบาท กาฬสินธุ์   ปี 2566 มูลค่าบริษัท จังหวัด อันดับที่ 1 น้ำตาล เอราวัณ จำกัด 7,442 ล้านบาท หนองบัวลำภู อันดับที่ 2 โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด 5,964 ล้านบาท บุรีรัมย์ อันดับที่ 3 บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด 5,814 ล้านบาท อุดรธานี อันดับที่ 4 สหเรือง จำกัด 3,074 ล้านบาท มุกดาหาร อันดับที่ 5 อุตสาหกรรมน้ำตาลอีสาน จำกัด 2,095 ล้านบาท กาฬสินธุ์ อ้างอิงจาก: CredenData, กรมพัฒนาธุรกิจ . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ผลิตน้ำตาล #บริษัทผลิตน้ำตาล #โรงน้ำตาล #น้ำตาล

พามาเบิ่ง โขง สงคราม ชี มูล 4 แม่น้ำสำคัญของอีสานไหลผ่านจังหวัดใดบ้าง

พามาเบิ่ง โขง สงคราม ชี มูล 4 แม่น้ำสำคัญของอีสานไหลผ่านจังหวัดใดบ้าง . . ทุกท่านเคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังความอุดมสมบูรณ์ของภาคอีสานของเรา มีทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่น่าทึ่งซ่อนอยู่ คำตอบอยู่ที่ แม่น้ำทั้ง 4 สาย ที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวอีสานและเชื่อมโยงกับความรุ่งเรืองของชุมชนมายาวนานหลายร้อยปี   . แม่น้ำเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งน้ำสำหรับทำการเกษตร แต่ยังเป็นตัวเชื่อมต่อประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเชื่อของคนในแต่ละพื้นที่ วันนี้ทางอีสานอินไซต์จะพาทุกท่านมาร่วมออกเดินทางผ่านแม่น้ำโขง สงคราม ชี และมูล   . แม่น้ำโขง – เส้นทางแห่งการค้าข้ามพรมแดน แม่น้ำโขงไม่ได้เป็นเพียงแม่น้ำสายยาวที่ไหลผ่าน 6 ประเทศ แต่ยังเป็นเหมือนกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในภูมิภาค ยาวถึง 4,590 กม. และไหลผ่าน เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, นครพนม, มุกดาหาร, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี   แม่น้ำสงคราม – อะเมซอนแห่งอีสาน ความยาว 420 กม. ทำให้แม่น้ำสายนี้กลายเป็นแหล่งพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับโลก ไหลผ่าน **สกลนคร, อุดรธานี, หนองคาย, บึงกาฬ และนครพนม   แม่น้ำชี – เส้นเลือดหล่อเลี้ยงเกษตรกร แม่น้ำชีเป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดในภาคอีสาน ว่ากันว่า “ชี” คือชื่อที่สื่อถึงความสมบูรณ์ และเป็นแม่น้ำที่เกษตรกรอีสานขาดไม่ได้ ด้วยระยะทาง 765 กม. ไหลผ่าน ชัยภูมิ, นครราชสีมา, ขอนแก่น, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, ยโสธร และอุบลราชธานี   แม่น้ำมูล – สายน้ำแห่งมิตรภาพอีสานใต้ “โขงสีขุ่ม มูลสีคราม” สายน้ำมูลบรรจบกับแม่น้ำโขงที่ “สองสี” กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต้องมาสัมผัส  ด้วยระยะทาง 641 กม. แม่น้ำมูลคือชีวิตของชาวบ้านใน นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ และยโสธร   เพราะแม่น้ำคือชีวิต ชุมชน และอนาคตของเรา ฉนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทุกคนหลายที่ต้องร่วมดูแลรักษาสายน้ำทั้ง 4 สายนี้ ให้คงอยู่คู่แผ่นดินอีสาน และไทยสืบไป . หมายเหตุ : 1. จังหวัดที่มีแม่น้ำไหลผ่าน นับรวมจังหวัดที่มีแม่น้ำสายหลัก และลำน้ำสาขาของแม่น้ำสายหลัก ไหลผ่าน 2. ลำน้ำสาขา หมายถึง แม่น้ำสายย่อยที่ไหลมารวมกับแม่น้ำสายหลัก ซึ่งลำน้ำสาขามีหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างการส่งน้ำเข้า-ออกจากพื้นที่ต่างๆ กับแม่น้ำสายหลัก เช่น ลำน้ำเซบาย เป็นสาขาของแม่น้ำมูล ซึ่งไหลผ่านจังหวัดยโสธร อำนาจเจริญ มุกดาหาร …

พามาเบิ่ง โขง สงคราม ชี มูล 4 แม่น้ำสำคัญของอีสานไหลผ่านจังหวัดใดบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

สังคมคนโสด Solo Society – เปิดสถิติคนไทยวัยเจริญพันธุ์ โสด เกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทุกช่วงวัย

ฮู้บ่ว่า10 ปีผ่านไป คนไทยโสดเยอะขึ้นปานใด๋?เปิดสถิติคนไทยวัยเจริญพันธุ์ โสด เกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทุกช่วงวัย.สถิติคนโสดภาคอีสานของไทยข้อมูลจำนวนคนโสด:ปี 2561: สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า มีคนโสดวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ในภาคอีสานอยู่ที่ ร้อยละ 41.2 ของประชากรทั้งหมด แบ่งเป็นเพศชาย ร้อยละ 39.7 และเพศหญิง ร้อยละ 42.7ปี 2564: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศค.) ประเมินว่า สัดส่วนคนโสดในภาคอีสานน่าจะอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 43-44ข้อมูลเพิ่มเติม:เพศ: พบว่าผู้หญิงโสดมีจำนวนมากกว่าผู้ชายโสดในภาคอีสานอายุ: คนโสดส่วนใหญ่ในภาคอีสานมีอายุอยู่ระหว่าง 20-39 ปีการศึกษา: พบว่าคนโสดในภาคอีสานมีการศึกษาสูงขึ้น โดยเฉพาะวุฒิปริญญาตรีอาชีพ: คนโสดในภาคอีสานส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมสถานะการสมรส: สาเหตุที่คนอีสานโสดมากขึ้น มาจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ผู้หญิงมีการศึกษาสูงขึ้น มุ่งเน้นการทำงาน ค่านิยมการแต่งงานเปลี่ยนแปลง ฯลฯ.ประเทศไทยปี 2566: คนโสดในไทยมีมากกว่าร้อยละ 26.1% เป็นคนโสดหรืออยู่คนเดียว (ครอบครัวบุคคล) กว่า 7 ล้านครัวเรือนคนโสดวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ทั้งประเทศ 40.5%.โลกคาดการณ์ ปี 2573 จะมีคนโสด มากกว่า ร้อยละ 39.#ปัจจัย ที่ส่งผลต่อการเป็นคนโสด1) ค่านิยมทางสังคม ได้แก่ “SINK” (Single Income, No Kids) คนโสดรายได้ดีไม่เน้นมีลูก เน้นใช้จ่ายเพื่อตนเอง“PANK” (Professional Aunt, No Kids) ผู้หญิงโสดอายุ 30+ รายได้ดี ไม่เน้นมีลูก ให้ความสำคัญกับหลาน และครอบครัว“Waithood” คนโสดรอการมีความรัก อันเนื่องจากสถานะทางเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง2) ความต้องการ/ความคาดหวังไม่สอดคล้องกันวัฒนธรรมเอเชีย ที่ความคาดหวังต่อผู้หญิงทั้งการหาเงินและการเป็นแม่บ้าน รวมถึงปัญหาการอยู่ร่วมกันของครอบครัวใหญ่ความต้องการหรือสเปคที่ต่างกัน เช่น ผู้หญิงต้องการแฟนที่ตัวสูงกว่า ในขณะที่ผู้ชายไม่คบผู้หญิงที่สูงกว่า เป็นต้น3) โอกาสพบปะผู้คนน้อยลงคนโสดทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชม./สัปดาห์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมที่ 42.3 ชม./สัปดาห์4) ขาดนโยบายส่งเสริมหรือเอื้อต่อการมีคู่ การสร้างครอบครัว และการมีบุตรสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และสถานะทางการเงินของประชากรไทย ทำให้การสมรส และการสร้างครอบครัวเป็นไปได้ยากมากขึ้น#ผลกระทบ จากสังคมคนโสด ข้อเสีย: โครงสร้างประชากรประเทศและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุข้อดี: คนโสดมีการใช้จ่ายเพื่อตัวเองในสัดส่วนที่สูงกว่าคนที่มีครอบครัว.อย่างไรก็ตาม ยังมี โอกาส ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ ความท้าทาย ดังนี้โอกาสทางธุรกิจ: สินค้าและบริการสำหรับคนโสดที่สูงอายุ, บ้านพักคนชรา เพราะคนโสดจะพึ่งพาตนเอง และไม่มีลูกหลานเลี้ยงตูยามแก่เฒ่าโอกาสในการพัฒนาทักษะ: ทักษะดิจิทัล, การท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์จะตอบโจทย์กลุ่มคนโสดโอกาสในการสร้างสังคมใหม่: การทำธุรกิจจัดหาคู่, การทำ matching date ในไทยยังไม่มีหรือไม่เป็นที่นิยมเหมือนในต่างประเทศคาดการณ์การเติบโตด้านค่าใช้จ่ายครัวเรือนบุคคล ปี ค.ศ.2040 มูลค่าค่าใช้ของครัวเรือนบุคคล(ที่อยู่คนเดียว) ของไทยจะเติบโตขึ้น 140% จากปัจจุบัน.ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต่างใช้วิธีการแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นจาก สังคมคนโสดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรของประเทศทั้งสังคมผู้สูงอายุ การเกิดที่ต่ำ …

สังคมคนโสด Solo Society – เปิดสถิติคนไทยวัยเจริญพันธุ์ โสด เกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทุกช่วงวัย อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา!

ฮู้บ่ว่ามากกว่า 1 ใน 4 ของสิ่งปลูกสร้างอยู่ที่ภาคอีสาน โดยในภาคอีสานมีบ้านกว่า 7.5 ล้านหลัง จาก 27.7 ล้านหลังทั่วไทย ISAN Insight and Outlook พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา! . มื่อนี่เฮามาพร้อมข้อมูลที่น่าสนใจหลายเด้อ! รู้บ่ว่าแต่ละจังหวัดในอีสานมีจำนวนบ้านเท่าไหร่บ้าง? จากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความคึกคักอย่างนครราชสีมา ไปจนถึงชุมชนอันเงียบสงบในบึงกาฬ ทุกพื้นที่ต่างมีลักษณะบ้านเรือนที่สะท้อนถึงความหลากหลายและวิถีชีวิตของคนอีสานที่ไม่เหมือนกัน . ข้อมูลสถิติเหล่านี้บ่ได้มีแค่ตัวเลข แต่ยังสะท้อนภาพการเติบโตของชุมชน ความหนาแน่นของประชากร และแนวโน้มของการพัฒนาเมืองในอนาคต หากเฮามองลึกลงไป การรู้ว่าจังหวัดใดมีบ้านหลายหรือหน่อย ยังสามารถช่วยในเรื่องการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน การจัดสรรทรัพยากร และการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อีกด้วย . ที่มา กรมการปกครอง สำนักงานสถิติ . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #จำนวนบ้านในอีสาน

🔎ชวนเบิ่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ปี 2567 ในอีสานสูงกว่า 24,389 ล้านบาท

💸ภาคอีสานมีมูลค่าการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรอยู่ 47,417 ล้านบาท โดยภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประเภทภาษีที่มีมูลค่าการจัดเก็บภาษีได้มากที่สุดในอีสานกว่า 24,389 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 52% โดยเหตุผลที่ทำให้สามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากที่สุด สาเหตุมาจากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีทางอ้อมที่ผู้บริโภคทุกคนต้องจ่ายเพิ่ม เมื่อมีการซื้อสินค้าและบริการ จึงทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มมีการจัดเก็บได้มากที่สุด    5 อันดับจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มมากที่สุด – นครราชสีมา 5,410 ล้านบาท – ขอนแก่น 4,368 ล้านบาท – อุบลราชธานี 2,357 ล้านบาท – อุดรธานี 1,730 ล้านบาท – บุรีรัมย์ 1,236 ล้านบาท . จะเห็นได้ว่าจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มมากที่สุดจะอยู่ใน 2 จังหวัดหลักของอีสาน อย่างนครราชสีมาและขอนแก่น เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีประชากรหนาแน่นและมีรายได้เฉลี่ยค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน ทำให้มีกำลังซื้อสินค้าและบริการสูงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลให้เกิดการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น   ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการคมนาคมขนส่ง ทำให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลายและเกิดการซื้อขายสินค้าและบริการจำนวนมาก ซึ่งเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่มที่สำคัญ    อีกทั้งยังมีภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การผลิตสินค้าในปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในขั้นตอนการผลิตและการจำหน่ายสินค้า   นอกจากภาคอุตสาหกรรมแล้ว ภาคบริการในทั้ง 2 จังหวัดก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ภาคการท่องเที่ยว ภาคการค้าปลีก และภาคบริการอื่นๆอซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและบริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม     อ้างอิงจาก: – กรมสรรพากร   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ภาษีมูลค่าเพิ่ม #ภาษี #ภาษีเงินได้นิติบุคคล #ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา #สรรพากร

🔎พาเปิดเบิ่ง ปี 2567 คนอีสานจ่ายภาษีกว่า 47,417 ล้านบาท มาจากจังหวัดไหนบ้าง💸

💸ภาคอีสานมีมูลค่าการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรทั้งหมดรวมกัน อยู่ที่ 47,417 ล้านบาท โดยภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประเภทภาษีที่มีมูลค่าการจัดเก็บภาษีได้มากที่สุดในอีสานกว่า 24,389 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 52% รองลงมาภาษีที่จัดเก็บได้ คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล 11,636 ล้านบาท และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 8,913 ล้านบาท ตามลำดับ   5 อันดับจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีมากที่สุด – นครราชสีมา 11,930 ล้านบาท – ขอนแก่น 7,664 ล้านบาท – อุบลราชธานี 4,228 ล้านบาท – อุดรธานี 3,289 ล้านบาท – บุรีรัมย์ 2,678 ล้านบาท   จะเห็นได้ว่าจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีมากที่สุดจะกระจุกตัวอยู่ใน 5 จังหวัดหลักของอีสาน เนื่องจากจังหวัดเหล่านี้มีขนาดเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้กับคนในจังหวัด ซึ่งนำไปสู่การจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ประชากรในจังหวัดเหล่านี้ยังมีจำนวนมากทำให้ฐานผู้เสียภาษีที่กว้างขึ้นตามไปด้วย   อีกทั้งยังมีทั้งภาคอุตสาหกรรม การค้า การบริการ และเกษตรกรรมที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดนครราชสีมาที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญของภาคอีสาน ทำให้มีการขนส่งสินค้าและบริการจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่มากกว่าจังหวัดอื่นๆ   ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อุตสาหกรรมในนครราชสีมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง    โดยศักยภาพของจังหวัดนครราชสีมาที่เป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูงและเป็นเมืองท่องเที่ยว เมืองแห่งอารยธรรมหลาย ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นักลงทุนภาคเอกชนจะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้เสียเปล่าไปแบบไร้ประโยชน์ โดยปัจจุบันนครราชสีมามีการลงทุนจากภาคเอกชนซึ่งได้ทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากมายังจังหวัดหัวเมืองภาคอีสานอย่างนครราชสีมา และยังมีการลงทุนของกลุ่มทุนค่าปลีกต่างๆอีกมากมาย ซึ่งส่งผลให้เกิดการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมากกว่าจังหวัดอื่นๆ ถือเป็นแหล่งรายได้ภาษีที่สำคัญในภาคอีสานเลยทีเดียว     อ้างอิงจาก: – กรมสรรพากร – Terrabkk.com   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ภาษีมูลค่าเพิ่ม #ภาษี #ภาษีเงินได้นิติบุคคล #ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา #สรรพากร

38 ปีของความไว้วางใจ ไปที่ไหนกี่ครั้งก็สุขหัวใจทุกครั้ง เมื่อไปกับ…นครชัยแอร์

เมื่อพูดถึงการเดินทางไปยังต่างจังหวัด เรามีตัวเลือกที่หลากหลายให้เลือกใช้ แต่หากพูดถึงการเดินทางด้วยรถทัวร์ เชื่อว่าหนึ่งในชื่อที่หลายคนจะนึกถึงและพูดถึงในวงสนทนาอย่างแน่นอนก็คือ “นครชัยแอร์” บริษัทที่เป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน นครชัยแอร์เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยคุณจักรินทร์ วงศ์เบญจรัตน์ ทายาทของนายซง วงศ์เบญจรัตน์ ผู้ก่อตั้ง “นครชัยขนส่ง” โดยเริ่มดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2529 ด้วยเส้นทางเดินรถระหว่างกรุงเทพฯ-ขอนแก่น และกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี โดยใช้รถโดยสารเพียง 20 คันในระยะแรก เพียงหนึ่งปีต่อมา บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ด้วยการเป็นเจ้าแรกที่ใช้คำว่า “รถนอนพิเศษ” พร้อมลดจำนวนที่นั่งในรถจาก 42 เหลือเพียง 32 ที่นั่ง โดยเน้นความกว้างขวางและสามารถปรับเอนนอนได้ แม้จะส่งผลให้ต้นทุนต่อรอบสูงขึ้น แต่กลยุทธ์นี้ช่วยดึงดูดลูกค้าที่มองหาความสะดวกสบายในการเดินทางระยะไกล แม้ค่าบริการจะสูงกว่าคู่แข่งก็ตาม ในปี พ.ศ. 2535 นครชัยแอร์ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ด้วยการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจองตั๋วและสำรองที่นั่ง ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) และเพิ่มความสะดวกให้ทั้งผู้โดยสารและพนักงาน ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 บริษัทได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการขนส่ง ด้วยการเปิดตัวบริการ “NCA First Class” ที่มีที่นั่งเพียง 21 ที่เท่านั้น มอบประสบการณ์การเดินทางที่เป็นส่วนตัวและสะดวกสบายอย่างเหนือชั้น บริการนี้ได้รับการตอบรับอย่างดี แม้ราคาจะสูงกว่าตั๋วโดยสารทั่วไปประมาณ 100-200 บาท เนื่องจากผู้โดยสารยอมจ่ายเพื่อความสบายและคุณภาพที่ดีขึ้น ในปัจจุบัน นครชัยแอร์ยังคงพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง โดยนำรถลำตัวยาว 15 เมตร (safety coach) มาใช้ในบริการ First Class เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวก นอกจากนี้ ทุกที่นั่งของนครชัยแอร์ยังติดตั้งหน้าจอความบันเทิงส่วนตัว ซึ่งเป็นจุดเด่นที่หลายบริษัทคู่แข่งยังไม่มี เนื่องจากต้นทุนที่สูง ทั้งในด้านการติดตั้ง ค่าลิขสิทธิ์เนื้อหา และค่าบำรุงรักษาระยะยาว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้โดยสาร   นครชัยแอร์แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตและการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยในปี พ.ศ. 2556 บริษัทได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังอาคารที่ 109 ถนนวิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร เพื่อรองรับการขยายตัวของกิจการ และล่าสุด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ได้ย้ายสำนักงานใหญ่อีกครั้งไปยัง 21/88 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ เพื่อสอดรับกับการเติบโตและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นครชัยแอร์ยังแสดงถึงความสามารถในการปรับตัวตามสถานการณ์ โดยปรับปรุงภายในรถโดยสารให้รองรับมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดความใกล้ชิดระหว่างผู้โดยสาร และเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการอาหารจากการรับประทานบนรถ เป็นการจอดพักให้ผู้โดยสารลงไปรับประทานอาหารแทน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ   วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนส่งมวลชน ซึ่งพึ่งพาผู้โดยสารในการสร้างรายได้ แต่สถานการณ์โรคระบาดที่บีบบังคับให้ผู้คนต้องกักตัวอยู่บ้าน ลดการเดินทาง และทำงานแบบ Work from Home ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการขนส่งมวลชนลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ การปิดประเทศในหลายพื้นที่ทั่วโลกเพื่อควบคุมการระบาด ยังส่งผลให้การเดินทางเพื่อธุรกิจและการท่องเที่ยวแทบหยุดชะงัก ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งหลายแห่งต้องเผชิญกับปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน บางรายต้องปลดพนักงาน …

38 ปีของความไว้วางใจ ไปที่ไหนกี่ครั้งก็สุขหัวใจทุกครั้ง เมื่อไปกับ…นครชัยแอร์ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top