Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “วิกฤตทางการศึกษา” ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตัวเลขจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปี 2567 พบว่า จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุดในประเทศกลับไม่ใช่เขตเศรษฐกิจหลัก แต่เป็นพื้นที่ชายขอบและชนบท อย่างเช่น แม่ฮ่องสอน นราธิวาส และโดยเฉพาะ ภาคอีสาน ที่ติดอันดับถึง 8 จังหวัดจาก 10 อันดับแรก ไม่ว่าจะเป็น นครพนม อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ยโสธร มุกดาหาร ศรีสะเกษ และสกลนคร โดยเด็กในพื้นที่เหล่านี้กว่า 35-40% มาจากครัวเรือนยากจนพิเศษ ซึ่งหมายความว่าแทบทุก 3-4 คน จะมี 1 คนที่ขาดปัจจัยพื้นฐานต่อการเรียนรู้นั่นเอง เบื้องหลังปัญหานี้คือ โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง โดยภาคอีสานยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก เผชิญภัยแล้ง ราคาผลผลิตผันผวน และขาดอุตสาหกรรมมูลค่าสูง จึงสร้างรายได้ที่ไม่มั่นคง ขณะเดียวกัน ครัวเรือนจำนวนมากมีการศึกษาสูงสุดเพียงระดับประถม ทำให้ขาดความสามารถในการสนับสนุนลูกหลานด้านการเรียน การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา เช่น โรงเรียนที่มีครูครบวิชา ห้องสมุด และเทคโนโลยีดิจิทัล ยิ่งซ้ำเติมช่องว่างเหล่านี้ เมื่อเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอหรือเท่าที่ควรจะเป็น โอกาสหลุดออกนอกระบบการศึกษาจึงสูง และเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็ถูกจำกัดให้ทำงานรายได้ต่ำในระบบเศรษฐกิจที่อาจไม่ก้าวหน้านั่นเอง วิกฤตนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาสังคม แต่คือ ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ที่ส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตของประเทศ การที่เด็กในภูมิภาคใหญ่ที่สุดของไทยขาดการศึกษาที่มีคุณภาพ คือสัญญาณว่าประเทศกำลังสูญเสีย “ทุนมนุษย์” (human capital) ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในอนาคต ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคอื่นเร่งพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล เด็กไทยจำนวนมากกลับยังติดอยู่กับความเหลื่อมล้ำพื้นฐาน หากรัฐและสังคมไม่ลงทุนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เราอาจต้องเผชิญกับวงจร “จน–ขาดโอกาส–ไม่มีศักยภาพแข่งขัน” ที่กัดกินทั้งสังคมและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว อย่างไรก็ตาม แม้การศึกษาจะเป็นปัจจัยสำคัญและถือเป็น “ใบเบิกทาง” ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงอาชีพ รายได้ และความก้าวหน้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งของอนาคต โลกความจริงเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้ที่ไม่ได้เรียนจบสูง แต่สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และสร้างรายได้มหาศาลได้ด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้าเสี่ยง การศึกษาไม่ใช่คำตอบเดียว หากเป็นสะพานที่ช่วยให้การเดินทางไปถึงฝั่งฝันง่ายขึ้น ขณะที่บางคนเลือกสร้างเรือของตนเองแล้วฝ่าคลื่นออกไป ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกันนั่นเอง ดังนั้น บทความนี้ไม่ได้ต้องการสรุปว่า ใครที่ยากจนหรือขาดการศึกษาในระบบจะต้องล้มเหลวในชีวิต หากแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า หากรัฐและสังคมละเลยเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เราอาจจะต้องสูญเสียศักยภาพมหาศาลจากเด็กจำนวนมากที่พร้อมจะเป็นพลังสำคัญของชาติ การศึกษาคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเปิดประตูโอกาส แม้ไม่การันตีความสำเร็จ แต่การมีโอกาสย่อมดีกว่าการถูกปิดกั้นตั้งแต่แรกเริ่ม   อ้างอิงจาก: – กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) – รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2567 – สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) – Thai PBS. – SDG Move.  – มติชนสุดสัปดาห์ – Cheewid Blog – Postjung   ติดตาม ISAN Insight & […]

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

“ช่องอานม้า” ลุกเป็นไฟ🔥ทบ.เตือนอย่าตกหลุม “กัมพูชายิงยั่วยุ” หวังปั่นภาพบนเวทีโลก⁉️ พาเปิดพิกัดเบิ่ง เขมรเสริมกำลัง จ่อประชิดชายแดนไทย

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 บริเวณช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเหตุความตึงเครียดระหว่างหน่วยปฏิบัติการของทั้งสองฝ่ายในช่วงเวลากลางวัน โดยสื่อรายงานเหตุการณ์ว่าเวลาประมาณ 12.03 น. ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนกลมือและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามายังแนวป้องกันของไทย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยจะมีการตอบโต้ด้วยอาวุธชนิดเดียวกันและสถานการณ์คลี่คลายลงในประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา อย่างไรก็ตาม เพจอย่างเป็นทางการของกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นการ “ยิงยั่วยุ” จากฝั่งกัมพูชา และยืนยันว่าไทยไม่ได้เปิดการปะทะในเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมขอให้ประชาชนเชื่อถือข้อมูลจากช่องทางทางการเท่านั้น พฤติกรรมการใช้ปืนกลและเครื่องยิงลูกระเบิดในช่วงเวลากลางวัน รวมทั้งการตั้งกล้องบันทึกภาพบริเวณฐานปฏิบัติการ ของกัมพูชานั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการปะทะครั้งนี้อาจมีเป้าประสงค์ทางการประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างภาพเหตุการณ์สาธารณะหรือไม่? ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าเป็นความพยายาม “สร้างเงื่อนไข” ให้สอดคล้องกับการเดินทางของคณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ชายแดนในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปะทะเชิงทหารเท่านั้น แต่ยังผูกโยงกับการต่อสู้ในมิติสื่อและการเมืองระหว่างประเทศ โดยเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ก็ส่งผลกระทบในระดับท้องถิ่นที่ชัดเจน ชุมชนชายแดน/ตลาดชายแดน พ่อค้าแรงงานรายวัน เกษตรกรที่นำผลผลิตมาจำหน่าย และผู้ประกอบการขนส่ง จะได้รับผลกระทบทันทีจากการชะงักของกิจกรรมการค้าข้ามพรมแดน การปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว หรือการจำกัดการสัญจรของประชาชนย่อมทำให้รายได้วันต่อวันลดลง โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กและแรงงานนอกระบบซึ่งมีสภาพคล่องน้อย ผลกระทบเหล่านี้แม้จะไม่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจระดับชาติ แต่สำหรับชุมชนชายแดนแล้วสามารถแปลเป็นการสูญเสียทางรายได้ และแรงกดดันต่อการดำรงชีพภายในพื้นที่ได้ทันทีนั่นเอง ระยะเวลาของความตึงเครียดและระดับการบานปลายเป็นตัวกำหนดขนาดของความเสียหาย หากเหตุการณ์คลี่คลายเร็วและการสื่อสารทางการเป็นไปอย่างโปร่งใส ผลกระทบจะจำกัดอยู่ที่การชะงักชั่วคราวของการค้าและการท่องเที่ยวท้องถิ่น แต่หากมีการปะทะซ้ำหรือยืดเยื้อ จะเกิดค่าใช้จ่ายทางการทหารที่เพิ่มขึ้น งบประมาณท้องถิ่นต้องถูกเบียดบังไปสู่การรักษาความปลอดภัย การลงทุนหรือโครงการพัฒนาพื้นที่จะชะลอหรือลดขนาด นอกจากนี้ความไม่แน่นอนที่ยาวนานย่อมเพิ่ม “ความเสี่ยง” ทำให้ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศชะลอการตัดสินใจในโครงการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ใกล้ชายแดน ส่งผลต่อการจ้างงานและการเติบโตของเศรษฐกิจระดับภูมิภาคนั่นเอง เหตุการณ์ช่องอานม้าที่เกิดขึ้นเมื่อ 27 กันยายน 2568 แม้จะมีลักษณะจำกัดวง แต่สะท้อนความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนที่ผูกโยงกันทั้งมิติทหาร สื่อสาร และเศรษฐกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจแม้จะเน้นหนักในระดับท้องถิ่น แต่หากปล่อยให้ความไม่แน่นอนสะสมก็ย่อมขยายเป็นปัญหาระดับภูมิภาคได้ การสร้างความรัดกุมด้านความมั่นคง การสื่อสารเชิงรับผิดชอบ และมาตรการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับชุมชนชายแดน จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ต่อไป   อ้างอิงจาก: – กองทัพบก ทันกระแส – ประชาชาติธุรกิจ – ข่าวช่อง8 – PPTVHD 36   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ช่องอานม้า #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชา

“ช่องอานม้า” ลุกเป็นไฟ🔥ทบ.เตือนอย่าตกหลุม “กัมพูชายิงยั่วยุ” หวังปั่นภาพบนเวทีโลก⁉️ พาเปิดพิกัดเบิ่ง เขมรเสริมกำลัง จ่อประชิดชายแดนไทย อ่านเพิ่มเติม »

🔎“รากาซา” ทำอีสานฝนตกหนักมาก พาเปิดเบิ่ง แผนที่ “น้ำท่วม 10 ปี” และพื้นที่เสี่ยง☔️⛈️

⛰️จากการประมวลความถี่ของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  พบว่าในช่วงหนึ่งอายุของคนที่เกิดในปี 2563 จะมีโอกาสเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากกว่าคนที่เกิดในปี 2503 ถึง 3 เท่า  โดยรายงานการค้าและการพัฒนา (Trade and Development Report 2021) จัดทำโดย UNCTAD ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 2543 – 2562 ทั่วโลกเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ จำนวน 7,348 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไป 1.23 ล้านคน ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกกว่า 4,200 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 2.97 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 101.75 ล้านล้านบาท ⛈️เมื่อปี 2554 ประเทศไทยประสบกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี ส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของเคยไทยเกือบทุกภูมิภาคของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจได้รับความเสียหายอย่างมาก นับเป็นอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ☔️หากลงไปดูข้อมูลน้ำท่วมในภาคอีสาน ก็พบว่า ข้อมูลในปี 2567 ภาคอีสานมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 1.38 ล้านไร่ รวม 18 จังหวัดทั่วภาคอีสาน ยกเว้นจังหวัดมุกดาหารและเลยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยจังหวัดนครพนมมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมมากที่สุดประมาณ 221,706 ไร่ รองลงมาคือจังหวัดอุดรธานีและหนองคาย ที่มีพื้นที่ถูกน้ำท่วม 213,478 และ 206,727 ไร่  ​​หากเกิดน้ำท่วม ก็ย่อมกระทบตั้งแต่ต้นน้ำอย่างภาคเกษตร ซึ่งเป็นหัวใจหลักของอีสาน ไปจนถึงปลายน้ำอย่างการขนส่งสินค้าและตลาดท้องถิ่นที่ต้องหยุดชะงัก ผลกระทบเชิงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นตลาดสดและศูนย์กระจายสินค้าอาจขาดแคลนพืชผลการเกษตร ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อยต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่การเดินทางและการคมนาคมเชื่อมโยงไปยังจังหวัดเศรษฐกิจใหญ่ อย่างเช่น ขอนแก่น และนครราชสีมา อาจสะดุดและส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโดยรวม อีกทั้งภาวะน้ำท่วมยังบั่นทอนความเชื่อมั่นการลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและโลจิสติกส์ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นฐานหลัก   🌪️ในขณะนี้ เดือนกันยายน 2568 ไทยกำลังเผชิญสภาพอากาศแปรปรวนทั่วประเทศ โดยภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ เช่น พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ จันทบุรี และตราด ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ไม่พ้น มีฝนตกหนักบางแห่ง เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยภาคอีสาน มีฝนฟ้าคะนองถึง 80% ของพื้นที่ หลายจังหวัดเจอทั้งฝนหนักและลมแรง อาทิ เลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ และอีกหลายจังหวัด ควรเฝ้าระวังสถานการณ์ใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทาง เกษตรกรรม และชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   สัญญาณน้ำท่วมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องฝนตกหนักทั่วไป แต่กำลังกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ต่อทั้งเกษตรกรและประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย จากการวิเคราะห์ข้อมูล “พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 7 ปี”

🔎“รากาซา” ทำอีสานฝนตกหนักมาก พาเปิดเบิ่ง แผนที่ “น้ำท่วม 10 ปี” และพื้นที่เสี่ยง☔️⛈️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.มัธยมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน

จากข้อมูลที่อีสานอินไซต์พาเปิดโผ 3 อันดับโรงเรียนมัธยมที่มีนักเรียนมากที่สุดในแต่ละจังหวัดอีสาน เผยให้เห็นภาพการรวมตัวของ “สมองคนรุ่นใหม่” ที่กระจุกอยู่ในโรงเรียนใหญ่ใจกลางเมืองหลัก ไม่ว่าจะเป็น ขอนแก่นวิทยายนที่มีนักเรียนกว่า 4,554 คน, สุรนารีวิทยา จังหวัดนครราชสีมา 4,347 คน, หรืออุดรพิทยานุกูล 4,275 คน ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติด้านการศึกษาเท่านั้น แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่ลึกซึ้ง โดยโรงเรียนขนาดใหญ่นั่นก็สร้างข้อได้เปรียบในเรื่องการที่มีครูผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น หลักสูตรที่หลากหลาย และกิจกรรมเสริมทักษะที่ครบครัน แต่ในอีกมิติหนึ่งก็เผชิญความท้าทาย ทั้งความแออัด และการกระจายทรัพยากรที่ยังไม่ทั่วถึงนั่นเอง โรงเรียนเหล่านี้กลายเป็นศูนย์กลางชีวิตเมืองด้วยกัน ซึ่งก่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจรอบโรงเรียนนั่นเอง ตั้งแต่การขนส่ง ร้านอาหาร ร้านเครื่องแบบ ติวเตอร์ ไปจนถึงที่พักนักเรียน โรงเรียนจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่การเรียนรู้เท่านั้น แต่กลับยังมีความสำคัญของเศรษฐกิจบริเวณรอบโรงรียน และยังสะท้อนโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทร่วมลงทุนในการพัฒนาบริการทางการศึกษาและทักษะอาชีพได้มากขึ้น เมื่อมองในระยะยาว เด็กนักเรียนในภาคอีสานคือ “ทุนมนุษย์” ที่จะเติบโตเป็นแรงงานสมองของชาติไปอนาคตต่อไป พวกเขาเหล่านี้ต่างก็จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ไปจนถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกษตรต่างๆ ดังนั้นนโยบายการศึกษาจึงควรมุ่งกระจายทรัพยากรครูและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปถึงโรงเรียนชนบท สร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียน มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนเพื่อเปิดเส้นทางสู่อาชีพ และยกระดับโรงเรียนขนาดใหญ่ให้เป็นศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้นั่นเอง ดังนั้น การลงทุนในคุณภาพการศึกษามัธยมของอีสานวันนี้ คือการลงทุนใน “สมองอนาคต” ของประเทศ เพราะเด็กอีสานไม่ใช่เพียงผู้เรียน แต่คือพลังความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพการแข่งขัน ที่จะต่อยอดสู่ความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในวันหน้านั่นเอง   อ้างอิงจาก: – ข้อมูลสารสนเทศนักเรียน โรงเรียนสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #โรงเรียนมัธยม #โรงเรียนมัธยมในอีสาน #โรงเรียนในอีสาน 

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.มัธยมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 สรุปประเด็นหลัก #KeyInsights ผลพวงสงครามการค้า ดันสินค้าจีนทะลักเข้าไทย พุ่งจากปีก่อนหน้ากว่า 23% ผลักสัดส่วนต่อการนำเข้าจากจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้นกว่า 5% มูลค่าการนำเข้าจากจีน ผ่านสปป.ลาว ในปี 2568 (ม.ค. – ก.ค.) มีมูลค่ากว่า 156,247 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 24.2 % #สินค้าจีนทะลัก #ISANxGMS #เศรษฐกิจอีสาน ใช่ครับ ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือยืนยันว่า **สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ** โดยเป็นผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า . ฮู้บ่ว่า? ปี 2568 มีแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่เข้ามาในไทยมาขึ้น แม้ปีก่อนหน้าจะมีกระแสการทะลักเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว สะท้อนคลื่นสินค้าที่อาจเข้าระลอกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมจากผลของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ การทะลักของสินค้าจีน 3.0 ข้อมูล 7 เดือนล่าสุดของปี 2568  (มกราคม ถึง กรกฎาคม) ชี้ให้เห็นการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 23.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และโดยที่คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทยที่สูงถึง 30.3% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย   ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า แนวทางการเร่งการส่งออกมายังไทย และประเทศในแถบอาเซียนของจีน สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของการใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี จากข้อมูลของ Trad Map การส่งออก 2 ไตรมาสแรกจากจีนไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 12.2% โดยมีอัตราการเติบโตมากสุดในการส่งออกไปยัง กัมพูชา(24.2%) ไทย(20.2%) และเวียดนาม(20%)   ทะลักเข้าแดนอีสานโดยตรง “เส้นทางบกสายใหม่” ที่สินค้าจีนไม่ได้มาแค่ทางเรืออีกต่อไป แต่ยังทะลักผ่านลาวเข้าชายสู่ชายแดนฝั่งภาคอีสานโดยตรง ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจีนผ่านแดนสปป.ลาว สูงขึ้นถึง 24.2% จากข้อได้เปรียบด้านการขนส่งผ่านรถไฟลาวจีนที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งถูกขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขการขาดดุลการค้า แต่อาจสะท้อนถึงความเปราะบางของผู้ประกอบการและ SME ไทย ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้าต้นทุนต่ำกว่า การทะลักเข้ามาของสินค้าผ่านช่องทางใหม่นี้ยังเป็นการท้าทายศักยภาพการแข่งขันของผู้ค้ารายย่อยในระดับภูมิภาคโดยตรง รวมถึงปัญหาการสวมสิทธิของสินค้าที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยโดยตรง จึงอาจต้องมีการเข้ามาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดระเบียบและมาตรฐานของสินค้านำเข้า สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมผู้ประกอบการในประเทศ   สถิติการนำเข้าล่าสุด (ปี 2568 เทียบ ปี 2567) ตัวเลขการนำเข้า: ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 การนำเข้าสินค้าจากจีนมายังไทย เพิ่มขึ้นสูงสุดในอาเซียนที่ 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า [1] ขาดดุลการค้า: จากตัวเลขการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทย ขาดดุลการค้ากับจีนหนักขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 2.2 แสนล้านบาท [2] สินค้าที่ทะลักเข้ามา: สินค้าที่คาดว่าจะทะลักเข้ามามากที่สุดส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องใช้สำหรับโทรคมนาคมและอุปกรณ์เครือข่าย,

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 อ่านเพิ่มเติม »

เปิดสัญญาณ “วิกฤต”‼️ เมื่อภาคอีสานกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” และ “ชัยภูมิ” ได้คว้าแชมป์อันดับ 1 ของภาคไปครอง‼️

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ และมีการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสูงภายในไม่กี่ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากอัตราการเกิดที่ลดลงควบคู่กับอายุขัยที่ยาวนานขึ้น ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความท้าทายด้านสังคมและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสเชิงธุรกิจที่สำคัญในหลายมิติด้วยกัน จากข้อมูลจะเห็นได้ชัดว่าภาคอีสานหลายจังหวัดกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” (Aged Society) ซึ่งมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกิน 20% อีกทั้งปรากฏการณ์นี้สะท้อนทั้งวิถีชีวิตใหม่ของคนรุ่นปัจจุบันที่นิยมอยู่เป็นโสด มีลูกน้อยลง และการที่อัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด ก็ทำให้โครงสร้างประชากรกลับหัว การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อธุรกิจ เศรษฐกิจมหภาค และเสถียรภาพทางสังคม 5 อันดับจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากสุด – ชัยภูมิ 22.6% – เลย 22.4% – ขอนแก่น 22.2% – มหาสารคาม 22.0% – นครราชสีมา 21.8% ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าภาคอีสานของเราไม่ใช่แค่กำลังสูงวัยเท่านั้น แต่กำลังย้ายเข้าสู่ระยะที่ผลกระทบจะฝังแน่นในโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องจำนวนคนเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบความต้องการของผู้บริโภค โครงสร้างแรงงาน และภาระทางการคลังที่ต้องออกแบบใหม่ทั้งระบบนั่นเอง อีกทั้ง จากเดิมที่ประเทศไทยเคยอาศัยแรงงานต้นทุนต่ำและการผลิตเชิงปริมาณ ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและสุขภาพพุ่งสูงขึ้น ประเทศก็จะเผชิญกับรายได้ภาษีลดลงจากประชากรวัยทำงานน้อยลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นจากประชากรวัยสูงอายุที่ต้องการบริการทางการแพทย์และบำนาญ หากไม่ปรับโครงสร้างการคลัง ประเทศไทยอาจเข้าสู่ “กับดักการคลังสูงวัย” ที่ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการเบียดบังงบลงทุนเพื่ออนาคตนั่นเอง ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรและในพื้นที่ชนบทซึ่งเป็นฐานของอีสานจะเผชิญแรงกดดันรุนแรง เนื่องจากแรงงานหนุ่มสาวอพยพเข้าเมือง เหลือเพียงผู้สูงอายุเป็นหลัก การผลิตอาหารจะชะงักหากไม่มีการลงทุนในเกษตรอัจฉริยะ และระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ อีกทั้งยังเกิดโจทย์ใหม่ว่าใครจะดูแลผู้สูงอายุในชนบท? หากไม่มีการสร้างเศรษฐกิจชุมชนดูแลที่ผสานการจ้างงานท้องถิ่นกับธุรกิจสังคม การเป็นสังคมผู้สูงอายุต่อเนื่องย่อมลดอุปทานของแรงงาน ซึ่งก็ส่งผลต่อการเติบโตของ GDP หากไม่ได้มีมาตรการชดเชยด้วยการเพิ่มผลิตภาพหรือแรงงานทดแทน ซึ่งผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจก็มีความซับซ้อนเช่นกัน ในอีกมุมหนึ่งอัตราการออมต่อหัวอาจเพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุใกล้เกษียณ แต่การบริโภคโดยรวมเปลี่ยนแปลงไป ลดความต้องการสินค้าเพื่อเด็กและวัยหนุ่มสาว และหันไปเพิ่มความต้องการบริการสุขภาพ การดูแลระยะยาว และสินค้าเชิงคุณภาพชีวิต ทำให้เกิดการขยายตัวของ “เศรษฐกิจแบบดูแล (Care Economy)” อีกทั้ง การเป็นสังคมผู้สูงวัยเองก็มีทั้งความเสี่ยงและโอกาส โดยสาขาที่อาจหดตัวได้แก่ ตลาดสินค้าเด็ก การศึกษาแบบมวลชน และบางบริการความบันเทิงสำหรับวัยหนุ่มสาว ขณะเดียวกันโอกาสใหม่ๆ จะผุดขึ้นมากมาย อย่างเช่น บริการดูแลผู้สูงอายุแบบรายเดือน, โทรเวชกรรมและการจัดการโรคเรื้อรังนั่นเอง การกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มตัวเป็นทั้งความท้าทายเชิงโครงสร้างและโอกาส หากรัฐ ภาคธุรกิจ และชุมชนร่วมกันคิดเชิงระบบ ปรับกรอบนโยบาย และออกแบบบริการที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของประชากรสูงวัย ประเทศยังสามารถเปลี่ยน “ภาระประชากรสูงวัย” ให้เป็น “เศรษฐกิจคุณภาพชีวิต” ที่สร้างงานและนวัตกรรมได้ แต่ต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงของโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนไป และออกแบบมาตรการที่เป็นทั้งเชิงป้องกันและเชิงสร้างสรรค์พร้อมกัน   อ้างอิงจาก: – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง – กรมกิจการผู้สูงอายุ – กระทรวงสาธารณสุข – World Bank – วิจัยกรุงศรี   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ

เปิดสัญญาณ “วิกฤต”‼️ เมื่อภาคอีสานกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” และ “ชัยภูมิ” ได้คว้าแชมป์อันดับ 1 ของภาคไปครอง‼️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “ศักยภาพเพื่อนบ้าน GMS” ใครคือผู้นำเศรษฐกิจตัวจริง⁉️

ภาคอีสานของเรากำลังถูกจับตามองในฐานะ “หนึ่งศูนย์กลางเชื่อมโยงเศรษฐกิจ” ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ ซึ่งทั้งหมดมีประชากรรวมกว่า 240 ล้านคน ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียแปซิฟิก โดยภาคอีสานมีจุดแข็งเป็นศูนย์กลางการเขื่อมโยงการค้าและการขนส่ง ผ่านเส้นทางคมนาคมสำคัญ ภาคอีสานสามารถใช้ประโยชน์จากแรงดึงดูดทางเศรษฐกิจของประเทศรอบข้างได้อย่างมหาศาล อย่างเช่น จีนตอนใต้ซึ่งมี GRP สูงถึง 14 ล้านล้านบาทและประชากรกว่า 47 ล้านคน กำลังเร่งขยายอิทธิพลด้านการค้าและการลงทุนไปยังประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) อีสานจึงมีโอกาสเป็นจุดผ่านของห่วงโซ่อุปทานการผลิต (supply chain) ทั้งในอุตสาหกรรมการเกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ เวียดนามซึ่งมีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย (GRP 16 ล้านล้านบาท) ก็เป็นทั้งคู่แข่งและคู่ค้า ทำให้อีสานสามารถดึงดูดการลงทุนข้ามแดนและพัฒนาอุตสาหกรรมเชื่อมโยงได้ ด้านผลกระทบเชิงบวก ภาคอีสานจะได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูงไทย-ลาว-จีน ด่านการค้า และเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มศักยภาพด้านการส่งออกได้ และขยายโอกาสทางการท่องเที่ยวชายแดนให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังสร้างช่องทางให้เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสินค้าผลไม้ ข้าวอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์แปรรูปที่กำลังได้รับความนิยมในตลาดโลก ภาคอีสานไม่ได้เป็นเพียงภูมิภาคชายขอบ แต่กำลังกลายเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่สำคัญทางเศรษฐกิจที่มีอำนาจต่อรองมากขึ้น เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจอย่างจีนเข้ากับอาเซียน อีกทั้งยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ BRI (Belt and Road Initiative) ของจีน และแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจของไทย ทำให้อีสานอยู่ในตำแหน่งที่สามารถกำหนดทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตได้นั่นเอง หากมองไปในทางอนาคตข้างหน้า โอกาสของภาคอีสานคือการต่อยอดจากความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ ไปสู่ความได้เปรียบเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ ผ่านการพัฒนานวัตกรรม การเกษตรอัจฉริยะ และการยกระดับบริการโลจิสติกส์ หากสามารถสร้างระบบธุรกิจที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่น ภาคอีสานเองจะไม่ใช่เพียง “ภูมิภาคชายแดน” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหัวใจใหม่ของเศรษฐกิจภูมิภาค GMS ที่ผลักดันไทยให้ก้าวสู่บทบาทผู้นำเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริงนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสัมคมแห่งชาติ – Trading Economics – World Bank – BOI – Greater Mekong Subregion Secretariat – IMF (International Monetary Fund)   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #GMS เพื่อนล้านอีสาน #จีนใต้ #เวียดนาม #กัมพูชา #ลาว #เมียนมา

พาเปิดเบิ่ง “ศักยภาพเพื่อนบ้าน GMS” ใครคือผู้นำเศรษฐกิจตัวจริง⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระบบการเงินโลกสั่นคลอน พามาเบิ่ง ยักษ์ใหญ่การเงิน ทั่วโลกล้มละลายที่ไหนบ้าง⁉️

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับความเปราะบางของระบบการเงินที่แสดงให้เห็นว่า แม้ธนาคารจะมีขนาดใหญ่และเก่าแก่แค่ไหน ก็ไม่สามารถรับประกันความมั่นคงได้ตลอดไป และล่าสุดกระแสการอายัดบัญชีในไทยเมื่อไม่นานมานี้ ที่ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยต่างเร่งถอนเงินสดออกจากธนาคาร เป็นภาพสะท้อนความไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้นในทุกประเทศเมื่อระบบการเงินสั่นคลอน และเมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เราก็อาจจะเห็นบทเรียนสำคัญว่าความเชื่อมั่นเป็นตัวแปรหลักที่กำหนดชะตาของธนาคารนั่นเอง หากย้อนกลับไปดูตัวอย่างในโซนยุโรป ก็จะพบกรณี Banco Popular ของสเปนในปี 2017 ที่มีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวนมากจนต้องขายกิจการให้ Santander ในราคาเพียง 1 ยูโร ส่วนในเอเชีย PMC Bank ของอินเดียก็ประสบปัญหาหนี้เสียมากถึง 73% จนผู้ฝากเงินไม่สามารถเข้าถึงเงินของตัวเองได้ ขณะที่ Yes Bank ก็ต้องเผชิญการแห่ถอนเงินของประชาชน รัฐบาลจึงต้องเข้ามาอุ้มเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤติการเงินนั่นเอง ข้ามไปเวียดนาม Saigon Commercial Bank กลายเป็นบทเรียนสำคัญเรื่องการกำกับดูแลที่หละหลวม เมื่อปัญหาทุจริตและหนี้เสียก่อให้เกิดการสูญเสียศรัทธาของผู้ฝากเงินอย่างรุนแรง ในระดับโลก ชื่อที่สะเทือนใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Credit Suisse หนึ่งในธนาคารเก่าแก่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ที่ต้องถูก UBS ซื้อกิจการในปี 2023 เพื่อหยุดยั้งการล้มละลายนั่นเอง ขณะที่สหรัฐอเมริกาเองก็เผชิญวิกฤติครั้งใหญ่จาก Silicon Valley Bank (SVB) ซึ่งสะท้อนการเกิด “Bank Run ยุคดิจิทัล” ที่การถอนเงินพร้อมกันเพียง 48 ชั่วโมงสามารถล้มธนาคารได้ทันที และเมื่อ SVB ล้มลง ความเชื่อมั่นก็สั่นคลอนไปยัง First Republic Bank และ Signature Bank ที่ต้องปิดกิจการตามมาอีกด้วย   การล้มละลายของธนาคารเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการจัดการภายในหรือความผิดพลาดเชิงธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา ซึ่งเมื่อความเชื่อมั่นหายไป ผู้ฝากเงินเลือกที่จะถอนเงินโดยไม่สนใจว่าในเชิงบัญชีธนาคารยังมีสินทรัพย์อยู่หรือไม่ ผลลัพธ์คือระบบการเงินทั้งหมดอาจล้มพังได้ในเวลาอันสั้นนั่นเอง ผลกระทบจากการล้มละลายของธนาคารมีหลากหลายมิติ ตั้งแต่ระดับมหภาคที่ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก การลงทุนหดหาย และตลาดเงินผันผวน ไปจนถึงระดับจุลภาคที่ผู้ประกอบการ SME ขาดเงินทุนหมุนเวียน และประชาชนสูญเสียความมั่นใจต่อการออมในระบบธนาคาร เม็ดเงินจำนวนมากจึงไหลไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเช่น ทองคำหรือพันธบัตรรัฐบาล สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินและตลาดทุนโลก บทเรียนจากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า การล้มของธนาคารไม่ใช่แค่ปัญหาของสถาบันใดสถาบันหนึ่ง แต่คือ “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ที่พร้อมจะกระทบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม หากปล่อยให้ความไว้วางใจพังทลายลงนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – FDIC – RBI – Reuters – Bloomberg – MONEY LAB   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ธนาคาร #เงินฝาก #ธนาคารล่ม

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระบบการเงินโลกสั่นคลอน พามาเบิ่ง ยักษ์ใหญ่การเงิน ทั่วโลกล้มละลายที่ไหนบ้าง⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ

จากกระแสที่แบงก์อายัดบัญชีที่โยงกับบัญชีม้า ทำให้หลายคนเริ่มแห่ไปถอนเงินกันเพื่อถือเป็นเงินสดมากขึ้น โพสต์นี้จึงพามาดูข้อมูลที่น่าสนใจกัน! รู้หรือไม่ว่าธนบัตรที่เราใช้จ่ายกันอยู่ทุกวันนี้ มีจำนวนรวมกันกว่า 7,929 ล้านฉบับ และมีมูลค่ารวมสูงถึง 2,702,880 ล้านบาท! 🤯 ลองดูตัวเลขของธนบัตรแต่ละชนิดกันหน่อยสิว่าฉบับไหนมีจำนวนมากที่สุด ธนบัตร 1,000 บาท: 2,247 ล้านฉบับ ธนบัตร 500 บาท: 346 ล้านฉบับ ธนบัตร 100 บาท: 1,937 ล้านฉบับ ธนบัตร 50 บาท: 691 ล้านฉบับ ธนบัตร 20 บาท: 2,707 ล้านฉบับ จากกระแสนที่คนแห่ไปถอนเงิน อาจทำให้บางแบงก์นั้นมีเงินสำรองไม่พอให้ถอนบ้างในระยะสั้น แต่ทาง ธปท. ก็ได้ออกมายืนยันว่ายังไม่เห็นสัญญาณของ Bank run เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน #บัญชีม้า #ธนบัตรไทย #เศรษฐกิจไทย #แบงก์ชาติ ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ อ่านเพิ่มเติม »

โลกกำลังเดือด‼️ พาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์ 10 ปี เมื่อ “ความอดทนหมดลง”… ก่อเกิดการจลาจลไปทั่วโลก‼️

โลกเดือด เมื่อความอดทนหมดลง – การประท้วงในฐานะภาพสะท้อนเศรษฐกิจและความมั่นคงโลก ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โลกเผชิญคลื่นการประท้วงที่ปะทุขึ้นในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ลาตินอเมริกา ยุโรป ไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำ และความล้มเหลวของภาครัฐ ในการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งนำไปสู่คำถามใหญ่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศและการเชื่อมโยงต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวมนั่นเอง เวเนซุเอลา (2017–2019) เศรษฐกิจล่มสลายและการเมืองล้มเหลว เวเนซุเอลาเป็นกรณีศึกษาชัดเจนของรัฐที่พึ่งพาน้ำมันมากเกินไป เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำ เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนขาดแคลนอาหารและยา รัฐบาลมาดูโรถูกกดดันจากทั้งภายในและภายนอก ผลที่ตามมาคือการอพยพครั้งใหญ่สู่ประเทศเพื่อนบ้าน ก่อให้เกิดภาระทางสังคมและเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ชิลี (2019) ความเหลื่อมล้ำในประเทศที่เติบโต การขึ้นค่าโดยสารรถไฟใต้ดินในชิลีเป็นเพียง “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่จุดชนวนความไม่พอใจที่สะสมมาอย่างยาวนาน ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจตกอยู่ในมือชนชั้นนำไม่กี่กลุ่ม จึงทำให้เกิดการประท้วง ซึ่งการประท้วงครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแรงไม่ได้การันตีเสถียรภาพทางสังคม หากความเหลื่อมล้ำยังคงสูง ผลกระทบเชื่อมโยงถึงตลาดลงทุน เพราะชิลีคือผู้ส่งออกทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก ความไม่สงบจึงสั่นสะเทือนห่วงโซ่อุปทานโลหะอุตสาหกรรมระดับโลกนั่นเอง ฮ่องกง (2019) ความมั่นคงทางการเมืองและการเงินโลก การต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนสะท้อนความกังวลเรื่องอิทธิพลของจีน และนำไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินโลกถูกสั่นคลอน ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ นักลงทุนต่างชาติทบทวนความเชื่อมั่น ในฐานะประตูการเงินสู่จีน และส่งผลต่อการจัดทัพทุนของบริษัทข้ามชาตินั่นเอง สหรัฐอเมริกา (2020): Black Lives Matter และความเหลื่อมล้ำเชิงสังคม การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ จุดประกายการประท้วง Black Lives Matter ที่สะท้อนทั้งความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ขบวนการดังกล่าวไม่ได้เพียงเขย่าสังคมอเมริกันเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อแบรนด์ระดับโลก หลายแห่งที่ต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อสะท้อนความรับผิดชอบทางสังคม และทำให้ความยุติธรรมทางเชื้อชาติกลายเป็นแรงกดดันใหม่ในระบบทุนนิยมโลก คาซัคสถาน (2022): ราคาพลังงานกับการเมืองเผด็จการ การขึ้นราคาก๊าซเชื้อเพลิงเป็นตัวเร่งให้เกิดการลุกฮือทั่วประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่ยังแสดงให้เห็นว่า ราคาพลังงานคือจุดเปราะบางของความมั่นคงของภาครัฐ ความไม่สงบในคาซัคสถานซึ่งเป็นผู้ส่งออกพลังงานสำคัญ ทำให้ตลาดพลังงานโลกผันผวน และตอกย้ำความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างการปกครองแบบเผด็จการกับการจัดการทรัพยากร ฝรั่งเศส (2023): ความรุนแรงของตำรวจและสังคมพหุวัฒนธรรม การเสียชีวิตของวัยรุ่นฝรั่งเศสที่ถูกตำรวจยิง จุดชนวนให้เกิดการประท้วงใหญ่ในชุมชนผู้อพยพ เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาการบูรณาการทางสังคม และสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ความไม่สงบส่งผลต่อ เสถียรภาพการลงทุนในยุโรป และกระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักนั่นเอง   ในปี 2025 ความปั่นป่วนรอบใหม่ในหลายประเทศด้วยกัน – สหราชอาณาจักร คลื่นต่อต้านผู้อพยพสะท้อนความตึงเครียดทางสังคมจากกระแสชาตินิยม ผลทางเศรษฐกิจคือแรงงานขาดแคลน โดยเฉพาะในภาคบริการและเกษตรกรรม – เนปาล คนรุ่นใหม่ (Gen Z) ลุกฮือเพื่อต่อต้านการแบนโซเชียลมีเดียและคอร์รัปชัน สะท้อนความเปราะบางของรัฐเล็กในเอเชียใต้ที่ต้องพึ่งพาแรงงานส่งออกและเงินโอนจากต่างประเทศ – สหรัฐอเมริกา “Million March” ต่อต้านทรัมป์ แสดงให้เห็นการแบ่งขั้วการเมืองที่ลึกขึ้นในมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งอาจกระทบเสถียรภาพนโยบายการคลังและการค้าระหว่างประเทศ – อินโดนีเซีย การประท้วงปากท้องจากค่าครองชีพสูงและความไม่พอใจการเมือง เป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging market) ก็เผชิญแรงกดดันจากความเหลื่อมล้ำและต้นทุนชีวิต   การประท้วงคือสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกัน การประท้วงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความมั่นคงภายในประเทศที่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะของการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น แต่คือเครือข่ายที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกอีกด้วย เมื่อรัฐไม่สามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน ความไม่พอใจจะแปรเปลี่ยนเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งการประท้วงทำให้เกิดต้นทุนแฝง ทั้งการชะงักของซัพพลายเชน

โลกกำลังเดือด‼️ พาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์ 10 ปี เมื่อ “ความอดทนหมดลง”… ก่อเกิดการจลาจลไปทั่วโลก‼️ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top