Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

มัดรวมให้อ่าน 25 เรื่องน่าฮู้ “กัมพูชา” จากบทความ และ Infographic จาก ISAN Insight

มัดรวมให้อ่าน 25 เรื่องน่าฮู้ “กัมพูชา” จากบทความ และ Infographic จาก ISAN Insight . 1⃣พามาย้อนเบิ่ง เหตุการข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนไทย – กัมพูชา เป็นมาจังได๋ https://www.facebook.com/photo/?fbid=876793844623243&set=a.648085124160784   2⃣สมรภูมิเดือด! เขตแดนทับซ้อน เปิดตำนาน “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต จุดชนวนไทย-กัมพูชา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=997128919256401&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   3⃣ส่องซอด🧐ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน https://www.facebook.com/photo/?fbid=997868795849080&set=pb.100068779069701.-2207520000   4⃣‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1001537368815556&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   5⃣พื้นที่ 4 จุดเดือด กลุ่ม ปราสาท ชายแดนไทย-กัมพูชา https://www.facebook.com/photo/?fbid=1002855708683722&set=pb.100068779069701.-2207520000   6⃣พามาเบิ่ง🧐การค้าชายแดนไทย – กัมพูชาเสี่ยงชะลอตัว หากต้องปิดด่านระยะยาว https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1006653441637282&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   7⃣🇰🇭Cambodia อาจเป็น (S)cambodia เมื่ออุตสาหกรรม Scam มีรายได้กว่า 40% ของ GDP กัมพูชา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1008027091499917&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   8⃣”ทัพไทย” เบอร์ 14 โลก🏆 พาส่องเบิ่ง “กองกำลังรบ” เพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง และบทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารี🪖🎖️ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1011724614463498&set=pb.100068779069701.-2207520000   9⃣พามาเบิ่ง🧐กัมพูชากับความมั่นคงด้านพลังงาน “เส้นบางๆ ของการพึ่งพา”🇰🇭 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1013995680903058&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   🔟พาเจาะลึกเบิ่ง “ปราสาทตาเมือนธม” 1 ใน 4 ปราสาทที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ในถิ่นไทย https://www.facebook.com/photo/?fbid=1029069072729052&set=pb.100068779069701.-2207520000   1⃣1⃣พามาเบิ่ง ไทยต้องแบก “ค่ารักษาต่างด้าว” กว่า 2.3 พันล้าน ภาระนี้ ชายแดนไทย-กัมพูชา อ่วมหนัก 277 ล้าน https://www.facebook.com/photo/?fbid=1031831969119429&set=pb.100068779069701.-2207520000   1⃣2⃣จับตา ‘ชายแดนเดือด’ ไทย-กัมพูชา พาเปิดเบิ่ง “กองกำลังรบ” และ “ยุทโธปกรณ์”💂‍♂️🪖ใครมีอะไรในมือ… พร้อมรับสถานการณ์ล่าสุด!🎖️ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1034282618874364&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   1⃣3⃣อาชญากรรมสงคราม🇰🇭ทำไมห้ามโจมตีโรงพยาบาลและพลเรือน? พามาฮู้จัก “อนุสัญญาเจนีวา” ที่โลกจับตา ในวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชานี้ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1034958075473485&set=pb.100068779069701.-2207520000   1⃣4⃣พาสรุป ไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่าง ไทย-กัมพูชา 24-25 ก.ค.2568 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1037967198505906&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   […]

มัดรวมให้อ่าน 25 เรื่องน่าฮู้ “กัมพูชา” จากบทความ และ Infographic จาก ISAN Insight อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐เจ้าเวหาแห่งน่านฟ้า✈️เบอร์หนึ่งสายการบินแห่งชาติในอาเซียน

การบินไทย หนึ่งในห้าสายการบินผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรการบิน Star Alliance ในปี ค.ศ. 1997 ซึ่งปัจจุบันเป็นเครือข่ายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิกกว่า 25 สายการบิน เชื่อมต่อเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 186 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน การบินไทยมีอายุราว 65 ปี อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานในฐานะสายการบินแห่งชาติที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แม้ในปี พ.ศ. 2563 จะเกิดการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ธุรกิจการบินทั่วโลกหยุดชะงัก หลายสายการบินต้องปลดพนักงานจำนวนมาก บางแห่งจำเป็นต้องขายเครื่องบินออกเพราะค่าบำรุงรักษาสูงจากการจอดนิ่งและขาดผู้โดยสาร การบินไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน จนต้องยื่นคำร้องฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 นับเป็นหนึ่งในธุรกิจแห่งชาติรายใหญ่ที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยในขณะนั้นยังมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นเดิม ได้แก่ กระทรวงการคลัง 53.16% และผู้ถือหุ้นรายย่อย 46.84% หลังจากผ่านมากว่า 4 ปี นับตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ภายหลังบริษัทฯ ยื่นคำร้องขอยกเลิกเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 การกลับมาครั้งนี้เปรียบเสมือนการพิสูจน์ว่าการบินไทย แม้เผชิญวิกฤติหนักเพียงใด ก็สามารถฟันฝ่าและก้าวข้ามได้ แม้ต้องใช้เวลายาวนานในการฟื้นตัว นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ เปิดเผยว่า “ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการสำคัญตามแผนฟื้นฟูจนบรรลุผลในหลายด้าน อาทิ การปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มความคล่องตัว การขยายเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมภูมิภาคต่าง ๆ การปรับปรุงฝูงบินและห้องโดยสาร การพัฒนาระบบดิจิทัล และยกระดับมาตรฐานการให้บริการในทุกจุด ทั้งนี้เพื่อยกระดับการบินไทยสู่การเป็นสายการบินชั้นนำในภูมิภาค โดยมีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งในด้านการสร้างรายได้ การควบคุมต้นทุน และการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการแข่งขันได้รวดเร็วและคล่องตัวยิ่งขึ้น” การกลับมาครั้งนี้ของการบินไทย แตกต่างจากอดีตที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้นมากกว่า 50% ปัจจุบัน แม้กระทรวงการคลังยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยจำนวน 11 พันล้านหุ้น แต่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 38.9% ขณะที่ผู้ถือหุ้นรองลงมาคือกลุ่มสถาบันการเงินต่างๆ การที่การบินไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ นักลงทุน หลังจากหุ้นการบินไทย (THAI) ถูกระงับการซื้อขายยาวนานตั้งแต่เริ่มกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ก็ได้กลับมาเปิดซื้อขายอีกครั้งในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ที่ราคาเปิด 10.50 บาทต่อหุ้น และปรับขึ้นจนราคาปิด ณ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 17.80 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้การบินไทยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ราว 5 แสนล้านบาท ติดอันดับหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศ การกลับมาของการบินไทยในสถานะที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เปรียบเสมือนการปลดพันธนาการจาก พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ซึ่งเดิมทำให้การดำเนินการต่างๆ เต็มไปด้วยความล่าช้า เงื่อนไขทางกฎหมาย

พามาเบิ่ง🧐เจ้าเวหาแห่งน่านฟ้า✈️เบอร์หนึ่งสายการบินแห่งชาติในอาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

เมื่อด่านอีสานใต้ปิดเพราะความขัดแย้งชายแดน พาเปิดเบิ่งตัวเลข คนกัมพูชาหันข้ามผ่านฝั่งไทย–ลาว

ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่ปะทุขึ้นในช่วงกลางปี 2568 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจชายแดนอีสานอย่างไม่อาจมองข้ามได้ จำนวนผู้โดยสารผ่านด่านฝั่งไทย-กัมพูชาที่เคยสูงถึง 125,771 คนในเดือนเมษายน 2568 นั้น กลับร่วงลงเหลือเพียง 4,409 คนในเดือนกรกฎาคม หลังจากด่านฝั่งอีสานใต้ถูกปิดชั่วคราว การหดตัวนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการหยุดชะงักของการเดินทางเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงการหยุดชะงักของเม็ดเงินหมุนเวียนในเมืองชายแดนที่เคยพึ่งพาผู้มาเยือนจากกัมพูชา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าด่านไทย-กัมพูชาจะปิดชั่วคราว แต่คนกัมพูชาก็ยังคงหาทางเข้ามายังประเทศไทยกัน โดยเลือกเส้นทางใหม่ผ่านฝั่งไทย-ลาว   การเปลี่ยนเส้นทาง จากจุดชายแดนอีสานใต้สู่อีสานตอนบน ก่อนปิดด่าน ด่านหลักของฝั่งไทย-กัมพูชาที่มีผู้ใช้มากที่สุดคือ ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ และด่านคลองลึก จ.สระแก้ว ที่มีผู้สัญจรหลักหมื่นถึงหลายหมื่นต่อเดือน แต่หลังปิดด่าน ตัวเลขผู้ใช้ด่านฝั่งกัมพูชาลดลงเหลือเพียงเศษเสี้ยว ขณะที่ด่านฝั่งลาว ไม่ว่าจะเป็น สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 จ.มุกดาหาร และ ด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี กลับเห็นจำนวนผู้เดินทางจากกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยแสดงให้เห็นว่า คนกัมพูชาบางส่วนยอมเพิ่มระยะทางและต้นทุนการเดินทางเพื่อเข้ามาทำธุรกิจ จับจ่ายสินค้า หรือแม้กระทั่งทำงานในไทย ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของตลาดไทยต่อความต้องการสินค้าและบริการของกัมพูชานั่นเอง   แล้วสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่ออีสานอย่างไร⁉️ เมืองชายแดนฝั่งลาว อย่างเช่น มุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี เริ่มได้รับอานิสงส์จากการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น ร้านค้าปลีก ตลาดการค้า และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในพื้นที่เหล่านี้มีโอกาสฟื้นตัวและขยายตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักจะไม่ใช่ชาวลาวเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงชาวกัมพูชาที่ข้ามเข้ามาด้วย อีกทั้งเส้นทางจากกัมพูชาสู่ลาวและเข้าสู่ไทย อาจต้องผ่านหลายด่านและหลายรูปแบบการขนส่ง ทำให้ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ในอีสานตอนบนมีโอกาสให้บริการเส้นทางใหม่ ทั้งการขนสินค้าข้ามแดน การจัดการเอกสารศุลกากร และบริการคลังสินค้าอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จังหวัดชายแดนฝั่งกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นสุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว อาจสูญเสียเม็ดเงินจากการเดินทาง การค้าขาย และการท่องเที่ยวชายแดนในสัดส่วนสูง โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และตลาดนัดชายแดนที่เคยรองรับนักท่องเที่ยวและนักช้อปจากกัมพูชานั่นเอง   แม้สถานการณ์ความขัดแย้งจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจชายแดนฝั่งไทย-กัมพูชา แต่การปรับตัวของผู้คนและภาคธุรกิจถือเป็นการสร้างเส้นทางเศรษฐกิจใหม่ผ่านฝั่งไทย-ลาว ซึ่งไม่เพียงเป็นทางออกชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังอาจกลายเป็นโอกาสสำหรับอีสานตอนบน หากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการพัฒนาตลาดชายแดนให้รองรับความต้องการของทั้งชาวลาวและกัมพูชา     อ้างอิงจาก: – Travel Link   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ปิดด่านชายแดนกัมพูชา #แรงงานกัมพูชา

เมื่อด่านอีสานใต้ปิดเพราะความขัดแย้งชายแดน พาเปิดเบิ่งตัวเลข คนกัมพูชาหันข้ามผ่านฝั่งไทย–ลาว อ่านเพิ่มเติม »

พามองเบิ่ง GMS ผ่านดาวเทียมยามค่ำคืน “ใครสว่าง ใครมืด” บางเมืองไม่เคยหลับ บางเมืองไม่เคยได้เปิดไฟ

ภาพถ่ายดาวเทียมในยามค่ำคืนของกลุ่มประเทศกลุ่ม GMS ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังสามารถสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจ การกระจายตัวของประชากร และระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน   ไทย โดดเด่นด้วยความสว่างหนาแน่น โดยเฉพาะบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งกระจุกตัวของแสงไฟอย่างชัดเจน แสดงถึงความหนาแน่นของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคกลาง ขณะเดียวกัน เมืองใหญ่ในแต่ละภูมิภาค อย่างเช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี และนครราชสีมา ก็ปรากฏเป็นจุดสว่างกระจายทั่วประเทศ ซึ่งบ่งชี้ถึงโครงสร้างเมืองที่กระจายตัวและมีเครือข่ายคมนาคมเชื่อมต่อกันอย่างดี   เวียดนาม แสงไฟกระจุกตัวหนาแน่นบริเวณโฮจิมินห์และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง แสดงให้เห็นความหนาแน่นของกิจกรรมเศรษฐกิจ การผลิต และการค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการส่งออก เวียดนามตอนใต้ยังคงสว่างไสวมากกว่าตอนเหนือของประเทศ    กัมพูชา สะท้อนภาพการพัฒนาแบบกระจุกตัวสูงในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและการปกครอง แต่พื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ยังคงมืดมิด แสดงถึงช่องว่างของโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าและการพัฒนาในชนบทที่ยังล่าช้าอีกด้วย   ลาว มีแสงไฟกระจายตัวบางเบา บ่งบอกถึงความหนาแน่นประชากรต่ำและโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่จำกัด แม้เมืองหลวงเวียงจันทน์และเมืองสำคัญอย่างปากเซจะปรากฏเป็นจุดสว่าง แต่พื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาแสงธรรมชาติและระบบไฟฟ้าแบบจำกัด ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจที่พึ่งพาเกษตรกรรมและพลังงานน้ำเป็นหลัก   เมียนมา มีแสงไฟกระจุกในเมืองย่างกุ้งและเนปิดอว์ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงมืดสนิท ซึ่งเป็นผลจากโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าที่อาจจะไม่ทั่วถึงและสถานการณ์การเมืองที่ส่งผลต่อการลงทุนด้านพลังงานและการพัฒนาเมืองนั่นเอง   จีนตอนใต้ โดยเฉพาะมณฑลกวางตุ้งที่มีแสงไฟปรากฏหนาแน่นรอบเมือง สะท้อนความเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค และเป็นเมืองชายฝั่งทะเลที่ตั้งอยู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงประตูที่เชื่อมต่อการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านใน GMS     อ้างอิงจาก: – worldview.earthdata.nasa   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ความสว่าง #GMS 

พามองเบิ่ง GMS ผ่านดาวเทียมยามค่ำคืน “ใครสว่าง ใครมืด” บางเมืองไม่เคยหลับ บางเมืองไม่เคยได้เปิดไฟ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง โคราชโกยกำไร เปิด 10 บริษัททำเงินกระจายแดนย่าโม

พามาเบิ่ง TOP 10 อันดับ บริษัทในโคราชที่ทำกำไรสูงสุด   ชื่อบริษัท วัตถุประสงค์ กำไร (ล้านบาท) %YoY รายได้ (ล้านบาท) %YoY สัญชาติ บริษัท แอสเตโม โคราช เบรก ซิสเตมส์ จำกัด ผลิตชุดเบรคยานยนต์ 1,139.5 28.8 7,810.3 0.7 ญี่ปุ่น บริษัท พี.ซี.เอส. แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ 674.9 63.3 3,285.1 -19.3 ไทย บริษัท ชิน-เอ ไฮ เทค จำกัด ผลิตผลิตภัณฑ์โลหะอลูมิเนียม และอิเล็คทรอนิคส์ 621.1 11.2 4,690.6 11.1 ญี่ปุ่น บริษัท เอ็มเอ็มไอ พรีซิชั่น แอสเซมบลิ (ไทยแลนด์) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 598.9 29.7 4,390.7 0.3 สิงคโปร์ บริษัท แอสเตโม โคราช จำกัด ผลิตและจำหน่ายโช้คอัพ และเบรครถยนต์ 538.8 8.1 4,354.4 2.9 ญี่ปุ่น บริษัท นิชิกาว่า เตชาพลาเลิศ คูปเปอร์ จำกัด ผลิตยางขอบกระจกรถยนต์ และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ 480.6 -10.4 2,242.2 -11.6 ญี่ปุ่น บริษัท อีตัน อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตที่จับด้ามไม้กอล์ฟทำด้วยยาง 478.2 5.2 1,872.0 -12.6 สวิซ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพ ราชสีมา จำกัด โรงพยาบาล 307.0 -9.0 2,685.9 6.9 ไทย บริษัท สงวนวงษ์สตาร์ช จำกัด ผลิตแป้งมันสำปะหลังดัดแปร 301.3 70.8 4,965.7 -3.3 ไทย บริษัท คาสิโอ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งออกนาฬิกาอิเล็คทรอนิคส์สำเร็จรูป 291.5 1.5 8,171.7 2.3 ญี่ปุ่น หมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงในภาคอีสาน การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์

พามาเบิ่ง โคราชโกยกำไร เปิด 10 บริษัททำเงินกระจายแดนย่าโม อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ภาษีทรัมป์ ของประเทศในอาเซียน ไทยได้ลดจาก 36% เหลือ 19%

นโยบายปรับลดภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา หรือ “ภาษีทรัมป์” กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ที่ต่างเร่งปรับตัวเพื่อให้สินค้าส่งออกของตนสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ภายใต้เงื่อนไขภาษีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยเองได้ประกาศลดอัตราภาษีจาก 36% เหลือ 19% เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการค้าโลก ท่ามกลางความคาดหวังว่าจะสามารถรักษาศักยภาพของตนในฐานะฐานการผลิตระดับภูมิภาคไว้ได้อย่างมั่นคงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม การลดภาษีดังกล่าว ก็เป็นผลมาจากแรงกดดันด้านการแข่งขันในภูมิภาคและความจำเป็นในการรักษาส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาอัตราภาษีใหม่ของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน จะพบว่าหลายประเทศต่างได้อัตราภาษีลดลงเหลือระดับใกล้เคียงกัน เช่น เวียดนามจาก 46% เหลือ 20%, ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียลดลงเหลือ 19% เช่นเดียวกับไทย ขณะที่ประเทศอย่างสิงคโปร์ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านโลจิสติกส์และการค้าไม่ใช่ข้อได้เปรียบเฉียบขาด หากแต่เป็นการ “จำเป็นต้องลด” เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบเชิงโครงสร้างในเวทีการค้าโลกนั่นเอง ผลกระทบของภาษีทรัมป์ต่อระบบเศรษฐกิจไทยจึงไม่อาจมองเพียงมิติของผู้ส่งออกเท่านั้น แม้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือเกษตรแปรรูปอาจได้รับประโยชน์จากต้นทุนภาษีที่ลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้านำเข้าราคาถูกซึ่งหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดไทย ภาษีที่ลดลงกลายเป็นช่องทางให้ผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดเดิมของผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งยังขาดความพร้อมในด้านเทคโนโลยี แบรนด์ และทุนหมุนเวียน อาจส่งผลให้เกิดการปิดกิจการหรือการปรับโครงสร้างอย่างเร่งด่วนในหลายภาคส่วนของอุตสาหกรรม   ไทยแลกอะไร…เพื่อได้ “ภาษีทรัมป์” 19%? การที่ไทยสามารถเจรจาลดอัตราภาษีจากสหรัฐฯ จาก 36% เหลือ 19% ถือเป็นก้าวสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและการทูต โดยมีการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญถึง 10 ข้อ ครอบคลุมทั้งด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสหรัฐฯ และรักษาเสถียรภาพการส่งออกของไทยในตลาดโลกที่มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นนั่นเอง เปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ มากกว่า 90% ไทยตกลงเปิดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 10,000 รายการในอัตรา 0% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยเปิดตลาดให้กับประเทศอื่นผ่าน FTA อยู่แล้ว เช่น ออสเตรเลียหรือจีน รายการเหล่านี้ส่วนมากเป็นสินค้าที่ไทยผลิตไม่พอใช้ เช่น ผลไม้เมืองหนาว ข้าวโพด อะไหล่รถยนต์ และเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น โดยเฉพาะ “เนื้อหมู” ที่ถือว่าอ่อนไหว ไทยยินดีเปิดตลาดในสัดส่วนเพียงเล็กน้อยประมาณ 1% เท่านั้น พร้อมยืนยันว่า “เครื่องในหมู” จะไม่เปิดตลาดโดยเด็ดขาด ลดอุปสรรคทางเทคนิคในการค้า (NTBs) ไทยให้คำมั่นจะลดขั้นตอนราชการและกฎระเบียบที่ซับซ้อน เช่น การศุลกากร ด้วยการนำระบบ “ตรวจสอบภายหลัง” (Post-clearance audit) มาใช้มากขึ้น เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเร่งความเร็วการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ไทยยังมีแผนจัดตั้ง One Stop Service และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยลดความยุ่งยากอย่างเป็นรูปธรรม เปิดช่องลงทุนให้สหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รัฐบาลไทยเสนอ Fast-track และสิทธิประโยชน์จาก BOI ให้กับบริษัทอเมริกันใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ พลังงานสะอาด เซมิคอนดักเตอร์/ICT และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ สู่ภูมิภาคอาเซียน สั่งซื้อ LNG และเครื่องบิน Boeing เพื่อช่วยลดดุลการค้าที่ไทยเกินดุลกับสหรัฐฯ

พาส่องเบิ่ง ภาษีทรัมป์ ของประเทศในอาเซียน ไทยได้ลดจาก 36% เหลือ 19% อ่านเพิ่มเติม »

VING รองเท้าแตะวิ่งมาราธอนสถิติโลกจากคนอีสาน

จาก Pain Point ส่วนตัวของโปรแกรมเมอร์คนหนึ่ง สู่การสร้างสรรค์แบรนด์รองเท้าแตะที่ปฏิวัติวงการวิ่ง VING (วีอิ้ง) ไม่ได้เป็นเพียงรองเท้า แต่คือผลลัพธ์ของความมุ่งมั่น นวัตกรรม และกลยุทธ์อันเฉียบคมที่สามารถเปลี่ยนรองเท้าแตะธรรมดาให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่นและสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล นี่คือเรื่องราวของคุณ วาที วิเชียรนิตย์ และแบรนด์ VING ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจที่เริ่มต้นจากศูนย์ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างก้าวกระโดด   จุดเริ่มต้น: จากความเจ็บปวดสู่โอกาสทางธุรกิจ เรื่องราวของ VING มีจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ไม่ต่างจากชีวิตของคนทำงานส่วนใหญ่ คุณวาทีเริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทเอกชน และเป็นนักวิ่งมาราธอนตัวยง วันหนึ่งในงานวิ่งมาราธอนที่จังหวัดบุรีรัมย์ เขาประสบปัญหารองเท้าผ้าใบที่ใช้อยู่บีบรัดเท้าอย่างรุนแรงจนไม่สามารถวิ่งต่อได้ ด้วยความจำเป็น เขาจึงตัดสินใจซื้อรองเท้าแตะราคาถูกจากร้านสะดวกซื้อมาใส่แทน ถึงแม้จะทุลักทุเลแต่เค้าก็สามารถวิ่งมาราธอนจนจบด้วยรองเท้าแตะคู่นั้นได้  เหตุการณ์ครั้งนั้น ประกอบกับการได้เห็นนักวิ่งคนอื่นสามารถทำเวลาได้ดีด้วยรองเท้าแตะสำหรับวิ่งจากต่างประเทศ ได้จุดประกายความคิดและเปลี่ยนมุมมองของคุณวาทีไปอย่างสิ้นเชิง เขาเล็งเห็นโอกาสในตลาดที่ยังไม่มีใครสนใจอย่างจริงจัง นั่นคือการแก้ปัญหาให้กับนักวิ่งที่มีลักษณะเท้าแบบคนไทยหรือคนเอเชีย คือ หน้าเท้ากว้างและเท้าอูม ซึ่งมักจะเจ็บเท้าเมื่อใส่รองเท้าแบรนด์ต่างชาติที่ออกแบบมาเพื่อคนเท้าเรียวยาว นี่คือจุดกำเนิดของแนวคิดในการพัฒนารองเท้าแตะที่สามารถวิ่งได้ทัดเทียมกับรองเท้าวิ่งราคาสูง    นวัตกรรม: หัวใจที่สร้างความแตกต่าง คุณวาทีใช้เวลาเกือบปีในการวิจัยและพัฒนา โดยนำทักษะจากการทำงานโปรแกรมเมอร์ที่ต้องทำตัวต้นแบบ (Prototype), ทดสอบ (Testing), และรับฟังความคิดเห็น (Feedback) มาปรับใช้ เพื่อสร้างสรรค์รองเท้าที่มีคุณสมบัติโดดเด่น แนวคิดหลักของ VING คือการพัฒนารองเท้าที่ตอบโจทย์ 3 ข้อสำคัญ คือ นุ่ม เด้ง และเบา แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยมไม่แพ้รองเท้าผ้าใบราคาแพง โดยยึดหลักการพัฒนาแบบ “fail fast, fail cheap, fail forward” คือการลงทุนให้น้อยที่สุด ทดลองให้เร็ว เรียนรู้จากความผิดพลาด และนำคำติชมจากลูกค้าตัวจริงมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง วัสดุและการออกแบบ: รองเท้าแตะทั่วไปในท้องตลาดมักใช้โฟม EVA ซึ่งมีความนุ่มแต่ยังขาดความเด้งที่จำเป็นสำหรับการวิ่ง VING จึงเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียมที่มีต้นทุนสูงกว่า เพื่อให้ได้รองเท้าที่มีคุณสมบัติครบถ้วน คือ นุ่ม เด้ง และเบา (เบากว่ารองเท้าผ้าใบถึง 200 กรัม) โดยออกแบบให้พื้นรองเท้าเป็นโฟมชั้นเดียวแต่มีความหนาเหมือนรองเท้าผ้าใบ เพื่อการรองรับแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม ในช่วงแรก VING ใช้วัสดุ EVA และ GPE แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือการพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศจนได้วัสดุใหม่ที่เรียกว่า “V-Pro” หรือ “EPOS” ซึ่งมีความนุ่มและทนทานกว่าเดิมถึง 30% และมีค่าความเด้ง (Energy Return) เพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 66% ทำให้รองเท้ามีน้ำหนักเบาเพียง 1.5 ขีด แต่ยังคงคุณสมบัติการรองรับแรงกระแทกและส่งแรงคืนได้อย่างดีเยี่ยม แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์: เมื่อลูกค้าแสดงความกังวลว่า “ใส่รองเท้าแตะวิ่งแล้วจะหลุดหรือไม่” แทนที่จะรับฟังเพียงอย่างเดียว VING ได้แก้ปัญหานี้ด้วยการเจาะรูที่สายรองเท้าและนำเชือกมาร้อยผูกเป็นสายรัดส้น ซึ่งไม่เพียงแต่แก้ปัญหา แต่ยังกลายเป็นแฟชั่นที่ลูกค้าชื่นชอบ และขยายฐานไปยังกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการรองเท้าสุขภาพที่มีสายรัดส้น  สรีรศาสตร์ที่เหนือกว่า: ข้อดีที่สำคัญของรองเท้าแตะ VING คือการให้อิสระกับหน้าเท้า ทำให้การวางเท้าเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บยอดฮิตของนักวิ่งอย่าง ITBS (อาการปวดเข่าด้านนอก) และโรครองช้ำได้ 

VING รองเท้าแตะวิ่งมาราธอนสถิติโลกจากคนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ทั่วโลกจับจามอง❗การประชุม GBC ที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ สิพาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์การเจรจา ไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมา

จากเสียงปืนสู่โต๊ะเจรจา ไทย–กัมพูชา กับเดิมพันหยุดความรุนแรงในเวที GBC สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังเหตุปะทะที่ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิตของทหารกัมพูชา และส่งแรงกระเพื่อมถึงระดับผู้นำทั้งสองประเทศ ความขัดแย้งที่ก่อตัวจากข้อพิพาทเรื่องแนวเขตแดนและการเคลื่อนไหวของกำลังพล ได้ทำให้เกิดการเจรจาหลายรอบในระดับทหารและการทูต เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงจะบานปลาย การหารือครั้งสำคัญเริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ช่องจอม โดยผู้บัญชาการทหารบกของไทยและกัมพูชาได้พบปะกันและเห็นพ้องใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การใช้กลไกคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นช่องทางหลักในการแก้ปัญหา การถอนกำลังทหารออกจากจุดปะทะ และการกำกับดูแลไม่ให้มีการยั่วยุซ้ำ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวต้องสะดุดลงเมื่อฝ่ายของกัมพูชาเองได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธการถอนกำลัง สะท้อนความไม่ไว้วางใจที่ยังคงอยู่ จากนั้นในวันที่ 14 มิถุนายน การประชุม JBC อย่างเป็นทางการได้เกิดขึ้นที่กรุงพนมเปญ เพื่อเร่งหาทางยุติความตึงเครียดหลังเหตุปะทะในเดือนก่อน แม้ผลการเจรจาจะไม่ได้นำไปสู่ข้อยุติที่เป็นรูปธรรม แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกที่ช่วยเปิดช่องทางสื่อสารระหว่างสองฝ่าย ทว่าความรุนแรงก็ยังไม่จบสิ้น เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมเกิดการปะทะอีกรอบ ทำให้สถานการณ์ทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568 เกิดเหตุปะทะรุนแรงบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้จุดตรวจช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ การสู้รบครั้งนี้ถือเป็นการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี มีรายงานว่ามีทั้งเสียงปืนใหญ่ การใช้โดรนลาดตระเวน และปะทะด้วยอาวุธเบาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากทั้งสองฝ่ายหลายราย รวมถึงมีประชาชนในพื้นที่ต้องอพยพหนีภัยเป็นจำนวนมาก สาเหตุของความรุนแรงครั้งนี้เกิดจากความไม่ชัดเจนของแนวเขตแดน และการเคลื่อนย้ายกำลังพลที่ต่างฝ่ายต่างมองว่าเป็นการรุกราน ความพยายามในการควบคุมสถานการณ์ด้วยกลไกการเจรจายังไม่ทันเกิดผล ความไม่ไว้วางใจจึงปะทุเป็นการปะทะเต็มรูปแบบ แรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศ ทำให้ทั้งสองฝ่ายยอมกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา ในวันที่ 28 กรกฎาคม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นผู้ประสานกลาง พร้อมการสนับสนุนจากจีนและสหรัฐฯ การประชุมครั้งนั้นจบลงด้วยข้อตกลงหยุดยิง (ceasefire) มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันถัดไป ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่ลดแรงกดดันในพื้นที่ชายแดนอย่างชัดเจน และส่งผลให้เกิดการเจรจาทางทหารระดับภาคเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงสำคัญถึง 7 ข้อ รวมถึงการตั้งชุดประสานงานร่วมและการอำนวยความสะดวกด้านมนุษยธรรม ขณะนี้ สายตาทั่วทั้งภูมิภาคจับจ้องไปยังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่กำลังจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ การประชุมครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นความหวังสูงสุดในการกำหนดแนวทางระยะยาวต่อข้อพิพาท โดยเฉพาะในสายตาของประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความวิตกกังวลอย่างมาก แม้เส้นทางสู่ความสงบจะยังอีกยาวไกล แต่เสียงเรียกร้องจากประชาชนที่ต้องการสันติภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคง คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องเดินหน้าบนหนทางแห่งการเจรจา มากกว่าความรุนแรงซ้ำเติม หากการประชุม GBC รอบนี้สามารถนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม ความหวังในการฟื้นฟูความสัมพันธ์และสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคก็อาจไม่ไกลเกินเอื้อมนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – มติชนออนไลน์ – PPTVHD36 – Thai PBS – BBC   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ

ทั่วโลกจับจามอง❗การประชุม GBC ที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ สิพาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์การเจรจา ไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมา อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? “ประเทศไทย” มีดัชนีเสรีภาพสื่อสูงสุดในอาเซียน และลำดับที่ 85 จาก 180 ประเทศทั่วโลก

“เสรีภาพสื่อไทย” อันดับหนึ่งในอาเซียน  ในปี 2568 รายงานดัชนีเสรีภาพสื่อโลก (World Press Freedom Index) ที่เผยแพร่โดยองค์กร Reporters Without Borders (RSF) พบว่า ประเทศไทยขึ้นอันดับ 85 ของโลก จากทั้งหมด 180 ประเทศ และอยู่ในลำดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน ด้วยคะแนนรวม 56.72 แซงหน้ามาเลเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งในอดีตเคยถูกมองว่ามีสื่อที่เสรีภาพมากกว่าไทย ในขณะที่ด้านกัมพูชาถูกปรับลดจากลำดับ 151 เป็น 161 จาก 180 ประเทศทั่วโลกนั่นเอง ข้อมูลเชิงลึกในรายงานของ RSF ชี้ว่า ประเทศไทยได้คะแนนสูงมากใน “ด้านความปลอดภัย” ด้วยอันดับโลกที่ 80 และคะแนน 80.79 ซึ่งถือว่าดีมากในภูมิภาค การไม่พบเหตุการณ์ความรุนแรงร้ายแรงต่อผู้สื่อข่าวในช่วงปีที่ผ่านมา มีส่วนช่วยให้คะแนนด้านนี้พุ่งสูงนั่นเอง นอกจากนี้ ไทยยังมีคะแนนค่อนข้างดีใน “ด้านทางสังคม” และ “ด้านทางการเมือง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สื่ออาจมีพื้นที่หายใจหายคอมากขึ้นหลังการเลือกตั้งในปี 2566 ที่สิ้นสุดยุครัฐประหารอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม รายงานเดียวกันก็ชี้ให้เห็น “ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง” อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้าน กฎหมายและเศรษฐกิจ ไทยอยู่อันดับที่ 119 ของโลกในมิติ “ด้านกฎหมาย” ด้วยคะแนนเพียง 49.61 เท่านั้น   รายงานจากการ RSF ระบุว่า “เลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ของประเทศไทยถูกจับตามองจากทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น “เสรีภาพสื่อ” ที่กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง เนื่องจากพรรคก้าวไกลเสนอให้แก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีบทลงโทษรุนแรงถึงจำคุก 15 ปี แต่กระแสอภิปรายนี้กลับถูกตัดจบในเดือนสิงหาคม 2567 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่าการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญไทย” นอกจากนี้ “โครงสร้างการเป็นเจ้าของสื่อ” ก็เป็นปัญหาที่ไม่เคยถูกแก้ไข สื่อหลักของไทยจำนวนมากยังอยู่ในเครือข่ายของกลุ่มทุนที่เชื่อมโยงกับกองทัพ ราชการ หรือครอบครัวการเมือง ทำให้เกิดคำถามว่า “ความเป็นกลาง” ของสื่อที่ได้คะแนนดีนั้นเป็นจริงหรือแค่การถูกควบคุม?   มองผ่านมุมสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา สื่อกับความขัดแย้งข้ามพรมแดน กรณีความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องปราสาทตาเมือนธม หรือเหตุปะทะตามแนวชายแดนในอดีต สะท้อนให้เห็นชัดว่า สื่อมีบทบาทอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนความเข้าใจระหว่างประชาชน แต่ขณะเดียวกัน สื่อก็สามารถกลายเป็น “เครื่องมือแห่งชาตินิยม” ที่ยั่วยุความเกลียดชังได้เช่นกันหากไม่ระวัง ในหลายช่วงเวลา สื่อเองก็ถูกใช้เพื่อผลักดันวาทกรรมชาตินิยม โดยละเลยข้อเท็จจริงหรือละเมิดมุมมองของอีกฝ่าย การรายงานเพียงด้านเดียวอาจสร้างภาพลักษณ์ที่บิดเบือน และส่งผลร้ายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   การขึ้นอันดับ 85 ของไทยในเวทีโลก แม้จะดูน่าชื่นชม แต่ควรใช้เป็น “จุดเริ่มต้นของการตั้งคำถาม” มากกว่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย เพราะเสรีภาพสื่อที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ไม่มีการปิดสถานีโทรทัศน์ หรือไม่มีนักข่าวถูกจับเท่านั้น แต่หมายถึง การที่นักข่าวสามารถขุดคุ้ย

ฮู้บ่ว่า? “ประเทศไทย” มีดัชนีเสรีภาพสื่อสูงสุดในอาเซียน และลำดับที่ 85 จาก 180 ประเทศทั่วโลก อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง 3 อันดับโรงเรียนส่งลูกศิษย์พิชิต ม.ขอนแก่น มากที่สุด

โรงเรียนปั้นเด็กเข้าสู่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สะท้อนพลังทางการศึกษาและความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยระดับภูมิภาค มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ในบทบาทเป็นศูนย์กลางการศึกษาแห่งภาคอีสานมากกว่า 60 ปี และยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักเรียนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาคอีสาน  ข้อมูลจากปีการศึกษา 2568 มีจำนวนนักศึกษาปี 1 ที่เข้ามาศึกษาใน มข. กว่า 8,791 คน โดยส่วนใหญ่มาจากภาคอีสานกว่า 6,682 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 76% แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโรงเรียนหลายแห่งมีบทบาทสำคัญในการปั้นนักเรียนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยขอนแก่นอย่างมั่นคง และกลายเป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยม ความเชื่อมั่น และศักยภาพของ มข. ในการเป็น “จุดหมายปลายทางด้านการศึกษา” ที่แท้จริงนั่นเอง 5 อันดับจังหวัดที่มีนักศึกษาใหม่เข้าศึกษาต่อที่ ม.ขอนแก่นมากที่สุด – ขอนแก่น 1,900 คน – อุดรธานี 698 คน – นครราชสีมา 496 คน – ร้อยเอ็ด 426 คน – สกลนคร 319 คน จะเห็นได้ว่า จังหวัดขอนแก่นมีนักศึกษาใหม่เข้าศึกษาต่อมากที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของ มข. ในฐานะหนึ่งในศูนย์กลางการศึกษาหลักของภาคอีสาน ที่ทั้งใกล้บ้าน เข้าถึงง่าย และมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของโรงเรียนในจังหวัด อย่างเช่น ขอนแก่นวิทยายน, แก่นนครวิทยาลัย และกัลยาณวัตร ต่างส่งนักเรียนเข้าศึกษาต่อจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ปกครองและนักเรียนเองก็มองเห็นโอกาสที่สามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐานออกจากภูมิภาค นอกจากนี้ ความภาคภูมิใจในสถาบันระดับภูมิภาคและความเชื่อมโยงทางสังคมในพื้นที่ ล้วนเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ มข. ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับเยาวชนในจังหวัดขอนแก่นนั่นเอง หากไปดูข้อมูลรายโรงเรียนจะเห็นได้ว่า โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ครองตำแหน่งอันดับ 1 ในด้านจำนวนนักเรียนที่สอบเข้า มข. ได้มากที่สุดถึง 378 คน สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของระบบการเรียนการสอน และความพร้อมของนักเรียนในระดับมัธยมปลาย ซึ่งสามารถก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัยระดับประเทศได้อย่างภาคภูมิ อีกทั้งยังมีโรงเรียนเด่นอื่น ๆ อย่างเช่น อุดรพิทยานุกูล กว่า 314 คน, ร้อยเอ็ดวิทยาลัย 221 คน และสกลราชวิทยานุกูล 111 คน ที่ต่างก็มีบทบาทสำคัญในการผลิตเยาวชนเข้าสู่ มข. อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจคือความหลากหลายของโรงเรียนที่ส่งนักเรียนเข้า มข. ไม่ได้จำกัดเฉพาะโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองแต่ละจังหวัดเท่านั้น แต่รวมถึงโรงเรียนในต่างอำเภอ หรือแม้แต่โรงเรียนจากจังหวัดอื่น ซึ่งต่างก็ส่งนักเรียนเข้าศึกษาต่อที่ มข. เป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนถึงการเปิดโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงของมหาวิทยาลัย การที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับความนิยมสูงในภาคอีสานเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นผลสะสมของความไว้วางใจจากครอบครัวและนักเรียนตลอดหลายทศวรรษ ด้วยภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยที่ทันสมัย ครบถ้วนทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ การแพทย์ และวิศวกรรม ตลอดจนการพัฒนาด้านนวัตกรรม การวิจัย และการสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพสูงและตอบโจทย์ตลาดแรงงานทั้งในและนอกประเทศอีกด้วย มหาวิทยาลัยขอนแก่นยังถือเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและความก้าวหน้าทางการศึกษาสำหรับเยาวชนในภาคอีสานมาโดยตลอด การได้เข้าศึกษาที่ มข. จึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญของนักเรียนระดับมัธยมปลายหลายคน และยังเป็นแรงผลักดันให้โรงเรียนมัธยมต่าง ๆ ปรับตัว

พาส่องเบิ่ง 3 อันดับโรงเรียนส่งลูกศิษย์พิชิต ม.ขอนแก่น มากที่สุด อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top