Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

โอ้กะจู๋ บุกอีสาน สลัด 1000 ล้าน ทำอย่างไร? จากแปลงผัก สู่บริษัทมหาชน ถอดบทเรียนธุรกิจ ฟรี!! 22 พ.ย.67 ณ โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น

โอ้กะจู๋ บุกอีสาน สลัด 1000 ล้าน จากแปลงผัก สู่บริษัทมหาชน . หากพูดถึงร้านอาหารออร์แกนิกในเวลา คงไม่มีใครไม่รู้จักร้าน “โอ้กะจู๋” ธุรกิจที่เริ่มจากแปลงผักหลังบ้าน ที่ปัจจุบันก้าวเข้าสู่บริษัทยอดขายกว่า 1000 ล้าน และเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว . ISAN Insight and Outlookสิพามาเบิ่ง เส้นทางธุรกิจ จากแปลงผัก สู่บริษัทมหาชน และ อะไรทำให้ “โอ้กะจู๋” เลือก ‘ขอนแก่น’ เป็นสาขาแรกในการบุกอีสาน . มาฮู้จัก “โอ้กะจู๋” เริ่มจากปลูกผักสวนครัวทั่วไป และผักสลัดบางชนิด บนพื้นที่ปลูกที่มีไม่มากนัก โรงเรือนขนาด 180 ตารางเมตร ซึ่งผลผลิตที่ได้ก็นำไปประกอบอาหารรับประทานในครอบครัว ด้วยเหตุผลที่ว่า “อยากให้คนในครอบครัวมีสุขภาพดี ทานผักที่ไร้สารพิษและสารเคมีตกค้าง” จึงเป็นที่มาของสโลแกน “ปลูกผักเพราะรักแม่” เพราะแม่เปรียบเสมือนตัวแทนความรักของครอบครัว ส่วนชื่อของแบรนด์ “โอ้กะจู๋” ก็มาจากการผวน “อู๋” กับ “โจ้” นั่นเอง . สำหรับบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” ปัจจุบันได้ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อลงทุนการขยายสาขาแบรนด์ “โอ้กะจู๋“, ขยายแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆ , พัฒนาแฟลตฟอร์มรองรับการขาย และขยายฟาร์มเพื่อให้เพียงพอกับการเติบโต . ณ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม ปี 2567) โอ้กะจู๋ มีทั้งหมด 34 สาขา โดยอยู่ภายใต้บริษัทจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพประเภทต่างๆ เช่น สลัด สเต๊ก ซุป สปาเกตตี อาหารจานเดียว ขนมหวาน น้ำผักผลไม้ เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น . รวมถึงนำผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์โอ้กะจู๋ เช่น ผัก ผลไม้สด แซนวิช แร็พ ได้มีการนำไปวางขายยังช่องทางต่างๆ รวมถึงการให้บริการจัดเลี้ยง โดยธุรกิจบริการและจำหน่ายของบริษัทฯ สามารถแบ่งรูปแบบและช่องทางการจำหน่ายได้เป็น 4 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1.Full-service Restaurant 2.Delivery and Kiosk 3.Cafe Amazon และ 4.Supermarket ด้วยผลผลิตจากสวน 5 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่รวมประมาณ 380 ไร่ . หากดูในแง่ของผลประกอบการจะพบว่า ปี 64 บริษัทมีรายได้ 803 ล้านบาท ปี 65 บริษัทมีรายได้ 1,215 […]

โอ้กะจู๋ บุกอีสาน สลัด 1000 ล้าน ทำอย่างไร? จากแปลงผัก สู่บริษัทมหาชน ถอดบทเรียนธุรกิจ ฟรี!! 22 พ.ย.67 ณ โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น อ่านเพิ่มเติม »

“หมอลำ” ขุมทรัพย์เงินสะพัด 6000 ล้าน ที่คนไทยดู 20 ล้านคน จัดแสดงกว่า 2,600 รอบ

คนไทยกับวัฒนธรรมความเป็นไทยเป็นอะไรที่อยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว โดยเฉพาะทำนองลำกลอน หมอลำ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ เพลงลูกทุ่ง หมอลำ ยังคงเป็นอะไรที่ครองใจคนไทยตลอดมา ยืนยันได้จากจำนวนยอดวิวบน YouTube ที่แต่ละเพลงหลัก ร้อยล้านวิว และเมื่อเจาะลึกไปที่ วงหมอลำ แนวเพลงที่รู้จักกันดีในความสนุกสนานหรือม่วนจอยจะมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างอาชีพ และเป็นคนทำธุรกิจหากต้องการทำการตลาดผ่านหมอลำ จะต้องรู้อะไรบ้าง . มื้อนี้ ISAN Insight and Outlook พามาเบิ่ง ข้อมูลอินไซต์ตลาดธุรกิจหมอลำว่าเติบโตยิ่งใหญ่ สร้างเศรษฐกิจได้มากน้องเพียงใด คนไทย 20 ล้านคน ดูหมอลำ กว่าครึ่งมีคนในภาคอีสานมากถึง 10 ล้านคนดูหมอลำและการแสดงคอนเสิร์ตหมอลำในภาคอีสานตลอดหนึ่งปีจัดมากถึง 332 วัน มีการแสดงรวมกันมากถึง 2,596 รอบ ที่สามารถดึงดูดผู้ชม 2,000-6,000 คนต่อครั้งขึ้นอยู่กับขนาดของวงและพื้นที่จัดงาน  และคาดการณ์ว่า Eyeballs ผู้เข้าชมหมอลำตลอดปีอยู่ที่ 8,532,000 คน MI GROUP ได้มีโปรเจกต์ MI LEARN LAB เพื่อแสวงหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ สู่การทำการตลาดอย่างมีกลยุทธ์และเข้า-ถึง-ใจผู้บริโภค ผ่าน Entertainment & Cultural Marketing โดยล่าสุด ได้ทำการศึกษา การตลาดผ่านคอนเสิร์ตหมอลำ โดยพบว่า หลังการระบาดของโควิด คือ ยุคทอง ของวงหมอลำอย่างแท้จริง หลังจากที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 70 ปี จากการสำรวจพบว่า คนไทยจำนวนกว่า 20 ล้านคนเลยดูหมอลำ เฉพาะภาคอีสานมีผู้ชมกว่า 10 ล้านคน ขณะที่กลุ่มตัวอย่างเกือบ 80% เคยดูทั้งออนกราวด์และออนไลน์ และประมาณ 60% ดูออนกราวด์อย่างเดียว สอดคล้องกับที่พบว่า การจัดแสดงส่วนใหญ่จะจัดในภาคอีสาน รองลงมาเป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชาวอีสานทำงานอยู่จำนวนมาก และหลังจากการระบาดของโควิด จะเห็น การลงทุนอย่างสูง ของวงหมอลำ ไม่ว่าจะเป็นชุด แสง สี เสียง เพื่อ ยกระดับโชว์ ซึ่งส่งผลถึง ปริมาณจำนวนงานจ้าง เพิ่มขึ้นประมาณ 40-45% สำหรับผลของการลงพื้นที่เพื่อศึกษาหาข้อมูลวิจัยเชิงลึกดังกล่าวมีรายละเอียดต่างๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้ 1. พลังของ Cultural Marketing ผลการวิจัยแสดงให้เห็นข้อมูลว่า 78.8% ของกลุ่มตัวอย่างในภาคอีสานเคยเข้าชมคอนเสิร์ตหมอลำ, จำนวนผู้เข้าชมเฉลี่ยต่องานอยู่ที่ 2,000 – 6,000 คน, จำนวน eyeballs ตลอดทั้งปีสูงถึง 8,532,000 คน พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายของผู้ชมในอุตสาหกรรมนี้ในปี 2567 จะสูงถึง 5,998.91 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าในช่วงโควิด-19 ถึง 756 % และสูงกว่าระดับก่อนโควิด 127% เมื่อเทียบช่วงเดือนเดียวกัน 2. วงหมอลำ 10 อันดับ ครองใจคนอีสาน วงหมอลำยอดนิยมของภาคอีสานนั้นส่วนใหญ่มีประวัติยาวนานหลายทศวรรษ จัดแสดงตั้งแต่รุ่นยายสู่รุ่นหลาน และมีสมาชิกร่วมวงขนาดใหญ่ โดยในส่วนของวงหมอลำที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากใน Social Media จำนวน 10 อันดับ ซึ่งยึดตามข้อมูลอัปเดตล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2567 ได้แก่ วงระเบียบวาทศิลป์ วงประถมบันเทิงศิล วงสาวน้อยเพชรบ้านแพง

“หมอลำ” ขุมทรัพย์เงินสะพัด 6000 ล้าน ที่คนไทยดู 20 ล้านคน จัดแสดงกว่า 2,600 รอบ อ่านเพิ่มเติม »

ใครว่าภาคอีสานจนสุด เมื่อภาพจำไม่ตรงกับสถิติ ภาคอีสานภูมิภาคที่มีการลดลงของความเหลื่อมล้ำมากที่สุด และยังมีสัดส่วนคนจนน้อยกว่าภาคใต้

ภาคใต้ ภาคอีสาน Top 2 ภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด แต่ภาคอีสานกลับมีการลดลงของความเหลื่อมล้ำมากที่สุด ในปี 2566 ทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ออกรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความอยากจน และความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย 2566 ออกมา ซึ่งเป็นรายงานที่ออกเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว โดยในปี 2566 นี้ภาพรวมสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ โดยในด้านของจำนวนคนจนลดลงจาก 3.79 ล้านคน ในปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนคนจนร้อยละ 5.43 ลดลงมาอยู่ที่ 2.39 ล้านคน ในปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนคนจนร้อยละ 3.41 ผลจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นภาคที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดในประเทศ สอดคล้องกับค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคทางด้านรายได้ที่ลดลงจาก 0.43 ในปี 2564 มาอยู่ที่ 0.42 ในปี 2566 แสดงถึงความเหลื่อมล้ำทางด้านรายจ่ายที่ลดลง เป็นไปในทิศทางเดียวกับสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคทางด้านรายได้ที่ลดลงจาก 0.343 ในปี 2565 มาอยู่ที่ 0.335 ในปี 2566 แสดงให้เห็ยความไม่เสมอภาคทางด้านรายจ่ายนั้นลดลงแม้จะเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม  แต่ก็ยังคงมีจุดที่น่าเป็นกังวลอยู่ในด้านของกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงจะกลายเป็นคนจนที่ต้องเผชิญกับปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมในมิติต่างๆ ทั้งด้านการประกอบอาชีพ การศึกษา ที่อยู่อาศัย เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในพื้นที่นอกเขตเทศบาลจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนที่อยู่ในพื้นที่เขตเทศบาลอย่างชัดเจน โดยในปี 2566 นี้เส้นความยากจนได้มีการปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจาก 2,997 บาท/คน/เดือน ในปี 2565 ขึ้นเป็น 3,043 บาท/คน/เดือน อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อครัวเรือนยากจนนั้นคือขนาดขางครัวเรือนที่ยิ่งครัวเรือนนาดใหญ่จะยิ่งมีความยากจนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากครัวเรือนนั้นเป็นครัวเรือนแหว่งกลางที่ขาดบุคคลในครอบครัวที่ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูทุกคนในครอบครัว ทั้งนี้อัตราการพึ่งพิงของครัวเรือนยากจนจะมีสูงกว่าครัวเรือนปกติอยู่ที่ร้อยละ 103.39 เมื่อเทียบกับครัวเรือนปกติที่ร้อยละ 62.34 กราฟที่ 1 เส้นความยากจน สัดส่วนคนจน และจำนวนคนจน ปี 2555 – 2566 ที่มา : ข้อมูลจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ ประมวลผลโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   เส้นความยากจน เป็นเครื่องมือสำหรับใช้วัดภาวะความยากจน โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายสำหรับอาหาร สินค้าและบริการอื่นที่ไม่ใช่อาหารที่ปัจเจกบุคคลจำเป็นต้องใช้ในการดำรงค์ชีวิตขั้นพื้นฐาน อัตราการพึ่ง อัตราส่วนของประชากรที่อยู่ในกลุ่มอายุนอกวัยแรงงานต่อประชากรในวัยแรงงาน โดยมีข้อสมมติว่า ประชากรที่อยู่ในกลุ่มอายุนอกวัยแรงงานนั้นต้องพึ่งพิงทางเศรษฐกิจ ครัวเรือนแหว่งกลาง ครัวเรือนที่มีสมาชิกรุ่นปู่ย่า หรือตายาย อาศัยอยู่กับรุ่นหลานในวัยเด็ก โดยขาดสมาชิกรุ่นพ่อแม่ ซึ่งมักย้ายถิ่นฐานไปทำงาน   สำหรับสถานการณ์ในภาคอีสานนั้นจะเห็นได้ว่าภาคอีสานเป็นภาคที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศที่ร้อยละ 4.16 เป็นรองภาคใต้ที่ร้อยละ 7.48 แต่เมื่อพิจารณาเป็นจำนวนคนจะพบว่าภาคอีสานนั้นเป็นภาคที่มีจำนวนคนจนมากที่สุดในประเทศที่ประมาณ 7.58 แสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 31.71 ของคนจนทั้งหมด รองลงมาคือภาคใต้ที่ประมาณ 7.33 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 30.65 ห่างจากภาคอีสานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กราฟที่ 2 สัดส่วนคนจน จำแนกรายภาค ปี 2555 – 2566 ที่มา :

ใครว่าภาคอีสานจนสุด เมื่อภาพจำไม่ตรงกับสถิติ ภาคอีสานภูมิภาคที่มีการลดลงของความเหลื่อมล้ำมากที่สุด และยังมีสัดส่วนคนจนน้อยกว่าภาคใต้ อ่านเพิ่มเติม »

มหาสารคาม สะดืออีสาน สู่ความท้าทาย ในการเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาของภาคอีสาน

มหาสารคาม สะดืออีสาน สู่ความท้าทาย ในการเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาของภาคอีสาน . . เมื่อพูดถึงจังหวัดมหาสารคามแล้วหลายๆ คนคงคิดถึง 3 อย่างนั่น คือ มหาวิทยาลัย มันแกวบรบือ และ    พระธาตุนาดูน แต่ที่จริงแล้วจังหวัดมหาสารคามมีทั้งความท้าทาย และโอกาสในการพัฒนาอีกมาก รวมทั้งยังเป็นจังหวัดที่มูลค่าเศรษฐกิจจังหวัดเติบโตต่อเนื่องในตลอด ทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีการลงทุนใน ภาคอสังหาฯ ที่เติบโตกว่า 33% ซึ่งถือว่าสูงสุดในภูมิภาคอีกด้วย . นอกจากนั้นแล้วจังหวัดมหาสารคามยังนับเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมของชาวอีสาน มีชุมชนโบราณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชุมชนบ้านเชียงเหียน หมู่บ้านปั้นหม้อของชาวบ้านหม้อ ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคามแหล่งโบราณสถาน และสถานที่สำคัญทางศาสนาก็มี พระธาตุนาดูน กู่สันตรัตน์ อำเภอนาดูน กู่บ้านแดง อำเภอวาปีปทุม ปรางค์กู่ ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคาม ที่น่ามาศึกษาหาความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง . เพราะเหตุใด จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดสะดืออีสาน ใจกลางภูมิภาค ถึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีก   อีสานอินไซต์ จะพามาเบิ่ง   . 1. โครงสร้างเศรษฐกิจจังหวัดมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคามมีขนาดพื้นที่ประมาณ 5,292 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 944,605 คน ในปี 2564  มีขนาดเศรษฐกิจของจังหวัด อยู่ที่ 66,024 ล้านบาท และรายได้ต่อหัวของจังหวัดอยู่ที่ 85,228 บาท/ปี   . มีโครงสร้างเศรษฐกิจและธุรกิจ SME ดังนี้ ภาคการบริการ คิดเป็น 51% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหาร อยู่ที่ 3,195 ราย 2.ภาคการเกษตร คิดเป็น 21% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การเลี้ยงโคนมและโคเนื้อ อยู่ที่ 588 ราย 3.ภาคการผลิต คิดเป็น 17% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การสีข้าว อยู่ที่ 2,276 ราย 4.ภาคการค้า คิดเป็น 10% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ ร้านขายของชำ อยู่ที่ 6,072 ราย สินค้า GI ของจังหวัดก็คือ มันแกวบรบือ และข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้    . จากโครงสร้างเศรษฐกิจพบว่า GPP ของมหาสารคาม มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วง

มหาสารคาม สะดืออีสาน สู่ความท้าทาย ในการเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาของภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

อู่เชิดชัย-โคราช ผลิตบัสไฟฟ้า สัญชาติไทย ลุยตลาดอีวี รองรับดีมานด์ทั่วเอเชียแปซิฟิก 4 หมื่นล้านเหรียญ

การเดินทางของบริษัท เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ จำกัด – พ.ศ. 2506 เริ่มผลิตโครงสร้างรถบัสด้วยไม้ – พ.ศ. 2508 เราคือผู้ผลิตโครงเหล็กรายแรกในประเทศไทย – พ.ศ. 2518 เราเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของอีซูซุในการผลิตตัวรถบัสบนแชสซีโมโนค็อกของอีซูซุในประเทศไทย – พ.ศ. 2530 เราเฉลิมฉลองให้กับตัวถังรถบัสจำนวน 1,200 คันบนตัวถังอีซูซุ – พ.ศ. 2531 ส่งออกรถโดยสาร 25 คันไปยังประเทศมาเลเซีย เชิดชัย เพื่อผลิตตัวถังรถบรรทุก (ตัวไม้) บริษัทให้บริการรถโดยสารระหว่างจังหวัด บริการรถนำเที่ยวและเพื่อความบันเทิง เพื่อการขนส่งและโลจิสติกส์ มากว่า 65 ปี เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ เริ่มต้นธุรกิจด้วยบริการรถโดยสารประจำทางและโรงงานผลิตตัวถังรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด ก่อนจะขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆ ธุรกิจเชิดชัยประกอบด้วยบริการรถโดยสารระหว่างจังหวัด โรงงานผลิตตัวถังรถบัส ตัวแทนจำหน่ายรถบัสวอลโว่ที่ได้รับอนุญาต และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทมีรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัดกว่า 1,200 คัน ภายใต้สัมปทาน จาก บริษัท ขนส่ง จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม บริการส่วนใหญ่เป็นเส้นทางระยะไกล ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เชิดชัยทัวร์ยังให้บริการระยะกลางระหว่างกรุงเทพฯและนครราชสีมาและจุดหมายปลายทางทางตะวันออกบางแห่ง มรสุมโควิด-19 ฉุดบริษัทขาดทุน เดือนละล้าน ทางเชิดชัย ในตอนนี้ทำกิจการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเป็นผู้ให้บริการรถทัวร์เส้นทางสายอีสาน หรือบางสาย คือ การรับประกอบตัวถังรถทัวร์และบริการซ่อมรถทัวร์ด้วยตัวเอง ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ผู้ให้บริการรถทัวร์หลายเจ้าประสบปัญหาขาดทุน ซึ่งมีบางเจ้าถึงขั้นล้มละลาย ส่วนทางเชิดชัยประสบปัญหาอย่างเดียวกัน คือ ไม่มีผู้ใช้บริการ ส่งผลให้เกิดการขาดทุนเดือนละล้าน หมายความว่าภายใน 1 ปี จะขาดทุนเท่ากับ 12 ล้าน แต่ทางเชิดชัยยังคงดำเนินการให้บริการถึงปัจจุบัน มีสาเหตุที่สามารถเปลี่ยนแปลงจากสภาวะทางการเงินที่ขาดทุน จนสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจแบบปกติ คือ การรีโนเวทการให้บริการลูกค้าและให้อนาคตจะมีการพัฒนาสร้าง รถบัสไฟฟ้า โดยการบริการที่มีมาตรฐานที่ดีขึ้นเป็นการเรียกให้ลูกค้าเริ่มกลับมา   ภาพจาก: Creden data โดยในปี 2564 ถือเป็นการขาดทุนในรอบทศวรรษของบริษัทเลยกว่าว่าได้ แต่ในขณะเดียวกันบริษัทก็เริ่มมองเทรนด์อนาคต และเตรียมพร้อมในการพัฒนาทั้งการผลิตรถบัส และปรับปรุงบริการธุรกิจขนส่งในการเดินทาง รถบัสไฟฟ้า เชิดชัย: ก้าวสู่การเดินทางที่ยั่งยืน เชิดชัยกรุ๊ป เป็นอีกหนึ่งบริษัทขนส่งที่ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน และได้หันมาให้ความสำคัญกับการนำรถบัสไฟฟ้ามาให้บริการ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดมลพิษทางอากาศ   เหตุผลที่เชิดชัยเลือกใช้รถบัสไฟฟ้า ลดต้นทุนระยะยาว: แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการลงทุนซื้อรถบัสไฟฟ้าจะสูงกว่ารถบัสดีเซล แต่เมื่อพิจารณาในระยะยาวแล้ว ต้นทุนการดำเนินงานของรถบัสไฟฟ้าจะต่ำกว่า เนื่องจากค่าไฟฟ้าถูกกว่าราคาน้ำมัน และค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: รถบัสไฟฟ้าไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอื่นๆ ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และภาวะโลกร้อน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: การนำรถบัสไฟฟ้ามาใช้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทในฐานะองค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตอบสนองความต้องการของผู้โดยสาร: ผู้โดยสารส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเดินทางที่สะอาดและปลอดภัย รถบัสไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ   จุดเด่นของรถบัสไฟฟ้าเชิดชัย เทคโนโลยีทันสมัย: รถบัสไฟฟ้าของเชิดชัยมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน ระบบความปลอดภัยที่ครบครัน และระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ออกแบบโดยคนไทย:

อู่เชิดชัย-โคราช ผลิตบัสไฟฟ้า สัญชาติไทย ลุยตลาดอีวี รองรับดีมานด์ทั่วเอเชียแปซิฟิก 4 หมื่นล้านเหรียญ อ่านเพิ่มเติม »

แชร์ลูกโซ่ โมเดลพีระมิดในหน้ากากของธุรกิจเครือข่าย กลโกงหลอกผู้ลงทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทย

แชร์ลูกโซ่ โมเดลพีระมิดในหน้ากากของธุรกิจเครือข่าย กลโกงหลอกผู้ลงทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทย   . “แชร์ลูกโซ่” ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ ยกตัวอย่างกรณีของไทยในอดีต ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี เช่นคดี แชร์แม่ชม้อย แชร์แม่มณี และ forex-3D ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนัก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สร้างความเสียหายให้กับผู้คน ธุรกิจ รวมไปถึงเศรษฐกิจอย่างรุนแรง    มูลค่าความเสียหายที่ประเมินได้นั้นส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก กรณีแชร์แม่ชม้อยในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2528 มีมูลค่าความเสียหาย 500 ล้านบาท ต่อมาที่แชร์แม่มณีในปี 2562 มูลค่าความเสียหาย 1,376 ล้านบาท และ forex-3D ในปี 2564 ที่สร้างมูลค่าความเสียหายมากถึง 2,500 ล้านบาท รวมถึงผลกระทบต่อผู้เสียหายอีกนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้   รูปแบบของการแชร์ลูกโซ่มีความเหมือนกันคือ การเสนอผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงผิดปกติ ในระยะเวลาอันสั้น เช่น ลงทุนมาเป็นหุ้นส่วนกับเราวันนี้รับประกันผลตอบแทน 7 เปอร์เซ็นในทุกๆ เดือน และสร้างภาพลักษณ์ให้ดูประสบความสำเร็จ มีความมั่งคั่ง เพื่อให้ผู้ลงทุนรู้สึกไว้วางใจ โดยมีธุรกิจที่ใช้ในการอ้างอิงที่มาของผลตอบแทนนั้น เช่น การเทรด forex โดยใช้เอไอ การลงทุนเป็นหุ้นส่วนธุรกิจน้ำมัน หรือ การออมเงินร่วม ธุรกิจที่ใช้อ้างอิงเหล่านี้มักจะเสนอผลตอบแทนที่สูง โดยที่ไม่ได้มีสินค้าหรือไม่ได้มีการดำเนินกิจการจริง    วิธีที่ธุรกิจมิจฉาชีพเหล่านี้ใช้ในการจ่ายผลตอบแทนนั้นมักจะมาจาก การนำเงินของนักลงทุนใหม่ไปจ่ายให้กับนักลงทุนเดิม ซึ่งนักลงทุนที่เข้ามาแรกๆก็จะได้รับผลตอบแทนจริง แต่ระบบจะพังลงมาทันทีเมื่อไม่มีนักลงทุนใหม่ๆเข้ามา เนื่องจากไม่มีเงินหมุนในระบบอีกต่อไป และผู้ที่ได้รับผลกระทบเต็มๆก็คือนักลงทุนใหม่ที่พึ่งเข้ามาในระบบ เนื่องจากไม่มีเงินหมุนเวียนมาเพื่อจ่ายผลตอบแทน ซึ่งรูปแบบของการลงทุนนี้จะเรียกได้ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบ Ponzi scheme   แต่ยังมีแชร์ลูกโซ่ในอีกรูปแบบนึงที่มักจะถูกบังหน้าด้วยธุรกิจเครือข่าย และกำลังมีธุรกิจเครือข่ายขนาดใหญ่ของไทยในปัจจุบันกำลังถูกตั้งข้อสงสัยว่าเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ รูปแบบของแชร์ลูกโซ่ดังกล่าวก็คือ ธุรกิจแบบพีระมิด หรือ Pyramid scheme ที่เป็นการเสนอผลตอบแทนที่สูง จากโอกาสที่ธุรกิจหรือสินค้านั้นๆสามารถทำได้ และผู้ลงทุนยังได้รับประโยชน์จากการสร้างเครือข่ายหรือที่เรียกว่า ”ตัวแทนจำหน่าย” ที่ต่อขาลงไปด้วยการชวนคนใหม่ๆเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมอีกด้วย รูปแบบของการหมุนเงินจะค่อนข้างคล้ายกันคือ การนำเงินลงทุนของคนใหม่ๆ เข้ามาจ่ายให้กับคนเดิม ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และเมื่อไม่มีคนเข้ามาในระบบเพิ่มขึ้นอีกต่อไป ระบบก็จะพังลงในที่สุด   ปัญหาและผลกระทบจากแชร์ลูกโซ่ที่เกิดขึ้นสามารถสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจในระดับประเทศ จากผลกระทบที่ไปรบกวนกลไกของตลาด เนื่องจากธุรกิจหรือสินค้านั้นๆไม่ได้มีอยู่จริง และผู้ที่ได้รับประโยชน์มีเพียงแค่ผู้เริ่มกลโกงแชร์ลูกโซ่หรือกลุ่มที่อยู่ด้านบนของพิรามิดเท่านั้น ทำให้เศรษฐกิจสามารถหยุดชะงัก จากการโยกย้ายเงินทุนที่ไม่ได้สร้างมูลค่าอะไรให้ระบบเศรษฐกิจเลย . หากมองเจาะลึกลงมาที่ภาคอีสานก็จะพบว่า มีผู้เสียหายจำนวนไม้น้อยในภาคอีสานที่ได้รับผลกระทบ โดยในกรณีคดีแชร์แม่มณีที่เคยเกิดขึ้น ที่พื้นเพเป็นคนในภาคอีสาน ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ณ จุดเริ่มต้นของธุรกิจแชร์ลูกโซ่นี้ มีคนในพื้นที่ได้รับผลกระทบไปเป็นจำนวนไม่น้อย แต่เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของตลาดแบบออนไลน์ ทำให้ผู้เสียหายกระจายตัวไปทั่วประเทศมากขึ้น ไม่ได้กระจุกตัวในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเหมือนครั้งของแชร์แม่ชม้อยแล้ว แน่นอนว่าผลกระทบต่อผู้คนและมูลค่าความเสียหายย่อมรุนแรงขึ้นตามไปด้วย . สถานการณ์ปัญหาของแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบพีระมิด ในปัจจุบันที่ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบภายในประเทศเพียงเท่านั้น เนื่องจากการผันตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ทำให้วงของผลกระทบมีความกว้างมากยิ่งขึ้นจนถึงประเทศใกล้เคียง จากรายงานข่าวของ The nation พบว่าได้มีการเผยแพร่คลิปวิดิโอที่บริษัทธุรกิจเครือข่ายที่กำลังต้องสงสัยในประเทศไทย ได้โปรโมตการลงทุนและสินค้าอยู่ที่ประเทศลาว โดยทางบริษัทดังกล่าวได้มีการรับตัวแทนจำหน่ายหลายคน รวมถึงดาราและนักแสดงในประเทศลาว และยังมีรายงานเพิ่มเติมถึงการโปรโมตธุรกิจที่ประเทศอื่นๆ เช่น กัมพูชา เมียนมาร์ อีกด้วย   จากปัญหาที่เกิดขึ้น

แชร์ลูกโซ่ โมเดลพีระมิดในหน้ากากของธุรกิจเครือข่าย กลโกงหลอกผู้ลงทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทย อ่านเพิ่มเติม »

หนองบัวลำภู ความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม ความเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดในภาคอีสาน

หนองบัวลำภู ความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม ความเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดในภาคอีสาน หากพูดถึงเศรษฐกิจ ย่อมมีทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ดี และไม่ดีแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ที่ผ่านมา อีสาน อินไซต์ นำเสนอข้อมูลด้านเศรษฐกิจที่ดีในหลายด้านของแต่ละจังหวัด แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ว่ายังมีคนจน กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย โดย รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2566 เปิดเผย จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด ได้แก่ ปัตตานี นราธิวาส แม่ฮ่องสอน พัทลุง สตูล หนองบัวลำภู ตาก ประจวบครีรีขันธ์ ยะลา และตรัง วันนี้ ISAN Insight and Outlook สิพามาวิเคราะห์เบิ่ง สถานการณ์เศรษฐกิจและรายได้ต่อหัวของประชากร หนองบัวลำภู ดังนี้ 1. หนองบัวลำภู จังหวัดเล็กๆแห่งอีสานตอนบน มีประชากร 507,021 คน มีขนาดพื้นที่ ประมาณ 3,859 ตารางกิโลเมตร (2.4 ล้านไร่) ประกอบด้วย 6 อำเภอ คือ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู อำเภอนากลาง อำเภอศรีบุญเรือง อำเภอสุวรรคูหา อำเภอโนนสัง และอำเภอนาวัง มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดอื่น ดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดอุดรธานี ทิศใต้ ติดกับจังหวัดขอนแก่น ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดอุดรธานี ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดเลย 2. แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดหนองบัวลำภูมีความโดดเด่นในเชิงธรรมะที่ผสานกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ยกตัวอย่างเช่น ถ้ำเอราวัณ เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่อันเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อพระพุทธชัยศรีมุนีศรีโลกนาถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง อีกหนึ่งสถานที่เชิงธรรมมะที่ถือว่าเป็น unseen ของจังหวัดที่ควรค่าแก่การไปเยือนเมื่อไปหนองบัวลำภูคือ ถ้ำผาเจาะ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ โดยถ้ำแห่งนี้มีทิวทัศน์ที่งดงามทั้งในถ้ำและนอกถ้ำ 3. ในด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ ในปี 2565 จังหวัดหนองบัวลำภูมีขนาดเศรษฐกิจของจังหวัด(GPP) อยู่ที่ 31,696 ล้านบาท และรายได้ต่อหัวของจังหวัดอยู่ที่ 67,363 บาท โดยโครงสร้างเศรษฐกิจของหนองบัวลำภู เป็นดังนี้ – ภาคการบริการ คิดเป็น 42% ของ GPP – ภาคการผลิต คิดเป็น 22% ของ GPP – ภาคการเกษตร คิดเป็น 21% ของ GPP – ภาคการค้า คิดเป็น 15% ของ GPP ภาคการเกษตรเป็นส่วนที่สำคัญของหนองบัวลำภู จากการที่ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยมีพื้นที่ทำการเกษตรทั้งสิ้น 1,686,938 ล้านไร่ หรือคิดเป็นประมาณ 70% ของพื้นที่ทั้งหมด ตัวอย่างพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัด เช่น ข้าวนาปี

หนองบัวลำภู ความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม ความเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

เมื่อรายได้ต่อหัวของคนอีสานเพิ่มขึ้น 1 บาท ปริมาณขยะจะเพิ่มขึ้น 8 ตัน

คำเตือน: บทความนี้เป็นการศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเท่านั้น บนสมมติฐานที่ว่า “หากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ส่งผลต่อการบริโภคที่มากขึ้น จะส่งผลต่อปริมาณขยะมูลฝอยที่เพิ่มขึ้น” ลดปริมาณ “ขยะอาหาร” เป็นเป้าหมายโลก การลดขยะอาหารเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ซึ่ง UN ได้ตั้งเป้า ให้ในปี ค.ศ. 2030 ขยะอาหารที่เกิดจากการจำหน่ายและการบริโภคทั่วโลกต้องลดลง 50% ฝรั่งเศส ออกกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านขยะอาหาร สหรัฐอเมริกา เน้นมาตรการสร้างแรงจูงใจในการลดขยะอาหาร มากกว่าการลงโทษ เกาหลีใต้ ให้ความสำคัญกับการลด ปริมาณขยะอาหารในภาคครัวเรือนด้วยเทคโนโลยี สำหรับประเทศไทย ค่านิยม “เหลือ…ดีกว่าขาด” ทำให้อาหารส่วนเกินจำนวนมาก กลายเป็นขยะอาหาร แล้วส่วนใหญ่ได้รับการจัดการอย่างไม่เหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา ขยะอาหารของไทยมีมาก และยังจัดการไม่ดีพอ ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่าในปี 2560 มีขยะอาหารคิดเป็นร้อยละ 64 ของปริมาณทั้งหมด หรือ 254 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แต่ไทยมีการนำขยะอาหารไปใช้ประโยชน์น้อยมาก เนื่องจากเทศบาลส่วนมากไม่มีการแยกขยะ และในส่วนของ กทม. สามารถรีไซเคิลขยะอาหารได้เพียง 2 % เท่านั้น ISAN Insight and Outlook สิ พามาเบิ่ง สถานการณ์ขยะในภาคอีสาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ภาคอีสาน ถือเป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุด คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ ซึ่งย่อมตามมาด้วยการบริโภคสูงที่สุดในประเทศเช่นกัน ขนาดผลิตภัณฑ์มวลรวมทางเศรษฐกิจตั้งแต่ในระดับประเทศ จนไปถึงระดับจังหวัด แสดงถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนั้น แต่ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ส่งผลกระทบในเชิงลบภายนอกเช่นกัน โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปริมาณขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นจากบรรจุภัณฑ์ จากการบริโภคที่มากขึ้น โดยปัญหาขยะมูลฝอย เป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทย จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษรายงานว่าในปี 2566 ประเทศไทยมีปริมาณขยะเกิดขึ้น 26.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 5% เฉพาะในภาคอีสานมีปริมาณขยะตลอดทั้งปี 6.52 ล้านตัน หรือ 24% ของทั้งประเทศ ซึ่งปริมาณขยะที่มากจะทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา เช่น การสะสมของเชื้อโรคหรือต้นทุนในการกำจัดที่เพิ่มขึ้น โดยงานศึกษานี้ต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวและปัจจัยอื่น ๆ ว่ามีผลต่อปริมาณขยะในแต่ละจังหวัดในภาคอีสานอย่างไร  การศึกษาครั้งนี้ได้อ้างอิงวิธีการศึกษาและการคัดเลือกตัวแปรจากงานศึกษาของ Blagoeva (2023) ที่ได้ศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อหัวและสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม และปริมาณขยะมูลฝอยในเขตเทศบาลในบัลแกเรียเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป การศึกษาครั้งนี้วิเคราะห์ว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและสังคมในบัลแกเรียและประเทศอื่นๆ ส่งผลต่อปริมาณขยะมูลฝอย  โดยในการศึกษาครั้งนี้ต้องการที่จะเจาะจงในพื้นที่ภาคอีสานของประเทศไทย โดยจะใช้แบบจำลองถดถอยเชิงพหุคูณหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยตัวแปรอิสระที่ใช้ศึกษา ได้แก่  ผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวรายจังหวัด(GPP per capita) เฉลี่ย 10 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2565 ของทุกจังหวัดในภาคอีสาน (ที่มา: สภาพัฒน์) จำนวนประชากรแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน ปี 2565 (ที่มา: สภาพัฒน์) ดัชนีผสม มิติสิ่งแวดล้อม

เมื่อรายได้ต่อหัวของคนอีสานเพิ่มขึ้น 1 บาท ปริมาณขยะจะเพิ่มขึ้น 8 ตัน อ่านเพิ่มเติม »

5 กุญแจไขรหัสความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง “สัปเหร่อ” : เจาะลึกเบื้องหลังความประทับใจ กับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หนังไทยวิถีไทบ้านอีสาน 700 ล้าน และ 7 รางวัลสุพรรณหงส์

สัปเหร่อ (อังกฤษ: The Undertaker) เป็นภาพยนตร์ไทยภาษาอีสานแนวตลก ดราม่า สยองขวัญเหนือธรรมชาติ ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2566 และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 6 ภาคแยกในจักรวาลไทบ้าน เดอะซีรีส์ กำกับโดยธิติ ศรีนวล นำแสดงโดย ชาติชาย ชินศรี นฤพล ใยอิ้ม อัจฉริยะ ศรีทา สุธิดา บัวติก ภาพยนตร์ได้นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อพื้นถิ่น วิถีชีวิตของอาชีพสัปเหร่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับคนตายที่สัมพันธ์กับคติธรรมเรื่องของการปล่อยวาง ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนของภาพยนตร์ไทยท้องถิ่นอีสาน[1] เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในประเทศไทยในรอบ 9 ปี นับตั้งแต่ภาพยนตร์ ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ ที่เข้าฉายเมื่อปี พ.ศ. 2557[2] รวมถึงเป็นหนึ่งในสิบอันดับภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินสูงสุด ซึ่งเป็นภาพยนตร์จากบริษัทผู้สร้างอิสระเรื่องเดียวที่ติดอันดับดังกล่าว ทำเงินเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดเชียงใหม่ 244.95 ล้านบาท (ทำเงินรวมทั่วประเทศ 729.6 ล้านบาท) จากทุนสร้าง 15 ล้านบาท เป็นภาพยนตร์จากจักรวาลไทบ้านที่ทำเงินเปิดตัวได้สูงสุดและทำรายได้สูงสุด[3] ภาพยนตร์เรื่อง “สัปเหร่อ” ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมชาวไทยเป็นอย่างมาก ด้วยเนื้อหาที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยที่ผูกพันกับความตายได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ลองมาวิเคราะห์กันว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นและประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ “สัปเหร่อ” คว้าไป 7 รางวัล #สุพรรณหงส์ครั้งที่32[4]   ได้แก่ 🏆 รางวัลสุพรรณหงส์ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ สัปเหร่อ 🏆 รางวัลสุพรรณหงส์ ผู้กำกับยอดเยี่ยม ได้แก่ ธิติ ศรีนวล จาก สัปเหร่อ 🏆 รางวัลสุพรรณหงส์ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ได้แก่ ชาติชาย ชินศรี จาก สัปเหร่อ 🏆 รางวัลสุพรรณหงส์ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ สัปเหร่อ 🏆 รางวัลภาพยนตร์ไทยรายได้สูงสุดประจำปี 2566 ได้แก่ สัปเหร่อ 🏆 รางวัลสุพรรณหงส์ เพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ เพลงยื้อ – ปรีชา ปัดภัย จาก สัปเหร่อ 🏆รางวัลภาพยนตร์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยยอดเยี่ยม ได้แก่ สัปเหร่อ

5 กุญแจไขรหัสความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง “สัปเหร่อ” : เจาะลึกเบื้องหลังความประทับใจ กับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หนังไทยวิถีไทบ้านอีสาน 700 ล้าน และ 7 รางวัลสุพรรณหงส์ อ่านเพิ่มเติม »

อสังหาฯ อีสาน ลงทุนเพิ่ม แต่ยอดขายไม่พุ่ง คนอยากมีบ้าน ติดกับดักหนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ยสูง

REIC เผย อสังหาอีสานปี 67 คาดฟื้นตัว  ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานสถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)ของประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยมีจังหวัดหลักที่มีการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน 5จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และมหาสารคาม เราจะพบว่าการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลในช่วงเวลานี้จะช่วยให้เรานั้นเห็นภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคอีสาน และสามารถคาดการณ์แนวโน้มในปี 2567 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาพรวมของ ธุรกิจอสังหา(ในอีสาน) เศรษฐกิจในภาพรวมที่ชะลอตัวลง และปัจจัยลบต่างๆ ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะของตลาดที่อยู่ อาศัยของประเทศไทย ทั้งด้านอุปสงค์ที่มีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง และในด้านอุปทานที่มีการชะลอตัวลง ของอุปทานตามการชะลอตัวของอุปสงค์ จึงส่งผลต่อธุรกิจภาค อสังหาริมทรัพย์ ในภาคอีสานเป็นอย่างมาก 1.1) สถานการณ์ด้านอุปทานที่อยู่อาศัย(ไตรมาสที่1 ปี 2567) ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ รวมจำนวน 141 โครงการ จำนวน 16,362 หน่วย โดยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจำนวน 8 โครงการ จำนวน 803 หน่วย โดยมีสัดส่วนร้อยละ 4.9 ซึ่งลดลงร้อยละ 55.3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในไตรมาสเดียวกันของจำนวนโครงการ และเมื่อเปรียบจำนวนของโครงการ และหน่วยของการสร้างที่อยู่อาศัยของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็น YoY% จะพบว่ามีการลดลง 75% และ 55.3% ตามลำดับ ซึ่งสามารถสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ว่านักลงทุนนั้นยังไม่กล้าที่จะลงทุนใน ภาคอสังหาริมทรัพย์มากนัก เนื่องจากหลายปัจจัย ส่งผลให้แนวโน้มการเติบโตของ อสังหาริมทรัพย์ ในอีสานนั้นยังแสดงทีท่าที่ชะลอตัวลงอยู่เมื่อเปรียบเทียบYoY กับปี2566 ในไตรมาสที่1 1.2) พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั่วประเทศประมาณ 8,878,735 ตารางเมตร ทั้งนี้ สามารถแบ่งออกเป็นพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบประมาณ 8,288,604 ตารางเมตร และอาคารชุด ประมาณ 590,131 ตารางเมตร  ในส่วนของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวนพื้นที่ประมาณ 1,515,879 ตารางเมตร ที่มีการอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.1ของทั้งประเทศ ซึ่งลดลงร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว2566 ในส่วนของที่อยู่อาศัยแนวราบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลง ร้อยละ 2.8 ซึ่งไม่พบพื้นที่อนุญาตก่อสร้างอาคารชุดในไตรมาสนี้ และทั่วประเทศนั้นที่อยู่อาศัยแนวราบหรือบ้านเดียว,บ้าน,แฝด มีการก่อสร้างลดลงมาเรื่อยๆตั้งแต่ปี2566 Q1 แสดงให้เห็นดังกราฟด้านล่างนี้ เมื่อพิจารณารายจังหวัดที่มีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือไตรมาส 1 ปี 2567 นครราชสีมา มีสัดส่วนจำนวนพื้นที่ร้อยละ 4.1 ลดลงร้อยละ 17.1 ซึ่งไม่พบพื้นที่อนุญาตก่อสร้างอาคารชุดในไตรมาสนี้ และขอนแก่น มีสัดส่วนจำนวนพื้นที่ร้อยละ 2.6

อสังหาฯ อีสาน ลงทุนเพิ่ม แต่ยอดขายไม่พุ่ง คนอยากมีบ้าน ติดกับดักหนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ยสูง อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top