SHARP ADMIN

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน

ฮู้บ่ว่า จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ ภายใต้แนวคิด “ทรัมป์ 2.0” ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนถึงการตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงต่อสินค้าจากจีน ได้ส่งผลให้จีนต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การส่งออกครั้งสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญต่อพลวัตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค โดยจีนที่มีการเร่งการส่งออกเข้าสู่สหรัฐฯต้นปี เริ่มชะลอตัวและหันมาส่งออกสู่ตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งมูลค่าการส่งออกโดยตรงจากจีนไปยังสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 215,909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงถึง 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (241,587 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การหดตัวนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนและผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบรุนแรงจากต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้น และลดการค้าโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและต้นทุนจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ยุทธศาสตร์ตอบโต้ของจีน: ใช้ “อาเซียน” เป็นฐานทัพใหม่ เมื่อประตูการค้าสู่สหรัฐฯ แคบลง จีนไม่ได้ยอมจำนน แต่เลือกใช้กลยุทธ์ “เบนเข็ม” โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งมีพรมแดนติดกันและมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจสูง การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของจีนมายังภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด: ภาพรวมอาเซียน: การส่งออกของจีนมายังอาเซียน เติบโตขึ้น 12.2% กัมพูชา: เติบโตสูงสุดถึง +24.0% ไทย: เติบโต +20.2% เวียดนาม: เติบโต +20.0% ซึ่งนัยนึงอาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนถึง “ทางเลี่ยง” ในการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ไม่ได้หมายความว่าสินค้าจีนทั้งหมดจะถูกบริโภคภายในอาเซียนเท่านั้น แต่มีนัยสำคัญเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์นี้ คือ “การใช้ประเทศที่สามในการสวมสิทธิสินค้า กระบวนการนี้ทำงานได้จากการ ส่งชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished goods) หรือวัตถุดิบมายังโรงงานในประเทศอาเซียน เช่น ไทย หรือ เวียดนาม และถูกนำมาผ่านกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า ให้กลายเป็น “Made in Thailand” หรือ “Made in Vietnam” สรุป: แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การย้ายตลาด แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก” ครั้งใหญ่ โดยมีสงครามการค้าเป็นตัวเร่ง ประเทศไทยและอาเซียนกำลังอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับทั้งโอกาสและความท้าทาย การวางนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสมดุล จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับภูมิทัศน์การค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 สรุปประเด็นหลัก #KeyInsights ผลพวงสงครามการค้า ดันสินค้าจีนทะลักเข้าไทย พุ่งจากปีก่อนหน้ากว่า 23% ผลักสัดส่วนต่อการนำเข้าจากจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้นกว่า 5% มูลค่าการนำเข้าจากจีน ผ่านสปป.ลาว ในปี 2568 (ม.ค. – ก.ค.) มีมูลค่ากว่า 156,247 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 24.2 % #สินค้าจีนทะลัก #ISANxGMS #เศรษฐกิจอีสาน ใช่ครับ ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือยืนยันว่า **สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ** โดยเป็นผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า . ฮู้บ่ว่า? ปี 2568 มีแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่เข้ามาในไทยมาขึ้น แม้ปีก่อนหน้าจะมีกระแสการทะลักเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว สะท้อนคลื่นสินค้าที่อาจเข้าระลอกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมจากผลของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ การทะลักของสินค้าจีน 3.0 ข้อมูล 7 เดือนล่าสุดของปี 2568  (มกราคม ถึง กรกฎาคม) ชี้ให้เห็นการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 23.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และโดยที่คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทยที่สูงถึง 30.3% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย   ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า แนวทางการเร่งการส่งออกมายังไทย และประเทศในแถบอาเซียนของจีน สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของการใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี จากข้อมูลของ Trad Map การส่งออก 2 ไตรมาสแรกจากจีนไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 12.2% โดยมีอัตราการเติบโตมากสุดในการส่งออกไปยัง กัมพูชา(24.2%) ไทย(20.2%) และเวียดนาม(20%)   ทะลักเข้าแดนอีสานโดยตรง “เส้นทางบกสายใหม่” ที่สินค้าจีนไม่ได้มาแค่ทางเรืออีกต่อไป แต่ยังทะลักผ่านลาวเข้าชายสู่ชายแดนฝั่งภาคอีสานโดยตรง ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจีนผ่านแดนสปป.ลาว สูงขึ้นถึง 24.2% จากข้อได้เปรียบด้านการขนส่งผ่านรถไฟลาวจีนที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งถูกขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขการขาดดุลการค้า แต่อาจสะท้อนถึงความเปราะบางของผู้ประกอบการและ SME ไทย ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้าต้นทุนต่ำกว่า การทะลักเข้ามาของสินค้าผ่านช่องทางใหม่นี้ยังเป็นการท้าทายศักยภาพการแข่งขันของผู้ค้ารายย่อยในระดับภูมิภาคโดยตรง รวมถึงปัญหาการสวมสิทธิของสินค้าที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยโดยตรง จึงอาจต้องมีการเข้ามาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดระเบียบและมาตรฐานของสินค้านำเข้า สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมผู้ประกอบการในประเทศ   สถิติการนำเข้าล่าสุด (ปี 2568 เทียบ ปี 2567) ตัวเลขการนำเข้า: ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 การนำเข้าสินค้าจากจีนมายังไทย เพิ่มขึ้นสูงสุดในอาเซียนที่ 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า [1] ขาดดุลการค้า: จากตัวเลขการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทย ขาดดุลการค้ากับจีนหนักขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 2.2 แสนล้านบาท [2] สินค้าที่ทะลักเข้ามา: สินค้าที่คาดว่าจะทะลักเข้ามามากที่สุดส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องใช้สำหรับโทรคมนาคมและอุปกรณ์เครือข่าย,

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 อ่านเพิ่มเติม »

แข็งแล้ว แข็งอยู่ แข็งต่อ กับค่าเงินไทย ใครว่าไม่กระทบอีสาน

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวเศรษฐกิจเรื่อง “ค่าเงินบาทแข็งค่า” กันอยู่บ่อยครั้ง จนไม่กี่วันมานี้ค่าเงินบาท ได้หลุดต่ำกว่า 32 บาทเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี และยังมีแนวโน้มแข็งต่อไป สาเหตุหลักมาจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นอ่อนค่าลง และมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณในการลดดอกเบี้ยนโยบาย   บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องของนักธุรกิจส่งออก-นำเข้าขนาดใหญ่ แต่สำหรับคนอีสานแล้ว ค่าเงินที่ผันผวนนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขในหน้าข่าวเศรษฐกิจ แต่มันส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของคนอีสานอย่างที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย 2 ผลกระทบหลักที่ คนอีสาน รู้สึกได้ทันทีที่เงินบาทแข็ง   ภาคการเกษตร: “คนปลูก” ได้น้อยลง “คนกิน” ได้เท่าเดิม หัวใจสำคัญของเศรษฐกิจอีสานคือภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิ มันสำปะหลัง หรืออ้อย ผลผลิตเหล่านี้ไม่ได้ถูกบริโภคแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังถูกส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลักที่ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาสินค้าเกษตรของเราในตลาดโลกแพงขึ้นตามไปด้วย ผู้ซื้อจากต่างประเทศจึงหันไปซื้อสินค้าจากประเทศคู่แข่งที่มีราคาถูกกว่า ส่งผลให้ปริมาณการสั่งซื้อลดลง และราคาขายที่เกษตรกรได้รับก็ลดต่ำลงตามไปด้วย  นอกจากนั้นอีกประเด็นสำคัญ อย่างเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ไทยถูกเรียกเก็บ 19% ที่กระทบต่อต้นทุนและความสามารถในการแข็งขันของผู้ส่งออกโดยตรง เมื่อมองเข้ามายังทุ่งไร่แปลงนาที่ภาคอีสาน เกษตรกรที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจปลูกพืชเกษตรมาทั้งปี ซึ่งจากเดิมที่ต้องเผชิญกับราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำอยู่แล้ว ต้องมาเจอราคาที่ต่ำลงอีกจากสาเหตุที่ควบคุมไม่ได้ อย่างเรื่องค่าเงิน สิ่งนี้ไม่ได้กระทบแค่รายได้ แต่ยังกระทบต่อกำลังใจในการทำมาหากินอีกด้วย   แรงงานไทยในต่างแดน: ผู้ส่งเงินกลับบ้านกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทาย หนึ่งในรายได้สำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจอีสานคือ “เงินโอน” จากลูกหลานหรือพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ไปทำงานในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือตะวันออกกลาง สมมติว่าแรงงานอีสานทำงานที่เกาหลี ได้เงินเดือน 2 ล้านวอนต่อเดือน เมื่อก่อนหากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 บาทต่อ 30 วอน เมื่อส่งเงินกลับมา 1 ล้านวอน ก็จะได้เงินไทยประมาณ 33,333 บาท แต่เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเป็น 1 บาทต่อ 25 วอน เงินจำนวนเดียวกันนี้จะแลกได้แค่ 40,000 บาทเท่านั้น เงินโอนที่เคยเป็นแหล่งทุนสำคัญสำหรับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียนลูกหลาน หรือค่าใช้จ่ายในการยังชีพในแต่ละเดือน กำลังลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หลายครอบครัวที่พึ่งพารายได้ส่วนนี้ต้องรัดเข็มขัดและปรับตัวกันอย่างหนัก เงินบาทแข็ง และ เศรษฐกิจไทยในตลาดโลก ส่งผลต่อธุรกิจไทย? จากการรวบรวมข้อมูลล่าสุด เงินบาทไม่ได้แข็งค่าในรอบหลายปีตามที่เคยเป็นข่าวในอดีต แต่กำลังอยู่ในช่วงที่ผันผวนและมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับประมาณ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นระดับที่ค่อนข้างอ่อนค่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่เคยแข็งค่ากว่า 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงต้นปี 2567 และ 2568   ผลกระทบของเงินบาทที่เคยแข็งค่า (อ้างอิงสถานการณ์ในอดีต) แม้ว่าปัจจุบันเงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง แต่ในช่วงที่เงินบาทเคยแข็งค่าอย่างรวดเร็วนั้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ: ภาคการส่งออก: การแข็งค่าของเงินบาททำให้ราคาสินค้าส่งออกของไทยแพงขึ้นในสายตาของผู้ซื้อต่างประเทศ ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งลดลง โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้แรงงานสูงหรือสินค้าเกษตรที่ราคาอิงกับตลาดโลก เช่น ข้าว ยางพารา และน้ำตาล ทำให้รายได้ของผู้ส่งออกและเกษตรกรเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทลดลง

แข็งแล้ว แข็งอยู่ แข็งต่อ กับค่าเงินไทย ใครว่าไม่กระทบอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

🇹🇭ไทยเที่ยวจีนแต่🇨🇳จีนไม่เที่ยวไทย ผ่านมา ปีครึ่ง “ฟรีวีซ่า ไทย-จีน” นนท.ไม่เพิ่ม การท่องเที่ยวปี 68 หดตัว

ตั้งแต่ มีนาคม 2567 เป็นต้นมา มาตรการ ฟรีวีซ่า ไทย-จีน เป็นผลดีมากน้อยเพียงใด เวลาอาจเป็นเครื่องพิสูจน์ และยังเป็นการเน้นย้ำว่า มาตรการเดียวอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาการท่องเที่ยวไทยได้ทั้งหมด ISAN Insight พามาเบิ่ง ข้อมูลด้านธุรกิจและเศรษฐกิจ ที่รวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว “ไทย-จีน” หลังนโยบายฟรีวีซ่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจและมีข้อมูลล่าสุดที่ควรนำมาวิเคราะห์ดังนี้   “ฟรีวีซ่า ไทย-จีน” นทท.ไม่เพิ่มจริงหรือ?   ข้อมูลล่าสุดปี 2568 ชี้ว่า แม้จะมีนโยบายฟรีวีซ่าถาวรระหว่างไทยกับจีนที่เริ่มต้นเมื่อเดือนมีนาคม 2567 แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทย ไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ก้าวกระโดดอย่างที่คาดหวังไว้แต่แรก จำนวนนักท่องเที่ยวจีน: ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยประมาณ 4-5 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ฟื้นตัวได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงก่อนนโยบายฟรีวีซ่า แต่ยังไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 8 ล้านคนภายในสิ้นปี [1] แรงกดดันจากเศรษฐกิจจีน: ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของจีน เช่น ภาวะเงินฝืด และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง ทำให้ชาวจีนชะลอการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวต่างประเทศลง ประกอบกับสายการบินระหว่างไทย-จีนยังไม่กลับมาให้บริการอย่างเต็มที่เท่าช่วงก่อนโควิด-19 และราคาตั๋วเครื่องบินที่ยังคงสูง [2] ทำให้ปัจจัยเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีน   “ไทยเที่ยวจีนแต่จีนไม่เที่ยวไทย” – สถิติอัปเดตปี 2568   ข้อมูลล่าสุดจากปี 2568 ชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ และตลาดจีนซึ่งเคยเป็นตลาดอันดับหนึ่งก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่   สถานการณ์ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยปี 2568   จำนวนนักท่องเที่ยวหดตัว: ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ตลอดปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยจะอยู่ที่ประมาณ 32.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการ หดตัว 9% จากปี 2567 [3] 10 อันดับแรกนักท่องเที่ยวต่างชาติ (8 เดือนแรกปี 2568): จีน: 3,096,017 คน มาเลเซีย: 3,049,961 คน อินเดีย: 1,563,806 คน รัสเซีย: 1,195,430 คน เกาหลีใต้: 1,036,361 คน ญี่ปุ่น: 712,158 คน สหราชอาณาจักร: 708,929 คน สหรัฐ: 692,212 คน ไต้หวัน: 672,067 คน ลาว: 630,051 คน [4] แม้จีนจะยังครองอันดับหนึ่ง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน ลดลงกว่า 34.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน [5] ขณะที่นักท่องเที่ยวจากตลาดอื่น ๆ เช่น ยุโรป, เอเชียใต้ (อินเดีย), และตะวันออกกลาง

🇹🇭ไทยเที่ยวจีนแต่🇨🇳จีนไม่เที่ยวไทย ผ่านมา ปีครึ่ง “ฟรีวีซ่า ไทย-จีน” นนท.ไม่เพิ่ม การท่องเที่ยวปี 68 หดตัว อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ

จากกระแสที่แบงก์อายัดบัญชีที่โยงกับบัญชีม้า ทำให้หลายคนเริ่มแห่ไปถอนเงินกันเพื่อถือเป็นเงินสดมากขึ้น โพสต์นี้จึงพามาดูข้อมูลที่น่าสนใจกัน! รู้หรือไม่ว่าธนบัตรที่เราใช้จ่ายกันอยู่ทุกวันนี้ มีจำนวนรวมกันกว่า 7,929 ล้านฉบับ และมีมูลค่ารวมสูงถึง 2,702,880 ล้านบาท! 🤯 ลองดูตัวเลขของธนบัตรแต่ละชนิดกันหน่อยสิว่าฉบับไหนมีจำนวนมากที่สุด ธนบัตร 1,000 บาท: 2,247 ล้านฉบับ ธนบัตร 500 บาท: 346 ล้านฉบับ ธนบัตร 100 บาท: 1,937 ล้านฉบับ ธนบัตร 50 บาท: 691 ล้านฉบับ ธนบัตร 20 บาท: 2,707 ล้านฉบับ จากกระแสนที่คนแห่ไปถอนเงิน อาจทำให้บางแบงก์นั้นมีเงินสำรองไม่พอให้ถอนบ้างในระยะสั้น แต่ทาง ธปท. ก็ได้ออกมายืนยันว่ายังไม่เห็นสัญญาณของ Bank run เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน #บัญชีม้า #ธนบัตรไทย #เศรษฐกิจไทย #แบงก์ชาติ ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ อ่านเพิ่มเติม »

เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน

ไทม์ไลน์ข่าว: ธนาคารอายัดบัญชีมั่วและมาตรการสกัดกั้นภัยทางการเงิน มาตรการจำกัดวงเงินโอนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวข้องโดยตรงกับข่าวการอายัดบัญชีมั่ว เนื่องจากทั้งสองเรื่องเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของภาครัฐและสถาบันการเงินในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน โดยเฉพาะ “บัญชีม้า” ที่ใช้ในการหลอกลวงประชาชน จุดเริ่มต้น: มาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากความพยายามของภาครัฐในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ที่ใช้ “บัญชีม้า” เป็นเครื่องมือในการรับและโอนเงินเพื่อฟอกเงิน ซึ่งนำไปสู่การออกกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง มีนาคม 2566: มีการประกาศใช้ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 [1] โดยมีสาระสำคัญคือ การให้สถาบันการเงินสามารถระงับการทำธุรกรรมหรืออายัดบัญชีได้ทันที หากมีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตุลาคม 2566: ธปท. ร่วมกับสถาบันการเงิน จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (ศปปง.) หรือที่เรียกว่าศูนย์ AOC (Anti-Online Scam Operation Center) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานระหว่างธนาคารและตำรวจ ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ มกราคม 2567: เริ่มมีประชาชนร้องเรียนมากขึ้นว่าบัญชีธนาคารถูกอายัดอย่างไม่เป็นธรรม โดยส่วนใหญ่เป็นกรณีที่โอนเงินหรือรับโอนเงินจากบุคคลที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า แม้ว่าตัวเองจะไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดก็ตาม [2] เมษายน 2567: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาชี้แจงว่า ธนาคารมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องอายัดบัญชีที่มีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ และยืนยันว่าการอายัดไม่ได้เป็นไปอย่าง “มั่วซั่ว” แต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดไว้ [3] อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนยังคงยืนยันว่ากระบวนการไม่โปร่งใสและขาดการตรวจสอบที่รัดกุมก่อนจะอายัด พฤษภาคม 2568: ปัญหาลุกลามจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างบนโลกออนไลน์ เมื่อมีข่าวว่ามีประชาชนหลายรายที่ได้รับผลกระทบจากการที่ บัญชีธนาคารถูกอายัดจาก “บัญชีม้า” ที่เป็นเครือข่ายยาว โดยอาจมีการโอนเงินที่เชื่อมโยงกันเป็นทอด ๆ ทำให้บัญชีของผู้บริสุทธิ์ถูกอายัดไปด้วย ทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็น [4] สิงหาคม 2568: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการใหม่เพื่อป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกให้โอนเงิน โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จำกัดวงเงินโอนเงินสำหรับ “กลุ่มเสี่ยง” ซึ่งได้แก่ กลุ่มลูกค้าใหม่ หรือบัญชีที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยไว้ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน [5] มาตรการดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้กับทุกคน แต่จะพิจารณาจากพฤติกรรมการทำธุรกรรมของแต่ละบุคคลและแบ่งลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือ S, M, และ L ตามความเสี่ยง [6] กันยายน 2568: เกิดกระแสความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนที่กลัวว่าบัญชีของตนจะถูกอายัดไปด้วย จึงทำให้มีรายงานข่าวว่า ประชาชนจำนวนมากแห่ไปถอนเงินสดออกจากธนาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของตนได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ทำให้ธนาคารบางแห่งมีปัญหาเงินขาดมือ [7] สถานการณ์ปัจจุบัน: ผลกระทบที่ลุกลามและข้อเรียกร้อง ความเดือดร้อนของประชาชน: ปัญหาการอายัดบัญชีลุกลามจนเป็นความเดือดร้อนในวงกว้างสำหรับประชาชนผู้บริสุทธิ์หลายพันราย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และกลุ่มที่รับจ้างโอนเงิน เช่น รับโอนเงินจากผู้สูงอายุ หรือรับโอนเงินจากการขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกอายัดบัญชีโดยไม่ทันตั้งตัว ความชัดเจนของมาตรการ: แม้ว่ารัฐบาลและธนาคารจะยืนยันว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นเพื่อป้องกันอาชญากรรม แต่กระบวนการที่ขาดความรัดกุมและขาดการสื่อสารกับผู้ใช้งานอย่างทันท่วงที ทำให้มาตรการที่หวังจะแก้ปัญหา กลับสร้างปัญหาใหม่ให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ อัพเดตล่าสุด 13 กันยายน 2568 นางสาวดารณี แซ่จู

เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน อ่านเพิ่มเติม »

“หนี้กตัญญู” วังวนความสิ้นหวังของลูกชนชั้นกลาง

ในสังคมไทย คำว่า “ความกตัญญู” เป็นค่านิยมที่ได้รับการยกย่องมาอย่างยาวนาน ลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าถูกมองว่าเป็นลูกที่ดีและมีคุณธรรม แต่เมื่อค่านิยมนี้ต้องมาเผชิญกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ ภาระดังกล่าวได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “หนี้กตัญญู” หนี้นี้ต่างจากหนี้สินทั่วไป หนี้กตัญญูไม่มีสัญญาหรือดอกเบี้ย หากแต่เป็นภาระที่สังคมคาดหวังให้ลูกหลานต้องแบกรับ โดยเฉพาะ ชนชั้นกลาง ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด พวกเขามีรายได้มากพอที่จะถูกคาดหวังว่าจะดูแลพ่อแม่ได้ แต่ในความเป็นจริง รายได้เหล่านั้นต้องถูกใช้ไปกับค่าครองชีพ การผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และการลงทุนเพื่ออนาคต ทำให้คนกลุ่มนี้ตกอยู่ในสถานะ Sandwich Generation คือถูกบีบทั้งจากภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ที่อายุมากขึ้น และการดูแลลูกที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันค่านิยมเรื่อง “ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่” เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเลือกที่จะครองโสด หรือถึงจะแต่งงานก็ไม่ได้ต้องการมีบุตรเหมือนในอดีต คำถามเชิงสังคมที่มักได้ยินอย่าง “เมื่อไหร่จะมีลูก” หรือ “มีลูกไว้ให้เลี้ยงดูตอนแก่” จึงสะท้อนแรงกดดันที่ไม่สอดคล้องกับความจริงทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตรที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ผนวกกับภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวชนชั้นกลางและชนชั้นล่างที่ต้องดูแลทั้งลูกและพ่อแม่พร้อมกัน ทำให้การฝากความหวังไว้กับลูกเพียงอย่างเดียวไม่อาจถือเป็นหลักประกันที่มั่นคงได้อีกต่อไป หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้รุนแรงขึ้น คือโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีสัดส่วนถึงเกือบ 30% ของประชากรทั้งหมด ครอบครัวไทยในอดีตมีลูกหลายคนช่วยกันดูแลพ่อแม่ แต่ปัจจุบันครอบครัวมีขนาดเล็กลง ภาระทั้งหมดจึงมักตกอยู่กับลูกเพียงคนหรือสองคน ในขณะเดียวกัน คนรุ่นพ่อแม่หรือที่เรียกว่า Baby Boomer, Gen X ในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงต่ำส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเตรียมการทางการเงินเพื่อวัยเกษียณมากพอ ขาดทั้งความรู้ด้านการเงินและโอกาสในการลงทุน ทั้งนี้ยังไม่รวมในส่วนของหนี้สินต่างๆที่ได้มีการก่อไว้ทั้งในด้านของผู้ถูกเลี้ยงดู และผู้ที่จะต้องเลี้ยงดูที่จะต้องแบกรับภาระในส่วนนี้เช่นกัน เมื่อเข้าสู่วัยชราพวกเขาจึงต้องพึ่งพาลูกหลานเป็นหลัก โดยมีความเชื่อฝังแน่นว่าลูกต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการดูแลตลอดชีวิต ปัญหานี้ไม่ได้มีเพียงมิติทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีรากทางวัฒนธรรม “ความกตัญญู” ในอดีตหมายถึงการเคารพและดูแลพ่อแม่ทั้งด้านจิตใจและการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในปัจจุบันค่านิยมนี้ถูกตีค่าในเชิงการเงินมากขึ้น การให้เงิน ซื้อของแพง หรือพาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญู ขณะที่ลูกที่ไม่สามารถทำได้อาจถูกมองว่า “อกตัญญู” แม้จะดูแลพ่อแม่ในรูปแบบอื่นแล้วก็ตาม แรงกดดันนี้ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวตึงเครียด และทำให้หลายคนรู้สึกหมดหวังเพราะไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังทางสังคมได้ หากมองถึงต้นตอของปัญหา จะบอกว่า “ความกตัญญู” ที่ทำให้ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ แม้ตัวเองยังต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพจนแทบไม่พอกิน เป็นสิ่งที่ “ผิด” ก็คงไม่ถูกนัก ในขณะเดียวกัน หากจะชี้ว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ที่ทำงานมาทั้งชีวิตแต่กลับไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ยามชรา ต้องหันมาพึ่งพาลูกหลานเพียงอย่างเดียว ก็ดูจะไม่ยุติธรรมเช่นกัน หากมองให้ลึกลงไป ปัญหาแท้จริงอาจอยู่ที่ “รายได้” ของครัวเรือนที่ไม่เติบโตสอดคล้องกับ “รายจ่าย” ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า และ “ปัญหาด้านรัฐสวัสดิการ” ที่มีให้ในปัจจุบันนั้นไม่สามารถช่วยเหลือ หรือแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้ เมื่อมองในมิติแบบนี้ อาจช่วยให้เราเห็นภาพและหาข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นว่า เรื่องนี้เป็นผลสะสมจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มากกว่าจะเป็นความผิดของใครโดยตรง ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในตะวันตกอย่างยุโรปและอเมริกา การดูแลผู้สูงอายุถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จัดสวัสดิการด้านบำนาญและการรักษาพยาบาลอย่างครอบคลุม เมื่อลูกเติบโตขึ้นก็มักแยกออกไปสร้างชีวิตของตนเองตามแนวคิดครอบครัวที่เน้นความเป็นอิสระ ภาระการดูแลผู้สูงอายุจึงไม่ได้ตกอยู่กับลูกหลานโดยตรง แต่ถูกแบกรับผ่านระบบรัฐสวัสดิการที่ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวได้มาก ตรงกันข้าม ในหลายประเทศเอเชีย เช่น ไทย จีน และเกาหลี ค่านิยมที่ “ลูกต้องดูแลพ่อแม่” ฝังลึกจนกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคม การพึ่งพาลูกหลานจึงกลายเป็นกลไกหลักในการดูแลผู้สูงอายุ ยิ่งในบริบทของประเทศไทยที่ระบบสวัสดิการยังมีข้อจำกัด เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเริ่มต้นเพียง 600 บาทต่อเดือน หรือบำนาญจากประกันสังคมที่ไม่สูงพอเมื่อเทียบกับค่าครองชีพจริง (โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ค่าใช้จ่ายเกิน 7,000 บาทต่อเดือน) ช่องว่างนี้ยิ่งทำให้ครอบครัวต้องรับภาระเพิ่มขึ้น

“หนี้กตัญญู” วังวนความสิ้นหวังของลูกชนชั้นกลาง อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง สุดยอดค้าปลีก-ส่งภูธรรายได้พันล้านในไทย

ร้านค้าปลีก-ค้าส่งภูธร: ยืนหยัดท่ามกลางทุนใหญ่ด้วยความสัมพันธ์และการปรับตัว   “ร้านโชห่วยหน้าปากซอย” อาจดูเล็กน้อยในสายตาหลายคน แต่สำหรับชุมชนแล้ว ที่นี่คือทั้งแหล่งซื้อของ ศูนย์กลางข่าวสาร และบางครั้งก็เป็นเสมือนเพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ แม้ห้างใหญ่และร้านสะดวกซื้อจะขยายตัวไม่หยุด ร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรกลับยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เพราะพวกเขามีสิ่งหนึ่งที่ทุนใหญ่ไม่เคยมีนั่นคือ “ความผูกพันกับคนในพื้นที่” แม้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากทุนใหญ่และการเปลี่ยนแปลงของตลาด แต่ร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรยังคงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ด้วยจุดแข็งเฉพาะตัวที่ยากจะลอกเลียนแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชุมชน ความเข้าใจในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง และความคล่องตัวในการปรับตัว ซึ่งทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้พวกเขายังเป็น “ผู้เล่นที่น่าจับตา” ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น หัวใจของความแข็งแกร่งของร้านค้าภูธรคือความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เจ้าของร้านและพนักงานมักเป็น “คนกันเอง” ในพื้นที่ ทำให้รู้จักและเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง บรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ห้างใหญ่ไม่สามารถสร้างได้ง่าย นอกจากนี้ ร้านค้าภูธรยังสามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะถิ่นได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสินค้าทำบุญ เครื่องปรุงเฉพาะท้องถิ่น หรือสินค้าแบ่งขายในปริมาณเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนในชุมชน อีกหนึ่งจุดแข็งที่ไม่อาจมองข้ามคือ “ระบบเครดิต” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ติดไว้ก่อน” ร้านค้าท้องถิ่นสามารถให้ลูกค้าประจำลงบัญชีไว้ก่อนได้ ซึ่งช่วยรองรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอนและสร้างความผูกพันระยะยาว ความยืดหยุ่นเช่นนี้คือสิ่งที่โมเดิร์นเทรดไม่สามารถทำได้ นอกจากนั้น ร้านค้าภูธรยังมีความคล่องตัวสูง สามารถคิดเร็ว ทำเร็ว และตัดสินใจได้ทันที เช่น การเพิ่มสินค้าตามเทศกาล การสั่งสินค้าพิเศษตามความต้องการของลูกค้า หรือการปรับราคาอย่างฉับพลันโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากส่วนกลาง ความไม่ตายตัวของรูปแบบการดำเนินงานนี้เปรียบเสมือน “มวยวัด” ที่คาดเดายาก และบางครั้งกลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์เหนือห้างใหญ่ ในด้านกลยุทธ์ราคา ร้านค้าภูธรสามารถกดราคาลงได้ด้วยการตัดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เช่น การตกแต่งหรูหราหรือบริการที่ฟุ่มเฟือย ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ก็มักสนับสนุนร้านภูธร เพื่อสร้างสมดุลอำนาจการต่อรองกับรายใหญ่ ส่งผลให้ร้านท้องถิ่นได้รับทั้งโปรโมชั่นและกิจกรรมการตลาดที่ช่วยดึงดูดลูกค้า ข้อได้เปรียบอีกประการคือทำเลที่ตั้ง ร้านค้าภูธรจำนวนมากตั้งอยู่ใจกลางเมืองหรือใกล้ชุมชน ซึ่งสะดวกต่อการเข้าถึงของผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อต้องการซื้อสินค้าเล็กน้อยหรือของใช้ด่วน ทำให้ร้านท้องถิ่นยังคงเป็นคำตอบสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรก็เผชิญกับความท้าทายไม่น้อย การรุกคืบของทุนใหญ่ เช่น เซ็นทรัล ซี.พี. บิ๊กซี หรือเครือข่ายร้านค้าสมัยใหม่อย่าง “ถูกดี มีมาตรฐาน” และ “ร้านโดนใจ” ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้น สงครามราคายิ่งกดดันร้านภูธรที่มีอำนาจการซื้อน้อยกว่า อีกทั้งเศรษฐกิจที่ซบเซา กำลังซื้อที่ลดลง และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ล้วนบั่นทอนกำไรและความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ร้านค้าภูธรหลายแห่งยังคงใช้รูปแบบการบริหารแบบครอบครัว ขาดระบบมืออาชีพ และมีรูปแบบร้านที่ล้าสมัย ไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกและทันสมัยมากกว่า ขณะเดียวกัน ปัญหาการสืบทอดกิจการก็เป็นอีกโจทย์ใหญ่ เนื่องจากทายาทบางรายไม่ประสงค์จะสานต่อธุรกิจครอบครัว เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว ร้านค้าภูธรจำเป็นต้องเร่งปรับตัวในหลายด้าน ประการแรกคือการสร้างจุดยืนที่ชัดเจน เน้นความแตกต่างที่รายใหญ่ไม่สามารถแข่งขันได้ เช่น การขายสินค้าท้องถิ่นคุณภาพสูง หรือการเน้นบริการที่เป็นมิตรและใกล้ชิด ประการต่อมาคือการปรับปรุงร้านให้ทันสมัย จัดร้านให้สะอาด สว่าง และเป็นระเบียบ พร้อมเติมเต็มฟังก์ชันใหม่ๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านแฟชั่น หรือพื้นที่เอนเตอร์เทนเมนต์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ร้านค้าภูธรควรนำระบบจัดการหน้าร้าน (POS) เข้ามาใช้ รับชำระเงินดิจิทัล และทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงลูกค้ารุ่นใหม่ การสร้างเครือข่ายและการรวมกลุ่มกับร้านอื่นๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ และลดต้นทุนได้มากขึ้น สุดท้าย การผลักดันให้คนรุ่นใหม่หรือผู้บริหารมืออาชีพเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนกิจการ ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่สำคัญ เพราะพวกเขาสามารถนำความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนาให้ร้านค้าภูธรมีชีวิตชีวาและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยสรุปแล้ว จุดแข็งของร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรไม่ได้อยู่ที่เงินทุน แต่คือความเข้าใจในท้องถิ่น

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง สุดยอดค้าปลีก-ส่งภูธรรายได้พันล้านในไทย อ่านเพิ่มเติม »

“ซึม 😔 ซบเซา 😞 และเสี่ยง ⚠️” ฉายภาพเศรษฐกิจอีสาน📉 ผ่าน ISAN Economic Canvas 9 ช่อง บทวิเคราะห์ ISAN Outlook ประจำเดือน สิงหาคม 2568

ISAN Outlook บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสานประจำเดือน สิงหาคม 2568 เศรษฐกิจอีสานในเดือนสิงหาคม 2568 เผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง การบริโภคชะลอตัว หนี้สินครัวเรือนสูง และรายได้เกษตรตกต่ำ ขณะที่ภาคเอกชนไม่กล้าลงทุนจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและข้อพิพาทชายแดน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจอีสานอยู่ในภาวะเปราะบางและต้องการมาตรการรองรับอย่างเร่งด่วน สรุปภาพรวม เศรษฐกิจอีสานกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกภูมิภาคที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ส่งผลให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ในด้าน การบริโภคภาคครัวเรือน ประชาชนต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ภายใต้ภาระค่าครองชีพสูง รายได้เกษตรที่ลดลง และหนี้สินครัวเรือนที่ยังเรื้อรัง ขณะที่ ภาคการลงทุนเอกชน ก็ถูกบั่นทอนความเชื่อมั่น จากทั้งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การขยายตัวของ E-Commerce และการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ไปจนถึงปัจจัยการเมืองและความไม่แน่นอนในประเทศที่ทำให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจ นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ โดยเฉพาะ จีน ที่เป็นตลาดส่งออกและคู่ค้าเกษตรสำคัญ ยิ่งสร้างความท้าทายมากขึ้น เมื่อเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเงินฝืดและลดการนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยอย่างต่อเนื่อง กดดันราคาผลผลิตเกษตรของอีสานให้ตกต่ำต่อเนื่อง สถานการณ์ดังกล่าวยังซ้ำเติมด้วยปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา และมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ซึ่งกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและแรงงานในพื้นที่ เมื่อปัจจัยลบทั้งหลายผนวกรวมกัน เศรษฐกิจอีสานจึงตกอยู่ในสภาวะ “เปราะบาง” อย่างยิ่ง ทั้งในด้านการบริโภค การลงทุน และรายได้ภาคเกษตร หากไม่มีมาตรการเยียวยาและการปรับตัวเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ภูมิภาคอีสานมีความเสี่ยงที่จะ “ตกขบวน” การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป “บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ผ่านตาราง 9 ช่อง ISAN Economic Canvas (IEC)” ตารางเดียวที่สรุปครบทั้งภาพรวมเศรษฐกิจอีสาน ปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ไข การอ่านแนวนอน: มองจากมุมผู้ประสบปัญหา เช่น ประชาชน ธุรกิจ ฯลฯ ไล่จาก ปัญหา → สาเหตุ → แนวทางแก้ไข การอ่านแนวตั้ง: มองภาพรวมทั้งภูมิภาคว่า เกิดปัญหาอะไรบ้างในอีสาน → มาจากสาเหตุใด → ควรแก้อย่างไร สีและสัญลักษณ์ใน IEC ยังใช้ช่วยอธิบายในหน้ารายละเอียดเพิ่มเติม   ปัญหาภาคการบริโภค “เศรษฐกิจอีสาน ส.ค. 68 แย่ ความเชื่อมั่นต่ำ การบริโภคลด” ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาคอีสานปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของภาคเอกชน เดิมทีในช่วงปี 2565 ดัชนีมีแนวโน้มฟื้นตัวตามสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2567 ความเชื่อมั่นกลับอ่อนแรงลงจากความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศ และถูกซ้ำเติมเพิ่มเติมในปี 2568 จากแรงกดดันภายนอก เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าเกษตรที่ลดต่ำ และต้นทุนครัวเรือนที่สูงขึ้น ณ เดือนสิงหาคม 2568 ดัชนียังคงอยู่ในระดับต่ำและมีทิศทางถดถอยต่อเนื่องโดยไม่ปรากฏสัญญาณการฟื้นตัว ผู้บริโภคอีสานจึงใช้จ่ายด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เลือก “รัดเข็มขัด” เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ทำให้การบริโภคโดยรวมชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าราคาสูง สินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่อาจก่อภาระหนี้ระยะยาว เช่น รถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

“ซึม 😔 ซบเซา 😞 และเสี่ยง ⚠️” ฉายภาพเศรษฐกิจอีสาน📉 ผ่าน ISAN Economic Canvas 9 ช่อง บทวิเคราะห์ ISAN Outlook ประจำเดือน สิงหาคม 2568 อ่านเพิ่มเติม »

พาเเปิดเบิ่ง ปีงบประมาณ 69 “มหาวิทยาลัยรัฐ” อีสาน ม.ไหนได้งบมากสุด-น้อยสุด⁉️

มหาวิทยาลัย จังหวัด งบประมาณปี 2569 สัดส่วนงบประมาณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ขอนแก่น, หนองคาย 5,517 ล้านบาท 30.5% มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี  นครราชสีมา 2,110 ล้านบาท 11.6% มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  มหาสารคาม 1,529 ล้านบาท 8.4% มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน  นครราชสีมา, ขอนแก่น 1,521 ล้านบาท 8.4% มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  อุบลราชธานี 867 ล้านบาท 4.8% มหาวิทยาลัยนครพนม  นครพนม 753 ล้านบาท 4.2% มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี  อุดรธานี 663 ล้านบาท 3.7% มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี  อุบลราชธานี 644 ล้านบาท 3.6% มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา  นครราชสีมา 574 ล้านบาท 3.2% มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร  สกลนคร 551 ล้านบาท 3.0% มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์  สุรินทร์ 516 ล้านบาท 2.8% มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์  บุรีรัมย์ 510 ล้านบาท 2.8% มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม  มหาสารคาม 494 ล้านบาท 2.7% มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์  กาฬสินธุ์ 438 ล้านบาท 2.4% มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย  เลย 432 ล้านบาท 2.4% มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ  ศรีสะเกษ 370 ล้านบาท 2.0% มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ  ชัยภูมิ 324 ล้านบาท 1.8% มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด  ร้อยเอ็ด 304 ล้านบาท 1.7%   หมายเหตุ: ข้อมูลงมหาวิทยาลัยรัฐในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มา: สำนักงบประมาณ ปีงบประมาณ 2569   “มหาวิทยาลัยรัฐ” อีสาน ม.ไหนได้งบมากสุด-น้อยสุด⁉️  . . เมื่อพิจารณางบประมาณปี 2569 ของมหาวิทยาลัยรัฐในภาคอีสาน จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่และมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับงบประมาณสูงสุดถึง 5,517 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30.5% ของงบทั้งหมดในภาคอีสาน  . อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นมหาวิทยาลัยที่มีบุคลากรและนักศึกษาจำนวนมาก งบประมาณที่สูงจึงสะท้อนภาระค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนและสวัสดิการบุคลากรจำนวนมาก อีกทั้งยังมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ โดยเฉพาะการมีโรงพยาบาลศรีนครินทร์และคณะแพทยศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และการวิจัยสุขภาพในภูมิภาค ส่งผลให้งบประมาณด้านการดูแลประชาชนและการลงทุนเพื่อการวิจัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พาเเปิดเบิ่ง ปีงบประมาณ 69 “มหาวิทยาลัยรัฐ” อีสาน ม.ไหนได้งบมากสุด-น้อยสุด⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top