SHARP ADMIN

ชัยภูมิ เมืองแห่งภูมิประเทศธรรมชาติ🌱 🌳แดนอุทยาน และโมเดลเศรษฐกิจสีเขียวของอีสาน

#KeyInsight ท่องเที่ยวจังหวัดที่มีอุทธยานแห่งชาติมาที่สุด และ เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุด แนวทางการทำให้จังหวัดชัยภูมิมีศักยภาพในการเป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ชัยภูมิ: เมืองแห่งภูมิประเทศธรรมชาติ และโมเดลเศรษฐกิจสีเขียวของอีสาน จังหวัดชัยภูมิ อาจยังไม่ใช่ชื่อแรกที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกเมื่อนึกถึงภาคอีสาน แต่ในแง่ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ชัยภูมิกลับเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพมากที่สุดในกลุ่มจังหวัดตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในมิติของการเป็น “เมืองทุนทางธรรมชาติ” ที่มีความพร้อมในการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงนิเวศและขับเคลื่อนการเติบโตภายใต้แนวคิด Green Economy ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (2566–2570) . . 1.ท่องเที่ยวจังหวัดที่มีอุทธยานแห่งชาติมาที่สุด และ เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุด ชัยภูมิมีภูมิประเทศที่หลากหลายตั้งแต่ที่ราบสูงบนเทือกเขาภูแลนคา จนถึงพื้นที่ป่าและอุทยานแห่งชาติที่กระจายอยู่ทั่วทั้งจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม, อุทยานแห่งชาติไทรทอง, และภูเขียว–น้ำหนาว ซึ่งนับรวมแล้วทำให้ชัยภูมิกลายเป็นจังหวัดที่มีอุทยานแห่งชาติมากที่สุดในภาคอีสาน และเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีพื้นที่ป่าธรรมชาติสูงเป็นอันดับ 3 ของภาคอีสาน ครอบคลุมพื้นที่ป่ามากกว่า 2.5ล้านไร่ หรือประมาณ 31.5% ของพื้นที่จังหวัดทั้งหมด พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “มรดกทางธรรมชาติ” แต่นับเป็น “ทุนทางธรรมชาติ” ตามนิยามของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่สามารถนำไปต่อยอดทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างหลากหลาย โดยไม่ทำลายสมดุลของระบบนิเวศ แนวคิดนี้สอดคล้องกับ BCG Economyซึ่งรัฐบาลไทยใช้เป็นกรอบพัฒนาประเทศในระยะยาว ชัยภูมิเองจึงมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจสีเขียวที่เติบโตจากฐานทรัพยากรและวัฒนธรรมชุมชนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากข้อมูลโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัด ชัยภูมิยังมีแรงงานจำนวน 189,178 คน หรือกว่า40.7% อยู่ในภาคการเกษตรซึ่งยังต้องพึ่งพิงพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และอ้อย โดยเฉพาะมันสำปะหลังที่จังหวัดชัยภูมิมีการปลูกกว่า 879,394 ไร่ ซึ่งสามารถทำผลผลิตกว่า 19.3 แสนตัน ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 2 ของภาคอีสานเลยทีเดียว หากสามารถเปลี่ยนผ่านเกษตรกรเหล่านี้เข้าสู่ระบบเกษตรกรรมแบบยั่งยืนที่สอดคล้องกับระบบนิเวศ ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า แม้ชัยภูมิจะมีศักยภาพด้านธรรมชาติสูง แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งยังยากลำบาก อีกทั้งระบบขนส่งมวลชนยังไม่เอื้อต่อการกระจายนักท่องเที่ยวในระดับพื้นที่ ดังนั้น ความท้าทายเชิงนโยบายคือ การพัฒนาแบบ “ไม่เร่งรีบ” หรือ over-tourism แต่ใช้โมเดลแบบ Slow Tourism ที่ผสานกับอัตลักษณ์ชุมชนและมรดกธรรมชาติ หากจังหวัดสามารถผนวก “แนวนโยบาย BCG” กับ “ความเข้มแข็งของชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์” และปรับบทบาทของหน่วยงานท้องถิ่นให้มีบทบาทเชิงรุกในการบริหารจัดการทุนทางธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงในฐานะพื้นที่อนุรักษ์ แต่เป็นแหล่งผลิต แหล่งเรียนรู้ และแหล่งสร้างงาน ชัยภูมิจะไม่เพียงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงนิเวศเท่านั้น แต่จะกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาเมืองสีเขียวในภาคอีสาน ที่สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง . . 2.แนวทางการทำให้จังหวัดชัยภูมิมีศักยภาพในการเป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติ หนึ่งในจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ชัยภูมิมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเมืองเศรษฐกิจสีเขียว ก็คือ ความหลากหลายของระบบนิเวศและพื้นที่อนุรักษ์ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งจังหวัด โดยเฉพาะในรูปแบบของอุทยานแห่งชาติ ซึ่งชัยภูมินับได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีอุทยานแห่งชาติมากที่สุดในภาคอีสาน ทั้งในเชิงปริมาณและคุณค่าทางระบบนิเวศ โดยพื้นที่เหล่านี้ไม่ได้มีเพียงบทบาทเชิงอนุรักษ์ แต่ยังสามารถยกระดับให้เป็นฐานของเศรษฐกิจชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของชัยภูมิ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่นักท่องเที่ยวจะได้ชม “ทุ่งดอกกระเจียว” ซึ่งบานสะพรั่งทั่วลานหินงาม สร้างรายได้หมุนเวียนเข้าสู่ชุมชนในพื้นที่รอบอุทยานอย่างต่อเนื่อง ป่าหินงามยังเป็นจุดที่ผสานความงดงามของภูมิทัศน์กับกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เช่น การเดินป่า การชมผาหำหด และการเรียนรู้ระบบนิเวศของป่าเบญจพรรณ ขณะที่ อุทยานแห่งชาติไทรทอง โดดเด่นด้วย […]

ชัยภูมิ เมืองแห่งภูมิประเทศธรรมชาติ🌱 🌳แดนอุทยาน และโมเดลเศรษฐกิจสีเขียวของอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

มัดรวมให้อ่าน 25 เรื่องน่าฮู้ “กัมพูชา” จากบทความ และ Infographic จาก ISAN Insight

มัดรวมให้อ่าน 25 เรื่องน่าฮู้ “กัมพูชา” จากบทความ และ Infographic จาก ISAN Insight . 1⃣พามาย้อนเบิ่ง เหตุการข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนไทย – กัมพูชา เป็นมาจังได๋ https://www.facebook.com/photo/?fbid=876793844623243&set=a.648085124160784   2⃣สมรภูมิเดือด! เขตแดนทับซ้อน เปิดตำนาน “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต จุดชนวนไทย-กัมพูชา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=997128919256401&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   3⃣ส่องซอด🧐ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน https://www.facebook.com/photo/?fbid=997868795849080&set=pb.100068779069701.-2207520000   4⃣‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1001537368815556&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   5⃣พื้นที่ 4 จุดเดือด กลุ่ม ปราสาท ชายแดนไทย-กัมพูชา https://www.facebook.com/photo/?fbid=1002855708683722&set=pb.100068779069701.-2207520000   6⃣พามาเบิ่ง🧐การค้าชายแดนไทย – กัมพูชาเสี่ยงชะลอตัว หากต้องปิดด่านระยะยาว https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1006653441637282&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   7⃣🇰🇭Cambodia อาจเป็น (S)cambodia เมื่ออุตสาหกรรม Scam มีรายได้กว่า 40% ของ GDP กัมพูชา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1008027091499917&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   8⃣”ทัพไทย” เบอร์ 14 โลก🏆 พาส่องเบิ่ง “กองกำลังรบ” เพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง และบทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารี🪖🎖️ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1011724614463498&set=pb.100068779069701.-2207520000   9⃣พามาเบิ่ง🧐กัมพูชากับความมั่นคงด้านพลังงาน “เส้นบางๆ ของการพึ่งพา”🇰🇭 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1013995680903058&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   🔟พาเจาะลึกเบิ่ง “ปราสาทตาเมือนธม” 1 ใน 4 ปราสาทที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ในถิ่นไทย https://www.facebook.com/photo/?fbid=1029069072729052&set=pb.100068779069701.-2207520000   1⃣1⃣พามาเบิ่ง ไทยต้องแบก “ค่ารักษาต่างด้าว” กว่า 2.3 พันล้าน ภาระนี้ ชายแดนไทย-กัมพูชา อ่วมหนัก 277 ล้าน https://www.facebook.com/photo/?fbid=1031831969119429&set=pb.100068779069701.-2207520000   1⃣2⃣จับตา ‘ชายแดนเดือด’ ไทย-กัมพูชา พาเปิดเบิ่ง “กองกำลังรบ” และ “ยุทโธปกรณ์”💂‍♂️🪖ใครมีอะไรในมือ… พร้อมรับสถานการณ์ล่าสุด!🎖️ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1034282618874364&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   1⃣3⃣อาชญากรรมสงคราม🇰🇭ทำไมห้ามโจมตีโรงพยาบาลและพลเรือน? พามาฮู้จัก “อนุสัญญาเจนีวา” ที่โลกจับตา ในวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชานี้ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1034958075473485&set=pb.100068779069701.-2207520000   1⃣4⃣พาสรุป ไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่าง ไทย-กัมพูชา 24-25 ก.ค.2568 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1037967198505906&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3  

มัดรวมให้อ่าน 25 เรื่องน่าฮู้ “กัมพูชา” จากบทความ และ Infographic จาก ISAN Insight อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐เจ้าเวหาแห่งน่านฟ้า✈️เบอร์หนึ่งสายการบินแห่งชาติในอาเซียน

การบินไทย หนึ่งในห้าสายการบินผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรการบิน Star Alliance ในปี ค.ศ. 1997 ซึ่งปัจจุบันเป็นเครือข่ายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิกกว่า 25 สายการบิน เชื่อมต่อเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 186 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน การบินไทยมีอายุราว 65 ปี อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานในฐานะสายการบินแห่งชาติที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แม้ในปี พ.ศ. 2563 จะเกิดการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ธุรกิจการบินทั่วโลกหยุดชะงัก หลายสายการบินต้องปลดพนักงานจำนวนมาก บางแห่งจำเป็นต้องขายเครื่องบินออกเพราะค่าบำรุงรักษาสูงจากการจอดนิ่งและขาดผู้โดยสาร การบินไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน จนต้องยื่นคำร้องฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 นับเป็นหนึ่งในธุรกิจแห่งชาติรายใหญ่ที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยในขณะนั้นยังมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นเดิม ได้แก่ กระทรวงการคลัง 53.16% และผู้ถือหุ้นรายย่อย 46.84% หลังจากผ่านมากว่า 4 ปี นับตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ภายหลังบริษัทฯ ยื่นคำร้องขอยกเลิกเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 การกลับมาครั้งนี้เปรียบเสมือนการพิสูจน์ว่าการบินไทย แม้เผชิญวิกฤติหนักเพียงใด ก็สามารถฟันฝ่าและก้าวข้ามได้ แม้ต้องใช้เวลายาวนานในการฟื้นตัว นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ เปิดเผยว่า “ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการสำคัญตามแผนฟื้นฟูจนบรรลุผลในหลายด้าน อาทิ การปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มความคล่องตัว การขยายเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมภูมิภาคต่าง ๆ การปรับปรุงฝูงบินและห้องโดยสาร การพัฒนาระบบดิจิทัล และยกระดับมาตรฐานการให้บริการในทุกจุด ทั้งนี้เพื่อยกระดับการบินไทยสู่การเป็นสายการบินชั้นนำในภูมิภาค โดยมีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งในด้านการสร้างรายได้ การควบคุมต้นทุน และการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการแข่งขันได้รวดเร็วและคล่องตัวยิ่งขึ้น” การกลับมาครั้งนี้ของการบินไทย แตกต่างจากอดีตที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้นมากกว่า 50% ปัจจุบัน แม้กระทรวงการคลังยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยจำนวน 11 พันล้านหุ้น แต่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 38.9% ขณะที่ผู้ถือหุ้นรองลงมาคือกลุ่มสถาบันการเงินต่างๆ การที่การบินไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ นักลงทุน หลังจากหุ้นการบินไทย (THAI) ถูกระงับการซื้อขายยาวนานตั้งแต่เริ่มกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ก็ได้กลับมาเปิดซื้อขายอีกครั้งในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ที่ราคาเปิด 10.50 บาทต่อหุ้น และปรับขึ้นจนราคาปิด ณ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 17.80 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้การบินไทยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ราว 5 แสนล้านบาท ติดอันดับหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศ การกลับมาของการบินไทยในสถานะที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เปรียบเสมือนการปลดพันธนาการจาก พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ซึ่งเดิมทำให้การดำเนินการต่างๆ เต็มไปด้วยความล่าช้า เงื่อนไขทางกฎหมาย

พามาเบิ่ง🧐เจ้าเวหาแห่งน่านฟ้า✈️เบอร์หนึ่งสายการบินแห่งชาติในอาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

กว่า 3 ทศวรรษแล้ว ทำไมกัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิดยังไม่หมดและอะไรคือข้อจำกัด?

ข้อมูลที่คุณมีว่าเก็บกู้ได้เพียง 10% อาจเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างเก่า หากอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดของ องค์กรปฏิบัติการทุ่นระเบิดและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแห่งกัมพูชา (CMAA) กัมพูชาได้เก็บกู้และเคลียร์พื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดตกค้างจากสงครามไปได้แล้วเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่ยังคงเหลือพื้นที่ที่ปนเปื้อนอยู่อีกมาก   ภาพรวมสถานการณ์ล่าสุด ความคืบหน้า: นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ถึงปัจจุบัน กัมพูชาได้เคลียร์พื้นที่ที่ปนเปื้อนกับระเบิดไปแล้วกว่า 2,794 ตารางกิโลเมตร และทำลายทุ่นระเบิดและยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด (UXO) ไปแล้วหลายล้านชิ้น ทำให้พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัยและสามารถนำกลับมาใช้เพื่อการเกษตรและพัฒนาชุมชนได้ เป้าหมาย: รัฐบาลกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศ ปลอดทุ่นระเบิดภายในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) พื้นที่ที่ยังคงมีความเสี่ยง: แม้จะมีความคืบหน้าไปมาก แต่คาดว่ายังคงมีพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดเหลืออยู่อีกประมาณ 538 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ปนเปื้อนวัตถุระเบิดอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่ทุ่นระเบิด) อีกประมาณ 1,323 ตารางกิโลเมตร   เหตุผลหลักที่ทำให้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในกัมพูชาเป็นไปอย่างยากลำบากและใช้เวลานาน แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติและการลงนามในสนธิสัญญาต่างๆ แต่ความท้าทายในการเก็บกู้ระเบิดในกัมพูชามีความซับซ้อนหลายมิติ ดังนี้ครับ   1. ขนาดและความหนาแน่นของการปนเปื้อนที่มหาศาล มรดกจากสงครามหลายทศวรรษ: กัมพูชาต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งภายในประเทศมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ทำให้มีการใช้ทุ่นระเบิดและระเบิดพวง (Cluster Munitions) อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ แนวรบ K-5: ในช่วงทศวรรษ 1980 มีการวางทุ่นระเบิดจำนวนมหาศาลตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เรียกว่า “แนวรบ K-5” ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดหนาแน่นที่สุดในโลก ทำให้การเก็บกู้ทำได้ยากและอันตรายอย่างยิ่ง ไม่มีแผนที่ที่ชัดเจน: ทุ่นระเบิดส่วนใหญ่ถูกวางโดยไม่มีการบันทึกตำแหน่งที่แม่นยำ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้วิธีการสำรวจและเก็บกู้แบบ “ปูพรม” ซึ่งต้องใช้เวลาและทรัพยากรมหาศาล   2. ความซับซ้อนทางเทคนิคและภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมที่ท้าทาย: พื้นที่ที่ปนเปื้อนจำนวนมากอยู่ในป่าทึบ ภูเขา และพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการเก็บกู้ ชนิดของระเบิดที่หลากหลาย: มีการใช้ทุ่นระเบิดหลายชนิด ทั้งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทุ่นระเบิดต่อสู้รถถัง บางชนิดทำจากพลาสติกซึ่งยากต่อการตรวจจับด้วยเครื่องมือโลหะ การเสื่อมสภาพของวัตถุระเบิด: วัตถุระเบิดที่ฝังอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานอาจเสื่อมสภาพและมีความไวต่อการระเบิดมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงให้กับเจ้าหน้าที่เก็บกู้   3. ข้อจำกัดด้านเงินทุนและทรัพยากร ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก: การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นภารกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ตั้งแต่ค่าจ้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ค่าอุปกรณ์ป้องกัน อุปกรณ์ตรวจจับ ไปจนถึงค่าดำเนินการในพื้นที่ ความไม่แน่นอนของเงินทุนสนับสนุน: แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจากนานาชาติ (เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป) แต่เงินทุนเหล่านี้อาจมีความไม่แน่นอนและไม่ต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและนโยบายของผู้บริจาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวางแผนระยะยาว   4. ผลกระทบจากการลงนามในอนุสัญญาออตตาวา ด้านบวก: การลงนามใน อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และว่าด้วยการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ในปี พ.ศ. 2540 เป็นการแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนของกัมพูชา และช่วยระดมการสนับสนุนจากนานาชาติได้เป็นอย่างดี ข้อจำกัด: อนุสัญญาฯ เน้นไปที่ “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” เป็นหลัก แต่ในกัมพูชายังมีปัญหาจาก “วัตถุระเบิดตกค้างจากสงคราม (ERW)” อื่นๆ เช่น

กว่า 3 ทศวรรษแล้ว ทำไมกัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิดยังไม่หมดและอะไรคือข้อจำกัด? อ่านเพิ่มเติม »

เปิดกลยุทธ์ การเชื่อมเมืองหลัก เมืองรอง ให้กลายเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 4 พันล้าน

CEA ขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์ 2568 ดันเมืองรองใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างโอกาสใหม่ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 4,382 ล้านบาท และพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ 17 จังหวัดทั่วประเทศ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคที่ “ความคิดสร้างสรรค์” และ “ทุนวัฒนธรรม” กลายเป็นทรัพยากรสำคัญ          ทางเศรษฐกิจ ทำให้เมืองต่าง ๆ หันมาใช้จุดแข็งทางด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งอาชีพ รายได้ และยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เมืองให้มีความสามารถทางการแข่งขัน              ในระดับโลก ด้วยความสำคัญนี้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่อย่างเข้มข้น ผ่านการจัดเทศกาลสร้างสรรค์และการขับเคลื่อนเครือข่ายย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประเทศไทย หรือ Thailand Creative District Network (TCDN) พร้อมพัฒนา “คน” ให้เป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ผ่านการบ่มเพาะหลักสูตรพัฒนาเมืองและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผสานทุนวัฒนธรรมเข้ากับนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับพลังสร้างสรรค์ระดับท้องถิ่นให้เป็นพลังทางเศรษฐกิจทั้งในมิติของผู้คน ธุรกิจ และพื้นที่ ผลักดันให้ทุกเมืองมีโอกาสเติบโต และทุกชุมชนสามารถเป็นเจ้าของ “แบรนด์เมือง” ได้จากรากฐานของตนเอง CEA คาดว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการจัดเทศกาลสร้างสรรค์ในปี 2568 มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 4,382 ล้านบาท และพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ไม่น้อยกว่า 17 จังหวัดทั่วประเทศ 6 จังหวัด สนับสนุน เทศกาลเมืองสร้างสรรค์ทั้งจาก CEA และ TCEB ศรีสะเกษ งานซาวสีเกด 2567 (Sound of Sisaket 2024) เทศกาลศิลปะและดนตรี จากนั้นยังชนะเลิศอันดับ 2 โครงการประกวดอวดเมือง จาก TCEB รับทุนต่อเนื่อง 3 ปี รวม 45 ล้าน นครราชสีมา งาน K- Battle งานประกวดการแข่งขัน Battle นานาชาติ จากนั้นยังชนะเลิศอันดับ 1 โครงการประกวดอวดเมือง จาก TCEB รับทุนต่อเนื่อง 3 ปี รวม 45 ล้าน อุบลราชธานี คัมโฮม งานศิลปะ+งานแห่เทียนพรรษาประจำปี ขอนแก่น Columbo Creative Community Festival ISAN Creative Festival  เลย เทศกาลเลยอาร์ตเฟส  อุดรธานี เทศกาล Udon

เปิดกลยุทธ์ การเชื่อมเมืองหลัก เมืองรอง ให้กลายเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 4 พันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง โคราชโกยกำไร เปิด 10 บริษัททำเงินกระจายแดนย่าโม

พามาเบิ่ง TOP 10 อันดับ บริษัทในโคราชที่ทำกำไรสูงสุด   ชื่อบริษัท วัตถุประสงค์ กำไร (ล้านบาท) %YoY รายได้ (ล้านบาท) %YoY สัญชาติ บริษัท แอสเตโม โคราช เบรก ซิสเตมส์ จำกัด ผลิตชุดเบรคยานยนต์ 1,139.5 28.8 7,810.3 0.7 ญี่ปุ่น บริษัท พี.ซี.เอส. แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ 674.9 63.3 3,285.1 -19.3 ไทย บริษัท ชิน-เอ ไฮ เทค จำกัด ผลิตผลิตภัณฑ์โลหะอลูมิเนียม และอิเล็คทรอนิคส์ 621.1 11.2 4,690.6 11.1 ญี่ปุ่น บริษัท เอ็มเอ็มไอ พรีซิชั่น แอสเซมบลิ (ไทยแลนด์) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 598.9 29.7 4,390.7 0.3 สิงคโปร์ บริษัท แอสเตโม โคราช จำกัด ผลิตและจำหน่ายโช้คอัพ และเบรครถยนต์ 538.8 8.1 4,354.4 2.9 ญี่ปุ่น บริษัท นิชิกาว่า เตชาพลาเลิศ คูปเปอร์ จำกัด ผลิตยางขอบกระจกรถยนต์ และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ 480.6 -10.4 2,242.2 -11.6 ญี่ปุ่น บริษัท อีตัน อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตที่จับด้ามไม้กอล์ฟทำด้วยยาง 478.2 5.2 1,872.0 -12.6 สวิซ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพ ราชสีมา จำกัด โรงพยาบาล 307.0 -9.0 2,685.9 6.9 ไทย บริษัท สงวนวงษ์สตาร์ช จำกัด ผลิตแป้งมันสำปะหลังดัดแปร 301.3 70.8 4,965.7 -3.3 ไทย บริษัท คาสิโอ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งออกนาฬิกาอิเล็คทรอนิคส์สำเร็จรูป 291.5 1.5 8,171.7 2.3 ญี่ปุ่น หมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงในภาคอีสาน การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์

พามาเบิ่ง โคราชโกยกำไร เปิด 10 บริษัททำเงินกระจายแดนย่าโม อ่านเพิ่มเติม »

Soft-Power Heritage อันดับ 8 ของโลก ไทยจะเปลี่ยน “มรดกทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ได้อย่างไร?

Soft Power ไทยสุดปัง! รั้งอันดับ 1 ประเทศรวยวัฒนธรรมที่สุดในเอเชีย และ อันดับ 8 ของโลกจาก U.S.News & World Report 🇹🇭Soft Power ไทยสุดปัง! ครองแชมป์ประเทศ “รวยวัฒนธรรมที่สุดในเอเชีย” เมื่อวัฒนธรรมกลายเป็นพลังทางเศรษฐกิจที่สามารถจับต้องได้ ไทยกำลังก้าวสู่บทบาทผู้นำแห่งเอเชียด้วยเสน่ห์ที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ . ในโลกยุคใหม่ที่พลังอ่อน (Soft Power) มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าพลังแข็ง (Hard Power) ชื่อเสียงของประเทศไม่ได้วัดกันแค่จำนวนฐานทัพหรือเทคโนโลยีล้ำหน้าอีกต่อไป แต่กลับวัดกันที่ “เสน่ห์” ที่ประเทศนั้นๆ สามารถส่งออกไปยังใจคนทั่วโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ อาหาร ดนตรี หรือไลฟ์สไตล์ . และล่าสุด ประเทศไทย ก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งชาติ ด้วยการถูกจัดอันดับให้เป็น ประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในเอเชีย และติดอันดับ 8 ของโลก จากการจัดอันดับโดย U.S. News & World Report ปี 2024 จากทั้งหมด 89 ประเทศทั่วโลก . โดยใช้เกณฑ์การประเมินที่เข้มข้น ครอบคลุม 5 มิติหลัก ได้แก่ การเข้าถึงวัฒนธรรม (Cultural Accessibility) ประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง (Rich History) สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม (Cultural Attractions) ความน่าดึงดูดทางภูมิศาสตร์ (Geographical Appeal) ซึ่งประเทศไทยโดดเด่นในทุกมิติ โดยเฉพาะในเรื่องของ อาหาร การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และโบราณสถาน ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ตราตรึงใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก . ไม่เพียงเท่านั้น ไทยยังได้รับคำชมว่าเป็น “ประเทศที่มีสมดุลระหว่างความร่วมสมัยกับมรดกดั้งเดิม” บ้านเมืองทันสมัยที่ตั้งอยู่เคียงข้างวัดวาอารามเก่าแก่ได้อย่างกลมกลืน . ไทย = ผู้นำวัฒนธรรมแห่งเอเชีย เมื่อดูเฉพาะในระดับทวีปเอเชีย ไทยก็ ครองอันดับ 1 ทิ้งห่างประเทศที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่งเช่นกันอย่างอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งติดตามมาในอันดับ 2-4 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างก็ติดอันดับเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ในด้านวัฒนธรรมนั่นเอง . อันดับประเทศในเอเชีย จากการจัดอันดับ 89 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ 1. ไทย #8 ของโลก 2. อินเดีย #10 ของโลก 3. ญี่ปุ่น #11 ของโลก 4. จีน #13 ของโลก 5. อินโดนีเซีย

Soft-Power Heritage อันดับ 8 ของโลก ไทยจะเปลี่ยน “มรดกทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ได้อย่างไร? อ่านเพิ่มเติม »

ทรัมป์เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน 🇹🇭ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก 🇺🇸สหรัฐ-จีน🇨🇳 ชิงอำนาจเหนือกัมพูชา🇰🇭

ทรัมป์ฉวยโอกาส?🤝จากขอพิพาทชายแดน ไทย-กัมพูชา เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์สหรัฐฯ-จีน ที่ไทยจำใจต้องเข้าร่วม ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกที่ดึงดูดความสนใจจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งขู่จะระงับการเจรจาทางการค้าหากการต่อสู้ไม่ยุติลง ความขัดแย้งนี้มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องเขตแดนและคำตัดสินของศาลโลกเกี่ยวกับ ‘ปราสาทพระวิหาร’ การเข้าแทรกแซงของทรัมป์ถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวตามหลัก “การทูตเชิงธุรกรรม (Transaction Diplomacy)” ที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากกว่าการแสวงหาสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลมาจาก ‘จุดอ่อนของอาเซียน’ ที่ไม่สามารถจัดการความขัดแย้งภายในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะบทบาทของ 🇨🇳จีนในกัมพูชา🇰🇭 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนและการพัฒนา ⚓ฐานทัพเรือเรียม ซึ่งเป็นการขยายอิทธิพลเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค ทำให้ความขัดแย้งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามเย็นยุคใหม่” ระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ กำลังขยายอิทธิพลในเส้นทางการเดินเรือ อินโดจีน โดยเฉพาะท่าทีของสหรัฐฯ ต่อเส้นเดินเรือช่องแคบ มะละกา จากท่าทีของ ฮุนเซน ที่โพสต์ภาพถ่ายคู่กับ ทรัมป์ และการมีแหล่งข่าวว่า ฮุนเซน บินเข้าจีนแต่ถูกปฏิเสธลงจอด ก็พอจะเห็นได้ว่า ฮุนเซน กำลังคลายมือจากจีน ไปหาสหรัฐฯ ผ่านการ #ดีล ผลประโยชน์ สหรัฐฯ จึงอาจฉวยโอกาสนี้ ในการดึงกัมพูชากลับเข้าสู่อิทธิพลของสหรัฐฯ และดึงกัมพูชาออกจากจีน ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะ #รัฐกันชน ท่ามกลางมหาอำนาจสองฝ่าย จากเรื่อง “การปักปันเขตแดน” ที่คุยกันระหว่างประเทศ เจรจาในทวิภาคีอาเซียนได้ สู่การเปิดที่ประชุมฉุกเฉินของ UNSC ก็ได้เปลี่ยนสมรภูมิที่แท้จริงจาก ชายแดน สู่ โต๊ะการฑูตสากล 🇨🇳จีน-กัมพูชา จีนมีหนี้และอิทธิพลเป็นข้อต่อรอง 🇺🇸สหรัฐฯ-กัมพูชา มีการค้าและภาษี รวมถึงการทหารเป็นข้อต่อรอง . ท่ามกลางสถานการณ์ที่นี้ ไทย จะต้องเผชิญกับศึกหลายด้าน ทั้งตลาดหุ้นที่ผันผวนจาก การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ขีดเส้นตาย 1 ส.ค.นี้, การท่องเที่ยวที่หดตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกเที่ยวบิน จากสถานการณ์การปะทะชายแดน สำหรับบุคคลทั่วไปและนักลงทุนในการรับมือกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้วยการ กระจายความเสี่ยง และ ลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ เป็นต้น   https://youtu.be/F9eRul5cElg   สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย ต้องแลกด้วยอะไร ใครได้ใครเสีย?

ทรัมป์เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน 🇹🇭ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก 🇺🇸สหรัฐ-จีน🇨🇳 ชิงอำนาจเหนือกัมพูชา🇰🇭 อ่านเพิ่มเติม »

“ไทย-กัมพูชา” เห็นพ้อง 13 ข้อตกลงหยุดยิง🤝จับมือลงนามผลประชุม GBC เปิด 13 ข้อตกลงมีอะไรบ้าง?

ผลประชุม GBC ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ทั้ง 2 ชาติ เห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ผู้แทน 2 ชาติ ลงนามบันทึกผลการประชุม หวังคลี่คลาย สถานการณ์ชายแดน นำมาซึ่งสันติภาพ วันนี้ (7 ส.ค.2568) ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ฝ่ายไทยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าคณะ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามี พลเอกเตีย เซ ฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ อีกทั้งมีผู้แทนของประเทศผู้ร่วมสังเกตการณ์ ได้แก่ มาเลเซีย สหรัฐฯ และจีน เข้าร่วมด้วย โดยไทยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนคนไทย และนำกัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจาสองฝ่าย ร่วมพิจารณาข้อปฏิบัติตาม ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 13.43 น.ตามเวลาประเทศไทย การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง โดย 2 ฝ่ายเห็นพ้องแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย ร่วมจัดทำกับฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ฝ่ายกัมพูชา เปิด 13 ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องรักษาสันติภาพ เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ 2 ชาติ เห็นพร้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน โดยมี สาระสำคัญ ดังนี้ . 1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี 2. รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย 3. ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา 4. ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่

“ไทย-กัมพูชา” เห็นพ้อง 13 ข้อตกลงหยุดยิง🤝จับมือลงนามผลประชุม GBC เปิด 13 ข้อตกลงมีอะไรบ้าง? อ่านเพิ่มเติม »

นครพนม จากเมืองท่าริมโขง สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งแห่งอีสานตอนบน

“นครพนม” จังหวัดริมฝั่งโขงแห่งภาคอีสานตอนบนของประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ที่เมื่อพูดถึง หลายคนจะนึกถึง “พระธาตุพนม” พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองอันเก่าแก่ตั้งแต่ต้นพุทธกาลอันเป็นที่สักการะของคนในจังหวัดและทั้งประเทศ นอกจากพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ที่ควรค่าแก่การไปเยือนเมื่อไปจังหวัดนครพนม ยกตัวอย่างเช่น พระธาตุเรณู อีกหนึ่งพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองที่งดงามโดดเด่น ตั้งอยู่ที่อำเภอเรณูนคร หรือจะเป็นสถานที่แลนด์มาร์ก อย่างริมฝั่งโขง ที่มีบรรยากาศและวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงและทิวเขาลักษณะลูกคลื่นของฝั่งลาวทอดยาวสุดสายตา ควรค่าแก่การมาเดินเล่นรับแดดอ่อนๆยามเช้า หรือมาถ่ายรูปชมวิวยามเย็นก็สวยงาม   ในด้านเศรษฐกิจ ปี 2566 นครพนมมีรายได้ต่อหัวประมาณ 96,731 บาท และผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) มีมูลค่า  52,184 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2564 ประมาณ 3% โดยสัดส่วนของโครงสร้างเศรษฐกิจจะมีภาคบริการเป็นส่วนใหญ่ โดยมีโครงสร้างเป็นดังนี้ – ภาคการบริการ คิดเป็น 49%  – ภาคการเกษตร คิดเป็น 30%  – ภาคการค้า คิดเป็น 12%  – ภาคการผลิต คิดเป็น 9%    ในปี 2567 จังหวัดนครพนมมีจำนวนผู้ประกอบการ SME ทั้งสิ้น 25,000 ราย ซึ่งในปี 2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 35,580.83 ล้านบาท โดยตัวอย่างบริษัทใหญ่ในนครพนม เช่น บริษัท มิ่งเจียว ซึ่งอยู่ในหมวดธุรกิจการขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น มีรายได้รวมในปี 2565 จำนวน 1,582 ล้านบาท เมืองนครพนมยังเป็นที่ตั้งของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 โดยเชื่อมต่อกับแขวงคำม่วนของประเทศลาว มีความยาวรวม 780 เมตร มีช่องลอดกว้าง 60 เมตร สูง 10 เมตร 2 ช่วง ความกว้าง สะพาน 13 เมตร และมีการช่องจราจร 2 ช่อง ซึ่งเปิดใช้งานวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 โดยสะพานมีทิวทัศน์เป็นแนวเขาที่สวยงาม ซึ่งสะพานมิตรภาพ แห่งที่3 เป็นเส้นทางการคมนาคมด้านการท่องเที่ยวและด้านการค้าที่สำคัญ ระหว่างไทย เวียดนามและทางใต้ของจีน    โดยสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 เป็น 1 ใน 19 ด่านการค้าถาวรระหว่างไทยกับลาว และอีกด่านการค้าถาวรของนครพนมคือ ด่าน อ.เมืองนครพนม-ท่าแขก นอกจากนั้นจังหวัดยังมีจุดผ่อนปรนการค้าอีก 4 แห่ง ได้แก่ จุดผ่อนปรนบ้านหนาดท่า จุดผ่อนปรนบ้านโพธิ์ไทร จุดผ่อนปรนบ้านธาตุพนมสามัคคี และจุดผ่อนปรนบ้านท่าอุเทน ซึ่งจากการที่มีด่านการค้าหลายแห่ง ส่งผลให้การค้าระหว่างนครพนมกับลาวมีความคึกตัก โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าไปลาว อยู่ที่ 6,705

นครพนม จากเมืองท่าริมโขง สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งแห่งอีสานตอนบน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top