SHARP ADMIN

พามาเบิ่ง พื้นที่อำเภอเมืองทั้ง 20 จังหวัดของอีสาน “ใหญ่ส่ำได๋”

. ภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเรา ทุกท่านต่างทราบดีว่าเป็นภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทั้งด้านพื้นที่และจำนวนประชากร โดยอำเภอเมืองในแต่ละจังหวัดมักเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และการปกครอง การศึกษาเกี่ยวกับขนาดพื้นที่ของอำเภอเมืองในภาคอีสานจึงช่วยให้เราเข้าใจถึงความแตกต่างของศักยภาพในแต่ละจังหวัดได้ชัดเจนมากขึ้น   ทางอีสานอินไซต์จึงจะพาทุกท่านมาดูขนาดพื้นที่อำเภอเมืองใน 20 จังหวัดของภาคอีสานกันว่ามีพื้นที่เท่าไหร่กันบ้าง และหากพิจารณาถึงพื้นที่และศักยภาพของเศรษฐกิจพบว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างปฎิเสธไม่ได้ ตัวอย่างเช่น อำเภอเมืองของจังหวัดสกลนครมีพื้นที่กว้างขวางถึง 1,496 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 16% ของพื้นที่ทั้งจังหวัด ทำให้อำเภอนี้สามารถการพัฒนาทั้งในด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมได้ด้วย ในขณะที่อำเภอเมืองของจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีพื้นที่เพียง 558 ตารางกิโลเมตร หรือ 10% ของพื้นที่จังหวัด อาจมีความเหมาะสมสำหรับการพัฒนาชุมชนเมืองและบริการด้านการศึกษา   อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ จังหวัดนครราชสีมา อำเภอเมืองมีพื้นที่ 853 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 5% ของทั้งจังหวัด ซึ่งสะท้อนถึงความหนาแน่นในพื้นที่ชุมชนและความพร้อมด้านเศรษฐกิจ ส่วนอำเภอเมืองของจังหวัดบึงกาฬ มีพื้นที่เพียง 406 ตารางกิโลเมตร หรือ 3% ของจังหวัด แม้จะเล็กกว่า แต่ยังมีศักยภาพในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงเกษตรและการท่องเที่ยว   ฉนั้นในการศึกษาขนาดพื้นที่ของอำเภอเมืองใน 20 จังหวัดของภาคอีสานจะช่วยให้เห็นถึงความแตกต่างและเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ข้อมูลนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ที่สำคัญคือยังชี้ให้เห็นโอกาสในการวางแผนและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละจังหวัดอีกด้วย . อ้างอิงจาก: กระทรวงพลังงาน . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ขนาดอำเภอ #ขนาดอำเภออีสาน #อำเภอเมือง #อำเภอในอีสาน

พามาเบิ่ง ย้อนรอยข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนไทย – กัมพูชา

ISAN Insight สิพามาย้อนเบิ่ง เหตุการข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนไทย – กัมพูชา เป็นมาจังได๋   . ไทย กับกัมพูชานับว่าเป็นเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในภาคอีสาน ที่มีพื้นที่พรมแดนติดกับประเทศกัมพูชา ทำให้คนในพื้นที่ชายแดนในภาคอีสานมีการใช้วัฒนธรรมบางส่วนร่วมกันกับกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็น ด้านประเพณี ศาสนา รวมถึงสถาปัตยกรรม แต่ยุคสมัยล่าอาณานิคม ไทยได้สูญเสียดินแดนบางส่วนในกัมพูชา ณ ปัจจุบันให้กับฝรั่งเศสไป ทำให้เกิดการปิดกั้นด้านการติดต่อระหว่างประเทศของคนในพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นเวลากว่า 90 ปีที่กัมพูชาอยู่ภายใต้ฝรั่งเศส   . ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กัมพูชาได้ประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส และได้ยึดเอาเส้นแบ่งเขตแดนที่เคยอยู่ในสนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศสเป็นหมุดในการขีดเส้นเขตแดนประเทศโดยใช้เส้นสันปันน้ำที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้น ซึ่งในบางกรณีไทยไม่ได้ยอมรับแผนที่เหล่านั้นอย่างเป็นทางการ ทำให้ในแถบชายแดนบางพื้นที่กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ต้องมีการเจรจาตกลงกัน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ    . ข้อพิพาทคดีปราสาทพระวิหารที่ถูกตัดสินไปเมื่อปี พ.ศ.2505  โดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เริ่มจากมีบทความในปี พ.ศ.2501 ที่พาดพิงจากกัมพูชาถึงการใช้กำลังทหารเข้ายึดปราสาทเขาพระวิหารโดยไทย และสื่อวิทยุจากฝั่งกัมพูชาก็พยายามผลักดันเรื่องนี้จนเกิดกระแส การทวงคืนปราสาทพระวิหารจากไทย แม้ว่าจะยังไม่รุนแรงมากนัก แต่เนื่องจากอาชญกรรมในแถบชายแดนที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้เสนอให้มีการดำเนินการตรวจสอบเส้นเขตแดน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลกัมพูชา ทำให้ความสัมพันธ์เริ่มทรุดลงอย่างรวดเร็ว    ต่อมารัฐบาลของไทยได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดที่ติดกับกัมพูชา อีกทั้งยังมีการเดินขบวนของคนไทยเพื่อประท้วงกัมพูชาในการอ้างกรรมสิทธิเหนือเขาพระวิหาร และมีการโจมตีโต้ตอบกันระหว่างสื่ออยู่เรื่อยๆ นำไปสู่การตัดสัมพันธ์ทางการทูตและฟ้องร้องต่อศาลโลกในที่สุด   ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินคดีของเขาพระวิหารด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 และยกให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาในที่สุด เนื่องจากในอดีตไทยเคยพบว่ามีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนนี้อยู่แล้ว แต่ยังคงใช้แผนที่ที่แสดงว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาอยู่ และพิจารณาว่ารัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ยอมรับว่า ฝรั่งเศส มีอำนาจอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นเวลายาวนานถึง 50 ปีมาแล้ว จึงทำให้เป็นการยอมรับไปโดยปริยาย   . กรณีพิพาทพรมแดนไทย – กัมพูชา พ.ศ.2554 นับเป็นการพิพาทระหว่างประเทศที่ค่อนข้างรุนแรงระหว่างไทยและกัมพูชา เนื่องจากเกิดการปะทะกันทางกำลังทหารระหว่าง 2 ประเทศ และหลายพื้นที่ชายแดนในอีสานใต้ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติสงคราม อีกทั้งยังมีทหารและพลเรือนเสียชีวิตหลายราย    เหตุการณ์ความขัดแย้งเริ่มต้นจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของทางกัมพูชา ซึ่งได้ขีดเส้นล้ำเข้ามายังพื้นที่ทับซ้อนที่บริเวณพื้นที่รอบๆปราสาท ซึ่งทางไทยได้ออกมาโต้แย้งและเกิดการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบด้านการแบ่งเขตแดนอีกครั้ง และทางกัมพูชาจึงได้เปลี่ยนแผนที่แบ่งเขตแดนใหม่ซึ่งจดทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นโดยไม่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย โดยที่ทางสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้มีการพิจารณาเห็นชอบแล้ว   ต่อมาได้มีการเดินประท้วงจากฝั่งไทยเนื่องจากไม่ได้มีการเปิดเผยแผนที่ให้ประชาชนรับรู้ในกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร และได้รวบรวมรายชื่อเพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของทางกัมพูชา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการขึ้นทะเบียนไว้ได้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการตั้งข้อสงสัยของการตัดสินมากมายจากประชาชนชาวไทย ลุกลามไปจนถึงการปะทะกันทางกำลังทหารของทั้ง 2 ประเทศครั้งแรกภายในวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552 อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงหลายต่อหลายครั้งและเกิดการปะทะกันในที่ชุมนุมจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปจำนวนหนึ่ง    เหตุการณ์ปะทะกันด้วยกำลังทหารในพื้นที่ชายแดนลากยาวไปจนกระทั่งปี 2554 ที่กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 และยื่นคำร้องต่อศาลเดียวกันเพื่อขอให้ศาลระบุมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อรักษาสิทธิของกัมพูชาอย่างเร่งด่วน ซึ่งปัจจุบันคดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างกระบวนพิจารณาของศาล   . พื้นที่ทับซ้อนในแถบอีสานใต้ ณ ปัจจุบัน ปัจจุบันพื้นที่ในแถบชายแดนไทย – กัมพูชาในจังหวัด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมภ์ยังคงมีพื้นที่ทับซ้อนที่ไม่ได้มีเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจนอยู่ ซึ่งได้มีการสำรวจและกำกับดูแลจากหลายหน่วยงานของภาครัฐอยู่เรื่อยๆ อีกทั้งชาวบ้านในแถบชายแดนก็ยังมีการใช้พื้นที่ร่วมกัน ทั้งในการทำเกษตรกรรมรวมไปถึงการค้าชายแดน   . พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และความกังวลของคนไทยในเรื่องเกาะกูด การขีดเส้นแบ่งทางทะเลนับว่าเป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายๆประเทศต้องเผชิญคล้ายๆกัน เนื่องจากความต้องการในการใช้ทรัพยากรที่อยู่ใต้ทะเล …

พามาเบิ่ง ย้อนรอยข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนไทย – กัมพูชา อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 6 กลุ่มน้ำตาลชั้นนำของไทย มีโรงงานน้ำตาลอยู่ที่ไหนในอีสานบ้าง

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของโลก โดยในปี 2566 ไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกน้ำตาลอันดับ 2 ของโลก ด้วยมูลค่าการส่งออกสูงถึง 4,506 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองเพียงบราซิลที่เป็นผู้นำด้านการส่งออกน้ำตาลของโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 15,982 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับคู่แข่งที่สำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกน้ำตาลใกล้เคียงกับไทย ได้แก่ อินเดียและเยอรมนี ซึ่งมูลค่าการส่งออกของทั้งสองประเทศมีการเปลี่ยนแปลงลำดับกันในแต่ละปีขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิตและการส่งออกในช่วงเวลานั้น ๆ  เมื่อพิจารณาด้านผลผลิตอ้อยต่อไร่ จะพบว่าประเทศที่มีผลผลิตอ้อยต่อไร่สูงสุดไม่ได้เป็นประเทศที่ส่งออกน้ำตาลมากที่สุดเสมอไป โดยในปี 2565 ประเทศเปรูมีผลผลิตอ้อยต่อไร่สูงที่สุดในโลกอยู่ที่ 16.88 ตันต่อไร่ ขณะที่บราซิล ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำตาลอันดับ 1 ของโลก มีผลผลิตอ้อยต่อไร่อยู่ที่ 11.74 ตันต่อไร่ อินเดีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ มีผลผลิตอยู่ที่ 13.59 ตันต่อไร่ ส่วนประเทศไทยมีผลผลิตอ้อยต่อไร่อยู่ที่ 9.66 ตันต่อไร่ จะเห็นได้ว่าประเทศที่ผลผลิตต่อไร่สูงไม่ได้แปลว่าจะส่งออกน้ำตาลได้สูงตาม เนื่องจากกระบวนการผลิตน้ำตาลต้องอาศัยการแปรรูปในโรงงาน ซึ่งมีต้นทุนและกระบวนการที่ซับซ้อน อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ประสิทธิภาพการสกัดน้ำตาลจากอ้อย ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่า ต้นอ้อย ≠ น้ำตาล เพราะอ้อยต้องผ่านกระบวนการผลิตก่อนจะแปรรูปเป็นน้ำตาลเพื่อการส่งออกได้ ภาคอีสานถือเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลจากอ้อยที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย โดยในฤดูกาลผลิตปี 2567/2568 ประเทศไทยมีปริมาณอ้อยรวมทั้งหมด 93.17 ล้านตัน ซึ่งภาคอีสานมีปริมาณอ้อยถึง 45.9 ล้านตัน คิดเป็น 49.26% ของปริมาณอ้อยทั้งประเทศ ภายในภาคอีสานมีโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 23 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นของกลุ่มธุรกิจน้ำตาลรายใหญ่ในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีบางโรงงานที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มทุนใหญ่ เช่น บริษัท โรงงานน้ำตาลทรายขาวเริ่มอุดม จำกัด, บริษัท โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน), และบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด เป็นต้น ภาคอีสานขึ้นชื่อในเรื่องสภาพพื้นที่ที่ท้าทายต่อการเกษตร เนื่องจากความแห้งแล้งจัดและปัญหาดินเค็ม ทำให้การเลือกพืชที่จะปลูกในพื้นที่นี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม ภาคอีสานกลับเป็นแหล่งปลูก ข้าวหอมมะลิ คุณภาพชั้นหนึ่งของไทย ซึ่งเป็นผลผลิตที่มีชื่อเสียงระดับโลก การปลูกข้าวในภาคนี้ต้องอาศัยการปรับปรุงดินและการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับความแห้งแล้งและดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น นอกจากข้าวหอมมะลิแล้ว พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ปลูกในภาคอีสาน ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด สับปะรด มะพร้าว และลำไย แม้ว่าพืชเหล่านี้จะมีความเหมาะสมในการปลูกในระดับปานกลาง แต่ด้วยการจัดการด้านการเกษตรที่เหมาะสม สามารถสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ได้อย่างยั่งยืน ขณะที่ภาคกลาเป็นพื้นที่ราบลุ่มที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้การเลือกปลูกพืชในภูมิภาคนี้เป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อนมากนัก หากพิจารณาพืชที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภาคกลาง ข้าว ถือเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศและสภาพดินเอื้อต่อการปลูกข้าวอย่างมาก โดยประเทศไทยมีพื้นที่เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวกว่า 32 ล้านไร่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคกลาง นอกจากข้าวแล้ว ภาคกลางยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น อ้อย และ ข้าวโพด ซึ่งสามารถปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีการบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสม ภูมิภาคนี้จึงเป็นศูนย์กลางการเกษตรที่สำคัญของประเทศด้วยความหลากหลายของพืชที่สามารถเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มธุรกิจน้ำตาลที่เลือกตั้งโรงงานในภาคอีสานส่วนใหญ่นั้นเป็นแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันดี โดยกลุ่มที่มีการตั้งโรงงานในภาคอีสานมากที่สุดคือ กลุ่มมิตรผล …

พามาเบิ่ง 6 กลุ่มน้ำตาลชั้นนำของไทย มีโรงงานน้ำตาลอยู่ที่ไหนในอีสานบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

เผาอ้อยเฮ็ดหยัง? ต้นตอฝุ่นควัน กับเหตุผลที่หลายคนยังไม่รู้

วันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นวันเปิดหีบอ้อยผลิตน้ำตาลทราย ฤดูการผลิตปี 2567/68 ของโรงงานน้ำตาลภาคอีสาน ซึ่งต่อไปตั้งแต่สิ้นปีนี้ไปจนถึงต้นปีหน้า ก็จะเป็นช่วงที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยทุกๆปี จะพบปัญหาสำคัญจากการเก็บเกี่ยวอ้อยคือ “การเผาอ้อย” ที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านมลภาวะไม่ว่าจะเป็น ควัน ฝุ่น PM 2.5 เถ้าจากการการเผาหรือที่เรียกกันติดปากว่า “หิมะดำ” ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นวงกว้างในด้านทัศนียภาพและสุขภาพอนามัยของคนในพื้นที่ จากรายงานจุดความร้อนพื้นที่ปลูกอ้อย ในช่วงเวลาการเปิดหีบปีการผลิต เดือนธันวาคม – เมษายน 2566/2567 พบว่าภาคอีสานเป็นภาคที่พบจุดความร้อนในพื้นที่ปลูกอ้อยมากที่สุดในประเทศกว่า 1,237 จุด เนื่องจากมีพื้นที่เก็บเกี่ยวอ้อยมากที่สุด 4.6 ล้านไร่ รองลงมาเป็นภาคกลาง 661 จุด ภาคเหนือ 580 จุด และภาคตะวันออก 152 จุด ลดหลั่นลงตามพื้นที่ปลูกและเก็บเกี่ยวอ้อย โดยปริมาณอ้อยลักลอบเผาหรืออ้อยไฟไหม้ที่เกษตรชาวไร่อ้อยอีสานได้นำมาขายให้โรงงานมีปริมาณทั้งสิ้น 14 ล้านตัน หรือเป็นสัดส่วนกว่า 34% ของปริมาณอ้อยเข้าหีบในภาคอีสาน ทำไมต้องเผาอ้อย? สาเหตุที่การเผาอ้อยเกิดขึ้น มีอยู่ และจะยังคงมีต่อในอนาคต ปัจจัยหลักมาจากเรื่อง “ต้นทุน” โดยจากรายงานศึกษาของสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร พบว่าชาวไร่อ้อยต้องแบกรับต้นทุนที่สูง เฉลี่ยทั้งประเทศประมาณ 10,974 บาท/ไร่ ส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเลือกที่จะทำการ “เผาก่อนตัด” ซึ่งการเผาก่อนตัด จะช่วยให้ลดต้นทุนในด้านการเก็บเกี่ยว จากการที่ประหยัดเวลากว่าการตัดอ้อยสดถึง 3 เท่าต่อวัน จ้างคนน้อยกว่าและสามารถแรงงานตัดอ้อยได้ง่ายกว่า เนื่องจากการตัดอ้อยที่เผาแล้วนั้นง่ายกว่าตัดอ้อยสด ไม่ต้องเสี่ยงกับใบอ้อยบาดมือ แรงงานไร่อ้อยทั้งไทยและต่างชาติจึงชอบการตัดอ้อยเผา ในด้านของเครื่องจักร เกษตรกรชาวไร่อ้อยหลายรายเลือกที่จะไม่ใช้ เนื่องจากเครื่องตัดอ้อยสดนั้นหามาใช้ได้ยากกว่า มีต้นทุนที่สูง และอาจไม่เหมาะกับพื้นที่ของไร่ ด้วยเหตุนี้ปัจจัยด้านการประหยัดต้นทุนทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเลือกที่จะเผาไร่อ้อย   ปัญหามลภาวะที่เกิดจากการเผาอ้อย เป็นสิ่งที่ภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามแก้ไขเรื่อยมา โดยปีเก็บเกี่ยว 2567/68 นี้ บอร์ดคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล ได้ออกมาตรการลดการเผาอ้อยเพื่อลดฝุ่น โดยการเน้นจูงใจเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้เลือกตัดอ้อยสดมากกว่า โดยมีแนวทางได้แก่ สร้างมูลค่าเพิ่มให้ใบและยอดอ้อย ในการให้ชาวไร่อ้อยส่งขาย ให้การสนับสนุนและดูแลเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดโดยชาวไร่อ้อยจะมีรายได้เพิ่มประมาณ 120 บาท/ตันอ้อย และมาตรการสำคัญในปีนี้ที่แตกต่างไปจากเดิมคือ การหักเงินชาวไร่อ้อยเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนอ้อยลักลอบเผาที่ส่งเข้าโรงงาน ตั้งแต่ 30-130 บาท/ตันอ้อย    ซึ่งหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะลดการเผาอ้อยในพื้นที่ภาคอีสานและทั้งประเทศได้เพิ่มขึ้น เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น โดย อีสาน อินไซต์ จะขอติดตามประเด็นนี้ต่อไป #อ้อย #เผาอ้อย #pm2.5   ที่มา สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ฐานเศรษฐกิจ สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร โรงงานน้ำตาลแห่งประเทศไทย ไทยรัฐออนไลน์

พามาเบิ่ง 10 พระเครื่องดังภาคอีสาน

พามาเบิ่ง 10 พระเครื่องดังภาคอีสาน ดินแดนแห่งความศรัทธาและวัฒนธรรมอันงดงาม พระเครื่องในภาคอีสานนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่เลื่องลือในด้านพุทธคุณที่หลากหลาย เช่น เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย และโชคลาภ แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเชื่อของชาวอีสานที่สืบทอดกันมาช้านาน  เราจึงนำเสนอตัวอย่าง 10 พระเครื่องดังจากภาคอีสาน . 1.เหรียญพระอาจารย์มั่น-พระอาจารย์เสาร์ ปี พ.ศ. 2493 . 2.เหรียญหลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพ รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2500 . 3.เหรียญหลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพาราม รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2508 . 4.เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่รอด ปี พ.ศ. 2483 . 5.เหรียญพระอาจารย์สิงห์ วัดป่าสาลวัน รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2477 . 6.รูปหล่อโบราณ หลวงปู่สุข วัดโพธิ์ทรายทอง ปี พ.ศ. 2512 . 7.เหรียญหลวงปู่พุธ วัดป่าสาลวัน รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2509 . 8.เหรียญมนต์พระกาฬหลวงปู่หมุน . 9.เหรียญพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2507 . 10.เหรียญหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์ รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2507 . ในเมื่อภาคอีสานมีประวัติศาสตร์ยาวนานและได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมและศาสนาพุทธอย่างแน่นแฟ้น ทำให้พระเครื่องถูกมองไม่เพียงแค่เป็นเครื่องรางของขลัง แต่ยังเป็นตัวแทนของคุณค่าทางจิตใจ การสืบทอดของมาจากบรรพบุรุษ ผู้คนในพื้นที่นี้จึงให้ความสำคัญกับพระเครื่องที่มีความเก่าแก่ ความขลัง หรือเป็นของเกจิอาจารย์ที่เป็นที่ตนเองนับถือ . แหล่งที่มาและราคาที่หลากหลายนั้นมีผลต่อตลาดพระเครื่องในภาคอีสานประกอบด้วยพระจากแหล่งวัดดัง วัดประจำท้องถิ่น และพระที่สร้างขึ้นใหม่โดยพระอาจารย์ชั้นนำ แต่ละแหล่งมีจุดเด่นแตกต่างกัน เช่น พระเครื่องบางองค์ราคาสูงเพราะมีประวัติศาสตร์มานานหรือสร้างโดยเกจิชื่อดัง ในขณะที่พระเครื่องรุ่นใหม่ที่เพิ่งสร้างอาจมีราคาย่อมเยากว่า ทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกหลากหลายตามกำลังทรัพย์และความชอบ อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อที่เป็นนักสะสมหรือผู้ที่ศรัทธามากก็ที่จะยอมจ่ายราคาสูงเพื่อแลกกับความหายากและความศรัทธา . ในปัจจุบันโลกดิจิทัลทำให้การซื้อขายพระเครื่องนั้นเปิดกว้างไม่ได้จำกัด ผู้ขายสามารถใช้สื่อสังคมออนไลน์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และการไลฟ์สดเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในภูมิภาคอื่น ๆ และไปต่างประเทศ สิ่งนี้ช่วยขยายตลาดและเพิ่มความสะดวกในการซื้อง่ายขึ้น และยังได้มีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นคนกลางในการตรวจสอบพระเครื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของผู้ตรวจเช็คหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาซื้อขาย . และบางช่วงเวลาจะมีพระเครื่องบางรุ่นหรือบางสำนักเป็นที่นิยมอย่างมาก อาจมาจากข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ การสื่อสารแบบปากต่อปาก หรือความต้องการในด้านพุทธคุณเฉพาะทาง เช่น พระที่ขึ้นชื่อด้านการปกป้องคุ้มภัยหรือด้านโชคลาภ สิ่งเหล่านี้ทำให้ราคาขึ้น-ลงตามกระแสความนิยม ความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลา   ที่มา: เพจ Eager of Know เรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทย  

5 อันดับอาณาจักรผลิตน้ำตาลเจ้าใหญ่ในภาคอีสาน มีบริษัทอะไรบ้าง ?

  ปี 2565 มูลค่าบริษัท จังหวัด อันดับที่ 1 น้ำตาล เอราวัณ จำกัด 7,440 ล้านบาท หนองบัวลำภู อันดับที่ 2 โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด 7,108 ล้านบาท บุรีรัมย์ อันดับที่ 3 บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด 5,797 ล้านบาท อุดรธานี อันดับที่ 4 สหเรือง จำกัด 3,015 ล้านบาท มุกดาหาร อันดับที่ 5 อุตสาหกรรมน้ำตาลอีสาน จำกัด 2,515 ล้านบาท กาฬสินธุ์   ปี 2566 มูลค่าบริษัท จังหวัด อันดับที่ 1 น้ำตาล เอราวัณ จำกัด 7,442 ล้านบาท หนองบัวลำภู อันดับที่ 2 โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด 5,964 ล้านบาท บุรีรัมย์ อันดับที่ 3 บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด 5,814 ล้านบาท อุดรธานี อันดับที่ 4 สหเรือง จำกัด 3,074 ล้านบาท มุกดาหาร อันดับที่ 5 อุตสาหกรรมน้ำตาลอีสาน จำกัด 2,095 ล้านบาท กาฬสินธุ์ อ้างอิงจาก: CredenData, กรมพัฒนาธุรกิจ . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ผลิตน้ำตาล #บริษัทผลิตน้ำตาล #โรงน้ำตาล #น้ำตาล

พามาเบิ่ง โขง สงคราม ชี มูล 4 แม่น้ำสำคัญของอีสานไหลผ่านจังหวัดใดบ้าง

พามาเบิ่ง โขง สงคราม ชี มูล 4 แม่น้ำสำคัญของอีสานไหลผ่านจังหวัดใดบ้าง . . ทุกท่านเคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังความอุดมสมบูรณ์ของภาคอีสานของเรา มีทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่น่าทึ่งซ่อนอยู่ คำตอบอยู่ที่ แม่น้ำทั้ง 4 สาย ที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวอีสานและเชื่อมโยงกับความรุ่งเรืองของชุมชนมายาวนานหลายร้อยปี   . แม่น้ำเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งน้ำสำหรับทำการเกษตร แต่ยังเป็นตัวเชื่อมต่อประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเชื่อของคนในแต่ละพื้นที่ วันนี้ทางอีสานอินไซต์จะพาทุกท่านมาร่วมออกเดินทางผ่านแม่น้ำโขง สงคราม ชี และมูล   . แม่น้ำโขง – เส้นทางแห่งการค้าข้ามพรมแดน แม่น้ำโขงไม่ได้เป็นเพียงแม่น้ำสายยาวที่ไหลผ่าน 6 ประเทศ แต่ยังเป็นเหมือนกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในภูมิภาค ยาวถึง 4,590 กม. และไหลผ่าน เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, นครพนม, มุกดาหาร, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี   แม่น้ำสงคราม – อะเมซอนแห่งอีสาน ความยาว 420 กม. ทำให้แม่น้ำสายนี้กลายเป็นแหล่งพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับโลก ไหลผ่าน **สกลนคร, อุดรธานี, หนองคาย, บึงกาฬ และนครพนม   แม่น้ำชี – เส้นเลือดหล่อเลี้ยงเกษตรกร แม่น้ำชีเป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดในภาคอีสาน ว่ากันว่า “ชี” คือชื่อที่สื่อถึงความสมบูรณ์ และเป็นแม่น้ำที่เกษตรกรอีสานขาดไม่ได้ ด้วยระยะทาง 765 กม. ไหลผ่าน ชัยภูมิ, นครราชสีมา, ขอนแก่น, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, ยโสธร และอุบลราชธานี   แม่น้ำมูล – สายน้ำแห่งมิตรภาพอีสานใต้ “โขงสีขุ่ม มูลสีคราม” สายน้ำมูลบรรจบกับแม่น้ำโขงที่ “สองสี” กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต้องมาสัมผัส  ด้วยระยะทาง 641 กม. แม่น้ำมูลคือชีวิตของชาวบ้านใน นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ และยโสธร   เพราะแม่น้ำคือชีวิต ชุมชน และอนาคตของเรา ฉนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทุกคนหลายที่ต้องร่วมดูแลรักษาสายน้ำทั้ง 4 สายนี้ ให้คงอยู่คู่แผ่นดินอีสาน และไทยสืบไป . หมายเหตุ : 1. จังหวัดที่มีแม่น้ำไหลผ่าน นับรวมจังหวัดที่มีแม่น้ำสายหลัก และลำน้ำสาขาของแม่น้ำสายหลัก ไหลผ่าน 2. ลำน้ำสาขา หมายถึง แม่น้ำสายย่อยที่ไหลมารวมกับแม่น้ำสายหลัก ซึ่งลำน้ำสาขามีหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างการส่งน้ำเข้า-ออกจากพื้นที่ต่างๆ กับแม่น้ำสายหลัก เช่น ลำน้ำเซบาย เป็นสาขาของแม่น้ำมูล ซึ่งไหลผ่านจังหวัดยโสธร อำนาจเจริญ มุกดาหาร …

พามาเบิ่ง โขง สงคราม ชี มูล 4 แม่น้ำสำคัญของอีสานไหลผ่านจังหวัดใดบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

สังคมคนโสด Solo Society – เปิดสถิติคนไทยวัยเจริญพันธุ์ โสด เกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทุกช่วงวัย

ฮู้บ่ว่า10 ปีผ่านไป คนไทยโสดเยอะขึ้นปานใด๋?เปิดสถิติคนไทยวัยเจริญพันธุ์ โสด เกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทุกช่วงวัย.สถิติคนโสดภาคอีสานของไทยข้อมูลจำนวนคนโสด:ปี 2561: สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า มีคนโสดวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ในภาคอีสานอยู่ที่ ร้อยละ 41.2 ของประชากรทั้งหมด แบ่งเป็นเพศชาย ร้อยละ 39.7 และเพศหญิง ร้อยละ 42.7ปี 2564: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศค.) ประเมินว่า สัดส่วนคนโสดในภาคอีสานน่าจะอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 43-44ข้อมูลเพิ่มเติม:เพศ: พบว่าผู้หญิงโสดมีจำนวนมากกว่าผู้ชายโสดในภาคอีสานอายุ: คนโสดส่วนใหญ่ในภาคอีสานมีอายุอยู่ระหว่าง 20-39 ปีการศึกษา: พบว่าคนโสดในภาคอีสานมีการศึกษาสูงขึ้น โดยเฉพาะวุฒิปริญญาตรีอาชีพ: คนโสดในภาคอีสานส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมสถานะการสมรส: สาเหตุที่คนอีสานโสดมากขึ้น มาจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ผู้หญิงมีการศึกษาสูงขึ้น มุ่งเน้นการทำงาน ค่านิยมการแต่งงานเปลี่ยนแปลง ฯลฯ.ประเทศไทยปี 2566: คนโสดในไทยมีมากกว่าร้อยละ 26.1% เป็นคนโสดหรืออยู่คนเดียว (ครอบครัวบุคคล) กว่า 7 ล้านครัวเรือนคนโสดวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ทั้งประเทศ 40.5%.โลกคาดการณ์ ปี 2573 จะมีคนโสด มากกว่า ร้อยละ 39.#ปัจจัย ที่ส่งผลต่อการเป็นคนโสด1) ค่านิยมทางสังคม ได้แก่ “SINK” (Single Income, No Kids) คนโสดรายได้ดีไม่เน้นมีลูก เน้นใช้จ่ายเพื่อตนเอง“PANK” (Professional Aunt, No Kids) ผู้หญิงโสดอายุ 30+ รายได้ดี ไม่เน้นมีลูก ให้ความสำคัญกับหลาน และครอบครัว“Waithood” คนโสดรอการมีความรัก อันเนื่องจากสถานะทางเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง2) ความต้องการ/ความคาดหวังไม่สอดคล้องกันวัฒนธรรมเอเชีย ที่ความคาดหวังต่อผู้หญิงทั้งการหาเงินและการเป็นแม่บ้าน รวมถึงปัญหาการอยู่ร่วมกันของครอบครัวใหญ่ความต้องการหรือสเปคที่ต่างกัน เช่น ผู้หญิงต้องการแฟนที่ตัวสูงกว่า ในขณะที่ผู้ชายไม่คบผู้หญิงที่สูงกว่า เป็นต้น3) โอกาสพบปะผู้คนน้อยลงคนโสดทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชม./สัปดาห์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมที่ 42.3 ชม./สัปดาห์4) ขาดนโยบายส่งเสริมหรือเอื้อต่อการมีคู่ การสร้างครอบครัว และการมีบุตรสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และสถานะทางการเงินของประชากรไทย ทำให้การสมรส และการสร้างครอบครัวเป็นไปได้ยากมากขึ้น#ผลกระทบ จากสังคมคนโสด ข้อเสีย: โครงสร้างประชากรประเทศและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุข้อดี: คนโสดมีการใช้จ่ายเพื่อตัวเองในสัดส่วนที่สูงกว่าคนที่มีครอบครัว.อย่างไรก็ตาม ยังมี โอกาส ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ ความท้าทาย ดังนี้โอกาสทางธุรกิจ: สินค้าและบริการสำหรับคนโสดที่สูงอายุ, บ้านพักคนชรา เพราะคนโสดจะพึ่งพาตนเอง และไม่มีลูกหลานเลี้ยงตูยามแก่เฒ่าโอกาสในการพัฒนาทักษะ: ทักษะดิจิทัล, การท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์จะตอบโจทย์กลุ่มคนโสดโอกาสในการสร้างสังคมใหม่: การทำธุรกิจจัดหาคู่, การทำ matching date ในไทยยังไม่มีหรือไม่เป็นที่นิยมเหมือนในต่างประเทศคาดการณ์การเติบโตด้านค่าใช้จ่ายครัวเรือนบุคคล ปี ค.ศ.2040 มูลค่าค่าใช้ของครัวเรือนบุคคล(ที่อยู่คนเดียว) ของไทยจะเติบโตขึ้น 140% จากปัจจุบัน.ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต่างใช้วิธีการแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นจาก สังคมคนโสดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรของประเทศทั้งสังคมผู้สูงอายุ การเกิดที่ต่ำ …

สังคมคนโสด Solo Society – เปิดสถิติคนไทยวัยเจริญพันธุ์ โสด เกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทุกช่วงวัย อ่านเพิ่มเติม »

คนไทย🇹🇭 มีลูกน้อยลง นักประชากรศาสตร์ เผย คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30%

สถิติโลกเผย ประเทศไทยติด TOP3 อัตราการเกิดต่ำลงสุดในโลก ลดลงมากถึง 81% ในรอบ 74 ปีที่ผ่านมา แซงหน้าประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อย ปัญหาการลดลงของประชากร เป็นปัญหาที่ทั่วโลกต้องเจอ เนื่องด้วยเศรษฐกิจ มลภาวะ สภาพแวดล้อมต่างๆ ไม่เอื้อให้คนอยากมีลูก ล่าสุด Global Statistics ได้ออกมาเปิดสถิติการเกิดของประเทศต่างๆในโลก โดยพบว่า ประเทศไทย มีอัตราการเกิดต่ำอยู่ในอันดับ 3 จาก 80 ประเทศทั่วโลก ลดลงมากถึง 81% Global Statistics ทำการดึงข้อมูลมาจาก United Nations Population Division (UNPD) และรวบรวมตั้งแต่ปี 1950-2024 ซึ่งประเทศไทยอัตราการเกิดลดลงถึง 81% ในช่วง 74 ปีที่ผ่านมา โดย 5 อันดับแรก คือ ประเทศ เกาหลีใต้ (88%), จีน (83%), ไทย (81%), ญี่ปุ่น (80%), และ อิหร่าน (75%) ทำให้ชาวเน็ตส่วนหนึ่งวิเคราะห์อันดับการเกิดที่ลงจากประเทศที่ติดอันดับ TOP5 พบว่าหลายประเทศมีความชายเป็นใหญ่ มีกรอบกดทับเพศหญิงเยอะ หรือบางประเทศก็มีปัญหาเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ ประกอบกับหลายคนให้ความเห็นว่าอาจจะเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสุขภาพของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับมลภาวะและอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ส่งผลต่อร่างกาย 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นคนโสด นอกจากคนโสดจะมีมากขึ้น แต่แนวโน้มของครอบครัวก็มีขนาดลดลง และเป็นครอบครัวที่ไม่มีบุตรมากขึ้น ทั้งด้วยภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือปัจจัยอื่นๆ ซึ่งสามารถอ่านต่อได้ที่บทความที่แนบด้านล่างนี้ คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30% #โลกในขณะที่ประชากรโลกกำลังเพิ่มช้าลง จำนวนและสัดส่วนของประชากรสูงอายุกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปี พ.ศ.2565 ทั่วทั้งโลกมีประชากรสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากถึง 1,109 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรโลก 8,000 ล้านคน . #อาเซียน ในปี พ.ศ.2565 มี 7 ใน 10 ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” ที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่าร้อยละ 10 เหลือเพียง 3 ประเทศได้แก่ลาวกัมพูชาและฟิลิปปินส์เท่านั้นที่ยังไม่เป็นสังคมผู้สูงอายุ . #ประเทศไทย  ปี 2564 เป็นครั้งแรกที่อัตราการเกิดของเด็กไทยต่ำกว่าอัตราการตาย และอัตราการเกิดมีเเนวโน้มลดลงในทุกๆ ปีเเละคาดการณ์ว่าจะลดลงโดยไม่มีทีท่าจะเพิ่มขึ้น ผนวกกับอัตราการตายที่ลดลง ทำให้อัตราการเปลี่ยนเเปลงของประชากรตามธรรมชาติมีเเนวโน้มลดลงตามไปด้วย ซึ่งการที่อัตราการเปลี่ยนเเปลงของประชากรตามธรรมชาตินี้ลดลง ทำให้ประชากรในอนาคตจะมีอายุเฉลี่ยที่มากขึ้นเรื่อยๆ . จากวิถีชีวิตของหนุ่มสาวที่เปลี่ยนไป …

คนไทย🇹🇭 มีลูกน้อยลง นักประชากรศาสตร์ เผย คนไทยอาจเหลือเพียง 60 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และผู้สูงอายุเกิน 30% อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา!

ฮู้บ่ว่ามากกว่า 1 ใน 4 ของสิ่งปลูกสร้างอยู่ที่ภาคอีสาน โดยในภาคอีสานมีบ้านกว่า 7.5 ล้านหลัง จาก 27.7 ล้านหลังทั่วไทย ISAN Insight and Outlook พาส่องเบิ่ง อีสานมีบ้านหลายสำได่ รวมข้อมูลสถิติจำนวนบ้านในแต่ละจังหวัดของอีสานบ้านเฮา! . มื่อนี่เฮามาพร้อมข้อมูลที่น่าสนใจหลายเด้อ! รู้บ่ว่าแต่ละจังหวัดในอีสานมีจำนวนบ้านเท่าไหร่บ้าง? จากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความคึกคักอย่างนครราชสีมา ไปจนถึงชุมชนอันเงียบสงบในบึงกาฬ ทุกพื้นที่ต่างมีลักษณะบ้านเรือนที่สะท้อนถึงความหลากหลายและวิถีชีวิตของคนอีสานที่ไม่เหมือนกัน . ข้อมูลสถิติเหล่านี้บ่ได้มีแค่ตัวเลข แต่ยังสะท้อนภาพการเติบโตของชุมชน ความหนาแน่นของประชากร และแนวโน้มของการพัฒนาเมืองในอนาคต หากเฮามองลึกลงไป การรู้ว่าจังหวัดใดมีบ้านหลายหรือหน่อย ยังสามารถช่วยในเรื่องการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน การจัดสรรทรัพยากร และการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อีกด้วย . ที่มา กรมการปกครอง สำนักงานสถิติ . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #จำนวนบ้านในอีสาน

Scroll to Top