ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวเศรษฐกิจเรื่อง “ค่าเงินบาทแข็งค่า” กันอยู่บ่อยครั้ง จนไม่กี่วันมานี้ค่าเงินบาท ได้หลุดต่ำกว่า 32 บาทเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี และยังมีแนวโน้มแข็งต่อไป สาเหตุหลักมาจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นอ่อนค่าลง และมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณในการลดดอกเบี้ยนโยบาย
บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องของนักธุรกิจส่งออก-นำเข้าขนาดใหญ่ แต่สำหรับคนอีสานแล้ว ค่าเงินที่ผันผวนนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขในหน้าข่าวเศรษฐกิจ แต่มันส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของคนอีสานอย่างที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย
2 ผลกระทบหลักที่ คนอีสาน รู้สึกได้ทันทีที่เงินบาทแข็ง
- ภาคการเกษตร: “คนปลูก” ได้น้อยลง “คนกิน” ได้เท่าเดิม
หัวใจสำคัญของเศรษฐกิจอีสานคือภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิ มันสำปะหลัง หรืออ้อย ผลผลิตเหล่านี้ไม่ได้ถูกบริโภคแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังถูกส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลักที่ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปมากที่สุดเป็นอันดับ 2
เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาสินค้าเกษตรของเราในตลาดโลกแพงขึ้นตามไปด้วย ผู้ซื้อจากต่างประเทศจึงหันไปซื้อสินค้าจากประเทศคู่แข่งที่มีราคาถูกกว่า ส่งผลให้ปริมาณการสั่งซื้อลดลง และราคาขายที่เกษตรกรได้รับก็ลดต่ำลงตามไปด้วย
นอกจากนั้นอีกประเด็นสำคัญ อย่างเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ไทยถูกเรียกเก็บ 19% ที่กระทบต่อต้นทุนและความสามารถในการแข็งขันของผู้ส่งออกโดยตรง
เมื่อมองเข้ามายังทุ่งไร่แปลงนาที่ภาคอีสาน เกษตรกรที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจปลูกพืชเกษตรมาทั้งปี ซึ่งจากเดิมที่ต้องเผชิญกับราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำอยู่แล้ว ต้องมาเจอราคาที่ต่ำลงอีกจากสาเหตุที่ควบคุมไม่ได้ อย่างเรื่องค่าเงิน สิ่งนี้ไม่ได้กระทบแค่รายได้ แต่ยังกระทบต่อกำลังใจในการทำมาหากินอีกด้วย
- แรงงานไทยในต่างแดน: ผู้ส่งเงินกลับบ้านกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทาย
หนึ่งในรายได้สำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจอีสานคือ “เงินโอน” จากลูกหลานหรือพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ไปทำงานในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือตะวันออกกลาง
สมมติว่าแรงงานอีสานทำงานที่เกาหลี ได้เงินเดือน 2 ล้านวอนต่อเดือน เมื่อก่อนหากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 บาทต่อ 30 วอน เมื่อส่งเงินกลับมา 1 ล้านวอน ก็จะได้เงินไทยประมาณ 33,333 บาท แต่เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเป็น 1 บาทต่อ 25 วอน เงินจำนวนเดียวกันนี้จะแลกได้แค่ 40,000 บาทเท่านั้น
เงินโอนที่เคยเป็นแหล่งทุนสำคัญสำหรับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียนลูกหลาน หรือค่าใช้จ่ายในการยังชีพในแต่ละเดือน กำลังลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หลายครอบครัวที่พึ่งพารายได้ส่วนนี้ต้องรัดเข็มขัดและปรับตัวกันอย่างหนัก
เงินบาทแข็ง และ เศรษฐกิจไทยในตลาดโลก ส่งผลต่อธุรกิจไทย?
จากการรวบรวมข้อมูลล่าสุด เงินบาทไม่ได้แข็งค่าในรอบหลายปีตามที่เคยเป็นข่าวในอดีต แต่กำลังอยู่ในช่วงที่ผันผวนและมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับประมาณ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นระดับที่ค่อนข้างอ่อนค่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่เคยแข็งค่ากว่า 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงต้นปี 2567 และ 2568
ผลกระทบของเงินบาทที่เคยแข็งค่า (อ้างอิงสถานการณ์ในอดีต)
แม้ว่าปัจจุบันเงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง แต่ในช่วงที่เงินบาทเคยแข็งค่าอย่างรวดเร็วนั้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ:
- ภาคการส่งออก: การแข็งค่าของเงินบาททำให้ราคาสินค้าส่งออกของไทยแพงขึ้นในสายตาของผู้ซื้อต่างประเทศ ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งลดลง โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้แรงงานสูงหรือสินค้าเกษตรที่ราคาอิงกับตลาดโลก เช่น ข้าว ยางพารา และน้ำตาล ทำให้รายได้ของผู้ส่งออกและเกษตรกรเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทลดลง [1]
- ภาคการท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจากยุโรปและสหรัฐฯ จะรู้สึกว่าการมาเที่ยวประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหรือรายจ่ายต่อหัวลดลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการอื่น ๆ [2]
- การลงทุน: นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการนำเงินเข้ามาลงทุนในไทยอาจชะลอการตัดสินใจ เพราะเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น กำไรที่ได้จากการลงทุนและจะแปลงกลับไปเป็นเงินสกุลเดิมจะลดลง
การลดค่าเงินของประเทศอื่นเพื่อการแข่งขันด้านการส่งออก
คำถามที่ว่า “ประเทศอื่นพยายามลดค่าเงินของตัวเองเพื่อการแข่งขันหรือไม่” เป็นประเด็นสำคัญในเวทีเศรษฐกิจโลก และ คำตอบคือ “ใช่”
หลายประเทศใช้การบริหารค่าเงินเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Economies) [3]
- อินเดีย: ธนาคารกลางของอินเดีย (Reserve Bank of India – RBI) มักจะเข้าดูแลค่าเงินรูปี (INR) เพื่อป้องกันไม่ให้แข็งค่าเกินไป และรักษาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งออก [4] RBI อาจเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ ในตลาดเพื่อเพิ่มอุปทานเงินรูปี ซึ่งจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินรูปีได้
- ญี่ปุ่น: ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เงินเยน (JPY) ของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงอย่างมาก ทำให้ญี่ปุ่นสามารถส่งออกสินค้าได้ในราคาที่ถูกลงและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า “อาเบะโนมิกส์” ที่มุ่งเน้นการอ่อนค่าของเงินเยนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ [5]
การแข่งขันด้านการลดค่าเงินเพื่อส่งเสริมการส่งออกเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน และอาจนำไปสู่สงครามค่าเงิน (Currency War) หากทุกประเทศพยายามลดค่าเงินของตัวเองพร้อมกัน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโลกได้ในระยะยาว [3]
เรื่องเงินบาทแข็งค่าเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและไม่มีวิธีแก้ไขเพียงวิธีเดียวครับ แต่ขึ้นอยู่กับการดำเนินการร่วมกันของหลายภาคส่วน โดยมีบทบาทที่สำคัญที่สุดของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ กระทรวงการคลัง
แล้วจะแข็งอยู่ แข็งต่อ หรือใครต้องแก้?
บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพค่าเงิน ธปท. มีเครื่องมือหลักในการจัดการกับค่าเงินบาท:
- นโยบายการเงิน (Monetary Policy):
- การปรับลดอัตราดอกเบี้ย: การลดดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการฝากเงินในธนาคารไทยต่ำลงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ซึ่งจะลดความน่าดึงดูดของเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาเพื่อหวังส่วนต่างดอกเบี้ย (Carry Trade) ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง
- การเข้าแทรกแซงตลาด (Market Intervention):
- ซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ: หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและผิดปกติ ธปท. สามารถเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ ในตลาดเพื่อดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินและเพิ่มอุปทานเงินบาทในระบบ ซึ่งจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้
- มาตรการเชิงโครงสร้าง (Structural Measures):
- ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ: ธปท. สนับสนุนให้คนไทยและภาคธุรกิจสามารถนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดปริมาณเงินทุนในประเทศที่อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินบาท
- ส่งเสริมการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging): ธปท. กระตุ้นให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน เช่น การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contracts)
บทบาทของรัฐบาลและกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการกำหนดค่าเงิน แต่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจ
- นโยบายการคลัง (Fiscal Policy): การลงทุนภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เงินทุนไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
- นโยบายการค้าและการลงทุน: การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะช่วยเพิ่มรายได้และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงินบาท
บทบาทของภาคเอกชนและประชาชน
แม้จะเป็นผู้ถูกกระทบ แต่ภาคเอกชนและประชาชนก็มีส่วนช่วยในการจัดการกับความผันผวนของค่าเงิน:
- ผู้ประกอบการ: ควรบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยการใช้เครื่องมือทางการเงิน ไม่ใช่พึ่งพาการแทรกแซงของ ธปท. เพียงอย่างเดียว
- ประชาชน: ควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจถึงความผันผวนของค่าเงิน เพื่อวางแผนการใช้จ่ายและการลงทุนอย่างรอบคอบ
โดยสรุปแล้ว การแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง นโยบายการเงินของ ธปท. และนโยบายการคลังของรัฐบาล รวมถึงการปรับตัวของภาคเอกชนและประชาชน ซึ่งจะช่วยสร้างความสมดุลและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวได้
แหล่งที่มา:
- [1]: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อภาคการส่งออกของไทย, ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อเศรษฐกิจไทย
- [2]: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), สถิติและรายงานรายได้จากการท่องเที่ยว
- [3]: International Monetary Fund (IMF), Exchange Rate Policy and Competitiveness, https://www.imf.org/en/Publications/SPRED-Notes/Issues/2019/08/29/Exchange-Rate-Policy-and-Competitiveness-48530
- [4]: Reserve Bank of India (RBI), รายงานนโยบายการเงินและการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา
- [5]: The Economist, Abenomics explained, https://www.economist.com/economics-brief/2013/05/25/abenomics-explained