เศรษฐกิจอีสานไตรมาส 3/68 ระส่ำ ปัญหายังไม่คลี่คลาย ถึงเวลา ‘คนละครึ่ง’ จริงหรือ?
บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ไตรมาส 3/2568 เศรษฐกิจอีสานไตรมาส 3/2568 กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งภาษีสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้น ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาที่กระทบการค้า ไปจนถึงการเมืองในประเทศที่ยังไม่มั่นคง ส่งผลให้การจับจ่ายซบเซาและการลงทุนชะลอตัว ท่ามกลางวิกฤต รัฐบาลใหม่ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เสนอ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อพยุงกำลังซื้อ แต่ก็เกิดคำถามตามมาว่า มาตรการนี้ยังเหมาะสมจริงหรือไม่? “เบิ่งเศรษฐกิจอีสานผ่าน 9 ช่อง” เศรษฐกิจอีสานกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ไตรมาส 3/2568 หนักหน่วงกว่าสองไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจซบเซา ประชาชนไม่กล้าจับจ่าย ธุรกิจเจอทั้งกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้น และปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาที่ทำให้ต้องปิดด่าน กระทบต่อการค้าชายแดนโดยตรง ซ้ำเติมด้วยการเมืองไทยที่ยังไม่มั่นคง ทำให้การลงทุนในภาคอีสานชะลอตัวลง ท่ามกลางวิกฤต รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เสนอ “โครงการคนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย คล้ายกับมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่เคยใช้ช่วงโควิด-19 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันก่อให้เกิดคำถามว่า มาตรการลักษณะนี้ยังเหมาะสมและจำเป็นจริงหรือไม่? “บริโภคเอกชนซบเซาสุดในไตรมาส 3 สะท้อนวิกฤตเศรษฐกิจ–ชายแดนป่วน” การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในภาคอีสานไตรมาส 3 หดตัวแรงกว่าภูมิภาคอื่น สะท้อนผ่านดัชนีการบริโภคที่ลดลงชัดเจน โดยเฉพาะสินค้าไม่คงทนและกึ่งคงทน สะท้อนพฤติกรรมคนอีสานที่ต้องประหยัด ตัดค่าใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไป ปัจจัยหลักมาจากปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังที่ยังไร้ทางออก ทั้งราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปัญหาชายแดนที่ยืดเยื้อ และบรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวมที่กดดันให้ประชาชนต้องรัดเข็มขัดอย่างเข้มงวด “ราคาเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพพุ่ง ปล่อยสินเชื่อหด กดดันกำลังซื้ออีสาน” สาเหตุหลักที่กดดันการบริโภคในภาคอีสานยังคงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรสำคัญอย่างข้าวและมันสำปะหลังที่ลดลงจากแนวโน้มความต้องการโลกที่เปลี่ยนไป ส่งผลโดยตรงต่อรายได้เกษตรกรซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของประชากรอีสาน ขณะเดียวกัน ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและมาตรการสินเชื่อที่เข้มงวดจากสถาบันการเงิน ยิ่งซ้ำเติมกำลังซื้อ โดยเฉพาะการใช้จ่ายสินค้าคงทนและการลงทุนของครัวเรือนที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ไตรมาส 3 ปีนี้ สถานการณ์เลวร้ายลงจาก “วิกฤตความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา” ที่กระทบโดยตรงต่อพื้นที่อีสานใต้ ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ความไม่มั่นคงด้านความปลอดภัยทำให้นักท่องเที่ยวหดตัวรุนแรง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อรายได้ในภาคบริการ การค้า และการบริโภคภายในท้องถิ่น “เร่งปั๊มหัวใจการบริโภคอีสานภายในสิ้นปี พร้อมวางรากใหม่” การบริโภคของอีสานกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเปราะบาง จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาระยะสั้นเพื่อพยุงการจับจ่าย และการแก้ไขเชิงโครงสร้างในระยะยาว ดังนี้ ปัญหากำลังซื้ออ่อนแรง ระยะสั้น: ตามที่รัฐบาลประกาศว่าจะดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง” เฟสใหม่ ซึ่งควรออกแบบให้ใช้จ่ายเพื่อลดค่าครองชีพจริงๆ ลดการรั่วไหลผ่านการแลกเป็นเงินสด และสร้างผลทวีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ระยะยาว: ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมมูลค่าสูงในอีสาน เช่น เศรษฐกิจชีวภาพ และการแปรรูปเกษตร เพื่อเพิ่มการจ้างงานและสร้างกำลังซื้อที่ยั่งยืน ปัญหารายได้เกษตรกรหดตัว ระยะสั้น: เร่งจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาพืชหลักที่ตกต่ำ ระยะยาว: ภาครัฐควรที่จะมีแบบแผนการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการทำการเกษตรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI เพื่อเป็นการทุ่นแรงและเสริมสร้างผลิตภาพ และควรส่งเสริมการปลูกพืชผสมผสาน หรือพืชที่ตลาดโลกต้องการ ลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้มั่นคง ปัญหาการท่องเที่ยวชะลอตัว ระยะสั้น: เร่งหาข้อยุติความขัดแย้งชายแดน ลดภาพความไม่ปลอดภัย พร้อมเดินหน้าประชาสัมพันธ์โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เชิงรุกมากขึ้น ระยะยาว: แต่ละจังหวัดควรสร้าง “หมุดหมายการท่องเที่ยว” ที่ชัดเจนและแตกต่าง […]
เศรษฐกิจอีสานไตรมาส 3/68 ระส่ำ ปัญหายังไม่คลี่คลาย ถึงเวลา ‘คนละครึ่ง’ จริงหรือ? อ่านเพิ่มเติม »







