SHARP ADMIN

Soft-Power Heritage อันดับ 8 ของโลก ไทยจะเปลี่ยน “มรดกทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ได้อย่างไร?

Soft Power ไทยสุดปัง! รั้งอันดับ 1 ประเทศรวยวัฒนธรรมที่สุดในเอเชีย และ อันดับ 8 ของโลกจาก U.S.News & World Report 🇹🇭Soft Power ไทยสุดปัง! ครองแชมป์ประเทศ “รวยวัฒนธรรมที่สุดในเอเชีย” เมื่อวัฒนธรรมกลายเป็นพลังทางเศรษฐกิจที่สามารถจับต้องได้ ไทยกำลังก้าวสู่บทบาทผู้นำแห่งเอเชียด้วยเสน่ห์ที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ . ในโลกยุคใหม่ที่พลังอ่อน (Soft Power) มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าพลังแข็ง (Hard Power) ชื่อเสียงของประเทศไม่ได้วัดกันแค่จำนวนฐานทัพหรือเทคโนโลยีล้ำหน้าอีกต่อไป แต่กลับวัดกันที่ “เสน่ห์” ที่ประเทศนั้นๆ สามารถส่งออกไปยังใจคนทั่วโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ อาหาร ดนตรี หรือไลฟ์สไตล์ . และล่าสุด ประเทศไทย ก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งชาติ ด้วยการถูกจัดอันดับให้เป็น ประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในเอเชีย และติดอันดับ 8 ของโลก จากการจัดอันดับโดย U.S. News & World Report ปี 2024 จากทั้งหมด 89 ประเทศทั่วโลก . โดยใช้เกณฑ์การประเมินที่เข้มข้น ครอบคลุม 5 มิติหลัก ได้แก่ การเข้าถึงวัฒนธรรม (Cultural Accessibility) ประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง (Rich History) สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม (Cultural Attractions) ความน่าดึงดูดทางภูมิศาสตร์ (Geographical Appeal) ซึ่งประเทศไทยโดดเด่นในทุกมิติ โดยเฉพาะในเรื่องของ อาหาร การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และโบราณสถาน ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ตราตรึงใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก . ไม่เพียงเท่านั้น ไทยยังได้รับคำชมว่าเป็น “ประเทศที่มีสมดุลระหว่างความร่วมสมัยกับมรดกดั้งเดิม” บ้านเมืองทันสมัยที่ตั้งอยู่เคียงข้างวัดวาอารามเก่าแก่ได้อย่างกลมกลืน . ไทย = ผู้นำวัฒนธรรมแห่งเอเชีย เมื่อดูเฉพาะในระดับทวีปเอเชีย ไทยก็ ครองอันดับ 1 ทิ้งห่างประเทศที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่งเช่นกันอย่างอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งติดตามมาในอันดับ 2-4 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างก็ติดอันดับเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ในด้านวัฒนธรรมนั่นเอง . อันดับประเทศในเอเชีย จากการจัดอันดับ 89 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ 1. ไทย #8 ของโลก 2. อินเดีย #10 ของโลก 3. ญี่ปุ่น #11 ของโลก 4. จีน #13 ของโลก 5. อินโดนีเซีย […]

Soft-Power Heritage อันดับ 8 ของโลก ไทยจะเปลี่ยน “มรดกทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ได้อย่างไร? อ่านเพิ่มเติม »

ทรัมป์เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน 🇹🇭ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก 🇺🇸สหรัฐ-จีน🇨🇳 ชิงอำนาจเหนือกัมพูชา🇰🇭

ทรัมป์ฉวยโอกาส?🤝จากขอพิพาทชายแดน ไทย-กัมพูชา เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์สหรัฐฯ-จีน ที่ไทยจำใจต้องเข้าร่วม ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกที่ดึงดูดความสนใจจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งขู่จะระงับการเจรจาทางการค้าหากการต่อสู้ไม่ยุติลง ความขัดแย้งนี้มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องเขตแดนและคำตัดสินของศาลโลกเกี่ยวกับ ‘ปราสาทพระวิหาร’ การเข้าแทรกแซงของทรัมป์ถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวตามหลัก “การทูตเชิงธุรกรรม (Transaction Diplomacy)” ที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากกว่าการแสวงหาสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลมาจาก ‘จุดอ่อนของอาเซียน’ ที่ไม่สามารถจัดการความขัดแย้งภายในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะบทบาทของ 🇨🇳จีนในกัมพูชา🇰🇭 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนและการพัฒนา ⚓ฐานทัพเรือเรียม ซึ่งเป็นการขยายอิทธิพลเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค ทำให้ความขัดแย้งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามเย็นยุคใหม่” ระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ กำลังขยายอิทธิพลในเส้นทางการเดินเรือ อินโดจีน โดยเฉพาะท่าทีของสหรัฐฯ ต่อเส้นเดินเรือช่องแคบ มะละกา จากท่าทีของ ฮุนเซน ที่โพสต์ภาพถ่ายคู่กับ ทรัมป์ และการมีแหล่งข่าวว่า ฮุนเซน บินเข้าจีนแต่ถูกปฏิเสธลงจอด ก็พอจะเห็นได้ว่า ฮุนเซน กำลังคลายมือจากจีน ไปหาสหรัฐฯ ผ่านการ #ดีล ผลประโยชน์ สหรัฐฯ จึงอาจฉวยโอกาสนี้ ในการดึงกัมพูชากลับเข้าสู่อิทธิพลของสหรัฐฯ และดึงกัมพูชาออกจากจีน ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะ #รัฐกันชน ท่ามกลางมหาอำนาจสองฝ่าย จากเรื่อง “การปักปันเขตแดน” ที่คุยกันระหว่างประเทศ เจรจาในทวิภาคีอาเซียนได้ สู่การเปิดที่ประชุมฉุกเฉินของ UNSC ก็ได้เปลี่ยนสมรภูมิที่แท้จริงจาก ชายแดน สู่ โต๊ะการฑูตสากล 🇨🇳จีน-กัมพูชา จีนมีหนี้และอิทธิพลเป็นข้อต่อรอง 🇺🇸สหรัฐฯ-กัมพูชา มีการค้าและภาษี รวมถึงการทหารเป็นข้อต่อรอง . ท่ามกลางสถานการณ์ที่นี้ ไทย จะต้องเผชิญกับศึกหลายด้าน ทั้งตลาดหุ้นที่ผันผวนจาก การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ขีดเส้นตาย 1 ส.ค.นี้, การท่องเที่ยวที่หดตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกเที่ยวบิน จากสถานการณ์การปะทะชายแดน สำหรับบุคคลทั่วไปและนักลงทุนในการรับมือกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้วยการ กระจายความเสี่ยง และ ลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ เป็นต้น   https://youtu.be/F9eRul5cElg   สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย ต้องแลกด้วยอะไร ใครได้ใครเสีย?

ทรัมป์เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน 🇹🇭ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก 🇺🇸สหรัฐ-จีน🇨🇳 ชิงอำนาจเหนือกัมพูชา🇰🇭 อ่านเพิ่มเติม »

“ไทย-กัมพูชา” เห็นพ้อง 13 ข้อตกลงหยุดยิง🤝จับมือลงนามผลประชุม GBC เปิด 13 ข้อตกลงมีอะไรบ้าง?

ผลประชุม GBC ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ทั้ง 2 ชาติ เห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ผู้แทน 2 ชาติ ลงนามบันทึกผลการประชุม หวังคลี่คลาย สถานการณ์ชายแดน นำมาซึ่งสันติภาพ วันนี้ (7 ส.ค.2568) ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ฝ่ายไทยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าคณะ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามี พลเอกเตีย เซ ฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ อีกทั้งมีผู้แทนของประเทศผู้ร่วมสังเกตการณ์ ได้แก่ มาเลเซีย สหรัฐฯ และจีน เข้าร่วมด้วย โดยไทยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนคนไทย และนำกัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจาสองฝ่าย ร่วมพิจารณาข้อปฏิบัติตาม ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 13.43 น.ตามเวลาประเทศไทย การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง โดย 2 ฝ่ายเห็นพ้องแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย ร่วมจัดทำกับฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ฝ่ายกัมพูชา เปิด 13 ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องรักษาสันติภาพ เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ 2 ชาติ เห็นพร้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน โดยมี สาระสำคัญ ดังนี้ . 1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี 2. รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย 3. ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา 4. ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่

“ไทย-กัมพูชา” เห็นพ้อง 13 ข้อตกลงหยุดยิง🤝จับมือลงนามผลประชุม GBC เปิด 13 ข้อตกลงมีอะไรบ้าง? อ่านเพิ่มเติม »

นครพนม จากเมืองท่าริมโขง สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งแห่งอีสานตอนบน

“นครพนม” จังหวัดริมฝั่งโขงแห่งภาคอีสานตอนบนของประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ที่เมื่อพูดถึง หลายคนจะนึกถึง “พระธาตุพนม” พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองอันเก่าแก่ตั้งแต่ต้นพุทธกาลอันเป็นที่สักการะของคนในจังหวัดและทั้งประเทศ นอกจากพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ที่ควรค่าแก่การไปเยือนเมื่อไปจังหวัดนครพนม ยกตัวอย่างเช่น พระธาตุเรณู อีกหนึ่งพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองที่งดงามโดดเด่น ตั้งอยู่ที่อำเภอเรณูนคร หรือจะเป็นสถานที่แลนด์มาร์ก อย่างริมฝั่งโขง ที่มีบรรยากาศและวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงและทิวเขาลักษณะลูกคลื่นของฝั่งลาวทอดยาวสุดสายตา ควรค่าแก่การมาเดินเล่นรับแดดอ่อนๆยามเช้า หรือมาถ่ายรูปชมวิวยามเย็นก็สวยงาม   ในด้านเศรษฐกิจ ปี 2566 นครพนมมีรายได้ต่อหัวประมาณ 96,731 บาท และผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) มีมูลค่า  52,184 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2564 ประมาณ 3% โดยสัดส่วนของโครงสร้างเศรษฐกิจจะมีภาคบริการเป็นส่วนใหญ่ โดยมีโครงสร้างเป็นดังนี้ – ภาคการบริการ คิดเป็น 49%  – ภาคการเกษตร คิดเป็น 30%  – ภาคการค้า คิดเป็น 12%  – ภาคการผลิต คิดเป็น 9%    ในปี 2567 จังหวัดนครพนมมีจำนวนผู้ประกอบการ SME ทั้งสิ้น 25,000 ราย ซึ่งในปี 2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 35,580.83 ล้านบาท โดยตัวอย่างบริษัทใหญ่ในนครพนม เช่น บริษัท มิ่งเจียว ซึ่งอยู่ในหมวดธุรกิจการขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น มีรายได้รวมในปี 2565 จำนวน 1,582 ล้านบาท เมืองนครพนมยังเป็นที่ตั้งของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 โดยเชื่อมต่อกับแขวงคำม่วนของประเทศลาว มีความยาวรวม 780 เมตร มีช่องลอดกว้าง 60 เมตร สูง 10 เมตร 2 ช่วง ความกว้าง สะพาน 13 เมตร และมีการช่องจราจร 2 ช่อง ซึ่งเปิดใช้งานวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 โดยสะพานมีทิวทัศน์เป็นแนวเขาที่สวยงาม ซึ่งสะพานมิตรภาพ แห่งที่3 เป็นเส้นทางการคมนาคมด้านการท่องเที่ยวและด้านการค้าที่สำคัญ ระหว่างไทย เวียดนามและทางใต้ของจีน    โดยสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 เป็น 1 ใน 19 ด่านการค้าถาวรระหว่างไทยกับลาว และอีกด่านการค้าถาวรของนครพนมคือ ด่าน อ.เมืองนครพนม-ท่าแขก นอกจากนั้นจังหวัดยังมีจุดผ่อนปรนการค้าอีก 4 แห่ง ได้แก่ จุดผ่อนปรนบ้านหนาดท่า จุดผ่อนปรนบ้านโพธิ์ไทร จุดผ่อนปรนบ้านธาตุพนมสามัคคี และจุดผ่อนปรนบ้านท่าอุเทน ซึ่งจากการที่มีด่านการค้าหลายแห่ง ส่งผลให้การค้าระหว่างนครพนมกับลาวมีความคึกตัก โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าไปลาว อยู่ที่ 6,705

นครพนม จากเมืองท่าริมโขง สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งแห่งอีสานตอนบน อ่านเพิ่มเติม »

VING รองเท้าแตะวิ่งมาราธอนสถิติโลกจากคนอีสาน

จาก Pain Point ส่วนตัวของโปรแกรมเมอร์คนหนึ่ง สู่การสร้างสรรค์แบรนด์รองเท้าแตะที่ปฏิวัติวงการวิ่ง VING (วีอิ้ง) ไม่ได้เป็นเพียงรองเท้า แต่คือผลลัพธ์ของความมุ่งมั่น นวัตกรรม และกลยุทธ์อันเฉียบคมที่สามารถเปลี่ยนรองเท้าแตะธรรมดาให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่นและสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล นี่คือเรื่องราวของคุณ วาที วิเชียรนิตย์ และแบรนด์ VING ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจที่เริ่มต้นจากศูนย์ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างก้าวกระโดด   จุดเริ่มต้น: จากความเจ็บปวดสู่โอกาสทางธุรกิจ เรื่องราวของ VING มีจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ไม่ต่างจากชีวิตของคนทำงานส่วนใหญ่ คุณวาทีเริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทเอกชน และเป็นนักวิ่งมาราธอนตัวยง วันหนึ่งในงานวิ่งมาราธอนที่จังหวัดบุรีรัมย์ เขาประสบปัญหารองเท้าผ้าใบที่ใช้อยู่บีบรัดเท้าอย่างรุนแรงจนไม่สามารถวิ่งต่อได้ ด้วยความจำเป็น เขาจึงตัดสินใจซื้อรองเท้าแตะราคาถูกจากร้านสะดวกซื้อมาใส่แทน ถึงแม้จะทุลักทุเลแต่เค้าก็สามารถวิ่งมาราธอนจนจบด้วยรองเท้าแตะคู่นั้นได้  เหตุการณ์ครั้งนั้น ประกอบกับการได้เห็นนักวิ่งคนอื่นสามารถทำเวลาได้ดีด้วยรองเท้าแตะสำหรับวิ่งจากต่างประเทศ ได้จุดประกายความคิดและเปลี่ยนมุมมองของคุณวาทีไปอย่างสิ้นเชิง เขาเล็งเห็นโอกาสในตลาดที่ยังไม่มีใครสนใจอย่างจริงจัง นั่นคือการแก้ปัญหาให้กับนักวิ่งที่มีลักษณะเท้าแบบคนไทยหรือคนเอเชีย คือ หน้าเท้ากว้างและเท้าอูม ซึ่งมักจะเจ็บเท้าเมื่อใส่รองเท้าแบรนด์ต่างชาติที่ออกแบบมาเพื่อคนเท้าเรียวยาว นี่คือจุดกำเนิดของแนวคิดในการพัฒนารองเท้าแตะที่สามารถวิ่งได้ทัดเทียมกับรองเท้าวิ่งราคาสูง    นวัตกรรม: หัวใจที่สร้างความแตกต่าง คุณวาทีใช้เวลาเกือบปีในการวิจัยและพัฒนา โดยนำทักษะจากการทำงานโปรแกรมเมอร์ที่ต้องทำตัวต้นแบบ (Prototype), ทดสอบ (Testing), และรับฟังความคิดเห็น (Feedback) มาปรับใช้ เพื่อสร้างสรรค์รองเท้าที่มีคุณสมบัติโดดเด่น แนวคิดหลักของ VING คือการพัฒนารองเท้าที่ตอบโจทย์ 3 ข้อสำคัญ คือ นุ่ม เด้ง และเบา แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยมไม่แพ้รองเท้าผ้าใบราคาแพง โดยยึดหลักการพัฒนาแบบ “fail fast, fail cheap, fail forward” คือการลงทุนให้น้อยที่สุด ทดลองให้เร็ว เรียนรู้จากความผิดพลาด และนำคำติชมจากลูกค้าตัวจริงมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง วัสดุและการออกแบบ: รองเท้าแตะทั่วไปในท้องตลาดมักใช้โฟม EVA ซึ่งมีความนุ่มแต่ยังขาดความเด้งที่จำเป็นสำหรับการวิ่ง VING จึงเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียมที่มีต้นทุนสูงกว่า เพื่อให้ได้รองเท้าที่มีคุณสมบัติครบถ้วน คือ นุ่ม เด้ง และเบา (เบากว่ารองเท้าผ้าใบถึง 200 กรัม) โดยออกแบบให้พื้นรองเท้าเป็นโฟมชั้นเดียวแต่มีความหนาเหมือนรองเท้าผ้าใบ เพื่อการรองรับแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม ในช่วงแรก VING ใช้วัสดุ EVA และ GPE แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือการพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศจนได้วัสดุใหม่ที่เรียกว่า “V-Pro” หรือ “EPOS” ซึ่งมีความนุ่มและทนทานกว่าเดิมถึง 30% และมีค่าความเด้ง (Energy Return) เพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 66% ทำให้รองเท้ามีน้ำหนักเบาเพียง 1.5 ขีด แต่ยังคงคุณสมบัติการรองรับแรงกระแทกและส่งแรงคืนได้อย่างดีเยี่ยม แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์: เมื่อลูกค้าแสดงความกังวลว่า “ใส่รองเท้าแตะวิ่งแล้วจะหลุดหรือไม่” แทนที่จะรับฟังเพียงอย่างเดียว VING ได้แก้ปัญหานี้ด้วยการเจาะรูที่สายรองเท้าและนำเชือกมาร้อยผูกเป็นสายรัดส้น ซึ่งไม่เพียงแต่แก้ปัญหา แต่ยังกลายเป็นแฟชั่นที่ลูกค้าชื่นชอบ และขยายฐานไปยังกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการรองเท้าสุขภาพที่มีสายรัดส้น  สรีรศาสตร์ที่เหนือกว่า: ข้อดีที่สำคัญของรองเท้าแตะ VING คือการให้อิสระกับหน้าเท้า ทำให้การวางเท้าเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บยอดฮิตของนักวิ่งอย่าง ITBS (อาการปวดเข่าด้านนอก) และโรครองช้ำได้ 

VING รองเท้าแตะวิ่งมาราธอนสถิติโลกจากคนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

โดรน CW-15: เมื่อฟ้าอีสานและเพื่อนบ้านใช้ ‘ตา’ คู่เดียวกัน สู่บททดสอบความมั่นคงและโอกาสเศรษฐกิจไทย

จากกรณีข่าวร้อน ไทย-กัมพูชา ชาวเน็ตในสุรินทร์โพสต์พบโดรนปริศนาไม่ทราบฝ่าย ก่อนที่เช้าเวลา 07.30 น. วันที่ 4 สิงหาคม 2568 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า โดรนดังกล่าวเป็นของฝ่ายเรา ขึ้นบินตรวจการณ์ และทดสอบระบบ บริเวณอ.เมือง จ.สุรินทร์ แต่ต้องลงเร่งด่วน เนื่องจากสภาพอากาศ ภาพเจ้าหน้าที่ลงจอดโดรนฉุกเฉิน เมื่อคืนวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ที่จังหวัดสุรินทร์ ด้านสื่อกัมพูชาอย่าง Khmer Times ก็ปล่อยข่าวกล่าวหาว่าไทยใช้โดรนสำรวจพื้นที่กัมพูชา ในขณะเดียวกันทางกัมพูชาก็เคยจัดซื้อโดรนสำรวจทางอากาศเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 กองทัพกัมพูชาได้เยี่ยมชมเทคโนโลยีการปล่อยโดรน CW-15 และ CW-40 ที่บริษัท CATIC ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันที่ไทยใช้ในการสำรวจภารกิจทางอากาศทั้งทางทหาร และทางวิชาการ รีวิวจากช่องไทย โดรน CW ช่องพี่ใหญ่ SnapTech Zone ที่กรมทรัพยากรชายฝั่งของไทยใช้โดรนสำรวจทางทะเล และสำรวจสัตว์ทะเลหายาก โดรน CW-15 ในมือ🇹🇭ไทยและ🇰🇭กัมพูชา ภาพสะท้อนความมั่นคงและโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่ไทยต้องลงทุนเทคโนโลยีเป็นของตนเอง เมื่อน่านฟ้าชายแดนไม่ได้ถูกจับตามองด้วยสายตาของมนุษย์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป การปรากฏขึ้นของอากาศยานไร้คนขับ (UAV) หรือโดรน รุ่น CW-15 ที่ผลิตโดยบริษัทจากจีน ในภารกิจของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ได้จุดประกายบทสนทนาที่ไปไกลกว่าเรื่องเทคโนโลยี แต่ล้วงลึกถึงแก่นของความมั่นคงและอนาคตทางเศรษฐกิจของชาติ การที่ไทยและเพื่อนบ้านใช้ “ดวงตา” คู่เดียวกันในการสอดส่องดูแลอธิปไตย กลายเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงสภาวะการพึ่งพิงทางเทคโนโลยี และเป็นบททดสอบสำคัญว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติได้อย่างไร ดาบสองคมของการพึ่งพิงเทคโนโลยีต่างชาติ การจัดหายุทโธปกรณ์จากต่างประเทศเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปของกองทัพทั่วโลกเพื่อความทันสมัย แต่ในยุคที่สงครามไซเบอร์และความมั่นคงทางข้อมูลมีความสำคัญสูงสุด การพึ่งพิงเทคโนโลยีจากแหล่งเดียว โดยเฉพาะเมื่อเป็นแหล่งเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ซับซ้อน ความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ (Cybersecurity Risk): โดรนลาดตระเวนไม่ได้เป็นเพียงกล้องที่บินได้ แต่เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนซึ่งส่งผ่านข้อมูลสำคัญมหาศาล หน่วยงานความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้ออกคำเตือนถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลละเอียดอ่อนจากโดรนที่ผลิตในบางประเทศอาจถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทผู้ผลิตหรือรัฐบาลของประเทศนั้นๆ [1] ซึ่งหมายความว่าข้อมูลการลาดตระเวน, พิกัด, และรายละเอียดภารกิจของไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกเข้าถึงโดยบุคคลภายนอกได้ การเสียเปรียบทางยุทธวิธี: เมื่อกัมพูชามีการพิจารณาจัดหาโดรนรุ่นเดียวกันจาก China National Aero-Technology Import & Export Corporation (CATIC) [2] ย่อมหมายความว่าทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของกันและกันอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้การวางแผนรับมือหรือต่อกรทำได้ง่ายขึ้น ความได้เปรียบที่เคยมีจากการใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่าจึงหมดไป การพึ่งพิงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Dependency): ความพร้อมรบของยุทโธปกรณ์ขึ้นอยู่กับการซ่อมบำรุง, อะไหล่, และการอัปเกรด ซึ่งทั้งหมดนี้ผูกติดอยู่กับประเทศผู้ผลิต หากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลง หรือเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง อาจส่งผลให้การสนับสนุนเหล่านี้หยุดชะงักได้ ดังที่เห็นจากกรณีศึกษาในหลายประเทศที่การพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียวสร้างความเปราะบางให้กับกองทัพ [3] สร้างอนาคต: โอกาสมหาศาลของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทาย คือโอกาสครั้งสำคัญของประเทศไทยในการผลักดัน “อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ” ให้เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) อย่างจริงจัง ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายลำดับที่ 11 [4] โดยมีข้อดีที่ประเมินค่าได้ทั้งในมิติความมั่นคงและเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง: การพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองไม่เพียงลดการพึ่งพาจากภายนอก

โดรน CW-15: เมื่อฟ้าอีสานและเพื่อนบ้านใช้ ‘ตา’ คู่เดียวกัน สู่บททดสอบความมั่นคงและโอกาสเศรษฐกิจไทย อ่านเพิ่มเติม »

🇹🇭ทบ.เปิดไทม์ไลน์ ฟ้องคณะทูต! แฉกัมพูชาโกหกอะไรบ้าง🇰🇭 พร้อมงัดหลักฐานการละเมิดอนุสัญญา และก่ออาชญากรรมสงคราม ให้โลกรู้

วันนี้ (1 ส.ค.2568) เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยนำให้เอกอัครราชทูต อุปทูต ผู้แทนรวม 11 ประเทศ ผู้ช่วยทูตทหาร 23 ประเทศ สื่อต่างประเทศ 39 คนและสื่อไทย 110 คน ลงพื้นที่ ทบ. ไล่ไทม์ไลน์สู้รบ ฟ้องคณะทูต ยันกัมพูชาเริ่มก่อน จัดกิจกรรมยั่วยุ รุกอธิปไตย เปิดฉากยิงสู่การสู้รบ โจมตีพลเรือน ใช้ประชาชนโล่มนุษย์ บิดเบือนข้อมูลให้ร้ายไทยใช้อาวุธเคมี ทิ้งบอมบ์ใส่บ้านเรือน วันนี้ (1 ส.ค.) ที่มณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ กองทัพบก ได้ชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อคณะนักการทูต คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำประเทศไทย สื่อมวลชน ระบุว่า การดำเนินงานของกองทัพ ในการรักษาอธิปไตย และยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และย้ำถึงความมุ่งมั่งของกองทัพที่จะแก้ปัญหา ด้วยทวิภาคีที่ไทย และกัมพูชามีอยู่ ด้วยความจริงใจและโดยสันติวิธีมาโดยตลอด ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุ เพื่อสร้างความตึงเครียด ด้วยกิจกรรมทางทหาร และพลเรือน โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้ 13 ก.พ. 68 การพานักท่องเที่ยวขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม 28 ก.พ. 68 การเผาศาลาตรีมุข สัญลักษณ์ความร่วมมือ ไทย กัมพูชา และ สปป.ลาว มี.ค. ถึง เม.ย.68 ทหารกัมพูชา ดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดน เพื่อทางการทหาร เสริมความแข็งแรงของที่มั่น ปรับปรุงเส้นทาง และการขยายแนวเขตคูเลตเข้ามาในเขตประเทศไทย เม.ย. ถึง พ.ค. 68 ฝ่ายกัมพูชา ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลเพิ่มเติม และอาวุธยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดนไทย – กัมพูชาเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่มีหลักฐานการพิสูจน์ ทราบจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของนักวิจัยชาวออสเตรเลีย ต่อมาฝ่ายกัมพูชา ได้รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย โดยเข้ามาขุดคูเลตติดต่อ 28 พ.ค. กัมพูชาเริ่มเปิดฉากการยิง (Skirmish) ระหว่างหน่วยในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้ เพื่อเป็นการป้องกันตัว บริเวณช่องบก กองทัพ และรัฐบาลไทยพยายามใช้แก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ซึ่งไม่เป็นผล ห้วงเดือน ก.ค.68 ทหารกัมพูชา ได้รุกล้ำเข้ามาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลายพื้นที่ ในเขตแดนไทย จนทำให้ทหารไทยลาดตระเวน บาดเจ็บสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ถึง 2 ครั้ง ทำให้เกิดการสูญเสีย ขาขาด 2 นาย และมีบางส่วนบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่ายกัมพูชาจงใจละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง อีกทั้งเป็นการจงใจ ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่ทั้งไทย และกัมพูชาให้สัตยาบรรณ นอกจากนั้น ในพื้นที่ดังกล่าว ได้ดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิด ภายใต้ความร่วมมือของนานาชาติ จนมีความปลอดภัยเป็นที่ประจักษ์แล้ว พาเปิดเบิ่ง  สรุปไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา   ในขณะเดียวกันฝ่ายกัมพูชา พยายามแสดงการยั่วยุ

🇹🇭ทบ.เปิดไทม์ไลน์ ฟ้องคณะทูต! แฉกัมพูชาโกหกอะไรบ้าง🇰🇭 พร้อมงัดหลักฐานการละเมิดอนุสัญญา และก่ออาชญากรรมสงคราม ให้โลกรู้ อ่านเพิ่มเติม »

สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย ต้องแลกด้วยอะไร ใครได้ใครเสีย?

สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย วันที่: 1 สิงหาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร (รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการกรรมกรข่าว  สรุปอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศในอาเซียน ตามประกาศล่าสุดของสหรัฐฯ (มีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568)  อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอาเซียน (ตามประกาศของสหรัฐฯ)  สิงคโปร์ : 10%  ไทย : 19% (ลดจาก 36%)  กัมพูชา : 19%  มาเลเซีย : 19%  อินโดนีเซีย : 19%  ฟิลิปปินส์ : 19%  เวียดนาม : 20%  บรูไน : 25%  เมียนมา : 40%  ลาว : 40% 1. ภาพรวมและผลการเจรจาภาษี ผลลัพธ์หลัก: สหรัฐอเมริกาได้ประกาศลดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยลงเหลือ 19% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 36% (BBC News, TikTok) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 (พิชัย ชุณหวชิร, The White House). การเปรียบเทียบกับประเทศอื่น: อัตรา 19% นี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่ได้รับผลกระทบจากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น อินโดนีเซีย (19%), ฟิลิปปินส์ (19%), มาเลเซีย (19%), กัมพูชา (19%) และเวียดนาม (20%) ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของไทยในภูมิภาค (พิชัย ชุณหวชิร, TikTok, หอการค้าไทย). เป้าหมายการเจรจา: นายพิชัย ชุณหวชิร ระบุว่าการเจรจามุ่งเน้นให้ไทยสามารถ “แข่งขันได้” บนเวทีโลก และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน (พิชัย ชุณหวชิร, BBC News). การลดภาษีลงนี้เป็นการผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเกาะกลุ่มกันเพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขัน (พิชัย ชุณหวชิร).   2. ข้อแลกเปลี่ยนสำคัญที่ไทยเสนอต่อสหรัฐฯ นายพิชัยยังอธิบายถึงผลกระทบที่จะตามมาต่อสินค้าสำคัญ ๆ เป็นรายการ ดังนี้ ข้าวโพด: ทุกวันนี้ที่ไทยใช้อยู่ 10 ล้านตัน ผู้ประกอบการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ระบุว่าสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 13 ล้านตันได้ แต่ที่ผ่านมา มีวัตถุดิบไม่เพียงพอ โดยเกษตรไทยปลูกได้ 5 ล้านตัน ที่เหลือต้องนำเข้า สิ่งที่รัฐบาลทำคือจะใช้ระบบโควต้า เนื่องจากต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดในไทยสูงกว่าสหรัฐฯ สมมติใช้ 10 ล้าน

สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย ต้องแลกด้วยอะไร ใครได้ใครเสีย? อ่านเพิ่มเติม »

ความไม่สงบ ไทย-กัมพูชา ทำให้บริษัทไทยในกัมพูชาเจ็บหนักแค่ไหน?

สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้น ณ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ได้ส่งผลสะเทือนเป็นวงกว้างเกินกว่ามิติทางการเมืองและความมั่นคง แต่ยังได้สร้างแรงปะทะโดยตรงมาสู่ภาคเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการค้าของทั้งสองประเทศที่มีมูลค่ารวมกันสูงถึงปีละกว่า 3 แสนล้านบาท การวิเคราะห์ผลกระทบในครั้งนี้จึงมุ่งฉายภาพให้เห็นถึงความท้าทายที่ธุรกิจไทยกำลังเผชิญ ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายย่อยตามแนวชายแดน ไปจนถึงบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมทั้งประเมินแนวโน้มความเป็นไปได้ในอนาคตภายใต้สองฉากทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผลกระทบระลอกแรกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงที่สุดคือการหยุดชะงักของการค้าชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด่านอรัญประเทศ-ปอยเปต ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระหว่างสองประเทศ การปิดจุดผ่านแดนถาวรได้สร้างปัญหาคอขวดให้กับห่วงโซ่อุปทานในทันที ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่พุ่งสูงขึ้นจากการเปลี่ยนไปใช้เส้นทางขนส่งทางเรือผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งไม่เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ยังใช้ระยะเวลานานขึ้น กระทบต่อสภาพคล่องและขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่กำลังเผชิญกับภาวะชะงักงันที่รุนแรงยิ่งกว่าแค่ปัญหาด้านโลจิสติกส์ การปิดพรมแดนได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของ โครงข่ายการผลิตระดับภูมิภาค (Regional Production Network) ที่ไทยและกัมพูชามีการพึ่งพากัน สินค้าที่ขนส่งข้ามแดนไม่ได้มีเพียงสินค้าสำเร็จรูปเพื่อการอุปโภคบริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัตถุดิบและชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปจำนวนมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือวัตถุดิบทางการเกษตรจากไทยที่ถูกส่งไปแปรรูปในโรงงานที่กัมพูชาเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก การหยุดชะงักของเส้นทางนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการตัดท่อหล่อเลี้ยงสำคัญที่ทำให้สายพานการผลิตทั้งหมดต้องหยุดลง ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบยังสะท้อนลึกเข้าไปถึง โครงสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศกัมพูชาเอง เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งขนาดใหญ่ของไทยอย่าง Makro และ Big C ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ขายสินค้านำเข้าจากไทย แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่การเป็นศูนย์กลางในการรับซื้อและกระจายสินค้าให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อย (SMEs) ของกัมพูชา การที่ธุรกิจเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนสินค้าหลักจากไทยหรือถูกบอยคอต ย่อมส่งผลให้ปริมาณการรับซื้อสินค้าจากเกษตรกรท้องถิ่นลดน้อยลงตามไปด้วย กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่ทำให้ผู้ผลิตชาวกัมพูชาที่เคยพึ่งพิงช่องทางการจัดจำหน่ายสมัยใหม่เหล่านี้ต้องสูญเสียรายได้และตลาดไปอย่างกะทันหัน แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังส่งตรงไปยังบริษัทในไทยที่มีการดำเนินกิจการหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับกัมพูชาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งจับจ้องไปยังหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการลงทุนหรือมีรายได้สำคัญจากกัมพูชา บริษัทหลักทรัพย์ เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสท์เมนท์ แอ็ดไวเซอรี่ (FSSIA) ชี้ว่า แม้รายได้จากกัมพูชาอาจคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1-2% ของรายได้รวมสำหรับบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ความเสี่ยงเชิงจิตวิทยาและการหยุดชะงักของการดำเนินงานถือเป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ หุ้นที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษคือ คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ซึ่งกัมพูชาถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งและสร้างรายได้ให้บริษัทราว 10% ขณะที่ ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และร้านกาแฟ Café Amazon จำนวนมาก ส่วน ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) และ ซีพี ออลล์ (CPALL) ก็มีธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งที่กำลังเติบโตเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ที่ลงทุนในโรงงานซีเมนต์ และ สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ที่มีธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งล้วนเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์นี้ทั้งสิ้น เมื่อมองไปยังอนาคต หากความขัดแย้งสามารถคลี่คลายลงได้ผ่านกระบวนการทางการทูตที่รวดเร็ว คาดว่าผลกระทบส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในวงแคบและเป็นเพียงปัญหาระยะสั้น ธุรกิจไทยอาจเผชิญกับยอดขายที่ลดลงชั่วคราว แต่จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วเมื่อการขนส่งกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากแบรนด์สินค้าไทยยังคงเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ในขณะเดียวกัน ธุรกิจในรูปแบบการร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าในแง่ภาพลักษณ์ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งกลับยืดเยื้อ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรุนแรงและซับซ้อนกว่ามาก จนอาจสร้างความเสียหายเชิงโครงสร้างต่อการลงทุนของไทยในระยะยาว กระแสชาตินิยมต่อต้านสินค้าไทยมีแนวโน้มที่จะรุนแรงและยาวนานขึ้น ผลักดันให้ผู้บริโภคหันไปหาสินค้าทดแทนจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างถาวร ปัญหาห่วงโซ่อุปทานจะเข้าสู่ขั้นวิกฤตจากการที่ต้นทุนโลจิสติกส์สูงเกินกว่าจะแข่งขันได้ และอาจลุกลามไปถึงความเสี่ยงที่รัฐบาลกัมพูชาอาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) เพื่อสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม นอกเหนือจากผลกระทบที่ปรากฏในทางการค้าแล้ว วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชายังส่งผลกระทบเชิงลึกในมิติแรงงาน ซึ่งเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งและอาจสร้างแผลเป็นระยะยาวต่อรากฐานทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแรงงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงตัวเลขของแรงงานที่ลดลง แต่ยังหมายถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมาก ประการแรกคือ กลุ่มแรงงานชาวกัมพูชา ที่ได้รับการจ้างงานในบริษัทสัญชาติไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม พนักงานในร้านค้าปลีก หรือผู้ให้บริการในสถานีบริการน้ำมัน

ความไม่สงบ ไทย-กัมพูชา ทำให้บริษัทไทยในกัมพูชาเจ็บหนักแค่ไหน? อ่านเพิ่มเติม »

ยโสธร รวยกระจุก จนกระจาย กับความเหลื่อมล้ำรายได้ ที่สูงสุดในอีสาน?

จังหวัดยโสธร จังหวัดที่เมื่อพูดถึงแล้ว หลายคนต้องนึกถึงบั้งไฟเป็นอันดับแรก ซึ่งบุญบั้งไฟเมืองยโสจัดขึ้นช่วงเดือนพฤษภาคมในทุกปี ซึ่งเป็นการขอฝนช่วงก่อนการดำนาปลูกข้าว สอดคล้องกับเป้าหมายในการเป็น “เมืองเกษตรอินทรีย์ เมืองแห่งวิถีอีสาน” เป็นพื้นที่ต้นแบบการผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ สินค้าเกษตรปลอดภัย และมีนโยบายขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์อย่างจริงจังมานานกว่า 20 ปี ที่มารูปภาพ:https://yst-pao.go.th/public/list/data/showdetail/id/1672/menu/1619  มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ปี 2566 อยู่ที่ 34,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปี 2565 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจไม่ใหญ่นัก โดยอยู่ในอันดับที่ 16 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรอยู่ที่ 72,523 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ดังนี้   ภาคเกษตรกรรม: 8,864 ล้านบาท (คิดเป็น 26%) ภาคการศึกษา: 4,728 ล้านบาท (14%) ภาคอุตสาหกรรมการผลิต: 4,577 ล้านบาท (13%) การค้าส่งค้าปลีก และการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์: 3,823 ล้านบาท (11%)   เศรษฐกิจของยโสธรมีฐานหลักอยู่ที่ภาคเกษตรกรรม โดยมีพื้นที่เกษตรรวมกว่า 1,824,765 ไร่ หรือประมาณ 70% ของพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัด พืชเศรษฐกิจหลักคือ ข้าว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งจังหวัด โดยในปี 2566 มีผลผลิตรวมจากข้าวนาปีและข้าวนาปรังประมาณ 622,232 ตัน นอกจากนี้ยังมีพืชเศรษฐกิจสำคัญอื่น ๆ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง และอ้อยโรงงาน แนวโน้มความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดยโสธร   จากรายงาน ‘รายได้และการกระจายรายได้ของครัวเรือน พ.ศ. 2566’ ซึ่งได้รายงานตัวเลข สัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค หรือ Gini Coefficient ซึ่งก็คือตัวชี้วัดระดับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในสังคม โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 ซึ่งหากค่าใกล้1 แสดงว่ามีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง โดยความเหลื่อมล้ำทางรายได้คือความแตกต่างในการกระจายรายได้ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มประชากรในสังคม โดยแสดงให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างกลุ่มผู้มีรายได้สูงและผู้มีรายได้ต่ำ ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน   ในปี 2566 สัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคของไทยมีค่าเท่ากับ 0.382 เมื่อพิจารณาภาคอีสาน พบว่ามีค่าสัมประสิทธิ์ 0.377 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากภาคใต้ที่เท่ากับ 0.395 โดยจังหวัดในภาคอีสานที่มีค่าสัมประสิทธิ์มากที่สุดคือ ‘ยโสธร’ ที่มีครัวเรือน 1.4 แสนครัวเรือน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคเท่ากับ 0.440 บ่งบอกถึงระดับความเหลื่อมล้ำที่สูงเป็นอันดับ 1 ของภาคอีสานและสูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ จากการจัดกลุ่มครัวเรือนในจังหวัดยโสธรตามระดับรายได้ออกเป็น 5 กลุ่มเท่า ๆ กัน หรือที่เรียกว่า “ควินไทล์

ยโสธร รวยกระจุก จนกระจาย กับความเหลื่อมล้ำรายได้ ที่สูงสุดในอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top