เศรษฐกิจอีสาน “ซึม” คน “ซบเซา” และเสี่ยงในระยะต่อไป

ISAN Outlook บทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสานประจำเดือน สิงหาคม 2568

เศรษฐกิจอีสานในเดือนสิงหาคม 2568 เผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง การบริโภคชะลอตัว หนี้สินครัวเรือนสูง และรายได้เกษตรตกต่ำ ขณะที่ภาคเอกชนไม่กล้าลงทุนจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและข้อพิพาทชายแดน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจอีสานอยู่ในภาวะเปราะบางและต้องการมาตรการรองรับอย่างเร่งด่วน

เศรษฐกิจอีสานกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกภูมิภาคที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ส่งผลให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ในด้าน การบริโภคภาคครัวเรือน ประชาชนต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ภายใต้ภาระค่าครองชีพสูง รายได้เกษตรที่ลดลง และหนี้สินครัวเรือนที่ยังเรื้อรัง ขณะที่ ภาคการลงทุนเอกชน ก็ถูกบั่นทอนความเชื่อมั่น จากทั้งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การขยายตัวของ E-Commerce และการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ไปจนถึงปัจจัยการเมืองและความไม่แน่นอนในประเทศที่ทำให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจ

นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ โดยเฉพาะ จีน ที่เป็นตลาดส่งออกและคู่ค้าเกษตรสำคัญ ยิ่งสร้างความท้าทายมากขึ้น เมื่อเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเงินฝืดและลดการนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยอย่างต่อเนื่อง กดดันราคาผลผลิตเกษตรของอีสานให้ตกต่ำต่อเนื่อง สถานการณ์ดังกล่าวยังซ้ำเติมด้วยปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา และมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ซึ่งกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและแรงงานในพื้นที่

เมื่อปัจจัยลบทั้งหลายผนวกรวมกัน เศรษฐกิจอีสานจึงตกอยู่ในสภาวะ “เปราะบาง” อย่างยิ่ง ทั้งในด้านการบริโภค การลงทุน และรายได้ภาคเกษตร หากไม่มีมาตรการเยียวยาและการปรับตัวเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ภูมิภาคอีสานมีความเสี่ยงที่จะ “ตกขบวน” การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป

ปัญหาภาคการบริโภค

“เศรษฐกิจอีสาน ส.ค. 68 แย่ ความเชื่อมั่นต่ำ การบริโภคลด”

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาคอีสานปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของภาคเอกชน เดิมทีในช่วงปี 2565 ดัชนีมีแนวโน้มฟื้นตัวตามสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2567 ความเชื่อมั่นกลับอ่อนแรงลงจากความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศ และถูกซ้ำเติมเพิ่มเติมในปี 2568 จากแรงกดดันภายนอก เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าเกษตรที่ลดต่ำ และต้นทุนครัวเรือนที่สูงขึ้น

ณ เดือนสิงหาคม 2568 ดัชนียังคงอยู่ในระดับต่ำและมีทิศทางถดถอยต่อเนื่องโดยไม่ปรากฏสัญญาณการฟื้นตัว ผู้บริโภคอีสานจึงใช้จ่ายด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เลือก “รัดเข็มขัด” เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ทำให้การบริโภคโดยรวมชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าราคาสูง สินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่อาจก่อภาระหนี้ระยะยาว เช่น รถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ความต้องการซื้อจึงปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ขณะเดียวกัน ปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่เรื้อรังในภาคอีสานยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญต่อกำลังซื้อของประชาชน ไม่เพียงจำกัดศักยภาพในการจับจ่ายใช้สอย แต่ยังบั่นทอนความสามารถในการออมและการลงทุนของครัวเรือนในระยะยาวด้วย

สาเหตุของปัญหาภาคการบริโภค

“ศึกนอก-สึก(หรอ)ใน สะเทือนความเชื่อมั่นผู้บริโภคอีสาน”

ปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอีสาน มีหลายปัจจัยถาโถมเข้ามาพร้อมกันทั้งเรื่องข้างนอกและความเปราะบางภายใน 

  • ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและรายได้ไม่สอดคล้องกับรายจ่าย: ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รายงานว่า ในไตรมาส 2/68 ราคาสินค้าในชีวิตประจำวัน ‘สูงขึ้น’ กว่า 2.3% ในขณะที่รายได้ภาคเกษตรและรายนอก
  • ภาคเกษตร ‘ลดลง’ 1.3 และ 4.8% ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีสัญญาณที่ ‘ไม่ปลอดภัย’ ของครัวเรือนอีสาน
  •  การเข้าถึงสินเชื่อยังลำบาก: จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของแบงค์พาณิชย์ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ที่มีการปล่อยสินเชื่ออุปโภคบริโภคลดลงถึง 2.2% ในไตรมาส 2/68 โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ ทั้งนี้ความเข้มงวดดังกล่าว ก็เพื่อลดภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
  • ราคาสินค้าเกษตรร่วงหนัก: ตัวเลขดัชนีราคาสินค้าเกษตร เดือนกรกรฎาคม หดตัวจากปีก่อนกว่า 12% ซึ่ง 4 พืชเศรษฐกิจหลักอีสาน มีราคาต่ำลงอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะ ข้าวเปลือกเจ้า ที่ราคาหดตัวจากการส่งออกข้าวไทยที่ลดลง และมันสำปะหลัง ที่ราคาต่ำต่อเนื่องจากการที่คู่ค้าอย่างจีน เริ่มหันไปใช้พืชชนิดอื่นทดแทนในอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้จึงกระทบรายได้ของกลุ่มเกษตรกรโดยตรง ส่งผลให้ช่วงนี้กลุ่มฐานรากอีสานนั้นต้องระวังการใช้จ่ายอย่างมาก
  • ความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของการเมืองและข้อพิพาท: จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะพบว่าทุกครั้งที่มีภาวะการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของรัฐบาล จะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงเสมอ และจากภาวะปัจจุบันของรัฐบาลที่แสดงให้เห็นถึงความสั่นคลอน จากทั้ง กรณีของเก้าอี้นายกรัฐมนตรี รวมไปถึงเรื่องสำคัญอย่างความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชาที่ซึ่งภาคอีสานได้รับผลกระทบเต็มๆ ซึ่งจะส่งผลเสียให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอีสาน

แนวทางแก้ไขปัญหาภาคการบริโภค

“เร่งเยียวยา พยุงอุปสงค์วันนี้ พร้อมวางกลยุทธ์ระยะยาว ไม่ให้ตกขบวนอนาคต”

ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการเยียวยากลุ่มฐานราก โดยเฉพาะภาคการเกษตรซึ่งเป็นรายได้หลักของคนอีสาน ผ่านมาตรการระยะสั้น เช่น การประกันราคา และชดเชยรายได้เกษตรกร เพื่อช่วยบรรเทาความเสี่ยงด้านราคาและรายได้ที่ผันผวนจากผลผลิตการเกษตร ขณะเดียวกัน ในระยะยาวจำเป็นต้องลดมาตรการดังกล่าว เพื่อลอภาระทางการคลังของรัฐ และหันไปเน้นการแก้ปัญหาที่โครงสร้าง เน้นปลูกพืชทีหลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ส่งเสริมการช้เทคโนโลยี และรัฐต้องควบคุมต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะปุ๋ย ไม่ให้สูงเกินไป

ในด้านปัญหาหนี้สิน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของครัวเรือนอีสาน เสนอแนะให้มีการจัดตั้ง “คลินิกแก้หนี้ครบวงจร” ในระดับชุมชน โดยเป็นหน่วยงานกลางที่มีผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวกลางเจรจาปรับโครงสร้างหนี้แบบกลุ่มกับสถาบันการเงิน เพิ่มอำนาจต่อรองและเงื่อนไขที่ดีกว่าให้ลูกหนี้รายย่อย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระของครัวเรือนอย่างเป็นธรรม ขณะเดียวกัน ต้องวางรากฐานในระยะยาวด้วยการยกระดับความรู้ทางการเงินแก่ครัวเรือนอย่างจริงจัง ทั้งในเรื่องการวางแผนการเงิน การออม และการเข้าถึงสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ และควรมีการพัฒนาแอพลิเคชั่นด้านการจัดการทางการเงิน ที่มีฟังก์ชันบัญชีอัตโนมัติ ตั้งเป้าออม และแจ้งเตือนใช้จ่ายเกิน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการเงินอย่างยั่งยืนและทำให้การบริหารเงินครัวเรือนง่ายขึ้น

“เอกชนอีสานไม่กล้าลงทุน ผู้ประกอบการไม่เชื่อมั่น ปัญหารอบข้างรุมเร้า”

การเปลี่ยนแปลงของดัชนีการลงทุนของภาคเอกชนในภาคอีสาน (%YoY) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 แม้จะมีทิศทางฟื้นตัวในระยะสั้นช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย แต่พลวัตทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้สร้างความท้าทายใหม่ โดยเฉพาะการขยายตัวของการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ (E-Commerce) ซึ่งผู้บริโภคมองว่าสะดวก รวดเร็ว และมักมีราคาถูกกว่าการซื้อสินค้าหน้าร้าน ทำให้การจับจ่ายในร้านค้าปลีกดั้งเดิมลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการนำเข้าสินค้าจากจีนที่มีราคาต่ำกว่าสินค้าไทยอย่างมาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นหลายรายไม่สามารถแข่งขันได้จนต้องปิดกิจการ ขณะที่บรรยากาศการบริโภคที่ชะลอตัวต่อเนื่องยังบั่นทอนแรงจูงใจของผู้ประกอบการรายใหม่ ทำให้ไม่กล้าเริ่มลงทุนหรือเปิดธุรกิจเพิ่มเติม

นอกจากแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกแล้ว ปัจจัยภายในประเทศก็ยังเพิ่มความไม่มั่นใจ ทั้งจากการที่สถาบันการเงินเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากปัญหาหนี้เสียที่สะสมมายาวนานและยังแก้ไขไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง ภายหลังการสิ้นสุดตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีจากการถูกลงมติไม่ไว้วางใจและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการยิ่งสั่นคลอน

ด้วยปัจจัยลบที่รุมเร้าทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงสงครามในต่างประเทศที่กดดันเศรษฐกิจโลก ภาคเอกชนในอีสานจึงมองว่าการลงทุนในช่วงเวลานี้มีความเสี่ยงสูง และเลือกที่จะชะลอการตัดสินใจลงทุนออกไปก่อน

“ธุรกิจอีสานเจอศึกหนัก ปัญหามาแบบไม่ทันตั้งตัว”

ในเดือนสิงหาคม 2568 ภาวะเศรษฐกิจของภาคอีสานยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้น เมื่อภูมิภาคได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งผลให้การค้าชายแดนซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเศรษฐกิจอีสานหยุดชะงักจนแทบไม่สามารถดำเนินการได้ อีกทั้งการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยของสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนการส่งออกสูงขึ้นและกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการโดยตรง ภาคเอกชนจึงเลือกที่จะชะลอการลงทุนและรอดูท่าทีสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง

แม้ว่าในช่วงก่อนหน้าการปรับขึ้นภาษี ผู้ประกอบการในภาคการผลิตจะเร่งเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อ แต่หลังการบังคับใช้ภาษีใหม่ ธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ และยังไม่สามารถหาตลาดใหม่มาทดแทนได้ทันที ขณะเดียวกัน การปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชาได้ส่งผลอย่างรุนแรง โดยมูลค่าการค้าชายแดนในเดือนกรกฎาคมหดตัวลงถึง -92.6% ส่งผลกระทบต่อทั้งธุรกิจที่ขายตรงในกัมพูชา และธุรกิจที่ใช้ด่านดังกล่าวเป็นเส้นทางการขนส่งไปยังประเทศที่สาม

นอกเหนือจากแรงกดดันด้านการค้าแล้ว ปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวน รวมถึงการรัดเข็มขัดของผู้บริโภคในประเทศ ก็ยังกระทบต่อธุรกิจหลายประเภททั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก เกษตรแปรรูป และธุรกิจบริการในท้องถิ่น ซึ่งต่างเผชิญกับการชะลอตัวพร้อมกัน

“ธุรกิจไทยบุกตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม พร้อมบริหารจัดการรอบด้านเพื่อความยั่งยืน”

ในด้านของภาษีสหรัฐฯ

ธุรกิจจำเป็นต้องเร่งจัดการด้านต้นทุนอย่างรอบคอบ เพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ทำให้ต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการปรับแผนการผลิตให้สอดคล้องกับคำสั่งซื้อที่ลดลง เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาสินค้าล้นสต็อกและค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บในคลังสินค้า หากปล่อยให้มีสินค้าค้างสต็อกจำนวนมาก อาจกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่บั่นทอนความสามารถในการดำเนินธุรกิจในอนาคตได้ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐฯ ที่อาจต้องเร่งเข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

แนวทางการปรับตัวในระยะสั้น ผู้ประกอบการควรเน้นการกระจายความเสี่ยง และ การปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผ่านการลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และการมองหาตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการส่งออกสินค้า รวมถึงการปกป้องห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า ป้องกันปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์ และสนับสนุนการใช้ local content เพื่อส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ และผลักดันแบรนด์ของสินค้าไทยเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในและนอกประเทศ

ในระยะยาวควรมีการยกระดับมูลค่าสินค้าและธุรกิจ และลดต้นทุนไปพร้อมกัน ผ่านการสนับสนุนให้ SME ลงทุนเทคโนโลยี เพื่อแก้ปัญหาแรงงาน และใช้ข้อมูล ในการวางแผนการตลาดและธุรกิจ รวมไปถึงการปรับตัวเข้าหาแนวคิดการดำเนินธุรกิจแบบ ESG เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่ตลาดและเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ 

 

ในด้านของข้อพิพาทไทย-กัมพูชา

ในกรณีที่ผู้ประกอบการใช้กัมพูชาเป็นเส้นทางผ่านเพื่อส่งออกสินค้าไปยังปลายทาง การเปลี่ยนเส้นทางถือเป็นทางเลือกที่จำเป็นเพื่อให้ยังคงรักษาการค้ากับคู่ค้าได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม การปรับเส้นทางย่อมมาพร้อมกับต้นทุนด้านการขนส่งที่สูงขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้จากการขายนั้นยังสามารถทำกำไรได้หรือไม่

ภาครัฐจึงควรมีมาตรการเยียวยาในระยะสั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน (ช็อก) ต่อธุรกิจ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง การสนับสนุนทางการเงิน เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ หรือการลดภาระทางภาษี จะช่วยรักษาสภาพคล่องของธุรกิจ ป้องกันการปิดกิจการ และรักษาการจ้างงาน ซึ่งเป็นผลดีต่อทั้งผู้ประกอบการ แรงงาน และเศรษฐกิจโดยรวม

ในระยะยาว หากสถานะทางการทูตไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียดและไม่มีความชัดเจน อาจทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาย้ายฐานการผลิตหรือถอนการลงทุนไปยังประเทศที่มีเสถียรภาพมากกว่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจในระดับภูมิภาค ภาครัฐจึงควรเร่งรัดการเจรจาปักปันเขตแดนและหาข้อยุติที่ชัดเจนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งโดยเร็ว ลดความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจ และสร้างความมั่นคงต่อแรงงานและห่วงโซ่อุปทานในระยะปานกลางถึงยาว

เศรษฐกิจจีนน่าห่วง เสี่ยงเงินฝืด กระทบกลุ่มฐานรากอีสาน

แม้ GDP ของจีนในครึ่งปีแรกจะขยายตัวกว่า 5.3% แต่เศรษฐกิจจีนยังเผชิญปัญหาน่ากังวล โดยเฉพาะภาวะ เงินฝืด ซึ่งสะท้อนผ่านอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเพียง 0.1% ในช่วงปี 2567 – ก.ค. 2568 และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ติดลบต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในระยะถัดไปยังมีความเสี่ยงจากการส่งออกที่ชะลอตัว และปัญหา ผลผลิตส่วนเกิน (Oversupply)

สัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลกระทบต่อไทยในหลายด้าน ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยลดลง และโดยเฉพาะต่อภาคอีสาน เมื่ออุตสาหกรรมการผลิตเอทานอลของจีนเริ่มลดการพึ่งพามันสำปะหลังจากไทย ส่งผลให้ราคามันสำปะหลังตกต่ำลง

ปัญหาผลผลิตล้นตลาด เป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจจีน เนื่องจากการลงทุนในภาคการผลิตยังเติบโตเร็วกว่าความต้องการทั้งในและต่างประเทศ

ด้าน เงินฝืด ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของจีน สาเหตุหลักมาจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว

ขณะเดียวกัน การปรับทิศทางการผลิตเอทานอลของจีนที่ลดการนำเข้ามันสำปะหลังจากไทย และหันมาใช้ ข้าวโพดที่ผลิตในประเทศ ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ได้กดดันให้ราคามันสำปะหลังร่วงลงอย่างมาก แม้ในครึ่งปีแรกของปี 2568 จะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากการเร่งผลิตชั่วคราว แต่ราคายังคงไม่ฟื้นตัว ซึ่งกระทบต่อภาคเกษตรในอีสานอย่างเด่นชัด

“ลุยตลาดรอง ดันสินค้าแปรรูป เจาะตลาดโลก ลดพึ่งพาจีน”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยถือเป็นผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายใหญ่ให้แก่ประเทศจีน โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกในรูปแบบหัวมันดิบที่ยังไม่ได้ผ่านการแปรรูป อย่างไรก็ตาม ราคามันสำปะหลังดิบที่ตกต่ำในช่วงที่ผ่านมาและยังคงกดดันจนถึงปัจจุบัน ได้สร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกร แม้ว่าจะสามารถขายผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณมากกว่าปีก่อนหน้า แต่กลับได้ราคาที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังมีมูลค่าสูงกว่า และยังสามารถขยายตลาดได้หลากหลายประเทศ ไม่จำกัดเพียงจีน

 

มาตรการระยะสั้น

มาตรการประกันราคาโดยเปลี่ยนจากการอุดหนุนโรงงานโดยตรง มาเป็นการอุดหนุนส่วนต่างราคาผ่านสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน โดยเกษตรกรจะนำผลผลิตมาขายให้สหกรณ์ในราคาประกันที่รัฐกำหนด จากนั้นสหกรณ์จะรวบรวมและส่งขายให้โรงงาน ขณะที่รัฐชดเชยส่วนต่างราคาให้สหกรณ์ เนื่องจากในหลายๆตำบล หรือหมู่บ้านนั้นจะมีสหกรณ์ฯ หรือกลุ่มต่างๆอยู่แล้ว และชาวบ้านส่วนใหญ่นั้นย่อมมีความไว้ใจ และเชื่อใจในการทำงานของสหกรณ์ฯ มากกว่าการติดต่อกับคู่ค้าหรือโรงงานโดยตรง ทำให้การที่มีสหกรณ์ฯ เป็นตัวกลางนั้นย่อมดีกว่า และวิธีนี้จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกรรายย่อย ลดค่าขนส่ง เพิ่มความโปร่งใส และทำให้เกษตรกรเข้าถึงระบบประกันราคาได้สะดวกขึ้นมากกว่าการให้โรงงานรับซื้อโดยตรง

 

มาตรการระยะยาว

การพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังเป็นสิ่งจำเป็นต่อการยกระดับห่วงโซ่อุปทานในประเทศ การแปรรูปไม่เพียงช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ แต่ยังสร้างเสถียรภาพด้านการผลิต การจ้างงาน และความแข็งแรงของอุตสาหกรรมในประเทศ โดยประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายใหญ่ของโลก ย่อมมีศักยภาพที่จะต่อยอดสู่การส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปในวงกว้างมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านอุปทานยังคงมีอยู่ หากพึ่งพาผลผลิตในประเทศเพียงอย่างเดียว เมื่อเกิดภัยแล้งหรือสภาพอากาศแปรปรวนที่ทำให้ผลผลิตลดลง กำลังการผลิตในประเทศย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นการเตรียมความพร้อมด้านวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาวหรือกัมพูชา จึงยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานของไทยมีความยืดหยุ่นและสามารถรักษาความต่อเนื่องในการผลิตได้

—————————————————————————————————————-

คณะผู้จัดทำ

 

  • ที่ปรึกษาโครงการ
  • ผศ.ประเสริฐ วิจิตรนพรัตน์

 

  • นักวิเคราะห์
  • นาย ธนสาร อิทธิสัมพันธ์
  • นาย วิชัยเลิศ กตะศิลา
  • นาย ภูวาริน สะตะ

 

  • นักออกแบบกราฟฟิค
  • นางสาว อรัชณีกร บุญวิเศษ

 

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top