สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568

สินค้าจีนทะลัก 3.0🇨🇳 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568
สรุปประเด็นหลัก #KeyInsights
🔑ผลพวงสงครามการค้า ดันสินค้าจีนทะลักเข้าไทย พุ่งจากปีก่อนหน้ากว่า 23%
🔑ผลักสัดส่วนต่อการนำเข้าจากจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้นกว่า 5%
🔑มูลค่าการนำเข้าจากจีน ผ่านสปป.ลาว ในปี 2568 (ม.ค. – ก.ค.) มีมูลค่ากว่า 156,247 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 24.2 %

ใช่ครับ ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือยืนยันว่า **สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ** โดยเป็นผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า .


ฮู้บ่ว่า? ปี 2568 มีแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่เข้ามาในไทยมาขึ้น แม้ปีก่อนหน้าจะมีกระแสการทะลักเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว สะท้อนคลื่นสินค้าที่อาจเข้าระลอกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมจากผลของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ

การทะลักของสินค้าจีน 3.0

ข้อมูล 7 เดือนล่าสุดของปี 2568  (มกราคม ถึง กรกฎาคม) ชี้ให้เห็นการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 23.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และโดยที่คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทยที่สูงถึง 30.3% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย

 

ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า

แนวทางการเร่งการส่งออกมายังไทย และประเทศในแถบอาเซียนของจีน สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของการใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี
จากข้อมูลของ Trad Map การส่งออก 2 ไตรมาสแรกจากจีนไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 12.2% โดยมีอัตราการเติบโตมากสุดในการส่งออกไปยัง กัมพูชา(24.2%) ไทย(20.2%) และเวียดนาม(20%)

 

ทะลักเข้าแดนอีสานโดยตรง

“เส้นทางบกสายใหม่” ที่สินค้าจีนไม่ได้มาแค่ทางเรืออีกต่อไป แต่ยังทะลักผ่านลาวเข้าชายสู่ชายแดนฝั่งภาคอีสานโดยตรง ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจีนผ่านแดนสปป.ลาว สูงขึ้นถึง 24.2% จากข้อได้เปรียบด้านการขนส่งผ่านรถไฟลาวจีนที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งถูกขึ้น
ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขการขาดดุลการค้า แต่อาจสะท้อนถึงความเปราะบางของผู้ประกอบการและ SME ไทย ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้าต้นทุนต่ำกว่า การทะลักเข้ามาของสินค้าผ่านช่องทางใหม่นี้ยังเป็นการท้าทายศักยภาพการแข่งขันของผู้ค้ารายย่อยในระดับภูมิภาคโดยตรง รวมถึงปัญหาการสวมสิทธิของสินค้าที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยโดยตรง
จึงอาจต้องมีการเข้ามาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดระเบียบและมาตรฐานของสินค้านำเข้า สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมผู้ประกอบการในประเทศ

 

สถิติการนำเข้าล่าสุด (ปี 2568 เทียบ ปี 2567)

  • ตัวเลขการนำเข้า: ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 การนำเข้าสินค้าจากจีนมายังไทย เพิ่มขึ้นสูงสุดในอาเซียนที่ 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า [1]
  • ขาดดุลการค้า: จากตัวเลขการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทย ขาดดุลการค้ากับจีนหนักขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 2.2 แสนล้านบาท [2]
  • สินค้าที่ทะลักเข้ามา: สินค้าที่คาดว่าจะทะลักเข้ามามากที่สุดส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องใช้สำหรับโทรคมนาคมและอุปกรณ์เครือข่าย, รถยนต์ (สำเร็จรูป/ชิ้นส่วน), และคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ [3]

ผลกระทบจากสงครามการค้า

  • สงครามการค้า(Trade War) ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยสหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจีนในอัตราสูงถึง 30% [4] ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การเบี่ยงเบนทางการค้า” (Trade Diversion) คือเมื่อสินค้าจีนไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างคุ้มค่า ก็จะถูกกระจายไปยังตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญในภูมิภาคอาเซียน [3]

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจไทย

  • ธุรกิจไทยขาดทุน: สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาส่วนใหญ่มีราคาถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในไทยมาก ทำให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ จนต้องลดกำลังการผลิต หรือบางส่วนอาจต้องปิดกิจการลง [5]
  • การทุ่มตลาด: ผู้ประกอบการจีนใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซในการเข้าถึงผู้บริโภคไทยโดยตรง และใช้กลยุทธ์การลดราคาและจัดส่งฟรี ทำให้เกิดการทุ่มตลาด (Dumping) และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจในประเทศ [5]
  • ความเสี่ยงต่อมาตรฐานสินค้า: สินค้านำเข้าบางส่วนอาจไม่มีคุณภาพหรือมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้ผู้บริโภคไทยมีความเสี่ยงในการใช้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

แหล่งที่มา:

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top