ฮู้บ่ว่า
จีน
มีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน
นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ ภายใต้แนวคิด “ทรัมป์ 2.0” ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนถึงการตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงต่อสินค้าจากจีน ได้ส่งผลให้จีนต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การส่งออกครั้งสำคัญ
โดยข้อมูลล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญต่อพลวัตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค โดยจีนที่มีการเร่งการส่งออกเข้าสู่สหรัฐฯต้นปี เริ่มชะลอตัวและหันมาส่งออกสู่ตลาดอาเซียนมากขึ้น
ซึ่งมูลค่าการส่งออกโดยตรงจากจีนไปยังสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 215,909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงถึง 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (241,587 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
การหดตัวนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนและผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบรุนแรงจากต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้น และลดการค้าโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและต้นทุนจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น
ยุทธศาสตร์ตอบโต้ของจีน: ใช้ “อาเซียน” เป็นฐานทัพใหม่
เมื่อประตูการค้าสู่สหรัฐฯ แคบลง จีนไม่ได้ยอมจำนน แต่เลือกใช้กลยุทธ์ “เบนเข็ม” โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งมีพรมแดนติดกันและมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจสูง การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของจีนมายังภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด:
ภาพรวมอาเซียน: การส่งออกของจีนมายังอาเซียน เติบโตขึ้น 12.2%
- กัมพูชา: เติบโตสูงสุดถึง +24.0%
- ไทย: เติบโต +20.2%
- เวียดนาม: เติบโต +20.0%
ซึ่งนัยนึงอาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนถึง “ทางเลี่ยง” ในการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ไม่ได้หมายความว่าสินค้าจีนทั้งหมดจะถูกบริโภคภายในอาเซียนเท่านั้น แต่มีนัยสำคัญเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์นี้ คือ “การใช้ประเทศที่สามในการสวมสิทธิสินค้า
กระบวนการนี้ทำงานได้จากการ ส่งชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished goods) หรือวัตถุดิบมายังโรงงานในประเทศอาเซียน เช่น ไทย หรือ เวียดนาม และถูกนำมาผ่านกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า ให้กลายเป็น “Made in Thailand” หรือ “Made in Vietnam”
สรุป: แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การย้ายตลาด แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก” ครั้งใหญ่ โดยมีสงครามการค้าเป็นตัวเร่ง ประเทศไทยและอาเซียนกำลังอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับทั้งโอกาสและความท้าทาย การวางนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสมดุล จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับภูมิทัศน์การค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้