Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พาอัพเดทเบิ่ง .. รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย  กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย

ทำความรู้จักกับ “รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย” ระยะทาง 606.17 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง 36 นาที กับราคาเพียง 1,171 บาท คาดว่าจะมีการเปิดให้บริการ ปี 2575   โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – หนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง แบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ระยะด้วยกัน ดังนี้   ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ – นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 253 กิโลเมตร วงเงิน 179,413 ล้านบาท โดยรัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (ปีงบฯ 60-63) ซึ่งปัจจุบันโครงการฯ ระยะที่ 1 ล่าช้ากว่ากำหนด โดยมีความคืบหน้าโดยรวม 38% โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2571   ในระยะที่ 1 นี้มีจำนวน 6 สถานีด้วยกัน มีจุดเริ่มต้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ผ่านสถานีดอนเมือง สถานีอยุธยา สถานีสระบุรี สถานีปากช่อง และสิ้นสุดที่สถานีนครราชสีมา โดยจะใช้เวลาเดินทางจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ไปยังสถานีนครราชสีมาเพียง 1 ชั่วโมง 36 นาที และมีอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 529 บาท     ระยะที่ 2 นครราชสีมา – หนองคาย ระยะทางประมาณ 357.12 กิโลเมตร วงเงินรวมกว่า 341,351 ล้านบาท มีจุดเริ่มต้นที่สถานีนครราชสีมา ประกอบไปด้วย 5 สถานี  (1) สถานีบัวใหญ่ (2) สถานีบ้านไผ่ (3) สถานีขอนแก่น (4) สถานีอุดรธานี และสิ้นสุดที่ (5) สถานีหนองคาย ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปีงบประมาณ 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2575 (รวม 8 ปี)    โดยในระยะที่ 2 จะมีการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา ที่ จังหวัดหนองคาย เป็นศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายสินค้าทางรถไฟ ทั้งขาเข้า-ออก ระหว่างทางขนาด 1 เมตรของรถไฟไทย และขนาดทางมาตรฐาน 1.45 เมตร ของโครงการรถไฟลาว-จีน ในรูปแบบ One Stop […]

พาอัพเดทเบิ่ง .. รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย  กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง!  บริษัทเหล่านี้ดําเนินกิจการมากี่ปี ปัจจุบันถึงมีรายได้มากสุดของจังหวัดในอีสาน

ชวนมาเบิ่ง!  บริษัทเหล่านี้ดําเนินกิจการมากี่ปี ปัจจุบันถึงมีรายได้มากสุดของจังหวัดในอีสาน . หลากหลายกิจการที่ก่อกําเกิดขึ้นในเเต่ละจังหวัดในอีสาน ต่างก่อตั้งเเละล้มเลิกไปตามกระเเสกาลเวลาเเละเศรษฐกิจในเเต่ละช่วงสถานการณ์  . เเต่ละจังหวัดในอีสานต่างมีกิจการที่สามารถทํารายได้มากที่สุดของจังหวัดเป็นหน้าเป็นตาถึงความสําเร็จในทางค้าขาย เเต่กว่าจะมีวันนี้กิจการเหล่านี้เริ่มต้นก่อร่างสร้างตัวกิจการมาเป็นระยะเวลาเท่าใดถึงยังคงดํารงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน  . จากข้อมูล กิจการที่มีรายได้มากที่สุดของเเต่ละจังหวัดในอีสานเเละมีอายุกิจการมากที่สุดคือ บริษัท เล้งเส็ง จำกัด ในกลุ่มบริษัท เล้งเส็ง กรุ๊ป ที่เป็นผู้นำด้านการค้าปลีกและค้าส่งแห่งใหญ่ของจังหวัดสกลนคร ที่จดทะเบียนจดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด เล้งเส็ง ในวันที่ 1 เมษายน  พ.ศ. 2511 เเละเเปรสภาพในปี พ.ศ. 2552 ปัจจุบันดําเนินกิจการมาราว 56  ปีเสียจะได้ ส่วนบริษัท ซีวายวาย โกลบอล จำกัด  ที่ทําธุรกิจการผลิตสตาร์ชมันสำปะหลัง จนมีรายได้กว่า 2,4447 ล้านบาทมากที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ มีอายุกิจการน้อยสุดเพียง 7 ปีเท่านั้น . กิจการที่รายได้มากที่สุดในอีสานอย่าง  บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จากร้อยเอ็ดก็ใช้เวลาเดินทางร่วมกว่า   29 ปี จนเป็นกิจการที่มีรายได้กว่า 30,000 กว่าล้านบาทต่อปีในปัจจุบัน . แต่ละบริษัทไม่เพียงแต่สร้างรายได้มหาศาล เเต่ยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดของตนอย่างมีนัยสำคัญ จากบริษัทที่มีอายุหลายปีถึงบริษัทใหม่ที่เข้ามาในตลาด ทุกบริษัทล้วนทำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเติบโตและพัฒนาที่ยั่งยืนในอีสาน ยิ่งไปกว่านั้นความสำเร็จของกิจการเหล่านี้ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคนี้.   . หมายเหตุ :นับจากวันที่จดทะเบียนจัดตั้ง, ข้อมูลรายได้ปี 2566 ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า,เว็บไซต์ของบริษัท .. ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ธุรกิจรายได้มากสุด #บริษัทรายได้มากสุด #บริษัทอายุมากสุด #บริษัทเก่าสุด

ชวนมาเบิ่ง!  บริษัทเหล่านี้ดําเนินกิจการมากี่ปี ปัจจุบันถึงมีรายได้มากสุดของจังหวัดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง! บริษัทเหล่านี้ดําเนินกิจการมากี่ปี ปัจจุบันถึงมีรายได้มากสุดของจังหวัดในอีสาน

จุดเริ่มต้นของฟาร์มโชคชัย เรื่องราวของฟาร์มแห่งนี้เริ่มต้นจาก คุณโชคชัย บูลกุล ชายหนุ่มผู้หลงใหลในวิถีชีวิตแบบ “คาวบอย” ความฝันของเขาพาให้เขาเดินทางไปศึกษาต่อด้านสัตวบาลที่ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐอเมริกา เพื่อสานต่อความหลงใหลให้กลายเป็นอาชีพ คุณโชคชัยเป็นบุตรชายของ นายมา บูลกุล และ นางบุญครอง บูลกุล เจ้าของอาณาจักรโรงสีข้าวและห้างสรรพสินค้า “มาบุญครอง” (MBK) ที่มีชื่อเสียงใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะเติบโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ แต่เส้นทางที่เขาเลือกเดินนั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เมื่อกลับมาจากสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2500 แม่ได้มอบรถสปอร์ตเป็นของขวัญ เขาขับรถท่องไปตามถนนมิตรภาพจนมาถึงอำเภอปากช่อง และตกหลุมรักธรรมชาติอันงดงามของ ป่าดงพญาไฟ ความประทับใจครั้งนั้นทำให้เขาตัดสินใจสร้างฟาร์มของตัวเอง เขาขอเงินลงทุนจากครอบครัว 1 แสนบาท แต่ได้รับเพียง 2 หมื่นบาท เท่านั้น ด้วยความมุ่งมั่น เขาจึงกลับไปช่วยบริหารธุรกิจโรงสีของครอบครัวเพื่อเก็บเงินสะสมจนสามารถซื้อที่ดินและเริ่มต้นเป็นคาวบอยได้ตามที่ฝัน จากฟาร์มเล็กๆ สู่ธุรกิจร้อยล้าน ชีวิตของคุณโชคชัยไม่ได้ราบรื่นเสมอไป หลังจากทำฟาร์มได้ 7 ปี เขาพบว่าหากดำเนินกิจการแบบเดิมต่อไป ฟาร์มอาจไปไม่รอด เขาจึงตัดสินใจทำอาชีพเสริมในด้านการก่อสร้าง หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญคือการเปิดร้านอาหาร “โชคชัยสเต็กเฮ้าส์” ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2514 บนชั้น 23 ของ “ตึกโชคชัย” ซึ่งเคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม ฟ้าก็ยังคงไม่เข้าค้างเข้า เมื่อสัญญาจ้างก่อสร้างสนามบิน 8 แห่งของสหรัฐฯ ถูกยกเลิก เพราะสหรัฐฯ ถอยทัพจากสงครามเวียดนาม ด้วยปัญหาทางการเงิน ตึกโชคชัยถูกขายไป และปัจจุบันกลายเป็น สำนักงานใหญ่ของธนาคารยูโอบี (UOB) แต่แม้จะสูญเสียทรัพย์สินบางส่วน ธุรกิจฟาร์มโชคชัยกลับเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟาร์มโชคชัยในปัจจุบัน ปัจจุบัน ฟาร์มโชคชัย มีพื้นที่ประมาณ 20,000 ไร่ และโคนมกว่า 3,000 ตัว นอกจากนี้ยังมีบริษัทในเครืออีก 6 บริษัท ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายด้าน ภายใต้การบริหารของ คุณโชค บูลกุล ทายาทรุ่นที่สอง ธุรกิจครอบครัวแห่งนี้เติบโตขึ้นจากความฝันของผู้เป็นพ่อ การวางแผนบริหารของผู้เป็นแม่ และการสืบทอดเจตนารมณ์โดยลูกชาย ทุกองค์ประกอบเหล่านี้ช่วยผลักดันให้ “ฟาร์มโชคชัย” กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจที่แข็งแกร่ง และพร้อมปรับตัวเพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคง หากพูดถึงฟาร์มโชคชัย ธุรกิจหลักที่หลายคนจะนึกถึงกันนอกจากฟาร์มโคนมได้แก่ ธุรกิจอาหารของร้านโชคชัยสเต็กเฮ้าส์ จากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2514 และในปี พ.ศ. 2529 ได้ขยายสาขามายังฟาร์มโชคชัย ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในจุดแวะพักยอดนิยมสำหรับผู้ที่เดินทางผ่านปากช่อง และต่อมาในปี พ.ศ. 2534 ได้เปิดสาขาเพิ่มที่รังสิต จนกลายเป็นร้านอาหารที่ได้รับความนิยมและมีลูกค้าประจำที่พร้อมกลับมาซ้ำอีก ความพิเศษของโชคชัยสเต็กเฮ้าส์อยู่ที่คุณภาพของเนื้อวัว ซึ่งมาจากวัวที่เลี้ยงเองในฟาร์มโชคชัย คัดสรรสายพันธุ์อย่างพิถีพิถัน พร้อมด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูงและกรรมวิธีการปรุงที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด รสชาติของสเต็กที่ถูกปรุงออกมาอย่างสมบูรณ์แบบนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานที่ทำให้ร้านยังคงครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน อีกหนึ่งธุรกิจที่หลายคนคุ้นเคยกันดีเมื่อเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อนั่นคือนมแบรนด์ฟาร์มโชคชัย แต่หนึ่งสิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบคือนมแบรนด์ฟาร์มโชคชัยนั้นไม่ใช่ของฟาร์มโชคชัยแล้ว ผลจากในช่วงที่คุณโชคชัยทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จัดหาเครื่องจักรกล และอุปกรณ์ก่อสร้างให้แก่กองทัพอากาศอเมริกัน ในปี 2512 บริษัทได้บุกเบิกกิจการฟาร์มโคเนื้อจนถึงปี 2519 ฟาร์มโชคชัยประสบปัญหาการผลิต ทำให้ผันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจโคนม

ชวนมาเบิ่ง! บริษัทเหล่านี้ดําเนินกิจการมากี่ปี ปัจจุบันถึงมีรายได้มากสุดของจังหวัดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง พระพุทธรูปไม้ ทั้ง 7 ปางในอีสาน

พามาเบิ่งตัวอย่าง พระพุทธรูปไม้ ทั้ง 7 ปางในอีสาน . พระพุทธรูปไม้ในภาคอีสานเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความศรัทธาและฝีมือของบรรพบุรุษไทย การแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อพระพุทธเจ้า แต่ยังเป็นการสืบสานศิลปะและวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณ ในบทความนี้ เราจะพาท่านไปทำความรู้จักกับพระพุทธรูปไม้ทั้ง 7 ปางที่พบในภาคอีสาน ซึ่งแต่ละปางมีความหมายและประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ   ปางพิศดารปาง: เป็นอิริยาบถที่พระพุทธองค์เสด็จไปยังสำนักงานชฏิล บริวารริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา พระพุทธองค์สามารถเสด็จจงกรมอยู่ได้ในกลางแจ้งท่ามกลางสายฝนโดยไม่เปียก ทำให้คนทั้งหลายยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์ ปางนี้สะท้อนถึงพลังอำนาจและความเมตตาของพระพุทธเจ้าในการโปรดสัตว์   ปางห้ามญาติ: แสดงถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปห้ามสงครามการแย่งน้ำระหว่างพระญาติฝ่ายพระบิดา (กษัตริย์ชาวศากยะ) กับพระญาติฝ่ายพระมารดา (กษัตริย์ชาวโกลิยะ) พระพุทธรูปไม้ปางห้ามญาติพบในภาคอีสานจำนวนเพียง 5 องค์เท่านั้น สะท้อนถึงความหายากและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของปางนี้   ปางประทับยืน:เป็นอิริยาบถที่พระพุทธองค์เสด็จออกโปรดสัตว์ ณ หน้ามุขพระคันธกุฏิ หรือบางครั้งอาจเป็นปางประทับยืนบำเพ็ญสมาธิ ปางนี้แสดงถึงความพร้อมในการเผยแผ่ธรรมและความสงบในจิตใจของพระพุทธเจ้า   ปางพิจารณาชราธรรม: แสดงถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ประทับจำพรรษา ณ บ้านเวฬุวคาม ในพรรษานั้นพระองค์ทรงประชวรหนัก แต่สามารถขับไล่พยาธิทุกข์ให้ระงับลงด้วยอิทธิบาทภาวนา ปางนี้สอนให้เราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิตและการพิจารณาธรรมเพื่อความหลุดพ้น   ปางสมาธิราบ (ปางตรัสรู้): เป็นอิริยาบถนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา โดยพระหัตถ์ขวาจะวางทับพระหัตถ์ซ้าย ปางนี้พบมากเป็นอันดับสองรองจากปางมารวิชัย โดยพบถึง 180 องค์ในภาคอีสาน แสดงถึงความสำคัญของการบำเพ็ญสมาธิและการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า   ปางมารวิชัย: เหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะมารผจญ โดยประทับนั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์ นิ้วชี้พระแม่ธรณีเป็นพยานในการเอาชนะมาร บางครั้งเรียกว่าปางสะดุ้งมาร ปางนี้นิยมทำเป็นพระประธานในโบสถ์ และพบมากที่สุดในภาคอีสานถึง 1,243 องค์ จากพระไม้ทั้งหมด 1,669 องค์   ปางนาคปรก: พระพุทธจริยาที่เสด็จประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขภายในวงขนดของพญานาคที่ขนดแวดล้อมพระกาย ปางนี้สะท้อนถึงการปกป้องและความสงบสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม   พระพุทธรูปไม้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธา แต่ยังเป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนถึงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของช่างไม้ในอดีต ในปัจจุบันมีการรวบรวมและจัดแสดงพระพุทธรูปไม้ในพิพิธภัณฑ์และวัดต่างๆ ในภาคอีสาน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมนี้สืบไป . ที่มา: ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #วิถีไทบ้าน #ISANCulture #พระพุทธรูปไม้  #พระพุทธรูปในภาคอีสาน #พระพุทธรูปไม้ในภาคอีสาน #พระพุทธรูป #พระพุทธรูปไม้ #ศาสนาพุทธ #องค์พระปฎิมา

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง พระพุทธรูปไม้ ทั้ง 7 ปางในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

จีนลงทุนในไทย อุตสาหกรรมไหนกำลังมาแรง

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของจีนในไทยในหลายด้าน ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ผลกระทบเชิงบวก การย้ายฐานการผลิต: สงครามการค้าทำให้บริษัทจีนหลายแห่งตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้นจากสหรัฐฯ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตนี้ เนื่องจากมีปัจจัยดึงดูดหลายประการ เช่น ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ โครงสร้างพื้นฐานที่ดี แรงงานที่มีฝีมือ และนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูด การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่: บริษัทจีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย การขยายตลาด: บริษัทจีนใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้กับประเทศไทย ผลกระทบเชิงลบ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น: การเข้ามาลงทุนของบริษัทจีนอาจทำให้เกิดการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นกับธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การลงทุนบางโครงการอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยมลพิษ หรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน การพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป: ประเทศไทยอาจพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงในอนาคต หากความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไป ไทยอาจโดนผลพวงจากการกีดการการค้าและการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ: โดยสหรัฐฯ จะใช้ข้ออ้างที่จีนย้ายการลงทุนมาไทยเพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ และสินค้าดั่งเดิมที่ผลิตโดยผู้ประกอบการไทยอาจได้รับผลกระทบจากการกีดกันทางการค้า แนวทางการรับมือ รัฐบาลไทยควรมีนโยบายที่รอบคอบและระมัดระวังในการรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้า และการลงทุนของจีน โดยมีแนวทางดังนี้: ส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณภาพ: รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุน SMEs ไทย: รัฐบาลควรให้การสนับสนุน SMEs ไทยในการแข่งขันกับบริษัทจีน เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพัฒนาเทคโนโลยี และการตลาด กระจายความเสี่ยง: รัฐบาลควรส่งเสริมการลงทุนจากหลากหลายประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป สร้างความร่วมมือ: รัฐบาลควรสร้างความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เพื่อรับมือกับความท้าทายจากสงครามการค้าและการลงทุนจากจีน สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้มองเห็นช่องทางการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯและยุโรป เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีสินค้าจีนที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่สมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง โดยที่ผ่านมาไทยมีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีสัดส่วนการพึ่งพาสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนสงครามการค้า ส่งผลให้จีนมองเห็นโอกาสในการขยายฐานการผลิตออกมาในไทย เพื่อลดต้นทุนและตอบสนองความต้องการของสินค้าจีนที่มีมากในตลาด ประเทศไทยเนื้อหอม ดึงดูดนักลงทุนจีน ตั้งโรงงานผลิตในไทย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักลงทุนจากจีน ที่ต้องการขยายฐานการผลิตและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ประเทศไทยน่าสนใจสำหรับนักลงทุนจีน ได้แก่ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ ประเทศไทยตั้งอยู่ในใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว การลงทุนในไทยช่วยให้บริษัทจีนสามารถเข้าถึงตลาดในภูมิภาคนี้ได้ง่ายขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาอย่างดี เช่น ถนน ท่าเรือ สนามบิน และระบบไฟฟ้า ซึ่งเอื้อต่อการขนส่งสินค้าและการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ แรงงานที่มีฝีมือและค่าแรงที่เหมาะสม ประเทศไทยมีแรงงานที่มีฝีมือและมีทักษะหลากหลายสาขาอาชีพ นอกจากนี้ ค่าแรงในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูด รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เช่น การลดหย่อนภาษี การยกเว้นภาษี และการอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งธุรกิจ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีน ไทยและจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจีนในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย . การลงทุนจากจีนในโรงงานของไทยรวมไปถึงการตั้งโรงงานของจีน มักจะกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่จีนได้เปรียบและไทยมีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากจีนและข้อมูลการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย เช่น อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก

จีนลงทุนในไทย อุตสาหกรรมไหนกำลังมาแรง อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ปี 2568 อบจ.อีสาน ได้รับงบประมาณเท่าไร?

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในรูปแบบเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการต่างๆ ภายในจังหวัด โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการคลังระหว่างชุมชนท้องถิ่น เสริมสร้างรายได้ให้แก่หน่วยงาน และเป็นกลไกในการกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่ท้องถิ่น หลังการเลือกตั้งนายกและสมาชิก อบจ. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา อีสานอินไซต์ จึงขอนำเสนอ ข้อมูลการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2568 ของ อบจ. แต่ละจังหวัดในภาคอีสาน พร้อมชวนดูประเด็นที่น่าสนใจ อบจ.นครราชสีมา ยังคงเป็นผู้ได้รับงบประมาณสูงสุดที่ 2,417,148,800 บาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน โดย 68% ของงบประมาณถูกจัดสรรไปยังด้านการศึกษา ตามมาด้วย อบจ.ขอนแก่น ที่ได้รับงบประมาณ 1,498,012,800 บาท เพิ่มขึ้น 7% โดย 48% เป็นงบบริหารจัดการ ในส่วนของอันดับ 3-20 ได้แก่ อบจ.ศรีสะเกษ 1,381,533,200 บาท  เพิ่มขึ้น 5% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 63% อบจ.มหาสารคาม 970,081,400 บาท  เพิ่มขึ้น 15% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 42% อบจ.ชัยภูมิ 933,079,500 บาท  เพิ่มขึ้น 9% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 62% อบจ.ร้อยเอ็ด 851,729,300 บาท  เพิ่มขึ้น 2% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 67% อบจ.อุบลราชธานี 803,190,000 บาท เพิ่มขึ้น 15% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 54% อบจ.สกลนคร 760,993,900 บาท  เพิ่มขึ้น 3% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 62% อบจ.กาฬสินธุ์ 722,528,600 บาท  เพิ่มขึ้น 10% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 55% อบจ.มุกดาหาร 358,615,800 บาท  เพิ่มขึ้น 13% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 77% อบจ.หนองบัวลำภู 353,781,300 บาท  เพิ่มขึ้น 8% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 69% อบจ.อำนาจเจริญ 323,363,000 บาท  เพิ่มขึ้น 13% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 69% อบจ.อุดรธานี 314,878,500 บาท เพิ่มขึ้น 4% ส่วนใหญ่เป็นด้านศึกษา 56% อบจ.เลย 296,701,500 บาท

พามาเบิ่ง ปี 2568 อบจ.อีสาน ได้รับงบประมาณเท่าไร? อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก “เงินเทอร์โบ” ธุรกิจสินเชื่อที่สร้างรายได้กว่า 2 พันล้าน เตรียม IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ ปี 68

บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) หรือ TURBO ให้บริการสินเชื่อภายใต้การกำกับของ ธปท. ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ ภายใต้ชื่อทางการค้า “เงินเทอร์โบ” ซึ่งหุ้นในกลุ่มสินเชื่อแม้ปีที่ผ่านมาจะเผชิญกับความปั่นป่วนทั้วภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก และดอกเบี้ยที่เป็นต้นทุนในการระดมเงินทุน อยู่ในระดับที่สูงมาก  แต่เมื่อดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ทำให้โอกาสทางธุรกิจดูเปิดกว้างมากขึ้น ทั้งนี้ เงินเทอร์โบ มีที่ปรึกษาทางการเงิน คือ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) โดยจะเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน ไม่เกิน 537,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 20.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ ออกและชำระแล้วทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 447,780,000 หุ้น (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยบริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด จำนวนไม่เกิน 89,220,000 หุ้น    “เงินเทอร์โบ” ผู้เล่นตลาดสินเชื่อรายย่อย ที่ตัดสินใจกระโดดเข้ามาท้าชิงส่วนแบ่ง ‘เค้กก้อนโต’ จากคู่แข่งในสนามเดียวกัน เพราะเชื่อในการทำธุรกิจที่นึกถึงเบื้องลึกคนรากหญ้า การพัฒนาบุคลากร และตั้งใจคิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อแก้ปัญหาโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง   “เงินเทอร์โบ” มีผลประกอบการ 3 ปี โตเกินเท่าตัวทุกปี ชูจุดเด่นเข้าใจความต้องการของลูกค้า สร้างกระแสการแนะนำปากต่อปาก เตรียม IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ ปี 2568 เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ขยายบริการครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อแตะหมื่นล้านภายในปีหน้าเปิดครบ 3,000 สาขา   ผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี ปี 2564 รายได้รวม 1,036 ล้านบาท กำไรรวม 96 ล้านบาท ปี 2565 รายได้รวม 1,807 ล้านบาท กำไรรวม 447 ล้านบาท ปี 2566 รายได้รวม 2,211 ล้านบาท กำไรรวม -48 ล้านบาท   จากข้อมูลผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง จะเห็นได้ว่า บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก โดยเฉพาะรายได้ รวมถึงฐานลูกค้า และจำนวนสาขามาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยปี 66 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้โตขึ้นกว่า 22.3% จากปี 65    ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทถือว่ามีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด จากปัจจัยสำคัญในเรื่องของการให้บริการที่มีความรวดเร็ว จริงใจ ให้เกียรติ ตรงไปตรงมา สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด สามารถรับเงินได้ทันที ซึ่งมีผลทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตของธุรกิจ

พามาฮู้จัก “เงินเทอร์โบ” ธุรกิจสินเชื่อที่สร้างรายได้กว่า 2 พันล้าน เตรียม IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ ปี 68 อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง🚜รถเเทรกเตอร์เกือบครึ่งประเทศอยู่ในเเดนอีสาน เเละหากเทียบสัดส่วนรถเเทรกเตอร์ 1 คันต่อเนื้อที่การเกษตรคิดเป็นเท่าไหร่🌾

พาส่องเบิ่ง!  รถเเทรกเตอร์เกือบครึ่งประเทศอยู่ในเเดนอีสาน เเละหากเทียบสัดส่วนรถเเทรกเตอร์ 1 คันต่อเนื้อที่การเกษตรคิดเป็นเท่าไหร่ . รถเเทรกเตอร์(Tractor) เครื่องจักรกลการเกษตรที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเพื่อการเตรียมแปลงเกษตร โดยความต้องการใช้เครื่องจักรเพื่อการเกษตรของไทยมีสัดส่วนสูงที่ 71.3% ของจํานวนผู้ถือครองทําการเกษตรทั้งหมด โดยชนิดของเครื่องจักรที่มีผู้ใช้มากที่สุด คือ รถเเทรกเตอร์  (50.8% ของผู้ถือครองเนื้อที่ทําการเกษตรที่รายงานว่ามีการใ้เครื่อจักรเพื่อการเกษตร ) รองลงมาเป็นเครื่องเกี่ยวนวดข้าว(27.9%) . คํานิยามของรถเเทรกเตอร์ คือ เป็นรถที่มีล้อหรือสายพาน และมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนในตัวเอง เป็นเครื่องจักรกลขั้นพื้นฐานในงานที่เกี่ยวกับการขุด ตัก ดัน หรือฉุดลาก เป็นต้น หรือรถยนต์สำหรับลากจูงซึ่งมิได้ใช้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกต้องมีขนาดกว้าง ไม่เกิน 4.40 เมตร ยาวไม่เกิน 16.20 เมตร . แทรกเตอร์ที่ใช้ในภาคเกษตรไทยส่วนใหญ่แบ่งเป็น (1) กลุ่มแทรกเตอร์ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ รถไถเดินตาม (Power tiller or 2-wheel walking tractor) เหมาะกับเกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดเล็กและอาศัยความคล่องตัว และ (2) กลุ่มแทรกเตอร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือแทรกเตอร์ที่มีขนาดกำลังแรงม้าไม่น้อยกว่า 40 แรงม้า ส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้ในการปรับพื้นที่ ไถเตรียมดิน ใช้เพื่อฉุดลากเครื่องมือหรือเครื่องทุ่นแรง หรือมีพื้นที่เพาะปลูกเป็นจำนวนมาก . หากลองเทียบสัดส่วนจํานวนรถเเทรกเตอรที่จดทะเบียนสะสมในเเต่ละจังหวัดกับเนื้อที่ถือครองทําการเกษตร จะได้อัตราส่วนรถเเทรกเตอร์ต่อพื้นที่การเกษตร( 1 คันต่อกี่ไร่) จะพบว่าที่มีอัตราส่วนนี้มากที่สุดคือ บึงกาฬ  1 คัน  : 628 ไร่ เนื่องจากมีจํานวนรถเเทรกเตอร์จดทะเบียนสะสมน้อยที่สุดในภูมิภาคอยู่ที่  2,922 คัน ในขณะที่จังหวัดนครราชสีมาที่มารถเเทกเตอร์มากที่สุดอยู่ที่ 46,595 คัน มีอัตราส่วนอยู่ที่ 1คัน  : 159 ไร่ . อัตราส่วนเฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 1 คัน  : 246 ไร่ นอกจากนี้มีงานศึกษาจากวารสารแก่นเกษตร ระบุว่าจุดคุ้มทุนของรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง เจ้าของรถเเทรกเตอร์ควรไถนาอย่างน้อย 260 ไร่ต่อคันต่อปีเพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุน เป็นข้อมูลที่น่าสนใจเเละน่าสังเกตสําหรับการตัดสินใจซื้อหรือใช้งานรถเเทรกเตอร์ เเต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบอย่างคร่าวๆเท่านั้น มีข้อมูลหรือเหตุปัจจัยๆอื่นที่มากกว่าที่ได้นําเสนอสําหรับการวิเคราะห์หรือตัดสินใจเกี่ยวกับรถเเทรกเตอร์เเละการเกษตร .   ที่มา : กรมการขนส่งทางบก,สํานักงานสถิติเเห่งชาติ,Krungsri Research,วารสารแก่นเกษตร . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #รถเเทรกเตอร์ #Tractor #รถไถนา #รถไถ #คูโบต้า #kubota #Yanmar #NewHolland

พาส่องเบิ่ง🚜รถเเทรกเตอร์เกือบครึ่งประเทศอยู่ในเเดนอีสาน เเละหากเทียบสัดส่วนรถเเทรกเตอร์ 1 คันต่อเนื้อที่การเกษตรคิดเป็นเท่าไหร่🌾 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐โฉนดที่ดินในอําเมืองคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของทั้งจังหวัดในอีสาน⛳️

โฉนดที่ดิน ถือเป็นเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินประเภทหนึ่ง ที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน จะใช้เอกสารดังกล่าว ในการแสดงความเป็นเจ้าของ และใช้ในการประกอบธุรกรรมด้านต่างๆ เช่น ซื้อ ขาย จำนอง เป็นต้น  . ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานจากข้อมูลของกรมที่ดินพบว่า จังหวัดนครราชสีมาเเละขอนเเก่นเป็นจังหวัดที่มีโฉนดที่ดินมากที่สุดในประเทศเป็นอันดับที่ 2  เเละ  3 เป็นรองเพียงกรุงเทพมหานคร โดยมีปริมาณเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินอยู่ที่1,566,201 เเปลงเเละ 1,166,513  เเปลง ตามลําดับ ส่วนกรุงเทพมหานครมากสุดในประเทศอยู่ที่ 2,182,095 เเปลง จากทั้งหมด 37,272,607 เเปลง  . หากมองไปที่ปริมาณเอกสารสิทธิรายสํานักงาน เเสดงรายอําเภอ การจดทะเบียนสิทธิเเละนิติกรรมที่สํานักงานที่ดินซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ จะพบว่าในภาคอีสานหากคิดเป็นร้อยละของอําเภอเมืองเทียบกับทั้งตัวจังหวัด อําเภอเมืองมุกดาหารมีปริมาณเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินคิดเป็นถึงร้อยละ  40.54 ของทั้งจังหวัด อาจเป็นสิ่งที่เป็นนัยได้ว่าที่ดินที่ประชาชนถือครองใช้ประโยชน์อยู่นั้นกรรมสิทธ์ความเป็นเจ้าของในที่ดินเกือบครึ่งหนึ่งยังอยู่เเค่ตัวอําเภอเมือง รองลงมาคือหนองบัวลําภูเเละหนองคายที่ 38.99 เเละ 36.28  ตามลําดับ หากคิดรวมทั้งภูมิภาคโฉนดที่ดินในอําเภอเมืองคิดเป็นร้อยละ 21.52 จากทังหมด . การเปลี่ยนแปลงในด้านการถือครองและการจัดการโฉนดที่ดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของเขตเมือง และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชน ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การสิ่งเเวดล้อม การสํารวจดูการเปลี่ยนเเปลงเอกสารสิทธิในที่ดิน โดยเฉพาะโฉนดที่ดินจึงมีประโยชน์เเก่ผู้ที่สนใจเเละสามารถนําข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการวิเคราะห์วางเเผนด้านต่างๆ . ที่มา : กรมที่ดิน . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #ที่ดิน#โฉนด#โฉนดที่ดิน

พามาเบิ่ง🧐โฉนดที่ดินในอําเมืองคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของทั้งจังหวัดในอีสาน⛳️ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶

เกิดใหม่น้อย! อีสานเตรียมรับมือโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะเปลี่ยนไป . ฮู้บ่ว่า❓Gen Alpha ไม่ใช่คำใหม่อีกต่อไป เมื่อเด็กที่เกิดปี 2568 – 2582 จะกลายเป็น Gen Beta ยุคที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ผสมผสานเข้ากับชีวิตโดยสมบูรณ์ ขณะที่เด็กในอีสานเกิดน้อยลงในทุกๆ ปี หน้าตาของโครงสร้างของประชากรจะเปลี่ยนไปอย่างไร และผลกระทบจะมากแค่ไหน . ISAN Insight & Outlook พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶 ▶️อายุ 0 – 4 ปี ♂️417,495♀️394,812 รวม 812,307 คน ▶️อายุ 5 – 9 ปี ♂️548,243♀️519,923 รวม 1,068,166 คน ▶️อายุ 10 – 14 ปี ♂️655,239♀️620,054 รวม 1,275,293 คน ▶️อายุ 15 -19 ปี ♂️679,876♀️642,546 รวม 1,322,422 คน ▶️อายุ 20 – 24 ปี ♂️671,492♀️661,126 รวม 1,332,618 คน ▶️อายุ 25 – 29 ปี ♂️802,509♀️760,277 รวม 1,562,786 คน ▶️อายุ 30 – 34 ปี ♂️805,263♀️758,027 รวม 1,563,290 คน ▶️อายุ 35 – 39 ปี ♂️746,860♀️711,132 รวม 1,457,992 คน ▶️อายุ 40 – 44 ปี ♂️822,741♀️805,643 รวม 1,628,384 คน ▶️อายุ 45 – 49 ปี ♂️862,275♀️872,900 รวม 1,735,175 คน ▶️อายุ 50 – 54 ปี ♂️884,798♀️933,547 รวม 1,818,345 คน ▶️อายุ 55 – 59

พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶 อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top