พามาเบิ่ง เพื่อนบ้าน GMS นิยมเข้าไทยผ่านด่านไหน

 

จำนวนผู้ผ่านด่านบกในช่วง 5 เดือนแรกของปี 68

สัญชาติ จำนวนคน 5 เดือนแรก 68 (คน) %YoY 5 เดือน
ลาว 1,201,542 -13.0%
กัมพูชา 475,690 -14.1%
เวียดนาม 41,650 -19.6%
เมียนมาร์ 34,924 332.0%

 

จังหวัด สัญชาติ จำนวนคน 5 เดือนแรก 68 %YoY 5 เดือน
เลย ลาว 48,578 -6.8%
หนองคาย ลาว 456,286 12.2%
เวียดนาม 20,613 -10.0%
บึงกาฬ ลาว 848 -34.1%
นครพนม ลาว 36,853 -8.8%
เวียดนาม 10,888 -30.9%
มุกดาหาร ลาว 161,639 0.1%
เวียดนาม 7,045 -25.5%
อุบลราชธานี ลาว 118,760 12.6%
เวียดนาม 3,104 -16.4%
ศรีสะเกษ กัมพูชา 31,610 0.3%
สุรินทร์ กัมพูชา 44,109 -25.8%
สระแก้ว กัมพูชา 281,123 -3.1%
ลาว 163,838 -37.1%
จันทบุรี ลาว 147,089 -50.0%
กัมพูชา 93,044 -35.9%
ตราด กัมพูชา 25,804 -7.1%
เชียงราย เมียนมาร์ 34924 332.0%
ลาว 17271 22.7%
พะเยา ลาว 26793 36.4%
น่าน ลาว 16472 11.8%
อุตรดิตถ์ ลาว 7115 -31.0%

ที่มา: Travel Link

เขตแดนประเทศดินแดนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

สุดเขตแดนประเทศไทย พื้นที่ชายขอบของประเทศที่หลายคนอาจมองว่าไกลโพ้นและเงียบเหงา แท้จริงแล้วกลับเป็นดินแดนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง จุดบรรจบของผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ภาษา และวิถีชีวิต ซึ่งเชื่อมโยงไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในฐานะพันธมิตร คู่ค้า หรือแม้กระทั่งคู่สงครามในบางยุคสมัย เขตแดนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์เท่านั้น หากยังเป็นจุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม สินค้า ความเชื่อ หรืออุดมการณ์ที่ดำเนินมาต่อเนื่องนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นพื้นที่ที่มีชีวิต มีเรื่องราว และเต็มไปด้วยโอกาสซ่อนอยู่ในทุกตารางนิ้ว

การเดินทางข้ามแดนมายังประเทศไทยของชาวต่างชาตินั้น เกิดขึ้นจากหลากหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเพื่อการท่องเที่ยว การทำงาน หรือแม้แต่การลงทุน ซึ่งล้วนส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในระดับพื้นที่และระดับประเทศ หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ชาวต่างชาตินิยมเดินทางเข้ามาคือ การท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ด้วยความสะดวกของการผ่านแดนที่ใช้เพียงบัตรประชาชน (สำหรับบางประเทศที่มีความตกลงร่วมกัน) หรือหนังสือเดินทาง ก็สามารถขับรถเข้ามายังเมืองชายแดนของไทยได้อย่างง่ายดาย ทำให้เมืองชายแดนกลายเป็นจุดหมายยอดนิยม ส่งเสริมการจับจ่ายใช้สอย กระตุ้นการจ้างงาน และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น

อีกกลุ่มหนึ่งคือ แรงงานข้ามชาติ หรือแรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาทำงานในภาคส่วนต่างๆ ของไทย โดยเฉพาะงานที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น ก่อสร้าง เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ด้วยแรงจูงใจเรื่องค่าจ้างที่สูงกว่าในประเทศต้นทาง ตลอดจนความต้องการแรงงานจำนวนมากในไทย แรงงานกลุ่มนี้จึงเข้ามาเติมเต็มระบบเศรษฐกิจในภาวะที่แรงงานไทยเริ่มลดลง

นอกจากนี้ยังมีชาวต่างชาติบางกลุ่มที่เลือกเข้ามา ลงทุนในธุรกิจ ตามพื้นที่ชายแดน ซึ่งนอกจากจะนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยจุดประกายการจ้างงานใหม่ๆ ให้กับคนในท้องถิ่น และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของเศรษฐกิจชายแดนไทยได้อีกทางหนึ่ง

แรงงานต่างด้าวฟันเฟืองที่ไม่อาจมองข้ามของเศรษฐกิจไทยในยุคที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะเกิดน้อยลงแก่มากขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานต่างด้าวได้กลายมาเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคที่ต้องพึ่งพาแรงกายเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง ภาคการเกษตร หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยกำลังคนจำนวนมาก แม้แรงงานกลุ่มนี้มักถูกมองว่าอยู่ในงานที่ใช้แรงมากกว่าใช้สมอง แต่ในความเป็นจริงพวกเขากลับเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยรักษาความต่อเนื่องในการผลิตและบริการให้กับระบบเศรษฐกิจไทย ในขณะที่แรงงานไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มหลีกเลี่ยงงานประเภทนี้ ด้วยเหตุผลด้านรายได้ สภาพการทำงาน หรือแม้แต่ทัศนคติที่เปลี่ยนไป ในบริบทของสังคมสูงวัยและตลาดแรงงานที่หดตัวลงเรื่อยๆ แรงงานต่างด้าวจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก หากแต่เป็นความจำเป็นที่ควรได้รับการบริหารจัดการอย่างมีระบบ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน

แรงงานต่างด้าวจะกลายเป็นคำตอบของไทยในวันที่แรงงานไทยเริ่มลดลง ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวประมาณ 4 ล้านคน กระจายอยู่ทั่วประเทศ ขณะที่ประชากรไทยในวัยแรงงานมีอยู่ราว 59 ล้านคน ซึ่งตัวเลขนี้กำลังเผชิญกับแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากอัตราการเกิดที่ต่ำและโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปสู่สังคมสูงวัย แม้จะมีความพยายามในการยืดอายุการเกษียณ เพื่อรักษากำลังแรงงานไว้ให้นานที่สุด แต่กลุ่มแรงงานเหล่านี้ก็เข้าสู่ช่วงวัยที่ประสิทธิภาพในการทำงานเริ่มลดลง แม้จะยังคงมีทักษะและประสบการณ์สูงก็ตาม ในบริบทเช่นนี้ แรงงานต่างด้าวจึงไม่ได้เป็นเพียงแรงงานทางเลือก แต่กำลังกลายเป็นแรงงานจำเป็นที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างของกำลังคนในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงกาย เช่น ก่อสร้าง เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งแรงงานไทยมีแนวโน้มเบี่ยงเบนออกจากภาคเหล่านี้มากขึ้นทุกที

เมื่อพิจารณาในบริบทของภาคอีสานจะพบว่า ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยผ่านด่านพรมแดนทางบกส่วนใหญ่คือชาวลาว ซึ่งเป็นผลจากความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ที่ภาคอีสานของไทยมีพรมแดนติดกับ สปป.ลาว เป็นแนวยาวหลายจังหวัด ทำให้การเดินทางข้ามแดนเป็นไปอย่างสะดวกและต่อเนื่อง

หนึ่งในจุดผ่านแดนที่สำคัญที่สุดคือ ด่านพรมแดนหนองคาย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของลาวอย่าง เวียงจันทน์ (ວຽງຈັນ, Vientiane) ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถเข้าสู่เขตเมืองหนองคายได้อย่างง่ายดาย โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มีชาวลาวเดินทางผ่านด่านหนองคายเข้าสู่ประเทศไทยแล้วกว่า 460,000 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ถึง 12.2% ซึ่งสะท้อนถึงความคึกคักของกิจกรรมท่องเที่ยวและการค้าชายแดนได้เป็นอย่างดี อุดรธานีซึ่งอยู่ห่างจากหนองคายเพียงราวหนึ่งชั่วโมงก็ได้รับอานิสงส์จากกระแสการเดินทางนี้ด้วย นักท่องเที่ยวชาวลาวจำนวนมากเลือกขับรถต่อเข้ามาเพื่อจับจ่ายสินค้า เข้ารับบริการทางการแพทย์ หรือใช้บริการร้านอาหารและสถานบันเทิงต่างๆ ในตัวเมืองอุดร ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ทั้งสองจังหวัดเติบโตควบคู่กัน

นอกจากหนองคายแล้ว ด่านมุกดาหาร และ ด่านช่องเม็ก (อุบลราชธานี) ก็เป็นอีกสองจุดผ่านแดนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยมุกดาหารเชื่อมต่อกับเมืองสะหวันนะเขต (ສະຫວັນນະເຂດ, Savannakhet) และอุบลราชธานีอยู่ติดกับเมือง ปากเซ (ປາກເຊ, Pakse) ซึ่งต่างก็เป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของลาวตอนใต้ ทำให้เกิดการสัญจรไปมาระหว่างไทย-ลาวในบริเวณนี้จำนวนมาก โดยไม่ใช่แค่เพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการค้า การรักษาพยาบาล และแรงงานอีกด้วย การเดินทางของผู้คนเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงการข้ามแดน แต่ยังเป็นการเชื่อมเศรษฐกิจที่สำคัญ และแสดงให้เห็นถึงบทบาทของภาคอีสานในฐานะหน้าด่านของไทยสู่ลุ่มน้ำโขงอย่างมีนัยยะสำคัญ

หากภาคอีสานเปรียบเสมือนประตูหลักที่เปิดรับชาวลาวเข้าสู่ประเทศไทย ภาคตะวันออกก็เปรียบเสมือนจุดผ่านแดนสำคัญของชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามายังไทย โดยเฉพาะผ่านทางด่านชายแดนจังหวัดสระแก้ว และจันทบุรี ซึ่งเชื่อมต่อกับเมืองชายแดนของกัมพูชาอย่าง ปอยเปต (ក្រុងប៉ោយប៉ែត, Krong Poi Pet) และพื้นที่ใกล้เคียง ด่านอรัญประเทศจังหวัดสระแก้ว ถือเป็นจุดผ่านแดนที่สำคัญและคึกคักมากที่สุดระหว่างไทย-กัมพูชา โดยประชาชนจากฝั่งกัมพูชาสามารถเดินทางเข้ามาในไทยเพื่อค้าขาย ทำงาน หรือท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก ขณะเดียวกัน ฝั่งไทยก็มีคนบางส่วนที่เดินทางข้ามไปยังปอยเปต โดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายทั้งการท่องเที่ยว รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพนันและธุรกิจสีเทา ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าแพร่หลายอยู่ในพื้นที่นั้น

แม้ด่านเหล่านี้จะมีบทบาทเป็นประตูสำคัญ แต่ข้อมูลในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 กลับพบว่า จำนวนผู้ผ่านแดนชาวกัมพูชาลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยลดลง -3.1% ที่ด่านสระแก้ว และ -35.9% ที่ด่านจันทบุรี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยหลายประการที่อาจส่งผลกระทบ

ปัจจุบันเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาในพื้นที่ช่องบก (สามเหลี่ยมมรกต) อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย โดยภายหลังเหตุการณ์ ทั้งสองประเทศได้ใช้กลไกความร่วมมือระดับทวิภาคี ได้แก่ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และถอนกำลังกลับจุดเดิม อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชา โดยสมเด็จฮุน เซน ได้ออกมายืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา และไม่ยอมถอนกำลัง พร้อมเตรียมยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อชี้ขาดข้อพิพาทใน 4 พื้นที่หลัก ขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และย้ำให้ยึดแนวทางแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคีเท่านั้น ซึ่งแม้ทั้งสองฝ่ายจะพยายามลดความตึงเครียดผ่านการเจรจา แต่ก็ยังมีมาตรการตอบโต้กันทางทหารและการเมือง ทั้งการลดเวลาเปิดจุดผ่านแดน การเตรียมซ้อมรบของกัมพูชาในอ่าวไทย และการประกาศความพร้อมของกองทัพไทยในการปฏิบัติการหากเกิดการล้ำแดน โดยทั้งสองฝ่ายมีนัดประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 เพื่อหาทางยุติข้อพิพาทอย่างสันติ

อีกหนึ่งจุดผ่านแดนสำคัญของประเทศไทยคือ ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเชื่อมต่อกับเมือง ท่าขี้เหล็ก (တာချီလိတ်, Tachileik) ของประเทศเมียนมา ด่านแห่งนี้ไม่เพียงเป็นช่องทางเดินทางระหว่างสองประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญด้านเศรษฐกิจและแรงงานข้ามชาติ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 พบว่า จำนวนชาวเมียนมาที่เดินทางผ่านด่านแม่สายเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 332% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวของประชากรจากฝั่งเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

แรงขับเคลื่อนสำคัญของการเดินทางข้ามแดนนี้คือแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเข้ามาทำงานในประเทศไทยซึ่งยังคงมีความต้องการแรงงานต่างด้าวจำนวนมากในหลายภาคส่วน ทั้งภาคการผลิต เกษตรกรรม และการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานจากเมียนมาซึ่งถือเป็นกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในไทยในปัจจุบัน

จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่ชายแดนของประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงเส้นแบ่งเขตแดนทางภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเชื่อมต่อที่มีชีวิตที่สะท้อนพลวัตความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งในมิติของเศรษฐกิจ การค้า แรงงาน และวัฒนธรรม ชายแดนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไม่ว่าจะเป็นการค้าชายแดน การท่องเที่ยวข้ามแดน หรือการเป็นช่องทางหลักของแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาเติมเต็มกำลังแรงงานในช่วงที่ไทยกำลังเผชิญกับภาวะสังคมสูงวัยและจำนวนประชากรวัยแรงงานที่ลดลง

 

อ้างอิง

Travel Link, สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว, กระทรวงแรงงาน, ไทยรัฐ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top