Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทยที่ไม่ธรรมดา

บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทยที่ไม่ธรรมดา  เมืองส่งออกยางพารา สู่ดินแดนการท่องเที่ยวสายมู . . บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทย ที่ทุกคนรู้กันว่าเป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศ โดยบึงกาฬก่อตั้งในปี 2554 ซึ่งถือว่าก่อตั้งมา 13 ปีแล้ว .  แต่รู้หรือไม่ว่าจังหวัดน้องใหม่จังหวัดนี้มีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 7 ของภาคอีสาน ซึ่งมากกว่าจังหวัดใหญ่ๆบางจังหวัดเสียอีก ถึงแม้มูลค่าทางเศรษฐกิจของจังหวัดบึงกาฬจะเป็นอันดับที่ 17 ของภาคอีสาน . ทำไมจังหวัดที่มีมูลค่าเศรษฐกิจอันดับที่ 17 ของภูมิภาค ถึงกลายเป็นจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวมากเป็นอันดับ 7 ในภาคอีสาน ? . อีสานอินไซต์จะพาไปเบิ่ง . . บึงกาฬ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนสุดของไทย ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติให้เป็นจังหวัดบึงกาฬ เมื่อปี พ.ศ. 2554 เป็นพื้นที่ที่แยกออกมาจาก อำเภอบึงกาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ และ อำเภอศรีวิไล จากการปกครองของจังหวัดหนองคาย ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย .  โดยบึงกาฬมีพื้นที่ 4,305 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 17 ของภาคอีสาน และมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 400,000 คน โดยจัดเป็นอันดับที่ 18 ของภูมิภาค . ถึงแม้จะเป็นจังหวัดที่มีประชากรเพียงไม่กี่แสนคน และมีมูลค่าเศรษฐกิจในอันดับที่ 17ของภาคอีสาน . แต่ถ้าหากลองมาดู รายได้ต่อหัวในปี 2565 จะพบว่า บึงกาฬ มีรายได้ต่อหัว 89,033 บาท เป็นรองเพียงแค่นครราชสีมา ขอนแก่น เลย หนองคาย อุดรธานี และนครพนม ซึ่งมากกว่าหลายๆจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าบึงกาฬ  . ปัจจัยที่ทำให้ บึงกาฬ มีรายได้ต่อหัวอยู่ในลำดับต้นๆของภูมิภาค มีตั้งแต่ – เป็นแหล่งเพาะปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันที่สำคัญของภาคอีสาน – มีแหล่งท่องเที่ยวเกี่ยวกับความเชื่อและสายมูที่มีชื่อเสียง – มีชายแดนที่ติดกับประเทศลาว . . แหล่งเพาะปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันที่สำคัญของภาคอีสาน เมื่อพูดถึงแหล่งเพาะปลูกยางพาราที่สำคัญของประเทศ ภาคอีสานของเราถือว่าเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญภาคหนึ่ง จากการที่สามารถเพาะปลูกยางพาราได้ผลผลิตกว่า 1.3 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 27.7% ของผลผลิตยางพาราทั้งหมดในประเทศ โดยเป็นรองเพียงแค่ภาคใต้เท่านั้น . ซึ่งในปี 2565 จังหวัดบึงกาฬ ถือเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตการเพาะปลูกยางพารามากทึ่สุดในภาคอีสาน อยู่ที่ 208,035 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 15.6% อีกทั้งมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงที่สุดในภาคอีสาน และสูงที่สุดของประเทศด้วย โดยมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่อยู่ที่ 248 กิโลกรัม/ไร่ . และเมื่อดูสัดส่วนมูลค่าทางเศรษฐกิจ ภาคเกษตรกรรมมีมูลค่ามากที่สุด […]

บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทยที่ไม่ธรรมดา อ่านเพิ่มเติม »

ร้อยเอ็ด จังหวัดเกินร้อย จากเมืองประตู 101 ทิศสู่เมืองแลนด์มาร์คแห่งอีสาน

ร้อยเอ็ด จังหวัดเกินร้อย จากเมืองประตู 101 ทิศสู่เมืองแลนด์มาร์คแห่งอีสาน . เมืองร้อยเอ็ด เคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “สาเกตนคร” หรือ เมืองร้อยเอ็ดประตู อันเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรื่องโดยที่มีเมืองขึ้นจํานวนมาก ชื่อของเมืองร้อยเอ็ดนั้นได้มาจากเป็นเมืองที่มีประตูล้อมรอบเป็นกําแพง การตั้งชื่อเมืองให้มีความใหญ่เกินเพื่อให้เป็นสิริมงคล ถือเป็นเรื่องธรรมดาของการตั้งชื่อเมืองโบราณ . ร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งคนทั่วไปอาจรู้จักในนามของจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัท Global House หนึ่งในร้านค้าวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ของประเทศ ที่เป็นบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน แต่ความจริงแล้ว ร้อยเอ็ดมีจุดแข็งและเสน่ห์ในหลายๆ ด้านที่คนอาจยังไม่ทราบกันมากนัก ภาพจาก Global House . ร้อยเอ็ด มีศักยภาพในด้านใดบ้าง ? อีสานอินไซต์ จะพามาเบิ่ง . . เศรษฐกิจของร้อยเอ็ด ปี 2565 มีมูลค่าเศรษฐกิจ (GPP) 83,818 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 7 ของอีสาน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต้นๆของภาคอีสาน โดยเศรษฐกิจของร้อยเอ็ดสามารถสร้างรายได้ทั้งจากภาคเกษตรกรรมและภาคบริการเป็นหลัก โดยสัดส่วนโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดร้อยเอ็ด ในปี 2565 มาจาก – ภาคบริการ 56,159 ล้านบาท (67%) – ภาคเกษตรกรรม 17,055 ล้านบาท (20%) – ภาคอุตสาหกรรม 10,604 ล้านบาท (13%) . แต่เมื่อดูย่อยเป็นประเภทธุรกิจ ภาคเกษตรกรรมเป็นภาคหลักที่สามารถสร้างมูลค่าให้กับจังหวัดร้อยเอ็ดได้มากที่สุด โดยร้อยเอ็ดปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก โดยสามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตกว่า 9.5 แสนตัน ในปีการผลิต 2565/2566 ซึ่งถือว่าปลูกข้าวมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของภาคอีสาน . ซึ่งพันธุ์ข้าวที่จังหวัดร้อยเอ็ดปลูกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งถือเป็นสินค้า GI ประจำจังหวัดร้อยเอ็ดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาก โดยร้อยเอ็ดมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้มากที่สุดในภาคอีสาน จาก 5 จังหวัดที่มีพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยมีสัดส่วนพื้นที่กว่า 46% จากพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ทั้งหมด จึงเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้ให้กับจังหวัด . และทำให้โรงสีข้าวในร้อยเอ็ดได้รับผลประโยชน์ไปด้วย โดยร้อยเอ็ดมีรายได้จากธุรกิจโรงสีข้าวมากที่สุดในภาคอีสาน โดยมีรายได้กว่า 10,076 ล้านบาทในปี 2566 และโรงสีข้าวที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท มีมากถึง 4 แห่ง จากบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาททั้งหมด 9 แห่ง หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 44% เลยทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทในร้อยเอ็ดส่วนใหญ่เป็นโรงสีข้าว  . นอกจากพืชเศรษฐกิจหลักอย่างข้าวแล้ว หลายคนคงไม่รู้ว่าร้อยเอ็ดมีรายได้จากการปลูกพืชอย่างยาสูบอีกด้วย โดยร้อยเอ็ดมีพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตของยาสูบมากที่สุดในภาคอีสาน อีกทั้งเป็นจังหวัดที่ปลูกยาสูบมากเป็นอันดับ 4 ของประเทศ เป็นรองเพียงจังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เพชรบูรณ์ สุโขทัย

ร้อยเอ็ด จังหวัดเกินร้อย จากเมืองประตู 101 ทิศสู่เมืองแลนด์มาร์คแห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ถนนไปที่ไหน ความเจริญไปที่นั่น จาก “สุดบรรทัด-เจนจบทิศ สู่ มิตรภาพ” เส้นทางประตูสู่อีสาน

เราสัญจรบน ถนนมิตรภาพมานาน แต่น้อยคนจะรู้ที่มาของชื่อ “มิตรภาพ” นั้นหมายถึงมิตรภาพระหว่างใคร บ้างก็ว่าเป็น มิตรภาพไทย-ลาว แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ และยิ่งไปกว่านั้น ก่อนจะมาเป็นชื่อ “มิตรภาพ” ทางหลวงสายนี้ยังเคยใช้ชื่ออื่นมาก่อนด้วย ประวัติความเป็นมาของ ถนนมิตรภาพ ถนนมิตรภาพเป็นทางหลวงที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางสหรัฐในด้านงบประมาณการก่อสร้าง เทคนิควิชาการในการก่อสร้าง นับเป็นทางหลวงสายแรกที่ก่อสร้างถูกต้องตามแบบมาตรฐานการก่อสร้างทางหลวงทุกขั้นตอน และเป็นทางหลวงสายแรกของประเทศไทยที่มีผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟอลต์คอนกรีต โดยเปิดให้บริการเมื่อปี พ.ศ. 2508 คณะรัฐมนตรี อนุมัติให้ตั้งชื่อถนนช่วงสระบุรี–ปากช่อง–นครราชสีมาว่า “ถนนสุดบรรทัด” และในช่วงนครราชสีมา–ขอนแก่น–อุดรธานี–หนองคายได้รับการตั้งชื่อถนนว่า “ถนนเจนจบทิศ” เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2493 ก่อนที่จะได้รับการสนันสนุนการก่อสร้างจากสหรัฐ ซึ่งเริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2498 จากสระบุรีจนถึงนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 148 กิโลเมตร โดยการสร้างถนนจากสระบุรี-นครราชสีมา ระยะแรกเริ่มต้นจากจังหวัดสระบุรี ไปสิ้นสุดที่จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง 148 กิโลเมตร จะมีช่วงถนนผ่านเข้าสู่จังหวัดนครราชสีมา ผ่านอำเภอปากช่อง เป็นอำเภอแรกสุดของการเดินทางจากถนนมิตรภาพเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, สีคิ้ว, สูงเนิน, และอำเภอเมืองนครราชสีมา ผ่านตัวเมืองนครราชสีมา จากนั้นเส้นทางออกจากเมืองขึ้นไปทางทิศเหนือ ผ่านอำเภอเฉลิมพระเกียรติ, โนนสูง, คง, โนนแดง, สีดา และอำเภอบัวลาย ก่อนเข้าสู่จังหวัดขอนแก่น ต่อมาได้สร้างต่อไปยังจังหวัดหนองคาย รวมเป็นระยะทาง 509 กิโลเมตร ถนนสายนี้เริ่มเปิดใช้เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2508 นับว่าถนนมิตรภาพเป็นถนนสายหลักที่สามารถเดินทางไปสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามสำนวนที่ว่า เปิดประตูสู่อีสาน เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2498 โดยรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับความช่วยเหลือจากองค์การบริหารวิเทศกิจแห่งสหรัฐอเมริกา (USOM) ในด้านงบประมาณการก่อสร้าง เทคนิควิชาการในการก่อสร้าง พร้อมทั้งได้จ้างผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันมาช่วยให้คำแนะนำ ส่วนการออกแบบและการก่อสร้างอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมทางหลวง นับเป็นทางหลวงสายแรกที่ก่อสร้างถูกต้องตามแบบมาตรฐานการก่อสร้างทางหลวงทุกขั้นตอน และเป็นทางหลวงสายแรกของประเทศไทยที่มีผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟอลต์คอนกรีต เพื่อแสดงถึงมิตรภาพของประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาในการก่อสร้างถนนร่วมกัน จึงขนานนามถนนสายนี้เป็น ถนนมิตรภาพ โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พระอริสริยศในขณะนััน) เสด็จพระราชดำเนินมาทรประกอบพิธีเปิดถนนมิตรภาพบริเวณกิโลเมตรที่ 33 อำเภอมวกเล็ก จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 และมีพิธีมอบถนนให้ประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500  และได้เปลี่ยนชื่อ ขนานนามใหม่ให้ถนนสายนี้ว่า ถนนมิตรภาพ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 เพื่อแสดงถึงมิตรภาพของประเทศไทยกับสหรัฐในการก่อสร้างถนนร่วมกัน โดยมีพิธีมอบถนนให้ประเทศไทย ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2501   ป้ายอนุสรณ์ ความร่วมมือ มิตรภาพ สหรัฐอเมริกา-ไทย   ถนนมิตรภาพ ช่วงลำตะคอง โคราชในอดีต เมื่อปี พ.ศ.2514 อนุสาวรีย์จำลอง อนุสรณ์ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหรัฐอเมริกาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 เดิม

ถนนไปที่ไหน ความเจริญไปที่นั่น จาก “สุดบรรทัด-เจนจบทิศ สู่ มิตรภาพ” เส้นทางประตูสู่อีสาน อ่านเพิ่มเติม »

“ปลาหมอคางดำ” ชี้แพร่ถึงอีสานยากแต่ยังมีโอกาส นักวิชาการ มข.แนะทางแก้เอเลี่ยนสปีชีส์ “เจอต้องจับ”

“ปลาหมอคางดำ” กลายเป็นคำค้นหายอดนิยมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้บางคนอาจสงสัยว่าปลาชนิดนี้คือออะไร มีที่มาจากไหน รวมถึงมีประโยชน์หรืออันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร วันนี้ 16 กรกฎาคม 2567 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชวนมารู้จักกับ “ปลาหมอคางดำ” พร้อมไขคำตอบวิธีแก้ไขปัญหาการระบาดของเอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) กับ ผศ.ดร.พรเทพ เนียมพิทักษ์ หัวหน้าสาขาวิชาประมง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผศ.ดร.พรเทพ เนียมพิทักษ์ หัวหน้าสาขาวิชาประมง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ ปลาหมอคางดำ (Blackchin tilapia) ว่า มีลักษณะคล้ายปลาหมอเทศ  ปลานิล แต่บริเวณใต้คางจะมีสีดำ และโดยส่วนใหญ่มีขนาดเล็กกว่า ปลาชนิดนี้ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปแอฟริกา กระทั่งถูกนำเข้ามายังประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนจนเกิดการแพร่ระบาด แต่ยังไม่เป็นที่สนใจเพราะยังมีจำนวนไม่มากและยังไม่มีผลกระทบต่อการทำการประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จนไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น  ปัจจุบันข้อมูลจากกรมประมงที่มีการรายงาน  พบว่า ปลาหมอคางดำ มีการแพร่กระจายออกไปแล้ว 13 จังหวัด ตั้งแต่อ่าวไทยรูปตัวกอ เช่น จังหวัดระยอง  ลงไปถึงทางใต้ในจังหวัดสงขลา “จะสังเกตว่า ปลาหมอคางดำอยู่บริเวณเขตชายฝั่งของประเทศไทยและแม่น้ำ ลำคลองที่เชื่อมต่อกับชายฝั่งเป็นหลัก โดยปัจจัยที่มีการแพร่กระจาย คือ ปลาหมอคางดำสามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่มีความเค็มตั้งแต่ 0-45 PPT คือ อยู่ได้ทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม และอาศัยอยู่ได้ดีมากในบริเวณน้ำกร่อย  อีกปัจจัย คือ ปลาหมอคางดำมีการฟักไข่ในปาก โดยเฉลี่ยครั้งหนึ่งจะมีไข่ 50-300 อาจจะถึง 500 ฟอง ขึ้นอยู่กับขนาด ซึ่งตัวผู้จะดูแลตัวอ่อนค่อนข้างดี ทำให้อัตราการรอดตายของลูกสูงขึ้น คอกหนึ่งอาจจะรอดถึง 90-95% และเมื่อลูกออกมาจากปากก็จะตัวโตพอหาอาหารได้เองแล้ว”   ภาพ : เว็บไซต์กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผศ.ดร.พรเทพ กล่าวต่อว่า สำหรับปลาหมอคางดำนั้น มีประโยชน์ คือ สามารถนำมาเป็นอาหารให้มนุษย์บริโภคได้ ทั้งผลิตเป็นปลาเค็มแดดเดียว น้ำปลา น้ำปลาร้า หรือนำไปเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์อย่างการทำปลาป่น หรือนำไปทำเป็นปลาเหยื่อเลี้ยงปลาเนื้อ แต่อีกด้านปลาหมอคางดำก็มีลักษณะพิเศษ คือ หาอาหารเก่ง กินได้ทั้งพืชและสัตว์ ทำให้ไปแย่งอาหารปลาธรรมชาติ นอกจากนี้ ปลาหมอคางดำยังไปทำลายตัวอ่อนของสัตว์น้ำ กินได้ทั้งลูกกุ้ง ลูกปู ลูกปลา ทำให้สัตว์น้ำในธรรมชาติก็ค่อย ๆ ลดลงไป และตัวมันก็แพร่พันธุ์เร็วและมากยิ่งขึ้น สำหรับโอกาสที่ปลาหมอคางดำจะแพร่มายังภาคอีสานหรือไม่นั้น  หัวหน้าสาขาวิชาประมง ระบุว่า ยังมีโอกาสอยู่ แต่การจะแพร่ตามธรรมชาติคงต้องใช้เวลา เนื่องจากภูมิประเทศ และระบบลำน้ำของภาคอีสานไม่ได้เชื่อมต่อกับภาคกลางมากนัก ซึ่งการแพร่พันธุ์จะเน้นแพร่มาจากแม่น้ำ ลำคลอง ซึ่งระบบลำน้ำปกติแล้วจะไหลออกไปยังแม่น้ำโขง ดังนั้น หากจะแพร่มาภาคอีสานได้อาจจะเข้ามาทางแม่น้ำโขง แต่ตัวการที่ทำให้เกิดการแพร่พันธุ์ คือ มนุษย์ที่นำพาปลาหมอคางดำเข้ามา จุดนี้เป็นส่วนที่ต้องให้ความสำคัญ “คนเราต้องการอาหารโปรตีน ภาคอีสานการเลี้ยงสัตว์น้ำมันยาก เพราะดินไม่เหมาะสม การเก็บน้ำไม่อยู่ สารพัดอย่าง เพราะฉะนั้นแหล่งโปรตีนเราก็ต้องการ คนอีสานก็ชอบ ถ้าเกิดมาอยู่อีสานก็อาจจะหมดเลยก็ได้ในอนาคต เหมือนหอยเชอรี่ที่เมื่อก่อนก็เป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ที่ระบาดไปทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันในอีสานเริ่มขาดแคลนจนมีการเลี้ยงเพราะเป็นเมนูโปรดของหลายคน แต่ทางที่ดีคือ อย่ามีใครนำมาแพร่กระจายในภาคอีสานจะดีที่สุด ” แนะ 3 วิธีแก้ปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติ ผศ.ดร.พรเทพ แนะนำว่า วิธีการแก้ไขปัญหาเมื่อเผชิญกับเอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) อย่างปลาหมอคางดำ สิ่งสำคัญ คือ “เจอต้องจับ” เพื่อไม่ให้แพร่ระบาดไปยังแหล่งน้ำอื่น ควบคุมไม่ให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้ อีกวิธี คือ

“ปลาหมอคางดำ” ชี้แพร่ถึงอีสานยากแต่ยังมีโอกาส นักวิชาการ มข.แนะทางแก้เอเลี่ยนสปีชีส์ “เจอต้องจับ” อ่านเพิ่มเติม »

“มูเตลู” การท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม จะต่อยอดการท่องเที่ยวอีสานได้อย่างไร?

เมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวหลายคนอาจนึกถึงการเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ การพักผ่อนที่โรงแรมหรู หรือการชมธรรมชาติที่สวยงาม แต่ยังมีมิติหนึ่งของการท่องเที่ยวที่น่าสนใจและเปี่ยมไปด้วยความลึกลับน่าค้นหา นั่นคือการท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางจิตวิญญาณและพิธีกรรมต่าง ๆ ในท้องถิ่น หนึ่งในนั้นคือ “มูเตลู” ความเชื่อที่ลึกซึ้งและพิธีกรรมที่น่าหลงใหลที่ถักทอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในหลายชุมชน ทั้งยังเป็นสะพานเชื่อมโยงประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน มาร่วมค้นหามิติของมูเตลูและสัมผัสความงดงามของการท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรมไปพร้อมกับ ดร.ริณา ทองธรรมชาติ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการท่องเที่ยว คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผ่านบทความนี้ไปด้วยกัน (ภาพที่ 1 : ดร.ริณา ทองธรรมชาติ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการท่องเที่ยว คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ความหมายและมิติของความเชื่อใน “มูเตลู” “มูเตลู” คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ เรื่องลี้ลับ ของขลัง ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ การดูไพ่ การเสริมดวงและโชคชะตา การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในปัจจุบัน “มูเตลู” เป็นการหลอมรวมความเชื่อพุทธ พราหมณ์ การนับถือผี และสิ่งเร้นลับเข้าด้วยกัน และกลายเป็นความเชื่อที่เสริมกำลังใจผู้นับถือบูชาให้สมหวังในสิ่งที่มุ่งหวัง เช่น มูเตลูด้านการงาน การเงิน และความรัก (ThaiPBS, 2566) โดยความเชื่อในมูเตลูมีรากฐานมาจากความศรัทธาในวิญญาณของบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ถูกนับถือในท้องถิ่น อาทิ ผีบ้าน ผีเรือน และผีฟ้า การปฏิบัติตามความเชื่อเหล่านี้มักจะมีพิธีกรรมและประเพณีที่เข้มงวด เช่น พิธีสู่ขวัญ พิธีไหว้ครู พิธีแห่นางแมว และบุญบั้งไฟ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงความศรัทธา แต่ยังเป็นวิธีการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย (ภาพที่ 2 : ประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร. ราชกิจ กรรณิกา, 2562) ดังนั้นคำว่า “มูเตลู” นำมาอธิบายกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ได้เคร่งทางศาสนา และในปัจจุบันการมูเตลูถูกมองผ่านเครื่องประดับหรือเครื่องรางของขลังทั้ง พระเครื่อง หินสี สร้อยข้อมือมงคล นอกจากนี้ยังมีการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พราหมณ์ พญานาค พระพิฆเนศ รวมถึงผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การทำบุญ การไหว้พระ การสวดมนต์ หรือแม้กระทั่งการดูไพ่ยิปซี ภาพหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เป็นรูปเทพต่าง ๆ  หรือกิจกรรมที่ทำแล้วสบายใจ ไม่เครียด เข้าถึงง่ายและเหมือนแฟชั่นหรือการตามเทรนด์ แทนการเข้าวัดหรือสถานที่ทางศาสนานั่นเอง (ภาพที่ 3 : การดูไพ่ยิปซี. สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 2566) มูเตลูกับการท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม Paranormal Tourism หรือ การท่องเที่ยวเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นการเยี่ยมชมสถานที่ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับผี วิญญาณ หรือปรากฏการณ์ลี้ลับต่าง ๆ นักท่องเที่ยวที่สนใจในรูปแบบการท่องเที่ยวลักษณะนี้ ต้องการสัมผัสหรือเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวและตำนานที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ต่าง ๆ เหล่านั้น ในประเทศไทยมีการท่องเที่ยวเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอยู่ทุกพื้นที่ทุกจังหวัด โดยเป็นการเข้าร่วมพิธีกรรมและการบูชา เช่น การไหว้พระ การทำบุญ การสวดมนต์ การขอพรจากพระพิฆเนศ เจ้าแม่กวนอิม หรือพญานาค รวมถึงการเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

“มูเตลู” การท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม จะต่อยอดการท่องเที่ยวอีสานได้อย่างไร? อ่านเพิ่มเติม »

รายชื่อและเส้นทาง 51 นักกีฬาไทย ตะลุยศึก โอลิมปิก เกมส์ 2024

รายชื่อและเส้นทาง 51 นักกีฬาไทย ตะลุยศึก โอลิมปิก เกมส์ 2024 26 มิถุนายน 2567 เดินทางเข้าสู่ทางตรง 100 ม. สุดท้ายของการคัดเลือก โอลิมปิก “ปารีส 2024” ที่ประเทศฝรั่งเศส กันแล้ว ในส่วนของนักกีฬาไทยเวลานี้ผ่านการคัดเลือกแล้วทั้งหมด 51 โควตา มีการประกาศรายชื่อใครบ้างและเส้นทางกว่าจะได้โควตาของแต่ละคนเป็นอย่างไรติดตามพร้อมกันได้ที่นี่     ธันยพร พฤกษากร (ยิงปืน : ปืนสั้นระยะ 25 ม. หญิง) โอลิมปิก 5 สมัย : 2008, 2012, 2016, 2020 และ 2024 ธันยพร เป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าได้สิทธิ์เข้าร่วมโอลิมปิก 2024 โดยตั๋วใบนี้ได้มาจากการคว้าอันดับ 5 ในศึกยิงปืนชิงแชมป์โลก ที่เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2023 เดิมทีในอีเวนต์ปืนสั้นระยะ 25 ม. หญิง ที่เธอลงแข่ง มีตั๋วโอลิมปิกมอบให้แค่นักกีฬา 3 อันดับแรก แต่เนื่องจากอันดับ 1-4 ซึ่งประกอบด้วย เยอรมนี, ยูเครน, ลัตเวีย และอิหร่าน นั้นต่างก็ได้โควตาโอลิมปิกกันไปก่อนหน้านี้แล้ว สิทธิ์จึงขยับมาเป็นของ ธันยพร     กมลลักษณ์ แสนชา : ยิงปืน ปืนสั้นอัดลมหญิง ระยะ 10 เมตร โอลิมปิก 1 สมัย : 2024 นักแม่นปืนสาววัย 16 ปี สร้างเซอร์ไพร์คว้าตั๋วโอลิมปิกเกมส์ 2024 ได้เป็นคนที่ 3 ของนักกีฬายิงปืน โดยผ่านการคัดเลือกจากรายการสุดท้าย รายการ ISSF Final Olympic Qualify Championship 2024 ที่ประเทศบราซิล เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผานมา ในประเภทปืนสั้นอัดลมหญิง ระยะ 10 เมตร มีโควตาโอลิมปิกแค่ 2 ที่นั่งมอบให้แชมป์กับรองแชมป์เท่านั้น แต่ทว่า กมลลักษณ์ กลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งในรอบนี้ต้องยิงคนละ 24 นัด ซึ่ง กมลลักษณ์  ยิงทำคะแนนรวมได้ 240.5 คะแนน คว้าเหรียญเงินมาครองคว้าพร้อมสิทธิ์เข้าร่วมโอลิมปิก 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส     ทองผาภูมิ วงศ์สุขดี (ยิงปืน :

รายชื่อและเส้นทาง 51 นักกีฬาไทย ตะลุยศึก โอลิมปิก เกมส์ 2024 อ่านเพิ่มเติม »

Soft Power แบบไทยๆ แข็งก่อน ค่อยอ่อนไหม?

🇹🇭🌏Soft Power แบบไทยๆ แข็งก่อน ค่อยอ่อนไหม? 📃โดย นรชิต จิรสัทธรรม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย . ผมเข้าใจว่ากระแส #softpower ในประเทศไทยได้ถูกปลุกขึ้นเมื่อสัก 2 ปีก่อน โดยนักร้องมิลลิได้โชว์กินข้าวเหนียวมะม่วงในงานแสดงคอนเสิร์ตจนกลายเป็นไวรัลไปทั่ว จนปัจจุบันคำว่า “soft power” กลายเป็นคำฮิต ติดเทรนด์ การผลักดัน soft power เป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลแสดงความตั้งใจถึงกับตั้งคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อขับเคลื่อนด้านนี้โดยเฉพาะ ด้วยความเชื่อที่ว่าการเผยแพร่คุณค่าแบบไทยให้รู้จักในสากล จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและความน่าดึงดูดใจให้แก่ประเทศ จนสุดท้ายการผลักดัน soft power ให้กระจายไปทั่วโลกจะเป็นเครื่องจักรช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง หลายองค์กรทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาต่างตอบรับนโยบายนี้ มีการจัดอีเว้นท์ภายใต้ชื่อ soft power มากมาย ซึ่งแรงจูงใจในการร่วมขบวนนโยบายนี้คงมีหลากหลาย บางคนอาจร่วมด้วยความชอบพอทางการเมืองหรือมีผลประโยชน์ได้เกาะเกี่ยวกับผู้มีอำนาจกันไป บางคนอาจร่วมด้วยเพราะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจบางอย่าง บางคนก็ร่วมด้วยความจำเป็นเพราะถูกบังคับให้ทำ บางคนอาจร่วมด้วยอย่างน้ำใสใจจริงเพราะเชื่ออย่างใจจริงว่า soft power มีความจำเป็นจริงๆในการขับเคลื่อนประเทศ ภาพ MILLI ศิลปินหญิงเดี่ยวไทยรายแรกบนเวที เทศกาลโคเชลลา กับการกิน ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ แซะรัฐบาล . ใครจะร่วมแบบไหน ด้วยแรงจูงใจอย่างไรผมคงไม่พูดถึงเพราะยากที่จะหยั่งถึงใจคน แต่ประเด็นที่อยากชวนให้คิดในวันนี้คือ ท่ามกลางกระแส #softpower ที่เอ่อล้นไปทางเดียว ราวกับว่าทุกๆคนเห็นดีเห็นงามกับมันไปด้วยนี้ พวกเราได้ลืมฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างไปหรือไม่ ข้อเขียนตรงนี้จึงเหมือนเป็นการรวบรวมข้อสังเกตบางประการที่ผมได้เฝ้ามองความเป็นไปของ soft power มาจนถึงตอนนี้ . 📌ประเด็นแรก soft power ตามความหมายตั้งต้นที่น่าจะทราบทั่วกันคือ “ความสามารถสร้างอิทธิพลต่อผู้อื่นและทำให้ได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการ ด้วยการดึงดูดและจูงใจ ไม่ใช่ด้วยกำลังบังคับหรือใช้เงินซื้อ” ดังนั้นปฏิบัติการ soft power จึงต้องตั้งอยู่บินการใช้ “อำนาจยินยอม” (consent power) และหนึ่งในอำนาจยินยอมก็คือการชักจูงด้วยวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เข้าใจผิดและพบเห็นมากคือ เรามักพูดถึง “สินค้าวัฒนธรรม” ราวกับว่ามันเป็น soft power ในตัวเอง ซึ่งไม่จริง สินค้าวัฒนธรรมอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ soft power ได้ แต่ตัวมันเองไม่ได้เป็น soft power เสมอไป บางสินค้าทางวัฒนธรรมที่ฮิตก็อาจจะมีความ exotic บางอย่างทำให้คนตื่นตา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสร้างพลัง soft power ได้ ภาพ : ลำดับขั้นสู่การผลักดันจากสินค้าในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สู่การเป็น Soft Power . 📌ประเด็นที่สอง คณะทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการอ้าง Joseph Nye เรื่ององค์ประกอบที่จำเป็น และความหมายที่เปลี่ยนแปลงและเติบโตได้ของ soft power (จำได้ว่าคุณแพรทองธารก็เคยพูดถึง) ตรงนี้ไม่ผิด แต่สิ่งที่ Nye เน้นตลอดคือ soft power มันไม่ใช่

Soft Power แบบไทยๆ แข็งก่อน ค่อยอ่อนไหม? อ่านเพิ่มเติม »

สกลนคร เมือง 3 ธรรมแห่งอีสาน พร้อมพัฒนาสู่ Smart City

⛰สกลนคร เมือง 3 ธรรมแห่งอีสาน พร้อมพัฒนาสู่ Smart City . . เมื่อพูดถึงจังหวัดในภาคอีสาน หลายคนอาจคิดถึงวัดวาอารามหรือวัฒนธรรมประเพณีที่เราคุ้นเคยกันดี แต่สําหรับที่ “สกลนคร” นั้นต่างออกไป เพราะเมืองรองแห่งนี้เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งด้านธรรมะ วัฒนธรรม และธรรมชาติ จึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “เมือง 3 ธรรม” ของภาคอีสาน . 👱‍♂️โดยสกลนครมีทรัพยากรและภูมิปัญญาที่น่าสนใจ จากการที่เป็นดินแดนของ 6 ชนเผ่า 2 ชนชาติ ซึ่งร่วมสร้างวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของเมือง ทำให้มีวิถีชีวิตที่ผสานหลายวัฒนธรรมอย่างลงตัว และสร้างความดึงดูดใจแก่นักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่ม และปัจจุบันสกลนครมีความพร้อมที่จะยกระดับเป็น Smart City อีกจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานอีกด้วย . สกลนคร มีทรัพยากรและภูมิปัญญาที่น่าสนใจอย่างไร และมีความพร้อมที่จะเป็น Smart City ในด้านใดบ้าง ? อีสานอินไซต์ จะพามาเบิ่ง . 📌สกลนคร ตั้งอยู่ทางตอนบนของภาคอีสาน โดยห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 647 กิโลเมตรทางรถยนต์ ห่างจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 จังหวัดมุกดาหาร ประมาณ 120 กิโลเมตร และสะพานมิตรภาพ ไทย – ลาวแห่งที่ 3 จังหวัดนครพนม ประมาณ 90 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว . โดยสกลนครมีขนาดพื้นที่ 9,606 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 1.1 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจอยู่ที่ 70,457 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับกลางๆของภาคอีสาน ดังนั้นทางสกลนครจึงได้มีการจัดทำเส้นทางการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่มากขึ้น โดยสกลนครได้สร้างเส้นทางท่องเที่ยวที่มีชื่อว่า “สกลนคร เมือง 3 ธรรม” ซึ่งมาจากคำว่า ธรรมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม . โดยสกลนคร มีบูรพาจารย์ที่เป็นอริยสงฆ์ ซึ่งได้รับความเลื่อมใส รวมทั้งการมีสถานที่สำคัญทางศาสนา จึงมีประชาชนทั่วไปมาเที่ยวชมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งธรรมะ” และจากการที่มีเทือกเขาภูพานอันเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ 3 แห่ง และมีทะเลสาบหนองหาร ที่เป็นแหล่งน้ำจืดที่กว้างใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย มีขนาดพื้นที่ 123 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะต่างๆ กว่า 20 เกาะ จึงทำให้ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งธรรมชาติ” อีกทั้งสกลนครเป็นเมืองที่มีชนเผ่าพื้นเมืองจำนวน 6 เผ่า ได้แก่ เผ่าภูไท ญ้อ ไทโส้ ไทกะเลิง ไทโย้ย ไทลาวอิสาน และ 2 เชื้อชาติ คือ

สกลนคร เมือง 3 ธรรมแห่งอีสาน พร้อมพัฒนาสู่ Smart City อ่านเพิ่มเติม »

NAGA Legacy การท่องเที่ยวสายศรัทธาพญานาค

สกลนคร นครพนม บึงกาฬ 3 จังหวัด ตำนาน พญานาค เส้นทางการท่องเที่ยวสายศรัทธา . การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในกิจกรรมเศรษฐกิจหลักที่สามารถกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว แต่ในปัจจุบันจังหวัดในอีสานกว่า 20 จังหวัด มีเมืองที่นับว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวเมืองหลักเพียง 2 เมืองเท่านั้น สะท้อนภาพการกระจุกตัวของกิจกรรมการท่องเที่ยวในอีสานชัดเจน . แล้วจุดขายของเมืองรองอีสาน ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยว อยู่ที่ไหน ? . วันนี้อีสานอินไซต์พาเปิดหนึ่งในกลุ่มเมืองรองอีสานที่โดดเด่นด้วยจุดแข็งด้านวัฒนธรรม และความเชื่อ “พญานาค” ตามนโยบาย IGNITE TOURISM THAILAND ที่มุ่งผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Tourism Hub ที่สำคัญของโลก . NAGA Legacy (นครพนม สกลนคร บึงกาฬ) ตามรอยตำนานศรัทธาพญานาค . เพื่อฉายภาพกระแสพญานาคให้ชัดเจนขึ้น อีสานอินไซต์ขอพาย้อนชมในรอบ 20 ปี ว่ามีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง . อีสานเกิดพญานาค Fever ครั้งแรกที่เป็นกระแสไปทั่วประเทศ ในเดือนกรกฎาคม 2554 เมื่อมีข่าวว่าพญานาคโผล่ออกมาเล่นน้ำในบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ต่อหน้าต่อตาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และประชาชนนับพันคน . ต่อมาในปี 2560 พญานาคเป็นกระแสอีกรอบ ตามความเชื่อว่าปีนี้เป็นปีที่พญานาคมีอิทธิฤทธิ์และอำนาจเรืองรองที่สุดในรอบพันปี (ความเชื่อส่วนบุคคล) ส่งผลดีจากกิจกรรมการเดินทาง รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยจากสายบูชาพญานาค ไม่แปลกใจที่จะเห็นว่าบรรดาผู้เลื่อมใสศรัทธาต่างก็เดินทางไปกราบไหว้ขอพรกันอย่างหนาแน่น . และพญานาคยังได้รับแรงหนุนจากการผลักดันความเชื่อและวัฒนธรรมเข้าสู่ Mass market ผ่านจอแก้วใน “นาคี” ปี 2559 และภาคต่อผ่านจอเงิน “นาคี 2” ในปี 2561 ที่เผยแพร่ความเชื่อเรื่องพญานาคไปทั่วทุกภูมิภาครวมถึงต่างประเทศ . แล้ว 3 หัวเมืองในอีสาน มีจุดแข็งอะไร ที่ทำให้รัฐบาล มองว่าเป็นเส้นทางท่องเที่ยวสายพญานาค นั้นมีความสำคัญ . อย่างแรกที่ปฏิเสธไม่ได้คือตำแหน่งที่ตั้ง ที่อยู่บนสุดขวาของประเทศไทย ติดกับ สปป.ลาว แหล่งความเชื่อของวัฒนธรรมร่วมไทย-ลาว ที่นับถือพญานาคเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ กั้นกลางด้วยแม่น้ำโขง แหล่งน้ำสำคัญที่มีความเชื่อว่าเกิดขึ้นจากการไถลตัวของพญานาค รวมถึงสะพานเชื่อมประเทศ “สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว” ถึง 2 แห่ง . ความเชื่อยังสะท้อนออกมาในรูปกิจกรรมวัฒนธรรมของพื้นที่ โดยข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวจาก Thailand Tourism Directory ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สะท้อนภาพแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด 161 แห่ง ใน 3 จังหวัด ซึ่งกว่า 40% เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในกลุ่มความเชื่อ ความศรัทธา สะท้อนจุดแข็งในการรองรับกิจกรรมการท่องเที่ยวในด้านนี้ชัดเจน ตามด้วยสถานที่ท่องเที่ยวในกลุ่มการท่องเที่ยวธรรมชาติ และการท่องเที่ยวชุมชนเชิงการเรียนรู้เป็นหลัก . สถานที่ท่องเที่ยวด้านความเชื่อ ความศรัทธา เด่น ๆ ในพื้นที่ 3

NAGA Legacy การท่องเที่ยวสายศรัทธาพญานาค อ่านเพิ่มเติม »

อาหารอีสาน แดน ปลาร้า “วันส้มตำสากล” 2 มิ.ย. เปิดประวัติ ‘ส้มตำ’ มาจากไหน มีครั้งแรกเมื่อไหร่?

2 มิถุนายน “วันส้มตำสากล” วันที่นานาชาติให้การยอมรับว่า ส้มตำไทย อร่อย และยกให้ ส้มตำ เป็น อาหารสากล เปิดที่มาของคำว่า “ส้มตำ” มาจากไหน มีครั้งแรกเมื่อไหร่ ส้มตำ ภาพจาก FREEPIK “วันส้มตำสากล” (International Somtum Day) ตรงกับวันที่ 2 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันที่นานาชาติให้การยอมรับว่า ส้มตำไทย นั้นอร่อยและยกย่องให้ ส้มตำ เป็น อาหารสากล ชื่อ ส้มตำ เกิดจากการนำคำสองคำมาผสมกันนั่นเอง คำแรก “ส้ม” มาจากภาษาท้องถิ่น ที่หมายความว่ารสเปรี้ยว ส่วนคำที่สองคือ “ตำ” หมายความว่า การใช้สากหรือสิ่งของอื่นที่คล้ายคลึงทิ่มลงไปอย่างแรงเรื่อยๆ เมื่อสองคำมารวมกันก็จะได้ความหมายคือ อาหารรสเปรี้ยวที่ทำโดยการตำนั่นเอง ที่มาของวันส้มตำสากล เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2559 โดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับ สมาคมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารไทยมีการเสนอให้ องค์การสหประชาชาติ (ยูเนสโก้) ขึ้นทะเบียน “ส้มตำ” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 คณะกรรมการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของยูเนสโก้ ได้พิจารณาและ ให้การรับรองส้มตำ เข้าร่วมในรายการ มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของไทย ความหมายของวันส้มตำสากล เป็นการ ยกย่อง ให้ “ส้มตำ” เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เป็นการ ส่งเสริม ให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ได้รู้จัก ลิ้มลอง และชื่นชอบอาหารไทย เป็นการ กระตุ้น เศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหาร เป็นการ อนุรักษ์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย กิจกรรมในวันส้มตำสากล มีการจัดงาน เทศกาลส้มตำ ทั่วประเทศ มีการ ประกวดตำส้มตำ ในรูปแบบต่างๆ มีการ จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มาลองชิมส้มตำ มีการ เผยแพร่ข้อมูล เกี่ยวกับส้มตำ ผ่านสื่อต่างๆ ส้มตำ อาหารไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก เปรียบเสมือนตัวแทนของวัฒนธรรมไทย การมี “วันส้มตำสากล” จึงเป็นการช่วย ส่งเสริม ให้ส้มตำเป็นที่รู้จัก และ นิยมมากยิ่งขึ้น ข้อสันนิษฐานเรื่องที่มาของ ส้มตำ ส่วนผสมในเอกสารของส้มตำ ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้งแรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้ มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง ชาวสเปนและโปรตุเกสนำมาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคต้นกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่ชาวฮอลันดาอาจนำพริกเข้ามาเผยแพร่ในเวลาต่อมาในรัชกาล สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นีกอลา แฌร์แวซ (Nicolas Gervaise) และซีมง เดอ ลา ลูแบร์ พรรณนาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้ว และได้กล่าวถึงกระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มีกะหล่ำปลี และชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย (ในบางหลักฐานหลายอย่างชี้เห็นว่าชาวสยามกินข้าวเหนียวเป็นหลัก ส่วนข้าวเจ้านั้นจะปลูกสำหรับให้กับเจ้านายขุนนางและสำนักราชวังเท่านั้น

อาหารอีสาน แดน ปลาร้า “วันส้มตำสากล” 2 มิ.ย. เปิดประวัติ ‘ส้มตำ’ มาจากไหน มีครั้งแรกเมื่อไหร่? อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top