SHARP ADMIN

พามาเบิ่ง👩‍🎓👩‍🔧 ค่าแรงขั้นต่ำในประเทศเฮาและเพื่อนบ้าน GMS เฮา

พามาเบิ่ง👩‍🎓👩‍🔧 ค่าแรงขั้นต่ำในประเทศเฮาและเพื่อนบ้าน GMS เฮา . 👷ค่าแรงขั้นต่ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) เช่น ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา ซึ่งมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีที่ผ่านมาเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อและเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน จากตารางแสดงให้เห็นว่า 🇨🇳ประเทศจีนมีค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 401.75 บาทต่อวัน หรือ 12,454.20 บาทต่อเดือน 🇹🇭ในขณะที่ประเทศไทย (ภาคอีสาน) มีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 343.45 บาทต่อวัน ซึ่งเทียบเป็นรายเดือนแล้วประมาณ 10,646.95 บาท 🇲🇲ส่วนประเทศเมียนมามีค่าแรงขั้นต่ำต่ำสุดในกลุ่มนี้ที่ 109.02 บาทต่อวัน หรือประมาณ 3,379.62 บาทต่อเดือน เด้อ . ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของค่าแรงในแต่ละประเทศซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานค่าครองชีพและสภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอย่างต่อเนื่องเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่แต่ละประเทศใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและรักษาสิทธิของแรงงาน ในระดับปัจเจกบุคคล: คุณค่าของแรงงาน: ค่าจ้างสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่ตลาดให้กับทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ยิ่งมีทักษะที่ตลาดต้องการมากเท่าไหร่ ค่าจ้างก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเท่านั้น มาตรฐานการครองชีพ: ค่าจ้างเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดมาตรฐานการครองชีพของคนเรา ว่าสามารถซื้อสินค้าและบริการอะไรได้บ้าง รวมถึงคุณภาพชีวิตโดยรวม แรงจูงใจในการทำงาน: ค่าจ้างที่เหมาะสมเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้คนเราอยากทำงานและพัฒนาตนเอง ในระดับองค์กร: ประสิทธิภาพการผลิต: ค่าจ้างที่เหมาะสมจะช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและคุณภาพของสินค้าหรือบริการ ต้นทุนการผลิต: ค่าจ้างเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิต หากค่าจ้างสูงขึ้น ก็อาจส่งผลต่อราคาขายสินค้าหรือบริการ ความสามารถในการแข่งขัน: ค่าจ้างที่สูงเกินไปอาจทำให้บริษัทขาดความสามารถในการแข่งขัน ในขณะที่ค่าจ้างที่ต่ำเกินไปอาจทำให้ขาดแรงงานที่มีคุณภาพ ในระดับสังคม: ความเหลื่อมล้ำทางรายได้: การกระจายตัวของค่าจ้างสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในสังคม สถานการณ์เศรษฐกิจ: การเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างโดยเฉลี่ยสามารถบ่งบอกถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศได้ เช่น ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว ค่าจ้างโดยเฉลี่ยมักจะเพิ่มขึ้น นโยบายเศรษฐกิจ: นโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เช่น การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ หรือมาตรการส่งเสริมการจ้างงาน จะมีผลต่อระดับและการกระจายตัวของค่าจ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าจ้าง ทักษะและประสบการณ์: ยิ่งมีทักษะและประสบการณ์สูง ค่าจ้างก็ยิ่งสูงขึ้น อุปสงค์และอุปทานของแรงงาน: หากอุปสงค์ของแรงงานในสาขาใดสาขาหนึ่งสูง แต่ปริมาณแรงงานมีจำกัด ค่าจ้างในสาขานั้นก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้น ค่าครองชีพ: ค่าจ้างมักจะปรับตัวตามค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น กฎหมายและนโยบาย: กฎหมายแรงงานและนโยบายของรัฐบาลมีผลต่อการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและสวัสดิการต่างๆ ที่ลูกจ้างได้รับ อำนาจต่อรอง: อำนาจต่อรองของลูกจ้างและนายจ้างมีผลต่อการกำหนดระดับค่าจ้าง สรุป ค่าจ้างแรงงานเป็นตัวแปรที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง การวิเคราะห์ค่าจ้างจึงต้องพิจารณาในบริบทที่หลากหลาย ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล องค์กร และสังคม . ที่มา เว็ปไซต์ vdb-loi,prd.co.th,vietnam.incorp,b2b-cambodia,atlashxm,chinalegalexperts . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #ISANxGMS #เพื่อนบ้านอีสาน

ใครว่าภาคอีสานจนสุด เมื่อภาพจำไม่ตรงกับสถิติ ภาคอีสานภูมิภาคที่มีการลดลงของความเหลื่อมล้ำมากที่สุด และยังมีสัดส่วนคนจนน้อยกว่าภาคใต้

ภาคใต้ ภาคอีสาน Top 2 ภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด แต่ภาคอีสานกลับมีการลดลงของความเหลื่อมล้ำมากที่สุด ในปี 2566 ทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ออกรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความอยากจน และความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย 2566 ออกมา ซึ่งเป็นรายงานที่ออกเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว โดยในปี 2566 นี้ภาพรวมสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ โดยในด้านของจำนวนคนจนลดลงจาก 3.79 ล้านคน ในปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนคนจนร้อยละ 5.43 ลดลงมาอยู่ที่ 2.39 ล้านคน ในปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนคนจนร้อยละ 3.41 ผลจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นภาคที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดในประเทศ สอดคล้องกับค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคทางด้านรายได้ที่ลดลงจาก 0.43 ในปี 2564 มาอยู่ที่ 0.42 ในปี 2566 แสดงถึงความเหลื่อมล้ำทางด้านรายจ่ายที่ลดลง เป็นไปในทิศทางเดียวกับสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคทางด้านรายได้ที่ลดลงจาก 0.343 ในปี 2565 มาอยู่ที่ 0.335 ในปี 2566 แสดงให้เห็ยความไม่เสมอภาคทางด้านรายจ่ายนั้นลดลงแม้จะเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม  แต่ก็ยังคงมีจุดที่น่าเป็นกังวลอยู่ในด้านของกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงจะกลายเป็นคนจนที่ต้องเผชิญกับปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมในมิติต่างๆ ทั้งด้านการประกอบอาชีพ การศึกษา ที่อยู่อาศัย เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในพื้นที่นอกเขตเทศบาลจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนที่อยู่ในพื้นที่เขตเทศบาลอย่างชัดเจน โดยในปี 2566 นี้เส้นความยากจนได้มีการปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจาก 2,997 บาท/คน/เดือน ในปี 2565 ขึ้นเป็น 3,043 บาท/คน/เดือน อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อครัวเรือนยากจนนั้นคือขนาดขางครัวเรือนที่ยิ่งครัวเรือนนาดใหญ่จะยิ่งมีความยากจนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากครัวเรือนนั้นเป็นครัวเรือนแหว่งกลางที่ขาดบุคคลในครอบครัวที่ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูทุกคนในครอบครัว ทั้งนี้อัตราการพึ่งพิงของครัวเรือนยากจนจะมีสูงกว่าครัวเรือนปกติอยู่ที่ร้อยละ 103.39 เมื่อเทียบกับครัวเรือนปกติที่ร้อยละ 62.34 กราฟที่ 1 เส้นความยากจน สัดส่วนคนจน และจำนวนคนจน ปี 2555 – 2566 ที่มา : ข้อมูลจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ ประมวลผลโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   เส้นความยากจน เป็นเครื่องมือสำหรับใช้วัดภาวะความยากจน โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายสำหรับอาหาร สินค้าและบริการอื่นที่ไม่ใช่อาหารที่ปัจเจกบุคคลจำเป็นต้องใช้ในการดำรงค์ชีวิตขั้นพื้นฐาน อัตราการพึ่ง อัตราส่วนของประชากรที่อยู่ในกลุ่มอายุนอกวัยแรงงานต่อประชากรในวัยแรงงาน โดยมีข้อสมมติว่า ประชากรที่อยู่ในกลุ่มอายุนอกวัยแรงงานนั้นต้องพึ่งพิงทางเศรษฐกิจ ครัวเรือนแหว่งกลาง ครัวเรือนที่มีสมาชิกรุ่นปู่ย่า หรือตายาย อาศัยอยู่กับรุ่นหลานในวัยเด็ก โดยขาดสมาชิกรุ่นพ่อแม่ ซึ่งมักย้ายถิ่นฐานไปทำงาน   สำหรับสถานการณ์ในภาคอีสานนั้นจะเห็นได้ว่าภาคอีสานเป็นภาคที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศที่ร้อยละ 4.16 เป็นรองภาคใต้ที่ร้อยละ 7.48 แต่เมื่อพิจารณาเป็นจำนวนคนจะพบว่าภาคอีสานนั้นเป็นภาคที่มีจำนวนคนจนมากที่สุดในประเทศที่ประมาณ 7.58 แสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 31.71 ของคนจนทั้งหมด รองลงมาคือภาคใต้ที่ประมาณ 7.33 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 30.65 ห่างจากภาคอีสานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กราฟที่ 2 สัดส่วนคนจน จำแนกรายภาค ปี 2555 – 2566 ที่มา : …

ใครว่าภาคอีสานจนสุด เมื่อภาพจำไม่ตรงกับสถิติ ภาคอีสานภูมิภาคที่มีการลดลงของความเหลื่อมล้ำมากที่สุด และยังมีสัดส่วนคนจนน้อยกว่าภาคใต้ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง👩‍🌾พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่

พามาเบิ่ง👩‍🌾พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ . . การเกษตรของไทยก้าวหน้าไปไกลมาก ด้วยแนวทาง เกษตรทฤษฎีใหม่ ที่เกิดขึ้นในแต่ละตำบลทั่วประเทศ โครงการนี้เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการเกษตรที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตของประเทศไทย . ในภาคภาคอีสาน ของเราเป็นแหล่งสำคัญของเกษตรกรไทย เรามีการดำเนินโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ในหลายจังหวัด ข้อมูลล่าสุดจากโครงการนี้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจน เช่น . 1⃣.จังหวัดนครราชสีมา: มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการถึง 3,307 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 11,768.5 ไร่ โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละครัวเรือนมีพื้นที่การเกษตรประมาณ 3.6 ไร่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ 2⃣.จังหวัดอุดรธานี: ก็ไม่แพ้กัน โดยมีเกษตรกรถึง 3,929 ครัวเรือน ทำการเกษตรบนพื้นที่ทั้งหมด 15,540 ไร่ พื้นที่เฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 4.0 ไร่ แสดงถึงการขยายตัวของการทำเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่นี้ 3⃣.สกลนคร: อีกหนึ่งจังหวัดที่โดดเด่น มีเกษตรกร 2,311 ครัวเรือน ใช้พื้นที่ทำเกษตรกว่า 8,567 ไร่ พื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3.7 ไร่ต่อครัวเรือน . โครงการนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นในภาคอีสานเท่านั้น แต่ยังขยายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เช่น 🌳 ภาคกลาง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่สำคัญของการเกษตรไทย มีเกษตรกรเข้าร่วมถึง 2,741 ครัวเรือน ใช้พื้นที่การเกษตรถึง 10,003 ไร่ เฉลี่ย 3.6 ไร่ต่อครัวเรือน 🌳 ภาคใต้ มีพื้นที่การเกษตร 5,966 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วม 1,816 ครัวเรือน โดยแต่ละครัวเรือนมีพื้นที่เฉลี่ย 3.3 ไร่ . โครงการนี้มุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงชีพได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นี่จึงเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาภาคเกษตรไทย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย   หมายเหตุ: ข้อมูลถึง มีนาคม 2567 . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เกษตรทฤษฎีใหม่ #เกษตรยั่งยืน #เกษตรอีสาน #พัฒนาท้องถิ่น #1ตำบล1กลุ่ม #เกษตรกรอีสาน

พามาเบิ่ง🧐 18 สาขาอาชีพในอีสาน รายได้เฉลี่ยเดือนละเท่าไหร่🪙

พามาเบิ่ง18 สาขาอาชีพในอีสาน รายได้เฉลี่ยเดือนละเท่าไหร่.รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ของทั้ง 18 สาขาอาชีพในภาคอีสาน มีดังต่อไปนี้การศึกษา ฿23,897กิจกรรมด้านสุขภาพและสังคมสงเคราะห์ ฿18,167ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ฿17,923กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย ฿17,323การบริหารราชการ การป้องกันประเทศ ฿15,380ไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ ฿14,353การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ฿13,851การจัดหาน้ำ และการบำบัดน้ำเสีย ฿13,182กิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ฿12,323กิจกรรมทางวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และเทคนิค ฿11,523การทำเหมืองแร่ และเหมืองหิน ฿11,305การผลิต ฿10,877การขายส่งและขายปลีก ฿10,384กิจกรรมการบริหารและการบริการสนับสนุน ฿10,335ศิลปะ ความบันเทิง และนันทนาการ ฿9,761โรงแรมและร้านอาหาร ฿9,302การก่อสร้าง ฿8,721เกษตรกรรม ฿6,996.จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่าสาขาอาชีพ ที่มีแหล่งรายได้จากทางราชการจะมีค่าเฉลี่ยสูงสุด เช่น ภาคการศึกษา, กิจกรรมด้านสุขภาพและสังคมสงเคราะห์ ที่มีความแตกต่างด้านรายได้อย่างมาก เพราะในฝั่งเอกชนจะมีรายได้สูง กว่าค่าจ้างจากทางภาครัฐ ยกตัวอย่างเช่น วิชาชีพแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ ที่มีรายได้เฉลี่ยหลักหมื่น หรือ แสนบาทต่อเดือน ในขณะที่ รายได้ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านอยู่ในหลักพัน.ส่วนอาชีพที่รับรายได้ในภาคเอกชน การค้า และบริการ ในภาคอีสานยังใกล้เคียงกับค่าแรงเฉลี่ยขั้นต่ำที่ 400 บาท/วัน แต่ก็ยังมีอาชีพที่น่ากังวลคือ อาชีพด้านงานศิลป์ การบริการโรงแรมและอาหาร การก่อสร้าง ที่มีรายได้ต่ำที่สุด.สุดท้ายเกษตรกรที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำที่สุด อาจพิจารณาได้จากหลายสาเหตุ เช่น รายได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับราคาสินค้าทางการเกษตรในช่วงเวลานั้นๆ, จำนวนเกษตรมีจำนวนมากถึง 4.1 ล้านคน ทำให้ค่าเฉลี่ยต่ำ, และสุดท้ายเพราะรายได้เกษตรกรเป็นรายได้ที่ส่วนใหญ่ได้รับการละเว้นการเสียภาษี หรือเกษตรก็ไม่ได้นำส่งรายได้เข้าสู่ระบบ ทำให้ไม่มีตัวเลขรายได้ที่แท้จริงปรากฏในระบบฐานข้อมูล..หมายเหตุ: ข้อมูลปี ไตรมาสที่ 1 ปี 2567ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ.ติดตาม ISAN Insight ทุกช่องทางได้ที่https://linktr.ee/isan.insight.#ISANInsight #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #แรงงาน #ค่าจ้างเฉลี่ย #ค่าจ้างเฉลี่ยอีสาน

พามาเบิ่ง อัตราค่าจ้างรายอาชีพในภาคอีสาน

สถิติค่าจ้างรายอาชีพของกรมจัดหางาน พบว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีสถิติค่าจ้างสูงสุดโดยแบ่งเป็น รายชั่วโมง 160 บาท รายวัน 850 บาท รายเดือน 300,000 บาท และต่ำสุดอยู่ที่ 8,550 บาทต่อเดือน ในส่วนของภาคอีสานนั้นในเป็นภาคที่มีรายได้สูงสุดต่ำที่สุดในประเทศอยู่ที่ 120,000 บาทต่อเดือน และหากมองเป็นรายได้เฉลี่ยต่อเดือนภาคอีสานก็ยังคงเป็นภาคที่มีรายได้เฉลี่ยน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับทุกภาคเช่นกันอยู่ที่ 12,510 บาทต่อเดือน   ถ้าเรามาดูในส่วนของรายได้เฉลี่ยตามหมวดอาชีพในภาคอีสาน 3 อันดับแรกที่มีรายได้เฉลี่ยสูงสุดในภาคอีสาน ได้แก่ ผู้จัดการ/เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโส ≈ 16,601 บาทต่อเดือน ผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่างๆ ≈ 14,767 บาทต่อเดือน ช่างเทคนิคและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ≈ 12,294 บาทต่อเดือน จะเห็นได้ว่าแม้รายได้สูงสุดของกลุ่มอาชีพนี้จะสูงมากแค่ไหนในส่วนของรายได้เฉลี่ยของคนส่วนใหญ่ที่ได้นั้นก็ยังคงอยู่เพียงแค่หลักหมื่นต้นๆเท่านั้น มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นกลุ่มผู้มีประสบการณ์และความชำนาญสูงเท่านั้นที่จะได้ค่าจ้างสูงตามเพดานของอาชีพนั้นๆ   สำหรับอาชีพที่มีค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนสูงที่สุดในประเทศ 5 อันดับแรก ได้แก่ นักวิเคราะห์การเงิน ≈ 47,225 บาทต่อเดือน ผู้บริหารระบบงานคอมพิวเตอร์ ≈ 37,588 บาทต่อเดือน นักวิเคราะห์และพัฒนาซอฟต์แวร์และโปรแกรมประยุกต์  ≈30,225 บาทต่อเดือน นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ≈ 29,110 บาทต่อเดือน นักวิเคราะห์ด้านการบริหารและองค์การ ≈ 27,337 บาทต่อเดือน เมื่อเรามองดูกลุ่มอาชีพที่มีค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนสูงนั้นจะพบว่า ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นอาชีพเฉพาะทางที่อาศัยประสบการณ์ในการทำงานสูง โดยอาชีพ 3 ใน 5 นั้นเป็นอาชีพที่อยู่ในความเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นอาชีพที่มีกระแสมาแรงและความต้องการของทั่วโลกในบริษัทใหญ่ๆ มีสูงเช่นกัน   ในส่วนของอาชีพที่มีความต้องการมากที่สุดในประเทศไทย 5 อันดับแรกนั้น ได้แก่ พนักงานขายในศูย์บริการลูกค้า มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 13,975 บาท เสมียนทั่วไป มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 14,470 บาท ตัวแทนขายด้านการค้า มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 18,405 บาท ผู้ประกอบวิชาชีพด้านโฆษณาและการตลาด มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 18,929 บาท เสมียนด้านบัญชี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 15,107 บาท จะเห็นได้ว่าอาชีพส่วนใหญ่ที่มีความต้องการสูงในตลาดแรงงานนั้น 3 ใน 5 จะเป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าและการตลาด จะไม่ใช่อาชีพที่อาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเหมือนกลุ่มอาชีพที่ค่าจ้างสูง แต่เป็นอาชีพที่มีความต้องการของตลอดแรงงานสูง ขณะที่รายได้นั้นอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป จากรายงานพบว่าภาคอีสานเป็นภาคที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำที่สุดในประเทศ แม้ว่าจะมีจำนวนแรงงานมากเป็นอันดับสองของประเทศก็ตาม อย่างไรก็ตาม แรงงานส่วนใหญ่ในภาคอีสานทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นภาคการผลิตที่มีรายได้ไม่สูง เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายและรายได้ของกลุ่มคนในภาคเกษตรกรรม จะเห็นได้ว่ารายได้จากการทำเกษตรกรรมไม่สูงนัก เนื่องจากต้องรอผลผลิตตามฤดูกาล ในระหว่างนั้น แรงงานเกษตรต้องหารายได้เสริมจากอาชีพอื่นเพื่อเลี้ยงชีพ นอกจากนี้ เมื่อมีรายได้จากการขายผลผลิตเกษตร ส่วนใหญ่จะต้องนำไปชำระหนี้สินที่เกิดจากต้นทุนการผลิต ซึ่งยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้ รายได้เฉลี่ยของภาคอีสานจึงไม่สูงนัก หากพิจารณาด้านความหลากหลายของอาชีพที่เป็นงานประจำ จะพบว่าไม่เพียงแต่ภาคอีสานเท่านั้น แต่ภาคอื่นๆ นอกเหนือจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑลก็มีความหลากหลายทางอาชีพน้อยเช่นกัน เมื่อดูจากเว็บไซต์หางานต่างๆ ในพื้นที่ต่างจังหวัด …

พามาเบิ่ง อัตราค่าจ้างรายอาชีพในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ช่วยโหวตให้หนูหน่อย หนูชื่ออะไรดีคะ #เตรียมโหวต 5 ชื่อน้องฮิปโปโปเตมัสเกิดใหม่ ศรีสะเกษ

พี่ๆ ช่วยโหวตให้หนูหน่อย หนูชื่ออะไรดีคะ #เตรียมโหวตตั้งชื่อน้องฮิปโปโปเตมัสเกิดใหม่ โดยจะเปิดให้ประชาชนร่วมโหวตทางสื่อโซเชียล ผ่านเพจสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ โดยจะเปิดให้โหวต จำนวน 4 วันระหว่างวันที่ 28-31 ตุลาคม จนถึงเวลา 24.00 น. ใน 5 รายชื่อ ประกอบด้วย 1. น้องลำดวน ความหมาย มาจากชื่อต้นไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ 2. น้องศรีเกษ ความหมาย มาจากพ่อชื่อสมศรี แม่ชื่อเกษริน และชื่อจังหวัดศรีสะเกษ 3. น้องสาวศรี ความหมาย สาว มาจาก สาวสวย เป็นการกลบเสียงบลูลี่ว่าน้องน่าเกลียด ส่วนคำว่า ศรี คือ ศรีสะเกษ เมืองที่น้องเกิด 4. น้องหอมแดง ความหมาย คือพืชเศรษฐกิจของจังหวัดศรีสะเกษ น้องตัวสีน้ำตาลแดงเหมือนหอมแดง 5. น้องหมูกระเทียม ความหมาย คือ พืชเศรษฐกิจของจังหวัดศรีสะเกษ และหมูกระเทียมอร่อย โดยผู้ที่ร่วมโหวตทุกคนมีสิทธิ์ได้รับรางวัล เป็นเสื้อน้องฮิปโปศรีสะเกษ จำนวน 150 รางวัล และผู้ที่ร่วมโหวต 3 ลำดับแรกของรายชื่อที่ได้รับคัดเลือก จะได้รับรางวัลใหญ่จาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ (ททท.) ไปโหวตที่เพจนี้กัน https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0267jZ4o9oknXnX7xf1HqCbBn6GTe3AiscNqtUeX6gSFimaoPrsNbijaA5QqG27LYgl&id=61555721168549 อัพเดตล่าสุด หลังเป็นประเด็นดราม่าถูกเปรียบเทียบความน่ารักกับเจ้าหมูเด้ง ดาราดังจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียวไปเมื่อหลายวันก่อน วันนี้ ‘ศรีสะเกษ’ น้องฮิปโปฯ เบบี๋จากสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ลูกสาวของพ่อสมศรีและแม่เกศริน ที่ตอนนี้คนหันมาเอ็นดูกันมากขึ้นก็ได้รับชื่อใหม่แล้ว ! ทางสวนสัตว์เลยเปิดให้มีการโหวตชื่อ ประกอบด้วย 5 ชื่อด้วยกันคือ ลำดวน ศรีเกษ สาวศรี หอมแดง และหมูกระเทียม โดยแทบทุกชื่อจะเป็นของดีจังหวัดศรีสะเกษแทบทั้งนั้น สุดท้ายน้องได้ชื่อว่า “หอมแดง” ด้วยคะแนนโหวตถล่มทลายถึง 52,045 คะแนน นำชื่ออื่นแบบขาดลอย ที่สำคัญน้องหอมแดงยังมีชื่อพระราชทานจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์อีกด้วยว่า “สาวศรี” อีกด้วย  ประกาศอย่างเป็นทางการ!! ผลการโหวตชื่อลูกฮิปโปศรีสะเกษ ยอดโหวต 4 วัน ทั้งหมด 83,931 โหวต ชื่อที่มีผู้โหวตให้มากที่สุดกว่า 52,045 โหวต ได้แก่ชื่อ  “#น้องหอมแดง” ใครโหวตชื่อนี้บ้างครับ  อันดับ 1 : น้องหอมแดง อันดับ 2 : น้องลำดวน อันดับ 3 : น้องหมูกระเทียม  “น้องหอมแดง” เป็นลูกตัวแรกของ แม่ฮิปโปชื่อ “เกดสิริน” กับ พ่อชื่อ “สมศรี” เกิดเมื่อวันที่ 13 ต.ค. …

ช่วยโหวตให้หนูหน่อย หนูชื่ออะไรดีคะ #เตรียมโหวต 5 ชื่อน้องฮิปโปโปเตมัสเกิดใหม่ ศรีสะเกษ อ่านเพิ่มเติม »

มหาสารคาม สะดืออีสาน สู่ความท้าทาย ในการเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาของภาคอีสาน

มหาสารคาม สะดืออีสาน สู่ความท้าทาย ในการเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาของภาคอีสาน . . เมื่อพูดถึงจังหวัดมหาสารคามแล้วหลายๆ คนคงคิดถึง 3 อย่างนั่น คือ มหาวิทยาลัย มันแกวบรบือ และ    พระธาตุนาดูน แต่ที่จริงแล้วจังหวัดมหาสารคามมีทั้งความท้าทาย และโอกาสในการพัฒนาอีกมาก รวมทั้งยังเป็นจังหวัดที่มูลค่าเศรษฐกิจจังหวัดเติบโตต่อเนื่องในตลอด ทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีการลงทุนใน ภาคอสังหาฯ ที่เติบโตกว่า 33% ซึ่งถือว่าสูงสุดในภูมิภาคอีกด้วย . นอกจากนั้นแล้วจังหวัดมหาสารคามยังนับเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมของชาวอีสาน มีชุมชนโบราณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชุมชนบ้านเชียงเหียน หมู่บ้านปั้นหม้อของชาวบ้านหม้อ ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคามแหล่งโบราณสถาน และสถานที่สำคัญทางศาสนาก็มี พระธาตุนาดูน กู่สันตรัตน์ อำเภอนาดูน กู่บ้านแดง อำเภอวาปีปทุม ปรางค์กู่ ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคาม ที่น่ามาศึกษาหาความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง . เพราะเหตุใด จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดสะดืออีสาน ใจกลางภูมิภาค ถึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีก   อีสานอินไซต์ จะพามาเบิ่ง   . 1. โครงสร้างเศรษฐกิจจังหวัดมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคามมีขนาดพื้นที่ประมาณ 5,292 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 944,605 คน ในปี 2564  มีขนาดเศรษฐกิจของจังหวัด อยู่ที่ 66,024 ล้านบาท และรายได้ต่อหัวของจังหวัดอยู่ที่ 85,228 บาท/ปี   . มีโครงสร้างเศรษฐกิจและธุรกิจ SME ดังนี้ ภาคการบริการ คิดเป็น 51% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหาร อยู่ที่ 3,195 ราย 2.ภาคการเกษตร คิดเป็น 21% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การเลี้ยงโคนมและโคเนื้อ อยู่ที่ 588 ราย 3.ภาคการผลิต คิดเป็น 17% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ การสีข้าว อยู่ที่ 2,276 ราย 4.ภาคการค้า คิดเป็น 10% โดยธุรกิจ SME ที่มากที่สุด คือ ร้านขายของชำ อยู่ที่ 6,072 ราย สินค้า GI ของจังหวัดก็คือ มันแกวบรบือ และข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้    . จากโครงสร้างเศรษฐกิจพบว่า GPP ของมหาสารคาม มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วง …

มหาสารคาม สะดืออีสาน สู่ความท้าทาย ในการเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาของภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ส่องเบิ่ง 10 ปราสาทหิน ที่เที่ยวอีสาน อยู่หม่องใด๋แหน่ ?

ส่องเบิ่ง 10 ปราสาทหิน ที่เที่ยวอีสาน อยู่หม่องใด๋แหน่ ? . . ปราสาทหินพนมรุ้ง บุรีรัมย์ ปราสาทพนมรุ้ง หรือ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง แห่งนี้ เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ของ บุรีรัมย์ ที่มาจากอิทธิพลของอารยธรรมเขมรโบราณ ซึ่งถือได้ว่ามีความสำคัญกับประเทศไทยอย่างมาก ศาสนสถานแห่งนี้สร้างขึ้นมาก็เพื่อถวายแด่พระศิวะ เทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู ซึ่งก่อสร้างมาในช่วงหลายยุคหลายสมัยด้วยกัน ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15-18 . จึงทำให้มีความงดงามในด้านของสถาปัตยกรรม และความมหัศจรรย์ของปราสาทพนมรุ้ง นั่นก็คือ มีการเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกที่แสงอาทิตย์สาดส่องทะลุ 15 ช่องประตูของปราสาทพนมรุ้งในทุกๆ ปี ปีละ 4 ครั้ง จนเกิดเป็นงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งที่จัดขึ้นทุกๆ ปี . ที่อยู่ : อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ พิกัด : https://goo.gl/maps/izNnHiBAHjXZJesL7   เปิดให้เข้าชม : 07.00-18.00 น. ค่าเข้าชม : ชาวไทย 20 บาท / ชาวต่างชาติ 100 บาท / สำหรับรถยนต์ 50 บาท โทร : 0-4466-6251 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/Ensemble.of.Phanom.Rung  . ปราสาทหินเมืองต่ำ บุรีรัมย์ ปราสาทหินเมืองต่ำ หรือ ปราสาทเมืองต่ำ โดยเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู มีสถาปัตยกรรมแบบศิลปะขอมโบราณ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 16-17 ภายในมีภาพจำหลักหินบนหน้าบัน และทับหลังที่สวยงามเหมาะแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์และศิลปะสมัยขอมโบราณเป็นอย่างมาก อีกทั้งส่วนของลักษณะสถาปัตยกรรมด้านในของปราสาทเมืองต่ำนั้น ก่อสร้างด้วยฝีมือช่างในระดับช่างหลวง เรียกได้ว่าเป็นโบราณสถานที่สวยงามแห่งหนึ่ง . ที่อยู่ : บ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ พิกัด : https://goo.gl/maps/CqGqzk3PQQumvXCM8    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น. โทร : 0-4466-6251 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/muangtamtemple/ . ปราสาทหินพิมาย นครราชสีมา ปราสาทหินพิมาย ตั้งอยู่ภายใน อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ภายในจะเป็นโบราณสถานสมัยขอมทั้งหมด ตั้งแต่ชิ้นเล็กๆ ไปจนถึงชิ้นใหญ่โต โดยสร้างขึ้นตามความเชื่อเกี่ยวกับสวรรค์และโลกมนุษย์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เพื่อใช้เป็นเทวสถานของศาสนาพราหมณ์ และปราสาทหินพิมายยังเป็น ปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย . ที่อยู่ : ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พิกัด : https://goo.gl/maps/224momsF3rCv6ewf9  เปิดให้เข้าชม : 07.00-18.00 น. …

ส่องเบิ่ง 10 ปราสาทหิน ที่เที่ยวอีสาน อยู่หม่องใด๋แหน่ ? อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง สัดส่วน ศาสนิกชนของคนในอีสานบ้านเฮาและเพื่อนบ้าน GMS 

พามาเบิ่ง สัดส่วน ศาสนิกชนของคนในอีสานบ้านเฮาและเพื่อนบ้าน GMS  . ในภูมิภาคอีสานของไทย เฮาพบว่าศาสนาพุทธยังคงเป็นศาสนาหลักเด้อ นำหน้าด้วย 98.10% ของประชากรที่เฮ็ดบุญกัน นอกจากนั่นยังมีผู้บ่ถือศาสนาประมาณ 1% แล้วกะคริสต์อีก 0.40% ต่อมาด้วย  ลาวบ้านเฮือนข้างบ้านกะบ่แตกต่างกัน ศาสนาพุทธยังเป็นหลัก 95% ในขณะเดียวกันกะมีความเชื่อท้องถิ่นอยู่ที่ 5% ส่วนกัมพูชากะเฮ็ดบุญหลาย พุทธ 97% ส่วนมุสลิมมี 2% แล้วกะคริสต์มีอยู่ 1%  พม่า พุทธยังคงเป็นหลักอยู่ 87.9% แต่คริสต์กะมาหนักแน่นอยู่ 6.2% และมุสลิมอีก 4.3%  เวียดนามเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่บ่ได้ถือศาสนาเลยถึง 86.32% แต่ยังมีคนพุทธอยู่ 4.79% และคริสต์อีก 6.1%  จีน ที่คนบ่ถือศาสนาอยู่ที่ 31.8% นอกจากนั่นกะยังมีความเชื่อจีนโบราณอยู่ถึง 30.8% และพุทธอยู่ 16.6%  การเปรียบเทียบสัดส่วนศาสนิกชนในประเทศไทย ลาว พม่า เวียดนาม และจีน เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิหลังทางสังคมที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อทางศาสนาของประชาชนในแต่ละประเทศ . ไทย ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท: เป็นศาสนาประจำชาติ มีผู้คนนับถือมากที่สุด ศาสนาอิสลาม: ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมสุนหนี่ กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ ศาสนาคริสต์: ส่วนใหญ่เป็นคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ ศาสนาอื่น ๆ: เช่น พราหมณ์-ฮินดู ซิกข์ . ลาว ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท: เป็นศาสนาประจำชาติ มีผู้คนนับถือมากที่สุด ศาสนาผี: ความเชื่อผสมผสานกับพุทธศาสนา ศาสนาคริสต์: มีจำนวนน้อย ศาสนาอิสลาม: มีจำนวนน้อย . พม่า ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท: เป็นศาสนาประจำชาติ มีผู้คนนับถือมากที่สุด ศาสนาคริสต์: มีจำนวนน้อย ศาสนาอิสลาม: ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ . เวียดนาม ศาสนาพุทธนิกายมหายาน: เป็นศาสนาหลัก ศาสนาพื้นเมือง: ความเชื่อผสมผสานกับพุทธศาสนาและขงจื๊อ ศาสนาคริสต์คาทอลิก: มีผู้คนนับถือจำนวนมากในบางพื้นที่ ศาสนาคริสต์โปรเตสแตนต์: มีผู้คนนับถือน้อย . จีน ศาสนาไร้神论 (Wu Shen Lun): หรือลัทธิไร้พระเจ้า เป็นอุดมการณ์หลักของรัฐบาลจีน ศาสนาพุทธนิกายมหายาน: มีผู้คนนับถือจำนวนมาก ศาสนาเต๋า: มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมจีน ศาสนาคริสต์: ส่วนใหญ่เป็นคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ ศาสนาอิสลาม: ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียง . หมายเหตุ: สัดส่วนศาสนิกชนอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ . ปัจจัยที่ส่งผลต่อความหลากหลายทางศาสนา #ประวัติศาสตร์: การติดต่อสัมพันธ์กับต่างชาติ การรุกราน และการค้าขาย ส่งผลต่อการเผยแผ่ศาสนา #วัฒนธรรม: ความเชื่อ …

พามาเบิ่ง สัดส่วน ศาสนิกชนของคนในอีสานบ้านเฮาและเพื่อนบ้าน GMS  อ่านเพิ่มเติม »

อู่เชิดชัย-โคราช ผลิตบัสไฟฟ้า สัญชาติไทย ลุยตลาดอีวี รองรับดีมานด์ทั่วเอเชียแปซิฟิก 4 หมื่นล้านเหรียญ

การเดินทางของบริษัท เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ จำกัด – พ.ศ. 2506 เริ่มผลิตโครงสร้างรถบัสด้วยไม้ – พ.ศ. 2508 เราคือผู้ผลิตโครงเหล็กรายแรกในประเทศไทย – พ.ศ. 2518 เราเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของอีซูซุในการผลิตตัวรถบัสบนแชสซีโมโนค็อกของอีซูซุในประเทศไทย – พ.ศ. 2530 เราเฉลิมฉลองให้กับตัวถังรถบัสจำนวน 1,200 คันบนตัวถังอีซูซุ – พ.ศ. 2531 ส่งออกรถโดยสาร 25 คันไปยังประเทศมาเลเซีย เชิดชัย เพื่อผลิตตัวถังรถบรรทุก (ตัวไม้) บริษัทให้บริการรถโดยสารระหว่างจังหวัด บริการรถนำเที่ยวและเพื่อความบันเทิง เพื่อการขนส่งและโลจิสติกส์ มากว่า 65 ปี เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ เริ่มต้นธุรกิจด้วยบริการรถโดยสารประจำทางและโรงงานผลิตตัวถังรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด ก่อนจะขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆ ธุรกิจเชิดชัยประกอบด้วยบริการรถโดยสารระหว่างจังหวัด โรงงานผลิตตัวถังรถบัส ตัวแทนจำหน่ายรถบัสวอลโว่ที่ได้รับอนุญาต และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทมีรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัดกว่า 1,200 คัน ภายใต้สัมปทาน จาก บริษัท ขนส่ง จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม บริการส่วนใหญ่เป็นเส้นทางระยะไกล ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เชิดชัยทัวร์ยังให้บริการระยะกลางระหว่างกรุงเทพฯและนครราชสีมาและจุดหมายปลายทางทางตะวันออกบางแห่ง มรสุมโควิด-19 ฉุดบริษัทขาดทุน เดือนละล้าน ทางเชิดชัย ในตอนนี้ทำกิจการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเป็นผู้ให้บริการรถทัวร์เส้นทางสายอีสาน หรือบางสาย คือ การรับประกอบตัวถังรถทัวร์และบริการซ่อมรถทัวร์ด้วยตัวเอง ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ผู้ให้บริการรถทัวร์หลายเจ้าประสบปัญหาขาดทุน ซึ่งมีบางเจ้าถึงขั้นล้มละลาย ส่วนทางเชิดชัยประสบปัญหาอย่างเดียวกัน คือ ไม่มีผู้ใช้บริการ ส่งผลให้เกิดการขาดทุนเดือนละล้าน หมายความว่าภายใน 1 ปี จะขาดทุนเท่ากับ 12 ล้าน แต่ทางเชิดชัยยังคงดำเนินการให้บริการถึงปัจจุบัน มีสาเหตุที่สามารถเปลี่ยนแปลงจากสภาวะทางการเงินที่ขาดทุน จนสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจแบบปกติ คือ การรีโนเวทการให้บริการลูกค้าและให้อนาคตจะมีการพัฒนาสร้าง รถบัสไฟฟ้า โดยการบริการที่มีมาตรฐานที่ดีขึ้นเป็นการเรียกให้ลูกค้าเริ่มกลับมา   ภาพจาก: Creden data โดยในปี 2564 ถือเป็นการขาดทุนในรอบทศวรรษของบริษัทเลยกว่าว่าได้ แต่ในขณะเดียวกันบริษัทก็เริ่มมองเทรนด์อนาคต และเตรียมพร้อมในการพัฒนาทั้งการผลิตรถบัส และปรับปรุงบริการธุรกิจขนส่งในการเดินทาง รถบัสไฟฟ้า เชิดชัย: ก้าวสู่การเดินทางที่ยั่งยืน เชิดชัยกรุ๊ป เป็นอีกหนึ่งบริษัทขนส่งที่ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน และได้หันมาให้ความสำคัญกับการนำรถบัสไฟฟ้ามาให้บริการ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดมลพิษทางอากาศ   เหตุผลที่เชิดชัยเลือกใช้รถบัสไฟฟ้า ลดต้นทุนระยะยาว: แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการลงทุนซื้อรถบัสไฟฟ้าจะสูงกว่ารถบัสดีเซล แต่เมื่อพิจารณาในระยะยาวแล้ว ต้นทุนการดำเนินงานของรถบัสไฟฟ้าจะต่ำกว่า เนื่องจากค่าไฟฟ้าถูกกว่าราคาน้ำมัน และค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: รถบัสไฟฟ้าไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอื่นๆ ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และภาวะโลกร้อน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: การนำรถบัสไฟฟ้ามาใช้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทในฐานะองค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตอบสนองความต้องการของผู้โดยสาร: ผู้โดยสารส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเดินทางที่สะอาดและปลอดภัย รถบัสไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ   จุดเด่นของรถบัสไฟฟ้าเชิดชัย เทคโนโลยีทันสมัย: รถบัสไฟฟ้าของเชิดชัยมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน ระบบความปลอดภัยที่ครบครัน และระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ออกแบบโดยคนไทย: …

อู่เชิดชัย-โคราช ผลิตบัสไฟฟ้า สัญชาติไทย ลุยตลาดอีวี รองรับดีมานด์ทั่วเอเชียแปซิฟิก 4 หมื่นล้านเหรียญ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top