SHARP ADMIN

พามาเบิ่ง เพื่อนบ้าน GMS นิยมเข้าไทยผ่านด่านไหน

  จำนวนผู้ผ่านด่านบกในช่วง 5 เดือนแรกของปี 68 สัญชาติ จำนวนคน 5 เดือนแรก 68 (คน) %YoY 5 เดือน ลาว 1,201,542 -13.0% กัมพูชา 475,690 -14.1% เวียดนาม 41,650 -19.6% เมียนมาร์ 34,924 332.0%   จังหวัด สัญชาติ จำนวนคน 5 เดือนแรก 68 %YoY 5 เดือน เลย ลาว 48,578 -6.8% หนองคาย ลาว 456,286 12.2% เวียดนาม 20,613 -10.0% บึงกาฬ ลาว 848 -34.1% นครพนม ลาว 36,853 -8.8% เวียดนาม 10,888 -30.9% มุกดาหาร ลาว 161,639 0.1% เวียดนาม 7,045 -25.5% อุบลราชธานี ลาว 118,760 12.6% เวียดนาม 3,104 -16.4% ศรีสะเกษ กัมพูชา 31,610 0.3% สุรินทร์ กัมพูชา 44,109 -25.8% สระแก้ว กัมพูชา 281,123 -3.1% ลาว 163,838 -37.1% จันทบุรี ลาว 147,089 -50.0% กัมพูชา 93,044 -35.9% ตราด กัมพูชา 25,804 -7.1% เชียงราย เมียนมาร์ 34924 332.0% ลาว 17271 22.7% พะเยา ลาว 26793 36.4% น่าน ลาว 16472 11.8% อุตรดิตถ์ ลาว 7115 -31.0% ที่มา: Travel Link เขตแดนประเทศดินแดนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม สุดเขตแดนประเทศไทย พื้นที่ชายขอบของประเทศที่หลายคนอาจมองว่าไกลโพ้นและเงียบเหงา แท้จริงแล้วกลับเป็นดินแดนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง จุดบรรจบของผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ภาษา […]

พามาเบิ่ง เพื่อนบ้าน GMS นิยมเข้าไทยผ่านด่านไหน อ่านเพิ่มเติม »

จาก ผู้ป่วยอนาถา สู่ บัตรทอง คนป่วยล้มละลาย vs โรงพยาบาลขาดทุน จะเกิดอะไรถ้าคนไทยไม่มีบัตรทอง 30 บาท

ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิ์รักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานของคนไทย หรือที่รู้จักกันในนาม 30 บาทรักษาทุกโรค หรือสิทธิ์บัตรทอง ซึ่งปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ คือสิทธิ์ที่คนไทยคุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน ผู้ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งผู้หนึ่งในการริเริ่มผลักดันโครงการนี้คือ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ที่ได้เรียนรู้ ทดลองปฎิบัติและต่อสู้กับอุปสรรค จนสามารถผลักดันเป็นนโยบายที่สำคัญของประเทศและใช้จริงมาจนถึงปัจจุบัน รูปที่ 1 นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ที่มา: วิสาโล “คุณหมอสงวน (นิตยารัมภ์พงศ์) เอาแนวคิดนี้ไปเสนอมาหมดทุกพรรคแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าทุกคนรู้อนาคตได้ เขาคงอยากเป็นเจ้าของนโยบายนี้ เพราะนี่คือ legacy เป็นตำนานทางการเมือง” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ทาง The MATTER จากประโยคข้างต้น สามารถอนุมานได้ว่า แนวคิดเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอาจเคยถูกเสนอให้กับรัฐบาลชุดก่อน หรือพรรคการเมืองต่างๆ ก่อนหรือระหว่างการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2544 ทั้งนี้ โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ถูกผลักดันอย่างเป็นรูปธรรมในรัฐบาลที่มี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในปีดังกล่าว ก่อนการเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทย เล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินนโยบายดังกล่าว จึงนำเสนอเป็นนโยบายหาเสียง และภายหลังได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชน จึงได้นำมาใช้จริงในช่วงต้นของรัฐบาล โดยประกาศเป็นนโยบาย “30 บาท รักษาทุกโรค” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อรองรับนโยบายนี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับ มาตรา 52 และ มาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ก่อนที่ประเทศไทยจะมีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนไทยมีระบบรัฐสวัสดิการอยู่ 4 ระบบ ได้แก่ ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ ระบบประกันสังคม ระบบประกันสุขภาพโดยสมัครใจ (โครงการบัตรสุขภาพ เสียเงินรายเดือนหรือรายปี) โครงการสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล (สปร.) (บัตรอนาถา) โดยทั้ง 4 ระบบนี้ไม่สามารถให้การครอบคลุมประชากรทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในขณะนั้นยังไม่มีระบบใดที่ดีกว่านี้ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ได้เห็นถึงความทุกข์ยากของประชาชน โดยเฉพาะคนจนผู้ยากไร้ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ขณะปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน ด้วยความเข้าใจในปัญหาที่เกิดจากการที่ประชาชนจำนวนมากไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล ท่านจึงมีความตั้งใจในการผลักดันระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 นายแพทย์สงวนได้เริ่มดำเนินงานวิจัยและศึกษาเชิงลึกถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งระบบดังกล่าว โดยมีการรวบรวมข้อมูลและพัฒนาแนวคิดอย่างต่อเนื่อง กระทั่งในช่วงรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย ได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้น ซึ่งนายแพทย์สงวนก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะทำงานจัดทำร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นรัฐสภายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวมากเพียงพอ ส่งผลให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้รับการพิจารณาและตกไปในที่สุด 30 บาทรักษาทุกโรค สุขภาพของคนไทย กระเป๋าตังค์ของรัฐ คนไทยดูแลสุขภาพของตัวเองน้อยลง เพราะสามารถไปหาหมอเมื่อไหร่ก็ได้ ทุกข้อดีย่อมมีข้อเสีย แม้โครงการจะดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ในทุกข้อดีล้วนมีข้อเสียที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่เสมอหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็เช่นเดียวกัน ประชาชนบางส่วนมองว่าการที่มีสิทธิ์นี้ทำให้ประชาชนมีการดูแลสุขภาพหรือใส่ใจน้อยลง เนื่องจากมองว่าตนเองสามารถไปหาหมอเทื่อไหร่ก็ได้ และทุกครั้งที่ไปหาก็จ่ายต่ารักษาที่ไม่แพงเพียงแค่ 30 บาทเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยแพทย์มองว่า กรณี 30 บาทรักษาทุกโรคทำให้คนไข้ไม่ดูแลสุขภาพและมาหาหมอมากขึ้นจริงหรือไม่แพทย์บางส่วนมองว่ามีส่วน

จาก ผู้ป่วยอนาถา สู่ บัตรทอง คนป่วยล้มละลาย vs โรงพยาบาลขาดทุน จะเกิดอะไรถ้าคนไทยไม่มีบัตรทอง 30 บาท อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 9 แหล่งน้ำชุมชน 3 จังหวัด ภาคอีสาน สิงห์อาสา จับมือ ม.ขอนแก่น ยกระดับคุณภาพชีวิต แหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืน

รายงานแห่งชาติฉบับที่ 4 (NC4) ได้เผยให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด . จากข้อมูลในรายงาน พบว่า 7 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ขอนแก่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด มีความเสี่ยงสูงสุดต่อภัยความร้อน และจังหวัดนครราชสีมายังมีความเสี่ยงสูงสุดทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมอีกด้วย . ทั้งนี้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของประเทศไทย ภาคการจัดการทรัพยากรน้ำ ปัญหาการขาดแคลนน้ำ การปนเปื้อนของน้ำ และการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิตล้มเหลว โดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมาซึ่งมีความเสี่ยงสูงสุด รองลงมาคือ กรุงเทพมหานคร อุบลราชธานี ขอนแก่น และนครสวรรค์ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ที่มีที่ตั้งโรงงาน อยู่ที่ จ.ขอนแก่น และ จ.มหาสารคาม ได้แก่ บจ.ขอนแก่นบริวเวอรี่ และ บจ.มหาสารคามเบเวอเรช มีแนวทางที่องค์กรธุรกิจใช้ในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มีมาตรฐานการบำบัดน้ำเสียของโรงงาน รวมถึงไม่สร้างมลพิษทางน้ำ อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่โรงงานต้องใช้ร่วมกับชุมชน, นอกเหนือจากการแสวงหาผลกำไร บริษัทจึงให้ความสำคัญกับ “ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร(CSR)” โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์ต่อชุมชน, สังคม, และสิ่งแวดล้อม และร่วมแก้ปัญหา และจัดการทรัพยากรน้ำ ภัยแล้ง และความสะอาดของแหล่งน้ำ ที่เป็นปัญหาในภาคอีสาน สิงห์อาสา ร่วมกับ ม. ขอนแก่น สร้างแหล่งน้ำชุมชนยั่งยืนภาคอีสานต่อเนื่องปีที่ 6 รองรับการใช้น้ำเพียงพอตลอดท้งปี สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เดินหน้าขยายโครงการสิงห์อาสาสร้างแหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืนปีที่ 6 ที่บ้านโนนรัง ต.สาวะถี อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น เพื่อสร้างแหล่งน้ำขนาดใหญ่รองรับการใช้น้ำของชุมชนตลอดทั้งปี เป็นทั้งบ่อกักเก็บน้ำในฤดูฝน ป้องกันน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก และเป็นแหล่งน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งอย่างยั่งยืน โดยนับตั้งแต่ปี 2563 มีแหล่งน้ำชุมชนสิงห์อาสาในจังหวัดภาคอีสานถึง 8 แห่ง ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ชาวบ้านมีน้ำใช้เพียงพอและยังสามารถใช้น้ำทำการเกษตร เช่น การปลูกข้าว พืชผัก ผลไม้ และยังเป็นแหล่งอาหารของชุมชน สร้างรายได้เพราะมีปลาในบ่อให้ชาวบ้านจับเป็นอาหารได้ รวมถึงระบบน้ำประปาสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งปี ปัญหา ‘ภัยแล้ง’ ​เป็นหนึ่งในความเดือดร้อนสำคัญของพี่น้อง​ภาคอีสานมาเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับความแปรปรวนของสภาพอากาศในปัจจุบันจาก​ภาวะโลกเดือด ทั้งปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ทำให้ความรุนแรงของปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำ เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน และสำหรับทำการเกษตรมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่อง​เป็นลูกโซ่ ทั้งด้านคุณภาพชีวิต สุขภาพ รวมถึงรายได้ที่ไม่เพียงพอของผู้คนในพื้นที่ การมีแหล่งน้ำที่สะอาดในปริมาณที่เพียงพอ​​ จึงเป็นหนึ่งปัจจัยพื้นฐานในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.)​ จึงร่วมกับ “สิงห์อาสา” พร้อมด้วยบริษัท ขอนแก่นบริวเวอรี่ จำกัด บริษัทในเครือบุญรอดฯ และ เครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 สถาบัน สร้างสรรค์โครงการ “สิงห์อาสาสร้างแหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืน” ต่อเนื่องหลายปี เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำตามธรรมชาติให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี และยังทำหน้าที่เป็นบ่อกักเก็บน้ำและช่วยชะลอการหลากของน้ำในช่วงฤดูฝน ช่วยป้องกันปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ได้อีกทางหนึ่งด้วย

พามาเบิ่ง 9 แหล่งน้ำชุมชน 3 จังหวัด ภาคอีสาน สิงห์อาสา จับมือ ม.ขอนแก่น ยกระดับคุณภาพชีวิต แหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืน อ่านเพิ่มเติม »

มนต์เสน่ห์แห่งทุ่งปศุสัตว์ วิถีชีวิตและลมหายใจแห่งอีสาน

    จังหวัดในภาคอีสานที่มีรายได้เกินพันล้าน จังหวัด รายได้จากการเลี้ยงหมูเนื้อ (ล้านบาท) รายได้จากการเลี้ยงไก่เนื้อ (ล้านบาท) รายได้จากภาคธุรกิจการเกษตรรวม (ล้านบาท) บุรีรัมย์ 2,122 8,513 13,351 นครราชสีมา 767 6,620 11,604 อุบลราชธานี 226 4,339 4,794 ชัยภูมิ 573 1,899 3,555 ขอนแก่น 1,334 2 3,659 สุรินทร์ 3 1,014 3,001   ภูมิภาค รายได้จากการเลี้ยงหมูเนื้อ (ล้านบาท) รายได้จากการเลี้ยงไก่เนื้อ (ล้านบาท) รายได้จากภาคธุรกิจการเกษตรรวม (ล้านบาท) ภาคกลาง 43,142 42,783 131,993 กรุงเทพและปริมณฑล 27,694 48,307 121,291 ภาคอีสาน 6,414 22,559 42,975 ภาคใต้ 1,725 11,917 23,164 ภาคเหนือ 5,624 2,852 19,368   ตัวอย่างธุรกิจ จังหวัด ตัวอย่างธุรกิจ รายได้ (ล้านบาท) กำไร (ล้านบาท) อุบลราชธานี บริษัท ก้าวหน้าไก่สด จำกัด 4,339 160 ขอนแก่น บริษัท ทองอุไรพัฒนา จำกัด 1,163 -19 ชัยภูมิ บริษัท อรรณพชัยภูมิฟาร์ม จำกัด 846 4 บุรีรัมย์ บริษัท สินพรพงศ์ จำกัด 700 8 นครราชสีมา บริษัท ไทยเจริญพัฒนาเกษตรผสมผสาน จำกัด 613 -21 สุรินทร์ บริษัท เคเอ 88 ฟาร์ม จำกัด 255 11 ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า   สถานการณ์เนื้อสุกรและเนื้อไก่ของไทย และทิศทางตลาดโลก เนื้อไก่และเนื้อสุกรนับเป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายเมนูอาหารไทย รายงานจากกรมปศุสัตว์ระบุว่า ในปี 2565 คนไทยบริโภคเนื้อไก่เฉลี่ย 32.9 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือประมาณ 2.7 กิโลกรัมต่อเดือน ขณะที่การบริโภคเนื้อสุกรเฉลี่ยอยู่ที่ 21.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือประมาณ 1.8 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างด้านราคาที่ส่งผลต่อความสามารถในการเข้าถึง

มนต์เสน่ห์แห่งทุ่งปศุสัตว์ วิถีชีวิตและลมหายใจแห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

หมูจีน หมูแดง หมูแพง หมูเถื่อน หมูทรัมป์ ห่วงโซ่เรื่อง หมูๆ ที่ไม่หมูของเกษตรกรไทย

ฮู้บ่ว่าไทยห้ามนำเข้าเนื้อหมู หมูลักลอบเข้า = หมูเถื่อน ภาคอีสานเป็นแหล่งผลิตอันดับ 2 ของไทย เพราะปัจจุบันการบริโภคหมูในไทยโตแค่ปีละ 0.5% ซึ่งหมายความว่า การผลิต(Supply) เพียงพอต่อ การบริโภคในประเทศ(Demand) ห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่คุณค่าของตลาดสุกรในประเทศไทย มีความซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีผู้เล่นหลายรายและปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง: ภาพรวมการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การผลิตสุกรในประเทศไทย: การผลิตสุกรของไทยส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงในพื้นที่บ้านเพื่อการบริโภคและสร้างรายได้เสริมสำหรับชาวนา โดยใช้ผลผลิตเหลือใช้ทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากฟาร์มในหมู่บ้านไปสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของประชากร การท่องเที่ยว และระดับรายได้ ทำให้ความต้องการเนื้อหมูเพิ่มสูงขึ้น การเลี้ยงสุกรขนาดใหญ่หรือเชิงอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคตะวันออกและภาคกลาง (ประมาณ 36-40% ของการผลิตทั้งหมดของประเทศไทย) ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตหมูต่อปีอยู่ที่ 890,736 ตัน จุดแข็งของการมีฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่คือการควบคุมโรคทำได้ดีกว่า และฟาร์มเหล่านี้ต้องทำมาตรฐานฟาร์ม GAP ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการส่งออกสุกรมีชีวิต ผู้เล่นในห่วงโซ่: ห่วงโซ่อุตสาหกรรมสุกรไทยประกอบด้วยผู้เล่นหลายราย ตั้งแต่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู (รายย่อย รายกลาง รายใหญ่/กลุ่มทุนใหญ่) โบรกเกอร์หรือพ่อค้าคนกลาง โรงชำแหละ แผงขายหมู/ร้านค้า ไปจนถึงผู้บริโภค การขนส่งและการกระจายสินค้า: สมบัติ เจ้าของฟาร์มขนาดกลาง ได้ฉายภาพกระบวนการซื้อขายหมูขุน โดยโบรกเกอร์จะส่งรถมารับหมูที่หน้าฟาร์ม ชั่งน้ำหนัก แล้วนำไปขายต่อ โบรกเกอร์หรือพ่อค้าคนกลางนี้จะเป็นผู้ดำเนินการในแต่ละช่วงตั้งแต่ฟาร์มไปจนถึงช่องทางจำหน่าย หมูที่ผ่านโรงชำแหละจะถูกแปรรูปเป็นซาก (Carcass) ที่แยกชิ้นส่วนแล้ว ก่อนจะส่งไปที่เขียงเพื่อตัดแบ่งเป็นชิ้นส่วนย่อยตามความต้องการของผู้บริโภค ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ โรคระบาด (ASF): การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ทำให้หมูล้มตายจำนวนมากและผลิตลูกหมูได้น้อยลง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาหมูสูงขึ้น รัฐบาลไทยมีการประกาศโรคระบาดล่าช้า ซึ่งมีส่วนให้ปัญหาบานปลาย ความไม่แน่นอนเรื่องโรคระบาดทำให้เกษตรกรไม่กล้าลงทุนเพิ่ม หมูเถื่อน: การลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่บ่อนทำลายเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทย หมูเถื่อนคือหมูราคาถูกจากต่างประเทศที่นำเข้าโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ผ่านการตรวจโรค ไม่เสียภาษีศุลกากร ปัญหาหมูเถื่อนเกี่ยวข้องกับการปั่นราคาและเป็นภัยต่อความมั่นคงทางอาหาร (ไม่รู้คุณภาพและความปลอดภัย) เชื่อว่ากระบวนการนำเข้าหมูเถื่อนเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจและเป็นขบวนการขนาดใหญ่ สถานการณ์วัตถุดิบอาหารสัตว์: สงครามรัสเซีย-ยูเครนและปัญหาการผลิตในประเทศผู้ผลิตสำคัญ (สหรัฐฯ อาร์เจนตินา บราซิล) เนื่องจากต้นทุนน้ำมันและปุ๋ยแพง ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การแทรกแซงของรัฐและข้อเสนอแนะ มาตรการของรัฐ: รัฐบาลได้มีมาตรการต่างๆ เช่น ห้ามส่งออกหมูมีชีวิตชั่วคราว ช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ และเพิ่มกำลังผลิตโดยกระจายลูกสุกรให้เกษตรกรรายย่อย และมีการขอความร่วมมือตรึงราคาจำหน่ายหมูเนื้อแดง อย่างไรก็ตาม การตรึงราคาเป็นการทำลายแรงจูงใจของเกษตรกรที่จะลงทุนเพิ่มและอาจทำให้ปัญหายืดเยื้อ รัฐไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต้นทางเรื่องการจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้ ข้อเสนอแนะจากสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.): เสนอ 5 แนวทาง ได้แก่: นำเข้าเนื้อหมูแช่แข็งชั่วคราวแบบมีเงื่อนไข (ปลอดสารเร่งเนื้อแดง) ปรับโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) ผลักดันท้องถิ่นสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยเลี้ยงหมูเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ ผู้บริโภคร่วมมีบทบาทสนับสนุนการเลี้ยงหมูแบบธรรมชาติ/หมูหลุม เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะ สนับสนุนการวิจัยลดการบริโภคเนื้อสัตว์และเพิ่มการผลิตโปรตีนจากพืช โดยสรุป ห่วงโซ่อุปทานของสุกรไทยมีการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตรายย่อยไปสู่เชิงพาณิชย์มากขึ้น ต้นทุนการผลิตที่สูง โรคระบาด และหมูเถื่อน เป็นปัจจัยกดดันสำคัญ ขณะที่กลไกการกำหนดราคาถูกอิทธิพลโดยกลุ่มทุนใหญ่ผ่านระบบโบรกเกอร์ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างราคาหน้าฟาร์มและหน้าเขียง และส่งผลให้เกษตรกรรายย่อย/กลางจำนวนมากอยู่รอดได้ยาก ฮู้บ่ว่าฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม ปัจจุบันราคาเนื้อหมูในประเทศแพงกว่าไทย(โดยเฉลี่ย) เหตุเพราะ การระบาด ของโรคอหิวาแอฟริกาในสุกร(ASF) ทำให้ประเทศเปิดรับนำเข้าหมูจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนำเข้าจากจีน ซึ่งมีราคาเนื้อหมูที่ถูกกว่าผลิตเองภายในประเทศ เป็นผลดีต่อผู้บริโภค

หมูจีน หมูแดง หมูแพง หมูเถื่อน หมูทรัมป์ ห่วงโซ่เรื่อง หมูๆ ที่ไม่หมูของเกษตรกรไทย อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐ประโยชน์ของแร่เกลือหิน🧂สู่โซเดียมแบตเตอรี่🔋 หลัง มข. ส่องมอบแบตฯ เสริม กองทัพ

เกลือหิน (rock salt) คือ ทรัพยากรแร่ตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการตกตะกอนของน้ำทะเล เกลือหินหลากสี พบเหนือชั้นโพแทซ มีความหนาเฉลี่ย 3 เมตร มีสีต่างๆ เช่น สีส้ม แดง เทา ดำ และขาว เป็นชั้นสลับกัน และพบเฉพาะบริเวณที่มีชั้นโพแทซเท่านั้น และในปัจจุบันเเร่เกลือหินถูกนำไปใข้ประโยชน์ในหลายด้าน หนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมแบตเตอรี่ . ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ชนิดโซเดียมไอออนจากแหล่งแร่เกลือหินได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของอาเซียนในปี 2565 ซึ่งความสำเร็จครั้งนั้นนับเป็นกลไกลสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตวัตถุดิบ ให้สามารถผลิตวัตถุดิบคุณภาพสูง รองรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่แห่งอนาคต . ภาตอีสานของเราก็ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่สำคัญของวัตถุดิบหลักของแบตเตอรี่โซเดียม-ไอออน อย่างแร่เกลือหินเนื่องจากในภาคอีสานมีแหล่งแร่เกลือหินอยู่จำนวนมาก โดยครอบคลุมถึง 16 จังหวัดในภาคอีสาน โดยจังหวัดที่โดดเด่น มีแร่เกลือหินใต้ผิวดินมากกว่า 50% ได้แก่ หนองคาย: มีปริมาณแร่เกลือหินใต้พื้นผิว 86% มหาสารคาม: มีปริมาณแร่เกลือหินใต้พื้นผิว 85% นครพนม: มีปริมาณแร่เกลือหินใต้พื้นผิว 79% ร้อยเอ็ด: มีปริมาณแร่เกลือหินใต้พื้นผิว 66% สกลนคร: มีปริมาณแร่เกลือหินใต้พื้นผิว 58% ยโสธร: มีปริมาณแร่เกลือหินใต้พื้นผิว 53% แนวโน้มในอนาคตทั่วโลกให้ความสนใจในพลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งความต้องการของแบตเตอรี่ก็จะเพิ่มขึ้นควบคู่กันไป แต่แบตเตอรี่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังต้องมีการพัฒนาอีกมาก แบตเตอรี่โซเดียมไอออนเป็นอีกหนึ่งในอนาคตของแบตเตอรี่ที่คาดว่าจะมีความปลอดภัยมากขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ซึ่งจะสามารถช่วยทั้งโลก และมนุษย์ได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่เซเดียม-ไอออน ยังคงต้องการเวลาในการพัฒนาอีกไม่น้อย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านต่างๆ ให้ดีมากยิ่งขึ้น มข. ส่งมอบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสนับสนุนกองทัพ เสริมความมั่นคงชายแดน พิธีส่งมอบ จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2568 เวลา 12.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมี รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี เป็นประธานในการส่งมอบ พร้อมด้วยศาสตราจารย์ธิดารัตน์ บุญมาศ รองอธิการบดีฝ่ายวิสาหกิจและสังคมยั่งยืน, รศ.นงลักษณ์ มีทอง ผู้อำนวยการโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ และพลตรี กิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการ มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร จ.ขอนแก่น เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยคณะทหารมณฑลทหารบกที่ 23 การสนับสนุนแบตเตอรี่ เพื่อการปฏิบัติการทางทหารนั้น เป็นรูปแบบการให้ยืมเป็นระยะเวลาชั่วคราว ประกอบด้วย 1. แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน 24V100Ah ซึ่งสามารถนำไปใช้งานสำหรับจั๊ม สตาร์ทเครื่องยนต์รถบรรทุก จำนวน 3 แพ็ก 2. แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน 24V50Ah ซึ่งสามารถนำไปใช้งานสำหรับจั๊ม สตาร์ทเครื่อยนต์ตระกูลนาโต้ จำนวน 3 แพ็ก รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี (ยืนกลาง) รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีความร่วมมือยาวนานกับกองทัพ และมณฑลทหารบกที่ 23 โดยมีความร่วมมือทั้งในลักษณะกึ่งทางการและเป็นทางการ

พามาเบิ่ง🧐ประโยชน์ของแร่เกลือหิน🧂สู่โซเดียมแบตเตอรี่🔋 หลัง มข. ส่องมอบแบตฯ เสริม กองทัพ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง เปิดพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากจังหวัดนครพนม

จังหวัดนครพนม พบว่ามีพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากทั้งหมด 395.22 ตร.กม. คิดเป็นร้อยละ 0.23 ของพื้นที่ภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากเป็นครั้งคราว มีน้ำท่วมขังไม่เกิน 3 ครั้งในรอบ 10 ปี จำนวน 225.77 ตร.กม. รองลงมาได้แก่พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากบ่อยครั้ง มีน้ำท่วมขัง 4-7 ครั้ง ในรอบ 10 ปี จำนวน 136.88 ตร.กม. และพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากเป็นประจำ 32.57 ตร.กม.   อำเภอท่วมมากเป็นอันดับ 1 คือ อำเภอ ศรีสงคราม มีพื้นที่อยู่ 671,317 ตร.กม. มีจำนวนหลังคาเรือนในอำเภออยู่ 24,289 หลังคาเรือน   อำเภอท่วมที่สุดเป็นอันดับ 2 คือ อำเภอ นาทม มีพื้นที่อยู่ 398,129 ตร.กม. มีจำนวนหลังคาเรือนในอำเภอยู่ 7,058 หลังคาเรือน   อำเภอท่วมเป็นอันดับ 3 คือ อำเภอ นาหว้า มีพื้นที่อยู่ 288,448 ตร.กม. มีจำนวนหลังคาเรือนในอำเภออยู่ 15,668 หลังคาเรือน   ย้อนเบิ่งเหตุการณ์น้ำท่วมสำคัญใน นครพนม เหตุการณ์น้ำท่วมสำคัญแม่น้ำโขงยังคงเป็นภัยสำคัญของจังหวัดนครพนม ชาวบ้านริมฝั่งยังต้องเฝ้าระวังระดับน้ำอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ในปี 2561 เคยมีการเพิ่มระดับน้ำผิดปกติ ทำให้ชุมชนริมโขงต้องจัดเวรเฝ้าน้ำตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำรอยเหตุการณ์ใหญ่ปี 2521 ซึ่งน้ำท่วมตลาดธาตุพนมเป็นเวลานานถึง 1 เดือน 🔎พาอัพเดตเบิ่ง แนวโน้มสถานการณ์น้ำในอีสาน☔️🌧️🌊 อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 เหตุการณ์น้ำท่วมกลับมาอีกครั้ง แต่รุนแรงและส่งผลกระทบมากกว่าครั้งก่อน โดยมีหลายอำเภอได้รับผลกระทบหนักทั้งน้ำท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร ทำให้ประชาชนกว่า 11,000 คนต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมและความเสียหายที่มากกว่าในอดีต สาเหตุหลักยังคงเหมือนเดิม คือระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการระบายน้ำจากฝั่ง สปป.ลาวที่ส่งผลให้ลำน้ำสาขาไม่สามารถระบายน้ำลงได้ ทำให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ต่ำริมแม่น้ำ จากเหตุการณ์ในอดีตถึงปัจจุบัน ชาวบ้านและหน่วยงานท้องถิ่นยังคงร่วมมือกันในการเฝ้าระวัง เตรียมพร้อมรับมือภัยน้ำท่วมซ้ำซาก เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เหตุการณ์น้ำท่วมที่สำคัญล่าสุดที่เพิ่งเกิดไปในจังหวัดนครพนมเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 สาเหตุหลักมาจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลำน้ำสาขา เช่น ลำน้ำสงครามและลำน้ำอูน ไม่สามารถระบายลงแม่น้ำโขงได้ ทำให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรและชุมชนในหลายอำเภอของจังหวัด พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ อำเภอบ้านแพง อำเภอนาหว้า และอำเภอศรีสงคราม โดยเฉพาะในอำเภอศรีสงคราม มีบางตำบลที่ระดับน้ำท่วมสูงกว่า 2 เมตร ส่งผลให้ประชาชนต้องอพยพและพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในอำเภอบ้านแพง ระดับน้ำโขงเพิ่มขึ้นวันละ 10–15 เซนติเมตร ส่งผลให้บ้านเรือนริมน้ำถูกน้ำท่วม ประชาชนต้องอพยพและย้ายทรัพย์สินออกจากพื้นที่เสี่ยง พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 60,000 ไร่ ส่วนในอำเภอเมืองนครพนม

พามาเบิ่ง เปิดพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากจังหวัดนครพนม อ่านเพิ่มเติม »

จากวิกฤตเด็กเกิดต่ำ สู่นักเรียนน้อยลง🏫 พ่อแม่มีฐานะส่งลูกเรียนอินเตอร์ ดัน ร.ร.เอกชน โตพุ่ง📈 ในขณะ ร.ร.รัฐหลายแห่งปิดตัว🚸ผลวิจัยเผย เด็กไทย 15-24 ปี 1.4 ล้านคน ไม่เรียนต่อ

จากวิกฤตเด็กเกิดต่ำ สู่นักเรียนน้อยลง🏫 พ่อแม่มีฐานะส่งลูกเรียนอินเตอร์ ดัน ร.ร.เอกชน โตพุ่ง📈 ในขณะ ร.ร.รัฐหลายแห่งปิดตัว🚸ผลวิจัยเผย เด็กไทย 15-24 ปี 1.4 ล้านคน ไม่เรียนต่อ จบมาไม่มีงาน ค่าเล่าเรียนแพง . เอกชน โตสวน สังคมสูงวัยที่เด็กเกิดต่ำ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ให้เห็นว่า จำนวนโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรไทย มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนนักเรียนไทยที่ลดลง ทำให้ระหว่างปีการศึกษา 2555-2567 เกิดการทยอยปิดตัวของโรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทย ไปมากกว่า 2,000 แห่ง จากโรงเรียนประมาณ 35,000 แห่ง เหลือ 33,000 แห่ง ในทางกลับกัน โรงเรียนนานาชาติกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี จาก 138 แห่งเป็น 249 แห่ง เฉพาะปีการศึกษา 2567 ปีเดียว จำนวนโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของกิจการโรงเรียน สู่หลักสูตรต่างประเทศมากขึ้น ในปีการศึกษา 2567 นักเรียนไทยในโรงเรียนไทยอยู่ที่ 8.8 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 8.9 ล้านคน แต่นักเรียนไทยในโรงเรียนนานาชาติ เพิ่มขึ้นจาก 70,000 คน เป็น 77,000 คน งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า นอกจากในกรุงเทพฯโรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มขยายตัวออกสู่หัวเมืองต่างจังหวัดมากขึ้น ประมาณการว่าในปี 2567 มูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติในไทยอยู่ที่ 87,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 13 และยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยังมีโรงเรียนที่อยู่ระหว่างการขออนุญาตเปิดเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก รายงานการสำรวจของ Deloitte ดังกล่าว ได้สำรวจความคิดเห็นคนรุ่นใหม่ทั่วโลกกว่า 23,500 คน ใน 44 ประเทศ🌏 ซึ่งรวมถึงกลุ่มตัวอย่างคนไทย 330 คน🇹🇭 (แบ่งเป็น Gen Z 209 คน และ Gen Y 121 คน) พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมองต่อการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หรือที่เฉพาะเจาะจงว่าเป็น บัณฑิตศึกษา (Post-Bachelor’s Degree) ในหลากหลายมิติ เริ่มจากแง่มุมของการเลือกเรียนต่อ-ไม่เรียนต่อระดับปริญญา พบว่าเริ่มมีบางส่วนที่ขอไม่เรียนต่อดีกว่า?! 🇹🇭แม้ว่าโดยภาพรวมแล้ว คนไทยทั้ง Gen Z และ Gen Y จะให้ความสำคัญกับการเรียนต่อในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีชาว Gen Z ในประเทศไทยถึง 16% และ Gen Y 17% ที่ระบุว่าพวกเขา “ตัดสินใจไม่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา”

จากวิกฤตเด็กเกิดต่ำ สู่นักเรียนน้อยลง🏫 พ่อแม่มีฐานะส่งลูกเรียนอินเตอร์ ดัน ร.ร.เอกชน โตพุ่ง📈 ในขณะ ร.ร.รัฐหลายแห่งปิดตัว🚸ผลวิจัยเผย เด็กไทย 15-24 ปี 1.4 ล้านคน ไม่เรียนต่อ อ่านเพิ่มเติม »

‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล

หลังเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาในช่วงวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ณ บริเวณพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ประเด็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนของทั้ง 2 ประเทศได้รับการพูดถึงมากขึ้นในช่วงนี้ โดยพื้นที่ช่องบกนี้ เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกรต” รอยต่อระหว่างประเทศไทย – ลาว – กัมพูชา โดยบทความนี้ อีสาน อินไซต์ จะพามาสำรวจเรื่องราวของพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งเต็มไปด้วยนัยยะทางประวัติศาสตร์ การเมือง และเศรษฐกิจที่หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน    สามเหลี่ยมมรกตคืออะไร? หลายคนคงรู้จัก ‘สามเหลี่ยมทองคำ’ ซึ่งเป็นพื้นที่บรรจบกันระหว่างชายแดนไทย – ลาว – เมียนมา แต่ก็ยังมีอีกพื้นที่ชายแดนสามเส้า ที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในช่วงนี้อย่าง ‘สามเหลี่ยมมรกต’  (Emerald Triangle) หรือ ช่องบก ครอบคุลมพื้นที่ประมาณ 12 ตร.กม.  เป็นจุดบรรจบของสามประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย: อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สปป.ลาว: เมืองมูนปะโมก แขวงจำปาสัก กัมพูชา: อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร ในอดีตประมาณ 40 ปีก่อนนั้น พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์และการสู้รบอย่างดุเดือดช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะ สมรภูมิช่องบก ภาพ สามเหลี่ยมมรกต – อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย จากชายแดนเงียบสงบ สู่สมรภูมิร้อนของสงครามอินโดจีนครั้งที่สาม ในช่วงสงครามเย็น ช่องบกไม่ได้เป็นเพียงเส้นเขตแดนทางภูมิศาสตร์ แต่กลายเป็นแนวหน้าในสงครามอุดมการณ์ระหว่างโลกทุนนิยมกับสังคมนิยม พื้นที่นี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่กองทัพเวียดนามใช้เป็นทางผ่านในการไล่ล่ากลุ่มเขมรแดงที่ถอยร่นมาจากกัมพูชาเข้าเขตไทย โดยกองทัพเวียดนามได้ก้าวล่วงเข้ามายังเขตแดนอธิปไตยของไทยเป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร ตามรายงาน เป้าหมายคือ ตีโอบวงกว้าง เพื่อตัดการลำเลียงยุทธปัจจัยและป้องกันไม่ให้เขมรแดงวิ่งกลับเข้าไทยแล้วย้อนกลับกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นกองทัพของเวียดนามมีความเชี่ยวชาญในยุทธวิธีเป็นอย่างมาก ประกอบกับมีระบบโลจิสติกส์และเส้นทางลำเลียงที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาว ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิด และอาวุธที่สหรัฐอเมริกาเหลือทิ้งไว้ก็ทำให้เวียดนามมีความได้เปรียบเป็นอย่างมาก  ทหารไทย ภายใต้การบัญชาการของกองกำลังสุรนารี (กองทัพภาคที่ 2) เข้าต่อต้านการรุกล้ำของเวียดนาม ซึ่ง เกิดการสู้รบอย่างหนักบริเวณ ช่องบก – เนิน 500 – แนวชายแดนไทย-กัมพูชา จ.อุบลราชธานีการปะทะกันระหว่างทหารเวียดนามและกองทัพไทยในพื้นที่ช่องบกเกิดขึ้นอย่างดุเดือดในช่วงปี พ.ศ. 2528 – 2530  แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการขับไล่กองทัพเวียดนาม และทางเวียดนามได้ถอนกองกำลังออกจากกำพูชาอย่างเป็นทางการในปี 2530 แต่การประทะกันในครั้งนั้นก็ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก (รายงานอย่างไม่เป็นทางการรายงานว่าทหารไทยเสียชีวิต 109 – 200 นาย บาดเจ็บ 600 กว่านาย) และรัฐไทยในเวลานั้น หลีกเลี่ยงการเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากผลลัพธ์ไม่ใช่ชัยชนะเด็ดขาด และอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   ความพยายามพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่ไม่บรรลุผล หลังสงครามอินโดจีนสิ้นสุดลง ปี พ.ศ. 2532 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น ได้ประกาศคำขวัญ  “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ซึ่งสะท้อนการปรับยุทธศาสตร์ระดับชาติจากการป้องกันภัยสงคราม

‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล อ่านเพิ่มเติม »

💠ไหมแท้ ไหมไทย “ไหมปักธงชัย” ผ้าไหม GI หนึ่งในห่วงโซ่คุณค่า มูลค่า 6 พันล้านของไทย💠

ผ้าไหมเทียม ทะลักจาก ชายแดน ไทย-ลาว #กระทบอุตสาหกรรมผลิตและทอผ้าไหมในอีสาน ตัดราคา 10 เท่า คุณภาพไม่ได้มาตรฐานพบ เป็นเส้นใยผสม เส้นใยพลาสติก ไม่ใช่ผ้าไหมแท้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ไหมแท้ ไหมไทย “ไหมปักธงชัย” ผ้าไหม GI หนึ่งในห่วงโซ่คุณค่า มูลค่า 6 พันล้านของไทย . [ข้อมูลมูลค่าผลิตภัณฑ์สินค้า “หม่อนไหม” ภายในประเทศ] ปี 2564 ยังมีมูลค่าสูงถึง 6,614.12 ล้านบาท แบ่งเป็น รังไหม 273.50 ล้านบาท เส้นไหม 195.61 ล้านบาท ผ้าไหม 2,196.41 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์จากผ้าไหม 3,803.96 ล้านบาท หม่อนผลสด 79.11 ล้านบาท ใบหม่อนชา, หม่อนอาหารสัตว์ 50.16 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์อื่นๆ 15.37 ล้านบาท ข้อมูลมูลค่าของอุตสาหกรรมจาก “หม่อนไหม” จะพบว่าอุตสาหกรรมนี้ตั้งแต่ปลูกม่อน> เลี้ยงหนอนไหม> สาวไหม> ถักเส้นใย> ย้อมสี> จนทอผ้า ออกมาเป็นผืน ทุกๆ ขั้นตอนล้วนเป็นห่วงโซ่คุณค่า ที่หล่อเลี้ยง ชาวบ้านใน สายห่วงโซ่อุปทานการผลิต 86,482 ครัวเรือน(กรมหม่อนไหม ปี 2565) โดยข้อมูลคาดการณ์จากข้อมูลกรมพัฒนาชุมชน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล คาดการณณ์ว่าภาคอีสานเป็นแหล่งช่างฝีมือทอผ้าขนาดใหญ่ คาดว่ามีถึง 100,000-200,000 คน กระจายอยู่ทั่วทุกจังหวัดในภาคอีสาน ____________________________ [ความเป็นมาของท้องถิ่นสู่ผ้าไหมปักธงชัย] . สำหรับอำเภอปักธงชัย มีประวัติอันยาวนาน มีความสำคัญตั้งแต่สมัยกรงศรีอยุธยา โดยปรากฏวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านการแต่งกายหรือภูมิปัญญาด้านการทอผ้า ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา โดยสมัยก่อนนั้นอำเภอปักธงชัย (เมืองปัก) เป็นเมืองหน้าด่านของเมืองนครราชสีมา ในบริเวณดังกล่าวมาแต่โบราณ มีการทำนา ทำไร่ การปลูกหม่อน ปลูกฝ้าย เลี้ยงไหม ทอผ้าไหม ทอผ้าฝ้าฝ้ายด้วยกี่พื้นบ้าน ซึ่งเป็นการพอผ้าไว้ใช้ในครัวเรือนหรือแบ่งปันให้ญาติพี่น้อง หากมีเหลือก็จะนำไปแลกเปลี่ยนกันกับพ่อค้าคนกลาง ที่เรียกตัวเองว่า นายฮ้อย ซึ่งนายฮ้อยจะนำผ้าไหมไปขายยังพื้นที่ต่างๆ อำเภอปักธงชัย ถือเป็นแหล่งที่มีการผลิตผ้าไหมที่สำคัญที่สุดของจังหวัดนครราชสีมา และมีการผลิตมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย จนมีการเรียกผ้าไหมที่ได้มีการผลิตในพื้นที่อำเภอปักธงชัยว่า “ผ้าไหมปักธงชัย” ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแหล่งผลิตผ้าไหมปักธงชัยเป็นสินค้าหัตถกรรมที่มีเอกลักษณ์และสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดนครราชสีมาเป็นอย่างมาก ลักษณะของผ้าไหมปักธงชัยที่ได้ผลิตตามกรรมวิธีและภูมิปัญญาตั้งเดิมที่สืบทอดต่อกันมาคือ ผ้าพื้น ซึ่งทำการทอด้วยกี่พื้นบ้าน ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นกี่กระตูก ผ้าไหมมีลักษณะเป็นผ้าสีพื้น (ผ้าพื้นเรียบ)ทอแบบ 2 ตะกอ ผ้าไหมมีความกว้างไม่น้อยกว่า 40 นิ้ว เนื้อผ้าหนาแน่น สีคงทน ไม่ตก จนกระทั่งได้ทำการขึ้นทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ประกาศให้ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) “ผ้าไหมปักธงชัย”

💠ไหมแท้ ไหมไทย “ไหมปักธงชัย” ผ้าไหม GI หนึ่งในห่วงโซ่คุณค่า มูลค่า 6 พันล้านของไทย💠 อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top