ความไม่สงบ ไทย-กัมพูชา ทำให้บริษัทไทยในกัมพูชาเจ็บหนักแค่ไหน?
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้น ณ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ได้ส่งผลสะเทือนเป็นวงกว้างเกินกว่ามิติทางการเมืองและความมั่นคง แต่ยังได้สร้างแรงปะทะโดยตรงมาสู่ภาคเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการค้าของทั้งสองประเทศที่มีมูลค่ารวมกันสูงถึงปีละกว่า 3 แสนล้านบาท การวิเคราะห์ผลกระทบในครั้งนี้จึงมุ่งฉายภาพให้เห็นถึงความท้าทายที่ธุรกิจไทยกำลังเผชิญ ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายย่อยตามแนวชายแดน ไปจนถึงบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมทั้งประเมินแนวโน้มความเป็นไปได้ในอนาคตภายใต้สองฉากทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผลกระทบระลอกแรกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงที่สุดคือการหยุดชะงักของการค้าชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด่านอรัญประเทศ-ปอยเปต ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระหว่างสองประเทศ การปิดจุดผ่านแดนถาวรได้สร้างปัญหาคอขวดให้กับห่วงโซ่อุปทานในทันที ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่พุ่งสูงขึ้นจากการเปลี่ยนไปใช้เส้นทางขนส่งทางเรือผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งไม่เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ยังใช้ระยะเวลานานขึ้น กระทบต่อสภาพคล่องและขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่กำลังเผชิญกับภาวะชะงักงันที่รุนแรงยิ่งกว่าแค่ปัญหาด้านโลจิสติกส์ การปิดพรมแดนได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของ โครงข่ายการผลิตระดับภูมิภาค (Regional Production Network) ที่ไทยและกัมพูชามีการพึ่งพากัน สินค้าที่ขนส่งข้ามแดนไม่ได้มีเพียงสินค้าสำเร็จรูปเพื่อการอุปโภคบริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัตถุดิบและชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปจำนวนมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือวัตถุดิบทางการเกษตรจากไทยที่ถูกส่งไปแปรรูปในโรงงานที่กัมพูชาเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก การหยุดชะงักของเส้นทางนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการตัดท่อหล่อเลี้ยงสำคัญที่ทำให้สายพานการผลิตทั้งหมดต้องหยุดลง ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบยังสะท้อนลึกเข้าไปถึง โครงสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศกัมพูชาเอง เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งขนาดใหญ่ของไทยอย่าง Makro และ Big C ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ขายสินค้านำเข้าจากไทย แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่การเป็นศูนย์กลางในการรับซื้อและกระจายสินค้าให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อย (SMEs) ของกัมพูชา การที่ธุรกิจเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนสินค้าหลักจากไทยหรือถูกบอยคอต ย่อมส่งผลให้ปริมาณการรับซื้อสินค้าจากเกษตรกรท้องถิ่นลดน้อยลงตามไปด้วย กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่ทำให้ผู้ผลิตชาวกัมพูชาที่เคยพึ่งพิงช่องทางการจัดจำหน่ายสมัยใหม่เหล่านี้ต้องสูญเสียรายได้และตลาดไปอย่างกะทันหัน แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังส่งตรงไปยังบริษัทในไทยที่มีการดำเนินกิจการหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับกัมพูชาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งจับจ้องไปยังหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการลงทุนหรือมีรายได้สำคัญจากกัมพูชา บริษัทหลักทรัพย์ เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสท์เมนท์ แอ็ดไวเซอรี่ (FSSIA) ชี้ว่า แม้รายได้จากกัมพูชาอาจคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1-2% ของรายได้รวมสำหรับบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ความเสี่ยงเชิงจิตวิทยาและการหยุดชะงักของการดำเนินงานถือเป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ หุ้นที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษคือ คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ซึ่งกัมพูชาถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งและสร้างรายได้ให้บริษัทราว 10% ขณะที่ ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และร้านกาแฟ Café Amazon จำนวนมาก ส่วน ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) และ ซีพี ออลล์ (CPALL) ก็มีธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งที่กำลังเติบโตเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ที่ลงทุนในโรงงานซีเมนต์ และ สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ที่มีธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งล้วนเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์นี้ทั้งสิ้น เมื่อมองไปยังอนาคต หากความขัดแย้งสามารถคลี่คลายลงได้ผ่านกระบวนการทางการทูตที่รวดเร็ว คาดว่าผลกระทบส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในวงแคบและเป็นเพียงปัญหาระยะสั้น ธุรกิจไทยอาจเผชิญกับยอดขายที่ลดลงชั่วคราว แต่จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วเมื่อการขนส่งกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากแบรนด์สินค้าไทยยังคงเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ในขณะเดียวกัน ธุรกิจในรูปแบบการร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าในแง่ภาพลักษณ์ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งกลับยืดเยื้อ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรุนแรงและซับซ้อนกว่ามาก จนอาจสร้างความเสียหายเชิงโครงสร้างต่อการลงทุนของไทยในระยะยาว กระแสชาตินิยมต่อต้านสินค้าไทยมีแนวโน้มที่จะรุนแรงและยาวนานขึ้น ผลักดันให้ผู้บริโภคหันไปหาสินค้าทดแทนจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างถาวร ปัญหาห่วงโซ่อุปทานจะเข้าสู่ขั้นวิกฤตจากการที่ต้นทุนโลจิสติกส์สูงเกินกว่าจะแข่งขันได้ และอาจลุกลามไปถึงความเสี่ยงที่รัฐบาลกัมพูชาอาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) เพื่อสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม นอกเหนือจากผลกระทบที่ปรากฏในทางการค้าแล้ว วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชายังส่งผลกระทบเชิงลึกในมิติแรงงาน ซึ่งเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งและอาจสร้างแผลเป็นระยะยาวต่อรากฐานทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแรงงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงตัวเลขของแรงงานที่ลดลง แต่ยังหมายถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมาก ประการแรกคือ กลุ่มแรงงานชาวกัมพูชา ที่ได้รับการจ้างงานในบริษัทสัญชาติไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม พนักงานในร้านค้าปลีก หรือผู้ให้บริการในสถานีบริการน้ำมัน […]
ความไม่สงบ ไทย-กัมพูชา ทำให้บริษัทไทยในกัมพูชาเจ็บหนักแค่ไหน? อ่านเพิ่มเติม »










