SHARP ADMIN

พาเปิดเบิ่ง ธุรกิจคล้ายกัน “แบรนด์จีน” เทียบ “แบรนด์ไทย” ใครคือเบอร์ 1 ในใจคุณ

สัญชาติจีน Mixue (มี่เสวี่ย) ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและชาผลไม้ ปีก่อตั้ง ปี 2540 ⭐จุดเด่น ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายในจีนและขยายสาขาอย่างรวดเร็วทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายมาก (เริ่มต้น 15-50 บาท) ทำให้ได้รับความสนใจอย่างสูงจากผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนทั่วไป 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานี มหาสารคาม สุรินทร์ และศรีสะเกษ   Zhengxin Chicken (เจิ้งซิน ไก่ทอด) ไก่ทอดสไตล์จีน ปีก่อตั้ง ปี 2538 ⭐จุดเด่น แฟรนไชส์ไก่ทอดจากจีนที่มีสาขาจำนวนมากในประเทศจีน และเริ่มเข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อไม่นานมานี้ เน้นไก่ทอดรสชาติเฉพาะตัว 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น   KKV ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ ปีก่อตั้ง ⭐จุดเด่น เป็นร้านที่รวบรวมสินค้าหลากหลายประเภท เน้นดีไซน์และราคาที่น่าสนใจ กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ที่ชื่นชอบสินค้าสไตล์เกาหลี/ญี่ปุ่น 📍สาขาในอีสาน นครราชสีมา   สัญชาติไทย Minkki (หมิงคิ) ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ ชา และบิงซู ปีก่อตั้ง ปี 2566 ⭐จุดเด่น ใช้วัตถุดิบในไทยเป็นหลักถึง 90% ทำให้รสชาติถูกปากคนไทย และราคาเข้าถึงง่าย ไอศกรีมเริ่มต้นที่ 15 บาท ซึ่งเป็นราคาที่จับต้องได้สำหรับลูกค้าหลากหลายกลุ่ม นอกจากไอศกรีมแล้ว ยังมีเมนูชาและบิงซูให้เลือกมากกว่า 50 เมนู 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น    Chicky Chic  ไก่ทอดและของทอดทานเล่น ปีก่อตั้ง ปี 2549 ⭐จุดเด่น เป็นแบรนด์ไก่ทอดที่มีชื่อเสียงและอยู่คู่คนไทยมานานกว่า 18 ปี มีการพัฒนาสูตรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยถูกใจคนไทย 📍สาขาในอีสาน ขอนแก่น บุรีรัมย์ มหาสารคาม นครราชสีมา บึงกาฬ เลย สุรินทร์ หนองบัวลำภู และอุดรธานี   Moshi Moshi (โมชิ โมชิ) ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทยที่ได้รับความนิยมอย่างสูง  ปีก่อตั้ง ปี 2559 ⭐จุดเด่น เป็นแบรนด์ไทยที่นำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์หลากหลายประเภทในดีไซน์น่ารักและทันสมัย โดยเน้นที่ ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายทำให้เป็นที่นิยมและสามารถขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ 📍สาขาในอีสาน อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และอุบลราชธานี   ที่มา: เว็บไซต์ของบริษัท, Longtunman, Brand Inside, ThaiFranchiseCenter, Marketeer และ Forbes Thailand  

พาเปิดเบิ่ง ธุรกิจคล้ายกัน “แบรนด์จีน” เทียบ “แบรนด์ไทย” ใครคือเบอร์ 1 ในใจคุณ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง เปิดตลาดเสรีอย่างไม่มีเงื่อนไขให้สหรัฐฯ กระทบเกษตรกรในอีสานอย่างไร

เกษตรกรในอีสานอาจได้รับผลกระทบมากกว่าที่คิด หากไทยมีการเปิดตลาดนำเข้าอย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ . ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ในอัตรา 36% กับสินค้าส่งออกของไทย โดยจะเริ่มมีการประกาศใช้ภายในวันที่ 1 ส.ค. 2568 ที่อาจสะเทือนการส่งออกของไทยอย่างหนักหน่วง จากมูลค่าการส่งออกที่มากและ สัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯในการส่งออกสินค้าที่สูงถึง 18% (ปี 2567) เพื่อหาทางออกและลดภาระทางภาษีดังกล่าว หนึ่งในข้อเสนอที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือการที่ไทยต้อง “เปิดตลาด” สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเป็นแนวทางเดียวกันกับประเทศที่ได้การพิจารณาปรับลดอัตราภาษีอย่าง เวียดนาม (จากเดิม 46% เป็น 20%) โดยแลกกับการเปิดตลาดและการเร่งการนำเข้าสินค้าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น การลดภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ (เหลือ 0%) การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะเครื่องบิน พลังงาน และสินค้าเกษตร รวมถึงการจัดการปัญหาการสวมสิทธิ์ของสินค้าจีนที่ใช้เวียดนามเป็นทางผ่านในการส่งไปสหรัฐฯ จากการแลกเปลี่ยนทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลให้เวียดนาม เป็นประเทศแรกในอาเซียนได้รับการพิจารณาปรับลดอัตราภาษีจากสหรัฐฯ จากเดิม ที่ 46% เป็น 20% ในปัจจุบัน ซึ่งน้อยกว่าประเทศคู่แข่งอย่างไทย ถึง 16% และอาจเป็นผลทำให้ผู้ประกอบการไทยที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ สามารถแข่งขันด้านต้นทุนและราคาต่อประเทศคู่แข่งได้ลำบาก แต่ในขณะเดียวกันหากมองผลกระทบในอีกฟากนึง การเปิดตลาดเสรีสินค้าจากสหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไขอาจกระทบต่ออุตสาหกรรม กราฟด้านซ้าย แสดงต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ แม้ว่าจะรวมค่าขนส่งมาไทยแล้ว สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิด? หมูที่ขายในห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ ทั้งหมดไม่ได้มาจากฟาร์มเจ้าสัว 100% แต่มาจากเกษตรกรขนาดกลาง และขนาดย่อม ที่ทั้งทำ เกษตรพันธสัญญา หรือ คอนแทรคฟาร์มมิ่ง (contract farming), และ เกษตรกรรายย่อยแบบครัวเรือน เป็นสัดส่วนมากกว่า 60-70% ในไทย โดยเกษตรกรทั่วไทยที่ผลิต 4 ผลผลิตเหล่านี้ ได้แก่ สุกร, ไก่, เนื้อวัว, และ ข้าวโพด เป็น 4 ผลผลิตทางการเกษตรที่สหรัฐฯ อาจใช้เป็นข้อต่อรอง และจะส่งผลกระทบต่อเกษตรในภาคอีสานโดยตรง ดังนี้ . สุกร/เนื้อหมู อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 40% จำนวนเกษตรกรเลี้ยงสุกรในภาคอีสาน 66,124 ราย คิดเป็น 46% ของทั้งประเทศ . เนื้อไก่/ไก่เนื้อ อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 30-40% จำนวนเกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อในภาคอีสาน 13,543 ราย คิดเป็น 52% ของทั้งประเทศ จำนวนเกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อพื้นเมืองในภาคอีสาน 1,367,012 ราย คิดเป็น 52% ของทั้งประเทศ . เนื้อวัว อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 30-50% จำนวนเกษตรกรเลี้ยงวัวเนื้อ/โคเนื้อในภาคอีสาน 949,733 ราย คิดเป็น

พามาเบิ่ง เปิดตลาดเสรีอย่างไม่มีเงื่อนไขให้สหรัฐฯ กระทบเกษตรกรในอีสานอย่างไร อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ธุรกิจอีสานรายได้ปังไม่แพ้ใคร ธุรกิจเหล่านี้มีรายได้ในปี 2567 เท่าไหร่?

ภาคอีสานหนึ่งภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการเป็นที่ตั้งของธุรกิจขนาดใหญ่หลากหลายแห่ง หลายบริษัทไม่เพียงเป็นที่รู้จักในระดับประเทศเท่านั้น หากแต่ยังขยายกิจการไปต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบของการตั้งสาขา หรือในรูปแบบของการทำการค้าก็ดี ซึ่งไม่เพียงแต่จะสรา้งชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือให้บริษัท แต่ยังรวมถึงการสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถูกให้กับประเทศด้วยเช่นกัน ในปี 2567 ที่ผ่านมา ภาคอีสานมีธุรกิจจดทะเบียนดำเนินกิจการอยู่มากกว่าหลายหมื่นราย แต่มีเพียง 6 บริษัทเท่านั้นที่สามารถสร้างรายได้แตะระดับหมื่นล้านบาทได้สำเร็จ ซึ่งน่าสนใจว่าในจำนวนนี้ถึงครึ่งหนึ่ง หรือ 3 บริษัท เป็นธุรกิจค้าทองคำ โดยสามารถทำรายได้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ผู้บริโภคยังคงให้ความเชื่อมั่น โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวนจากโรคระบาดและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามในต่างประเทศ ส่งผลให้ราคาทองคำขยับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นทั้งเครื่องมือรักษามูลค่าทรัพย์สินและช่องทางในการเก็งกำไรของคนจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา หากพิจารณาธุรกิจที่มีรายได้มากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไปในภาคอีสาน จะพบว่า ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในภาคการผลิต ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของภาคการผลิตในฐานะหนึ่งในเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนธุรกิจที่มีรายได้มากกว่า 5,000 ล้านส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจภาคการผลิต แต่หากพิจารณาธุรกิจที่สามารถทำรายได้สูงสุดนั้นยังคงเป็นธุรกิจภาคการค้าและบริการ ได้แก่ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งนับเป็นธุรกิจค้าปลีกที่มีรายได้สูงที่สุดในภาคอีสาน ที่ยังคงขยายเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจการค้าในภูมิภาคที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมในภาคอีสาน รายได้รวมกว่า 70% ของภาคธุรกิจทั้งหมดมาจากกลุ่มการค้าและบริการ โดยเฉพาะในหมวดการขายส่ง-ขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นหมวดใหญ่ที่ครอบคลุมธุรกิจนับหมื่นรายทั่วภูมิภาค หากพิจารณาเชิงลึกภายในหมวดนี้ จะพบว่ากิจกรรมที่สร้างกำไรได้สูงสุด ได้แก่ “การขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านค้าเฉพาะ เช่น สถานีบริการน้ำมัน” และ “การขายยานยนต์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ รถตู้ หรือรถขนาดเล็กประเภทต่าง ๆ” ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีสัดส่วนรายได้และกำไรสูงที่สุดในหมวด แสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้พลังงานและการขนส่งในชีวิตประจำวันของประชาชนที่ยังคงเติบโต แม้ว่าหากดูตัวเลขของยอดรถจดทะเบียนใหม่นั้นจะมีจำนวนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม ขณะที่รายได้อีกกว่า 25% มาจากภาคการผลิต ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจอีสาน โดยกิจกรรมหลักที่สร้างรายได้สูงในกลุ่มนี้ ได้แก่ “การสีข้าว” และ “การผลิตสตาร์ชมันสำปะหลัง” ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรมโดยตรง และสะท้อนถึงบทบาทของภาคอีสานในฐานะพื้นที่ผลิตวัตถุดิบสำคัญของประเทศ ทั้งในด้านข้าวและมันสำปะหลังที่มีบทบาททั้งในตลาดภายในและการส่งออก ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาคอีสานไม่ได้เป็นเพียง “พื้นที่ชนบท” ดังภาพจำในอดีตอีกต่อไป หากแต่กำลังกลายเป็น “ภูมิภาคเศรษฐกิจสำคัญ” ที่มีบทบาทอย่างชัดเจนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในแง่ของมูลค่าทางธุรกิจ ความหลากหลายของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และศักยภาพในการเติบโตในอนาคต ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจที่ผสมผสานทั้งภาคการค้า ภาคการผลิต และภาคเกษตรกรรมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน การเติบโตของธุรกิจขนาดใหญ่ในอีสาน โดยเฉพาะในกลุ่มทองคำ พลังงาน ยานยนต์ และเกษตรแปรรูป ไม่เพียงแต่ตอกย้ำศักยภาพทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณชี้ว่า หากมีการวางแผนและสนับสนุนอย่างเหมาะสม ภาคอีสานอาจกลายเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว   อ้างอิง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พามาเบิ่ง🧐 ยักษ์ใหญ่แห่งที่ราบสูง ส่องบริษัทมหาชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีสาน

พามาเบิ่ง ธุรกิจอีสานรายได้ปังไม่แพ้ใคร ธุรกิจเหล่านี้มีรายได้ในปี 2567 เท่าไหร่? อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 8 “ชุดไทย” พระราชนิยม ที่ถูกเสนอขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของ ยูเนสโก ปี 2569

ไทยได้เสนอ “ชุดไทย” ขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของยูเนสโก ปี 2569 หลังมีประเด็นกัมพูชายื่นชุดคล้ายชุดไทย ฮู้บ่ว่า? นอกจาก “ชุดไทย” แล้ว “มวยไทย” กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกระดับสากลในปี 2571 เพื่อยกระดับ Soft Power ไทยบนเวทีโลกอย่างสร้างสรรค์ พามาเบิ่ง 8 “ชุดไทย” พระราชนิยม ที่ถูกเสนอขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของ ยูเนสโก ปี 2569 หลังมีประเด็น กัมพูชา ยื่นชุดคล้ายชุดไทย . “ชุดไทย” เป็นอัตลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นไทย มีมายาวนานกว่า 1,400 ปี โดยพบว่ามีการนุ่งและห่มตั้งแต่สมัย ทวารวดี – อยุธยา – รัตนโกสินทร์ตอนต้น พัฒนาการสำคัญของชุดไทยในปี 2503 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงมีพระราชดำริให้ศึกษาและฟื้นฟูรูปแบบการแต่งกายสตรีไทย สร้างสรรค์ ชุดไทยสตรี 8 แบบ และ ชุดสุภาพบุรุษ 3 แบบ ใช้ฉลองพระองค์ในโอกาสเสด็จเยือน สหรัฐอเมริกา และยุโรป อย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นถึง “ความงาม + เอกลักษณ์ไทย” ต่อสายตาชาวโลก การใช้ชุดไทยในชีวิตประจำวัน สวมใส่ใน งานพิธีสำคัญ งานรัฐพิธี งานศาสนา เป็นแนวปฏิบัติทางสังค ของคนไทยในทุกภูมิภาค ส่งเสริม งานหัตถศิลป์ไทย เช่น การทอผ้า การตัดเย็บ การปัก และประดับลวดลาย สถานะชุดไทยในระดับชาติและสากล ในปี 2566 ขึ้นบัญชี มรดกวัฒนธรรมของชาติ 26 มี.ค. 2567 ครม.เห็นชอบเสนอขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก ในชื่อ “ชุดไทย: ความรู้ งานช่างฝีมือ และแนวปฏิบัติการแต่งกายชุดไทยประจำชาติ” เตรียมพิจารณาในปี 2569 ในการประชุม UNESCO (สมัยที่ 21) ข่าวลือกัมพูชายื่นชุดคล้ายชุดไทย กัมพูชาจะเสนอ ‘ประเพณีแต่งงาน’ โดยสอดแทรก ‘ชุดไทย’ เป็นมรดกโลกนั้น ไม่เป็นความจริง กรมส่งเสริมวัฒนธรรมตรวจสอบแล้ว ยูเนสโกยังอยู่ในขั้นตอนให้แต่ละประเทศปรับแก้ข้อมูลข้อเสนอสำหรับปี 2025-2026 และไม่มีหลักฐานว่ากัมพูชาจะอ้างอิงถึง ‘ชุดไทย’ แต่อย่างใด ชุดไทยพระราชนิยม 8 แบบได้ถือกำเนิดขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปและสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ เมื่อพุทธศักราช 2503 ได้พระราชทานพระราชดำริว่า สมควรที่จะสรรค์สร้างการแต่งกายชุดไทยให้เป็นไปตามประเพณีที่ดีงาม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการศึกษา ค้นคว้าเครื่องแต่งกายสมัยต่าง ๆ จากพระฉายาลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายใน และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ แต่ให้มีการปรับปรุงพัฒนาให้เหมาะสมกับกาลสมัย ทรงเสนอรูปแบบที่หลากหลาย และได้ฉลองพระองค์อย่างงดงามเป็นแบบอย่าง

พามาเบิ่ง 8 “ชุดไทย” พระราชนิยม ที่ถูกเสนอขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของ ยูเนสโก ปี 2569 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐 ยักษ์ใหญ่แห่งที่ราบสูง ส่องบริษัทมหาชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีสาน

ฮู้บ่ว่า? บริษัทมหาชนของไทยที่มีรายได้รวมและกำไรสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเลียม ไม่ว่าจะเป็น ปตท. ไทยออยล์ หรือบางจาก เป็นต้น ส่วนต่อมาเป็นของกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น ที่สามารถสร้างรายได้และทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการส่งงบการเงินปี 2567 พบว่า ประเทศไทยมีบริษัทจำกัด (มหาชน) ที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่มากกว่า 1,200 แห่ง กระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ โดยในภาคอีสาน มีบริษัทจำกัด (มหาชน) อยู่ประมาณ 15 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจในภาคการผลิต ซึ่งอาจจะมีจำนวนบริษัทที่ไม่มากเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นก็ตามแต่ก็ยังคงถือว่าเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีสานให้ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแปรสภาพมาเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) มักมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือ และเพิ่มศักยภาพในการระดมทุนจากประชาชนทั่วไปหรือนักลงทุนสถาบัน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานและขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ ภายใต้ข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น บริษัทมหาชนจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวด ทั้งด้านการเปิดเผยข้อมูล การส่งงบการเงิน และการกำกับดูแลกิจการอย่างโปร่งใส ซึ่งกลไกเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสาธารณชนในระยะยาว   ตารางที่ 1 รายชื่อธุรกิจที่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในภาคอีสานปี 2567 ชื่อบริษัท ชื่อหุ้น รายได้รวม ปี 2567 (ล้านบาท) รายได้รวม %YoY กำไร ปี 2567 (ล้านบาท) กำไร %YoY ราคาหุ้น ณ วันที่ 9 ก.ค. 68 (บาท) จังหวัด กิจกรรม บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) GLOBAL 32,484 -0.13 2,115 -16.42 5.1 ร้อยเอ็ด ขายส่งวัสดุก่อสร้าง บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) NER 27,496 9.69 1,652 6.91 4.08 บุรีรัมย์ ผลิตยางแผ่นและยางแท่ง บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) UBE 3,285 5.77 675 29.2 0.5 อุบลราชธานี ผลิตเคมีภัณฑ์ บริษัท พี.ซี.เอส. แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) PCSGH 4,008 -19.34 132 63.31

พามาเบิ่ง🧐 ยักษ์ใหญ่แห่งที่ราบสูง ส่องบริษัทมหาชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ทำไม สกลนคร คือศูนย์กลางของสมุนไพร และการแพทย์แผนไทยแห่งอนาคต ?

สมุนไพร เป็นพืชที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างช้านาน ได้สั่งสมความรู้เรื่องการใช้พืชสมุนไพรในการรักษาโรค ดูแลสุขภาพ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น สมุนไพรจึงกลายเป็นมากกว่าเพียงแค่ยารักษาโรค แต่เป็นวัฒนธรรมทางการแพทย์ที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สมุนไพรนั้นพบได้ทั่วภูมิภาคในประเทศ เช่นเดียวกันกับภาคอีสาน ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่ทำให้พบสมุนไพรได้หลายชนิดในธรรมชาติ มีการปลูกและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โครงการเมืองสมุนไพรจังหวัดสกลนคร   สกลนคร จังหวัดในภาคอีสานตอนบนที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ หรือเทือกเขาภูพาน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พบสมุนไพรธรรมชาติหลายชนิด เช่น ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน คราม เป็นต้น ซึ่งนอกจากสมุนไพรธรรมชาติแล้ว เกษตรกรในจังหวัดก็มีการปลูกสมุนไพรกันมาช้านาน และมีการแปรรูปสู่ผลิตภัณฑ์ โดยในช่วงปี 2557 – 2565 มีผลิตภัณฑ์ OTOP ประเภทสมุนไพร ทั้งสิ้น 257 ผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น สบู่สมุนไพรไทบรู เป็นผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ไทบรูใน อ.พรรณานิคม ชาย่านาง และผลิตภัณฑ์เพื่อการผ่อนคลาย เช่นลูกประคบ หรือน้ำมันนวด เป็นต้น   อีกศักยภาพสมุนไพรของสกลนคร มีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นศูนย์ฝึกอบรมผู้ช่วยแพทย์แผนไทยที่ได้รับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นแหล่งผลิตยาสมุนไพร โดยมีเครือข่ายอินแปงและกลุ่มผู้ปลูกสมุนไพรรวมตัวเป็นสหกรณ์สมุนไพรสกลนครเพื่อจัดหาวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังมีศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มีสวนสาธิตสมุนไพร อาคารแปรรูป และเครือข่ายผู้ปลูกสมุนไพร   โดยการปลูกพืชสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยของสกลนคร ได้ถูกผลักดันอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2559 จากนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาพืชสมุนไพร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชน จากศักยภาพของสกลนคร ส่งผลให้จังหวัด ได้ถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดปราจีนบุรี เชียงราย สกลนคร และสุราษฏร์ธานี ให้เป็น ‘เมืองแห่งสมุนไพร’    โครงการเมืองสมุนไพรสกลนครขับเคลื่อนผ่านยุทธศาสตร์หลัก 4 ด้าน คือ 1) การส่งเสริมวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพ 2) การพัฒนาอุตสาหกรรมและการตลาด 3) การส่งเสริมการใช้สมุนไพรในระบบสุขภาพ และ 4) การสร้างความเข้มแข็งด้านนโยบายและการบริหารจัดการ โดยมีความคืบหน้าเด่นชัดในด้านต่างๆ ดังนี้   ต้นน้ำ (การเพาะปลูก): มีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพ เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ไพล และพืชสมุนไพรที่เป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่น โดยเน้นการพัฒนาสู่มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่สะอาด ปลอดภัย และมีสารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม ดังตัวอย่างความสำเร็จในการพัฒนา “ฟ้าทะลายโจร” ภายใต้แบรนด์ “ภูพานไพล” โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ที่สามารถเพิ่มสารแอนโดรกราโฟไลด์ให้สูงขึ้น สร้างรายได้ให้กับครัวเรือนเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม   กลางน้ำ (การแปรรูป): โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ถือเป็นหน่วยงานสำคัญในการรับวัตถุดิบสมุนไพรจากเกษตรกรมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชนพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรในรูปแบบที่หลากหลาย

ทำไม สกลนคร คือศูนย์กลางของสมุนไพร และการแพทย์แผนไทยแห่งอนาคต ? อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 5 จังหวัดอีสาน “อวดเมือง” อวดหยังแหน่? ในรอบ 12 ทีมสุดท้าย

ส่งแรงใจให้ โคราช ขอนแก่น อุบลราชธานี เลย ศรีสะเกษ 5 จังหวัดจากอีสานที่เข้ารอบ 12 จังหวัด โครงการ “อวดเมือง” อีสานมีอะไรให้อวดที่จะพัฒนาเมืองให้ น่าอยู่ น่า เที่ยว น่าลงทุน และใช้เทศกาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 5 จังหวัดอีสาน “อวดเมือง” อวดหยังแหน่? ในรอบ 12 ทีมสุดท้าย(รอบรองชนะเลิศ)   ขอนแก่น MUAN: Festival of ISAN Pulse “เทศกาลม่วน: เมื่อผืนไหมขับร้อง และหัวใจเต้นไปกับจังหวะหมอลำ” สมาชิกทีมจังหวัดขอนแก่น (จากซ้ายไปขวา)1. คุณวิฑูรย์ ไตรรัตน์วงศ์ (ป๋องแป้ง) ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าทอ2. ผศ.ดร.ดลฤทัย โกวรรธนะกุล (ส้ม) ผู้อำนวยการโครงการ3. คุณฐิติมา ด่านวิบูลย์ (พริ้ง) MC4. คุณอภิญญา กันสา (กวางตุ้ง) Influencer5. คุณชัยเวช ดวงมั่น (ชัย) Graphic Designer     นครราชสีมา (K = Korat) K-BATTLE International HIPHOP Festival “เทศกาลที่จะอวดเมืองโคราชให้โลกรู้ ด้วยการเต้น เสียงดนตรี และศิลปะ” ตัวแทนทีมจังหวัดนครราชสีมา (จากซ้ายไปขวา)1.นายจิรพิสิษฐ์ รุจน์เจริญ : อินฟลูเอนเซอร์ท้องถิ่นและที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม2.ว่าที่ร้อยตรี อธิปัตย์ ทองชั้น : ประธานสโมสร K-Battle3.นายวิจิตร กิจวิรัตน์ : รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา4.นายพงศกร พิศิษฐวานิช : กรรมการหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ฝ่ายศิลปะและวัฒนธรรม5. นาย พงศกร เลิศศักดิ์วรกุล : รองผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลหลานย่าโม6. นางสาวฉวีวรรณ แปวกระโทก : นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ   เลย LOEI MASK FEST เทศกาลหน้ากากเลย “จากตำนานสู่งานสร้างสรรค์ “เทศกาลหน้ากาก 3 ผี อวดสี อวดศิลป์” รายชื่อสมาชิกทีมจังหวัดเลย (จากซ้ายไปขวา)1. นายวชิรวิชญ์ จันทร์ฉายงาม เลขานุการหอการค้าจังหวัดเลย (เอ)2. นางสาวปัทมา ฐานะวัฒนกุล สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเลย (ปัท)3. นางสาวทิพวาฑิต กำจัดพาลภัย อินฟลูเอนเซอร์ (ซอ)4. นายชูชัย ลุนวิรัตน์ ศิลปินในนาม เลยตามเลย (แบท)5. นางสาวเบญจมาภรณ์ ฉัตร์คำ

พามาเบิ่ง 5 จังหวัดอีสาน “อวดเมือง” อวดหยังแหน่? ในรอบ 12 ทีมสุดท้าย อ่านเพิ่มเติม »

อุบลราชธานี เศรษฐกิจเงินสะพัดพันล้าน สู่ อวดเมือง “ฅน เมือง เทียน”

อุบลราชธานี เมืองแห่งปราชญ์-ปรัชญา-ภูมิปัญญาริมฝั่งโขง จังหวัดอุบลราชธานี หนึ่งใน จังหวัดที่ถูกเรียกว่า Big 4 ของอีสาน และ หนึ่งในเมืองรองของการท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคอีสานซึ่งในตอนนี้เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้านขึ้นแซง โคราช ขอนแก่น อะไรทำให้เมืองชายแดนที่ดูเหมือนจะอยู่นอกสายตาอย่าง “อุบลราชธานี” กลายมาเป็นจังหวัดที่สร้างรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์ได้สูงที่สุดในภาคอีสาน? ทำไมเมืองที่ไม่ได้อยู่กลางแผนที่เศรษฐกิจอย่างกลุ่ม Big 4 ถึงสามารถแซงหน้าเมืองใหญ่อย่างขอนแก่นและโคราชได้ในมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์? อีสานอินไซต์สิพามาเบิ่ง . 1.อุบลหนึ่งในเมืองรองที่สำคัญของภาคอีสาน ด้วยความที่เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวในภาคอีสานไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ หรือ การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ถึงแม้อุบลจะเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดนแต่ก็ยังมีผู้เยี่ยมเยือนผ่านเข้าออกอยู่เป็นประจำในแต่ละปี ซึ่งมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนในปี 2567 อยู่ที่ 3,763,066 คน ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 5 ของภาคอีสาน สามารถทำรายไดไปปมากถึง 9126.57 ล้านบาท ถือว่าสูงเป็นอันดับ 6 ของภาคอีสานในด้านรายได้จากการท่องเที่ยว และมีอีกสิ่งที่น่าตกใจอย่างมากในปีนี้ก็คือ เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้าน โดยภาคอีสานสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 38,778 ล้านบาท เฉพาะงานอีสานสร้างสรรค์ปี 67 ก็สร้างมูลค่ากว่า 6 ร้อยล้านบาท แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานะเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง “กลุ่ม Big 4 ของอีสาน” ที่ประกอบด้วย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี แต่ในช่วงหลัง อุบลฯ กลับเป็นจังหวัดเดียวในกลุ่มนี้ที่ “แซงหน้า” เมืองใหญ่ในมิติของธุรกิจสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจน โดยในปี 2567 อุบลราชธานีสร้างรายได้จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้สูงสุดของภาคอีสาน มูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าขอนแก่นและโคราชที่เคยเป็นผู้นำในด้านนี้ นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่สะท้อนปรากฏการณ์ใหม่ของเมืองชายแดนที่สามารถเติบโตจาก “ทุนวัฒนธรรม” อย่างยั่งยืนหัวใจของความสำเร็จอยู่ที่การรู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ให้เกิดมูลค่าอย่างมีกลยุทธ์ อุบลราชธานีไม่ได้เริ่มต้นจากความว่างเปล่า แต่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นจำนวนมากที่รอการต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นงานเทียนพรรษา ผ้าทอ เครื่องจักสาน ผ้าย้อมคราม หัตถกรรมพื้นบ้าน ไปจนถึงศิลปะการแสดงแบบอีสาน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดร่วมสมัย พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์เศรษฐกิจ จาก “ประเพณีแห่เทียนพรรษา” ทั่วอีสาน ที่สร้างรายได้มหาศาล❗กระตุ้นเศรษฐกิจพุ่ง❗ สิ่งที่ทำให้อุบลฯ เดินได้เร็วกว่าเมืองอื่น คือการมีคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด และกล้าลงมือสร้างธุรกิจจากวัฒนธรรมดั้งเดิม นักออกแบบรุ่นใหม่ ศิลปินพื้นถิ่น และผู้ประกอบการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและวิทยาลัยในพื้นที่ต่างผนึกกำลังกันสร้างแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน เช่น แบรนด์เสื้อผ้าที่นำผ้าทอมาดีไซน์ร่วมสมัย คาเฟ่และโฮมสเตย์ที่ใช้แนวคิดภูมิสถาปัตย์ ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ไม่ได้ยืนดูเฉย ๆ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ได้ร่วมมือกับจังหวัดและองค์กรภาคีต่าง ๆ สร้างโครงการอย่าง “Ubon Creative City Fair”, “ตลาดนัดคนสร้างสรรค์”, และเทศกาล “Isan Creative Festival” ซึ่งมีนักสร้างสรรค์เข้าร่วมกว่า 900 ราย

อุบลราชธานี เศรษฐกิจเงินสะพัดพันล้าน สู่ อวดเมือง “ฅน เมือง เทียน” อ่านเพิ่มเติม »

อุบลราชธานี ยืนหนึ่งเรื่อง ‘ปลานิล’ แห่งอีสาน จากแหล่งน้ำที่ดี สู่ฟาร์มประมงคุณภาพสูง

ในขณะที่จังหวัดขอนแก่นครองตำแหน่งผู้นำด้านจำนวนฟาร์มเลี้ยงปลานิลในภาคอีสาน ด้วยจำนวนฟาร์มนับหมื่น แต่เมื่อมองลึกลงไปในแง่ของผลผลิต กลับกลายเป็นว่า อุบลราชธานี ต่างหากที่ขึ้นแท่นเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตปลานิลมากที่สุดในภูมิภาคนี้   ปี 2566 จังหวัดอุบลราชธานีมีจำนวนฟาร์มเลี้ยงปลานิลเพียง 8,820 แห่ง คิดเป็นลำดับที่ 13 ของภาค แต่กลับผลิตได้มากถึง 10,744 ตัน หรือ คิดเป็น 15% ของทั้งภาคอีสาน สร้างมูลค่าสูงถึง 644 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นที่ไม่อาจมองข้ามได้   ฟาร์มน้อย…แต่ผลิตได้มาก เพราะอะไร? เบื้องหลังตัวเลขอันน่าทึ่งนี้ สะท้อนถึงความจริงข้อหนึ่งที่มักถูกมองข้ามในวงการเกษตรน้ำจืด  “จำนวนฟาร์มไม่ได้สะท้อนศักยภาพการผลิตเสมอไป” เพราะปริมาณนั้นอาจน้อยกว่า แต่คุณภาพของระบบเลี้ยงต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ   ภูมิประเทศของอุบลราชธานีเอื้ออำนวยอย่างยิ่งต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะปลานิล เพราะเป็นพื้นที่ “ปลายน้ำ” ของแม่แม่น้ำสำคัญของภาคอีสานไหลผ่านหลายสาย ทั้งแม่น้ำโขง ชี และมูล รวมไปถึงลำน้ำสายย่อยอีกมากมาย ทำให้มีแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวนมากและคุณภาพน้ำดีเหมาะแก่การเลี้ยงปลาในกระชัง   และนี่คือหัวใจสำคัญ  อุบลราชธานีมีการเลี้ยงปลานิลในกระชังมากที่สุดในอีสาน ด้วยจำนวน 493 ฟาร์ม ซึ่งระบบกระชังในแหล่งน้ำไหลผ่านเหล่านี้ ช่วยให้ปลานิลมีสุขภาพแข็งแรง โตไว เนื้อแน่น รสชาติดี และได้ราคาสูงกว่าการเลี้ยงในบ่อ   แหล่งผลิตหลักอยู่ที่ไหน? หากมองลึกลงไปในระดับพื้นที่ พบว่าอำเภอที่มีฟาร์มเลี้ยงปลานิลมากที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ อำเภอเดชอุดม อำเภอม่วงสามสิบ อำเภอนาจะหลวย พื้นที่เหล่านี้ล้วนมีลำน้ำสายย่อยจำนวนมากเชื่อมกับแม่น้ำหลัก ทำให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันยังมีการรวมกลุ่มและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในระดับท้องถิ่นที่เข้มแข็ง   รายได้เฉลี่ยต่อฟาร์มสูงกว่าจังหวัดอื่น แม้จำนวนฟาร์มปลานิลจะไม่มากเท่าจังหวัดอื่น แต่ รายได้เฉลี่ยต่อฟาร์มของเกษตรกรในอุบลฯ กลับสูงถึง 73,043 บาท/ฟาร์ม แสดงให้เห็นว่าระบบการเลี้ยงมีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงกับตลาดได้ดี   ในส่วนของการเลี้ยงปลานิลในกระชังเพียงอย่างเดียว ยังสร้างมูลค่าถึง 517 ล้านบาท จากทั้งหมด 644 ล้านบาท หรือมากกว่า 80% ของมูลค่ารวมจากปลานิลทั้งจังหวัด   ปริมาณและมูลค่าผลผลิตสัตว์น้ำจืด นอกจากปลานิลอุบลฯ จะยืนหนึ่งในอีสานแล้วนั้น การเลี้ยงสัตว์น้ำจืดชนิดอื่นๆ ก็มีการเลี้ยงมากและสร้างมูลค่ามากเช่นเดียวกัน โดยอุบลฯ ,uปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำจืดรวมทั้งสิ้น 13,474 ตัน คิดเป็นร้อยละ 2.93 ของปริมาณผลผลิตทั้งประเทศ มูลค่าผลผลิตรวมทั้งสิ้น 814,052 พันบาทผลผลิตส่วนใหญ่มาจากการเลี้ยงในกระชัง ซึ่งมีปริมาณ 8,883 ตัน และมูลค่า 532,589 พันบาท ชนิดสัตว์น้ำจืดที่ผลิตได้และมูลค่า (บางส่วน): ปลานิล: ปริมาณ 10,744 ตัน มูลค่า 644,236 พันบาท  ปลาดุก: ปริมาณ 1,604 ตัน มูลค่า 89,544 พันบาท  กุ้งก้ามกราม: ปริมาณ 6

อุบลราชธานี ยืนหนึ่งเรื่อง ‘ปลานิล’ แห่งอีสาน จากแหล่งน้ำที่ดี สู่ฟาร์มประมงคุณภาพสูง อ่านเพิ่มเติม »

ส่องธุรกิจในเครือ ‘เอราวัณ’ แห่ง หนองบัวลำภู น้ำตาล ขนส่ง และผลิตไฟฟ้า กวาดรายได้รวมกว่า 7 พันล้านบาท

  จังหวัดหนองบัวลำภูมีพื้นที่ประมาณ 3,859 ตารางกิโลเมตร (2,411,875 ไร่) ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นที่ราบสูงและที่ราบลุ่ม ประกอบกับสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อนที่มีฤดูฝนและฤดูแล้ง ทำให้เหมาะสมกับการปลูกอ้อยเป็นอย่างมาก ดินในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อ้อยสามารถเจริญเติบโตได้ดี   ปี 2567/2568 จังหวัดหนองบัวลำภู มีพื้นที่เพาะปลูกอ้อยทั้งสิ้น 335,806 ไร่ (14% ของพื้นที่จังหวัด) มากเป็นอันดับ 6 จาก 20 ของภาคอีสาน มีปริมาณอ้อยทั้งสิ้น 3,264,034 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 9.72 ตันต่อไร่ อ้อยเป็นแหล่งรายได้หลักของเกษตรกรในจังหวัดหนองบัวลำภูซึ่งปลูกกันทุกอำเภอ โดยแต่ละอำเภอมีพื้นที่ปลูกอ้อยดังนี้ อำเภอศรีบุญเรือง 122,470 ไร่ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู 69,245 ไร่ อำเภอนากลาง 61,640 ไร่  อำเภอสุวรรณคูหา 32,084 ไร่  อำเภอโนนสัง 6,091 ไร่   อุตสาหกรรมอ้อยในจังหวัดสร้างงานให้กับคนในพื้นที่นับหมื่นคน ตั้งแต่การปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยว การขนส่ง ไปจนถึงการแปรรูป โดยหนองบัวลำภูนั้น มีโรงงานผลิตน้ำตาลทรายจากอ้อยรายใหญ่อย่าง ‘บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด’ เป็นนิติบุคคลประเภทธุรกิจ : 10722 (การผลิตน้ำตาลบริสุทธิ์) ที่มีรายได้มากที่สุดในอีสาน  โดยบทความนี้ อีสาน อินไซต์ จะพามาส่องเบิ่ง กลุ่มธุรกิจในเครือเอราวัณ ที่นอกเหนือจากผลิตน้ำตาล ก็ยังมีธุรกิจประเภทอื่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดหนองบัวลำภู   บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด    เป็นนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงงานผลิตน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายดิบ น้ำเชื่อมและผลิตภัณฑ์จากการผลิตน้ำตาลทุกชนิด ตั้งอยู่ เลขที่ 111 หมู่ที่ 12 ตำบลนากลาง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู จดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2547 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 6,138 ล้านบาท มีรายได้ 7,443 ล้านบาท และกำไร 962 ล้านบาท สูงที่สุดในบรรดานิติบุคคลสาขา การผลิตน้ำตาลน้ำตาลบริสุทธิ์ ในภาคอีสาน    โดยนอกจากผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลแล้วนั้น กลุ่มบริษัทเอราวัณมีศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ทำงานด้านการวิจัยอย่างครบวงจร ซึ่งประกอบด้วย การวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อย การผลิตวัสดุปรับปรุงดิน โครงการผลิตอ้อยสะอาดปลอดโรคใบขาว และการพัฒนาเครื่องมือการเกษตร   ซึ่งการลงทุนในส่วนนี้สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นเพียงกำไรในระยะสั้น แต่ต้องการสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำ (เกษตรกร) ไปจนถึงปลายน้ำ (โรงงาน) ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกรคู่สัญญา และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว   กลุ่มบริษัทอื่น ในเครือ น้ำตาลเอราวัณ นอกจากโรงงานผลิตน้ำตาลแล้ว

ส่องธุรกิจในเครือ ‘เอราวัณ’ แห่ง หนองบัวลำภู น้ำตาล ขนส่ง และผลิตไฟฟ้า กวาดรายได้รวมกว่า 7 พันล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top