ความไม่สงบ ไทย-กัมพูชา ทำให้บริษัทไทยในกัมพูชาเจ็บหนักแค่ไหน?

สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้น ณ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ได้ส่งผลสะเทือนเป็นวงกว้างเกินกว่ามิติทางการเมืองและความมั่นคง แต่ยังได้สร้างแรงปะทะโดยตรงมาสู่ภาคเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการค้าของทั้งสองประเทศที่มีมูลค่ารวมกันสูงถึงปีละกว่า 3 แสนล้านบาท การวิเคราะห์ผลกระทบในครั้งนี้จึงมุ่งฉายภาพให้เห็นถึงความท้าทายที่ธุรกิจไทยกำลังเผชิญ ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายย่อยตามแนวชายแดน ไปจนถึงบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมทั้งประเมินแนวโน้มความเป็นไปได้ในอนาคตภายใต้สองฉากทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผลกระทบระลอกแรกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงที่สุดคือการหยุดชะงักของการค้าชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด่านอรัญประเทศ-ปอยเปต ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระหว่างสองประเทศ การปิดจุดผ่านแดนถาวรได้สร้างปัญหาคอขวดให้กับห่วงโซ่อุปทานในทันที ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่พุ่งสูงขึ้นจากการเปลี่ยนไปใช้เส้นทางขนส่งทางเรือผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งไม่เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ยังใช้ระยะเวลานานขึ้น กระทบต่อสภาพคล่องและขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่กำลังเผชิญกับภาวะชะงักงันที่รุนแรงยิ่งกว่าแค่ปัญหาด้านโลจิสติกส์ การปิดพรมแดนได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของ โครงข่ายการผลิตระดับภูมิภาค (Regional Production Network) ที่ไทยและกัมพูชามีการพึ่งพากัน สินค้าที่ขนส่งข้ามแดนไม่ได้มีเพียงสินค้าสำเร็จรูปเพื่อการอุปโภคบริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัตถุดิบและชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปจำนวนมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือวัตถุดิบทางการเกษตรจากไทยที่ถูกส่งไปแปรรูปในโรงงานที่กัมพูชาเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก การหยุดชะงักของเส้นทางนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการตัดท่อหล่อเลี้ยงสำคัญที่ทำให้สายพานการผลิตทั้งหมดต้องหยุดลง

ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบยังสะท้อนลึกเข้าไปถึง โครงสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศกัมพูชาเอง เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งขนาดใหญ่ของไทยอย่าง Makro และ Big C ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ขายสินค้านำเข้าจากไทย แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่การเป็นศูนย์กลางในการรับซื้อและกระจายสินค้าให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อย (SMEs) ของกัมพูชา การที่ธุรกิจเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนสินค้าหลักจากไทยหรือถูกบอยคอต ย่อมส่งผลให้ปริมาณการรับซื้อสินค้าจากเกษตรกรท้องถิ่นลดน้อยลงตามไปด้วย กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่ทำให้ผู้ผลิตชาวกัมพูชาที่เคยพึ่งพิงช่องทางการจัดจำหน่ายสมัยใหม่เหล่านี้ต้องสูญเสียรายได้และตลาดไปอย่างกะทันหัน

แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังส่งตรงไปยังบริษัทในไทยที่มีการดำเนินกิจการหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับกัมพูชาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งจับจ้องไปยังหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการลงทุนหรือมีรายได้สำคัญจากกัมพูชา บริษัทหลักทรัพย์ เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสท์เมนท์ แอ็ดไวเซอรี่ (FSSIA) ชี้ว่า แม้รายได้จากกัมพูชาอาจคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1-2% ของรายได้รวมสำหรับบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ความเสี่ยงเชิงจิตวิทยาและการหยุดชะงักของการดำเนินงานถือเป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ หุ้นที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษคือ คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ซึ่งกัมพูชาถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งและสร้างรายได้ให้บริษัทราว 10% ขณะที่ ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และร้านกาแฟ Café Amazon จำนวนมาก ส่วน ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) และ ซีพี ออลล์ (CPALL) ก็มีธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งที่กำลังเติบโตเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ที่ลงทุนในโรงงานซีเมนต์ และ สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ที่มีธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งล้วนเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์นี้ทั้งสิ้น

เมื่อมองไปยังอนาคต หากความขัดแย้งสามารถคลี่คลายลงได้ผ่านกระบวนการทางการทูตที่รวดเร็ว คาดว่าผลกระทบส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในวงแคบและเป็นเพียงปัญหาระยะสั้น ธุรกิจไทยอาจเผชิญกับยอดขายที่ลดลงชั่วคราว แต่จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วเมื่อการขนส่งกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากแบรนด์สินค้าไทยยังคงเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ในขณะเดียวกัน ธุรกิจในรูปแบบการร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าในแง่ภาพลักษณ์ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งกลับยืดเยื้อ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรุนแรงและซับซ้อนกว่ามาก จนอาจสร้างความเสียหายเชิงโครงสร้างต่อการลงทุนของไทยในระยะยาว กระแสชาตินิยมต่อต้านสินค้าไทยมีแนวโน้มที่จะรุนแรงและยาวนานขึ้น ผลักดันให้ผู้บริโภคหันไปหาสินค้าทดแทนจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างถาวร ปัญหาห่วงโซ่อุปทานจะเข้าสู่ขั้นวิกฤตจากการที่ต้นทุนโลจิสติกส์สูงเกินกว่าจะแข่งขันได้ และอาจลุกลามไปถึงความเสี่ยงที่รัฐบาลกัมพูชาอาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) เพื่อสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม

นอกเหนือจากผลกระทบที่ปรากฏในทางการค้าแล้ว วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชายังส่งผลกระทบเชิงลึกในมิติแรงงาน ซึ่งเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งและอาจสร้างแผลเป็นระยะยาวต่อรากฐานทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแรงงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงตัวเลขของแรงงานที่ลดลง แต่ยังหมายถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมาก ประการแรกคือ กลุ่มแรงงานชาวกัมพูชา ที่ได้รับการจ้างงานในบริษัทสัญชาติไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม พนักงานในร้านค้าปลีก หรือผู้ให้บริการในสถานีบริการน้ำมัน หากสถานการณ์ยืดเยื้อจนนำไปสู่การลดกำลังการผลิต การชะลอการขยายสาขา หรือการบอยคอตสินค้าอย่างจริงจัง กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงผ่านการลดชั่วโมงการทำงาน การเลิกจ้าง หรือการสูญเสียโอกาสในการทำงาน ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนของกัมพูชา

ประการที่สองคือ กลุ่มแรงงานชาวไทย ที่เข้าไปทำงานในกัมพูชาในฐานะผู้บริหาร ผู้จัดการ หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความกดดันจากกระแสชาตินิยมที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทไทยจะตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบากในการตัดสินใจระหว่างการรักษาความปลอดภัยของบุคลากรด้วยการนำตัวกลับประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินงานขาดผู้มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการ หรือการคงบุคลากรไว้ท่ามกลางความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

โดยสรุป ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของภาคธุรกิจไทย การคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็วผ่านช่องทางการทูตจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดเพื่อจำกัดความเสียหายทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม หากความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อต่อไป ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจไทยในกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังอาจบั่นทอนบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอนุแม่น้ำโขงในระยะยาวอีกด้วย

 

ตัวอย่าง 20 ธุรกิจที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยที่มีการลงทุนในกัมพูชา

  1. บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: SAV
    • ประกอบกิจการ: บริหารจัดการจราจรทางอากาศทั่วน่านฟ้ากัมพูชาแต่เพียงผู้เดียว
  2. บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: SCCC
    • ประกอบกิจการ: ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์แบรนด์ ปูนอินทรี
  3. บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: SCC
    • ประกอบกิจการ: บริษัทโฮลดิง ถือหุ้นในธุรกิจอื่น โดยมีธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ และธุรกิจวัสดุก่อสร้าง
  4. บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: CBG
    • ประกอบกิจการ: ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง
  5. บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: OSP
    • ประกอบกิจการ: ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค
  6. บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: BCH
    • ประกอบกิจการ: โรงพยาบาล
  7. บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: OR
    • ประกอบกิจการ: สถานีบริการน้ำมัน และธุรกิจค้าปลีก
  8. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: CPALL
    • ประกอบกิจการ: ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven
  9. บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: BJC
    • ประกอบกิจการ: ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ กลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์
  10. บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: MAJOR
    • ประกอบกิจการ: ธุรกิจโรงภาพยนตร์ ธุรกิจโบว์ลิงและคาราโอเกะ พื้นที่เช่าและศูนย์การค้า
  11. บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด มหาชน
    • ชื่อหุ้น: BCH
    • ประกอบกิจการ: โรงพยาบาลที่อรัญประเทศ
  12. บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด มหาชน
    • ชื่อหุ้น: BGRIM
    • ประกอบกิจการ: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในกัมพูชาขนาด 39 เมกะวัตต์
  13. บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด มหาชน
    • ชื่อหุ้น: CPAXT
    • ประกอบกิจการ: แม็คโครในประเทศกัมพูชาจำนวน 3 สาขา
  14. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด มหาชน
    • ชื่อหุ้น: CPF
    • ประกอบกิจการ: ฐานการผลิตในกัมพูชาเพื่อจำหน่ายในประเทศ คิดเป็น 3-4% ของรายได้รวม
  15. บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: TOA
    • ประกอบกิจการ: ผลิตสีน้ำมันชักเงาและสารเคลือบประเภทเดียวกันและ น้ำมันทาไม้
  16. บริษัท ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: SCB
    • ประกอบกิจการ: ธนาคาร
  17. บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: KBANK
    • ประกอบกิจการ: ธนาคาร
  18. บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: BBL
    • ประกอบกิจการ: ธนาคาร
  19. บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: TWPC
    • ประกอบกิจการ: ผลิตสตาร์ชมันสำปะหลัง
  20. บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
    • ชื่อหุ้น: BLA
    • ประกอบกิจการ: ประกันชีวิต

 

ตัวอย่างรายชื่อธุรกิจไทยที่มีการดำเนินกิจการในกัมพูชา จากข้อมูลสมาชิกของสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา (Thai Business Council of Cambodia: TBCC)

  1. B-Quik(Cambodia) Co.,Ltd (บี-ควิก เป็นเครือข่ายศูนย์บริการรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย)
  2. Bangkok Airways Public Company Limited (สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส)
  3. Bangkok Bank Public Company Limited, Cambodia Branch (ธนาคารกรุงเทพ)
  4. Bangkok life Assurance (Cambodia) PLC (กรุงเทพประกันชีวิต)
  5. Bangkok Insurance (Cambodia) Plc (กรุงเทพประกันภัย)
  6. Betagro (Cambodia) Co.,Ltd. (เครือเบทาโกร)
  7. BJC Cellox (Cambodia) Co.,Ltd (บริษัทในเครือเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือ BJC)
  8. Branch of KASIKORNBANK PLC. (Phnom Penh) (ธนาคารกสิกรไทย)
  9. C.P Cambodia Co., Ltd. (บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP)
  10. Chularat Hospital Group (โรงพยาบาลจุฬารัตน์)
  11. HATTHA BANK PLC. (เดิมชื่อ “หัตถา กสิกร” เป็นธนาคารกัมพูชา แต่ปัจจุบันถูกซื้อกิจการโดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ของไทย)
  12. Index Creative Village Public Company Limited (บริษัทอีเวนต์ออร์แกไนเซอร์ชั้นนำของไทย)
  13. JWD ASIA Logistics (Cambodia) Co., Ltd. (บริษัทโลจิสติกส์ของไทย)
  14. Krung Thai Bank Pcl. (ธนาคารกรุงไทย)
  15. Major Platinum Cineplex (Cambodia) Co., Ltd (เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์)
  16. MISTINE (CAMBODIA) CO.,LTD (เครื่องสำอางมิสทิน)
  17. N Health Cambodia (บริษัทในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ BDMS)
  18. Pricipal Capital Public Co., Ltd (บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลในไทย)
  19. PTT (Cambodia) Limited. (บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน))
  20. Right Tunnelling Co., Ltd (บริษัทลูกของ Right Tunnelling PLC ของไทย)
  21. Royal Phnom Penh Hospital (โรงพยาบาลในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS)
  22. SIAM MODERNTEX CO.,LTD
  23. SIAM QUALITY WORK Co.Ltd.
  24. SIAM THAI STEEL INDUSTRY CO.,LTD
  25. SVI (AEC) COMPANY LIMITED (บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์)
  26. Thai Airways International (การบินไทย)
  27. Thai TOA Industries Co.,ltd
  28. TOA Coating (Cambodia) Co.,Ltd
  29. Tilleke & Gibbins (Cambodia) Ltd (บริษัทกฎหมายเก่าแก่ที่มีฐานที่มั่นคงและมีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ)
  30. TWPC INVESTMENT (CAMBODIA) CO., LTD (บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน))

 

อ้างอิง

  • สมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา, MONEY LAB, AMARIN, กรุงเทพธุรกิจ, The STANDARD, Thairath Money, efinanceThai


การค้าและการลงทุนระหว่างไทย-กัมพูชา

การลงทุนของไทยในกัมพูชา

เป็นความจริง ที่การลงทุนของไทยในกัมพูชามีมูลค่ารวมสูง โดยมีรายงานว่า มูลค่าการลงทุนสะสมของไทยในกัมพูชาอยู่ที่กว่า 1.2 แสนล้านบาท (ประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งครอบคลุมหลากหลายภาคส่วน เช่น เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ (เช่น โรงแรม ธนาคาร ประกัน โรงพยาบาล วัสดุก่อสร้าง ร้านค้าปลีก)

  • ติดอยู่ใน 7 อันดับแรกของผู้ลงทุนต่างชาติรายใหญ่: ข้อมูลนี้มีความเป็นไปได้สูง แต่อันดับและสัดส่วนอาจผันผวนเล็กน้อยในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับกระแสการลงทุนของประเทศอื่น ๆ เช่น จีน เกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ แต่ไทยก็เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรายสำคัญในกัมพูชามาโดยตลอด
  • สร้างงานกว่า 62,000 คน: ตัวเลขนี้ เป็นความจริง และได้รับการยืนยันจากหลายแหล่งข่าว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของนักลงทุนไทยในการสร้างงานและช่วยพัฒนาทักษะแรงงานในกัมพูชา

 

มูลค่าการค้าและการเกินดุลการค้า

  • มูลค่าการค้าทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ: ข้อมูลนี้ อาจต้องพิจารณาช่วงเวลาที่ระบุ มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทย-กัมพูชาในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 340,721 ล้านบาท (ประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากใช้เรท 34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงจริง แต่ในปี 2566 มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ประมาณ 257,620 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) มูลค่าการค้าชายแดนก็ยังคงสูงอยู่ ดังนั้น ตัวเลข 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นไปได้ที่จะเคยทำได้จริงในช่วงปีใดปีหนึ่ง ที่ผ่านมา
  • กว่าร้อยละ 90 เป็นการนำเข้าสินค้าจากไทย (ไทยส่งออกไปกัมพูชา): ข้อมูลนี้ เป็นความจริง และเป็นลักษณะเด่นของการค้าระหว่างสองประเทศมาอย่างยาวนาน โดยไทยเป็นฝ่าย เกินดุลการค้ากัมพูชาอย่างมาก มูลค่าเกินดุลอาจสูงถึงกว่า 280,000 ล้านบาทในบางปี (ประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีการพึ่งพาสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอุตสาหกรรมจากไทยสูง

ภาพรวมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับกัมพูชาได้เป็นอย่างดี โดยไทยเป็นทั้งนักลงทุนและคู่ค้าสำคัญของกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง

 

ความเสียหายทางเศรษฐกิจ ไทย-กัมพูชา จากเหตุการปะทะ

ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับชายแดน มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจ และนักลงทุนของทั้งสองประเทศ ดังนี้:


 

สำหรับประเทศไทย

 

 

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจโดยรวม:

  • มูลค่าการค้าหายไป: หากมีการปิดด่านชายแดนเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันลดลงอย่างมาก (มีการประเมินว่าอาจเสียหายสูงถึง 90,000–170,000 ล้านบาทต่อปี หรือราว 30–60% ของมูลค่าการค้าทั้งหมด) โดยเฉพาะการค้าชายแดนที่พึ่งพาการผ่านแดนเป็นหลัก
  • สูญเสียตลาด: หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ไทยอาจสูญเสียตลาดในกัมพูชาให้กับคู่แข่งอย่างจีนหรือเวียดนามอย่างถาวรในบางสินค้า
  • ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบางประเภท: อุตสาหกรรมที่พึ่งพิงวัตถุดิบจากกัมพูชา (เช่น มันสำปะหลัง) หรือสินค้าที่ส่งออกไปกัมพูชาจำนวนมาก (เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณี เครื่องดื่ม) จะได้รับผลกระทบโดยตรง
  • การท่องเที่ยวชะงักงัน: การเดินทางข้ามแดนเพื่อการท่องเที่ยวหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวและบริการในพื้นที่ชายแดนของไทย

 

ผลกระทบต่อธุรกิจ:

  • ธุรกิจชายแดนเสียหายหนัก: ผู้ประกอบการและแรงงานในพื้นที่ชายแดนที่พึ่งพิงการค้าและการไปมาหาสู่กันจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด รายได้ลดลง ธุรกิจอาจต้องหยุดชะงักหรือปิดตัวลง
  • ต้นทุนเพิ่มขึ้น: การขนส่งสินค้าอาจต้องใช้เส้นทางอ้อม หรือประสบปัญหาความล่าช้า ทำให้ต้นทุนการผลิตและขนส่งสูงขึ้น
  • ความเชื่อมั่นลดลง: นักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาจะมีความกังวลต่อสถานการณ์ ทำให้การลงทุนใหม่ๆ ชะลอตัวลง หรืออาจพิจารณาถอนการลงทุน
  • ผลกระทบเฉพาะธุรกิจ: ธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มเครื่องดื่ม (เช่น คาราบาวแดง, OSP) และค้าปลีก (เช่น CPALL, BJC) ที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาสูง จะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

 

ผลกระทบต่อนักลงทุน:

  • ความไม่แน่นอน: สถานการณ์ความขัดแย้งสร้างความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจและการลงทุน ทำให้ยากต่อการวางแผนและตัดสินใจลงทุน
  • มูลค่าสินทรัพย์ลดลง: มูลค่าการลงทุนในกัมพูชาของนักลงทุนไทยอาจลดลง หากสถานการณ์ยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทที่ไปลงทุน
  • การหาแหล่งลงทุนใหม่: นักลงทุนบางรายอาจพิจารณาหาแหล่งลงทุนใหม่เพื่อลดความเสี่ยง

 

สำหรับประเทศกัมพูชา

 

 

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจโดยรวม:

  • การเข้าถึงสินค้านำเข้าลดลง: กัมพูชาพึ่งพาสินค้าจากไทยสูงมาก การปิดด่านหรือการค้าที่ลดลงจะทำให้เกิดการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคและวัตถุดิบที่จำเป็น
  • อัตราเงินเฟ้อ: การขาดแคลนสินค้าและต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อในกัมพูชาสูงขึ้น
  • การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว: หากสถานการณ์ยืดเยื้อ การค้าและการลงทุนที่ลดลงจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของ GDP ของกัมพูชา
  • กระทบภาคบริการ: ธุรกิจในกัมพูชาที่พึ่งพานักท่องเที่ยวและผู้เดินทางจากไทย (เช่น โรงแรม ร้านอาหารในพื้นที่ชายแดน) อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

 

ผลกระทบต่อธุรกิจ:

  • ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบมากที่สุด: ธุรกิจขนาดเล็กที่พึ่งพาการค้าชายแดนกับไทยโดยตรงจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการจากไทยได้
  • การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน: ธุรกิจการผลิตที่ใช้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบจากไทยจะประสบปัญหาการขาดแคลน ทำให้การผลิตหยุดชะงัก
  • การปิดกิจการ: ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้ หรือได้รับผลกระทบหนัก อาจต้องปิดกิจการ ทำให้เกิดการว่างงาน
  • การพึ่งพาทางเศรษฐกิจ: แม้รัฐบาลกัมพูชาจะแสดงท่าทีว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนักหากไม่นำเข้าสินค้าจากไทย แต่ในความเป็นจริง การพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับไทยนั้นสูงมาก ทำให้ยากที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบโดยตรง

 

ผลกระทบต่อนักลงทุน (รวมถึงนักลงทุนไทยในกัมพูชา):

  • ความเชื่อมั่นลดลง: นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในกัมพูชาอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง
  • ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น: ความขัดแย้งเพิ่มความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนในกัมพูชา
  • การชะลอการลงทุน: การลงทุนใหม่ๆ อาจถูกระงับ หรือนักลงทุนที่มีอยู่แล้วอาจชะลอการขยายกิจการ

โดยสรุปแล้ว ข้อพิพาทส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลต่อทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะภาคการค้าชายแดนและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจต้องใช้เวลาหากสถานการณ์ยืดเยื้อ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top