สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย
วันที่: 1 สิงหาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร (รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการกรรมกรข่าว
สรุปอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศในอาเซียน ตามประกาศล่าสุดของสหรัฐฯ (มีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568)

สิงคโปร์ : 10%
ไทย : 19% (ลดจาก 36%)
กัมพูชา : 19%
มาเลเซีย : 19%
อินโดนีเซีย : 19%
ฟิลิปปินส์ : 19%
เวียดนาม : 20%
บรูไน : 25%
เมียนมา : 40%
ลาว : 40%
1. ภาพรวมและผลการเจรจาภาษี
- ผลลัพธ์หลัก: สหรัฐอเมริกาได้ประกาศลดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยลงเหลือ 19% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 36% (BBC News, TikTok) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 (พิชัย ชุณหวชิร, The White House).
- การเปรียบเทียบกับประเทศอื่น: อัตรา 19% นี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่ได้รับผลกระทบจากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น อินโดนีเซีย (19%), ฟิลิปปินส์ (19%), มาเลเซีย (19%), กัมพูชา (19%) และเวียดนาม (20%) ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของไทยในภูมิภาค (พิชัย ชุณหวชิร, TikTok, หอการค้าไทย).
- เป้าหมายการเจรจา: นายพิชัย ชุณหวชิร ระบุว่าการเจรจามุ่งเน้นให้ไทยสามารถ “แข่งขันได้” บนเวทีโลก และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน (พิชัย ชุณหวชิร, BBC News). การลดภาษีลงนี้เป็นการผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเกาะกลุ่มกันเพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขัน (พิชัย ชุณหวชิร).
2. ข้อแลกเปลี่ยนสำคัญที่ไทยเสนอต่อสหรัฐฯ
นายพิชัยยังอธิบายถึงผลกระทบที่จะตามมาต่อสินค้าสำคัญ ๆ เป็นรายการ ดังนี้
- ข้าวโพด: ทุกวันนี้ที่ไทยใช้อยู่ 10 ล้านตัน ผู้ประกอบการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ระบุว่าสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 13 ล้านตันได้ แต่ที่ผ่านมา มีวัตถุดิบไม่เพียงพอ โดยเกษตรไทยปลูกได้ 5 ล้านตัน ที่เหลือต้องนำเข้า สิ่งที่รัฐบาลทำคือจะใช้ระบบโควต้า เนื่องจากต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดในไทยสูงกว่าสหรัฐฯ สมมติใช้ 10 ล้าน ก็ต้องกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องซื้อของไทยให้หมดก่อนในราคาไทย จากนั้นซื้อของประเทศเพื่อนบ้านที่ค้าขายกันอยู่เดิมคือ เมียนมา ลาว กัมพูชา ในราคาเพื่อนบ้าน โดยเน้นที่มีเอกสารรับรองว่าไม่ได้มาจากการเผา แล้วที่เหลือถึงซื้อของสหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนถูกที่สุด “ผมบอกผู้ประกอบการว่าสัดส่วนที่มาจากอเมริกา พวกคุณต้องตกลงว่าแบ่งกัน”
- ปลานิล: อันนี้คิดว่าเปิดได้ เพราะสินค้าจากสหรัฐฯ มาในรูปแบบแปรรูป และต้นทุนต่างกัน 10-20 เท่า “เปิดไปก็ไม่มีปัญหา บ้านเราถูกจะตาย มาเถอะ เราเช็กแล้วว่าเขาแพงกว่าเราเยอะมาก ดังนั้นคนเลี้ยงปลานิลเราไม่ต้องกลัว ต้นทุนเขาสูงกว่าเยอะ ทั้งเลี้ยงแพง ขนส่งข้ามทวีปแพง เขาจึงไม่น่าจะส่งมา”
- เนื้อหมู: ถ้าจะเปิด จะให้จำนวนน้อยมาก ยังไม่ได้คุยตัวเลขกัน อาจแค่ 1% และต้องมีการตรวจที่มาของหมู ถ้าโรงงานไหนจะขายให้ไทย ต้องขอไปตรวจต้นทาง “ถ้าจะเปิด ต้องต่ำมาก ๆ ทำให้เขาแค่รู้ว่าเปิด นิดเดียวจริง ๆ… ส่วนเครื่องใน เราไม่เปิด เราไม่ยอม”
- น้ำมันและปิโตรเคมี: เดิมไทยนำเข้าน้ำมัน 90% โดยซื้อทั่วโลกอยู่แล้ว ต่อไปจะโฟกัสที่สหรัฐฯ มากหน่อย มีความเป็นไปได้ที่จะซื้อจากสหรัฐฯ 10% หรือประมาณ 1.2 แสนบาร์เรล ส่วนก๊าซธรรมชาติ ปัจจุบันไทยนำเข้าอยู่ 50% จากตะวันออกกลาง แต่ส่วนใหญ่ยังติดสัญญาระยะยาว บางตัวเซ็น 15-20 ปี ทยอยหมดอายุ ก็ค่อย ๆ ปลดไป แต่ไม่ใช่ซื้อเลย ต้องตรวจสอบต้นทุนก่อน “ตอนนี้ก๊าซ สัญญาแรกเซ็นแล้ว 1 ล้านตัน จาก 15 ล้านตันที่เรานำเข้า ส่งปีหน้าแล้ว อันนี้จะมีผลทำให้ค่าไฟถูก”
- เครื่องบิน: จากการตรวจสอบพบว่าสายการบินแห่งชาติของไทยต้องการซื้อเครื่องบินโบอิ้ง ซึ่งจะทยอยซื้อใน 5-10 ปี จำนวนเยอะ เพราะเคยมีฝูงบิน 100 กว่าเครื่อง แต่ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ได้ซื้อเลย วันนี้ก็ทยอยซื้อ ทยอยเปลี่ยน “นี่คือสิ่งที่เราอยากได้ และเขาอยากขาย”
การบรรลุข้อตกลง 19% นี้มาพร้อมกับข้อแลกเปลี่ยนหลายมิติจากฝ่ายไทย:
- การเปิดตลาดและยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ:ไทยเสนอการยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 0% สำหรับสินค้าหลายรายการ โดยระบุว่ามีมากถึง 10,000 รายการ จากทั้งหมดประมาณ 11,000 รายการ (Nation TV, Daily News).
- สินค้าส่วนใหญ่ที่ให้ 0% คือสินค้าที่ไทยไม่ได้ผลิตเอง หรือผลิตไม่เพียงพอ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ขั้นสูง และอาหารเฉพาะทาง (Nation TV, Daily News, พิชัย ชุณหวชิร).
- ตัวอย่างสินค้า:
- ปลานิล: คาดว่าจะเปิดนำเข้าได้ เนื่องจากสินค้าแปรรูปจากสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงกว่าไทยมากถึง 10-20 เท่า ทำให้ไม่น่าจะเข้ามาแข่งขันกับผู้ผลิตในประเทศได้ (พิชัย ชุณหวชิร).
- ข้าวโพด: ไทยผลิตได้ 5 ล้านตัน จากความต้องการ 10 ล้านตัน รัฐบาลจะใช้ระบบโควต้า โดยผู้ประกอบการโรงงานอาหารสัตว์ต้องซื้อข้าวโพดไทยให้หมดก่อนในราคาไทย จากนั้นซื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน (พม่า, ลาว, กัมพูชา) ที่มีใบรับรองว่าไม่ได้มาจากการเผา และส่วนที่เหลือจึงซื้อจากสหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนถูกที่สุด (พิชัย ชุณหวชิร, Daily News).
- เนื้อหมู: หากมีการเปิดนำเข้า จะอยู่ในปริมาณที่จำกัดมาก อาจไม่ถึง 1% และต้องมีการตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเครื่องในหมูที่ไทยจะไม่เปิดนำเข้าเนื่องจากราคาในไทยสูงกว่าสหรัฐฯ มาก (พิชัย ชุณหวชิร, Daily News).
- ลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers – NTBs):ไทยยอมลดอุปสรรคด้านสุขอนามัย ศุลกากร และขั้นตอนการรับรองสินค้าสหรัฐฯ เช่น การใช้ระบบ “post-clearance audit” เพื่อเร่งกระบวนการและลดภาระต้นทุน (Nation TV, Daily News). สหรัฐฯ เคยระบุว่าไทยมี NTBs หลายประการ เช่น ข้อจำกัดการนำเข้าเชื้อเพลิงชีวภาพ, ใบอนุญาตนำเข้าสำหรับหลายสินค้า, ค่าธรรมเนียมการตรวจสอบความปลอดภัยอาหารสัตว์นำเข้า, และความกังวลเรื่องการทุจริตของเจ้าหน้าที่ศุลกากร (LH Bank).
- ส่งเสริมการลงทุนจากสหรัฐฯ:ไทยเสนอ fast-track และสิทธิประโยชน์ BOI แก่บริษัทอเมริกันใน 3 กลุ่มเป้าหมาย: พลังงานสะอาด, เซมิคอนดักเตอร์/ICT, และโลจิสติกส์ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน (Nation TV, Daily News).
- การสั่งซื้อพลังงานและอากาศยานจากสหรัฐฯ:ภาครัฐและเอกชนไทยจะเพิ่มการซื้อ LNG และเครื่องบิน Boeing รุ่นใหม่ (ประมาณ 100 ลำ ภายใน 5-10 ปี) เพื่อช่วยลดการเกินดุลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ (Nation TV, Daily News, พิชัย ชุณหวชิร) การซื้อก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่า จะส่งผลให้ค่าไฟในประเทศไทยถูกลง (พิชัย ชุณหวชิร).
- ลดการเกินดุลการค้า:ไทยเสนอ Roadmap ลดดุลการค้ากับสหรัฐฯ จากปัจจุบันที่เกินดุลกว่า 1.2 แสนล้านบาทต่อปี ให้เหลือเพียง 30% ภายในปี 2573 (Nation TV, Daily News).
- การแก้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment):ไทยจะเข้มงวดกับการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin – COO) เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์โดยสินค้าจากประเทศอื่น (เช่น จีน) ที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านเพื่อหลบภาษี (พิชัย ชุณหวชิร, Nation TV, Daily News). หากสินค้าถูกตรวจพบว่าเข้าข่ายสวมสิทธิ์จะโดนภาษีเพิ่มอีก 40% (พิชัย ชุณหวชิร, The White House).
ปัจจุบัน ลาวและเมียนมาถูกกำหนดภาษีที่ 40% ซึ่งสหรัฐฯ เชื่อว่ามีสินค้าสวมสิทธิ์อยู่มาก (พิชัย ชุณหวชิร, TikTok). - ลดภาษีบริการดิจิทัล/คลาวด์จากสหรัฐฯ:ไทยเสนอเว้นภาษี 5% ชั่วคราว 2 ปี สำหรับบริการดิจิทัลของบริษัทสหรัฐฯ (เช่น AWS, Google Cloud) เพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยี (Nation TV, Daily News).
- เพิ่มโควตานำเข้าพืชเกษตรจากสหรัฐฯ:ไทยจะเพิ่มโควตานำเข้าข้าวโพด, ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศ (Nation TV, Daily News)
- การคงภาษีสำหรับสินค้ายุทธศาสตร์:ไทยยังคงภาษีเดิมไว้กับสินค้าสำคัญบางรายการ เช่น ข้าว, น้ำตาล, ผลไม้แปรรูป และอุตสาหกรรมอาหารที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง เพื่อปกป้องเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศ (Nation TV, Daily News).
- เงื่อนไขความมั่นคง (การหยุดยิงไทย-กัมพูชา):แม้ไม่ได้ระบุอย่างเป็นทางการในข้อตกลง แต่การที่ไทยยอม “ลดความตึงเครียดชายแดน” ระหว่างไทย-กัมพูชา ถูกมองว่าเป็นปัจจัยแฝงที่สหรัฐฯ ใช้ประกอบการตัดสินใจลดภาษี (Nation TV, Daily News, BBC News). ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยื่นคำขาดว่าหากไม่หยุดยิง จะไม่ทำข้อตกลงทางการค้าใดๆ กับทั้งสองประเทศ (BBC News).
3. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
- ต่อภาคการส่งออก:หดตัวน้อยกว่าคาด: ดร.อมรเทพ จาวะลา คาดว่าการส่งออกไทยจะหดตัวน้อยกว่าที่คาดไว้เดิม และสินค้าไทย “พอจะแข่งขันได้มากขึ้น” โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางรถยนต์ อาหารแปรรูป ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ (CIMB Thai).
- ผู้บริโภคสหรัฐฯ รับภาระ: สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ จะมีราคาสูงขึ้น 19% ทำให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ เป็นผู้รับภาระ (พิชัย ชุณหวชิร).
- สินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบโดยตรง (จากอัตรา 37% ก่อนการเจรจา):เหล็กและอะลูมิเนียม: ภาษีเพิ่มเป็น 25% (LH Bank).
- ยานยนต์และชิ้นส่วน: ภาษีเพิ่มเป็น 25% (LH Bank).
- สินค้าทุกประเภท (ก่อนการเจรจา): ภาษีพื้นฐาน 10% (LH Bank).
- ต่อภาคการผลิตและการลงทุน:FDI เพิ่มขึ้น: การที่ภาษีไทยต่ำลงจนใกล้เคียงเพื่อนบ้าน อาจเพิ่มแรงจูงใจให้นักลงทุนย้ายฐานจากจีนมาไทย แทนที่จะไปเวียดนามหรืออินโดนีเซียมากนัก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, ชิ้นส่วนยานยนต์ (CIMB Thai).
- ต้นทุนวัตถุดิบต่ำลง: ผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลง จากการที่ไทยเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลง เช่น ยา, เวชภัณฑ์, ผลิตภัณฑ์อาหาร, อาหารสัตว์, ข้าวโพด, ถั่วเหลือง (CIMB Thai).
- ความท้าทายด้านโครงสร้าง: ไทยยังเสียเปรียบด้านต้นทุน เช่น ค่าแรงสูง ค่าไฟแพง และกฎระเบียบซับซ้อน ทำให้ต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (พิชัย ชุณหวชิร, CIMB Thai).
- Reshoring (การย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ): บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ที่ลงทุนในไทยอาจประเมินว่าต้นทุนภาษีและโลจิสติกส์สูงกว่าการผลิตในประเทศ แต่การถอนการลงทุนกลับจะใช้เวลานานและมีต้นทุนจมสูง ทำให้มีแนวโน้มปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจมากกว่าการย้ายฐานทั้งหมด (LH Bank).
- ต่อ SMEs:สินค้า SME ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ในปี 2567 มีมูลค่า 7,634.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (19.4% ของ SME Export ทั้งหมด) โดยเฉพาะอุปกรณ์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน, เครื่องประดับ, เครื่องจักรและส่วนประกอบ, เฟอร์นิเจอร์ (LH Bank). กลุ่มสินค้าเหล่านี้ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูงจะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษี (LH Bank).
- ภาพรวมเศรษฐกิจ (GDP):ดร.อมรเทพ จาวะลา มองว่าเศรษฐกิจไทย “รอดภาวะถดถอยทางเทคนิค” แม้การเติบโตยังต่ำในมุมไตรมาสต่อไตรมาส (CIMB Thai). ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คาดการณ์ว่าในกรณีฐาน การส่งออกลดลงราว 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1.6% ของส่งออกรวม) และ GDP ปี 2568 อาจเติบโต 2.3% YoY (จาก 2.5% ในปีก่อน) หากเจรจาได้ภาษีเฉลี่ย 15% (LH Bank). ในกรณีเลวร้ายที่ภาษี 37% อาจทำให้ GDP โตเพียง 1.7% YoY (LH Bank).
4. มาตรการรองรับและแนวทางในอนาคต
- มาตรการเยียวยา: รัฐบาลได้เตรียมมาตรการรองรับสำหรับผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan), เงินอุดหนุน, มาตรการภาษี (BBC News, พิชัย ชุณหวชิร).
- กลุ่มชะลอการส่งออกชั่วคราว: ให้ Soft Loan เพื่อเสริมสภาพคล่อง (พิชัย ชุณหวชิร).
- กลุ่มที่ต้องปรับตัว: จัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ ให้เงินลงทุนเพื่อปรับปรุงเครื่องจักรเป็นดิจิทัล (พิชัย ชุณหวชิร).
- การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ:เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนในประเทศ เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ แม้ภาษีนำเข้าจะสูงขึ้น (พิชัย ชุณหวชิร).
- Transition (เปลี่ยนฐานการผลิต): สนับสนุนโรงงานที่ปรับตัวไม่ทันให้เปลี่ยนผ่านสู่ระบบใหม่ เช่น การจับคู่ SMEs ไทยที่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้แก่ผู้ผลิต EV จีนและญี่ปุ่น (พิชัย ชุณหวชิร).
- แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง: ปัญหาการลงทุนที่ต่ำในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (เฉลี่ย 20% ของ GDP ควรเป็น 30-35%) และอุปสรรคเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจต้องได้รับการแก้ไข เพื่อดึงดูดการลงทุน (พิชัย ชุณหวชิร).
- นโยบายการเงิน: กนง. มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 50 bps ในช่วงที่เหลือของปี หากการเจรจาไม่เป็นผล อาจลดเพิ่มเติมในการประชุมครั้งถัดไป (LH Bank).
- การบริหารจัดการเงินบาท: เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นจากความเชื่อมั่น แต่มองว่าต้องควบคุมไม่ให้แข็งเกินไปจนกระทบผู้ส่งออก (CIMB Thai).
- ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Team Thailand): การเจรจาครั้งนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือของ “ทีมไทยแลนด์” ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ทำงานอย่างหนัก (พิชัย ชุณหวชิร, หอการค้าไทย).
5. ความเสี่ยงที่ต้องจับตา
- สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน: ยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทย เช่น นักท่องเที่ยวจีนลดลง หรือการกีดกันจีนในห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค (CIMB Thai, LH Bank).
- สินค้าจีนทะลักเข้าอาเซียน: เมื่อจีนถูกจำกัดการส่งออกไปสหรัฐฯ สินค้าจีนอาจถูกระบายเข้ามาในตลาดอาเซียนและไทยมากขึ้น ทำให้การแข่งขันในประเทศและภูมิภาครุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า, คอมพิวเตอร์, ยานยนต์, เครื่องจักร, ปิโตรเคมี, เหล็ก, อะลูมิเนียม (LH Bank).
- ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย:เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ: เผชิญความท้าทายจากการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ (ภาษี 37% สูงกว่าจีน, เม็กซิโก, ญี่ปุ่น) และตลาดอาเซียน (สินค้าจีนทะลัก) ควรหาตลาดทางเลือกและสร้างความแตกต่างด้านคุณภาพ (LH Bank).
- เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ: พึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนจากจีน/ไต้หวันสูง, เสียเปรียบภาษีเมื่อเทียบกับคู่แข่งบางประเทศ, เตรียมรับมือการแข่งขันที่รุนแรงและการสวมสิทธิ์ ควรปฏิรูปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (LH Bank).
- ยานยนต์และชิ้นส่วน: รถยนต์ไฟฟ้าจีนอาจทะลักเข้าไทย/อาเซียน, ห่วงโซ่อุปทานเปราะบางจากเศรษฐกิจจีน/ญี่ปุ่น, ต้องปรับตัวสู่ EV และร่วมมือกับผู้ผลิต EV ชั้นนำ (LH Bank).
- เครื่องจักรและส่วนประกอบ: อาจได้ประโยชน์จากนำเข้าเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ผู้ผลิตในประเทศเผชิญการแข่งขันราคา ควรเน้นเครื่องจักรเฉพาะทางมูลค่าสูง (LH Bank).
- ปิโตรเคมีและพลาสติก: ถูกทุ่มตลาดจากจีน, อุปทานล้นตลาด ควรเน้นผลิตภัณฑ์พลาสติกพิเศษมูลค่าเพิ่มสูง และหาตลาดส่งออกใหม่ (LH Bank).
- เกษตรและอาหารแปรรูป: อาหารทะเลแปรรูปและข้าวได้รับผลกระทบจากภาษี, การส่งออกผลไม้ไปจีนลดลง ควรลดการพึ่งพาตลาดหลักและหาตลาดใหม่ (LH Bank).
- เหล็กและอะลูมิเนียม: ถูกทุ่มตลาดจากจีน, อุตสาหกรรมโลกชะลอตัว ควรปรับสู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นและเน้นตลาดเฉพาะทาง (LH Bank).
- ยางและผลิตภัณฑ์ยาง: สินค้าสำเร็จรูปจีนอาจทะลักเข้าไทย, ราคายางธรรมชาติอาจตกต่ำ ควรยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดเฉพาะทางมูลค่าสูง (LH Bank).
6. บทสรุป
การลดอัตราภาษีจาก 36% เหลือ 19% ถือเป็นความสำเร็จในการเจรจาที่ทำให้ไทยยังคง “รักษาความได้ไม่เสียเปรียบ” และ “ยังคงสู้ต่อสู้ได้” ในเวทีการค้าโลก (พิชัย ชุณหวชิร). อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญหลังจากนี้คือการ “ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ” ของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต ลดต้นทุน และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อให้ไทย “ได้เปรียบ” มากขึ้นในอนาคต (พิชัย ชุณหวชิร).
#ภาษีทรัมป์ #โดนัลด์ทรัมป์ #สหรัฐอเมริกา #กำแพงภาษี #กำแพงภาษีสหรัฐ #สงครามกรค้า #ภาษีนำเข้าสินค้า #TrumpTariffs
อ้างอิง:
ผู้ให้ข้อมูลหลัก
- บทสัมภาษณ์ นายพิชัย ชุณหวชิร (รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง), รายการกรรมกรข่าว
- ดร.อมรเทพ จาวะลา (ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย), ผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรฐัฯ ต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทย, ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, The White House
- บทสัมภาษณ์ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:
- ไทยแลกด้วยอะไรกว่าจะได้อัตราใหม่ “ภาษีทรัมป์” เท่ากัมพูชาที่ 19%, สำนักข่าว BBC News ไทย
- ของฟรีไม่มีในโลก! ไทยได้ดีลภาษีสหรัฐฯอัตรา 19% ยอมนำเข้าสินค้า 0% หลายรายการ, Share2Trade
- สรุป 10 ข้อ ไทย “แลก” อะไรกับสหรัฐฯ เพื่อต่อรองลดอัตรา “ภาษีตอบแทน”, nation tv
- จิรายุ จันทรสาขา และ อภิชญา ผู้อุตส่าห, แกะรอยนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย, ธนาคารแห่งประเทศไทย