SHARP ADMIN

ชวนมาเบิ่ง ผู้ป่วยมะเร็งปอด ในภาคอีสานมีมากแค่ไหน

“มะเร็งปอด” โรคร้ายที่มักตรวจพบเจอเมื่อมีอาการและโรคเข้าสู่ระยะลุกลามทำให้อัตราการเสียชีวิตสูง บุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า ควันบุหรี่มือสอง งานที่ต้องสัมผัสสารก่อมะเร็ง พันธุกรรมมีความเสี่ยง รวมถึงการดำเนินชีวิตท่ามกลางมลพิษและฝุ่น PM2.5 ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด จากสถิติองค์การอนามัยโลกพบว่า แต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 2.5 ล้านคน เสียชีวิตประมาณ 1.8 ล้านคน สำหรับประเทศไทยมะเร็งปอดพบเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งตับและท่อน้ำดี . สำหรับประเทศไทยที่ปัจจุบันคนในหลายพื้นที่เผชิญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะมะเร็งปอดกำลังคร่าชีวิตคนไทยในอัตราที่น่าตกใจถึงวันละ 40 ราย สูงกว่าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยพบผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 48 คน ส่วนใหญ่มาพบแพทย์ในระยะลุกลาม เนื่องจากอาการเริ่มต้นไม่ชัดเจน แม้ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสพบมะเร็งปอดมากกว่าผู้ไม่สูบ 10 เท่า แต่มลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม . ใประเทศไทยจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดมีมากถึง 263,517 คน โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งมากถึง 73,518 ราย คิดเป็น 27.9% ของจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหมดในประเทศ  . โดยในจำนวนผู้ป่วย 73,518 ราย เป็นผู้ป่วยจาก ขอนแก่น 11,549 คน ใน 1,000 คน จะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งกว่า 7 คน นครราชสีมา 8,138 คน ใน 1,000 คน จะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งกว่า 3 คน อุดรธานี 8,089 คน ใน 1,000 คน จะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งกว่า 7 คน ส่วนภูมิภาคอื่นๆ มีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็ง ดังต่อไปนี้ ภาคกลาง มีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดมากถึง 91,891 คน ภาคใต้ มีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดมากถึง 60,453 คน ภาคเหนือ มีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดมากถึง 37,655 คน . 🦽จำนวนสะสมผู้ป่วยมะเร็งปอดแต่จังหวัดภาคอีสาน ปี 2566 เทียบกับสัดส่วนของประชากรรวมของแต่ละจังหวัด จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งมากเป็นอันดับที่ 2 ปัจจัยที่ส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดมากนั้น สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ประชากรมีจำนวนมาก อัตราการสูบบุหรี่สูง มลพิษทางอากาศสูง และพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด เป็นต้น . ด้วยเหตุนี้ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการในการรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคอื่นๆ โดยเน้นไปที่การลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น รณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ ควบคุมมลพิษทางอากาศ และส่งเสริมให้ประชาชนมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ . . อ้างอิงจาก: กระทรวงสาธารณสุข www.medi.co.th สถาบันมะเร็งแห่งชาติ National Cancer Institute Thai […]

ชวนมาเบิ่ง ผู้ป่วยมะเร็งปอด ในภาคอีสานมีมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🦕ภาคอีสาน เทียบกับ ⛰ภาคเหนือ

ภาคอีสาน เทียบกับ ภาคเหนือ . #ภูมิประเทศ: ภาคอีสาน: พื้นที่ราบสูงเป็นส่วนใหญ่ มีทิวเขาทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ขนาดพื้นที่ 168,854.34 ตร.กม. มีพื้นที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศ มีพื้นที่สีเขียวสาธารณะ 12,300,0013 ตร.ม. หรือ เฉลี่ย 1.5 ตร.ม./คน ภาคเหนือ: ภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงสลับกับที่ราบ ขนาดพื้นที่ 93,690.85 ตร.กม. มีพื้นที่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีพื้นที่สีเขียวสาธารณะ 8,573,068 ตร.ม. หรือ เฉลี่ย 1.3 ตร.ม./คน . . #ประชากร: ภาคอีสาน: ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทย และประกอบด้วยเชื้อชาติ ที่หลากหลาย เช่น ลาว ญวน เขมร และกลุ่มชาติพันธุ์อีกหลากหลาย กว่า 13 ชาติพันธุ์ มีภาษาและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน จำนวนประชากร 21.7 ล้านคน มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 1 หรือกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ มีความหนาแน่นของประชากร: 132 คน/ตร.กม. . ภาคเหนือ: ประชากรประกอบด้วยหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เฉพาะที่ขึ้นทะเบียนกับสภาชนเผ่าพื้นเมืองประเทศไทย มีมากกว่า 40 กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ไทยลื้อ ไทยยวน ลัวะ ม้ง กะเหรี่ยง มีภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลาย จำนวนประชากร 11.6 ล้านคน มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ มีความหนาแน่นของประชากร: 75 คน/ตร.กม. . . #เศรษฐกิจ: ภาคอีสาน: เศรษฐกิจหลักคือการเกษตร พืชเศรษฐกิจสำคัญคือ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ขนาดเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(GRP): 1,671,902 ล้านบาท เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ โดย นครราชสีมา มีขนาด GPP สูงสุดของภูมิภาค ที่ 315,583 ล้านบาท  รายได้เฉลี่ยต่อหัวระดับภูมิภาค (GRP per capita): 90,998 บาท/ปี (1)  รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อเดือน: 23,207 บาท/เดือน (2)  หนี้ครัวเรือนในระบบเฉลี่ย: 193,252 บาท/ครัวเรือน  ค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยเฉลี่ย: 3,854 บาท/เดือน  ค่าใช้จ่ายด้านอาหารเฉลี่ย: 7,579

พามาเบิ่ง🦕ภาคอีสาน เทียบกับ ⛰ภาคเหนือ อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง🧐เปรียบเทียบศักยภาพของเศรษฐกิจสายมู อีสาน vs เหนือ

จากข้อมูล สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปี 2564 จะพบว่า จำนวนวัดในประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 42,626 แห่ง ซึ่งหากแยกตามพื้นที่ทั่วประเทศ พื้นที่ที่มีวัดตั้งอยู่มากที่สุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 21,319 แห่ง และ ภาคเหนือ 9,730 แห่ง แม้ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีวัดมากกว่าภาคเหนือ แต่กลับมีวัดซึ่งถูกจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว(ตาม Thailand Tourism Directory) เพียง 390 แห่ง ซึ่งน้อยกว่า วัดซึ่งถูกจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของภาคเหนือ ที่ 445 แห่ง โดยลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวสายมูของภาคอีสาน จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถาน และ พญานาคที่มีจำนวนมากกว่า ภาคเหนือ โดยเฉพาะอีสานตอนบนที่ติดกับลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อของพญานาคในพื้นที่, ส่วนภาคเหนือนั้น เนื่องจากมีภูมิประเทศเป็นภูเขา และลักษณะทางภูมิศาสตร์เหล่านี้จึงทำให้แหล่งท่องเที่ยวสายมูของภาคเหนือ จะเกี่ยวเนื่องกับถ้ำศักดิ์สิทธิ์และวัดถ้ำ เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงมีศาลเจ้าจำนวนมากกว่าในภาคอีสาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่แตกต่าง และพื้นฐานทางภูมิศาสตร์ที่ส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาค ส่วนการใช้จ่ายในครัวเรือนด้านกิจกรรมทางศาสนา และ เงินที่ใช้ในการทำบุญ ช่วยเหลืออื่นๆ นั้นจะแปรผันตรงตามกลุ่มอาชีพที่มีรายได้สูง หมายความว่า ยิ่งอาชีพที่มีรายได้สูงมากเท่าไหร่ ก็จะมีแนวโน้มในการใช้จ่ายเงินกับกิจกรรมทางศาสนามากขึ้นเท่านั้น โดยเรียงตามอาชีพ ตั้งแต่ ผู้จัดการ นักวิชาการ และ ผู้ปฏิบัติงานวิชาชีพ คนงานเกษตร ป่าไม้ และประมง คนงาน ด้านการขนส่ง และงานพื้นฐาน เสมียน พนักงานขาย ผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิตก่อสร้างและเหมืองแร่ และจุดสังเกต ที่น่าสนใจคือ ค่าใช้จ่ายครัวเรือน/เดือน ในด้านกิจกรรมทางศาสนาจาก 5 กลุ่มอาชีพข้างต้น จะพบว่าคนอีสานจะมีค่าใช้จ่ายกับกิจกรรมทางศาสนา/เดือน มากกว่า คนภาคเหนือ เกือบทุกกลุ่มอาชีพ (ยกเว้น เสมียน และพนักงานขาย ภาคเหนือ ที่ใช้เงินทางกิจกรรมทางศาสนา เดือนละ ฿259 ที่มากกว่าภาคอีสานที่ ฿244 ) จากข้อมูลข้างต้น ก็จะพอเห็นแนวโน้มว่าคนอีสาน มีค่าใช้จ่ายครัวเรือนในด้านความเชื่อมากกว่า คนในภาคเหนือ ซึ่งอาจมีจากหลายปัจจัย ทั้ง ปัจจัยด้านรายได้/ครัวเรือน, ความยินดีที่จะจ่ายเพื่อความเชื่อ ความสบายใจ ที่แตกต่างกัน #อภิธานศัพท์ พระอารามหลวง หรือ วัดหลวง คือ วัดที่พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ทรงสร้างหรือทรงบูรณปฏิสังขรณ์ หรือมีผู้สร้างน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นวัดหลวง และวัดที่ราษฎรสร้าง หรือบูรณปฏิสังขรณ์ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าจำนวนในบัญชีเป็นพระอารามหลวง วัดราษฎร์ หมายถึง วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และ สำนักสงฆ์ ซึ่งไม่ได้นับเข้าเป็นพระอารามหลวง ได้แก่ วัดที่ประชาชนทั่วไปสร้าง หรือ ปฏิสังขรณ์ หรือได้รับอนุญาตให้สร้างวัด และประกาศตั้งวัด โดยถูกต้องตามกฏหมายจากทางราชการ และช่วยกันทำนุบำรุงสืบต่อกันมาตามลำดับ .ติดตาม ISAN Insight &

ชวนเบิ่ง🧐เปรียบเทียบศักยภาพของเศรษฐกิจสายมู อีสาน vs เหนือ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐ศูนย์กลางเศรษฐกิจอีสาน-เหนือ ใครเด่นด้านไหน❓

อีสาน อินไซต์ พาเบิ่งเทียบเศรษฐกิจของสองยักษ์ใหญ่ประจำภูมิภาค ‘นครราชสีมา’ หรือ ‘โคราช’ แชมป์แห่งภาคอีสาน และ ‘เชียงใหม่’ หัวใจเศรษฐกิจภาคเหนือ มาดูกันว่าจังหวัดไหนโดดเด่นในด้านใด สะท้อนพลังทางเศรษฐกิจและบทบาทสำคัญของแต่ละพื้นที่ในการขับเคลื่อนภูมิภาค   ด้านข้อมูลพื้นฐาน โคราช มีพื้นที่จังหวัด 20,493 ตร.กม. ในขณะที่ เชียงใหม่ มีพื้นที่ 22,436 ตร.กม โดยทั้ง 2 นั้นเป็นจังหวัดที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 และ 1 ของประเทศตามลำดับ และย่อมส่งผลให้มีจำนวนประชากรที่มากเช่นกัน ซึ่งข้อมูลในเดือนมกราคม 2568 ของกรมการปกครอง ระบุว่าโคราชและเชียงใหม่มีประชากร 2,619,034 คน และ 1,798,882 คน ตามลำดับ   ด้านเศรษฐกิจ ขนาดเศรษฐกิจ(GPP) ในปี 2566 ของทั้ง 2 จังหวัด มีมูลค่าดังนี้: โคราช : 343,510 ล้านบาท เชียงใหม่: 277,477 ล้านบาท   หากมาพิจารณาเศรษฐกิจแต่ละด้านของแต่ละจังหวัด เพื่อเปรียบเทียบศักยภาพแต่ละจังหวัด ภาคการเกษตร โคราช: มูลค่า 48,933 ล้านบาท พืชเศรษฐกิจเด่นๆ เช่น ข้าวนาปี มันสำปะหลัง (มีพื้นที่ปลูกมากที่สุดในไทย) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น เชียงใหม่: มูลค่า 49,198 ล้านบาท พืชที่ปลูกมากจะเป็น ข้าว และลำไย ซึ่งเชียงใหม่มีความโดดเด่นในการปลูกผลไม้นานาชนิด เช่น ส้มเขียวหวาน สตรอว์เบอร์รี่ และอื่นๆ รวมไปถึงกาแฟ   ภาคการท่องเที่ยว หากพูดถึงการท่องเที่ยวแล้วนั้น เชียงใหม่ ถือว่าเป็น Top Destination ของประเทศไทย เป็นจุดขายสำคัญของจะงหวัด เนื่องจากมีแหล่งท่องที่ยวมากมาย ดึงดูดทั้งคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยตลอดทั้งปี 2567 นั้น เชียงใหม่มีผู้เยี่ยมเยือนรวม 11.5 ล้านคน ได้รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนกว่า 103.8 ล้านบาท โดยภาพรวมภาคการท่องเที่ยวของเชียงใหม่มีมูลค่า 22,065 ล้านบาท ด้านโคราช ก็เป็นจังหวัดที่โดดเด่นด้านการท่องเที่ยวในภาคอีสาน เป็นทั้งหน้าด่านจากกรุงเทพฯ สู่อีสาน และมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย โดยโคราชมีมูลค่าภาคการท่องเที่ยว 5,466 ล้านบาท แม้จะน้อยกว่าเชียงใหม่ประมาณ 4 เท่า แต่โคราช ก็ยังเป็นเมืองที่มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนมากที่สุดในภาคอีสาน กว่า 8.7 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ 21.9 ล้านบาท    ภาคการค้า

พามาเบิ่ง🧐ศูนย์กลางเศรษฐกิจอีสาน-เหนือ ใครเด่นด้านไหน❓ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง มูลค่าการลงทุนของเอกชนในอีสานปี 2567

จังหวัด มูลค่าทุนจัดตั้ง (ล้านบาท) ร้อยละการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการจดทะเบียน 2566 2567 นครราชสีมา 2,913 2,583 -11.3% ขอนแก่น 2,314 2,221 -4.0% อุดรธานี 1,311 2,046 56.1% อุบลราชธานี 1,203 1,331 10.6% บุรีรัมย์ 1,243 1,144 -8.0% สุรินทร์ 580 857 47.6% ร้อยเอ็ด 853 774 -9.3% มหาสารคาม 1,081 768 -29.0% กาฬสินธุ์ 524 593 13.1% ชัยภูมิ 743 562 -24.3% มุกดาหาร 243 555 128.4% สกลนคร 641 537 -16.2% ศรีสะเกษ 489 507 3.6% หนองคาย 336 324 -3.5% เลย 316 296 -6.3% นครพนม 324 294 -9.3% ยโสธร 370 290 -21.7% หนองบัวลำภู 210 226 7.8% อำนาจเจริญ 195 180 -7.7% บึงกาฬ 251 132 -47.3% กรุงเทพและปริมณฑล 409,986 156,697 -61.8% ภาคกลาง 64,395 58,020 -9.9% ภาคใต้ 32,821 27,464 -16.3% ภาคอีสาน 16,141 16,220 0.5% ภาคเหนือ 17,530 15,771 -10.0% ภาคอีสาน ธุรกิจที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด: การผลิตพลังงาน 384 ล้านบาท (+130.7%) ธุรกิจที่มีการปรับตัวลดลงมากที่สุด: การผลิต 1,853 ล้านบาท (-31.3%) ธุรกิจที่มีมูลค่ามากที่สุด: การก่อสร้าง 9,275 ล้านบาท (+5.9) การลงทุนของภาคเอกชนนอกจากจะช่วยสร้างมูลค่าและสร้างการขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจแล้วนั้น อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ตามมาคือการจ้างงานของคนในพื้นที่ที่เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมให้พื้นที่สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืน การมีงานทำในพื้นที่ไม่เพียงแต่ลดการย้ายถิ่นแรงงานออกจากพื้นที่เท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระดับฐานพื้นที่อีกด้วย ในปี

พามาเบิ่ง มูลค่าการลงทุนของเอกชนในอีสานปี 2567 อ่านเพิ่มเติม »

อุดรธานี ศักยภาพเกินเมืองรอง ดึงดูดผู้เยี่ยมเยือนเกือบ 5 ล้านคน พร้อมครองแชมป์รายได้จากชาวต่างชาติสูงสุดในภาคอีสาน

อุดรธานี เป็นจังหวัดที่อยู่ในกลุ่มจังหวัด ‘สบายดี’ (ประกอบไปด้วย: บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) มีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) ในปี 2566 อยู่ที่ 124,478 ล้านบาท โดยอุดรธานีนั้นขึ้นชื่อเรื่องการค้า และการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวหลากสายหลากสไตล์ ยกตัวอย่างเช่น:  สายธรรมชาติ: ทะเลบัวแดง บึงหนองหานกุมภวาปี  สายประวัติศาสตร์: พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติบ้านเชียง สายธรรมะและสายมู: วังนาคินทร์คำชะโนด วัดป่าภูก้อน สายเมือง: เซนทรัลพลาซ่าอุดรธานี ศูนย์การค้ายูดี ทาวน์ Agoda เผย อุดรธานีคว้าอันดับ 1 จุดหมายท่องเที่ยวสุดคุ้ม   อุดรฯ เป็นหมุดหมายแรกในการลงทุนในอีสาน อุดรธานีตั้งอยู่ในภาคอีสานตอนบน และมีเขตติดต่อกับจังหวัดชายแดนลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งถือว่าใกล้กับประเทศลาว อีกทั้งอุดรธานี ยังเป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางได้สะดวก ทั้งทางถนน ราง และทางเครื่องบิน จึงถือว่ามีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางคมนาคมเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการลงทุนจากภาครัฐในโครงการ “รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย” โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – หนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง แบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ระยะด้วยกัน ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ – นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 253 กิโลเมตร วงเงิน 179,413 ล้านบาท ระยะที่ 2 นครราชสีมา – หนองคาย ระยะทางประมาณ 357.12 กิโลเมตร วงเงินรวมกว่า 341,351 ล้านบาท โดยหากโครงการนี้แล้วเสร็จในอนาคตจะย่นระยะเวลาการเดินทาง 606.17 กิโลเมตร ให้เหลือเวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง 36 นาที เท่านั้น และจะทำให้การเดินทางข้ามจังหวัด และขจัดอุปสรรคในการเดินทางข้ามจังหวัดในภาคอีสานลดลง และจะกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวตลอดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงนี้มากขึ้น . นอกจากนี้แล้ว อุดรธานียังมีโครงการศูนย์กลางการค้าและการขนส่งสินค้า (Logistic Park) และโครงการท่าเรือบก (Inland Container Deport) ที่จะจัดตั้งขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี เพื่อยกระดับการขนส่งสินค้าและพร้อมเป็นศูนย์โลจิสติกส์ประจำอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย . ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้น ปี 2565 อุดรธานี มีมูลค่าเศรษฐกิจ (GPP) 120,539 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของอีสาน และมีรายได้ต่อหัว (GPP per capita) 96,546 บาท สูงเป็นอันดับ 5 ของอีสาน ซึ่งมีการเติบโตจากปีก่อนหน้าทั้งมูลค่าเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัว . โดยเศรษฐกิจของอุดรธานีพึ่งพาภาคบริการเป็นหลัก

อุดรธานี ศักยภาพเกินเมืองรอง ดึงดูดผู้เยี่ยมเยือนเกือบ 5 ล้านคน พร้อมครองแชมป์รายได้จากชาวต่างชาติสูงสุดในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

CEA แถลงข่าวจัดเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 ภายใต้แนวคิด “อีสานโชว์พ(ร)าว – ISAN SOUL PROUD” ผนึกกำลังพันธมิตรระดับประเทศ ปั้นอีสานสู่เวทีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับภูมิภาคสู่สากล

ISAN Insight And Outlook ร่วมเป็นพันธมิตรเครือข่าย เทศกาล ‘อีสานสร้างสรรค์’ จากจุดเริ่มต้นสู่ความร่วมมือทุกภาคส่วนเป็นปีที่ 5 หลายๆ ท่านอาจจะรู้จักหรือ เคยได้ยินงานเทศกาลคุ้นหูอย่างเช่น Bangkok Design Week, Chiangmai Design Week, Pakk Taii Design Week, และ นี่คืองานที่ไม่ได้จำกันที่แค่ Design Week แต่อีสานคือดินแดนแห่งความสร้างสรรค์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นงานในชื่อ ISAN Creative Festival เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ร่วมกับภาคีเครือข่ายระดับประเทศ จัดงานแถลงข่าว ประกาศความพร้อมจัด “เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568” หรือ “Isan Creative Festival 2025” (ISANCF2025) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ภายใต้ธีม “อีสานโชว์พ(ร)าว – ISAN SOUL PROUD” ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2568 บน 4 พื้นที่สำคัญในจังหวัดขอนแก่น ได้แก่ TCDC ขอนแก่น ย่านกังสดาล, ย่านชุมชนสร้างสรรค์โคลัมโบ, โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น, ชุมชนสาวะถี และพื้นที่อื่น ๆ ในภาคอีสาน นายสักก์สีห์ พลสันติกุล ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ขอนแก่น กล่าวว่า “ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘เทศกาล’ ไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่คือเวทีที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 1,590 ล้านบาท และปีนี้เทศกาลฯ พร้อมก้าวสู่ปีที่ 5 อย่างเต็มรูปแบบ โดยยกระดับเทศกาลให้กลายเป็น Creative Business Platform ที่เชื่อมโยงนักสร้างสรรค์และชุมชนกับภาคอุตสาหกรรม พัฒนาทุนวัฒนธรรมให้เกิดการลงทุน การคืนถิ่นของคนรุ่นใหม่ และสร้างการเติบโตให้เมืองในอีสานกลายเป็น Creative City ที่กระจายโอกาสอย่างยั่งยืน” “ภายใต้แนวคิด “อีสานโชว์พ(ร)าว – ISAN SOUL PROUD” ที่อยากชวนทุกคนมาต่อยอดโอกาสใหม่ของอีสาน ผ่านการใช้กระบวนการซอฟต์พาวเวอร์ทั้งในมิติของ ‘การโชว์โอกาส’ ผ่านต้นทุนวัฒนธรรมที่ต่อยอดได้ทางธุรกิจ และ ‘การโชว์ศักยภาพเชิงพื้นที่’ ที่พร้อมต้อนรับการลงทุน การท่องเที่ยวและการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ โดยปีนี้มีมากกว่า 200 โปรแกรมใน 7 รูปแบบกิจกรรม ทั่ว 4 พื้นที่สำคัญของจังหวัดขอนแก่น ซึ่ง CEA

CEA แถลงข่าวจัดเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 ภายใต้แนวคิด “อีสานโชว์พ(ร)าว – ISAN SOUL PROUD” ผนึกกำลังพันธมิตรระดับประเทศ ปั้นอีสานสู่เวทีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับภูมิภาคสู่สากล อ่านเพิ่มเติม »

🦉ยืนหนึ่งเรื่องภาษาและการติว🤓ขอนแก่น ศูนย์กลางการเรียนรู้ของอีสาน👨‍🏫

จังหวัด จำนวนธุรกิจ รายได้รวม กำไร ขอนแก่น 25 193 24 นครราชสีมา 14 72 3 อุดรธานี 10 17 2 อุบลราชธานี 14 29 4 สุรินทร์ 3 10 1 สถาบันกวดวิชา ธุรกิจที่คอยให้ความรู้แก่ผู้ที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมมากกว่าการเรียนที่โรงเรียน เปรียบเสมือนโรงเรียนขนาดย่อมที่รวบรวมกลุ่มนักเรียนที่มีจุดประสงค์เดียวกันมาอยู่ ณ ที่เดียวกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ พัฒนาทักษะ และเตรียมความพร้อมในการสอบแข่งขันหรือการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยมีการจัดการเรียนการสอนอย่างเข้มข้นและเฉพาะทางมากกว่าห้องเรียนปกติ การแข่งขันด้านการศึกษามีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การแย่งชิงเข้าโรงเรียนชื่อดังไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ ในภาคอีสานเองก็มีทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยกระจายอยู่หลายแห่ง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีโรงเรียนยอดนิยมที่มีอัตราการแข่งขันสูง รวมถึงมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในพื้นที่ ยิ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้ จังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดที่มีจำนวนการจดทะเบียนสถาบันกวดวิชามากที่สุดในอีสาน และยังมีรายได้จากธุรกิจกลุ่มนี้สูงเป็นอันดับ 1 ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ขอนแก่นมีโรงเรียนประจำจังหวัดขนาดใหญ่ที่มีการแข่งขันสูงถึง 3 แห่ง รวมถึงโรงเรียนสาธิตซึ่งเป็นโรงเรียนในกำกับของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ จังหวัดขอนแก่นยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยระดับภูมิภาคขนาดใหญ่ที่มีการแข่งขันในการสอบเข้าค่อนข้างสูง และยังมีสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น และอีกหลายแห่งภายในจังหวัด เมื่อรวมกับจำนวนประชากรในพื้นที่ จึงส่งผลให้ธุรกิจสถาบันกวดวิชามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จังหวัดนครราชสีมามีจำนวนรองลงมา ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่และประชากรจำนวนมากติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ โดยมีโรงเรียนประจำจังหวัดขนาดใหญ่ถึง 5 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยราชมงคล และอื่นๆ ซึ่งมีความโดดเด่นด้านวิศวกรรมศาสตร์ จึงทำให้การแข่งขันด้านการศึกษาในจังหวัดนี้สูงเช่นเดียวกับขอนแก่น ส่งผลให้ธุรกิจกวดวิชาในพื้นที่มีความเคลื่อนไหวคึกคักไม่แพ้กัน หนึ่งในตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนถึงศักยภาพของนักเรียนในแต่ละจังหวัดได้อย่างชัดเจนคือ ผลคะแนนสอบ O-NET แม้ว่าบทบาทและความสำคัญของการสอบ O-NET จะลดลงจากอดีต แต่การสอบดังกล่าวก็ยังคงมีความจำเป็นและเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ใช้ประเมินคุณภาพการศึกษาในระดับพื้นที่ เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ย O-NET รายจังหวัด พบว่า จังหวัดที่มีจำนวนสถาบันกวดวิชามาก มักมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตาม คะแนนเฉลี่ยในจังหวัดเหล่านี้ยังคง ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระดับประเทศ ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างระหว่างส่วนกลางกับภูมิภาค แม้จะมีความพยายามจากภาคเอกชนในการส่งเสริมการเรียนรู้เพิ่มเติมผ่านสถาบันกวดวิชาก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจสถาบันกวดวิชา หลายแห่งจำเป็นต้องปิดสาขาชั่วคราวและปรับตัวเข้าสู่ระบบออนไลน์อย่างเร่งด่วน ผู้ประกอบการที่ไม่เคยวางระบบการเรียนการสอนออนไลน์มาก่อนเผชิญกับแรงเสียดทานอย่างหนัก ส่งผลให้บางรายต้องยุติกิจการ แม้จะไม่มีตัวเลขมูลค่าตลาดที่ชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็พบว่า มีสถาบันกวดวิชาจำนวนมากทยอยล้มหายตายจาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย กลับกลายเป็นช่วงที่ความท้าทายทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากเกิด การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเดิมเน้นการสอบแข่งขันเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันนักเรียนสามารถยื่น Portfolio เพื่อขอรับการพิจารณาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโดยตรงได้ ระบบการเข้ามหาวิทยาลัยในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลัก ได้แก่ รอบ Portfolio รอบโควตา รอบ Admission กลาง และรอบรับตรงอิสระ (Direct Admission) ผลกระทบต่อธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาชัดเจนในรูปแบบของรอบ Portfolio ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีนักเรียนกว่า 30% หันมาเลือกใช้วิธีการยื่นผลงาน แทนการสอบแข่งขันเพียงอย่างเดียว ซึ่งสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้เรียน และแรงจูงใจในการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยที่แตกต่างไปจากอดีต ส่วนหนึ่งมาจากการที่นักเรียนสามารถใช้จุดแข็งเฉพาะตัวหรือประสบการณ์ที่โดดเด่นเป็นใบเบิกทางสู่รั้วมหาวิทยาลัยได้

🦉ยืนหนึ่งเรื่องภาษาและการติว🤓ขอนแก่น ศูนย์กลางการเรียนรู้ของอีสาน👨‍🏫 อ่านเพิ่มเติม »

TCEB Isan Mice เผย “นครราชสีมา” และ “ขอนแก่น” ติดอันดับ✈️ ‘เมืองจัดประชุมนานาชาติของโลก’ ใน ICCA Ranking แล้วอย่างเป็นทางการ!🤝

สมาคมการจัดประชุมนานาชาติเปิดผลรายงาน ICCA Ranking Report 2024 ซึ่งจัดอันดับประเทศและเมืองเจ้าภาพการจัดประชุมนานาชาติทั่วโลก ไทยไต่ขึ้นสู่อันดับ 25 ของโลก ด้วยจำนวนงานประชุมนานาชาติรวม 158 งาน เพิ่มขึ้นจาก 143 งานในปีก่อน ส่งผลให้ไทยครอง อันดับ 5 ในเอเชีย และ ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน . ในระดับเมือง กรุงเทพมหานคร สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก และ อันดับ 3 ของเอเชีย ขณะที่ เชียงใหม่ (12 งาน), พัทยา (10 งาน) และภูเก็ต (8 งาน) ยังคงรักษาตำแหน่งเมืองเป้าหมายหลักในการจัดประชุมนานาชาติอย่างต่อเนื่อง รายงานยังเปิดเผยว่า ปีนี้มีอีก 9 เมืองในไทยที่สามารถผ่านเกณฑ์การจัดอันดับ ICCA เป็นครั้งแรกหรืออย่างต่อเนื่อง ได้แก่:  ชลบุรี (3 งาน)  เชียงราย (2 งาน)  ปทุมธานี (2 งาน)  หัวหิน (1 งาน)  ขอนแก่น (1 งาน) สมุย (1 งาน) นครราชสีมา (1 งาน) นนทบุรี (1 งาน) ปัตตานี (1 งาน) รวมแล้วในปี 2567 มีเมืองในประเทศไทยติดอันดับรวม 13 เมือง สะท้อนถึงความก้าวหน้าในการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและศักยภาพของเมืองรองทั่วประเทศในฐานะเมืองไมซ์ .  ข่าวดีสำหรับชาวไมซ์อีสาน ‘ขอนแก่น’ และ ‘นครราชสีมา’ เป็น 2 ใน 9 เมืองในไทยที่สามารถผ่านเกณฑ์การจัดอันดับ ICCA เป็นครั้งแรกหรืออย่างต่อเนื่อง ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนที่ทำให้ขอนแก่นและนครราชสีมาก้าวขึ้นบนแผนที่โลกของเมืองไมซ์ระดับสากล ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/1DdfsF9n4R/?mibextid=wwXIfr _____ #ICCARanking #KhonKaenOnGlobalMap #TCEBISANMICE #MICEisMore ⸻ Thailand’s “New High” in Global Convention Destination Ranking Country Bouncing to 1st in ASEAN, 5th in Asia Pacific. Bangkok Rising to World’s 7th Spot and APAC’s Top 3 Chiang

TCEB Isan Mice เผย “นครราชสีมา” และ “ขอนแก่น” ติดอันดับ✈️ ‘เมืองจัดประชุมนานาชาติของโลก’ ใน ICCA Ranking แล้วอย่างเป็นทางการ!🤝 อ่านเพิ่มเติม »

สุดล้ำ❗ทีมวิจัย มทส.โคราช พัฒนา CT-Scan พร้อม AI ตรวจทุเรียน อ่อน-แก่-หนอนเจาะ รู้ผลใน 3 วิ

ไทยยังครองแชมป์ “ราชาทุเรียน” ส่งออกกว่า 800,000 ตัน/ปี สร้างรายได้ 150,000 ล้าน แต่ปัญหาทุเรียนอ่อน หนอนเจาะ เนื้อตกเกรด กำลังคุกคามความเชื่อมั่นของตลาด โดยเฉพาะ “จีน” ARDA จึงสนับสนุนทีมนักวิจัย ม.เทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา พัฒนาเครื่อง CT-Scan ที่ตกรุ่นปลดระวางจากบริษัทเอกชนด้านเครื่องมือแพทย์ มาพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องต้นแบบ ร่วมกับ AI วิเคราะห์เนื้อทุเรียนแบบไม่ต้องผ่า… สแกนได้ 1,200 ลูก/ชม. แยกอ่อน-แก่ ตรวจหนอนได้แบบเรียลไทม์ ช่วยลดต้นทุน ลดแรงงาน และยกระดับคุณภาพผลผลิตสู่ตลาดโลก… นี่คือตัวอย่างจริงของ “เกษตรสมัยใหม่” ที่ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เกิดขึ้นแล้ว เพราะ “คุณภาพ” จะเป็นตัวชี้วัดอนาคตของเกษตรไทย. แม่นยำ 95% รู้ผลใน 3 วินาที! หรือ 1,200 ลูก/ชั่วโมงครั้งแรกในไทย! เครื่อง CT-Scan ตรวจทุเรียน อ่อน-แก่-หนอนเจาะ ใช้งานจริงแล้วในล้งทุเรียน จ.จันทบุรี   ARDA โชว์ความเป็นเจ้าแห่งบัลลังก์ราชาหนาม สร้างเครื่อง CT-Scan ทุเรียนสุดล้ำประมวลผลด้วยระบบ AI คัดทุเรียน “ไม่อ่อน-ไม่หนอน” 1 ลูกใช้เวลาสแกน 3 วินาที ประเทศไทยถูกขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งทุเรียน” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดโลกปีละไม่ต่ำกว่า 800,000 ตันต่อปี อยู่ในภาคตะวันออกของไทย 300,000 ตัน ภาคใต้ประมาณ 500,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท โดยตลาดส่งออกหลักของไทยยังคงเป็นประเทศจีนที่มีการนำเข้าปีละไม่ต่ำกว่า 700,000 ตัน และถึงแม้ทุเรียนเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของไทย แต่การคัดแยกระดับความอ่อน-แก่และการตรวจสอบปัญหาหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนยังคงเป็นความท้าทายสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ซึ่งหากไทยไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ นั่นไม่เพียงแต่จะเสียแชมป์ส่งออกทุเรียนเบอร์ 1 ของโลก แต่ยังเป็นการสูญรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาล ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า ทุเรียนเป็นผลไม้ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะตลาดจีนที่มีความต้องการสูง แต่ปัญหาใหญ่ที่พบบ่อยและกระทบต่อการตลาดส่งออกทุเรียน คือ ปัญหาหนอนในผลทุเรียนและการเก็บทุเรียนอ่อนมาจำหน่าย อีกทั้งยังพบการลักลอบส่งออกทุเรียนอ่อนไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และทำลายความเชื่อมั่นในคุณภาพทุเรียนไทยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นหากประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยคัดกรองทุเรียนที่แม่นยำก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและแก้ปัญหาดังกล่าวได้ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ARDA จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อดำเนินโครงการ “การออกแบบเครื่องคัดแยกความอ่อน-แก่ และหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนด้วยเทคนิค CT-Scan ร่วมกับการประมวลผลผ่านโครงข่ายประสาทเทียมเชิงลึก” เพื่อออกแบบ และพัฒนาเครื่องมือตรวจสอบความอ่อน – แก่ และหนอนในผลทุเรียนด้วยเทคนิค CT-Scan ระดับโรงคัดบรรจุ ที่มีความแม่นยำไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 “ปัจจุบันการประเมินทุเรียนอ่อนแก่จะใช้วิธีฟังเสียงเคาะ ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเกษตรกร แต่ก็ไม่สามารถยืนยันผลได้ 100% ขณะที่หนอนมีวงจรชีวิตอยู่ข้างในและเติบโตพร้อมผลทุเรียนจึงไม่รู้ว่าทุเรียนแต่ละลูกมีหนอนหรือไม่ เพราะยังไม่มีวิธีตรวจสอบ แต่การใช้เทคนิค CT-Scan

สุดล้ำ❗ทีมวิจัย มทส.โคราช พัฒนา CT-Scan พร้อม AI ตรวจทุเรียน อ่อน-แก่-หนอนเจาะ รู้ผลใน 3 วิ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top