SHARP ADMIN

พามาเบิ่ง🧐เจ้าเวหาแห่งน่านฟ้า✈️เบอร์หนึ่งสายการบินแห่งชาติในอาเซียน

การบินไทย หนึ่งในห้าสายการบินผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรการบิน Star Alliance ในปี ค.ศ. 1997 ซึ่งปัจจุบันเป็นเครือข่ายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิกกว่า 25 สายการบิน เชื่อมต่อเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 186 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน การบินไทยมีอายุราว 65 ปี อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานในฐานะสายการบินแห่งชาติที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แม้ในปี พ.ศ. 2563 จะเกิดการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ธุรกิจการบินทั่วโลกหยุดชะงัก หลายสายการบินต้องปลดพนักงานจำนวนมาก บางแห่งจำเป็นต้องขายเครื่องบินออกเพราะค่าบำรุงรักษาสูงจากการจอดนิ่งและขาดผู้โดยสาร การบินไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน จนต้องยื่นคำร้องฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 นับเป็นหนึ่งในธุรกิจแห่งชาติรายใหญ่ที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยในขณะนั้นยังมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นเดิม ได้แก่ กระทรวงการคลัง 53.16% และผู้ถือหุ้นรายย่อย 46.84% หลังจากผ่านมากว่า 4 ปี นับตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ภายหลังบริษัทฯ ยื่นคำร้องขอยกเลิกเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 การกลับมาครั้งนี้เปรียบเสมือนการพิสูจน์ว่าการบินไทย แม้เผชิญวิกฤติหนักเพียงใด ก็สามารถฟันฝ่าและก้าวข้ามได้ แม้ต้องใช้เวลายาวนานในการฟื้นตัว นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ เปิดเผยว่า “ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการสำคัญตามแผนฟื้นฟูจนบรรลุผลในหลายด้าน อาทิ การปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มความคล่องตัว การขยายเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมภูมิภาคต่าง ๆ การปรับปรุงฝูงบินและห้องโดยสาร การพัฒนาระบบดิจิทัล และยกระดับมาตรฐานการให้บริการในทุกจุด ทั้งนี้เพื่อยกระดับการบินไทยสู่การเป็นสายการบินชั้นนำในภูมิภาค โดยมีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งในด้านการสร้างรายได้ การควบคุมต้นทุน และการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการแข่งขันได้รวดเร็วและคล่องตัวยิ่งขึ้น” การกลับมาครั้งนี้ของการบินไทย แตกต่างจากอดีตที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้นมากกว่า 50% ปัจจุบัน แม้กระทรวงการคลังยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยจำนวน 11 พันล้านหุ้น แต่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 38.9% ขณะที่ผู้ถือหุ้นรองลงมาคือกลุ่มสถาบันการเงินต่างๆ การที่การบินไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ นักลงทุน หลังจากหุ้นการบินไทย (THAI) ถูกระงับการซื้อขายยาวนานตั้งแต่เริ่มกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ก็ได้กลับมาเปิดซื้อขายอีกครั้งในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ที่ราคาเปิด 10.50 บาทต่อหุ้น และปรับขึ้นจนราคาปิด ณ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 17.80 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้การบินไทยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ราว 5 แสนล้านบาท ติดอันดับหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศ การกลับมาของการบินไทยในสถานะที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เปรียบเสมือนการปลดพันธนาการจาก พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ซึ่งเดิมทำให้การดำเนินการต่างๆ เต็มไปด้วยความล่าช้า เงื่อนไขทางกฎหมาย […]

พามาเบิ่ง🧐เจ้าเวหาแห่งน่านฟ้า✈️เบอร์หนึ่งสายการบินแห่งชาติในอาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

กว่า 3 ทศวรรษแล้ว ทำไมกัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิดยังไม่หมดและอะไรคือข้อจำกัด?

ข้อมูลที่คุณมีว่าเก็บกู้ได้เพียง 10% อาจเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างเก่า หากอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดของ องค์กรปฏิบัติการทุ่นระเบิดและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแห่งกัมพูชา (CMAA) กัมพูชาได้เก็บกู้และเคลียร์พื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดตกค้างจากสงครามไปได้แล้วเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่ยังคงเหลือพื้นที่ที่ปนเปื้อนอยู่อีกมาก   ภาพรวมสถานการณ์ล่าสุด ความคืบหน้า: นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ถึงปัจจุบัน กัมพูชาได้เคลียร์พื้นที่ที่ปนเปื้อนกับระเบิดไปแล้วกว่า 2,794 ตารางกิโลเมตร และทำลายทุ่นระเบิดและยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด (UXO) ไปแล้วหลายล้านชิ้น ทำให้พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัยและสามารถนำกลับมาใช้เพื่อการเกษตรและพัฒนาชุมชนได้ เป้าหมาย: รัฐบาลกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศ ปลอดทุ่นระเบิดภายในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) พื้นที่ที่ยังคงมีความเสี่ยง: แม้จะมีความคืบหน้าไปมาก แต่คาดว่ายังคงมีพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดเหลืออยู่อีกประมาณ 538 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ปนเปื้อนวัตถุระเบิดอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่ทุ่นระเบิด) อีกประมาณ 1,323 ตารางกิโลเมตร   เหตุผลหลักที่ทำให้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในกัมพูชาเป็นไปอย่างยากลำบากและใช้เวลานาน แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติและการลงนามในสนธิสัญญาต่างๆ แต่ความท้าทายในการเก็บกู้ระเบิดในกัมพูชามีความซับซ้อนหลายมิติ ดังนี้ครับ   1. ขนาดและความหนาแน่นของการปนเปื้อนที่มหาศาล มรดกจากสงครามหลายทศวรรษ: กัมพูชาต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งภายในประเทศมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ทำให้มีการใช้ทุ่นระเบิดและระเบิดพวง (Cluster Munitions) อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ แนวรบ K-5: ในช่วงทศวรรษ 1980 มีการวางทุ่นระเบิดจำนวนมหาศาลตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เรียกว่า “แนวรบ K-5” ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดหนาแน่นที่สุดในโลก ทำให้การเก็บกู้ทำได้ยากและอันตรายอย่างยิ่ง ไม่มีแผนที่ที่ชัดเจน: ทุ่นระเบิดส่วนใหญ่ถูกวางโดยไม่มีการบันทึกตำแหน่งที่แม่นยำ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้วิธีการสำรวจและเก็บกู้แบบ “ปูพรม” ซึ่งต้องใช้เวลาและทรัพยากรมหาศาล   2. ความซับซ้อนทางเทคนิคและภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมที่ท้าทาย: พื้นที่ที่ปนเปื้อนจำนวนมากอยู่ในป่าทึบ ภูเขา และพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการเก็บกู้ ชนิดของระเบิดที่หลากหลาย: มีการใช้ทุ่นระเบิดหลายชนิด ทั้งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทุ่นระเบิดต่อสู้รถถัง บางชนิดทำจากพลาสติกซึ่งยากต่อการตรวจจับด้วยเครื่องมือโลหะ การเสื่อมสภาพของวัตถุระเบิด: วัตถุระเบิดที่ฝังอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานอาจเสื่อมสภาพและมีความไวต่อการระเบิดมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงให้กับเจ้าหน้าที่เก็บกู้   3. ข้อจำกัดด้านเงินทุนและทรัพยากร ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก: การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นภารกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ตั้งแต่ค่าจ้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ค่าอุปกรณ์ป้องกัน อุปกรณ์ตรวจจับ ไปจนถึงค่าดำเนินการในพื้นที่ ความไม่แน่นอนของเงินทุนสนับสนุน: แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจากนานาชาติ (เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป) แต่เงินทุนเหล่านี้อาจมีความไม่แน่นอนและไม่ต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและนโยบายของผู้บริจาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวางแผนระยะยาว   4. ผลกระทบจากการลงนามในอนุสัญญาออตตาวา ด้านบวก: การลงนามใน อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และว่าด้วยการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ในปี พ.ศ. 2540 เป็นการแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนของกัมพูชา และช่วยระดมการสนับสนุนจากนานาชาติได้เป็นอย่างดี ข้อจำกัด: อนุสัญญาฯ เน้นไปที่ “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” เป็นหลัก แต่ในกัมพูชายังมีปัญหาจาก “วัตถุระเบิดตกค้างจากสงคราม (ERW)” อื่นๆ เช่น

กว่า 3 ทศวรรษแล้ว ทำไมกัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิดยังไม่หมดและอะไรคือข้อจำกัด? อ่านเพิ่มเติม »

เปิดกลยุทธ์ การเชื่อมเมืองหลัก เมืองรอง ให้กลายเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 4 พันล้าน

CEA ขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์ 2568 ดันเมืองรองใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างโอกาสใหม่ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 4,382 ล้านบาท และพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ 17 จังหวัดทั่วประเทศ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคที่ “ความคิดสร้างสรรค์” และ “ทุนวัฒนธรรม” กลายเป็นทรัพยากรสำคัญ          ทางเศรษฐกิจ ทำให้เมืองต่าง ๆ หันมาใช้จุดแข็งทางด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งอาชีพ รายได้ และยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เมืองให้มีความสามารถทางการแข่งขัน              ในระดับโลก ด้วยความสำคัญนี้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่อย่างเข้มข้น ผ่านการจัดเทศกาลสร้างสรรค์และการขับเคลื่อนเครือข่ายย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประเทศไทย หรือ Thailand Creative District Network (TCDN) พร้อมพัฒนา “คน” ให้เป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ผ่านการบ่มเพาะหลักสูตรพัฒนาเมืองและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผสานทุนวัฒนธรรมเข้ากับนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับพลังสร้างสรรค์ระดับท้องถิ่นให้เป็นพลังทางเศรษฐกิจทั้งในมิติของผู้คน ธุรกิจ และพื้นที่ ผลักดันให้ทุกเมืองมีโอกาสเติบโต และทุกชุมชนสามารถเป็นเจ้าของ “แบรนด์เมือง” ได้จากรากฐานของตนเอง CEA คาดว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการจัดเทศกาลสร้างสรรค์ในปี 2568 มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 4,382 ล้านบาท และพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ไม่น้อยกว่า 17 จังหวัดทั่วประเทศ 6 จังหวัด สนับสนุน เทศกาลเมืองสร้างสรรค์ทั้งจาก CEA และ TCEB ศรีสะเกษ งานซาวสีเกด 2567 (Sound of Sisaket 2024) เทศกาลศิลปะและดนตรี จากนั้นยังชนะเลิศอันดับ 2 โครงการประกวดอวดเมือง จาก TCEB รับทุนต่อเนื่อง 3 ปี รวม 45 ล้าน นครราชสีมา งาน K- Battle งานประกวดการแข่งขัน Battle นานาชาติ จากนั้นยังชนะเลิศอันดับ 1 โครงการประกวดอวดเมือง จาก TCEB รับทุนต่อเนื่อง 3 ปี รวม 45 ล้าน อุบลราชธานี คัมโฮม งานศิลปะ+งานแห่เทียนพรรษาประจำปี ขอนแก่น Columbo Creative Community Festival ISAN Creative Festival  เลย เทศกาลเลยอาร์ตเฟส  อุดรธานี เทศกาล Udon

เปิดกลยุทธ์ การเชื่อมเมืองหลัก เมืองรอง ให้กลายเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ 4 พันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง โคราชโกยกำไร เปิด 10 บริษัททำเงินกระจายแดนย่าโม

พามาเบิ่ง TOP 10 อันดับ บริษัทในโคราชที่ทำกำไรสูงสุด   ชื่อบริษัท วัตถุประสงค์ กำไร (ล้านบาท) %YoY รายได้ (ล้านบาท) %YoY สัญชาติ บริษัท แอสเตโม โคราช เบรก ซิสเตมส์ จำกัด ผลิตชุดเบรคยานยนต์ 1,139.5 28.8 7,810.3 0.7 ญี่ปุ่น บริษัท พี.ซี.เอส. แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ 674.9 63.3 3,285.1 -19.3 ไทย บริษัท ชิน-เอ ไฮ เทค จำกัด ผลิตผลิตภัณฑ์โลหะอลูมิเนียม และอิเล็คทรอนิคส์ 621.1 11.2 4,690.6 11.1 ญี่ปุ่น บริษัท เอ็มเอ็มไอ พรีซิชั่น แอสเซมบลิ (ไทยแลนด์) จำกัด ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 598.9 29.7 4,390.7 0.3 สิงคโปร์ บริษัท แอสเตโม โคราช จำกัด ผลิตและจำหน่ายโช้คอัพ และเบรครถยนต์ 538.8 8.1 4,354.4 2.9 ญี่ปุ่น บริษัท นิชิกาว่า เตชาพลาเลิศ คูปเปอร์ จำกัด ผลิตยางขอบกระจกรถยนต์ และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ 480.6 -10.4 2,242.2 -11.6 ญี่ปุ่น บริษัท อีตัน อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตที่จับด้ามไม้กอล์ฟทำด้วยยาง 478.2 5.2 1,872.0 -12.6 สวิซ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพ ราชสีมา จำกัด โรงพยาบาล 307.0 -9.0 2,685.9 6.9 ไทย บริษัท สงวนวงษ์สตาร์ช จำกัด ผลิตแป้งมันสำปะหลังดัดแปร 301.3 70.8 4,965.7 -3.3 ไทย บริษัท คาสิโอ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งออกนาฬิกาอิเล็คทรอนิคส์สำเร็จรูป 291.5 1.5 8,171.7 2.3 ญี่ปุ่น หมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงในภาคอีสาน การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์

พามาเบิ่ง โคราชโกยกำไร เปิด 10 บริษัททำเงินกระจายแดนย่าโม อ่านเพิ่มเติม »

Soft-Power Heritage อันดับ 8 ของโลก ไทยจะเปลี่ยน “มรดกทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ได้อย่างไร?

Soft Power ไทยสุดปัง! รั้งอันดับ 1 ประเทศรวยวัฒนธรรมที่สุดในเอเชีย และ อันดับ 8 ของโลกจาก U.S.News & World Report 🇹🇭Soft Power ไทยสุดปัง! ครองแชมป์ประเทศ “รวยวัฒนธรรมที่สุดในเอเชีย” เมื่อวัฒนธรรมกลายเป็นพลังทางเศรษฐกิจที่สามารถจับต้องได้ ไทยกำลังก้าวสู่บทบาทผู้นำแห่งเอเชียด้วยเสน่ห์ที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ . ในโลกยุคใหม่ที่พลังอ่อน (Soft Power) มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าพลังแข็ง (Hard Power) ชื่อเสียงของประเทศไม่ได้วัดกันแค่จำนวนฐานทัพหรือเทคโนโลยีล้ำหน้าอีกต่อไป แต่กลับวัดกันที่ “เสน่ห์” ที่ประเทศนั้นๆ สามารถส่งออกไปยังใจคนทั่วโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ อาหาร ดนตรี หรือไลฟ์สไตล์ . และล่าสุด ประเทศไทย ก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งชาติ ด้วยการถูกจัดอันดับให้เป็น ประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในเอเชีย และติดอันดับ 8 ของโลก จากการจัดอันดับโดย U.S. News & World Report ปี 2024 จากทั้งหมด 89 ประเทศทั่วโลก . โดยใช้เกณฑ์การประเมินที่เข้มข้น ครอบคลุม 5 มิติหลัก ได้แก่ การเข้าถึงวัฒนธรรม (Cultural Accessibility) ประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง (Rich History) สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม (Cultural Attractions) ความน่าดึงดูดทางภูมิศาสตร์ (Geographical Appeal) ซึ่งประเทศไทยโดดเด่นในทุกมิติ โดยเฉพาะในเรื่องของ อาหาร การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และโบราณสถาน ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ตราตรึงใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก . ไม่เพียงเท่านั้น ไทยยังได้รับคำชมว่าเป็น “ประเทศที่มีสมดุลระหว่างความร่วมสมัยกับมรดกดั้งเดิม” บ้านเมืองทันสมัยที่ตั้งอยู่เคียงข้างวัดวาอารามเก่าแก่ได้อย่างกลมกลืน . ไทย = ผู้นำวัฒนธรรมแห่งเอเชีย เมื่อดูเฉพาะในระดับทวีปเอเชีย ไทยก็ ครองอันดับ 1 ทิ้งห่างประเทศที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่งเช่นกันอย่างอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งติดตามมาในอันดับ 2-4 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างก็ติดอันดับเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ในด้านวัฒนธรรมนั่นเอง . อันดับประเทศในเอเชีย จากการจัดอันดับ 89 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ 1. ไทย #8 ของโลก 2. อินเดีย #10 ของโลก 3. ญี่ปุ่น #11 ของโลก 4. จีน #13 ของโลก 5. อินโดนีเซีย

Soft-Power Heritage อันดับ 8 ของโลก ไทยจะเปลี่ยน “มรดกทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ได้อย่างไร? อ่านเพิ่มเติม »

ทรัมป์เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน 🇹🇭ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก 🇺🇸สหรัฐ-จีน🇨🇳 ชิงอำนาจเหนือกัมพูชา🇰🇭

ทรัมป์ฉวยโอกาส?🤝จากขอพิพาทชายแดน ไทย-กัมพูชา เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์สหรัฐฯ-จีน ที่ไทยจำใจต้องเข้าร่วม ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกที่ดึงดูดความสนใจจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งขู่จะระงับการเจรจาทางการค้าหากการต่อสู้ไม่ยุติลง ความขัดแย้งนี้มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องเขตแดนและคำตัดสินของศาลโลกเกี่ยวกับ ‘ปราสาทพระวิหาร’ การเข้าแทรกแซงของทรัมป์ถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวตามหลัก “การทูตเชิงธุรกรรม (Transaction Diplomacy)” ที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากกว่าการแสวงหาสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลมาจาก ‘จุดอ่อนของอาเซียน’ ที่ไม่สามารถจัดการความขัดแย้งภายในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะบทบาทของ 🇨🇳จีนในกัมพูชา🇰🇭 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนและการพัฒนา ⚓ฐานทัพเรือเรียม ซึ่งเป็นการขยายอิทธิพลเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค ทำให้ความขัดแย้งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามเย็นยุคใหม่” ระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ กำลังขยายอิทธิพลในเส้นทางการเดินเรือ อินโดจีน โดยเฉพาะท่าทีของสหรัฐฯ ต่อเส้นเดินเรือช่องแคบ มะละกา จากท่าทีของ ฮุนเซน ที่โพสต์ภาพถ่ายคู่กับ ทรัมป์ และการมีแหล่งข่าวว่า ฮุนเซน บินเข้าจีนแต่ถูกปฏิเสธลงจอด ก็พอจะเห็นได้ว่า ฮุนเซน กำลังคลายมือจากจีน ไปหาสหรัฐฯ ผ่านการ #ดีล ผลประโยชน์ สหรัฐฯ จึงอาจฉวยโอกาสนี้ ในการดึงกัมพูชากลับเข้าสู่อิทธิพลของสหรัฐฯ และดึงกัมพูชาออกจากจีน ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะ #รัฐกันชน ท่ามกลางมหาอำนาจสองฝ่าย จากเรื่อง “การปักปันเขตแดน” ที่คุยกันระหว่างประเทศ เจรจาในทวิภาคีอาเซียนได้ สู่การเปิดที่ประชุมฉุกเฉินของ UNSC ก็ได้เปลี่ยนสมรภูมิที่แท้จริงจาก ชายแดน สู่ โต๊ะการฑูตสากล 🇨🇳จีน-กัมพูชา จีนมีหนี้และอิทธิพลเป็นข้อต่อรอง 🇺🇸สหรัฐฯ-กัมพูชา มีการค้าและภาษี รวมถึงการทหารเป็นข้อต่อรอง . ท่ามกลางสถานการณ์ที่นี้ ไทย จะต้องเผชิญกับศึกหลายด้าน ทั้งตลาดหุ้นที่ผันผวนจาก การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ขีดเส้นตาย 1 ส.ค.นี้, การท่องเที่ยวที่หดตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกเที่ยวบิน จากสถานการณ์การปะทะชายแดน สำหรับบุคคลทั่วไปและนักลงทุนในการรับมือกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้วยการ กระจายความเสี่ยง และ ลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ เป็นต้น   https://youtu.be/F9eRul5cElg   สรุปผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ และนัยต่อเศรษฐกิจไทย ต้องแลกด้วยอะไร ใครได้ใครเสีย?

ทรัมป์เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน 🇹🇭ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก 🇺🇸สหรัฐ-จีน🇨🇳 ชิงอำนาจเหนือกัมพูชา🇰🇭 อ่านเพิ่มเติม »

“ไทย-กัมพูชา” เห็นพ้อง 13 ข้อตกลงหยุดยิง🤝จับมือลงนามผลประชุม GBC เปิด 13 ข้อตกลงมีอะไรบ้าง?

ผลประชุม GBC ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ทั้ง 2 ชาติ เห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ผู้แทน 2 ชาติ ลงนามบันทึกผลการประชุม หวังคลี่คลาย สถานการณ์ชายแดน นำมาซึ่งสันติภาพ วันนี้ (7 ส.ค.2568) ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ฝ่ายไทยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าคณะ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามี พลเอกเตีย เซ ฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ อีกทั้งมีผู้แทนของประเทศผู้ร่วมสังเกตการณ์ ได้แก่ มาเลเซีย สหรัฐฯ และจีน เข้าร่วมด้วย โดยไทยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนคนไทย และนำกัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจาสองฝ่าย ร่วมพิจารณาข้อปฏิบัติตาม ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 13.43 น.ตามเวลาประเทศไทย การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง โดย 2 ฝ่ายเห็นพ้องแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย ร่วมจัดทำกับฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ฝ่ายกัมพูชา เปิด 13 ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องรักษาสันติภาพ เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ 2 ชาติ เห็นพร้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน โดยมี สาระสำคัญ ดังนี้ . 1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี 2. รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย 3. ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา 4. ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่

“ไทย-กัมพูชา” เห็นพ้อง 13 ข้อตกลงหยุดยิง🤝จับมือลงนามผลประชุม GBC เปิด 13 ข้อตกลงมีอะไรบ้าง? อ่านเพิ่มเติม »

นครพนม จากเมืองท่าริมโขง สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งแห่งอีสานตอนบน

“นครพนม” จังหวัดริมฝั่งโขงแห่งภาคอีสานตอนบนของประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ที่เมื่อพูดถึง หลายคนจะนึกถึง “พระธาตุพนม” พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองอันเก่าแก่ตั้งแต่ต้นพุทธกาลอันเป็นที่สักการะของคนในจังหวัดและทั้งประเทศ นอกจากพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ที่ควรค่าแก่การไปเยือนเมื่อไปจังหวัดนครพนม ยกตัวอย่างเช่น พระธาตุเรณู อีกหนึ่งพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองที่งดงามโดดเด่น ตั้งอยู่ที่อำเภอเรณูนคร หรือจะเป็นสถานที่แลนด์มาร์ก อย่างริมฝั่งโขง ที่มีบรรยากาศและวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงและทิวเขาลักษณะลูกคลื่นของฝั่งลาวทอดยาวสุดสายตา ควรค่าแก่การมาเดินเล่นรับแดดอ่อนๆยามเช้า หรือมาถ่ายรูปชมวิวยามเย็นก็สวยงาม   ในด้านเศรษฐกิจ ปี 2566 นครพนมมีรายได้ต่อหัวประมาณ 96,731 บาท และผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) มีมูลค่า  52,184 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2564 ประมาณ 3% โดยสัดส่วนของโครงสร้างเศรษฐกิจจะมีภาคบริการเป็นส่วนใหญ่ โดยมีโครงสร้างเป็นดังนี้ – ภาคการบริการ คิดเป็น 49%  – ภาคการเกษตร คิดเป็น 30%  – ภาคการค้า คิดเป็น 12%  – ภาคการผลิต คิดเป็น 9%    ในปี 2567 จังหวัดนครพนมมีจำนวนผู้ประกอบการ SME ทั้งสิ้น 25,000 ราย ซึ่งในปี 2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 35,580.83 ล้านบาท โดยตัวอย่างบริษัทใหญ่ในนครพนม เช่น บริษัท มิ่งเจียว ซึ่งอยู่ในหมวดธุรกิจการขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น มีรายได้รวมในปี 2565 จำนวน 1,582 ล้านบาท เมืองนครพนมยังเป็นที่ตั้งของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 โดยเชื่อมต่อกับแขวงคำม่วนของประเทศลาว มีความยาวรวม 780 เมตร มีช่องลอดกว้าง 60 เมตร สูง 10 เมตร 2 ช่วง ความกว้าง สะพาน 13 เมตร และมีการช่องจราจร 2 ช่อง ซึ่งเปิดใช้งานวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 โดยสะพานมีทิวทัศน์เป็นแนวเขาที่สวยงาม ซึ่งสะพานมิตรภาพ แห่งที่3 เป็นเส้นทางการคมนาคมด้านการท่องเที่ยวและด้านการค้าที่สำคัญ ระหว่างไทย เวียดนามและทางใต้ของจีน    โดยสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 เป็น 1 ใน 19 ด่านการค้าถาวรระหว่างไทยกับลาว และอีกด่านการค้าถาวรของนครพนมคือ ด่าน อ.เมืองนครพนม-ท่าแขก นอกจากนั้นจังหวัดยังมีจุดผ่อนปรนการค้าอีก 4 แห่ง ได้แก่ จุดผ่อนปรนบ้านหนาดท่า จุดผ่อนปรนบ้านโพธิ์ไทร จุดผ่อนปรนบ้านธาตุพนมสามัคคี และจุดผ่อนปรนบ้านท่าอุเทน ซึ่งจากการที่มีด่านการค้าหลายแห่ง ส่งผลให้การค้าระหว่างนครพนมกับลาวมีความคึกตัก โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าไปลาว อยู่ที่ 6,705

นครพนม จากเมืองท่าริมโขง สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งแห่งอีสานตอนบน อ่านเพิ่มเติม »

VING รองเท้าแตะวิ่งมาราธอนสถิติโลกจากคนอีสาน

จาก Pain Point ส่วนตัวของโปรแกรมเมอร์คนหนึ่ง สู่การสร้างสรรค์แบรนด์รองเท้าแตะที่ปฏิวัติวงการวิ่ง VING (วีอิ้ง) ไม่ได้เป็นเพียงรองเท้า แต่คือผลลัพธ์ของความมุ่งมั่น นวัตกรรม และกลยุทธ์อันเฉียบคมที่สามารถเปลี่ยนรองเท้าแตะธรรมดาให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่นและสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล นี่คือเรื่องราวของคุณ วาที วิเชียรนิตย์ และแบรนด์ VING ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจที่เริ่มต้นจากศูนย์ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างก้าวกระโดด   จุดเริ่มต้น: จากความเจ็บปวดสู่โอกาสทางธุรกิจ เรื่องราวของ VING มีจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ไม่ต่างจากชีวิตของคนทำงานส่วนใหญ่ คุณวาทีเริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทเอกชน และเป็นนักวิ่งมาราธอนตัวยง วันหนึ่งในงานวิ่งมาราธอนที่จังหวัดบุรีรัมย์ เขาประสบปัญหารองเท้าผ้าใบที่ใช้อยู่บีบรัดเท้าอย่างรุนแรงจนไม่สามารถวิ่งต่อได้ ด้วยความจำเป็น เขาจึงตัดสินใจซื้อรองเท้าแตะราคาถูกจากร้านสะดวกซื้อมาใส่แทน ถึงแม้จะทุลักทุเลแต่เค้าก็สามารถวิ่งมาราธอนจนจบด้วยรองเท้าแตะคู่นั้นได้  เหตุการณ์ครั้งนั้น ประกอบกับการได้เห็นนักวิ่งคนอื่นสามารถทำเวลาได้ดีด้วยรองเท้าแตะสำหรับวิ่งจากต่างประเทศ ได้จุดประกายความคิดและเปลี่ยนมุมมองของคุณวาทีไปอย่างสิ้นเชิง เขาเล็งเห็นโอกาสในตลาดที่ยังไม่มีใครสนใจอย่างจริงจัง นั่นคือการแก้ปัญหาให้กับนักวิ่งที่มีลักษณะเท้าแบบคนไทยหรือคนเอเชีย คือ หน้าเท้ากว้างและเท้าอูม ซึ่งมักจะเจ็บเท้าเมื่อใส่รองเท้าแบรนด์ต่างชาติที่ออกแบบมาเพื่อคนเท้าเรียวยาว นี่คือจุดกำเนิดของแนวคิดในการพัฒนารองเท้าแตะที่สามารถวิ่งได้ทัดเทียมกับรองเท้าวิ่งราคาสูง    นวัตกรรม: หัวใจที่สร้างความแตกต่าง คุณวาทีใช้เวลาเกือบปีในการวิจัยและพัฒนา โดยนำทักษะจากการทำงานโปรแกรมเมอร์ที่ต้องทำตัวต้นแบบ (Prototype), ทดสอบ (Testing), และรับฟังความคิดเห็น (Feedback) มาปรับใช้ เพื่อสร้างสรรค์รองเท้าที่มีคุณสมบัติโดดเด่น แนวคิดหลักของ VING คือการพัฒนารองเท้าที่ตอบโจทย์ 3 ข้อสำคัญ คือ นุ่ม เด้ง และเบา แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยมไม่แพ้รองเท้าผ้าใบราคาแพง โดยยึดหลักการพัฒนาแบบ “fail fast, fail cheap, fail forward” คือการลงทุนให้น้อยที่สุด ทดลองให้เร็ว เรียนรู้จากความผิดพลาด และนำคำติชมจากลูกค้าตัวจริงมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง วัสดุและการออกแบบ: รองเท้าแตะทั่วไปในท้องตลาดมักใช้โฟม EVA ซึ่งมีความนุ่มแต่ยังขาดความเด้งที่จำเป็นสำหรับการวิ่ง VING จึงเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียมที่มีต้นทุนสูงกว่า เพื่อให้ได้รองเท้าที่มีคุณสมบัติครบถ้วน คือ นุ่ม เด้ง และเบา (เบากว่ารองเท้าผ้าใบถึง 200 กรัม) โดยออกแบบให้พื้นรองเท้าเป็นโฟมชั้นเดียวแต่มีความหนาเหมือนรองเท้าผ้าใบ เพื่อการรองรับแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม ในช่วงแรก VING ใช้วัสดุ EVA และ GPE แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือการพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศจนได้วัสดุใหม่ที่เรียกว่า “V-Pro” หรือ “EPOS” ซึ่งมีความนุ่มและทนทานกว่าเดิมถึง 30% และมีค่าความเด้ง (Energy Return) เพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 66% ทำให้รองเท้ามีน้ำหนักเบาเพียง 1.5 ขีด แต่ยังคงคุณสมบัติการรองรับแรงกระแทกและส่งแรงคืนได้อย่างดีเยี่ยม แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์: เมื่อลูกค้าแสดงความกังวลว่า “ใส่รองเท้าแตะวิ่งแล้วจะหลุดหรือไม่” แทนที่จะรับฟังเพียงอย่างเดียว VING ได้แก้ปัญหานี้ด้วยการเจาะรูที่สายรองเท้าและนำเชือกมาร้อยผูกเป็นสายรัดส้น ซึ่งไม่เพียงแต่แก้ปัญหา แต่ยังกลายเป็นแฟชั่นที่ลูกค้าชื่นชอบ และขยายฐานไปยังกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการรองเท้าสุขภาพที่มีสายรัดส้น  สรีรศาสตร์ที่เหนือกว่า: ข้อดีที่สำคัญของรองเท้าแตะ VING คือการให้อิสระกับหน้าเท้า ทำให้การวางเท้าเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บยอดฮิตของนักวิ่งอย่าง ITBS (อาการปวดเข่าด้านนอก) และโรครองช้ำได้ 

VING รองเท้าแตะวิ่งมาราธอนสถิติโลกจากคนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

โดรน CW-15: เมื่อฟ้าอีสานและเพื่อนบ้านใช้ ‘ตา’ คู่เดียวกัน สู่บททดสอบความมั่นคงและโอกาสเศรษฐกิจไทย

จากกรณีข่าวร้อน ไทย-กัมพูชา ชาวเน็ตในสุรินทร์โพสต์พบโดรนปริศนาไม่ทราบฝ่าย ก่อนที่เช้าเวลา 07.30 น. วันที่ 4 สิงหาคม 2568 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า โดรนดังกล่าวเป็นของฝ่ายเรา ขึ้นบินตรวจการณ์ และทดสอบระบบ บริเวณอ.เมือง จ.สุรินทร์ แต่ต้องลงเร่งด่วน เนื่องจากสภาพอากาศ ภาพเจ้าหน้าที่ลงจอดโดรนฉุกเฉิน เมื่อคืนวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ที่จังหวัดสุรินทร์ ด้านสื่อกัมพูชาอย่าง Khmer Times ก็ปล่อยข่าวกล่าวหาว่าไทยใช้โดรนสำรวจพื้นที่กัมพูชา ในขณะเดียวกันทางกัมพูชาก็เคยจัดซื้อโดรนสำรวจทางอากาศเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 กองทัพกัมพูชาได้เยี่ยมชมเทคโนโลยีการปล่อยโดรน CW-15 และ CW-40 ที่บริษัท CATIC ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันที่ไทยใช้ในการสำรวจภารกิจทางอากาศทั้งทางทหาร และทางวิชาการ รีวิวจากช่องไทย โดรน CW ช่องพี่ใหญ่ SnapTech Zone ที่กรมทรัพยากรชายฝั่งของไทยใช้โดรนสำรวจทางทะเล และสำรวจสัตว์ทะเลหายาก โดรน CW-15 ในมือ🇹🇭ไทยและ🇰🇭กัมพูชา ภาพสะท้อนความมั่นคงและโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่ไทยต้องลงทุนเทคโนโลยีเป็นของตนเอง เมื่อน่านฟ้าชายแดนไม่ได้ถูกจับตามองด้วยสายตาของมนุษย์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป การปรากฏขึ้นของอากาศยานไร้คนขับ (UAV) หรือโดรน รุ่น CW-15 ที่ผลิตโดยบริษัทจากจีน ในภารกิจของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ได้จุดประกายบทสนทนาที่ไปไกลกว่าเรื่องเทคโนโลยี แต่ล้วงลึกถึงแก่นของความมั่นคงและอนาคตทางเศรษฐกิจของชาติ การที่ไทยและเพื่อนบ้านใช้ “ดวงตา” คู่เดียวกันในการสอดส่องดูแลอธิปไตย กลายเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงสภาวะการพึ่งพิงทางเทคโนโลยี และเป็นบททดสอบสำคัญว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติได้อย่างไร ดาบสองคมของการพึ่งพิงเทคโนโลยีต่างชาติ การจัดหายุทโธปกรณ์จากต่างประเทศเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปของกองทัพทั่วโลกเพื่อความทันสมัย แต่ในยุคที่สงครามไซเบอร์และความมั่นคงทางข้อมูลมีความสำคัญสูงสุด การพึ่งพิงเทคโนโลยีจากแหล่งเดียว โดยเฉพาะเมื่อเป็นแหล่งเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ซับซ้อน ความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ (Cybersecurity Risk): โดรนลาดตระเวนไม่ได้เป็นเพียงกล้องที่บินได้ แต่เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนซึ่งส่งผ่านข้อมูลสำคัญมหาศาล หน่วยงานความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้ออกคำเตือนถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลละเอียดอ่อนจากโดรนที่ผลิตในบางประเทศอาจถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทผู้ผลิตหรือรัฐบาลของประเทศนั้นๆ [1] ซึ่งหมายความว่าข้อมูลการลาดตระเวน, พิกัด, และรายละเอียดภารกิจของไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกเข้าถึงโดยบุคคลภายนอกได้ การเสียเปรียบทางยุทธวิธี: เมื่อกัมพูชามีการพิจารณาจัดหาโดรนรุ่นเดียวกันจาก China National Aero-Technology Import & Export Corporation (CATIC) [2] ย่อมหมายความว่าทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของกันและกันอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้การวางแผนรับมือหรือต่อกรทำได้ง่ายขึ้น ความได้เปรียบที่เคยมีจากการใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่าจึงหมดไป การพึ่งพิงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Dependency): ความพร้อมรบของยุทโธปกรณ์ขึ้นอยู่กับการซ่อมบำรุง, อะไหล่, และการอัปเกรด ซึ่งทั้งหมดนี้ผูกติดอยู่กับประเทศผู้ผลิต หากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลง หรือเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง อาจส่งผลให้การสนับสนุนเหล่านี้หยุดชะงักได้ ดังที่เห็นจากกรณีศึกษาในหลายประเทศที่การพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียวสร้างความเปราะบางให้กับกองทัพ [3] สร้างอนาคต: โอกาสมหาศาลของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทาย คือโอกาสครั้งสำคัญของประเทศไทยในการผลักดัน “อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ” ให้เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) อย่างจริงจัง ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายลำดับที่ 11 [4] โดยมีข้อดีที่ประเมินค่าได้ทั้งในมิติความมั่นคงและเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง: การพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองไม่เพียงลดการพึ่งพาจากภายนอก

โดรน CW-15: เมื่อฟ้าอีสานและเพื่อนบ้านใช้ ‘ตา’ คู่เดียวกัน สู่บททดสอบความมั่นคงและโอกาสเศรษฐกิจไทย อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top