เกษตรกรในอีสานอาจได้รับผลกระทบมากกว่าที่คิด หากไทยมีการเปิดตลาดนำเข้าอย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ
.
ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ในอัตรา 36% กับสินค้าส่งออกของไทย โดยจะเริ่มมีการประกาศใช้ภายในวันที่ 1 ส.ค. 2568 ที่อาจสะเทือนการส่งออกของไทยอย่างหนักหน่วง จากมูลค่าการส่งออกที่มากและ สัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯในการส่งออกสินค้าที่สูงถึง 18% (ปี 2567)
เพื่อหาทางออกและลดภาระทางภาษีดังกล่าว หนึ่งในข้อเสนอที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือการที่ไทยต้อง “เปิดตลาด” สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเป็นแนวทางเดียวกันกับประเทศที่ได้การพิจารณาปรับลดอัตราภาษีอย่าง เวียดนาม (จากเดิม 46% เป็น 20%) โดยแลกกับการเปิดตลาดและการเร่งการนำเข้าสินค้าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น การลดภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ (เหลือ 0%) การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะเครื่องบิน พลังงาน และสินค้าเกษตร รวมถึงการจัดการปัญหาการสวมสิทธิ์ของสินค้าจีนที่ใช้เวียดนามเป็นทางผ่านในการส่งไปสหรัฐฯ
จากการแลกเปลี่ยนทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลให้เวียดนาม เป็นประเทศแรกในอาเซียนได้รับการพิจารณาปรับลดอัตราภาษีจากสหรัฐฯ จากเดิม ที่ 46% เป็น 20% ในปัจจุบัน ซึ่งน้อยกว่าประเทศคู่แข่งอย่างไทย ถึง 16% และอาจเป็นผลทำให้ผู้ประกอบการไทยที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ สามารถแข่งขันด้านต้นทุนและราคาต่อประเทศคู่แข่งได้ลำบาก แต่ในขณะเดียวกันหากมองผลกระทบในอีกฟากนึง การเปิดตลาดเสรีสินค้าจากสหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไขอาจกระทบต่ออุตสาหกรรม

กราฟด้านซ้าย แสดงต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ แม้ว่าจะรวมค่าขนส่งมาไทยแล้ว
สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิด? หมูที่ขายในห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ ทั้งหมดไม่ได้มาจากฟาร์มเจ้าสัว 100% แต่มาจากเกษตรกรขนาดกลาง และขนาดย่อม ที่ทั้งทำ เกษตรพันธสัญญา หรือ คอนแทรคฟาร์มมิ่ง (contract farming), และ เกษตรกรรายย่อยแบบครัวเรือน เป็นสัดส่วนมากกว่า 60-70% ในไทย โดยเกษตรกรทั่วไทยที่ผลิต 4 ผลผลิตเหล่านี้ ได้แก่ สุกร, ไก่, เนื้อวัว, และ ข้าวโพด เป็น 4 ผลผลิตทางการเกษตรที่สหรัฐฯ อาจใช้เป็นข้อต่อรอง และจะส่งผลกระทบต่อเกษตรในภาคอีสานโดยตรง ดังนี้
.

สุกร/เนื้อหมู
อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 40%
จำนวนเกษตรกรเลี้ยงสุกรในภาคอีสาน 66,124 ราย คิดเป็น 46% ของทั้งประเทศ
.

เนื้อไก่/ไก่เนื้อ
อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 30-40%
จำนวนเกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อในภาคอีสาน 13,543 ราย คิดเป็น 52% ของทั้งประเทศ
จำนวนเกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อพื้นเมืองในภาคอีสาน 1,367,012 ราย คิดเป็น 52% ของทั้งประเทศ
.

เนื้อวัว
อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 30-50%
จำนวนเกษตรกรเลี้ยงวัวเนื้อ/โคเนื้อในภาคอีสาน 949,733 ราย คิดเป็น 69% ของทั้งประเทศ
.

ข้าวโพด
อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากสหรัฐฯ ปัจจุบัน 73%
จำนวนเกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อในภาคอีสาน 54,678 ราย คิดเป็น 19.4% ของทั้งประเทศ
.
ดังนั้น การต่อรองมาตรการทางภาษีสหรัฐฯ ย่อมอาจส่งผลโดยตรงกับเกษตรกรขนาดกลางและรายย่อยที่ไม่ได้เลี้ยงแบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้การแข่งขันด้านราคาและต้นทุนไม่สามารถแข่งขันได้ หรือหากไทยต้องแลก สิ่งที่เป็นคำถามคือ ไทยจะรับผลกระทบและมีมาตรการเยียวยาอย่างไรให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ?
.
หมายเหตุ: เคสที่วิเคราะห์นี้ไม่นับรวมการลักลอบนำเข้าผิดกฎหมาย อย่างเช่นเนื้อหมูเถื่อน ที่ส่งผลต่อราคาตลาดและกลไกราคาที่ถูกแทรกแซงจากสินค้าเลี่ยงภาษี ซึ่งจุดนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบควรกำจัดให้เด็ดขาด เพื่อไม่เป็นการซ้ำเติมห่วงโซ่อุปทานที่สุดท้ายเกษตรกรรายย่อยย่อมได้รับผลกระทบ
หมูจีน หมูแดง หมูแพง หมูเถื่อน หมูทรัมป์ ห่วงโซ่เรื่อง หมูๆ ที่ไม่หมูของเกษตรกรไทย