ประเทศไทย ประเทศเทา รายได้ใต้เงา กับธุรกิจนอกระบบในสังคมไทย
ธุรกิจรายย่อยในประเทศไทยนับหมื่นรายถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของการจ้างงาน และการสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ไม่มากก็น้อย แม้ว่าธุรกิจในกลุ่มนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยแต่ผู้ประกอบการธุรกิจในกลุ่มนี้หลายรายไม่ได้มีการจดทะเบียนธุรกิจอย่างถูกกฎหมายหรือเรียกว่าธุรกิจนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการจดทะเบียนพาณิชย์หรือนิติบุคคลก็ตาม ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้อย่างเต็มเม็ดเต้มหน่วย อีกทั้งธุรกิจนอกระบบเหล่านี้เนื่องจากไม่ได้มีการจดทะเบียนทำให้ลูกจ้างนั้นไม่ได้มีการส่งเข้าสู่ระบบประกันสังคมซึ่งถือเป็นสิทธิ์ของลูกจ้างเช่นกัน รายงานจากธนาคารโลก (World Bank) ในปี พ.ศ. 2563 ระบุว่า ประเทศไทยมีขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก และใหญ่ที่สุดในอาเซียน คิดเป็นมูลค่าราว 7 ล้านล้านบาท จากมูลค่า GDP ที่ 15.7 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งหากรวมเศรษฐกิจนอกระบบเข้าไปจะทำให้ GDP โดยรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 22.7 ล้านล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ถูกนำมาบันทึกในระบบ และบ่งชี้ว่า หากสามารถดึงสัดส่วนที่อยู่นอกระบบเหล่านี้เข้าสู่ระบบได้ ก็จะทำให้รายได้ของรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้น มีแหล่งรายได้เพิ่มเติม และสามารถจัดสรรทรัพยากรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนได้มากขึ้น และจากรายงานของ OECD ระบุว่า ในภูมิภาคอาเซียนกว่า 80% ของธุรกิจ และ 55% ของแรงงาน ยังคงอยู่นอกระบบ ซึ่งหมายความว่าแรงงานจำนวนมหาศาลไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ขาดหลักประกันทางสังคม และไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แม้จะเป็นแรงงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานราก รูปที่ 1 ขนาดเศรษฐกิจนอกระบบทั่วโลก พ.ศ. 2563 ที่มา: World Bank เมื่อพิจารณาจากธุรกิจทั่วประเทศ พบว่า จากการรายงานของ สสว. ประเทศไทยมีผู้ดำเนินกิจการประมาณ 3.2 ราย แต่มีเพียง 890,000 รายเท่านั้นที่จดมีการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งใกล้เคียงกับข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่แจ้งว่ามีจำนวนธุรกิจที่จดทะเบียนและยังดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้นราว 9.3 แสนแห่ง สะท้อนว่าเกือบ 3 ใน 4 ของผู้ประกอบการรายย่อยยังคงดำเนินกิจการอยู่นอกระบบ ซึ่งเป็นผลจากทั้งอุปสรรคเชิงโครงสร้าง เช่น ขั้นตอนการจดทะเบียนที่ซับซ้อน การขาดความรู้ด้านบัญชีและกฎหมาย ตลอดจนปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น ไม่เห็นความจำเป็นในการเข้าสู่ระบบ ซึ่งหากผู้ประกอบการที่เหลือมีการเข้าสู่ระบบทั้งหมด จะทำให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ธุรกิจนอกระบบมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากธุรกิจในระบบอย่างชัดเจน โดยมักดำเนินการอยู่ในระดับครัวเรือนหรือรายบุคคล เช่น ร้านขายของชำขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย ร้านอาหารในชุมชน ช่างฝีมืออิสระ และบริการพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งกระจายอยู่ในหลากหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม การค้าปลีกขนาดเล็ก และภาคบริการ รูปที่ 2 สัดส่วนธุรกิจที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคล ที่มา: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภาคอีสานเป็นภาคที่มีสัดส่วนของธุรกิจนอกระบบสูงที่สุด โดยกว่า 90% ของร้านค้าในพื้นที่ไม่ได้จดทะเบียนกับภาครัฐ รองลงมาคือภาคเหนือ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน ปัจจัยที่มีผล ได้แก่ ระดับรายได้เฉลี่ยของประชาชนในพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ความพร้อมด้านทักษะและเทคโนโลยี ตลอดจนการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ยังไม่เพียงพอ สถานการณ์นี้ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยในภูมิภาคดังกล่าวขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนหรือการสนับสนุนด้านพัฒนาอาชีพ และต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากธุรกิจในระบบที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่า รูปที่ 3 สัดส่วนธุรกิจนอกระบบ แบ่งตามภูมิภาค […]
ประเทศไทย ประเทศเทา รายได้ใต้เงา กับธุรกิจนอกระบบในสังคมไทย อ่านเพิ่มเติม »










