SHARP ADMIN

พามาเบิ่ง 👀✋ เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ?

ฮู้บ่ว่าล่ามภาษามือทั่วไทยเหลือเพียง 202 คน เท่านั้น และในภาคอีสานก็มีล่ามเพียง 17 คนเท่านั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม . ISAN Insight and Outlook พามาเบิ่ง เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ?..#ล่ามภาษามือ ในไทย พบว่ามีจำนวนไม่สัมพันธ์กันกับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อสารความหมาย จากเดิมที่มีการจดแจ้งไว้กับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อปี 2552 – 2560 จำนวน 659 คน แต่ปัจจุบันมีเพียง 202 คน เท่านั้น* แบ่งเป็นล่ามภาษามือหูดี 186 คน, ล่ามภาษามือหูหนวก 14 คน และล่ามภาษามือหูตึง 2 คน.นอกจากนี้ ยังพบว่าจังหวัดที่มีล่ามภาษามือคอยให้บริการประชาชนมีเพียง 44 จังหวัด (จากทั้งหมด 77 จังหวัด) ส่วนใหญ่กระจุกตัวในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจังหวัดที่มีล่ามภาษามือมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ (75 คน) , นครปฐม (21 คน) และนนทบุรี (17 คน).ประเทศไทยมีคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อสารความหมาย ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ทั้งหมด 423,973 คน จากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 67 โดยภูมิภาคที่มีคนพิการทางการได้ยินมากที่สุดคือภาคอีสาน (162,456 คน) รองลงมาคือ ภาคกลางและตะวันออก (84,350 คน) ภาคใต้ (55,020 คน) และ กทม. (22,884 คน).อย่างไรก็ตามทางสมาคมล่ามภาษามือแห่งประเทศไทย เคยวิเคราะห์ข้อมูลเฉลี่ยความสามารถในการให้บริการด้านภาษามือชุมชน ไว้ว่าคนหูหนวก 10 คนต่อล่ามภาษามือ 1 คน ดังนั้น ประเทศไทยควรมีล่ามภาษามือในสัดส่วนที่เหมาะสม ประมาณ 42,000 คน..อ้างอิงจาก:กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ข้อมูล ณ วันที่ 20 ส.ค. 2567.ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่https://linktr.ee/isan.insight.#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ล่ามภาษามือ #ล่ามภาษามืออีสาน

พามาเบิ่ง 4 บริษัทอีสานในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ารวมกว่า 1,497 ล้านบาท

พามาเบิ่ง 4 บริษัทอีสานในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ารวมกว่า 1,497 ล้านบาท . . ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยมีด้วยกัน 3 ตลาด ได้แก่ SET, mai และ LIVEx ซึ่งหลายท่านอาจจะคุ้นหูกับบริษัทจากแดนอีสานบ้านเฮาที่อยู่ใน SET กันมาพอสมควร แต่ทว่าตลาด mai นั้นยังมีอีกหลายท่านที่เคยได้ยิน หรือรู้จักกันมาบ้าง แต่อาจจะไม่รู้ว่าบริษัทจากอีสานบริษัทใดบ้างที่อยู่ในตลาด mai . ตลาด mai หรือย่อมาจาก Market for Alternative Investment  เป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมีทุนชำระแล้วหลัง IPO ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมีแนวโน้มการเติบโตได้ดีในอนาคต (Business for the Future) . 4 จากบริษัทแดนอีสานในตลาด mai ได้แก่ 1.บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) จังหวัดมหาสารคาม ธุรกิจ: อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง: ก่อสร้างบ้าน ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ รายได้: 543.99 ล้านบาท | กำไร: -20.36 ล้านบาท เติบโต: 370.50% | อัตรากำไรสุทธิ: 14.49%   2.บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) จังหวัดขอนแก่น ธุรกิจ: สินค้าอุตสาหกรรม: ผลิตและจำหน่ายรถพ่วง อะไหล่ และซ่อมบริการ รายได้: 163.77 ล้านบาท | กำไร: -572.48 ล้านบาท เติบโต: -22.94% | อัตรากำไรสุทธิ: 10.94%   3.บริษัท เค.ซี.เมททอลชีท จำกัด (มหาชน) จังหวัดขอนแก่น ธุรกิจ: สินค้าอุตสาหกรรม: หลังคาเหล็กเคลือบ รีดลอน โครงสร้างผนังและหลังคา รายได้: 204.00 ล้านบาท | กำไร: -2.82 ล้านบาท เติบโต: 7.33% | อัตรากำไรสุทธิ: 78.75%   4.บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) (บุรีรัมย์) ธุรกิจ: เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร: ฟาร์มเลี้ยงไก่พันธุ์เนื้อ …

พามาเบิ่ง 4 บริษัทอีสานในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ารวมกว่า 1,497 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

กาฬสินธุ์ ถิ่นน้ำดำ แดนไดโนเสาร์🦕 ก้าวข้ามจังหวัดที่ยากจนที่สุดในอีสาน ได้อย่างไร?

“การแก้ปัญหาความยากจน” ถือเป็นประเด็นความสำคัญที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่13 (256 – 2570) ได้กำหนดเป้าหมายไว้ใน “หมุดหมายที่ 9”ที่มุ่งแก้ไขปัญหา “ความยากจนข้ามรุ่น” ในสังคมไทย เพื่อให้คนไทยมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ และเหมาะสม ทั้งนี้ข้อมูลจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า ปี 2565 พบว่า ครัวเรือนที่มีแนวโน้มจะตกอยู่ในความยากจนข้ามรุ่น หรือเรียกโดยย่อว่า ‘ครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น’ มีจำนวนประมาณ 597,248 ครัวเรือน หรือคิดเป็นประมาณ 15% ของครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชนเป็นสมาชิก ปัจจุบันมี 20 จังหวัดเป้าหมายซึ่งสามารถสอบทาน กำหนดกลุ่มคนจนเป้าหมายที่ถูกต้องและแม่นยำ สามารถส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเยี่ยวยาแก้ไขปัญหา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำในระดับครัวเรือน บพท.ได้ขับเคลื่อนแพลตฟอร์มขจัดความ ยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำระดับจังหวัด ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) การสร้างกลไกความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนระดับจังหวัด ด้วยข้อมูลจากกระบวนการวิจัย 2) ระบบข้อมูลครัวเรือนยากจนชี้เป้า ระดับพื้นที่ที่ครอบคลุม ปัญหาและฐานทุนรายครัวเรือนแบบเรียลไทม์ เป็นระบบข้อมูลที่ใช้กระบวนทาง สังคมแบบมีส่วนร่วมในการค้นหาและสอบทาน 3) ระบบส่งต่อความช่วยเหลือครัวเรือนยากจนและติดตามผล สร้างกลกความร่วมมือการส่งต่อความช่วยเหลือ กับองค์กรและหน่วยงานระดับพื้นที่แบบตรงเป้า ซึ่งช่วยลดความซ้ำซ้อนการทำงาน และสามารถยกระดับ คุณภาพชีวิตและฐานะทางสังคมของครัวเรือนยากจนเป้าหมาย 4)สร้างโมเดลแก้จนมิติอาชีพเพื่อยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจ โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ และสร้างห่วงโซ่คุณค่าจากธุรกิจที่มีความสอดคล้องกับบริบทพื้นที่และศักยภาพครัวเรือนยากจน รับรู้บริบทของ จังหวัดกาฬสินธุ์ กับอดีตเมืองที่เคยติดอันดับ Top3 ของจังหวัดที่จนที่สุดในประเทศ ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 เมื่อเอ่ยถึงจังหวัดกาฬสินธุ์ หลายคนมักจะนึกถึงจังหวัดที่เป็นเมืองรองในภาคอีสาน ที่เผชิญ ปัญหาความยากจน เรื้อรังติดต่อกันมากกว่า 5 ปี โดยมีข้อมูลระบุว่า ปี 2562 จังหวัดกาฬสินธุ์ มีประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ โดยข้อมูลสำคัญของ จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ทุกคนควรรู้ก่อนจะไปเรียนรู้กระบวนการแก้ปัญหาความยากจนในระดับจังหวัดของที่นี่ คือ กาฬสินธุ์ตั้งอยู่ในภาคอีสานตอนกลางเชื่อมต่อกับสกลนคร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และขอนแก่น มีเนื้อที่ประมาณ 6,946.75 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 4 ล้าน 3 แสนไร่ แบ่งออกเป็น 18 อำเภอ 135 ตำบล 1,584 หมู่บ้าน มีประชากร 983,418 คน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ในวัยแรงงานช่วงอายุ 25 – 59 ปี ร้อยละ 27.7 ประชากรวัยเด็กร้อยละ 23.28  และประชากรวัยสูงอายุ ร้อยละ 22.15 แต่อย่างไรก็ดี กาฬสินธุ์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเกษตรกรรมแห่งอีสานบ้านเรา เพราะจากข้อมูลโครงสร้างเศรษฐกิจจังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562 มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือ GPP 58,517 ล้านบาท เป็นการผลิตภาคเกษตร 13,552 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ …

กาฬสินธุ์ ถิ่นน้ำดำ แดนไดโนเสาร์🦕 ก้าวข้ามจังหวัดที่ยากจนที่สุดในอีสาน ได้อย่างไร? อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง “วัวแดนอีสาน” กว่า 5.6 ล้านตัว กระจายอยู่ไหนบ้าง

ชวนมาเบิ่ง “วัวแดนอีสาน” กว่า 5.6 ล้านตัว กระจายอยู่ไหนบ้าง . . ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่เลี้ยงวัวมากที่สุดในประเทศ มีสัดส่วนกว่า 54.3% เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่ได้เปรียบในหลายด้าน อย่างเช่น มีความได้เปรียบด้านแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยเฉพาะวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น กากมันสำปะหลัง รำ ปลายข้าว ฟางข้าว และเปลือกข้าวโพด ที่นิยมนำมาผสมเป็นอาหารข้นเลี้ยงโคขุน เนื่องจากมีราคาถูก และให้คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าอาหารหยาบ (หญ้าสด) รวมไปถึงความได้เปรียบในเส้นทางคมนาคมการส่งออกวัวเนื้อมีชีวิตไป สปป. ลาว ซึ่งจะเป็นการส่งออกไปจีนผ่าน สปป.ลาว เป็นหลัก . ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนการเลี้ยงวัวมากกว่า 5,605,513 ตัว แบ่งเป็นวัวเนื้อกว่า 97.2% และวัวนมเพียง 2.8% เท่านั้น และมีจำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงวัวอยู่  977,716 คน ซึ่งแบ่งเป็น เกษตรกรที่เลี้ยงวัวเนื้ออยู่ 99.5% และเกษตรกรที่เลี้ยงวัวเนื้ออยู่เพียง 0.5% . จะเห็นได้ว่าแต่ละกลุ่มจังหวัดจะนิยมเลี้ยงวัวเนื้อมากกว่าเนื้อนม แล้วทำไมเกษตรกรถึงนิยมเลี้ยงวัวเนื้อ? . เนื่องจากโคเนื้อเป็นหนึ่งในสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของไทย ทั้งในเชิงของการใช้งาน รวมถึงการเลี้ยงขุนเพื่อบริโภค และใช้เพื่อการจำหน่าย อีกทั้งยังมีการผลักดัน “โคเนื้อไทย” เป็นสินค้าอุตสาหกรรมระดับพรีเมี่ยม ด้วยการแปรรูปพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน รูปแบบ และบรรจุภัณฑ์ของสินค้า และยังมีโครงการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อให้สามารถผลิตเนื้อที่มีคุณภาพเทียบเคียงกับเนื้อนำเข้าจาก ต่างประเทศหลากหลายสายพันธุ์มากขึ้น อย่างเช่น เนื้อโคขุนโพนยางคำจากจังหวัดสกลนคร เนื้อโคราชวากิว  . นอกจากนี้ เนื้อโคคุณภาพดีของภาคอีสานยังได้รับคัดเลือกให้เป็นเมนูอาหารขึ้นโต๊ะต้อนรับผู้นำระดับโลกในการประชุม “APEC 2022” ขณะเดียวกันมีการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อ “โคดำลำตะคอง” จากนวัตกรรมการผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ โคพื้นเมือง วากิว และแองกัส ถือเป็นตัวอย่างการพัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพสูง รองรับความต้องการบริโภคในประเทศที่เปลี่ยนไปในทิศทางพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต . . 5 อันดับจังหวัดที่เลี้ยงวัวมากที่สุดในประเทศ ก็จะเป็นจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ ตามลำดับ ซึ่งจังหวัดเหล่านี้ก็จะอยู่ในกลุ่มจังหวัด “นครชัยบุรินทร์” และ “ราชธานีเจริญศรีโสธร” หรืออีสานล่างนั่นเอง เพียง 2 จังหวัดถือว่ามีสัดส่วนการเลี้ยงวัวมาก 60% เลยทีเดียว  . ซึ่งสาเหตุที่ทำให้กลุ่มจังหวัดอีสานล่าง อย่าง “นครชัยบุรินทร์” และ “ราชธานีเจริญศรีโสธร” มีการเลี้ยงวัวมากที่สุด นั่นก็คือ อีสานตอนล่างมีขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมและทรัพยากรโดยรวมที่เอื้อต่อการเลี้ยงวัว ฟาร์มเลี้ยงวัวรายใหญ่ในภาคอีสานก็มักจะอยู่ในกลุ่มจังหวัดเหล่านี้  . โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มนครชัยบุรินทร์ อย่าง “บริษัท เซ่งเฮงฟาร์ม จำกัด” จากจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีรายได้รวมในปี 2566 กว่า 248 ล้านบาท ซึ่งเป็นฟาร์มเลี้ยงวัวที่มีรายได้มากที่สุดในประเทศ …

ชวนมาเบิ่ง “วัวแดนอีสาน” กว่า 5.6 ล้านตัว กระจายอยู่ไหนบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

ส.ขอนแก่น ธุรกิจที่มีชื่อ “ขอนแก่น” แต่ไม่ได้มาจาก “ขอนแก่น” จุดเริ่มต้นจากของฝาก สู่อาณาจักรพันล้าน

  ส.ขอนแก่น แบรนด์ของกินแสนอร่อยไปที่ไหนก็เจอ หลายคนคงคิดว่าชื่อ ส.ขอนแก่น คงต้องเป็นแบรนด์ของคนขอนแก่น ที่เริ่มต้นจากขอนแก่นแน่ๆ แต่ที่จริงแล้วแบรนด์ ส.ขอนแก่น มีจุดเริ่มต้นที่กรุงเทพ โดยคนกรุงเทพที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับจังหวัดขอนแก่นแต่อย่างใด นอกจากสินค้าที่นำมากขายนั้นมาจากจังหวัดขอนแก่นในช่วงก่อตั้ง   จุดเริ่มต้นของ ส.ขอนแก่น เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2527 มาจาก คุณเจริญ รุจิราโสภณ จากการสังเกตุว่าคนกรุงเทพนิยมบริโภคอาหารประเภทหมูหย็อง หมูแผ่น และกุนเชียง ทำให้เมื่อคุณเจริญ เดินทางมายังจังหวัดขอนแก่นก็จะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาขายที่กรุงเทพ หรือก็คือของฝากจากขอนแก่นนั่นเอง นี่จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ “ส.ขอนแก่น” หรือ “สินค้าจากขอนแก่น” เป็นชื่อแบรนด์ที่เข้าใจง่ายและสื่อสารได้เป็นอย่างดี จนใจปัจจุบันผ่านมาแล้วกว่า 40 ปี ส.ขอนแก่น มีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆออกสู่ตลาดมากมาย โดยการผลิตนั้นใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิต และมีการทำฟาร์มสุกรของตนเองเพื่อควบคุมราคา และคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากล โดยที่เสน่ห์ของความอร่อยไม่ได้หายไปไหน   แม้ในปัจจุบันจะสามารถพูดได้ว่า ส.ขอนแก่น ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับขอนแก่นอีกแล้วดังเช่นในช่วงเริ่มต้นที่ต้องซื้อสินค้าจากขอนแก่นไปขายในกรุงเทพ ด้วยการที่บริษัทจะต้องมีการเติบโตและควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำไม่ว่าจะเป็นการทำฟาร์มสุกรเลี้ยงหมูเอง การแปรรูปเนื้อสัตว์ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ และส่งขายไปยังที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังส่งขายไปยังต่างประเทศมากมาย ทั้งยังมีโรงงานผลิตในต่างประเทศอีกด้วย ไม่ใช่แค่เพียง ส.ขอนแก่น เท่านั้น แต่บริษัทยังคงมีแบรนด์ย่อยอีกมากมาย ได้แก่ ส.ขอนแก่น หมูดี บ้านไผ่ หมูแชมป์ ห้วยแก้ว แบรนด์กันเอง Entrée (อองเทร่) ยูนนาน แต้จิ๋ว มหาชัยฟู้ดส์ ไทเป  ไทยเดิม เซี่ยงไฮ้ และ ไท่ เป่า หลง สินค้าหลักของ ส.ขอนแก่น นั้นจะเป็นอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ถึง 53% และเป็นอาหารทะเลแปรรูป 33% โดย ส.ขอนแก่น จะเน้นไปทางอาหารพื้นเมืองไทยเป็นหลัก จากการที่สินค้าเข้าถึงง่าย หลากหลาย และรสชาติที่ถูกปาก หากมองในด้านของรายได้บริษัทจะพบว่า รายได้รวมของบริษัทมีการเพิ่มขึ้นในทุกปี แต่การเพิ่มขึ้นขางรายได้นั้นสิ่งหนึ่งที่ตามมาเป็นเงาตามตัวในธุรกิจคือต้นทุนที่ตามมา โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 สัดส่วนต้นทุนการขายของทางบริษัทมีการปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งผลมาจากต้นทุนของเนื้อสัตว์ในปี พ.ศ. 2565 นั้นมีการปรับตัวสูงขึ้น ก่อนจะมีการปรับลดลงมาในปี พ.ศ. 2566 แต่การที่บริษัทมีการทำฟาร์มสุกรของตนเองนั้นทำให้ตัวธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบมากเมื่อเทียบกับธุรกิจที่ไม่มีฟาร์มสุกรของตนเอง   ทั้งนี้ ส.ขอนแก่น ก็ยังคงเป็นแบรนด์ยังคงทำให้คนนึกถึงเวลามาเที่ยวขอนแก่นว่านักท่องเที่ยวควรจะซื้อของฝากอะไรจากขอนแก่น แม้ของฝากชิ้นนั้นจะไม่ใช่แบรนด์ของ ส.ขอนแก่น เองก็ตาม แต่ก็เป็นการช่วยให้ธุรกิจในพื้นที่มีรายได้ และสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ส.ขอนแก่น เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ช่วยนำเสนอสินค้าพื้นเมืองของขอนแก่นได้เป็นอย่างดี   ฮู้บ่ว่า? คุณธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เคยให้ HR ติดต่อและทาบทาม คุณเจริญ รุจิราโสภณ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งได้ข้อเสนอที่ลงตัวจึงได้ร่วมงานด้วยกัน อีกทั้งในตอนที่ CP สนใจธุรกิจอาหาร คุณเจริญ รุจิราโสภณ …

ส.ขอนแก่น ธุรกิจที่มีชื่อ “ขอนแก่น” แต่ไม่ได้มาจาก “ขอนแก่น” จุดเริ่มต้นจากของฝาก สู่อาณาจักรพันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง บริษัทเครื่องปรุงไทยที่สร้างชื่อและโดดเด่นในตลาด GMS

ฮู้บ่ว่า ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวรแถบลุ่มแม่น้ำโขง มีสินค้าของคนไทยเข้าไปทำการตลาดและขายสินค้า จนสามารถมีบทบาทสำคัญของตลาดสินค้าอาหารและเครื่องปรุงในต่างประเทศได้   . บริษัทเครื่องปรุงและวัตถุดิบในประเทศไทยนับว่ามีบทบาทในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีพรมแดนติดกันกับประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความนิยมของสินค้าไทย ไม่ว่าจะเป็นจากด้านคุณภาพและด้านราคา จนสามารถมีบทบาทโดดเด่นในประเทศปลายทางที่มีการขายสินค้าได้ โดยได้แสดงออกมาจากส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทไทยที่มีในประเทศนั้นๆ    . ในประเทศลาว บริษัทเครื่องปรุงและวัตถุดิบของประเทศไทยที่โดดเด่น มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันมากถึง 31% โดยบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดคือ บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด ที่มีสินค้าหลักๆคือ น้ำมันพืชตรากุ๊ก และเพียงแค่บริษัทเดียวก็ครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศลาวมากถึง 17.3% นอกจากนี้ยังมีบริษัทเด่นๆ อีก 3 บริษัทที่มีสินค้าประเภทซอสปรุงรสอย่าง ซอสภูเขาทอง เด็กสมบูรณ์ และน้ำปลาตราทิพรส   . ประเทศที่มีพรมแดนติดกับอีสานตอนใต้อย่างประเทศกัมพูชา มีบริษัทที่โดดเด่นเพียงแค่บริษัทเดียวคือ  บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) ที่มีสินค้าอย่าง น้ำมันพืชตราองุ่น ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเครื่องปรุงและวัตถุดิบของประเทศกัมพูชาไปกว่า 10.5%    . ประเทศเมียนมาร์เองก็มีบริษัทไทยที่โดดเด่นที่ครองส่วนแบ่งการตลาดไปกว่า 18.5% สินค้าเด่นๆของไทยคือ น้ำปลาตราคนแบกกุ้ง ของบริษัท อุตสาหกรรมน้ำปลาระยอง จำกัด นอกจากนี้ยังมี น้ำมันพืชตรากุ๊กและน้ำผลไม้เข้มข้น ตราควีน อีกด้วย   . ในประเทศจีนและเวียดนาม สินค้าในประเภทเครื่องปรุงของประเทศไทยไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนี้เป็นประเทศที่มีขนาดอุตสาหกรรมที่ใหญ่ และมีผลผลิตสินค้าประเภทนี้ภายในประเทศตนเองที่สูงอยู่แล้ว ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของสินค้าไทยใน 2 ประเทศนี้มีน้อยมาก

หนาวนี้ อีสานตอนบนหนาวกว่าที่ผ่านมา คาดการณ์ อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 6 – 8 ํC

ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน คาดการณ์ว่าฤดูหนาวจะเข้ามายังภาคอีสานประมาณปลายสัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคม 2567 และจะสิ้นสุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยพื้นที่ภาคอีสานตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นมากกว่าปีที่ผ่านๆมา โดยมีอีสานตอนบนจะมีอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยประมาณ 20 – 21 องศาเซลเซียส และจะมีอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 6 – 8 องศาเซลเซียส ช่วงที่จะมีอุณหภูมิต่ำที่สุดจะอยู่ในช่วงประมาณต้นเดือนธันวาคม 2567 ถึงเดือนมกราคม 2568 โดยมีลำดับเวลาฤดูหนาวของอีสานตอนบนดังนี้ ประมาณปลายสัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน  หลายๆคนคงได้สัมผัสกับหนาวแรกของช่วงท้ายปีกันไปแล้ว โดยเฉพาะบริเวณอีสานตอนบน ซึ่งมีอากาศเย็นไปถึงหนาวในบางพื้นที่ และมีหมอกในตอนเช้า และมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 – 20 ของพื้นที่เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีน แผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือและภาคอีสาน  ช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม เป็นช่วงที่พื้นที่ภาคอีสานจะมีอากาศหนาวเย็นมากขึ้น โดยเฉพาะอีสานตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นเกือบทั่วไปและหนาวจัดบริเวณตอนบนของภาค และมีหมอกหนาในหลายๆพื้นที่ โดยบริดวณยอดภูรวมทั้งเทือกเขาจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและเกิดน้ำค้างแข็ง เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากจีนแผ่มายังประเทศไทย รวมไปถึงมรสุมที่ยังพัดปกคลุมประเทศไทย ช่วงระยะต้นและกลางเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงท้ายของฤดูหนาวของประเทศไทย อีสานตอนบนจะยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า อากาศโดยรวมเริ่มอุ่นขึ้น และเริ่มมีอากาศร้อนหลายพื้นที่ในตอนกลางวัน กับหมอกหนาในหลายๆพื้นที่  . . ฤดูหนาว เป็นฤดูโปรดของใครหลายๆคน มีบรรยากาศเย็นสบาย หลายๆคนคงจะวางแผนไปท่องเที่ยวและพักผ่อน แต่ก็ยังมีปัญหาที่ตามมาอีกหลายอย่าง โดยอ้างอิงจากเคสในฤดูหนาวปีที่ผ่านมา ซึ่งคนอีสานควรเตรียมพร้อมเรื่องใดบ้าง Isan insight & Outlook สิพามาเบิ่ง….   1. ไฟป่า ภัยที่เป็นดั่งเงาของหน้าแล้ง ไฟป่า ดูเหมือนจะเป็นภัยที่เกิดมากในช่วงฤดูหนาว เพราะเป็นช่วงที่ป่ามีการผลัดใบและแห้งแล้ง ซึ่งภาคอีสานมีพื้นที่ป่าอยู่มาก ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟป่าย่อมมากตาม โดยสถานการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ของภาคอีสานที่ผ่านมาเมื่อต้นปี 2567 ในเดือน ก.พ. ได้แก่ เหตุไฟไหม้บนเทือกเขาภูแลนกา จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นเหตุกาณ์ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปีของจังหวัด ดังนั้นการป้องกันภัยป่าจึงเป็นสิ่งที่ควรระวังเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาว   2. ฝุ่นละออง ของฝากที่ไม่ต้องการจากหน้าหนาว เมื่อเข้าฤดูหนาว สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในชีวิตประจำวันนั่นคือปัญหาเรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 เนื่องจา่กมีแนวโน้มความกดอากาศที่สูงขึ้น ส่งผลทำให้อากาศไม่ถ่ายเท ผนวกพื้นดินแห้งและมักจะมีการเผาไร่นา ส่งผลทำให้มีฝุ่นละอองสะสม ตัวอย่างปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในภาคอีสาน คือในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่หลายจังหวัดในภาคมีระดับค่าความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 ในระดับสีแดง ไปจนถึงแดงเข้ม ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งในปีนี้ก็คงหนีไม่พ้นการเผชิญกับปัญหาฝุ่นละออง ดั้งนั้นสิ่งที่เราทำได้คือการป้องกันตนเอง เช่น ลดการทำกิจกรรมการแจ้ง สวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น    3. ความหนาวเย็น ไม่ได้เป็นแค่ความโรแมนติก ภาคอีสานเป็นภาคที่ฤดูหนาวหนาวมากอยู่แล้ว และปีนี้ก็คาดว่าจะหนาวเย็นมากว่าปีที่ผ่านๆมา ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันที่อาจจะยากลำบากขึ้น ความหนาวเย็นสุดขั้วสามารถส่งผลแก่ร่างกายจนอาจถึงแก่ชีวิต ในปีที่แล้วหลายๆจังหวัดได้เผชิญกับภัยหนาว เช่น บุรีรัมย์ สกลนคร กาฬสินธุ์ เป็นต้น ซึ่งหน้าหนาวปีนี้จะเริ่มหนักในช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม ผู้คนที่อาศัยบริเวณภูเขาควรเตรียมตัวเป็นพิเศษ เนื่องจากมีโอกาสที่บริเวณยอดภูเขาจะเกิดน้ำค้างแข็ง และจะมีหมอกหนาในหลายๆพื้นที่ ดังนั้นควรระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุในการใช้รถใช้ถนนให้ดี นอกจากนั้นยังมีโรคติดต่อที่มากับหน้าหนาว เช่น ไข้หวัดใหญ่ …

หนาวนี้ อีสานตอนบนหนาวกว่าที่ผ่านมา คาดการณ์ อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 6 – 8 ํC อ่านเพิ่มเติม »

ลาวถูกแซงหน้า จากสินค้าจีนล้นด่านชายแดนอีสาน : เปรียบเทียบการนำเข้าก่อน-หลังสงครามการค้า

ฮู้บ่ว่าปัจจุบัน สินค้านำเข้าจากจีนกลายเป็นอันดับ 1 ของการนำเข้าฝั่งอีสาน แซงหน้าประเทศลาวด้วยอัตราการเติบโตกว่า 78% ภายใน 7 ปี   . ลาวนับเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดกันกับคนในภาคอีสาน ทั้งด้านเชื้อชาติ ภูมิประเทศ ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมไปถึงการเป็นคู่ค้าสำคัญกับภาคอีสาน ที่มีมูลค่าการค้าชายแดนมากถึง 271,800 ล้านบาท ภายในปี 2567 ในภาพรวมประเทศไทยยังได้เปรียบด้านการค้ากับลาว จากการเกินดุลการค้า มูลค่ากว่า 39,306 ล้านบาท    . จีน เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีประเด็นที่ได้รับความสดใจในด้านการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ เนื่องจากการเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และมีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก และประเทศไทยก็นับเป็นตลาดสำคัญในการระบายสินค้าจากการถูกมาตรการด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา เมื่อมองมาที่ภาคอีสานจะเห็นได้ว่า สัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนมีการเพิ่มขึ้นสูงหลังจากการเกิดสงครามการค้าในปี 2561 จนทำให้การนำเข้าสินค้าจากจีนมาฝั่งอีสานแซงหน้า สปป.ลาว ที่เป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกัน ในภาพรวมของดุลการค้า ไทยมีการขาดดุลการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในการค้าทั้งประเทศและการค้าผ่านแดนฝั่ง สปป.ลาว ผลกระทบจากการค้าดังกล่าวอาจสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการและผู้บริโภคในพื้นที่ จากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากด้านราคา และความหลากหลายของสินค้า . สาเหตุที่ประเทศลาวที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านฝั่งอีสาน ถูกจีนนำหน้าในด้านสัดส่วนการนำเข้าชายแดนฝั่งอีสาน ไม่ได้เกิดจากการลดลงของมูลค่าการนำเข้าสินค้าลาวของไทย แต่เกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของการนำเข้าสินค้าจากจีน ที่ทำให้สัดส่วนการนำเข้าสินค้าลาวลดลงไปถึง 36% พามาเบิ่ง 8 ปีผ่านไป ไทยขาดดุลจีนมากแค่ไหน จีนบุกไทยจากภายใน ผ่านการตั้งโรงงานในไทยของชาวจีน

พามาเบิ่ง ซื้อหุ้น 1% บริษัทใหญ่ของอีสาน ใช้เงินจักบาท ได้ปันผลเท่าใด๋?

พามาเบิ่ง ซื้อหุ้น 1% บริษัทใหญ่ของอีสาน ใช้เงินจักบาท ได้ปันผลเท่าใด๋? . . การลงทุนในหุ้นเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลายๆ ท่าน และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเราเองก็มีบริษัทที่สามารถเติบโตจนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้อย่างที่ทุกท่านทราบกัน . แต่ถ้าหากอยากเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้สัก 1% ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ และจะได้ปันผลกลับมามากแค่ไหน ทางอีสานอินไซต์ขอพาทุกท่านไปดูตัวอย่างการลงทุนในบริษัทยักษ์ใหญ่ของอีสาน ดังนี้ . GLOBAL: บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุนประมาณ 821,893,978 บาท ปันผลที่คาดว่าจะได้รับ 7,840,869 บาท DOHOME: บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) เงินลงทุนประมาณ 335,871,644 บาท ปันผลที่คาดว่าจะได้รับ 151,142 บาท NER: บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุนประมาณ 92,389,487 บาท ปันผลที่คาดว่าจะได้รับ 5,654,237  บาท KSL: บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เงินลงทุนประมาณ 88,204,652 บาท ปันผลที่คาดว่าจะได้รับ 1,984,605 บาท  PCSGH: บริษัท พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ปโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เงินลงทุนประมาณ 67,100,000 บาท ปันผลที่คาดว่าจะได้รับ 5,489,451 บาท BRR: บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุนประมาณ 35,407,576 บาท ปันผลที่คาดว่าจะได้รับ 1,462,687 บาท . หมายเหตุ: 1.ข้อมูล ณ วันที่ 6 พ.ย. 2567 เวลาหลังจากตลาดปิดทำการ 2.เงินลงทุนประมาณ คำนวณจาก (จำนวนหุ้นชำระแล้ว x 0.01) x ราคาปัจจุบัน 3.เงินปันผลคาดการณ์ คำนวณจาก อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%) x มูลค่าหุ้นที่ถือครองอยู่ 4.หน่วยของ เงินลงทุนประมาณ คือ ล้านบาท (‘0,000) 5.หน่วยของ เงินปันผลคาดการณ์ คือ แสนบาท (‘000) 6.เงินปันผลคาดการณ์ คำนวณโดย หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% แล้ว 7.บางบริษัทอาจจะมีการจ่ายปันผล 2 รอบต่อปี …

พามาเบิ่ง ซื้อหุ้น 1% บริษัทใหญ่ของอีสาน ใช้เงินจักบาท ได้ปันผลเท่าใด๋? อ่านเพิ่มเติม »

ท่าทรายรุ่งอรุณ: ผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจขุดกรวดและทรายของอีสาน

วัตถุดิบที่จำเป็นต่อการก่อสร้างมีอยู่มากมาย โดยแต่ละอย่างล้วนมีบทบาทสำคัญและขาดไม่ได้ เช่น หิน กรวด ทราย ซีเมนต์ หินปูน และแร่ยิบซั่ม เป็นต้น การขาดวัตถุดิบใดวัตถุดิบหนึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมการก่อสร้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพาคุณไปสำรวจบริษัทขุดทรายและกรวดรายใหญ่ในภาคอีสาน ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบสำคัญที่มีบทบาทสำคัญในทุกโครงการก่อสร้าง   บริษัท ท่าทรายรุ่งอรุณ จำกัด บริษัทขุดทรายและกรวดอันดับ 1 ในภาคอีสานที่มีประสบการณ์ยาวนานมากกว่า 20 ปี จากเดิมที่เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ท่าทรายรุ่งอรุณ ก่อนจะทำการแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัดในปี 2565 ที่ผ่านมา หากมองในด้านของผลประกอบการจะเห็นได้ว่าในช่วงที่เป็นห้างหนุ้นส่วนจำกัดรายได้มีการปรับตัวสูงขึ้นทุกๆปี เป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาวัตถุดิบก่อสรา้งที่มีการปรับราคาสูงขึ้น  แม้จะมีสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ระบาดแต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของทางบริษัทแต่อย่างใด หากมอกในด้านของกำไร(ขาดทุน) จะพบว่าช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักในช่วงแรกนั้นกำไรจะมีการปรับตัวลดลงบ้างเล็กน้อยแต่ในปีต่อมาทางบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล หลังจากในปี 2565 ที่ทางบริษัทได้ทำการแปรสภาพจากห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นบริษัทจำกัดนั้น ในช่วงแรกแม้ว่ารายได้รวมและกำไรจะมีการปรับลดลงไปบ้าง แต่จากแนวโน้มในปี 2566 ที่ผ่านมาคาดว่าในปี 2567 นี้รายได้รวมและกำไรอาจจะสูงกว่าช่วงปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทสามารถทำรายได้และกำไรสูงสุดก่อนทำการเปลี่ยนแปลงเป็นบริษัทจำกัด   ในปี 2566 บริษัท ท่าทรายรุ่งอรุณ จำกัด สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในภาคการขุดกรวดและทราย (08103) ในภาคอีสานได้ 41% ขณะที่หากมองดูในด้านของภาพรวมทั้งประเทศจะพบว่าบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 13% แต่หากมองเฉพาะเจ้าที่เป็นรายใหญ่ในการขุดทรายและกรวดในเว็บไซต์ของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะพบว่ามีเพียง บริษัท ท่าทรายรุ่งอรุณ จำกัด บริษัทเดียวเท่านั้นที่ถูดจัดอยู่ในหมวดรายใหญ่ ฉะนั้น จึงสามารถพูดได้ว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ของทางบริษัทนั้นส่วนมากจะเป็นบริษัทชนาดกลางและขนาดเล็กซะมากกว่านั่นเอง   การเปลี่ยนแปลงเป็นบริษัทจำกัดคือ กิจการที่จดทะเบียนบริษัทจำกัด มีลักษณะการทำกิจการร่วมกัน เพื่อหากำไรร่วมกัน จะต้องจดทะเบียนนิติบุคคล เดิมต้องมีเจ้าของกิจการตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป แต่ในปัจจุบันมีข้อยกเว้นตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เป็นต้นไปไว้ว่า การจดทะเบียนบริษัทสามารถทำได้โดยมีผู้เริ่มก่อตั้ง ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และมีรายได้จะมีหน้าที่ต้องเสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย ไม่ว่าจะตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือตามกฎหมายต่างประเทศ   อ้างอิงจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์, เว็บไซต์ของบริษัท, ธนาคารกสิกรไทย, iTAX

Scroll to Top