Nanthawan Laithong

พาส่องเบิ่ง “ACG” โกยรายได้ไตรมาสแรก 486 ล้านบาท ลุยเปิดฟาสต์ฟิต AUTOCLIK 30 สาขา

จากดีลเลอร์รายใหญ่ของฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทยในเขตภาคอีสาน ขยับไปเป็นเสือข้ามห้วยปักธงที่จังหวัดภูเก็ต “ฮอนด้า มะลิวัลย์” ในเครือ บริษัท ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมุ่งสรรพกำลังไปที่ศูนย์ดูแลรักษาสำหรับรถที่หมดระยะประกัน ฟาสต์ฟิต ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจยานยนต์มากว่า 30 ปี คุณภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ACG ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ จึงเป็นจุดกำเนิดของ ออโตคลิกบายเอซีจี “เราทำศูนย์บริการรถยนต์แบบเร่งด่วน หรือ ฟาสต์ฟิตมากว่า 2 ปี ภายใต้แบรนด์ ออโตคลิก (AUTOCLIK) ปัจจุบันมี 12 สาขาทั่วประเทศ ส่วนปีนี้เตรียมเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา และตั้งเป้าในปี 2567 จะขยายครบ 30 แห่ง” คุณภานุมาศ กล่าวและว่า การขยายสาขาของ AUTOCLIK บริษัทจะดำเนินการลงทุนเองทั้งหมด และไม่เปิดรับแฟรนไชส์ เพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการควบคุมคุณภาพงานบริการ รวมถึงบุคลากร ซึ่งการเปิดเพิ่มแต่ละสาขาอยู่บนพื้นฐานการลงทุนที่สมเหตุสมผล บนทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเช่าที่ดิน AUTOCLIK เป็นศูนย์บริการรถยนต์ทุกยี่ห้อประเภทเร่งด่วน ให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ ระบบเบรก โช้คอัพ ช่วงล่าง และระบบแอร์รถยนต์ ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทุกสาขา ซึ่งการที่บริษัทมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ยังช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์ (คู่ค้าที่จัดส่งอะไหล่ให้) ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี “ACG มีบริษัทย่อยที่มีประสบการณ์ยาวนานจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ ทำให้เราสามารถใช้ประสบการณ์มาต่อยอดธุรกิจประเภท ฟาสต์ฟิตได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องการควบคุมต้นทุน การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างผลกำไรในระยะยาว” สำหรับจุดเด่นของ AUTOCLIK คือ การให้บริการในรูปแบบดิจิทัล ตั้งแต่การเปิดใบสั่งซ่อมจนถึงส่งมอบรถ โดยไม่ใช้กระดาษ (Paperless) และเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่มีการจัดทำ e-Tax invoice และ e-Receipt (ใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) เพื่อให้ความสะดวกแก่ลูกค้า AUTOCLIK เปิดดำเนินการสาขาแรกในเดือนมีนาคม 2564 ปัจจุบันมี 12 สาขา กรุงเทพฯ 4 แห่ง ภูเก็ต 2 แห่ง เชียงใหม่ 2 แห่ง นนทบุรี 2 แห่ง สมุทรสาคร 1 แห่ง ปทุมธานี 1 แห่ง ล่าสุด ACG โชว์งบไตรมาส 1/2566 มีกำไร […]

พาส่องเบิ่ง “ACG” โกยรายได้ไตรมาสแรก 486 ล้านบาท ลุยเปิดฟาสต์ฟิต AUTOCLIK 30 สาขา อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก “PQS” หุ้นน้องใหม่ โรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง แห่งภาคอีสาน

บริษัท พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช จำกัด (มหาชน) PQS ก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2548 นำโดยคุณสมยศ ชาญจึงถาวร และทีมงานที่มีประสบการณ์ ในด้านการผลิตแป้งมันสำปะหลังมายาวนานกว่า 18 ปี ซึ่งบริษัทมีโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง ตั้งอยู่เลขที่ 185 หมู่ 14 ตำบลคำป่าหลาย อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร บนทำเลที่ตั้งที่อุดมไปด้วยวัตถุดิบมันสำปะหลังคุณภาพจากเกษตรกรในพื้นที่ ส่งผลให้วัตถุดิบมีความสดใหม่อยู่เสมอและทำให้คุณสมบัติแป้งมันสำปะหลังของบริษัทถูกจัดว่าเป็นคุณภาพพิเศษ นอกจากนี้บริษัทยังสามารถผลิตตามคุณภาพเฉพาะที่ลูกค้าต้องการ (Made to order) โดยกระบวนการผลิตที่ทันสมัยได้มาตรฐาน ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และตอบสนองต่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีบริษัท พรีเมียร์ไบโอเอนเนอร์จี จำกัด (PBE) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2551 เป็นบริษัทในเครือ โดยมีผลิตภัณฑ์คือแป้งมันสำปะหลัง และกระแสไฟฟ้าจากการใช้ก๊าซชีวภาพเป็นเชื้อเพลิง (ก๊าซมีเทน) ซึ่งเกิดจากการหมักของน้ำ ที่ผ่านกระบวนการผลิตแป้ง และการหมักกากมันสำปะหลังแบบไร้อากาศ โดยสอดคล้องกับแนวทางการกำจัดของเสีย (Zero waste) และนำผลพลอยได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ทั้งยังเป็นการส่งผลดีในการลดมลภาวะที่อาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน อ้างอิงจาก: – เว็บไซต์ของบริษัท – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #PQS #โรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง #ธุรกิจอีสาน #ธุรกิจ #Business #พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช #IPO #หุ้นน้องใหม่ #หุ้นใหม่

พามาฮู้จัก “PQS” หุ้นน้องใหม่ โรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง แห่งภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง โรงงานแปรรูปมันสำปะหลังแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน

ในปี 2564 ภาคอีสานมีรายได้รวมจากโรงมันสำปะหลัง อยู่ที่ 52,165 ล้านบาท และมีจำนวนโรงมันสำปะหลัง 59 แห่ง เรียกได้ว่า “ทั้งรายได้รวมและจำนวนโรงมันสำปะหลังเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทยเลยทีเดียว” เนื่องจากภาคอีสานมีพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ทำให้โรงมันสำปะหลังเป็นที่นิยมในการทำธุรกิจในภาคอีสาน นอกจากนี้ภาคอีสานยังมีผลผลิตจากมันสำปะหลังมากที่สุดในประเทศไทย อยู่ที่ 19,863,491 ตัน 5 อันดับจังหวัดที่มีรายได้รวมของโรงมันสำปะหลังมากที่สุด อันดับที่ 1 นครราชสีมา มีรายได้รวม 32,814 ล้านบาท อันดับที่ 2 อุบลราชธานี มีรายได้รวม 3,595 ล้านบาท อันดับที่ 3 ชัยภูมิ มีรายได้รวม 3,349 ล้านบาท อันดับที่ 4 กาฬสินธุ์ มีรายได้รวม 2,529 ล้านบาท อันดับที่ 5 ศรีสะเกษ มีรายได้รวม 2,038 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า นครราชสีมา มีรายได้รวมมากที่สุด เนื่องจากนครราชสีมาเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตมันสำปะหลังมากที่สุดในประเทศ อยู่ที่ 5,507,286 ตัน ทำให้หลายบริษัทเลือกตั้งโรงงานที่จังหวัดนี้ เนื่องจากการตั้งโรงมันสำปะหลังอยู่ใกล้แหล่งเพาะปลูกจะทำให้ประหยัดต้นทุนและมีความสะดวกในการขนส่ง อีกทั้ง นครราชสีมายังเป็นศูนย์กลางของการค้าและการส่งออกสำปะหลังในภาคอีสาน มีสถานีรถไฟสำหรับการขนส่งสินค้าและเชื่อมต่อทางถนนสำคัญที่เชื่อมต่อจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน ทำให้สินค้าจากมันสำปะหลังสามารถส่งออกไปยังตลาดภายในประเทศและต่างประเทศได้สะดวกมากขึ้น อ้างอิงจาก: – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปีงบการเงิน 2564 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#โรงมันสำปะหลัง #ธุรกิจ #มันสำปะหลัง #ธุรกิจอีสาน#Business

ชวนเบิ่ง โรงงานแปรรูปมันสำปะหลังแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง บริษัทในภาคอีสาน กำไร 100 ล้าน ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น

อันดับที่ 1 บริษัท มาดูโร จำกัด ธุรกิจ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ รายได้รวม 1,598 ล้านบาท กำไรรวม 837 ล้านบาท จังหวัด นครราชสีมา อันดับที่ 2 บริษัท สหเรือง จำกัด ธุรกิจ โรงงานน้ำตาล รายได้รวม 2,157 ล้านบาท กำไรรวม 386 ล้านบาท จังหวัด มุกดาหาร อันดับที่ 3 บริษัท โชคยืนยงอุตสาหกรรม จำกัด ธุรกิจ โรงมันสำปะหลัง รายได้รวม 3,287 ล้านบาท กำไรรวม 319 ล้านบาท จังหวัด นครราชสีมา อันดับที่ 4 บริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด ธุรกิจ โรงมันสำปะหลัง รายได้รวม 7,102 ล้านบาท กำไรรวม 194 ล้านบาท จังหวัด นครราชสีมา อันดับที่ 5 บริษัท โค้วยู่ฮะมอเตอร์ จำกัด ธุรกิจ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ ISUZU รายได้รวม 8,507 ล้านบาท กำไรรวม 193 ล้านบาท จังหวัด ขอนแก่น อันดับที่ 6 บริษัท ยิ่งยง มินิมาร์ท จำกัด ธุรกิจ ร้านสะดวกซื้อ/มินิมาร์ท รายได้รวม 4,850 ล้านบาท กำไรรวม 185 ล้านบาท จังหวัด อุบลราชธานี จากอันดับข้างต้น จะเห็นได้ว่าบริษัทในภาคอีสาน กำไร 100 ล้าน ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น จะอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมามากที่สุด ซึ่งกำไรรวมกันอยู่ที่ 1,350 ล้านบาท เนื่องจากนครราชสีมาถือเป็นจังหวัดใหญ่ในภาคอีสาน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้าและการส่งออกสินค้า บริษัทส่วนใหญ่จึงทำธุรกิจในจังหวัดนี้ อีกทั้งยังมีสถานีรถไฟและทางด่วนที่สำคัญเชื่อมต่อกับจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน สถานีรถไฟนครราชสีมาเป็นสถานีกลางที่สำคัญในการขนส่งสินค้าและบุคคล โดยการขนส่งที่สะดวกสบายจะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าของบริษัท อ้างอิงจาก: – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #บริษัทในภาคอีสาน #บริษัที่ทมีกำไรมากที่สุด #ธุรกิจ #Business#ธุรกิจอีสาน

ชวนเบิ่ง บริษัทในภาคอีสาน กำไร 100 ล้าน ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น อ่านเพิ่มเติม »

จับตาเบิ่ง “ระเบียงเศรษฐกิจ” หม่องใหม่ ตลาดอสังหาฯอุดรธานีมาแรง ผู้ประกอบการเจ้าถิ่น-ส่วนกลางลงสนามเพียบ

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคอีสาน นครราชสีมาและขอนแก่น ยังเป็นจ่าฝูงจังหวัดที่มีขนาดตลาดใหญ่สุดตามลำดับของภาค แต่ในแง่อัตราเพิ่มอุดรธานี โดยเฉพาะครึ่งหลังปี 2565 มีสัญญาณการเพิ่มขึ้นของหน่วยโครงการเปิดใหม่ ก้าวกระโดดถึง 114% มูลค่า 1,959 ล้านบาท กลายเป็นดาวเด่นอสังหาฯภาคอีสาน นายจตุรงค์ ธนะปุระ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ จังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า ตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อุดรธานีกำลังจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบ 3-4 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนการระบาดโควิด-19 โดยเวลานี้มีโครงการหมู่บ้านจัดสรรทั้งเก่าและใหม่อยู่ประมาณ 40 กว่าโครงการ ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นของผู้ประกอบการใหญ่จากส่วนกลาง อาทิเช่น ศุภาลัย แสนสิริ ซี.พี.แลนด์ สิทธารมย์ ฯลฯ อีกกว่าครึ่งเป็นของนักลงทุนในท้องถิ่น และอีกส่วนที่ไม่ได้รับอนุญาตตามถูกกฎหมายอีกจำนวนหนึ่ง ธุรกิจคอนโดมิเนียม จะเป็นการลงทุนของนักลงทุนจากส่วนกลาง ซึ่งได้ก่อสร้างเสร็จและเปิดขายหรือให้เช่าหมดแล้ว โดยที่อุดรธานีไม่ใช่ตลาดของธุรกิจคอนโดมิเนียม อาจเป็นสาเหตุให้ยังไม่มีการลงทุนคอนโดมิเนียมใหม่ เวลานี้ ส่วนที่ขายไปแล้วผู้ครอบครองส่วนใหญ่เปิดให้เช่าอยู่เป็นรายเดือน ส่วนกรณีทุนจีนแห่ซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น นายจตุรงค์ชี้ว่าต้องมองหลายมุม เพราะมีทั้งดีและข้อเสีย ใน เชิงธุรกิจหากคนจีนเข้ามาทำธุรกิจมีการลงทุนด้านต่างๆ ในพื้นที่ก็เป็นการดี จากที่ทุนจีนมีกำลังซื้อสูง เมื่อเข้ามาช่วยกระตุ้นท้องถิ่นให้เจริญเติบโต ช่วยให้ธุรกิจอสังริมทรัพย์ในพื้นที่ดีขึ้น ที่สำคัญปัจจุบันกฎหมายก็อนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ ด้านนายณัฐวัชร สวนสุจริต ที่ปรึกษาอิสระโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ เปิดเผยว่า อสังหาฯอุดรธานีเวลานี้ประดังออกตลาด มีทั้งโครงการที่มีแผนลงทุนก่อนเกิดโควิค-19 ก็กลับมาเร่งลงมือ ขณะที่โครงการใหม่ที่เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2565 ต่อเนื่องถึงที่มีแผนจะเปิดในระยะต่อไป ทำให้มีซัพพลายออกมาทับซ้อนกันของโครงการเดิมและใหม่ และยังมีโครงการที่มีแผนจะขึ้นในระยะถัดไปอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ตลาดมีการแข่งขันกันสูงมาก “เกิดจากปัจจัยด้านการเติบโตของพื้นที่และปัจจัยเสริมอื่นๆ เช่น อุดรธานี อยู่ในพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการลงทุนตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล เช่น ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NeEC) เขตเศรษฐกิจพิเศษ มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เป็นจังหวัดศูนย์กลางของภาคอีสานตอนบน ที่สำคัญคือเป็นพื้นที่ที่จะเป็นเจ้าภาพมหกรรมงาน พืชสวนโลกปี พ.ศ. 2569” ในมุมผู้ซื้อถือเป็นโอกาสที่จะสามารถเลือกได้หลากหลายรูปแบบหลายทำเล เพราะโครงการจะมี กระจายออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ของเมือง แต่การลงทุนช่วงนี้ต้องมีภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งวัสดุก่อสร้างปูน เหล็ก นํ้ามันที่เพงขึ้น ยังมีเรื่องค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น จนถึงราคาที่ดินที่ขยับขึ้น ทำให้ราคาบ้านต้นทุนใหม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากเดิม “บ้านทาวน์โฮมเดิมราคาล้านเศษๆ ที่เป็นโครงการของนักลงทุนท้องถิ่นเวลานี้ไม่มีเหลือแล้ว ส่วนโครงการของบริษัทมหาชนจากส่วนกลาง เปิดตัวที่ระดับราคา 3-3.5 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่นักลงทุนท้องถิ่นก็หันมาทำบ้านจัดสรรในราคาดังกล่าวด้วย” ส่วนปัจจัยลบปี 2566 เรื่องหลักคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารต่างๆ ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง อีกประเด็นคือ มาตรการ LTV ที่ไม่มีการต่ออายุให้อีกแล้ว การขอกู้ 100% ไม่มีอีกแล้ว ทำให้การจะขอสินเชื่อจะผ่านการอนุมัติน้อยลง เนื่องจากระดับรายได้ของประชาชนทั่วไปยังเท่าเดิมไม่ได้เพิ่มขึ้น แม้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายแล้ว ขณะที่การลงทุนโครงการอสังหาฯ อุดรธานี จะขยายตัวโซนทิศตะวันออกนอกเขตถนนสายรอบเมือง เริ่มตั้งแต่บริเวณสี่แยกบ้านจั่น ไปตามถนนสายรอบเมืองด้านตะวันออก จนถึงสี่แยกทางออกไปจังหวัดหนองคาย พื้นที่ตำบลกุดสระและต่อเนื่องด้านทิศตะวันออกของถนนมิตรภาพอุดรธานี-หนองคาย เป็นโซนที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง มีบริษัทมหาชนจากส่วนกลางหา พื้นที่และปักหมุดเตรียมขึ้นโครงการมากที่สุด อ้างอิงจาก: https://www.thansettakij.com/real-estate/565725 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน

จับตาเบิ่ง “ระเบียงเศรษฐกิจ” หม่องใหม่ ตลาดอสังหาฯอุดรธานีมาแรง ผู้ประกอบการเจ้าถิ่น-ส่วนกลางลงสนามเพียบ อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ SMEs เดือนเมษายน

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ SMEs อยู่ที่ 53.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.1 แนวโน้มธุรกิจ SME ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือกลุ่มไหน? ภาคการค้าทั้งการค้าส่งและค้าปลีกปรับตัวดีขึ้น โดยได้กำลังชื้อที่เพิ่มขึ้นจากแรงงานที่กลับภูมิลำเนาในช่วงสงกรานต์ ขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมได้รับผลกระทบทางลบจากปัญหาทางสภาพภูมิอากาศ ที่เกิดพายุฝนใน หลายพื้นที่ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ SMEs ภาคธุรกิจ เป็นอย่างไร? ภาคการค้าและการบริการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ขยายตัวจากกำลังซื้อและการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงสงกรานต์ ภาคการผลิต 52.9 ลดลง -0.7 จากเดือนมีนาคม ภาคการผลิตชะลอตัวลง จากแรงงานกลับภูมิลำเนาในช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ปริมาณการผลิตสินค้าลดลง โดยเฉพาะกับกลุ่มเสื้อผ้า รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์จากไม้ ภาคการค้า 54.0 เพิ่มขึ้น 1.4 จากเดือนมีนาคม ภาคการค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งการค้าส่งและค้าปลีก โดยส่วนมากจะได้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะกับร้านที่ตั้งในเขตอำเภอเมือง ซึ่งกลุ่มสินค้าที่มียอดขายมากขึ้นจะเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในเทศกาลสงกรานต์ ภาคการบริการ 58.4 เพิ่มขึ้น 0.7 จากเดือนมีนาคม ภาคการบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่กระตุ้นความต้องการท่องเที่ยวในเดือนเมษายนให้สูงขึ้น ภาคการเกษตร 51.6 ลดลง -2.8 จากเดือนมีนาคม ภาคการเกษตรชะลอตัวลง จากปัจจัยสภาพอากาศเป็นสําคัญที่ในหลายพื้นที่เผชิญกับพายุฝนฟ้าคะนองซึ่งกระทบปริมาณในการผลิตสินค้าเกษตร แต่ผู้ประกอบการเริ่มลดความกังวลด้านต้นทุนลง จากราคาปุ๋ยที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง หมายเหตุ: ดัชนี SMEs มีค่าสูงสุดเท่ากับ 100 และมีค่าฐานเท่ากับ 50 – ดัชนี > 50 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ “ดีขึ้น” จากเดือนก่อนหน้า – ดัชนี = 50 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ “ทรงตัว” จากเดือนก่อนหน้า – ดัชนี < 50 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ “ลดลง” จากเดือนก่อนหน้า อ้างอิงจาก: – สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#SMEs #ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการSMEs#ธุรกิจ #ดัชนีความเชื่อมั่น #ธุรกิจอีสาน

พาส่องเบิ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ SMEs เดือนเมษายน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคอีสาน ในเดือนเมษายน

ดัชนีความเชื่อมั่นฯในเดือนเมษายน 2566 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 98.9 ปรับตัวลดลง จากระดับ 103.9 ในเดือนมีนาคม ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 106.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 104.5 ในเดือนมีนาคม ปัจจัยลบ – ภาคการผลิตชะลอตัวลง เนื่องจากวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทำให้วันทำงานน้อย – ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า และราคาน้ำมัน – อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในทิศทางขาขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของ SMEs เพิ่มขึ้น ปัจจัยบวก – การบริโภคและการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ – กำลังซื้อในภูมิภาคเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของรายได้ภาคเกษตร อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ส่งผลด้านลบ ต่อค่าดัชนีฯ อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม (เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ และส่วนประกอบ มีคำสั่งซื้อลดลง จากตลาดสหรัฐสหภาพยุโรปและลาตินอเมริกา เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท เตาไมโครเวฟ ตู้เย็น มียอดขายในประเทศลดลง ตามอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอ) อุตสาหกรรมน้ำตาล (ผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย มีคำสั่งซื้อในประเทศลดลง ขณะที่หลายโรงงานทยอยปิดหีบอ้อยทำให้ปริมาณการผลิตลดลง) อุตสาหกรรมเซรามิก (ผลิตภัณฑ์กระเบื้องเซรามิก และสุขภัณฑ์ มียอดขายในประเทศลดลง ขณะที่ปริมาณการผลิตลดลงเนื่องจากวันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์) อ้างอิงจาก: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม #ดัชนีความเชื่อมั่น #ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม#อุตสาหกรรม

ชวนเบิ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคอีสาน ในเดือนเมษายน อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง “อุดร ช.ทวี” อาณาจักรผู้แทนจำหน่ายรถบรรทุกฮีโน่ รายใหญ่แห่งอีสานตอนบน

บริษัท อุดร ช.ทวี จำกัด เป็นเครือช.ทวี ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายรถบรรทุกฮีโน่รายใหญ่ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดย บ.อุดร ช.ทวี ดูแลใน 6 จังหวัด คือ อุดรธานี หนองคาย เลย หนองบัวลำภู สกลนคร นครพนม และกาฬสินธุ์ โดยเวลานี้ คุณสุระชัย ทวีแสงสกุลไทย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อุดร ช.ทวี จำกัด มอบให้ คุณณัฐชัย ทวีแสงสกุลไทย ลูกชายคนโต เข้ามาดูแลรับผิดชอบในการบริหารธุรกิจทั้งหมดแทน เพราะโลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปต้องให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาบริหารจัดการแทนคนรุ่นเก่า ส่วนคุณสุระชัยออกมาเป็นที่ปรึกษา คอยให้แนวทางการดำเนินงานต่างๆ แทน รวมทั้งไปดูแลงานด้านอสังหาริมทรัพย์ และใช้เวลาที่ว่างมากขึ้นไปศึกษาหาความรู้ มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงตามดูความเปลี่ยนแปลงโครงข่ายคมนาคมของประเทศและกลุ่มอาเซียนมาก่อนหน้านั้น และระบบโลจิสติกส์ของจีน (โครงการBRI) มาผนวกรวมกัน พบว่าธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร จะมีความจำเป็นและมีโอกาสเติบโตในอนาคต โดยที่บางส่วนของภาคอีสานตอนบน ที่เป็นพื้นที่ทางผ่านของระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก-ตะวันออก (แนวทางแม่สอด-นครพนม) หรือ East-Weast Corridor จะกลายเป็นศูนย์กลางของระบบโลจิสติกส์ของไทย และกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบน รวมไปถึงประเทศจีนตอนใต้หลายมณฑล โดยมีประชากรรวมกันหลายร้อยล้านคน ทั้งนี้ กาฬสินธุ์อยู่ในแนวเส้นทางคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงสู่กลุ่มอาเซียนตอนบนและจีน โดยจากเวียดนามกลางผ่านลาวไปจีนตอนใต้ หรือผ่านเมียนมาไปลาวถึงจีน ก็ต้องผ่านพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะบึงกาฬ กับทางหลวงหมายเลข 8 ที่กำลังมีโครงการก่อสร้างจากท่าเรือแหลมฉบัง-นครพนม ผ่านพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นฐานการผลิตในภาคตะวันออก ก็ต้องผ่านกาฬสินธุ์ และบึงกาฬ ก่อนเข้าสู่สปป.ลาว บริษัท อุดร ช.ทวี เล็งเห็นโอกาสระยะยาวในธุรกิจด้านโลจิสติกส์ ว่ามีอนาคตการเติบโตสดใสกว่าธุรกิจอื่น จึงได้ลงทุนหาซื้อที่ดินในจังหวัดบึงกาฬ และจังหวัดแนวชายแดนไว้เกือบทุกจังหวัด รวมถึงแลนด์แบงก์ใน 6 จังหวัดจะได้นำแปลงที่ดินที่มีศักยภาพมาพัฒนารองรับกิจกรรมด้านโลจิสติกส์ควบคู่ไปด้วย โดยได้ตั้งสาขาที่จังหวัดบึงกาฬไว้แล้ว ส่วนที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีที่ดินประมาณ 50 ไร่ ได้แบ่งมา 6 ไร่ ตั้งเป็นศูนย์บริการครบวงจร แก่รถบรรทุกขนาดใหญ่ของบริษัทขนส่งสินค้า ส่วนที่อุดรธานี จะใช้พื้นที่ของบริษัท ที่เตรียมไว้บริเวณริมถนนมิตรภาพ สายอุดรธานี-ขอนแก่นจำนวน 10 ไร่ ตั้งเป็นศูนย์บริการ และมีแผนขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ทั้ง 6 แห่งต่อไป โดยที่สาขาหนองคาย ได้จัดพื้นที่ไว้ประมาณ 50 ไร่ สำหรับการจัดตั้งคลังสินค้าทันฑ์บน เป็นที่พักสินค้าขาออก-สินค้าเข้า โดยจะนำระบบเน็ตเวิร์คที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการให้บริการ โดยมีเครือข่ายสาขาของบริษัท ช.ทวีฯ ทุกแห่งของภาคอีสานคอยเป็นลูกข่ายให้ โดยแผนงานเหล่านี้มีเป้าหมายจะเสร็จในอีก 5 ปีข้างหน้า ปัจจุบัน ใน 6 จังหวัดภาคอีสานตอนบน บริษัท อุดร ช.ทวี มีส่วนแบ่งตลาดรถบรรทุกฮีโน่ อยู่ที่ 42 % และมุ่งบริการแบบครบวงจร ทั้งบริการอะไหล่รถบรรทุก บริการดูแลซ่อมแซม

พาส่องเบิ่ง “อุดร ช.ทวี” อาณาจักรผู้แทนจำหน่ายรถบรรทุกฮีโน่ รายใหญ่แห่งอีสานตอนบน อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก “ฟาร์มกำนันเตียง” อาณาจักรโคขุนแห่งอีสาน

“ฟาร์มกำนันเตียง” เป็นผู้ให้ความรู้เรื่องโคขุน การเลี้ยงดู ไปจนถึงการสร้างความยั่งยืนทางด้านอาชีพค้าขายโคขุนให้กับเกษตรกรโคขุนทุกระดับ อีกทั้งยังคัดสรรเนื้อคุณภาพพรีเมี่ยม ราคาที่ทุกคนจับต้องได้ เพื่อให้คนไทยได้ลิ้มลองรสชาติของเนื้อโคขุนไทย และรู้ว่า “เนื้อโคขุนไทย คุณภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก” เส้นทางของ “ฟาร์มกำนันเตียง” เป็นอย่างไร? 2535 คุณทองเตียง บริบาล ได้เริ่มก่อตั้งฟาร์มโคขุนในจังหวัดศรีสะเกษโดยมีวัวเริ่มต้นเพียง 5 ตัว 2548 มีการรวมกลุ่มกัน เพื่อเลี้ยงโคขุนส่งขายให้ฟาร์มกำนันเตียงโดยมีสมาชิกเริ่มต้นเพียง 5 ครอบครัว ปัจจุบันมีสมาชิก 15 ครอบครัว สมาชิกมีวัวเพิ่มขึ้นมา 100 ตัว ฟาร์มกำนันเตียงมี 600 ตัว 2559 ได้ก่อตั้งกลุ่มให้ถูกต้องภายใต้ ชื่อ กลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนดอกลำดวน ปัจจุบันมีโคขุนภายในกลุ่มเพิ่มขึ้นมาอีก 250 ตัว รวมมีโคขุนไม่น้อยกว่า 850 ตัว และโคแม่พันธุ์ไม่น้อยกว่า 1,500 ตัว 2560 ก่อตั้ง บริษัท คิดขาย บูชเชอร์แอนด์เรสเตอรองท์ จำกัด 2561 มีสมาชิก 55 ครอบครัว มีโคขุนเพิ่มขึ้นมาอีก 500 ตัว รวมมีโคขุนไม่น้อยกว่า 1,000 ตัว และโคแม่พันธุ์ไม่น้อยกว่า 2,500 ตัว อีกทั้งเริ่มสร้างร้านอาหารแม่เฮาปิ้งย่างและชาบู 2562 มีสมาชิก 300 ครอบครัว มีโคขุนเพิ่มขึ้นมาอีก 1,000 ตัว รวมมีโคขุนไม่น้อยกว่า 2,000 ตัว และโคแม่พันธุ์ไม่น้อยกว่า 3,500 ตัว อีกทั้งเริ่มสร้างร้านขายเนื้อโคขุนฟาร์มกำนันเตียง (Butchers Shop) 2563 เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตอาหารโคขุน 2564 เริ่มก่อสร้างโรงงานตัดแต่งและแปรรูปเนื้อโคขุน อ้างอิงจาก: – เว็บไซต์ของบริษัท – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์#ฟาร์มกำนันเตียง #ฟาร์มโคขุน #โคขุน

พามาฮู้จัก “ฟาร์มกำนันเตียง” อาณาจักรโคขุนแห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง อาณาจักรฟาร์มวัวรายใหญ่แห่งภาคอีสาน .

เนื่องในวันนี้เป็นวันพืชมงคล วันนี้ ISAN Insight & Outlook ชวนเบิ่งว่า “อาณาจักรฟาร์มวัว” อยู่หม่องใด๋แหน่ของภาคอีสานและมีรายได้รวมหลายปานใด๋? อันดับที่ 1 บริษัท สิทธิโชค 1962 จำกัด มีรายได้รวม 31 ล้านบาท อยู่ที่ นครราชสีมา อันดับที่ 2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภู-พิงค์ 2018 มีรายได้รวม 21 ล้านบาท อยู่ที่ สุรินทร์ อันดับที่ 3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนากร แดรี่ ฟาร์ม มีรายได้รวม 10 ล้านบาท อยู่ที่ นครราชสีมา อันดับที่ 4 บริษัท บ้านไร่ กรีน ออแกนิค จำกัด มีรายได้รวม 7 ล้านบาท อยู่ที่ นครราชสีมา อันดับที่ 5 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชนบท ฟาร์ม มีรายได้รวม 6 ล้านบาท อยู่ที่ นครราชสีมา อันดับที่ 6 บริษัท ฟาร์มบุญเลี้ยง จำกัด มีรายได้รวม 3.5 ล้านบาท อยู่ที่ มุกดาหาร อันดับที่ 7 บริษัท หนองบัว แดรี่ จำกัด มีรายได้รวม 3.1 ล้านบาท อยู่ที่ หนองบัวลำภู อันดับที่ 8 ห้างหุ้นส่วนจำกัด กัปตันฟาร์มวากิว มีรายได้รวม 2 ล้านบาท อยู่ที่ สุรินทร์ หมายเหตุ: เป็นข้อมูลนิติบุคคล เฉพาะประเภทธุรกิจการเลี้ยงโคนมและโคเนื้อ (รหัสประเภทธุรกิจ 01411) อ้างอิงจาก: – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปีงบการเงิน 2564 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ธุรกิจฟาร์มวัว#ฟาร์มวัว #ธุรกิจ #Business #ธุรกิจอีสาน

ชวนเบิ่ง อาณาจักรฟาร์มวัวรายใหญ่แห่งภาคอีสาน . อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top