February 2025

พามาเบิ่ง 🗑 “กากของเสีย” จากอุตสาหกรรมบ้านเฮา

พามาเบิ่ง “กากของเสีย” จากอุตสาหกรรมบ้านเฮา จังหวัด ปริมาณของเสียทั้งหมด (ตัน) เลย                                           672,256 นครราชสีมา                                           594,088 ชัยภูมิ                                           374,469 อำนาจเจริญ                                           309,192 กาฬสินธุ์                                           295,333 ขอนแก่น                 …

พามาเบิ่ง 🗑 “กากของเสีย” จากอุตสาหกรรมบ้านเฮา อ่านเพิ่มเติม »

เลี้ยงเด็ก 1 คน ใช้จ่าย 3 ล้าน หลายคนเลือก “ไม่มีลูก” สิพามาเบิ่ง คนอีสานเกิดน้อยกว่าตาย

เมื่อก่อนเวลาเราพูดถึง “จำนวนประชากรไทย” เราอาจจะเคยจดจำกันว่า คนไทยมี 70 ล้านคน แต่จริงๆ แล้ว ประเทศไทยไม่เคยมีประชากรถึง 70 ล้านมาก่อน เพราะจำนวนสูงสุดที่เราเคยมีคือ 66.5 ล้านคนต่างหาก   ในปี 2567 มีประชากรไทยเกิดใหม่แค่ 460,000 คน เป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบ 75 ปี และแทบจะเรียกได้ว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับจากยุคเด็กเกิดล้านในอดีต   เมื่อการเกิดของประชากรลดลง คนไทยจึง “เกิด” น้อยกว่า “ตาย” ทำให้คนไทยหายไปปีละกว่าหมื่นคน จำนวนประชากรไทยจึงลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้ว อีก 50 ปี ประชากรไทยเหลือแค่ 41 ล้านคน   ในภาคอีสานของเรานั้นมีคนเกิดใหม่น้อยกว่าคนเสียชีวิตมาตั้งแต่ ปี 2563  โดยในปี 2567 มีคนเกิดใหม่เพียง 120,217 คนเท่านั้น แต่มีคนเสียชีวิตมากถึง 186,690 คน   และนำข้อมูลในปี 2567 เปรียบเทียบกับปี 2557 พบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีคนเกิดใหม่ลดลงกว่า -43% เนื่องจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้คนส่วนใหญเลือกที่จะมีครอบครัวกันน้อยลง ครองโสดกันมากขึ้น หรืออยู่กันเป็นแฟนเท่านั้น การเลือกที่จะไม่มีลูกเพื่อเป็นการไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายและภาระให้กับตนเอง พร้อมกับความกังวลในสภาพสังคมปัจจุบันที่ไม่แน่ใจว่าตนเองจะเลี้ยงลูกได้ดีพอหรือไม่   กลับกันคนเสียชีวิตในภาคอีสานกลับเพิ่มขึ้นกว่า 31% เนื่องจากโครงสร้างอายุของประชากรที่มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดว่าคนเสียชีวิตจะมียอดขึ้นแตะ 2 แสนคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า   แต่การเพิ่มขึ้นและลดลงนี้เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงอย่างมากต่อผลที่จะตามมาในอนาคตว่ารัฐบาลจะมีมาตรการใดๆเข้ามาควบคุมและดูแลประชาชนในส่วนนี้เพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาระดับชาติที่จะส่งผลในระยะยาว ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องตรงจุดย่อมจะส่งผลเสียในอนาคตเป็นแน่     ทำไมคนยุคใหม่ “ไม่นิยมมีลูก” เด็กเกิดใหม่น้อยลง ถึงจุดวิกฤติ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นใหม่แต่งงานช้าลง เรียนสูงขึ้น มีค่านิยมอยู่เป็นโสด มีความหลากหลายทางเพศ  ความต้องการมีบุตรและจำนวนบุตรที่ต้องการเปลี่ยนไป มองเป็นภาระ  อีกทั้ง มาตรการที่จูงใจให้คนต้องการมีบุตรมีน้อยและมาตรการที่มีอยู่ไม่สามารถจูงใจให้คนอย่างมีบุตรได้   การเลี้ยงเด็ก 1 คน ใช้เงิน 3 ล้าน ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนไทยหลายๆ คนตัดสินใจมีลูกน้อยหรือไม่มีลูก คือ ภาระค่าใช้จ่าย ข้อมูลจากสภาพัฒน์บอกว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงดูเด็ก 1 คน ตั้งแต่อายุ 0-21 ปี คือ 3 ล้านบาท บางครอบครัวใช้น้อยกว่านี้มาก บางครอบครัวใช้มากกว่านี้มาก โดยเด็กที่เกิดในครัวเรือนที่ฐานะดีที่สุด พ่อแม่จะใช้จ่ายกับเด็กมากกว่าเด็กที่เกิดในครัวเรือนฐานะด้อยสุดถึง 7 เท่า แต่หนักที่สุด คือ “ด้านการศึกษา” ที่ค่าใช้จ่ายต่างกันมากถึง 35 เท่า ซึ่งส่งผลถึงโอกาสของเด็กไปด้วย เพราะเด็กกลุ่ม 10% …

เลี้ยงเด็ก 1 คน ใช้จ่าย 3 ล้าน หลายคนเลือก “ไม่มีลูก” สิพามาเบิ่ง คนอีสานเกิดน้อยกว่าตาย อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง จังหวัดใหม่ในอีสาน ที่เเยกออกมาจากอีกจังหวัดหนึ่ง

Info :    จังหวัดที่ เเยกออกมา ปีที่เเยก (พ.ศ.) จังหวัดเเม่ +เเผนที่ ที่เเยกออก กาฬสินธ์ุ 2490 มหาสารคาม ขนาดเศรษฐกิจ 65,764 ล้านบาท  67,773 ล้านบาท  ประชากร 962,444 คน 929,952 คน พื้นที่ 6,936 ตร.กม. 5,607 ตร.กม. ยโสธร 2515 อุบลราชธานี ขนาดเศรษฐกิจ 32,468 ล้านบาท  141,089 ล้านบาท  ประชากร 525,325 คน 1,867,942 คน พื้นที่ 4,131 ตร.กม. 15,626 ตร.กม. มุกดาหาร 2525 นครพนม ขนาดเศรษฐกิจ 28,973 ล้านบาท  50,217 ล้านบาท  ประชากร 350,510  คน 710,740 คน พื้นที่ 4,126 ตร.กม. 5,637 ตร.กม. หนองบัวลําภู 2536 อุดรธานี ขนาดเศรษฐกิจ 31,755 ล้านบาท  120,539 ล้านบาท  ประชากร 504,379 คน 1,552,135 คน พื้นที่ 4,099 ตร.กม. 11,072 ตร.กม. อํานาจเจริญ 2536 อุบลราชธานี ขนาดเศรษฐกิจ 22,928 ล้านบาท  141,089 ล้านบาท  ประชากร 372,183 คน 1,867,942 คน พื้นที่ 3,290 ตร.กม. 15,626 ตร.กม. บึงกาฬ  2554 หนองคาย  ขนาดเศรษฐกิจ 31,755 ล้านบาท  47,315 ล้านบาท  ประชากร 418,733 คน 511,706 คน พื้นที่ 4,003 ตร.กม. 3,275 ตร.กม.   หมายเหตุ  :   ขนาดเศรษฐกิจ (GPP) หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด ปี2565 จํานวนประชากร ณ สิ้นปี 2567 …

พามาเบิ่ง จังหวัดใหม่ในอีสาน ที่เเยกออกมาจากอีกจังหวัดหนึ่ง อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ในปี 2566  ครัวเรือนอีสานกว่า 3.6 ล้านครัวเรือนเป็นหนี้ โดยแต่ละครัวเรือเป็นหนี้เฉลี่ย 200,540 บาท

ในปี 2566 พบว่า ครัวเรือนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีหนี้สินกว่า 60.8% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีหนี้สินเฉลี่ย 200,540 บาทต่อครัวเรือน   ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้เพื่อใช้ในครัวเรือน 133,700 บาท ประกอบด้วยหนี้เพื่อใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภค 88,101 บาท หนี้เพื่อซื้อ/เช่าซื้อบ้านและ/หรือที่ดิน 42,690 บาท และหนี้เพื่อใช้ในการศึกษามีเพียง 2,909 บาทเท่านั้น    ในขณะที่หนี้เพื่อใช้ในการลงทุนและอื่น ๆ มีจำนวน 66,840 บาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ใช้ทำการเกษตร 50,754 บาท รองลงมาเป็นหนี้ใช้ทำธุรกิจ 15,439 บาท และหนี้อื่น ๆ เช่น หนี้จากการค้ำประกัน หนี้ค่าปรับ/จ่ายค่าเสียหายอีก 647 บาท   โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือถือว่าเป็นภาคที่มีสัดส่วนครัวเรือนมีหนี้สูงกว่าทุกภาค และหนี้สินประเภทเพื่อใช้จ่ายในครัวเรือนถือเป็นวัตถุประสงค์การก่อหนี้ที่ครองอันดับ 1 ซึ่งสอดรับไปกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก สะท้อนให้เห็นว่าคนอีสานมีกำลังใช้จ่ายที่จำกัด ทำให้ต้องมีการกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้ในการอุปโภคบริโภค ซึ่งการกู้มาเพื่อใช้ในการบริโภค ไม่ได้เป็นการกู้มาเพื่อสร้างสินทรัพย์หรือซื้อสินทรัพย์อย่างอสังหาริมทรัพย์หรือรถยนต์ ซึ่งหมายถึงลูกหนี้ที่กู้มามีรายได้น้อยหรือรายได้ไม่เพียงพอ จนต้องใช้สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งจะส่งผลตามมาคือความสามารถในการชำระหนี้ก็น้อยลงด้วยเช่นกัน และมีโอกาสทำให้เกิดหนี้เสีย(NPL) มากยิ่งขึ้นนั่นเอง     ครัวเรือนภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้สินในระบบ โดยเป็นครัวเรือนที่มีหนี้สินในระบบอย่างเดียว 96% และเป็นครัวเรือนที่มีหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบ 1.9% สำหรับครัวเรือนที่มีหนี้สินนอกระบบอย่างเดียวมีเพียง 2.1% และพบว่าจำนวนเงินเฉลี่ยที่เป็นหนี้สินในระบบสูงกว่านอกระบบถึง 118 เท่า (198,855 บาท และ 1,684 บาทตามลำดับ)   จากผลการสำรวจครัวเรือนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปี 2566 พบว่า ครัวเรือนที่มีหนี้สินในระบบ ส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค 43.8% รองลงมา คือ เพื่อใช้ทำการเกษตร 25.5% ใช้ซื้อ/เช่าซื้อบ้านและ/หรือที่ดิน 21.3%ใช้ทำธุรกิจ 7.7% และใช้ในการศึกษามีเพียง 1.5% เท่านั้น   สำหรับครัวเรือนที่มีหนี้สินนอกระบบ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค 56.3% รองลงมา คือ เพื่อใช้ซื้อ/เช่าซื้อบ้านและ/หรือที่ดิน 24.5% ใช้ทำธุรกิจ 12.8% ใช้ทำการเกษตร 4.0% เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ 1.8% และใช้ในการศึกษามีเพียง 0.7% เท่านั้น     หากไปดูแต่ละจังหวัด พบว่า 5 อันดับจังหวัดที่มีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนมากที่สุด ไดเแก่ – อำนาจเจริญ 337,610 บาท/ครัวเรือน – นครราชสีมา 303,257 บาท/ครัวเรือน – สุรินทร์ 290,152 บาท/ครัวเรือน  – มุกดาหาร …

พาส่องเบิ่ง ในปี 2566  ครัวเรือนอีสานกว่า 3.6 ล้านครัวเรือนเป็นหนี้ โดยแต่ละครัวเรือเป็นหนี้เฉลี่ย 200,540 บาท อ่านเพิ่มเติม »

‘กู้มากกว่าออม’ ภาคอีสานภูมิภาคที่มีสัดส่วนเงินกู้มากที่สุดในประเทศ เผยยอด เงินออม-สินเชื่อ แบงก์พาณิชย์อีสาน ปี 2567

“ร้อยเอ็ด” กู้มากกว่าออมที่สุดในประเทศ ตามมาด้วย “จังหวัดกลุ่มราชธานีเจริญศรีโสธร” เงินฝากและสินเชื่อธนาคารพาณิชย์เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ในแง่หนึ่ง เงินฝากช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเก็บออมเงินได้อย่างปลอดภัยพร้อมได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน ธนาคารสามารถนำเงินฝากเหล่านี้ไปปล่อยสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจ ในปี 2567 ปริมาณเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในภาคอีสานอยู่ที่ 11.2 ล้านล้านบาท และภาคอื่นๆ ได้แก่ ภาคกลาง 45.1 ภาคเหนือ 10.2 และ ภาคใต้ 10.5 (หน่วย: ล้านล้านบาท) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์มีบทบาทสำคัญต่อการลงทุนและการบริโภคในทุกระดับ ทั้งบุคคล ธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจขนาดใหญ่ การเข้าถึงสินเชื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายกิจการ จ้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ สินเชื่อยังช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น บ้านและรถยนต์ ผ่านระบบผ่อนชำระ  ในปี 2567 แนวโน้มปริมาณสินเชื่อรายเดือนลดลงต่อเนื่องทุกเกือบตลอดทั้งปี จากความเข้มงวดของธนาคารพาณิชย์และสัดส่วนหนี้เสียที่ยังสูง และจะพบได้ว่าหลังจากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในจาก 2.50% เป็น 2.25% ส่งผลให้ปริมาณสินเชื่อรายเดือนในช่วงสิ้นปีสูงปรับขึ้นเล็กน้อย โดยปริมาณสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในภาคอีสานรวมตลอดทั้งปีอยู่ที่ 11.6 ล้านล้านบาท พาสำรวจเบิ่ง เงินฝากในอีสานกว่า 9.5 แสนล้านบาท แต่ละจังหวัดเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนในช่วง 10 ปี   สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก: ตัวชี้วัดความสมดุลทางการเงิน โดยจังหวัดที่มีปริมาณเงินฝากและสินเชื่อมากในอีสานโดยปกติแล้วก็เป็นจังหวัดใหญ่ที่มีเงินสะพัดมากเช่น นครราชสีมา ที่มีเงินฝากและสินเชื่อเกือบ 20% ของทั้งหมดในอีสาน แต่หากพิจารณาถึง ‘ความสมดุล’ ระหว่างการฝากออมและการกู้เงิน ความสัมพันธ์ระหว่างเงินฝากและสินเชื่อสะท้อนถึงการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินที่เกิดขึ้นผ่านธนาคารพาณิชย์ สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (Loan to Deposit Ratio: LDR) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยวิเคราะห์ความสมดุลของการพัฒนาทางการเงินในแต่ละพื้นที่ คำนวณได้จาก สินเชื่อทั้งหมด หารด้วย เงินฝากทั้งหมด โดยในปี 2567 ภาคอีสานมี LDR อยู่ที่ 103% และภาคอื่นๆได้แก่ ภาคกลาง 60% ภาคเหนือ 75% และภาคใต้ 83% ซึ่งจากภาคอีสานเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วน LDR สูงที่สุดในประเทศ และยังเป็นภูมิภาคเดียวที่มีสัดส่วน LDR เกิน 100% (หากไม่รวมกรุงเทพฯ) ซึ่งสะท้อนว่า ภาคอีสานมีความต้องการสินเชื่อ ที่สูงกว่า การเก็บออม จังหวัดที่มี LDR สูงเกิน 100% หากมองลึกลงไปในระดับจังหวัดของภาคอีสาน พบว่า มี 11 จังหวัดในภาคอีสานที่มีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากสูงกว่า 100% ได้แก่: ร้อยเอ็ด (150%) บึงกาฬ (121%) อุบลราชธานี (119%) สกลนคร (115%) ขอนแก่น (114%) อำนาจเจริญ (112%) สุรินทร์ (109%) ยโสธร …

‘กู้มากกว่าออม’ ภาคอีสานภูมิภาคที่มีสัดส่วนเงินกู้มากที่สุดในประเทศ เผยยอด เงินออม-สินเชื่อ แบงก์พาณิชย์อีสาน ปี 2567 อ่านเพิ่มเติม »

ต้อนรับวันแห่งความรัก .. ชวนมาเบิ่ง ยอดจดทะเบียน “สมรสเท่าเทียม” ในภาคอีสาน

ตั้งแต่ 23 ม.ค. 2568 วันประวัติศาสตร์ กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับวันแรก เป็นการมอบสิทธิให้กับบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ว่าเพศใดสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย   โดยตั้งแต่มีผลบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมวันแรกจนถึงวันที่ 13 ก.พ. 2568 “ยอดจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม” ในภาคอีสานมีจำนวนทั้งหมด 757 คู่ด้วยกัน ความรักไม่เลือกเพศเป็นความรักที่บริสุทธิ์และจริงใจ เป็นความรักที่ควรได้รับการเคารพและยอมรับเหมือนกับความรักในรูปแบบอื่นๆ ทุกคนควรมีสิทธิที่จะรักและแต่งงานกับคนที่ตนเองรัก โดยไม่คำนึงถึงเพศนั่นเอง     ในมุมมองของเศรษฐกิจกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศนี้ มีต้นทุนและศักยภาพ และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับความหลากหลายทางเพศ มีการประมาณการว่าประเทศไทยมีประชากรกลุ่ม LGBTQIAN+ จำนวนกว่า 4 ล้านคน (คิดเป็นประมาณ 6%) โดย SDG Port ประมาณการใกล้เคียงกับ LGBT Capital ที่ประมาณว่ามีคนกลุ่มดังกล่าวประมาณ 3.7 ล้านคน (คิดเป็นประมาณ 5.6%) โดยประชากรของ LGBTQIAN+ ทั่วโลกอาจมีถึง 800 ล้านคน ซึ่งหากมองในเชิงธุรกิจถือว่าเป็นกลุ่มตลาดที่ใหญ่มากกลุ่มหนึ่ง   อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ปัจจุบันสถานการณ์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQIAN+ ทั่วโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะมีจํานวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นกว่า 1.3 ล้านคน ซึ่งการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ว่ามีการใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปร้อยละ 15 ของการใช้จ่ายทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้เป็นอย่างดี   โดย Spartacus ซึ่งจัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวเป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวที่เป็น LGBTQIAN+ พบว่าประเทศไทยได้อันดับที่ 54 จาก 213 ประเทศ/ภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งไทยเองทำคะแนนได้ดีใน Anti-Discrimination Legislation (กฎหมายการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ) และ LGBT Marketing (การทำการตลาดกับกลุ่ม LGBTQIAN+) แต่เมื่อประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่น่าจับตามอง จากการที่จะผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยขึ้นมามีอันดับเทียบเท่าไต้หวัน (อันดับที่ 13) ในปี 2568 ซึ่งอาจจะทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ดีขึ้น   ในเทศกาล Pride Month ตลอดเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 860,000 คน และสร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาท     อุตสาหกรรมซีรีส์วาย (Y) กรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการผลิตซีรีส์วายมากกว่า 177 เรื่อง ซึ่งนอกเหนือจากการเห็นจำนวนซีรีส์วายที่เพิ่มขึ้นในทุกปี ยังคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมซีรีส์วายมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ซีรีส์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมีมูลค่า 8,000 ล้านบาท ในปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาท ในปี 2567 …

ต้อนรับวันแห่งความรัก .. ชวนมาเบิ่ง ยอดจดทะเบียน “สมรสเท่าเทียม” ในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ครั้งแรกในรอบ 10 ปี คนอีสาน เกิด-ตาย เกือบเท่ากัน ในขณะที่คนไทยเกิดน้อยกว่าตาย 4 ปีซ้อน

“การลดลงของประชากรอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่มั่นคง มีรายได้สูง ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของประชากร เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำ และอาจมีความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจ” วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์   ปัญหาการลดลงของอัตราการเกิดใหม่ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นความท้าทายที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญและพยายามแก้ไขอย่างจริงจัง แม้ว่าผลกระทบในปัจจุบันอาจยังไม่ชัดเจน แต่ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า การหดตัวของประชากรวัยแรงงานจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง และประเทศจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   ทำไมคนไทยถึงมีลูกน้อยลง สาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจไม่มีลูกหรือมีลูกน้อยลงนั้น เกิดจากทั้งวิถีชีวิตและทัศนคติที่เปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น มีความหลากหลายทางเพศที่ทำให้รูปแบบครอบครัวเปลี่ยนแปลงไป สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่ขยับตัวไม่ทัน ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้จึงไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างมีคุณภาพ กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ทำให้ตัดสินใจไม่อยากมีลูก เนื่องจากกังวลเรื่องรายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สิน ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนจบปริญญาตรีสูงถึงประมาณ 5 แสน จนถึง 2 ล้านบาทต่อคน ทำให้หลายครอบครัวลังเลหรือชะลอการมีบุตร   10 ปีที่ผ่านมาการเกิดของคนไทยลดลงไปมากแค่ไหน ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาคนไทยมีจำนวนการเกิดลดลงในทุกๆปี ซึ่งตรงกันข้ามกับอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในทุกๆปี การระบาดของโควิด-19 เป็นเสมือนสิ่งที่กระตุ้นให้ทุกอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2564 เป็นปีที่คนไทยมีจำนวนการเกิดใหม่อยู่ที่ 544,570 คน ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตนั้นมีสูงถึง 563,650 คน ส่วนใหญ่เป็นผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ในทางกลับกันการระบาดของไวรัสทำให้ผู้คนพบเจอกันน้อยลงปฎิสัมพันธ์ของคนก็น้อยลงเช่นกัน เหลือแต่เพียงการติดต่อกันผ่านทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แม้จะผ่านพ้นช่วงการระบาดของโควิด-19 มาแล้วก็ตามแต่จำนวนการเสียชีวิตของคนไทยก็ไม่ได้มีการลดลงต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19ขนาดนั้น หนำซ้ำจำนวนการเกิดของคนไทยกลับลดลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่กำลังเกิดในปัจจุบันเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง และใกล้เข้ามามากขึ้นทุกวันๆ รศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สถาบันฯ ได้ทำการสำรวจข้อมูลในปลายปี 2567 ในประชาชนไทยอายุ 28 ปีเป็นต้นไป จำนวน 1,000 กว่าคน พบว่า ร้อยละ 71 มองว่าการเกิดน้อยเป็นวิกฤตของประเทศ และมีเพียงร้อยละ 6 มีมองว่ายังไม่ใช่วิกฤต “ซึ่งข้อค้นพบนี้ทำให้เห็นว่าคนไทยเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของวิกฤตนี้ ส่วนคำถามถึงแผนการมีบุตรในกลุ่มประชากรที่มีความพร้อม พบว่าร้อยละ 35.8 ตอบว่าจะมีลูกแน่นอน ร้อยละ 29.9 ตอบว่า อาจจะมีลูก ร้อยละ 14.6 ตอบว่า ไม่แน่ใจ ร้อยละ 13.1 ตอบว่าจะไม่มีลูก และร้อยละ 6.6 ตอบว่าจะไม่มีลูกอย่างแน่นอน”จากชุดข้อมูลพบว่า มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่คิดจะมีลูก แม้จะน้อยแต่ก็ยังเป็นแนวโน้มในเชิงบวก ส่วนกลุ่มที่ตอบว่า “อาจจะมีลูก” นั้น เป็นกลุ่มสำคัญต่อนโยบายส่งเสริมการมีลูก ที่จะต้องไปพูดคุยอย่างชัดเจนให้ถึงสาเหตุของการตอบว่า อาจจะ เพราะหากมีการสนับสนุนที่ตรงจุดก็จะทำให้กลุ่มดังกล่าว มั่นใจที่จะมีลูกเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ประชากรที่จะมีลูกอย่างแน่นอนเพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละกว่า 60   ภาพที่ 1: จำนวนการเกิด และเสียชีวิตของประชากรทั่วประเทศ พ.ศ. 2558 …

ครั้งแรกในรอบ 10 ปี คนอีสาน เกิด-ตาย เกือบเท่ากัน ในขณะที่คนไทยเกิดน้อยกว่าตาย 4 ปีซ้อน อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง ทางหลวงแนวใหม่ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในภาคอีสาน

ทางหลวงแนวใหม่ อุดรธานี – บึงกาฬ ทางหลวงแนวใหม่ 4 เลน “อุดรธานี-บึงกาฬ” พ่วงจุดตัดทางแยก 3 แห่ง ระยะทางกว่า 155 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 18,000 ล้านบาท คาดเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 เปิดบริการปี 2572 โครงการนี้จะเพิ่มสะดวก ลดระยะเวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมง เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายทางหลวงสู่ จ.บึงกาฬ รองรับการคมนาคมขนส่งที่จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อเปิดประตูการค้าชายแดนแห่งใหม่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) โครงการมีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเบื้องต้น (EIRR) 19.23% มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) 6,112 ล้านบาท และมีอัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) 1.52     ทางหลวงแนวใหม่ ทางเลี่ยงเมืองสว่างแดนดิน ทางเลี่ยงเมือง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ระยะทางกว่า 14 กิโลเมตร พร้อมทางต่างระดับ 8 จุดตัด งบก่อสร้าง 1,520 ล้านบาท จากผลการวิเคราะห์ด้านจราจร เดิมทีในปี 2564 อยู่ในช่วง 5,000 – 9,000 คัน/วัน เพิ่มขึ้นเป็น 9,000 – 15,000 คัน/วัน ในปี 2574 และเป็น 14,000 – 21,000 คัน/วัน ในปี 2584 ประกอบกับแนวเส้นทางสายนี้ในบางช่วงยังคงวิ่งผ่านเข้าตัวเมือง ทำให้เกิดปัญหาการจราจรและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง อีกทั้งแนวเส้นทางในพื้นที่อำเภอสว่างแดนดินมีเขตทางแคบเป็นข้อจำกัดในการขยายช่องจราจร ดังนั้น การพิจารณาก่อสร้างทางเลี่ยงเมือง จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาการจราจรและลดอุบัติเหตุดังกล่าว รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และยกระดับความปลอดภัยในการสัญจร     ทางหลวงแนวใหม่ ท่าพระ – พระยืน ถนนตัดใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร ท่าพระ-พระยืน สะพานข้ามแยกท่าพระ สะพานข้ามแม่น้ำชี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ระยะทางกว่า 13.7 กิโลเมตร โดยจุดเริ่มต้นของโครงการจะออกแบบเป็นสะพานข้ามแยก มีขนาดถนน 6 ช่องจราจร ส่วนด้านล่างเป็นวงเวียนขนาด 3 ช่องจราจร หากโครงการนี้แล้วเสร็จ จะช่วยแก้ปัญหาการจราจรและเพิ่มศักยภาพของจังหวัดในการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนทางรางกับทางบก และยกระดับทางหลวงในสมบูรณ์ รองรับปริมาณการจราจรในอนาคต ทำให้การเดินทางมีความสะดวกรวดเร็ว และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตในกับคนในพื้นที่อีกด้วย     ทางหลวงแนวใหม่ ทางเลี่ยงเมืองอำนาจเจริญ ทางเลี่ยงเมืองอำนาจเจริญด้านตะวันตก ระยะทางกว่า 25 กิโลเมตร งบก่อสร้าง 2,400 ล้าน โครงนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรและยกระดับความปลอดภัยการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคอีสาน …

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง ทางหลวงแนวใหม่ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ในช่วงปีที่ผ่านมา ภาคอีสานมี รถยนต์ใหม่ป้ายแดง มากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ

ในปี 2567 ประเทศไทยมีรถยนต์จดทะเบียนใหม่รวมกันกว่า 501,754 คัน ซึ่งลดลง 22.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยภาคอีสานของเรามียอดรถยนต์จดทะเบียนใหม่มากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ กว่า 55,569 คัน ซึ่งเป็นรองเพียงภาคกลางเท่านั้น   อะไรที่เป็นปัจจัยทำให้ภาคอีสานมียอดรถยนต์จดทะเบียนใหม่มากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ?   ภาคอีสานของเรามีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทำให้ประชากรมีรายได้สูงขึ้น และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันผู้คนมีความต้องการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งสินค้า   ผู้บริโภคในปัจจุบันก็มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและภาพลักษณ์ทางสังคมมากขึ้น ซึ่งการมีรถยนต์ส่วนบุคคลจึงตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาคอีสานจะมียอดรถยนต์จดทะเบียนใหม่สูง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยผลกระทบด้านอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น อย่างเช่น ปัญหาการจราจรที่อาจจะติดขัดตามตัวเมืองแต่ละจังหวัด หรือจะเป็นปัญหามลพิษทางอากาศ และอุบัติเหตุทางถนน ดังนั้น การส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะและการวางแผนการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญอีกด้วย   หากดูเป็นรายจังหวัดก็จะพบว่า ยอดรถยนต์จดทะเบียนใหม่ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ตามจังหวัดหลักของภาคอีสาน อย่างนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี เพียง 4 จังหวัดก็มีสัดส่วนกว่า 59% เลยทีเดียว จังหวัดเหล่านี้ที่มีขนาดใหญ่ มีประชากรจำนวนมาก และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคอีสาน ซึ่งก้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่สูงที่สุดในภาคอีสาน แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้ยอดรถยนต์จดทะเบียนสูง อย่างนครราชสีมาและขอนแก่นมีมหาวิทยาลัยและสถานศึกษาหลายแห่ง ทำให้มีนักศึกษาและบุคลากรจำนวนมากที่ต้องการใช้รถยนต์ในการเดินทาง อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องการเช่าหรือใช้รถยนต์ในการเดินทาง ซึ่งธุรกิจเช่ารถก็มากในจังหวัดเหล่านี้   เมื่อเจาะกลุ่มแบรนด์รถยนต์ในภาคอีสานก็พบว่า รถยนต์จดทะเบียนใหม่ของโตโยต้ามียอดขายมากสุดในภาคอีสาน อยู่ที่ 23,640 คัน ซึ่งเป็นผลมาจากความนิยมของรถในกลุ่มอีโคคาร์ของโตโยต้าที่เป็นส่วนหนึ่งของตลาดรถยนต์นั่ง ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสัดส่วนยอดขายรถยนต์ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น Yaris Cross ที่ยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้านับตั้งแต่เปิดตัว     อ้างอิงจาก: – กลุ่มสถิติการขนส่ง กองแผนงาน กรมการขนส่งทางบก – บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #รถยนต์จดทะเบียนใหม่ #รถจดทะเบียนใหม่ #รถยนต์ในอีสาน #รถยนต์จดทะเบียนใหม่อีสาน #รถจดทะเบียนใหม่อีสาน

พาอัพเดทเบิ่ง .. รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย  กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย

ทำความรู้จักกับ “รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย” ระยะทาง 606.17 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง 36 นาที กับราคาเพียง 1,171 บาท คาดว่าจะมีการเปิดให้บริการ ปี 2575   โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – หนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง แบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ระยะด้วยกัน ดังนี้   ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ – นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 253 กิโลเมตร วงเงิน 179,413 ล้านบาท โดยรัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (ปีงบฯ 60-63) ซึ่งปัจจุบันโครงการฯ ระยะที่ 1 ล่าช้ากว่ากำหนด โดยมีความคืบหน้าโดยรวม 38% โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2571   ในระยะที่ 1 นี้มีจำนวน 6 สถานีด้วยกัน มีจุดเริ่มต้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ผ่านสถานีดอนเมือง สถานีอยุธยา สถานีสระบุรี สถานีปากช่อง และสิ้นสุดที่สถานีนครราชสีมา โดยจะใช้เวลาเดินทางจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ไปยังสถานีนครราชสีมาเพียง 1 ชั่วโมง 36 นาที และมีอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 529 บาท     ระยะที่ 2 นครราชสีมา – หนองคาย ระยะทางประมาณ 357.12 กิโลเมตร วงเงินรวมกว่า 341,351 ล้านบาท มีจุดเริ่มต้นที่สถานีนครราชสีมา ประกอบไปด้วย 5 สถานี  (1) สถานีบัวใหญ่ (2) สถานีบ้านไผ่ (3) สถานีขอนแก่น (4) สถานีอุดรธานี และสิ้นสุดที่ (5) สถานีหนองคาย ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปีงบประมาณ 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2575 (รวม 8 ปี)    โดยในระยะที่ 2 จะมีการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา ที่ จังหวัดหนองคาย เป็นศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายสินค้าทางรถไฟ ทั้งขาเข้า-ออก ระหว่างทางขนาด 1 เมตรของรถไฟไทย และขนาดทางมาตรฐาน 1.45 เมตร ของโครงการรถไฟลาว-จีน ในรูปแบบ One Stop …

พาอัพเดทเบิ่ง .. รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย  กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top