Infographic

เกษตรกรเตรียมรับราคาปุ๋ยแพง หลังกระทรวงพาณิชย์ไฟเขียวขึ้นราคา

เกษตรกรเตรียมรับราคาปุ๋ยแพง หลังกระทรวงพาณิชย์ไฟเขียวขึ้นราคา   การนำเข้าปุ๋ยเคมีของไทย มีประมาณ ปีละ 5 ล้านตัน เป็นการนำเข้าจาก จีน ซาอุดิอาระเบีย รัสเซีย-เบลารุส แคนาดา เยอรมนี เบลารุส รัสเซีย ตะวันออกกลาง ยูเออี เป็นต้น  ราคาปุ๋ยในตลาดโลกปรับสูงขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว จนถึงต้นปี 2565 ที่รัสเซียประกาศยึดยูเครนและค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ยิ่งทำให้ราคาปุ๋ยปรับเพิ่มสูงขึ้นอีกเท่าตัว    ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศเกือบ 100%  โดยในช่วงที่ผ่านมาผู้ค้าปุ๋ยเคมีบางราย มีการชะลอนำเข้าเนื่องจากประสบปัญหาการขาดทุนเนื่องจากไม่สามารถปรับราคาได้เพราะปุ๋ยเป็นสินค้าควบคุม ทางผู้ค้าปุ๋ยได้มีการยื่นเรื่องของปรับราคาปุ๋ยมาเป็นระยะๆแล้ว สุดท้ายกรมการค้าภายในก็ไฟเขียวให้ปรับราคาปุ๋ยหน้าโรงงานหลายสูตรตามที่ผู้ผลิต ผู้นำเข้าเสนอมา   ทั้งนี้ก่อนหน้าเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านทางกลุ่มผู้ค้าและผู้ผลิตปุ๋ยไทย ระบุว่า  กรมการค้าภายในได้อนุญาตให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายปุ๋ยเคมี ทยอยปรับขึ้นราคาหน้าโรงงานแล้ว ตามต้นทุนแม่ปุ๋ย และค่าขนส่งปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี  ซึ่งจะทำให้ราคาจำหน่ายปุ๋ยเคมีในฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ ที่กำลังมาถึงนี้มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20-30% จากต้นปี   จากข้อมูลเว็ปไซต์สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานราคาปุ๋ยเคมีสูตรสำคัญ ตั้งแต่ ม.ค.-พ.ค. พบว่า  ราคาปุ๋ยเคมีสูตรสำคัญมีการปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาขายปลีกท้องถิ่นของเดือนพ.ค.  ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 ราคา  27,200  บาทต่อตัน แม่ปุ๋ยสูตร 18-46-0 ราคา 25,204 บาทต่อตัน ปุ๋ยสูตร  16-20-0 ราคา 20,313 บาทต่อตัน   ส่งผลให้เกษตรกรต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้ต้องปรับราคาของผลผลิตที่ได้สูงขึ้น ผู้บริโภคคนไทยต้องเตรียมรับมือสินค้าเกษตรแพงและการขาดแคลนตลาดอีกด้วย     อ้างอิงจาก : สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร https://www.bangkokbiznews.com/business/1012009  https://www.bangkokbiznews.com/news/1006058  https://www.thansettakij.com/economy/519298    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #น้ำตาล #ปุ๋ยแพง #ราคาปุ๋ย #ปุ๋ยเคมี

ชวนเบิ่ง จังหวัดใด๋มีการจดนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ ในปี 2564 หลายกว่าหมู่

ชวนเบิ่ง จังหวัดใด๋มีการจดนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ ในปี 2564 หลายกว่าหมู่   ก่อนอื่น ISAN Insight & Outlook จะพามาดูธุรกิจ “แบบนิติบุคคล” ว่าคืออะไร   การจดนิติบุคคล คือ การจดทะเบียนการดำเนินกิจการรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากการดำเนินกิจการในลักษณะบุคคลธรรมดา กลายมาเป็นการดำเนินการในรูปแบบที่มีการจดทะเบียน ซึ่งสามารถจดทะเบียนนิติบุคคลได้ทั้งห้างหุ้นส่วนหรือจะเป็นบริษัทจำกัด โดยการจดนิติบุคคลในรูปแบบบริษัทจำกัดเป็นรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก   การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจของภาคอีสานในปี 2564 มีจำนวน 11,857 ราย เพิ่มขึ้น 50.80% จากปี 2563 เนื่องจากมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน รวมทั้งการระดม ฉีดวัคซีนให้กับประชาชน และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการ มีความเชื่อมั่นในการดําเนินธุรกิจมากขึ้น    โดยภาคอีสานยังเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ และธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่อันแรก คือ ก่อสร้างอาคารทั่วไป รองลงมา คือ ขนส่งและขนถ่ายสินค้า(รวมถึงคนโดยสาร) และการปลูกข้าว  5 อันดับจังหวัดที่มีนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่สูงสุด อันดับที่ 1 นครราชสีมา 1,814 ราย อันดับที่ 2 ขอนแก่น 1,698 ราย อันดับที่ 3 อุบลราชธานี 982 ราย อันดับที่ 4 อุดรธานี 908 ราย อันดับที่ 5 บุรีรัมย์ 680 ราย   นครราชสีมา เป็นจังหวัดที่มีการจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด เนื่องจากเป็นจังหวัดสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจ โดยเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทั้งด้านเทคโนโลยี เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว และการคมนาคม ส่งผลให้ภาพรวมของผลประกอบมีแนวโน้มเติบโตและมีทิศทางที่ดี   และอีกหนึ่งสาเหตุ คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ประกอบการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของจังหวัด และสร้างความคึกคักให้แก่เมืองโคราช ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่จะทำให้เมืองโคราชสามารถเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความแข็งแกร่ง    ทั้งนี้ผู้ประกอบการหลายธุรกิจได้ปรับตัวให้เข้ากับการดําเนินชีวิตวิถีใหม่ (New normal) และการทํางานจากที่บ้าน (Work from home) มีธุรกิจบางประเภทที่ได้รับประโยชน์ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้จำนวนการจดทะเบียนในปี 2564 เพิ่มขึ้น   อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปี 2564 สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและของโลกยังคง ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สายพันธุ์โอมิครอนที่ส่งผลต่อการจํากัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ และการค้าระหว่างประเทศ    แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2565  สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้คาดการณ์การขยายตัว ทางเศรษฐกิจของไทยไว้ที่ 3.5 – 4.5 % โดยคาดว่าการบริโภคภายในประเทศจะเป็นตัวสนับสนุนที่สําคัญ ในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากมาตรการการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล ในขณะที่ภาคบริการจะได้รับแรงสนับสนุนที่สําาคัญจากการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่นวต่างชาติ ประมาณ …

ชวนเบิ่ง จังหวัดใด๋มีการจดนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ ในปี 2564 หลายกว่าหมู่ อ่านเพิ่มเติม »

จังหวัดที่มีรายได้ จากการผลิตน้ำตาลบริสุทธิ์ มากที่สุดในอีสาน (ข้อมูลปี 2563)

จังหวัดที่มีรายได้ จากการผลิตน้ำตาลบริสุทธิ์  มากที่สุดในอีสาน (ข้อมูลปี 2563)  หมายเหตุ: เป็นรายได้รวมของนิติบุคคลที่ส่งงบการเงิน ปี 2563   น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ (Refined Sugar) คือ น้ำตาลทรายที่ถูกนำมาผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ และกระบวนการต่างๆ เช่นเดียวกับน้ำตาลทรายขาว แต่ใช้น้ำเชื่อมบริสุทธิ์ขั้นต้น ในการเคี่ยวตกผลึก จึงทำให้ผลึกมีสีขาวใส เหมาะกับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ที่ต้องการวัตถุดิบที่มีความบริสุทธิ์เป็นพิเศษ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต้องเก็บไว้เป็นระยะเวลานาน   ภาคอีสานเป็นภาคที่มีพื้นที่ในการปลูกอ้อยมากที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังมีปริมาณอ้อยที่ส่งให้โรงงานมากที่สุดอีกด้วย โดยจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกอ้อยมากที่สุด 3 จังหวัดแรก ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น ตามลําดับ อีกทั้งยังสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้มากที่สุดในประเทศ จึงส่งผลให้มีการก่อตั้งโรงงานน้ำตาลในภาคอีสานเป็นจำนวนมาก ทำให้มีรายได้จากการผลิตอ้อย และน้ำตาลเป็นอย่างมาก   ในปัจจุบันอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวไปได้อีกไกล เนื่องจาก มีการขอตั้ง และขยายโรงงานนํ้าตาลทรายเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจํานวนมาก และสืบเนื่องจากรัฐบาลผลักดันนโยบายบริหารพื้นที่เกษตรกรรมของพืช (Zoning) โดยเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่อยูในพื้นที่ไม่เหมาะสมไปสู่การปลูกอ้อยโรงงาน มันสําปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่งผลให้พื้นที่ปลูกอ้อยของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้การผลิตอ้อยและนํ้าตาลทรายของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง   อ้างอิงจาก :  กรมพัฒนาธุรกิจการค้า  สํานักงานคณะกรรมการออยและน้ําตาลทราย  http://www.ocsb.go.th/upload/journal/fileupload/923-1854.pdf    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #น้ำตาล #โคราช #หนองบัวลำภู #บุรีรัมย์ #มุกดาหาร #กาฬสินธุ์ 

ชวนเบิ่ง ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับสูงขึ้น ในเดือนพฤษภาคม

ชวนเบิ่ง ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับสูงขึ้น ในเดือนพฤษภาคม    สินค้าเกษตรมีการปรับราคาสูงขึ้น เนื่องจากภาวะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลทำให้ราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น   โดยสินค้าเกษตรที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ 1.ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ ราคาที่เกษตรกรขายได้ 12,832 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 9%  เนื่องจากมีความต้องการข้าวจากภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น (อิรัก อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย) โดยเฉพาะประเทศอิรักซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของประเทศไทยได้กลับมาซื้อข้าวไทยมากขึ้น หลังจากหยุดนำเข้าข้าวจากไทยหลายปี   2. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาที่เกษตรกรขายได้ 10.3 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 6.2% เนื่องจากความต้องการใช้เพื่อผลิตอาหารสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดอื่นมีราคาสูง แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนําออกสู่ตลาดในเดือนเมษายน- พฤษภาคมและอนุญาตให้นําเข้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบข้อตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ   3. มันสำปะหลัง ราคาที่เกษตรกรขายได้ 2.5 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน  4.6% เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ในขณะที่ความต้องการใช้มันสำปะหลังในประเทศและส่งออกยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้สินค้าธัญพืชขาดแคลน ทำให้มีความต้องการ ใช้มันสำปะหลังเพื่อเป็นสินค้าทดแทนเพิ่มขึ้น   4. ปาล์มน้ำมัน ราคาที่เกษตรกรขายได้ 10.1 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.8% เนื่องจากปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มของโลกลดลง และความต้องการน้ำมันปาล์มของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่น้ำเข้าน้ำมันพืชรายใหญ่ที่สุดของโลกเพิ่มขึ้น   5. สุกร ราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ที่ 97.3 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 7.4% เนื่องจาก ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทําให้เกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลก และต้นทุน ป้องกันโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เกษตรกรผู้เลียงสุกรต้องลงทุน ในการพัฒนาระบบป้องกันโรคระบาดในฟาร์มอย่างเข้มงวด ทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงสูงขึ้น   6. โคเนื้อ ราคาที่เกษตรกรขายได้ เท่ากับ 35,089 บาท/ตัว เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.4% เนื่องจาก ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (ศบค.) ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหาร ทยอยกลับมาเปิดให้บริการ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร และธุรกิจเกี่ยวเนื่องสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ ทำให้ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์รวมทั้งเนื้อโคเพิ่มขึ้น     แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรหลังจากนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. เผย “ราคาสินค้าเกษตร” หลังจากนี้ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการเปิดประเทศ เปิดสถานบันเทิง และค่าเงินบาทอ่อนค่าลงส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ำตาลทรายดิบ ปาล์มน้ำมัน สุกร โคเนื้อ และกุ้งขาว แวนนาไม ยกเว้นมันสำปะหลัง และยางพาราดิบที่มีแนวโน้มราคาปรับลดลง     …

ชวนเบิ่ง ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับสูงขึ้น ในเดือนพฤษภาคม อ่านเพิ่มเติม »

ธุรกิจรถมือสองรายใหญ่ของภาคอีสาน ตีตลาดออนไลน์ ยอดขายพุ่ง 15% 

ธุรกิจรถมือสองรายใหญ่ของภาคอีสาน ตีตลาดออนไลน์ ยอดขายพุ่ง 15%    จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้บางธุรกิจปิดตัวลง แต่ก็มีหลายธุรกิจที่ยังสามารถดำเนินการต่อได้ เนื่องจากมีการปรับตัวตามสถานการ์เศรษฐกิจ และมีการปรับกลยุทธ์ต่างๆ    เต็นท์รถรายใหญ่ในภาคอีสานก็เช่นกัน มีการปรับเปลี่ยนวิธีการต่างๆ จนทำให้มียอดขายพุ่ง โดยธุรกิจรถมือสองรายใหญ่ภาคอีสาน คือ ประเสริฐผลยูสคาร์ ได้ทำการตลาดออนไลน์ 14 จังหวัด ทำให้มียอดขายเติบโต 15%    “ประเสริฐผลยูสคาร์” มีโชว์รูมของบริษัททั้งหมด 14 สาขาที่กระจายตัวอยู่ในภาคอีสาน ประกอบด้วยจังหวัดเลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น ยโสธร ร้อยเอ็ด มุกดาหาร บึงกาฬ อุดรธานี และนครพนม มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะการทำตลาดออนไลน์ตั้งแต่ช่วงเกิดโควิด-19 ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าออนไลน์ 60% และเดินเข้ามาดูรถที่โชว์รูมด้วยตัวเองอีก 40% ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาดูรถเหล่านี้ส่วนใหญ่ดูผ่านออนไลน์มาแล้ว   ทั้งนี้ ปี 2564 บริษัทมีอัตราการเติบโตประมาณ 30% มียอดขายรถเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 1,900 คัน ในปี 2563 เพิ่มเป็น 2,500 คัน    ตั้งเป้าปี 2565 จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 30% คาดว่ายอดขายเฉลี่ยจะเพิ่มจาก 2,500 คัน ในปีก่อน เป็น 3,000 คัน ในปีนี้ โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า หรือคนที่หารถคันแรก ประเภทรถที่ขายดีเป็นรถอีโคคาร์หรือรถเก๋งเล็ก และรถกระบะ ราคาอยู่ระหว่าง 250,000-400,000 บาท/คัน   จะเห็นได้ว่า ธุรกิจรถมือสอง ทำการตลาดออนไลน์มียอดขายพุ่งขึ้นมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ระลอกแรกที่คนไม่ออกจากบ้าน เนื่องจากพฤติกรรมคนเปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะน้อยลง และหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งการเลือกรถมือสอง เหมาะกับการผลิตรถใหม่ทำได้ไม่ตามเป้า ยอดขายรถมือสองจึงเติบโตขึ้น   ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่า แนวโน้มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองในระบบธนาคารพาณิชย์ ปี 2565 มีโอกาสขยายตัวเป็นบวกต่อจากปีก่อน ยอดขายในตลาดรถยนต์มือสองปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ในช่วง 3-5% หรือคิดเป็นปริมาณการซื้อขายรถยนต์มือสองราว 6-7 แสนคัน ทำให้ยอดคงค้างสินเชื่อรถยนต์มือสองมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ ประมาณ 5-7%   อ้างอิงจาก: https://www.prachachat.net/local-economy/news-957863 https://data.creden.co/company/general/0485548000108 #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ธุรกิจรถมือสอง

ศึกธุรกิจวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ในภาคอีสาน

ศึกธุรกิจวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ในภาคอีสาน   หลายคนอาจจะเริ่มเห็นร้านขายวัสดุก่อสร้างและของแต่งบ้านเปิดใหม่ขึ้นมากมาย และมีการแข่งขันอย่างดุเดือดของธุรกิจนี้ โดยที่มีเจ้าใหญ่ไม่ว่าจะเป็นไทวัสดุ โกลบอลเฮ้าส์ โฮมโปร และดูโฮม ธุรกิจไทยหลายบริษัทที่มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท มักมีจุดเริ่มต้นจากกรุงเทพฯ แล้วขยายออกสู่ต่างจังหวัด แต่ไม่ใช่ “โกลบอลเฮ้าส์” และ “ดูโฮม” บริษัททั้ง 2 มีผู้ก่อตั้งธุรกิจที่เป็นคนภาคอีสาน โดยประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าโดยเน้นวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง เครื่องมือ อุปกรณ์ ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ต่อเติม ตกแต่ง บ้านและสวน เป็นต้น   เส้นทางของอาณาจักรค้าวัสดุก่อสร้างแต่ละรายนี้ เป็นมาอย่างไร?  จุดเริ่มต้นของ “โกลบอลเฮ้าส์” มาจากคุณวิทูร สุริยวนากุล ผู้ก่อตั้งบริษัท ที่เกิดและเติบโตในจังหวัดร้อยเอ็ด หลังจากจบปริญญาตรีวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น คุณวิทูร ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ไม่นานก็ขยับขยายมาเปิดร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ชื่อว่า ร้อยเอ็ดฟาร์มโดยได้นำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ มีการทำระบบบาร์โคด คุมสต็อกสินค้าด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือว่าทันสมัยมาก    หลังจากร้อยเอ็ดฟาร์มเติบโตมาเกือบ 10 ปี ก็กลายมาเป็น “โกลบอลเฮ้าส์” ในปี พ.ศ. 2540 โกลบอลเฮ้าส์ตั้งสาขาแรกที่จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีรูปแบบเป็น Warehouse Store ที่มีพื้นที่คลังสินค้าขนาดใหญ่ ที่รวบรวมสินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านครบวงจร    อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของโกลบอลเฮ้าส์ คือ มีสินค้ามากกว่า 130,000 รายการ และมีพื้นที่แต่ละสาขากว้างถึง 18,000-32,000 ตารางเมตร มีศูนย์กระจายสินค้าที่ใช้ระบบหุ่นยนต์หยิบและเก็บของภายในคลังสินค้าสูง 11 ชั้น เพื่อให้การควบคุมศูนย์กระจายสินค้ามีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ในแต่ละสาขายังมีบริการ Drive-Thru ให้ลูกค้าสามารถขับรถมารับสินค้าจากหลังร้านได้ทันทีที่ซื้อ   ในขณะที่ “ดูโฮม” เริ่มต้นจากการเป็นร้านค้าวัสดุก่อสร้างเล็ก ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี จนตอนนี้ได้ก้าวมาเป็นแนวหน้าของผู้ค้าวัสดุก่อสร้างในไทยและมีมูลค่าบริษัทมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยคุณอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา และคุณนาตยา ตั้งมิตรประชา ได้ก่อตั้งร้านขายปลีกวัสดุก่อสร้าง จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด “ศ. อุบลวัสดุ” ในจังหวัดอุบลราชธานี  โดยมีการปรับรูปแบบร้านค้าให้เป็นโกดังขายสินค้าขนาดใหญ่ และมีการนำเทคโนโลยีจัดการคลังสินค้าและจัดการการขาย ในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนเป็น “ดูโฮม” ภายใต้ชื่อว่า บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่ ดูโฮม ผลักดันเพื่อให้อัตราการทำกำไรของบริษัทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ การเพิ่มยอดขายสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเอง (House Brands) คือบริษัทไปสั่งผลิตจากผู้ผลิตที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือ ทำให้บริษัทได้อัตรากำไรที่ดีกว่าการรับสินค้าของแบรนด์อื่นมาขาย    จุดเริ่มต้นของโกลบอลเฮ้าส์และดูโฮม ให้แง่คิดหลายอย่างในการทำธุรกิจ ทำให้รู้ว่า การทำธุรกิจแต่ในต่างจังหวัดก็สร้างรายได้มหาศาลได้ ถ้ามีการจัดการอย่างเป็นระบบ เหมือนกับทั้ง 2 บริษัทก็สามารถยิ่งใหญ่ได้ โดยที่ไม่ต้องมีจุดเริ่มต้นจากกรุงเทพ  นอกจากนี้ การทำธุรกิจต้องมีการจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสม ซึ่งต้องทําการศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการลงทุน โดยพิจารณาพื้นที่ที่มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธุรกิจ พร้อมสํารวจพฤติกรรมและความต้องการสินค้าของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดนั้น …

ศึกธุรกิจวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

บริษัทใหญ่ ภาคอีสาน ที่สามารถเข้าตลาดหุ้นได้ มีอิหยังแหน่ ?

บริษัทใหญ่ ภาคอีสาน ที่สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ มีอิหยังแหน่?   10 บริษัทภาคอีสานในตลาดหลักทรัพย์ อ้างอิงจากจังหวัดที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทนั้นๆ IPO (Initial Public Offering) คือ การนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น เป็นการนำหุ้นของบริษัทเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์ให้กับคนทั่วไปเป็นครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์ระดมเงินทุนเพิ่มเติม การที่จะเข้าในตลาดหุ้นได้คุณสมบัติ คือ บริษัทจะต้องเป็น บริษัทมหาชน จำกัด จากนั้นบริษัทต้องมีผลประกอบการตามเกณฑ์ที่กำหนด    สำหรับ SET บริษัทจะต้องมีกำไร 2-3 ปีล่าสุดรวมกันแล้วมากกว่า 50 ล้านบาท ในปีล่าสุดต้องมีกำไรสุทธิมากกว่า 30 ล้านบาท มีกำไรสุทธิในงวดสะสมล่าสุดเป็นบวก และทุนชำระแล้วหลัง IPO ต้องมากกว่า 300 ล้านบาท   สำหรับ MAI เป็นตลาดหุ้นขนาดรองของประเทศไทย กำหนดว่าบริษัทต้องมีกำไรสุทธิในปีล่าสุดมากกว่า 10 ล้านบาท มีกำไรสุทธิในงวดสะสมล่าสุดเป็นบวก และทุนชำระแล้วหลัง IPO ต้องมากกว่า 50 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในข้อกำหนดของการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ยังมีเงื่อนไขอีกจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น งบการเงิน การบริหารงานที่เป็นระบบ การกำกับดูแลกิจการ และการควบคุมภายใน   จะเห็นได้ว่าคนภาคอีสานนั้นก็มีความสามารถอย่างมากที่พาธุรกิจของตนเองเข้าสู่ตลาดใหญ่ได้ และเมื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แล้วยังต้องมีการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในธุรกิจและเพิ่มมูลค่าให้บริษัทมากขึ้น   อ้างอิงจาก : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://www2.set.or.th/th/regulations/simplified_regulations/common_shares_p1.html    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #หุ้น #หุ้นอีสาน #หุ้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รายได้จากการท่องเที่ยวในภาคอีสาน เป็นจั่งใด๋ ?

ปี 2565 (มกราคม-เมษายน) ภาคอีสานมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 10 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 15,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.57% จากปี 2564 (มกราคม-เมษายน) ที่มีรายได้ 11,800 ล้านบาท โดยรายได้หลักยังคงมาจากคนในประเทศ    5 จังหวัดภาคอีสาน ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด ปี 2565 เทียบกับ ปี 2564 อันดับ 1. นครราชสีมา 2,991 ล้านบาท | 3,150 ล้านบาท อันดับ 2. ขอนแก่น 2,574 ล้านบาท | 1,577 ล้านบาท อันดับ 3. อุดรธานี 1,694 ล้านบาท | 1,296 ล้านบาท อันดับ 4. บุรีรัมย์ 1,673 ล้านบาท | 914 ล้านบาท อันดับ 5. เลย 941 ล้านบาท | 531 ล้านบาท จะเห็นว่า ปี 2565 การท่องเที่ยวในภาคอีสานมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากรัฐบาลเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่แนวโน้มดีขึ้น   อีกทั้ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แถลงข่าวเปิดตัวเส้นทางท่องเที่ยว ” Unseen New Series” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 25 Unseen New Series โดยคัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ จำนวน 25 แหล่งจากทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น   สำหรับแหล่งท่องเที่ยว Unseen New Series ในภาคอีสาน ประกอบไปด้วย 5 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา , พญานาค 3 พิภพ จ.มุกดาหาร , ภูพระ จ.เลย , หอโหวด จ.ร้อยเอ็ด และโลกของช้าง จ.สุรินทร์   อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังมีมาตรการที่ขับเคลื่อนนโยบายเปิดประเทศ เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทย เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมถึงการเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ของภาคอีสานเพิ่มขึ้นจากปี 2564 …

รายได้จากการท่องเที่ยวในภาคอีสาน เป็นจั่งใด๋ ? อ่านเพิ่มเติม »

แดงกับวีที พี่น้องตระกูลแหนมเนือง ธุรกิจร้านอาหารเจ้าใหญ่ ในภาคอีสาน

แดงกับวีที พี่น้องตระกูลแหนมเนือง   เมื่อนึกถึงแหนมเนืองอีสาน หลายคนคงนึกถึง “แดง แหนมเนือง” และ “วีที แหนมเนือง”  แต่รู้หรือไม่? แดงกับวีที เป็นพี่น้องกันที่ขายแหนมเนืองในจังหวัดหนองคายและอุดรธานี   “แดง แหนมเนือง” กับ “วีที แหนมเนือง” เป็น 2 ใน 8 พี่น้องของคุณพ่อตวน โฮวัน และคุณแม่วี แซ่เรือง สองสามี-ภรรยา ที่อพยพสงครามอินโดจีนเข้ามาตั้งรกรากในจังหวัดหนองคาย คุณแม่วีจึงลองนำความรู้ที่ติดตัวมาปรุงรสเป็นแหนมเนืองที่มีรสชาติถูกปากคนไทยมากขึ้น ใส่หาบเร่ขายในจังหวัดหนองคาย เมื่อมีเงินเก็บได้จำนวนหนึ่งจึงเช่าร้าน 1 คูหาในตัวเมืองจังหวัดหนองคายในปี 2511 เพื่อเปิดร้านแหนมเนืองร้านแรกในจังหวัดหนองคาย   คุณแม่วีได้ตั้งชื่อร้านว่า “แหนมเนือง” เมื่อหลังจากคุณแม่วีได้เปิดร้านแหนมเนืองได้ไม่กี่ปี ทางการไทยมีการกวดขันชาวเวียดนามอพยพเป็นพิเศษ ทำให้คุณแม่วีเปลี่ยนชื่อเป็น “แดง แหนมเนือง” จากชื่อของแดง–วิภาดา จิตนันทกุล ลูกคนที่สองของแม่วี (ลูกสาวคนโต) ผู้ที่ช่วยงานแม่วีทำแหนมเนืองขายมาตลอด และได้เข้ามาสานต่อกิจการ เนื่องจากผู้เป็นแม่ล้มป่วยด้วยโรคหัวใจไม่สามารถทำงานหนักได้   อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของแม่วีเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีลูกมากถึง 8 คนคุณ ทอง กุลธัญวัฒน์ ลูกคนที่ 5 จึงขอแยกตัวเองออกมาทำงานนอกบ้านในหลากหลายอาชีพ จนมาถึงปี 2540 ได้เปลี่ยนอาชีพมาทำแหนมเนืองจากสูตรของคุณแม่วี ที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อไม่ให้เป็นคู่แข่งกับธุรกิจแดง แหนมเนืองของพี่สาว พร้อมตั้งชื่อร้านแหนมเนืองว่า “วีที แหนมเนือง” เป็นชื่อที่มาจากตัวย่อภาษาอังกฤษของชื่อแม่วี และพ่อต่วน มีรูปหมวกเวียดนามกำกับบนโลโก้ เพื่อสื่อสัญลักษณ์ของชาวเวียดนาม   นี่คือจุดกำเนิดของ “แดง แหนมเนือง” และ “วีที แหนมเนือง” ของลูกแม่วี และพ่อต่วน ที่ได้ชื่อว่า ผู้บุกเบิกอาหารแหนมเนืองในประเทศไทย  และเมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมา แวดวงคนทำธุรกิจร้านอาหารและลูกค้าจำนวนมาก ต่างตกใจกับการจากไปในวัย 63 ปี ของคุณแดง วิภาดา จิตนันทกุล ซึ่งในปัจจุบัน คุณณัฐ ศัตภัทร สหัชพงษ์  น้องชายของคุณแดง วิภาดา  เป็นผู้จัดการร้านแดงแหนมเนือง จังหวัดหนองคาย   สิ่งสำคัญของการทำธุรกิจร้านอาหาร หรืองานบริการอะไรก็ตาม ควรยึดหลักทำด้วยใจรัก และเอาใจใส่ โดยต้องทำให้เกิดคุณภาพของงานนั้นๆ เช่น การทำร้านอาหารต้องใส่ใจเรื่องรสชาติ ความสดของวัตถุดิบ ความตั้งใจในงานบริการนั้น เป็นที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งทางร้านจึงไม่เลือกปฎิบัติเฉพาะกลุ่มลูกค้า  แต่ต้องทำให้ลูกค้าทุกคนมีพึงพอใจ ขณะที่ราคาสินค้าก็ต้องการให้ตลาดกลางและตลาดล่างสามารถเข้าถึงได้ . อ้างอิงจาก: https://marketeeronline.co/archives/112086 https://www.sentangsedtee.com/exclusive/article_82012 https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/ksmeknowledge/article/smestory/pages/success-vt.aspx    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #แหนมเนือง #แดงแหนมเนือง #หนองคาย #วีทีแหนมเนือง #อุดรธานี 

5 อันดับ สินค้ายอดฮิตนำเข้าและส่งออกชายแดนไทย – สปป.ลาว ปี 2565 (มกราคม – เมษายน)

5 อันดับ สินค้ายอดฮิตนำเข้าและส่งออกชายแดนไทย – สปป.ลาว ปี 2565 (มกราคม – เมษายน) มูลค่าการส่งออกไทยสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) ในปี 2565 ที่ผ่านมามีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 50,993 ล้านบาท และยังคงมีแนวโน้มที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งพบว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 ( ม.ค. – เม.ย. )  มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 43,247  ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้ามากถึง 7,746 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 17.9   อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนำเข้ายังคงมีแนวโน้มที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการนำเข้าไทยจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) ในปี 2565 ที่ผ่านมามีมูลค่าการนำเข้า 33,544 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2564 พบว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี ( ม.ค. – เม.ย. )  มีมูลค่าการนำเข้า 27,863  ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้ามากถึง 5,681 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 20.4   สินค้าที่ไทยส่งออกให้สปป.ลาวมากที่สุดคือน้ำมันดีเซล เนื่องจากลาวเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำมัน ลาวต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากไทยมากถึง 90% หรือต้องการน้ำมันประมาณ 120 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน    แต่ปัจจุบันลาวสามารถซื้อได้เพียงแค่ 20 ล้านลิตรต่อเดือน คิดเป็นเพียง 1 ใน 6 ของความต้องการเท่านั้น เนื่องจากสปป.ลาวมีดุลการค้าและบริการที่ติดลบมานาน ส่งผลให้ค่าเงินลาวจึงอ่อนมาก และอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงมาก (เดือนเมษายนที่ผ่านมา สูงถึง 9.9%) . อ้างอิง: กรมการค้าต่างประเทศ https://www.prachachat.net/local-economy/news-939185 https://www.longtunman.com/38342   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #สินค้านำเข้า #สินค้าส่งออก #ลาว #ไทยลาว

Scroll to Top