Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พามาเบิ่ง บริษัทสร้างบ้านโครงการใหญ่ในอีสาน

อสังหาริมทรัพย์ในหมวดบ้านพักอาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้คน ทั้งในแง่ของที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน และในฐานะสินทรัพย์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว ตลาดบ้านพักอาศัยมีความหลากหลาย ตั้งแต่บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม ไปจนถึงบ้านพักตากอากาศ ซึ่งแต่ละประเภทตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกซื้อบ้านพักอาศัย ได้แก่ ทำเลที่ตั้ง ราคา สิ่งอำนวยความสะดวก และแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และนโยบายภาครัฐยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในการเลือกซื้อบ้าน วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพาไปเบิ่งบริษัทสร้างบ้านโครงการเข้าใหญ่ในอีสาน แนวโน้มในปัจจุบันของการแข่งขัน และความท้าทายในตลาดนี้ การแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์กลุ่มบ้านพักอาศัยมีความแตกต่างกันในแต่ละจังหวัด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น กำลังซื้อของประชากร ขนาดประชากร ระดับรายได้ ทำเลที่ดิน และสภาพแวดล้อมโดยรอบ โดยทั่วไป จังหวัดที่มีขนาดใหญ่และมีเศรษฐกิจเติบโตสูงมักจะมีการแข่งขันที่รุนแรงกว่าจังหวัดขนาดเล็ก จากข้อมูลของบริษัทที่นำมาแสดง จะพบว่าทุกบริษัทล้วนตั้งอยู่ในจังหวัดใหญ่ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงสามารถกำหนดราคาของโครงการให้สอดคล้องกับกำลังซื้อและแนวโน้มการเติบโตของตลาดในพื้นที่ดังกล่าว บริษัท บ้านสาริน จำกัด เจ้าใหญ่รายได้สูงสุดในอีสานจากจังหวัดอุบลราชธานี Big 4 ของอีสาน ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากและมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี บ้านสารินก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดนี้จากความไว้วางใจของลูกค้า ประสบการณ์อันยาวนาน และชื่อเสียงที่สั่งสมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 โดยเริ่มต้นจากธุรกิจซื้อขายที่ดิน ก่อนจะขยายเข้าสู่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี พ.ศ. 2540 จากนั้นจึงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ด้วยประสบการณ์กว่า 28 ปี บ้านสารินได้พัฒนาโครงการไปแล้วถึง 29 โครงการ ส่งผลให้บริษัทมีความแข็งแกร่งและเป็นผู้นำตลาด คู่แข่งในจังหวัดจึงเผชิญกับความท้าทายในการแย่งส่วนแบ่งตลาดจากบริษัทที่มีฐานลูกค้ามั่นคงและทรัพยากรที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันยังคงเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของผู้เล่นรายอื่นในตลาด ชวนเบิ่ง “บ้านสาริน” อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เมืองอุบล จังหวัดขอนแก่นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจด้านการศึกษาและการทำงานของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นี้มีการแข่งขันสูงควบคู่ไปกับกำลังซื้อของลูกค้าที่แข็งแกร่งหนึ่งในผู้นำตลาดท้องถิ่นคือ บริษัท เกรียงศักดิ์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 2003 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ฉัตรเพชร ซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี และมียอดขายติดอันดับ 1 ใน 5 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น บริษัทมีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮม รวมกว่า 15 โครงการ แม้ว่าขอนแก่นจะมีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย เช่น ฉัตรเพชร และ พิมานกรุ๊ป แต่โอกาสสำหรับผู้เล่นรายใหม่ยังคงมีอยู่เสมอ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บริษัท ที สเปซ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2560 แต่สามารถเติบโตอย่างรวดเร็วและก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคอีสาน การเติบโตของ ที สเปซ แสดงให้เห็นว่า หากสามารถสร้างจุดเด่นและมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ก็ยังมีโอกาสในการแข่งขันและเติบโตได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง สุดท้าย จังหวัดนครราชสีมา (โคราช) เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อีกทั้งยังเป็น “ประตูสู่ภาคอีสาน” และเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค รวมถึงมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 […]

พามาเบิ่ง บริษัทสร้างบ้านโครงการใหญ่ในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐ความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่และพีระมิดประชากรกัมพูชา🇰🇭

พามาเบิ่งความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่และพีระมิดประชากรกัมพูชา . กัมพูชามีประชากรรวมประมาณ 16.3 ล้านคน คนกัมพูชาส่วนใหญ่พูด ภาษาเขมร (Khmer) ซึ่งเป็นภาษาราชการและภาษาหลักของประเทศ . มีเนื้อที่ประมาณ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือมีขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย เส้นเขตแดนโดยรอบประเทศยาวประมาณ 2,000 กิโลเมตร โดยมีเส้นเขตแดนติดต่อกับประเทศไทยยาว 798 กิโลเมตร . #ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระจุกตัวของประชากร เศรษฐกิจและโอกาสการจ้างงาน – เมืองใหญ่ เช่น พนมเปญ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การศึกษา และอุตสาหกรรม ทำให้มีประชากรอพยพเข้ามาทำงาน โครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม – พื้นที่ที่มีถนนและเส้นทางคมนาคมที่ดีจะดึงดูดผู้คนให้มาตั้งรกราก เช่น จังหวัดรอบ ๆ ทะเลสาบโตนเลสาบ (Tonle Sap) สภาพภูมิประเทศ – พื้นที่ที่เป็นภูเขาหรือป่าไม้ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ มีประชากรเบาบาง . #วิเคราะห์พีระมิดประชากรกัมพูชา โครงสร้างเป็นพีระมิดฐานกว้าง– มีประชากรวัยเด็ก (0-14 ปี) และวัยแรงงานตอนต้น (15-29 ปี) จำนวนมาก แสดงถึงอัตราการเกิดที่ยังสูง แม้จะเริ่มลดลงเมื่อเทียบกับอดีต อัตราการลดลงของประชากรเมื่ออายุสูงขึ้น– เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังวัย 50 ปีขึ้นไป สัดส่วนประชากรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงอายุขัยเฉลี่ยที่ยังไม่สูงมาก จำนวนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในวัยสูงอายุ– หลังอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย ซึ่งเป็นแนวโน้มปกติในหลายประเทศ เนื่องจากอายุขัยเฉลี่ยของผู้หญิงมักสูงกว่าผู้ชาย กัมพูชามีโครงสร้างประชากรที่ค่อนข้างหนุ่มสาว และมีกำลังแรงงานที่กำลังเติบโต ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ต่อไปนี้เป็นภาพรวมของประชากรและโครงสร้างวัยแรงงานของกัมพูชา: ภาพรวมประชากร ขนาดประชากร: ประมาณ 17 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ. 2566) อัตราการเติบโต: อัตราการเติบโตของประชากรค่อนข้างสูง การกระจายตัว: ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท แต่การย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองกำลังเพิ่มขึ้น โครงสร้างอายุ กัมพูชามีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก โดยมีสัดส่วนประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานสูง สัดส่วนประชากรวัยแรงงานที่สูงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โครงสร้างวัยแรงงาน กำลังแรงงานส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมสิ่งทอ ภาคบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว กำลังเติบโตและสร้างโอกาสการจ้างงานเพิ่มขึ้น รัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป ลักษณะเฉพาะของโครงสร้างประชากรและวัยแรงงาน ประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก: ก่อให้เกิดโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ก็มีความท้าทายในการสร้างงานและให้การศึกษาแก่เยาวชน การเปลี่ยนแปลงจากภาคเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการ: ส่งผลต่อความต้องการแรงงานที่มีทักษะที่แตกต่างกัน การย้ายถิ่นฐาน: การย้ายถิ่นฐานจากชนบทสู่เมืองก่อให้เกิดความท้าทายในการจัดการกับการเติบโตของเมืองและสร้างโอกาสในการจ้างงานในเมือง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ประชากรวัยแรงงานที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การพัฒนาทักษะแรงงานเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกัมพูชาในเศรษฐกิจโลก การจัดการกับการเติบโตของเมืองและการสร้างโอกาสการจ้างงานในเมืองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีประชากรและโครงสร้างวัยแรงงานที่สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทักษะแรงงานและการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต “กัมพูชาเข้ามาทำงานที่คนไทยไม่ทำ และอุตสากรรมก่อสร้างและอสังหาฯ ใช้แรงงานต่างด้าวเป็นหลัก” แรงงานชาวกัมพูชาเข้ามาทำงานในประเทศไทยด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้: โอกาสในการหารายได้ที่สูงกว่า: ค่าแรงในประเทศไทยโดยทั่วไปสูงกว่าในกัมพูชา ทำให้แรงงานชาวกัมพูชาจำนวนมากต้องการเข้ามาทำงานในไทยเพื่อหารายได้ที่มากขึ้น เพื่อส่งกลับไปจุนเจือครอบครัว ความต้องการแรงงานในประเทศไทย: ประเทศไทยมีความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น

พามาเบิ่ง🧐ความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่และพีระมิดประชากรกัมพูชา🇰🇭 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง! ปริมาณการจราจรผ่านสะพานมิตรภาพ

  รถยนต์(คัน) รถโดยสาร(คัน) รถบรรทุก(คัน) สะพาน1   91503 51130 387692 % 17% 10% 73%   สะพาน 2 17251 5431 33141 % 31% 10% 59%   สะพาน 3 27323 6581 160689 % 14% 3% 83%   สะพาน 4  12202 792 88090 % 12% 1% 87%   ในยุคที่การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการคมนาคมมีความสำคัญ ข้อมูลปริมาณการจราจรทางถนนผ่านสะพานระหว่างประเทศที่มีด่านเก็บค่าธรรมเนียม  จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินการเคลื่อนย้ายและการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ . 1.ค่าธรรมเนียม หมายถึง ค่าบริการที่เรียกเก็บในการผ่านทางสะพานมิตรภาพที่กรมทางหลวงรับผิดชอบ 2.ปริมาณการจราจร หมายถึง ปริมาณยานพาหนะที่ใช้งานสะพานมิตรภาพ ทั้งขาเข้าและขาออก . ประเภทของรถที่ผ่านสะพานประเทศ รถยนต์ ได้เเก่  รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง, รถโดยยสาร ได้เเก่ รถโดยสารขนาดเล็ก 7 ที่นั่งแต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง,รถโดยสารขนาดเล็ก 7 ที่นั่งแต่ไม่เกิน 20 ที่นั่ง,รถโดยสารขนาดกลาง 12 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 24 ที่นั่ง,รถโดยสารขนาดใหญ่เกิน 20 ที่นั่ง,รถโดยสารขนาดใหญ่เกิน 24 ที่นั่ง รถบรรทุก ได้เเก่ รถบรรทุก 4 ล้อ,รถบรรทุก 6 ล้อ ,รถบรรทุก 10 ล้อ,รถบรรทุกเกิน 10 ล้อ . . ปริมาณการจราจรทางถนนผ่านสะพานระหว่างประเทศที่มีด่านเก็บค่าธรรมเนียม . สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์)     530,325 คัน  สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต)     55,823 คัน สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน)         194,593 คัน  สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) 

พามาเบิ่ง! ปริมาณการจราจรผ่านสะพานมิตรภาพ อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง “เซ็นทรัลพัฒนา” สร้างปรากฏการณ์พัฒนาเมกะโปรเจกต์ ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาโครงการ Mixed-Use

เซ็นทรัลพัฒนา: ปฏิวัติวงการค้าปลีกไทย ผงาดสู่ผู้นำมิกซ์ยูสระดับประเทศ เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 120,000 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (มิกซ์ยูส) ที่ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ครอบคลุมทั่วประเทศ ด้วยกลยุทธ์ “Retail-Led Mixed-Use Development” ที่ผสานศูนย์การค้า ที่พักอาศัย โรงแรม และอาคารสำนักงานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว   ปี 2567 ที่ผ่านมา CPN สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 51,843 ล้านบาท กำไรสุทธิ 16,729 ล้านบาท และจำนวนผู้เข้าใช้บริการศูนย์การค้ากว่า 500 ล้านครั้งต่อปี ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของ CPN ในฐานะผู้นำที่เข้าใจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง   เปิดตัวเมกะโปรเจกต์และปรับโฉมศูนย์การค้าครั้งใหญ่ CPN เตรียมเปิดตัวและปรับปรุงโครงการสำคัญหลายแห่งทั่วประเทศ ดังนี้   Central Park โอเอซิสใจกลางกรุงเทพฯ บนถนนสีลม-พระราม 4 ที่จะเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2568 ด้วยคอนเซ็ปต์ “Here for Bangkok” รวบรวมแบรนด์ดังระดับโลกรวมกว่า 230 แบรนด์ รวมถึงร้านอาหารชื่อดังและมิชลินสตาร์   The Central พหลโยธิน ถือเป็นหนึ่งในโครงการ Mixed-use ที่ใหญ่ติด Top3 ของเซ็นทรัลพัฒนา สามารถเชื่อมต่อกับศูนย์การค้า Central ลาดพร้าวได้ ซึ่งเป็นมิกซ์ยูสแห่งแรกของเซ็นทรัลพัฒนา โครงการนี้ถูกวางให้เป็น Gateway สำคัญในการดึงดูดดีมานด์ใหม่จากกรุงเทพฯ ตอนบน รวมถึงนักช้อประดับคุณภาพจากจังหวัดใกล้เคียง   Central Northville โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุด ใจกลางนนทบุรี ภายใต้แนวคิด The New District of North Bangkok โครงการนี้โดดเด่นด้วย Biophilic Design นำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร สร้างบรรยากาศ Outdoor-in-Indoor คล้ายกับโมเดลรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ (อย่าง Central Eastville และ Central Westville) ออกแบบพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตร่วมกันแบบ Socialized, Multi-Generation & Community Space รวมถึงรองรับ Pet-Friendly มากยิ่งขึ้น   Central Chiangmai Airport ปรับโฉมครั้งใหญ่ สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการรีเทลภาคเหนือ จากที่ผ่านมาได้ปรับ Master Planning ใหม่ครั้งใหญ่ โครงการนี้ยังเป็นที่ตั้งของ Muji’s First Flagship Store ในภาคเหนือ และเพิ่มเสน่ห์ให้กับพื้นที่ด้วยโซน

ชวนมาเบิ่ง “เซ็นทรัลพัฒนา” สร้างปรากฏการณ์พัฒนาเมกะโปรเจกต์ ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาโครงการ Mixed-Use อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ราคาเมล็ดกาแฟโลกทำลายสถิติ! “ไทย-เวียดนาม” ส่งออกพุ่งทะยาน

กาแฟแก้วโปรด…ราคาพุ่งทะยาน! วิกฤตสภาพอากาศดันราคาเมล็ดกาแฟโลกทำสถิติใหม่ คอกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อราคาเมล็ดกาแฟในตลาดโลกพุ่งสูงทำลายสถิติเป็นประวัติการณ์ โดยเมล็ดกาแฟอาราบิก้าแตะ 9 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม และโรบัสต้าอยู่ที่ 5.8 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตกาแฟ ทำให้หลายคนเริ่มหันมาชงกาแฟดื่มเองที่บ้านเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย   ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาเมล็ดกาแฟ สภาพอากาศแปรปรวน : เกิดภัยแล้งรุนแรงในบราซิล ผู้ผลิตกาแฟอาราบิก้ารายใหญ่ของโลก และยังเกิดพายุไต้ฝุ่นและภัยแล้งในเวียดนาม ผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ของโลก   ความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น : การบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศกำลังพัฒนา และจำนวนชนชั้นกลางที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการกาแฟสูงขึ้น     กาแฟไทย: โอกาสทองในตลาดโลก ท่ามกลางราคาพุ่งสูงและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ราคาเมล็ดกาแฟในตลาดโลกที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับโอกาสทองในการขยายตลาดส่งออกกาแฟ โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของมูลค่าการส่งออกกาแฟไทยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 258% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า   ศักยภาพของกาแฟไทยในตลาดโลก การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกในเดือนมกราคมแสดงให้เห็นถึงความต้องการกาแฟไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดโลก ในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกกาแฟอยู่ที่ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 302 ล้านบาท ซึ่งแม้จะไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อื่นๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโต   ในส่วนของความหลากหลายของสายพันธุ์นั้น ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิตกาแฟอาราบิก้า 64% และโรบัสต้า 36% ซึ่งถือว่ามีความหลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่แตกต่างกันได้ ซึ่งกาแฟอาราบิก้าของไทยมีชื่อเสียงในเรื่องของคุณภาพและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะกาแฟจากภาคเหนือของประเทศ   ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 35 ของโลกในด้านปริมาณการผลิตกาแฟ ซึ่งแม้จะไม่ใช่อันดับต้นๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ     เวียดนาม: เจ้าแห่งโรบัสต้า ผงาดสู่ผู้นำตลาดกาแฟโลก ด้วยมูลค่าส่งออกทะยานหลักพันล้าน เวียดนาม ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดกาแฟโลก ด้วยตัวเลขการส่งออกที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ครองส่วนแบ่งตลาดอย่างแข็งแกร่ง ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของมูลค่าการส่งออกกาแฟเวียดนามในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 83% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า   ความแข็งแกร่งของเวียดนามในตลาดกาแฟโลก ในปี 2024 ที่ผ่านมา เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกกาแฟสูงถึง 4,242 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 142,542 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในฐานะผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ของโลก โดยการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการกาแฟเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก   อีกทั้งเวียดนามเป็นผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยมีสัดส่วนการผลิตโรบัสต้ามากกว่า 90% ของผลผลิตกาแฟทั้งหมด กาแฟโรบัสต้าของเวียดนามมีชื่อเสียงในเรื่องของรสชาติที่เข้มข้นและมีปริมาณคาเฟอีนสูง ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบกาแฟรสชาติเข้มข้น   ปัจจุบันเวียดนามอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลกในด้านปริมาณการผลิตกาแฟ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผลิตกาแฟปริมาณมากเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก     แนวโน้มกาแฟโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร? ด้วยปัจจัยด้านสภาพอากาศที่ยังคงมีความไม่แน่นอน และความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าราคาเมล็ดกาแฟจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะสั้นถึงระยะกลาง ผู้ประกอบการและผู้บริโภคจึงต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนของตลาดกาแฟในอนาคต ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมกาแฟในระยะยาว     อ้างอิงจาก: – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – The International Coffee Organization (ICO) –

พาส่องเบิ่ง ราคาเมล็ดกาแฟโลกทำลายสถิติ! “ไทย-เวียดนาม” ส่งออกพุ่งทะยาน อ่านเพิ่มเติม »

บริษัทใหญ่ในอีสาน ใช้เวลากี่ปีกว่ารายได้จะแตะพันล้าน

การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยโอกาสและอุปสรรค ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เกิดจากความมุ่งมั่น อดทน และการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาด การเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ไปจนถึงการสร้างธุรกิจที่มีมูลค่าหลักพันล้านนั้น ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน กลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพามาเบิ่ง บริษัทในอีสานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด สามารถสร้างรายได้พันล้านในเวลาไม่ถึงทศวรรษ โดยแบ่งตามการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศไทย (TSIC) ทั้งนี้ ทางทีมงานจะไม่ได้นำทุกธุรกิจมาแสดง เพียงแต่นำธุรกิจที่ดูน่าสนใจและหลายคนอาจจะคุ้นชินมานำเสนอเท่านั้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งบริษัท: นาย ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2549 ปีที่รายได้แตะหมื่นล้าน: พ.ศ. 2561 รายได้ปีที่แตะหมื่นล้าน: 10,084 ล้านบาท ระยะเวลาที่ใช้: 12 ปี สัดส่วนแบ่งรายได้ทั่วประเทศ: 11.7% จังหวัดที่ตั้ง: บุรีรัมย์   บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งบริษัท: นาย วิทูร สุริยวนากุล ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2538 ปีที่รายได้แตะหมื่นล้าน: พ.ศ. 2555 รายได้ปีที่แตะหมื่นล้าน:  11,099 ล้านบาท ระยะเวลาที่ใช้: 17 ปี สัดส่วนแบ่งรายได้ทั่วประเทศ: 9.2% จังหวัดที่ตั้ง: ร้อยเอ็ด   บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งบริษัท: นาย อดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา และ นาง นาตยา ตั้งมิตรประชา ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2536 ปีที่รายได้แตะหมื่นล้าน: พ.ศ. 2554 รายได้ปีที่แตะหมื่นล้าน: 10,544 ล้านบาท ระยะเวลาที่ใช้: 18 ปี สัดส่วนแบ่งรายได้ทั่วประเทศ: 39.2% จังหวัดที่ตั้ง: อุบลราชธานี   บริษัท ห้างทองทองสวย จำกัด ผู้ก่อตั้งบริษัท: นาย อุดม ตติเวชกุล ปีที่จดทะเบียน: พ.ศ. 2539 ปีที่รายได้แตะหมื่นล้าน: พ.ศ. 2563 รายได้ปีที่แตะหมื่นล้าน: 17,193 ล้านบาท ระยะเวลาที่ใช้: 24 ปี สัดส่วนแบ่งรายได้ทั่วประเทศ: 0.8% จังหวัดที่ตั้ง: ขอนแก่น เริ่มต้นด้วยธุรกิจในภาคการเกษตรเป็นรากฐานสำคัญของภาคอีสาน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่คุ้นชินกับการทำเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์

บริษัทใหญ่ในอีสาน ใช้เวลากี่ปีกว่ารายได้จะแตะพันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ทุนญี่ปุ่นเบอร์ 1 ของอีสาน เปิดรายชื่อ 15 ยักษ์ใหญ่ เงินลงทุนมหาศาล

เมื่อพูดถึงการลงทุนจากต่างประเทศในประเทศไทย ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสำคัญมายาวนาน ด้วยการลงทุนมหาศาลในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศ ภาคอีสานแม้จะเป็นพื้นที่ที่เคยเน้นเกษตรกรรม แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งใหม่ที่ดึงดูดทุนญี่ปุ่นได้อย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลล่าสุด พบว่ามีบริษัทญี่ปุ่นรายใหญ่กว่า 15 บริษัท ที่เข้ามาลงทุนในภาคอีสาน โดยมีเม็ดเงินลงทุนรวมกันหลายพันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ในการรองรับอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีและแรงงานทักษะสูง   ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2567 เผยให้เห็นว่าญี่ปุ่นได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 7,533 ล้านบาทในภูมิภาคนี้   อีสานอินไซต์จะพาเปิดรายชื่อ 15 ยักษ์ใหญ่ ที่ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลในอีสาน   บจก.คาสิโอ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตนาฬิกา โดยมีมูลค่าการลงทุน 1,020 ล้านบาท   บจก.โคยามา แคสติ้ง (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การหล่อเหล็ก โดยมีมูลค่าการลงทุน 855 ล้านบาท   บจก.นิชิกาว่า เตชาพลาเลิศ คูปเปอร์📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตผลิตภัณฑ์ยาโดยมีมูลค่าการลงทุน 490 ล้านบาท   บจก.เจวีซีเคนวูด ออพติคัล อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์โดยมีมูลค่าการลงทุน 488 ล้านบาท   บจก.สตาร์ ไมโครนิคส์ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไป โดยมีมูลค่าการลงทุน 406 ล้านบาท   บจก.คายาม่า เอ็นจิเนียริ่ง📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องทำความเย็นโดยมีมูลค่าการลงทุน 380 ล้านบาท   บจก.ฮอนด้า เฟาดรี (เอเซียน)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 327 ล้านบาท   บจก.ฟูจิคูระ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตสายไฟฟ้า, เคเบิลและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 261 ล้านบาท   บจก.ไทย อะคิบะ📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การหล่อโลหะ โดยมีมูลค่าการลงทุน 238 ล้านบาท   บจก.แอลป์ส ทูล (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องจักร โดยมีมูลค่าการลงทุน 224 ล้านบาท   บจก.ฮิตาชิ แอสเตโม โคราช📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 217 ล้านบาท   บจก.แอดเดอรานสไทย📍บุรีรัมย์ ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องประดับ โดยมีมูลค่าการลงทุน 210 ล้านบาท   บจก.ยานอส (ไทยแลนด์)📍นครราชสีมา

พาส่องเบิ่ง ทุนญี่ปุ่นเบอร์ 1 ของอีสาน เปิดรายชื่อ 15 ยักษ์ใหญ่ เงินลงทุนมหาศาล อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง พื้นที่สีเขียว ปอดของแต่ละภาคและแผ่นดิน ก้าวสู่อนาคตสีเขียวของไทย

พามาเบิ่ง พื้นที่สีเขียว ปอดของแต่ละภาคและแผ่นดิน ก้าวสู่อนาคตสีเขียวของไทย . ภาค พื้นที่สีเขียว (ตร.ม) พื้นที่สีเขียว (ตร.ม) / ประชากร (คน) พื้นที่สีเขียว / ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 49,845,704 2.31 0.03% ภาคเหนือ 41,535,394 3.49 0.02% ภาคกลาง 33,833,473 1.48 0.03% ภาคใต้ 10,079,756 1.06 0.01%   หมายเหตุ: ข้อมูล ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 หน่วย ตารางเมตร ต่อ 1 คน   ฮู้บ่ว่า ประเทศไทยมีพื้นที่สีเขียวทั้งหมด 135,294,300 ตร.ม. (84,558.95 ไร่) หรือคิดเป็นเพียง 0.03% ของพื้นที่ทั้งหมด และมีสัดส่วนพื้นที่สีเขียวต่อประชากร อยู่ที่ 2.04 ตร.ม ต่อ คน ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างหนักหน่วง พื้นที่สีเขียวกลายเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาสมดุลทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดอุณหภูมิของเมือง หรือสร้างความสุขให้กับผู้คนที่อยู่อาศัย ทว่า หากพิจารณาสัดส่วนพื้นที่สีเขียวของแต่ละภาคในไทย เรากลับพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และอาจสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เราต้องเผชิญ   อีสานของเราเป็นผู้นำด้านพื้นที่สีเขียวแต่ยังมีอุปสรรค ปัจจุบันอีสานมีพื้นที่สีเขียวมากที่สุดในประเทศ คิดเป็น 49.85 ล้านตารางเมตร แม้ตัวเลขนี้จะดูสูง แต่เมื่อพิจารณาในแง่ของพื้นที่สีเขียวต่อประชากร กลับพบว่ามีเพียง 2.31 ตารางเมตรต่อคน และในภาพใหญ่ของไทย พื้นที่สีเขียว ต่อคน มีเพียง 2.04 ตร.ม. ต่อคนเพียงเท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำให้มีพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 9 ตารางเมตรต่อคน    เมื่อเปรียบเทียบพื้นที่สีเขียวของแต่ละภาค พบว่าภาคเหนือแม้มีพื้นที่สีเขียวรวมรองลงมา (41.53 ล้านตารางเมตร) แต่กลับมีพื้นที่สีเขียวต่อประชากรสูงที่สุดที่ 3.49 ตารางเมตรต่อคน ในขณะที่ภาคกลางมีพื้นที่สีเขียวเพียง 1.48 ตารางเมตรต่อคน และภาคใต้ต่ำที่สุดที่ 1.06 ตารางเมตรต่อคน นอกจากนี้ หากดูสัดส่วนพื้นที่สีเขียวต่อพื้นที่ภาค พบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางมีเพียง 0.03%ขณะที่ภาคเหนืออยู่ที่ 0.02% และภาคใต้ต่ำสุดเพียง 0.01%   ด้วยตัวเลขที่ยังถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานมาก นี่อาจเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ โดยต้นไม้ 1 ต้นสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 9-15 กิโลกรัมต่อปี นั่นหมายความว่าเราจำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในอีสานและภูมิภาคอื่น ๆ ให้ได้

พามาเบิ่ง พื้นที่สีเขียว ปอดของแต่ละภาคและแผ่นดิน ก้าวสู่อนาคตสีเขียวของไทย อ่านเพิ่มเติม »

ตลอด 10 ปีมานี้ คนอำเภอเมือง Big 4 แห่งอีสาน เริ่มหายไป?

Big 4 แห่งอีสาน หรือ 4 จังหวัดในภาคอีสานที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด ประกอบไปด้วย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี ซึ่งจังหวัดเหล่านี้โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอเมือง มีการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคม สาธารณูปโภค สิ่งปลูกสร้าง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีการเชิดชูวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว หวังดึงดูดการลงทุนและสร้างโอกาสในการทำงาน  โดยการพัฒนาเหล่านี้จะนำไปสู่การขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) ในพื้นที่อำเภอเมืองของจังหวัดใหญ่ในอีสาน โดยในด้านผู้คน ก็เป็นหนึ่งในฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการขยายของตัวเมือง หรือที่คนมักพูดกันว่า “เมืองไหนคนมากแสดงว่าเจริญ” อย่างไรก็ดี แม้ว่าในเมืองใหญ่จะมีการกระจุกตัวของประชากรสูง แต่หากมาดูที่ข้อมูลของกรมการปกครอง ด้านสถิติการเคลื่อนย้ายประชากรออกในเขตพื้นที่อำเภอเมืองของกลุ่ม Big 4  ตั้งแต่ปี 2558 – 2568 จะพบตัวเลขที่สำคัญคือ “มีการย้ายออกมากกว่าการย้ายเข้ามาอยู่”  โดยเพื่อความชัดเจนในเชิงการอธิบายการเคลื่อนย้ายประชากรในช่วง 10 ปีนี้ จะใช้วิธีวัดจาก อัตราการย้ายถิ่นสุทธิ (Net Migration Rate) คำนวณจาก (จำนวนผู้ย้ายเข้าช่วง 10 ปีนี้ – จำนวนผู้ย้ายออกช่วง 10 ปีนี้)/จำนวนประชากรเฉลี่ยตลอด 10 ปี และเพื่อสะท้อนแนวโน้มการเพิ่มขึ้น-ลดลงของจำนวนประชากรในช่วง 10 ปีนี้ เทียบกับประชากร 1,000 คน จะประเมินการเติบโตของจำนวนประชากรโดยวิธีอัตราการเติบโตของประชากรแบบทบต้น (CAGR) โดยได้ผลลัพธ์ในแต่ละจังหวัด ดังนี้ 1. อำเภอเมืองขอนแก่น ข้อมูลประชากรเบื้องต้น: จำนวนประชากร: 199,258 คน สัดส่วนประชากรต่อทั้งจังหวัด: 15% ความหนาแน่นของประชากร: 209 คน/ตร.กม. อำเภอเมืองขอนแก่นมีอัตราการย้ายถิ่นสุทธิเท่ากับ – 289 ต่อ 1,000 คนในช่วง 10 ปีนี้ หรือก็คือถ้าประชากรเมืองมี 1,000 คน ในปีแรก นั่นแปลว่าใน 10 ปี มีคน ย้ายออกสุทธิประมาณ 289 คน นอกจากนั้นยังมีการแนวโน้มประชากรที่ลดลงจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยเท่ากับ -2.5% ต่อปี  ซึ่งเมืองขอนแก่นมีแนวโน้มประชากรย้ายออกและลดลงมากที่สุดในบรรดากลุ่ม Big 4    2. อำเภอเมืองอุบลราชธานี ข้อมูลประชากรเบื้องต้น: จำนวนประชากร: 166,791 คน สัดส่วนประชากรต่อทั้งจังหวัด: 9% ความหนาแน่นของประชากร: 411 คน/ตร.กม. อำเภอเมืองอุบลราชธานีมีอัตราการย้ายถิ่นสุทธิเท่ากับ -245 ต่อ 1,000 คนในช่วง 10 ปีนี้ แสดงว่าเมืองกำลังสูญเสียประชากรจากการย้ายถิ่นฐานเป็นรองแค่เมืองขอนแก่น ประชากรเมืองมีแนวโน้มลดลงเฉลี่ย และมีแนวโน้มของจำนวนประชากรที่ลดลงเท่ากับ -0.12% ต่อปี   3. อำเภอเมืองอุดรธานี ข้อมูลประชากรเบื้องต้น:

ตลอด 10 ปีมานี้ คนอำเภอเมือง Big 4 แห่งอีสาน เริ่มหายไป? อ่านเพิ่มเติม »

🌊💦“ชวนเบิ่งสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ในอีสานล่าสุด!”

ชื่อ จังหวัด ความจุอ่าง (ล้าน ลบ.ม.) น้ำในอ่าง ปริมาณน้ำปัจจุบัน  (ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นเปอร์เซ็น เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี 1,966 1,181 60% เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ 1,980 1,169 59% เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร 520 286 55% เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น 2,431 1,193 49% เขื่อนลำพระเพลิง จ.นครราชสีมา 155 76 49% เขื่อนห้วยหลวง จ.อุดรธานี 136 65 48% เขื่อนลำแชะ จ.นครราชสีมา 275 126 46% เขื่อนมูลบน จ.นครราชสีมา 141 63 45% เขื่อนน้ำพุง จ.สกลนคร 165 69 42% เขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ 164 65 39% เขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ 121 39 32% เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา 314 65 21% หมายเหตุ: ข้อมูลนี้มาจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อ้างอิงจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ข้อมูลวันที่ 12 มีนาคม 2568 🌊💦“ชวนเบิ่งสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ในอีสานล่าสุด!” . 🌧️การจัดการน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ของภาคอีสานในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารจัดการปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ที่บางแห่งมีระดับน้ำลดลงในช่วงเวลาที่ผ่านมา วันนี้วันที่ 12 มีนาคม 2568 ปีนี้ มีน้ำกักเก็บในอ่าง 4,398 ล้าน ลบ.ม แต่ถ้าเทียบกับวันนี้ 12 มีนาคม ปีที่แล้ว มีปริมาณน้ำมากกว่าปีนี้ถึง 580 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ ทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวนและความต้องการใช้น้ำในพื้นที่จำนวนมาก เช่น การเกษตรและการผลิตไฟฟ้า . 🌪️ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เขื่อนลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีระดับน้ำในเขื่อนลดลงต่ำกว่าค่ามาตรฐานตามปกติ แต่ถึงแม้ว่าจะมีการลดลงของระดับน้ำในเขื่อน แต่ยังสามารถใช้น้ำได้ในบางส่วน เพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคภายในพื้นที่ได้ตามแผนการจัดสรรน้ำที่กำหนดไว้ เพียงแต่ต้องมีการควบคุมการใช้น้ำอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น . 💧ปัญหาการจัดการน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ของภาคอีสานจึงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ และการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างความตระหนักให้กับประชาชนในเรื่องการใช้น้ำอย่างประหยัด เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำในอนาคต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ต่างๆ การเตรียมความพร้อมและการปรับตัวในเรื่องนี้จะช่วยให้การจัดการน้ำมีความสมดุลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น . หมายเหตุ: ข้อมูลนี้มาจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อ้างอิงจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ข้อมูลวันที่ 12 มีนาคม 2568 . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์

🌊💦“ชวนเบิ่งสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ในอีสานล่าสุด!” อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top