Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พามาเบิ่ง 8 ปีผ่านไป ไทยขาดดุลจีนมากแค่ไหน

ฮู้บ่ว่า ไทยมีแนวโน้มที่จะขาดดุลทางการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการขาดดุลทางการค้ากับจีนในปีที่ผ่านมา( มกราคม – พฤศจิกายน) มากถึง 1.47 ล้านล้านบาท   . จีนนับว่าเป็นประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักกับไทยมาอย่างยาวนานและเป็นประเทศที่ไทยมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าเข้ามามากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ในขณะเดียวกันไทยก็ขาดดุลทางการค้ากับจีนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มสร้างความกังวลให้กับผู้ผลิตในประเทศไทย ที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากจีนที่มากเกินไปกระทั่งเรียกได้ว่าเป็นสินค้าทะลักจากจีน   . ในช่วงก่อนสงครามทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ในปี 2561 ขณะนั้นไทยเองก็มีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่าส่งออกไปจีนมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่งผลให้พอเกิดสงครามการค้าขึ้นที่จีนได้รับผลกระทบจากนโยบายทางภาษีศุลกากรจากสหรัฐอเมริกาและทำให้สินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีต้นทุนที่สูงขึ้นและได้เริ่มมองหาตลาดใหม่ๆเพื่อรองรับสินค้า ซึ่งเป้าหมายในการเป็นตลาดรองรับสินค้าจากจีนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมไทยของเราด้วยนั่นเอง   . หากเปรียบเทียบระหว่างช่วงก่อนสงครามการค้าและในปัจจุบัน จะพบว่า ไทยมีสัดส่วนการนำเข้าจากจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดในช่วงก่อนสงครามการค้าที่ 20% แต่ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 26% ซึ่งบ่งบอกถึงการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากจีนที่มากขึ้น โดยมีสินค้าที่โดดเด่นหลักๆคือสินค้าประเภท อุปกรณ์ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์จากเหล็กกล้า ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่ไทยได้นำเข้าจากจีนในปีที่ผ่านมา ในด้านการส่งออกของไทย จะมีสินค้าหลักเป็นสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์จากสินค้าเกษตร ได้แก่ ผลไม้และลูกนัต ยางและผลิตภัณฑ์จากยางเป็นต้น    . การนำเข้าสินค้าจากจีนที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมส่งผลกระทบกับประเทศไทยเองในหลายๆด้าน ซึ่งก็มีปัญหาที่หลายๆฝ่ายกังวลอย่างเช่น ผู้ประกอบการที่อยู่ในประเทศนั้นจะไม่สามารถแข่งกับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในภาคการผลิต ที่ผลิตสินค้าใกล้เคียงกันกับสินค้าที่ไทยนำเข้ามาจากจีน ในส่วนของผู้ประกอบการภาคการค้า มีบางส่วนที่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน แต่ก็มีผู้ประกอบการที่ได้รับอานิสงส์จากการนำเข้าสินค้าจากจีน จากต้นทุนด้านราคาที่ถูกลง    . เนื่องจากปัญหาของการนำเข้าจากจีนที่มากขึ้น สามารถสร้างผลกระทบให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและกระจายไปยังเศรษฐกิจในวงกว้าง ส่งผลให้ปัญหาดังกล่าวควรมีการเร่งปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสีย และหาทางออกหรือแนวทางการป้องกันที่ครอบคลุมมากเพียงพอที่จะป้องกันภาคธุรกิจภายในประเทศ หรืออย่างน้อยก็สามารถทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวเพื่อสู้กับปัญหาสินค้าทะลักจากต่างประเทศได้ ลาวถูกแซงหน้า จากสินค้าจีนล้นด่านชายแดนอีสาน : เปรียบเทียบการนำเข้าก่อน-หลังสงครามการค้า สินค้า🇨🇳จีนทะลักครองสัดส่วนการนำเข้าสินค้าผ่านแดนอีสานสูงถึง 83% เปิด เส้นทางขนส่งสินค้า ออนไลน์ ทำไมต้องผ่าน “มุกดาหาร” 2 วัน ส่งไว จีน-ไทย ไม่เกินจริง

พามาเบิ่ง 8 ปีผ่านไป ไทยขาดดุลจีนมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

Go Wholesale รุกอีสาน เปิดสาขาอุดร ขอนแก่น

ชื่อบริษัท: บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ปีที่จดทะเบียน: 24 พ.ย. 2565 ทุนจดทะเบียน: 1,800 รายได้ปี 2566: 479 ล้านบาท กำไรปี 2566: -342 ล้านบาท ผู้บริหาร: คุณสุชาดา อิทธิจารุกุล สาขาอุดรธานี ลำดับสาขา: 11 วันที่เปิด: 17 ม.ค. 2568 ที่ตั้ง: 217 ถ.เลี่ยงเมืองหนองคาย ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000 ขนาดพื้นที่: ตั้งอยู่บนพื้นที่ 37 ไร่ พื้นที่ขายกว่า 9,100 ตร.ม. ภาพจาก Inside Udon   สาขาขอนแก่น ลำดับสาขา: 12 วันที่เปิด: 22 ม.ค. 2568 ที่ตั้ง: 1/51 ถ.ประชาสโมสร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 ขนาดพื้นที่: ตั้งอยู่บนพื้นที่ 27 ไร่ พื้นที่ขายประมาณ 9,000 ตร.ม. ภาพจาก Khon Kaen Update   สาขาทั่วประเทศ  กรุงเทพมหานคร 3 สาขา ชลบุรี 2 สาขา ปทุมธานี 1 สาขา เชียงใหม่ 1 สาขา สมุทรปราการ 1 สาขา ภูเก็ต 2 สาขา อุดรธานี 1 สาขา ขอนแก่น 1 สาขา Go Wholesale ศูนย์ค้าส่งน้องใหม่ในประเทศไทยจากเครือเซ็นทรัลที่พึ่งเกิดใหม่ในปี 2565 และเปิดสาขาแรกในปี 2566 มีสินค้าให้เลือกมากมายกว่า 20,000 รายการ การเข้ามาของ Go Wholesale แน่นอนว่าเข้ามาเพื่อเป็นคู่แข่งกับ Makro ของเครือซีพีโดยตรง โดยทาง Go Wholesale ได้คุณสุชาดา อิทธิจารุกุล มานำทัพในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ ในธุรกิจเครือ CRC เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณสุชาดา อิทธิจารุกุล เป็นผู้คร่ำหวอดอยู่ในธุรกิจค้าส่งมานานเกือบ 3

Go Wholesale รุกอีสาน เปิดสาขาอุดร ขอนแก่น อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง โฉนดที่ดินของเเต่ละจังหวัดในอีสาน เปลี่ยนเเปลงเพิ่มขึ้นไปมากเท่าใด ในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา

. โฉนดที่ดิน ถือเป็นเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินประเภทหนึ่ง ที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะใช้เอกสารดังกล่าว ในการแสดงความเป็นเจ้าของ และใช้ในการประกอบธุรกรรมด้านต่างๆ เช่น ซื้อ ขาย จำนอง เป็นต้น  . ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานจากข้อมูลของกรมที่ดินพบว่า จังหวัดนครราชสีมาเเละขอนเเก่นเป็นจังหวัดที่มีโฉนดที่ดินมากที่สุดในประเทศเป็นอันดับที่ 2  เเละ  3 เป็นรองเพียงกรุงเทพมหานคร โดยมีปริมาณเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินอยู่ที่1,566,201 เเปลงเเละ 1,166,513  เเปลง ตามลําดับ ส่วนกรุงเทพมหานครมากสุดในประเทศอยู่ที่ 2,182,095 เเปลง จากทั้งหมด 37,272,607 เเปลงทั่วประเทศ  . ในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา(พ.ศ.2559- 2567) เมื่อมองถึงร้อยละการเปลี่ยนเเปลงที่เพิ่มขึ้นจะพบว่าจังหวัดที่มีโฉนดที่ดินเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือบึงกาฬ ที่ร้อยละ 22.73 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนเเปลงของทั้งภูมิภาคที่อยู่ที่ร้อยละ 15.67 ส่วนจังหวัดนครราชสีมาที่มีโฉนดที่ดินมากที่สุดกลับเปลี่ยนเเปลงเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 14.04 . โดยโฉนดที่ดินของทั้งภูมิภาคในปัจจุบันอยู่ที่ 12,343,003 เเปลง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงในด้านการถือครองและการจัดการโฉนดที่ดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของเขตเมือง และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชน ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การสิ่งเเวดล้อม การสํารวจดูการเปลี่ยนเเปลงเอกสารสิทธ์ในที่ดิน โดยเฉพาะโฉนดที่ดินจึงมีประโยชน์เเก่ผู้ที่สนใจเเละสามารถนําข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการวิเคราะห์วางเเผนด้านต่างๆ . พาสำรวจเบิ่ง “ราคาที่ดินต่ำสุด-สูงสุด” แต่จังหวัดในภาคอีสาน ที่มา : กรมที่ดิน . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #ที่ดิน #โฉนด #โฉนดที่ดิน

พามาเบิ่ง โฉนดที่ดินของเเต่ละจังหวัดในอีสาน เปลี่ยนเเปลงเพิ่มขึ้นไปมากเท่าใด ในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง 4 ยักษ์ใหญ่แห่งแดนภูธรที่ครองสิทธิบริหาร 7-Eleven

การเข้ามาของร้าน “เซเว่น-อีเลฟเว่น” มากกว่า 35 ปีที่ นอกจากพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล “ซีพี ออลล์” ต้องการบุกตลาดต่างจังหวัดควบคู่ไปด้วย “กลุ่มซีพี” จึงให้ “Sub-Area License” กับ 4 กลุ่มทุนรายใหญ่ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ กลุ่มตันตราภัณฑ์ กลุ่มงานทวี กลุ่มยิ่งยง และกลุ่มศรีสมัย   การเติบโตของ “4 กลุ่มทุนเก่าแก่” มีต้นกำเนิดจากร้านโชห่วย-ขายของชำ ก่อนแตกไลน์ธุรกิจไปยังเซกเมนต์อื่นๆ โดยกลุ่มตันตราภัณฑ์โด่งดังจาก “ห้างตันตราภัณฑ์” กลุ่มยิ่งยงโตจาก “ยิ่งยงสรรพสินค้า” กลุ่มศรีสมัยมีรากฐานจาก “ศรีสมัยค้าส่ง” ส่วนกลุ่มงานทวีมีธุรกิจหลากหลาย จากร้านของชำพลิกไปทำเหมืองแร่-สวนยางพารา   ทั้ง “4 กลุ่มทุน” มีรายได้จากการถือ “Sub-Area License” หลักพันล้านบาททุกปี     ภาคเหนือ – กลุ่มตันตราภัณฑ์ กลุ่มตันตราภัณฑ์ของตระกูล “ตันตรานนท์” มีต้นตระกูลเป็นชาวจีนชื่อว่า “เถ้าแก่ง่วนชุน” เริ่มต้นจากการเปิดร้านขายของชำเรือนไม้ 2 ชั้น ริมถนนวิชยานนท์ ใกล้กับตลาดต้นลำไยและตลาดวโรรสหรือที่คนในพื้นที่เรียกว่า “กาดหลวง” เมื่อธุรกิจร้านโชห่วยเติบโตมากขึ้น ลูกชายอย่าง “ธวัช ตันตรานนท์” จึงคิดหาลู่ทางขยายกิจการ-ขยับสู่การทำห้างสรรพสินค้า “ตันตราภัณฑ์”   จุดเปลี่ยนสำคัญของ “กลุ่มตันตราภัณฑ์” เกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 2530 “กลุ่มเซ็นทรัล” และบรรดา “ดิสเคาต์สโตร์” เริ่มขยายตลาดมายังภูมิภาคอื่นๆ มากขึ้น เมื่อดำเนินกิจการไปสักระยะก็พบว่า ศูนย์การค้าไม่ใช่เกมที่ตนถนัดประกอบกับห้างตันตราภัณฑ์เริ่มถูก “ดิสรัปต์” จากค้าปลีกเซ็นทรัลมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจขายศูนย์การค้า “แอร์พอร์ตพลาซ่า” ให้กับกลุ่มเซ็นทรัล เหลือไว้เพียง “ริมปิงซุปเปอร์มาร์เก็ต” ที่เป็นจุดแข็งมาจนถึงปัจจุบัน   นอกจากธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว “กลุ่มตันตราภัณฑ์” ยังมีรายได้หลักจาก “บริษัท ชอยส์ มินิ สโตร์ จำกัด” บริษัทที่ประกอบกิจการร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น-อีเลฟเว่น” ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน และ จ.แม่ฮ่องสอน ผลประกอบการย้อนหลังตั้งแต่ปี 2556 ถึง 2565 พบว่า บริษัทฯ มีรายได้หลัก “พันล้านบาท” ทุกปี และ ในปี 2566 ทำรายได้ “หลักหมื่นล้าน” เลยทีเดียว และยังเป็นกิจการที่สร้างเม็ดเงินให้กับ “กลุ่มตันตราภัณฑ์” สูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในเครือด้วย     ภาคอีสาน – กลุ่มยิ่งยง ย้อนกลับไป 30

พาสำรวจเบิ่ง 4 ยักษ์ใหญ่แห่งแดนภูธรที่ครองสิทธิบริหาร 7-Eleven อ่านเพิ่มเติม »

🔎พาส่องเบิ่ง ตัวอย่าง “โรงน้ำตาล” เจ้าใหญ่แห่งภูธรอีสาน🏭

📈📊ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของโลก โดยในปี 2566 ไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกน้ำตาลอันดับ 2 ของโลก ด้วยมูลค่าการส่งออกสูงถึง 4,506 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองเพียงบราซิลที่เป็นผู้นำด้านการส่งออกน้ำตาลของโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 15,982 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับคู่แข่งที่สำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกน้ำตาลใกล้เคียงกับไทย ได้แก่ อินเดียและเยอรมนี ซึ่งมูลค่าการส่งออกของทั้งสองประเทศมีการเปลี่ยนแปลงลำดับกันในแต่ละปีขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิตและการส่งออกในช่วงเวลานั้น ๆ    ภาคอีสานถือเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลจากอ้อยที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย โดยในฤดูกาลผลิตปี 2567/2568 ประเทศไทยมีปริมาณอ้อยรวมทั้งหมด 93.2 ล้านตัน ซึ่งภาคอีสานมีปริมาณอ้อยถึง 45.9 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของปริมาณอ้อยทั้งประเทศเลยทีเดียว ภายในภาคอีสานมีโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 23 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นของกลุ่มธุรกิจน้ำตาลรายใหญ่ในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีบางโรงงานที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มทุนใหญ่ เช่น บริษัท โรงงานน้ำตาลทรายขาวเริ่มอุดม จำกัด, บริษัท โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน), และบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด เป็นต้น   กลุ่มธุรกิจน้ำตาลที่เลือกตั้งโรงงานในภาคอีสานส่วนใหญ่นั้นเป็นแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันดี อย่างกลุ่มมิตรผล, กลุ่มวังขนาย, กลุ่มไทยรุ่งเรือง, กลุ่ม Thai Sugar Mill หรือ รู้จักกันในนาม GOOD SUGAAAR, กลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBS) และน้ำตาลขอนแก่น (KSL) ซึ่งการเลือกตั้งโรงงานในภาคอีสานก็สามารถแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาคอีสานในฐานะพื้นที่ผลิตที่มีบทบาทสำคัญต่อกลยุทธ์ของบริษัท การตั้งโรงงานในพื้นที่ผลิตอ้อยช่วยลดต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบ ซึ่งเป็นต้นทุนส่วนสำคัญในการผลิตน้ำตาล     🏬จากข้อมูลอันดับข้างต้นก็จะพบว่า บริษัท รวมเกษตรกรอุตสาหกรรม จำกัด มีมูลค่ารายได้รวมมากที่สุดในอีสาน ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัทน้ําตาลมิตรผล ที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ําตาลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนั่นเอง “มิตรผล” ได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท รวมเกษตรกรอุตสาหกรรม จํากัด ซึ่งปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 490 ลานบาท และเป็นเจาของโรงงานน้ําตาล 2 แห่ง คือ  – โรงงานน้ําตาลมิตรภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ มีอัตราการผลิตอ้อย 25,000 ตัน/วัน และสามารถผลิตน้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์ได้ 1,500 ตัน/วัน โรงงานผลิตน้ําตาล 4 ประเภท คือ น้ําตาลทรายดิบ น้ําตาลทรายดิบคุณภาพสูง (VHP) น้ําตาลทรายขาว และน้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์    – โรงงานน้ําตาลมิตรภูเวียง จังหวัดขอนแกน มีอัตราการผลิตอ้อย 24,000 ตัน/วัน และสามารถผลิตน้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์ได้ 700 ตัน/วัน โรงงานผลิตน้ําตาล 5 ประเภท คือ น้ําตาลทรายดิบ น้ําตาลทรายดิบคุณภาพสูง (VHP) น้ําตาลทรายขาว น้ําตาลปี๊บ และน้ําตาลทรายแดง นอกจากนี้โรงงานสามารถผลิตกระแสไฟฟา และจําหน่ายให้แก่การไฟฟาแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราการผลิต

🔎พาส่องเบิ่ง ตัวอย่าง “โรงน้ำตาล” เจ้าใหญ่แห่งภูธรอีสาน🏭 อ่านเพิ่มเติม »

3 วัดชื่อดังของแต่ละประเทศเพื่อนบ้าน สายบุญห้ามพลาด!

วันนี้เราจะพามาแนะนำวัดชื่อดังที่สายบุญห้ามพลาด ต้องได้ลองไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต   ไทย(อีสาน) – วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา  วัดเก่าแก่ในตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด เป็นวัดสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตของ พระเทพวิทยาคม หรือ “หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ” พระเกจิชื่อดังซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั้งประเทศ ภายในวัดมีสิ่งปลูกสร้างสำคัญ ๆ อยู่หลายอาคาร ได้แก่ พระอุโบสถ พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ หอแก้ว หอระฆัง อาคารประชาสัมพันธ์ ศูนย์โอทอป (OTOP) และที่โดดเด่นสวยงามอย่างมากคือ หอเทพวิทยาคม เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา (อาคารปริสุทธปัญญา) ซึ่งเป็นอุทยานธรรม 5 ชั้น กลางบึงน้ำขนาดใหญ่    -วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ตั้งอยู่ที่ถนนประจักษ์ศิลปาคม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองหนองคาย เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วิจิตรตระการตา และเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อพระใส” พระพุทธรูปสำคัญคู่เมือง เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ในสมัยล้านช้าง หล่อด้วยทองสีสุก หน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ซึ่งในช่วงวันสงกรานต์ของทุกปี จะมีการจัดงานสมโภชและขบวนแห่ให้ชาวหนองคายได้สรงน้ำหลวงพ่อพระใสเพื่อความเป็นสิริมงคลกันอีกด้วย   -วัดมหาธาตุ จังหวัดยโสธร วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองยโสธร ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองยโสธร อำเภอเมืองยโสธร ภายในวัดมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญคือ “พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์” หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยเชียงแสน เป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธรและเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำเมืองที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย และพระธาตุอานนท์ พระธาตุเก่าแก่ที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน   ลาว –วัดเชียงทอง สร้างขึ้นใน พ.ศ.2103 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เป็นวัดสวยของหลวงพระบางที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ที่นี่ถือว่าเป็นวัดเก่าแก่ และสวยที่สุดในหลวงพระบาง จนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็น “อัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมสกุลช่างล้านช้าง” เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างตอนเหนือที่งดงามมาก  จุดเด่นที่ต้องห้ามพลาดเลยก็คือ วิหารพระม่าน และหอพระพุทธไสยาสน์ ผนังด้านนอกทาพื้นเป็นสีชมพูกุหลาบ ตกแต่งดอกลวดลายสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของเมืองหลวงพระบาง ถ้าใครได้มาเที่ยวหลวงพระบางแล้ว ไม่ได้แวะมาเยือนวัดเชียงทอง แทบเหมือนมาไม่ถึงหลวงพระบางเลยทีเดียว   –พระธาตุพูสี ตั้งอยู่บนยอดเขากลางเมืองหลวงพระบาง ที่มีความสูงถึง 150 เมตรเลยทีเดียว สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอนุรุท ประมาณปี พ.ศ.2337 และเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของชาวหลวงพระบาง มีพระพุทธรูป และรอยพระพุทธบาทเก่าแก่ การขึ้นพระธาตุพูสี ต้องเดินขึ้นบันไดจำนวน 328 ขั้น ทางขึ้นพระธาตุมี 2 ทาง คือทางฝั่งแม่น้ำคาน กับฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งมีความสวยงามต่างกันไป อีกทั้งด้านบนยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยที่สุดของหลวงพระบาง สามารถมองเห็นวิวหลวงพระบางได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว   –วัดโพนไซ วัดโพนไซ หรือ วัดโพนชัยชนะสงคราม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2344 โดยพระเจ้าอนุรุทธราช กษัตริย์แห่งหลวงพระบาง พระอุโบสถเป็นศิลปะแบบหลวงพระบาง ในอดีตมีความเชื่อกันว่า

3 วัดชื่อดังของแต่ละประเทศเพื่อนบ้าน สายบุญห้ามพลาด! อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง “เถ้าแก่น้อยร้อยล้าน” แห่งภูธรอีสาน

คุณณิชกานต์ พัฒนพีระเดช📍สาวขอนแก่น เจ้าของ “แฟรี่พลาซ่า” , “ตลาดต้นตาล” และ “ศูนย์ค้าส่ง อู้ฟู่ ขอนแก่น” “ตลาดต้นตาล” แลนด์มาร์คเมืองของแก่น ที่มีทายาทรุ่นสาม เข้ามาร่วมพลิกโฉมจังหวัดขอนแก่นให้มีสีสันทั้งกลางวันและกลางคืน จากครอบครัวที่ทำธุรกิจเปิด “ห้างแฟรี่พลาซ่า” เปิดให้บริการมายาวนานกว่า 50 ปี จนกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของขอนแก่น แต่ต้องเผชิญการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงและธุรกิจห้างไม่ได้อยู่ในช่วงขาขึ้น จึงนำไปสู่การทำไนท์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ในจังหวัด   ซึ่งกลยุทธ์ของตลาดต้นตาลจะมุ่งจัดกิจกรรมทางด้านบันเทิงอย่างเข้มข้น เพื่อทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องมาเยือน และร่วมกระตุ้นค้าปลีก จากการดึงผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้ามาเปิดร้านค้า ร่วมสร้างการเติบโตให้แก่เศรษฐกิจของจังหวัด   นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาธุรกิจค้าปลีกกับ “ห้างแฟรี่พลาซ่า” ที่อยู่ในตลาดมากกว่า 50 ปี โดยเป็นห้างบุกเบิกของจังหวัดขอนแก่น ได้มีการวางแผนจัดกิจกรรมการตลาดและอีเว้นท์อย่างเข้มข้นเช่นกัน ร่วมเพิ่มยอดทราฟฟิกของห้างให้ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางตลาดค้าปลีกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว!      คุณจิรเดช เนตรวงค์📍หนุ่มร้อยเอ็ด เจ้าของ “ร้านตำกระเทย” ที่เริ่มต้นจากศูนย์ ด้วยหนี้สินก้อนโต ทำให้ประสบปัญหาทางด้านการเงินในชีวิต จนต้องหาที่พึ่งพิงสุดท้ายจากครอบครัว ยืมเงินจากบัตรเครดิตของน้องชายมา 400,000 บาท และมาเริ่มต้นใหม่ในการทำธุรกิจร้านอาหาร โดยใช้ปลาร้าสูตรของคุณแม่ที่ทำกินเองที่บ้าน นำมาต่อยอดปรับสูตร ทำให้ได้รสชาติที่คิดว่าคนส่วนใหญ่ชอบทาน แม้ว่าในช่วงแรกที่เริ่มต้นจะขาดทุนกว่า 6 เดือน แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ด้วยการขายสร้อยทองชิ้นสุดท้ายของคุณแม่ในการพัฒนาธุรกิจ   จากร้านส้มตำเล็กๆ คุณจิรเดชได้พัฒนาร้านโดยใช้สื่อโซเชียลในการโปรโมทร้านจนเริ่มเป็นที่รู้จัก จนทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยใช้เวลา 10 ปี ในการพาร้านอาหารขยายสาขาไปทั่วอีสาน 11 สาขาทั่วอีสาน เปิดในกรุงเทพฯ 1 สาขา และเปิดในกัมพูชาอีก 1 สาขา สร้างยอดขาย 300 ล้านบาท   ในปัจจุบัน ตำกระเทย สาเกต ได้ขยายธุรกิจจากแดนอีสานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ย่านสีลม และขยายไปต่างประเทศที่กัมพูชา โดยเป็นฝีมือการทำอาหารจากชาว LGBTQ ที่ไม่ได้รับโอกาส แต่ที่ร้านตำกระเทยเป็นผู้ให้โอกาสได้โชว์ฝีมือการทำอาหาร และเมนูที่ขายดี คือ ส้มตำ ที่ใช้น้ำปลาร้าในการปรุงอาหารทำให้รสชาติอร่อยมากยิ่งขึ้น ที่ทำรายได้กว่า 50% ของยอดขาย ซึ่งในปีที่ผ่านมาตำไปแล้วว่า 1 ล้านครก   คุณภูดิศ ประดับโชติ📍หนุ่มบุรีรัมย์ หนุ่มบุรีรัมย์ที่เรียนจบเลือกมาทำงานในกรุงเทพ ฯ ทำงานมาหลายอาชีพ ตั้งแต่เป็นคนจัดตารางวิทยุ พนักงานออฟฟิศ ขายไก่ย่างห้าดาว และเป็นตัวแทนจำหน่ายไอศกรีม จนในที่สุดเลือกที่จะมาทำธุรกิจของตัวเอง ใช้เงินลงทุนเพียงหลักพัน ขายเฉาก๊วยริมถนนในจังหวัดหนองคาย    จนกระทั่งมีคนมาเหมาไปเป็นของว่างงานประชุมตามบริษัทต่าง ๆ ทำให้คุณภูดิศเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจแฟรนไชส์ หลังจากนั้นคุณภูดิศได้มีไปออกงานแสดงสินค้าประจำปี งานบุญพระธาตุหลวงเวียงจันทร์ที่ สปป.ลาว ขายทั้งหมด 7 วัน ได้วันละ 2,000 แก้ว ทำให้มีคนสนใจธุรกิจแฟรนไชส์ โดยใช้เวลากว่า 5

ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง “เถ้าแก่น้อยร้อยล้าน” แห่งภูธรอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พลิกโฉมนครพนม กับสุดยอดโครงการคมนาคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

จังหวัดนครพนม ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย โดยเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทั้งด้านประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจ ด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) เท่ากับ 50,217,015 บาท นครพนมยังมีบทบาทสำคัญในฐานะประตูเชื่อมต่อไทย ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 สะพานมิตรภาพแห่งนี้เปิดใช้งานเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 โดยเชื่อมต่อจังหวัดนครพนมกับแขวงคำม่วนของประเทศลาว ด้วยความยาว 780 เมตร และทัศนียภาพที่สวยงามของแนวเขา สะพานแห่งนี้กลายเป็นเส้นทางสำคัญทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการค้า ระหว่างประเทศไทย เวียดนาม และจีนตอนใต้ ข้อมูลเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทย-ลาวแสดงให้เห็นถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังลาวที่ 6,705 ล้านบาท และการนำเข้าสินค้าจากลาวที่ 64,302 ล้านบาท สะพานแห่งนี้จึงเป็นศูนย์กลางการเคลื่อนย้ายสินค้าที่สำคัญของภูมิภาค โครงการพัฒนาด้านคมนาคมสำคัญในอนาคต เพื่อยกระดับศักยภาพของจังหวัดนครพนม ภาครัฐได้ผลักดันหลากหลายโครงการคมนาคมที่จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและการขนส่งในพื้นที่ 1. รถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม เส้นทาง: บ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม (สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3) ระยะทาง: 355 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ: 66,848 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จ: พ.ศ. 2571 ศักยภาพ: เชื่อมต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับพื้นที่เศรษฐกิจทางตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) รองรับผู้โดยสารได้ถึง 3.8 ล้านคนต่อปี เพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์เกษตร ซีเมนต์ และสินค้าอุปโภคบริโภค มากถึง 700,000 ตันต่อปี 2. ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม พิกัด: ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม มูลค่าโครงการ: 1,300 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จ: พ.ศ. 2568 ศักยภาพ: เป็นศูนย์รวมการรวบรวม คัดแยก และกระจายสินค้า เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ สนับสนุนการเชื่อมโยงกับรถไฟทางคู่และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ 3. ถนนสายเชื่อมศูนย์ซ่อมอากาศยาน-ศูนย์กลางการค้าส่งชายแดน พิกัด: สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 – ทล.212 อำเภอท่าอุเทน (ระยะทาง 23.1 กิโลเมตร) มูลค่าโครงการ: 949 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จ: พ.ศ. 2568 ศักยภาพ: เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมระหว่างไทยและลาว สนับสนุนการขนส่งสินค้าด้วยระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจร เพิ่มโอกาสด้านการค้าและการลงทุน ด้วยศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังจะเกิดขึ้น นครพนมจึงเป็นพื้นที่ที่มีอนาคตสดใสในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการคมนาคม นอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของจังหวัด ยังส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน.   ที่มา: ประชาสัมพันธ์กระทรวงคมนาคม, กรมการขนส่งทางบก, สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม, การรถไฟแห่งประเทศไทย, สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

พลิกโฉมนครพนม กับสุดยอดโครงการคมนาคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง คนอีสานยังดูโทรทัศน์/ฟังวิทยุกันอยู่บ่ เเละคนเเต่ละจังหวัดมักช่องไหนมากสุด

. การสื่อสารถือได้ว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ สามารถทำให้สังคมดำรงอยู่ได้และเกิดการผลักดันสังคม ให้พัฒนาไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งสังคมและประเทศจะพัฒนาได้นั้น ประชาชนจะต้องได้รับความรู้ เพื่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติความเชื่อ พฤติกรรม และวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เกิดขึ้น การสื่อสารจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองให้แก่ชุมชนและประเทศชาติ . เเม้ในยุคปัจจุบันผู้คนจะใช้โทรศัพย์มือถือมากขึ้น เเต่ประชาชนร้อยละ 80.7 ระบุว่ารับรู้ข้อมูลข่าวสารจากโทรทัศน์มากที่สุด มากกว่า สื่อสังคมออนไลน์เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ ติ๊กต็อก รองลงมาคือพูดคุยกับคนรอบตัว เเละวิทยุก็ยังเป็นอีกช่องทางสื่อสารที่สําคัญ . ในภาคอีสานจากการสำรวจการรับฟัง/รับชมรายการ ของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ . พบว่า ร้อยละของประชาชนที่รับชมรายการจากสถานีโทรทัศน์ มากที่สุดอยู่จังหวัดศรีสะเกษ 97.1 % รองลงมาคือบึงกาฬเเละขอนเเก่น โดยสถานีโทรทัศน์ที่รับชมมากที่สุดจะมีอยู่ 2 ช่องคือ ช่อง 7 HD เเละ ช่อง 3 HD . ส่วนวิทยุนั้นร้อยละของประชาชนที่รับฟังรายการจากสถานีวิทยุมากสุดอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด 72.9 % ส่วนน้อยสุดอยู่ที่หนองคาย 16.3 % สถานีวิทยุที่รับฟังมากที่สุด จะเป็นวิทยุชุมชนไม่ก็ สวท.   โดยช่วงเวลาที่คนอีสานรับฟังวิทยุมากสุด คือช่วง  5.00-09.00 น. เเต่รับชมโทรทัศน์มากสุดในช่วง 18.01-21.00 น. . อาชีพข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้าง ของรัฐ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ รับฟังวิทยุมากสุดเป็นร้อยละ 39.2  ส่วนอาชีพอื่น ๆ เช่น พ่อบ้าน/แม่บ้าน ข้าราชการบำนาญ ชรา ว่างงาน/ไม่มีงานทำรับชมโทรทัศน์มากสุดถึงร้อยละ 90.6 . เเละจากการสํารวจ รายการที่ต้องการฟัง  ร้อยละของประชาชนที่รับฟังรายการจากสถานีวิทยุ จำแนกตามรายการวิทยุที่ต้องการรับฟัง 5 อันดับแรก 1.รายการข่าวสาร 73.7% 2.รายการเพลง 60.9% 3.รายการข่าวสารและบันเทิง 26.7% 4.รายการบันเทิง 18.7% 5.รายการท้องถิ่น 13.1% . รายการโทรทัศน์ที่ต้องการรับชม ร้อยละของประชาชนที่รับชมรายการจากสถานีวิทยุโทรทัศน์ จำแนกตามรายการโทรทัศน์ที่ต้องการ รับชม 5 อันดับแรก 1.รายการข่าวสาร 68.5% 2.รายการละคร 53.2% 3.รายการข่าวสารและบันเทิง  41.8% 4.รายการบันเทิง 40.3% 5.รายการกีฬา 28.5% . ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ,กรมประชาสัมพันธ์ หมายเหตุ : เป็นร้อยละของกลุ่มตัวอย่างประชาชนผู้ตอบสัมภาษณ์ . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่

พามาเบิ่ง คนอีสานยังดูโทรทัศน์/ฟังวิทยุกันอยู่บ่ เเละคนเเต่ละจังหวัดมักช่องไหนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง “ป่า” แต่ละจังหวัดในอีสานมีมากแค่ไหน

ภาคอีสานของเรามีขนาดพื้นที่รวมกันทั้งหมดเกือบ 105 ล้านไร่ แล้วเคยรู้หรือไม่ว่าพื้นที่ป่าในภาคอีสานมีมากแค่ไหน?   โดยในภาคอีสานของเรามีพื้นที่ป่าเกือบ 16 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 14.9% ของขนาดพื้นที่ทั้งหมดในภาคอีสาน ซึ่งลดลงจากปี 2565 เท่ากับ 87,576 ไร่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use Change) จากพื้นที่ที่มีสภาพเป็นป่าไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ชุมชนหรือสิ่งปลูกสร้าง หรือเกิดจากปัญหาไฟป่าที่มีความรุนแรงขึ้น (Forest Fire)   การตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่ายังคงเกิดขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา   การขยายตัวทางการเกษตรยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มีการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของป่า และทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้ การเกษตรเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ (โดยเฉพาะการเลี้ยงปศุสัตว์) และเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพในท้องถิ่น     5 จังหวัดที่มีสัดส่วนพื้นที่ป่ามากที่สุด อันดับที่ 1 มุกดาหาร คิดเป็น 32.%% หรือ 8.5 แสนไร่ อันดับที่ 2 เลย คิดเป็น 32.2% หรือ 21.1 แสนไร่ อันดับที่ 3 ชัยภูมิ คิดเป็น 31.5%  หรือ 25.0 แสนไร่ อันดับที่ 4 อุบลราชธานี คิดเป็น 17.7% หรือ 17.3 แสนไร่ อันดับที่ 5 สกลนคร คิดเป็น 16.9% หรือ 10.1 แสนไร่   หากดูสัดส่วนของพื้นที่ป่าต่อพื้นที่จังหวัดจะเห็นได้ว่า มุกดาหาร มีสัดส่วนป่ามากสุดในอีสาน ซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดเป็นภูเขาสูง ติดต่อมาจากเทือกเขาภูพาน อีกทั้งในจังหวัดยังให้ความสำคัญในการปลูกป่าโดยมีการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการปลูกฟื้นฟูสภาพป่าในทุกๆปี     หมายเหตุ: พื้นที่ป่าไม้ คือ “พื้นที่ปกคลุมของพืชพรรณที่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นไม้ยืนต้น ปกคลุมเป็นผืนต่อเนื่องขนาดไม่น้อยกว่า 3.125 ไร่ และรวมถึงทุ่งหญ้า และลานหินที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่ปรากฏล้อมรอบด้วยพื้นที่ที่จำแนกได้ว่าเป็นพื้นที่ป่าไม้ โดยไม่รวมสวนยูคาลิปตัส พื้นที่วนเกษตร สวนผลไม้ สวนยางพารา และสวนปาล์ม”     อ้างอิงจาก:  – กรมสารสนเทศ กรมป่าไม้ – มูลนิธิสืบนาคะเสถียร – Salika.co – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์

พาสำรวจเบิ่ง “ป่า” แต่ละจังหวัดในอีสานมีมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top