Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

โรงไฟฟ้าพลังงานขยะขอนแก่น ต้นแบบด้านความยั่งยืนและพลังงานแห่งอีสาน

การนำขยะมาผลิตเป็นไฟฟ้า เป็นแนวคิดด้านความยั่งยืนที่เริ่มนิยมขึ้นในยุคสมัยใหม่ซึ่งผู้คนใส่ใจและให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานทดแทนนอกเหนือจากฟอสซิล ซึ่งภาคอีสานได้มีการนำขยะ มาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าแล้วที่ “โรงไฟฟ้าขยะชุมชนขอนแก่น” ตั้งอยู่ที่ บ้านคำบอน หมู่ 7 ต.โนนท่อน อ.เมืองขอนแก่น โรงไฟฟ้าขยะชุมชนขอนแก่น เดิมเป็นสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของทน.ขอนแก่น ต่อมาได้มีการร่วมมือกับเอกชนอย่างบริษัท อัลไลแอนซ์ คลีน เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) (ACE) ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดของไทย โรงไฟฟ้าขยะนี้เปิดดำเนินการเมื่อพ.ศ.2558 ภายใต้พื้นที่ 24 ไร่ โดยสามารถกำจัดขยะได้ 450 ตันต่อวัน โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าสูงสุด 6 เมกะวัตต์ต่อวัน  กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากขยะทำได้โดยขนขยะจากชุมชนขอนแก่นเข้ามายังโรงไฟฟ้า จากนั้นทำการเผาขยะด้วยอุณหภูมิ 850 – 1,050 องศาเซลเซียส ไอร้อนจากการเผาจะถูกนำไปใช้ในการปั่นเครื่องเครื่องผลิตไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกนำไปจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและกระจายสู่ชุมชนรอบๆ เทศบาลขอนแก่นเป็นแห่งแรกๆ ในอีสานที่มีการนำขยะมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า การร่วมมือกับเอกชนเป็นเรื่องดีในด้านงบประมาณและการจัดการ แต่ก็ยังมีอุปสรรคและปัญหา หลักๆคือปริมาณขยะจากชุมชนตกค้างที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้กำจัดขยะได้ไม่ทัน นอกจากนั้นชุมชนรอบๆได้มีการร้องเรียนเรื่องมลพิษทางกลิ่นและน้ำเสียที่มาจากโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าชุมชนขอนแก่น ถือได้ว่ามาถูกทางและเป็นกรณีศึกษาสำคัญในการใช้พลังงานทดแทนในอีสาน เป็นผลดีแก่การจัดตั้งและจัดการโรงไฟฟ้าขยะที่จะเกิดขึ้นในภาคอีสานและประเทศไทยในอนาคตต่อไป #โรงไฟฟ้าขยะ #สิ่งแวดล้อม   อ้างอิงจาก ระบบสารสนเทศ ด้านการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชน Absolute Clean Energy Public Company Limited ศูนย์ข่าวพลังงาน Thai PBS ศูนย์ข่าวภาคอีสาน  

โรงไฟฟ้าพลังงานขยะขอนแก่น ต้นแบบด้านความยั่งยืนและพลังงานแห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง 8 อันดับธุรกิจ ใน vs นอก ตลาดหุ้น ที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน

พาเปิดเบิ่ง 8 อันดับธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน . (1) บริษัทในตลาดหุ้น ภาคอีสานของเราก็มีหลายบริษัทที่สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ ซึ่งมีกว่า 17 บริษัทเลยทีเดียว แต่อีสานอินไซต์จะขอยกตัวอย่างมาเพียง 8 บริษัทในตลาดหุ้นที่มีรายได้รวมมากที่สุด . เมื่อพูดถึงภาคอีสานคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการทำเกษตรกรรมอย่างการปลูกข้าวนาปี, ยางพารา, มันสำปะหลัง และอ้อย นอกจากนี้แรงงานกว่า 37% ก็อยู่ในภาคการเกษตรด้วยเช่นกัน นั่นจึงส่งผลดีต่อธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรอย่างน้ำตาลขอนแก่น (KSL), แปรรูปมันสำปะหลัง (UBE) และ (PQS), ยางแผ่น (NER)  . โดยหุ้นที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสานก็คงหนีไม่พ้น วัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน รายใหญ่ระดับประเทศอย่างโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) และดูโฮม (DOHOME)  . และก็ยังมีหุ้นน้องใหม่มาแรงในปีนี้อย่างเจ้าสัว (CHAO) อีกด้วย . แต่ความมั่งคั่งของคนภาคอีสานนั้นกลับกระจุกตัวอยู่จังหวัดหัวเมืองหลักของภาคอีสาน จึงทำให้ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มต้นจากจังหวัดใหญ่ ๆ อย่างจังหวัดนครราชสีมาอย่างชิ้นส่วนยานยนต์ (PCSGH) . จะเห็นได้ว่าธุรกิจใหญ่หลาย ๆ ตัวมีจุดเริ่มต้นมาจากต่างจังหวัด ก็สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ ซึ่งการเริ่มต้นธุรกิจในต่างจังหวัดนี้ ก็เป็นเพียงหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้เติบโตและเป็นที่รู้จักขึ้นมาได้ แต่ก็ยังมีการทำการตลาดอื่น ๆ นอกจากนี้อีกด้วย อย่างการมีเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ชัดเจนและการทำการตลาดที่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ . . (2) บริษัทนอกตลาดหุ้น ส่วนบริษัทนอกตลาดหุ้นที่มีรายได้รวมที่มากก็มีเยอะเช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะมีหลายปัจจัยภายในที่ยังไม่มีแพลนที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นในเร็วๆนี้ . โดย 8 อันดับบริษัทที่มีรายได้รวมมากที่สุดในอีสาน ก็มักจะอยู่จังหวัดหัวเมืองของภาคอีสานเช่นเดียวกัน อย่างนครราชสีมา และขอนแก่น  . จังหวัดขอนแก่น มี “บจก.ห้างทองทองสวย” ที่ประกอบกิจการร้านขายทอง และ “บจก.นำรุ่งโรจน์” ที่ประกอบกิจการการขายส่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ . ส่วนจังหวัดนครราชสีมาก็หลากหลายบริษัท อย่าง “บจก.นำกิจการ” ที่ประกอบกิจการขายส่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  “บจก.เอสอีดับเบิ้ลยูที โคราช” และ “บจก.ฮิตาชิ แอสเตโม โคราช เบรก ซิสเตมส์” ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ “บจก.ศิลาบริการขนส่ง” ประกอบกิจการขายส่งสินค้าทั่วไป “บจก.คาสิโอ (ประเทศไทย)” ประกอบกิจการการผลิตนาฬิกา “บจก.ฟูไน (ไทยแลนด์)” ประกอบกิจการการผลิตเครื่องรับวิทยุเครื่องบันทึก . จะเห็นได้ว่าบริษัทที่มีรายได้รวมมากที่สุดในนครราชสีมาส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทจากต่างชาติที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตภายในจังหวัด ถึงก็แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพขอจังหวัดที่มีเหล่านักลงทุนจากหลาย ๆ ที่ให้ความสนใจในการลงทุนภายในจังหวัด  . ซึ่งก็จะปฏิเสธไม่ได้ว่า นครราชสีมาตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางรถไฟ และทางอากาศ ทำให้การขนส่งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปไปยังตลาดต่างๆ ทั่วประเทศและต่างประเทศทำได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการกระจายสินค้า . นอกจากนี้ การที่นครราชสีมามีบริษัทที่เป็นฐานการผลิตจำนวนมาก ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของจังหวัดในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น โรงงานอุตสาหกรรมสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก . อย่างไรก็ตาม การมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้เช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น . .

พาเปิดเบิ่ง 8 อันดับธุรกิจ ใน vs นอก ตลาดหุ้น ที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ปี2566

“ฮู้บ่ว่า? จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมของภาคอีสานบอกอะไรเราได้บ้าง?” . ภาคอีสาน, ดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งของแรงงาน และเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ข้อมูลจำนวนผู้ประกันตนในแต่ละประเภทในพื้นที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขธรรมดา แต่สะท้อนถึงโครงสร้างการจ้างงานและทิศทางการพัฒนาอย่างแท้จริง! มาตรา 33: ตัวเลขแรงงานที่ทำงานในบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ หากมีการเปลี่ยนแปลง จะส่งผลต่อภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในอีสาน ขยายหรือหดตัว? ตัวเลขนี้ตอบได้! มาตรา 39: แสดงถึงผู้ที่ยังคงรักษาสิทธิประโยชน์ แม้จะออกจากการเป็นลูกจ้างแล้ว สะท้อนความต้องการความมั่นคงในสวัสดิการ แม้ต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น มาตรา 40: กับยุคของแรงงานอิสระที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นสัญญาณว่าคนในภาคอีสานกำลังปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม . การเข้าใจตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในอีสาน ว่าจะก้าวไปทางไหน และยังช่วยกำหนดทิศทางนโยบายที่จะสนับสนุนแรงงานในภูมิภาคนี้ได้อย่างตรงจุด! . “เพราะในโลกของเศรษฐกิจและสังคม ตัวเลขไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นคงและคุณภาพชีวิตให้กับคนอีสาน” . ที่มา  สำนักงานประกันสังคม . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight . . #ISANInsight #อีสานอินไซต์ #อีสาน #ผู้ประกันตน#ผู้ประกันตนอีสาน2566

พาส่องเบิ่ง จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ปี2566 อ่านเพิ่มเติม »

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน สงครามเย็น (พ.ศ. 2490-2534) เป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา (นำโดยฝ่ายประชาธิปไตยและทุนนิยม) และสหภาพโซเวียต (นำโดยฝ่ายคอมมิวนิสต์) เป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ การเมือง และการแย่งชิงอิทธิพลในระดับโลก โดยประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ และพื้นที่ยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จังหวัดอุดรธานี มีความสำคัญมากในช่วงสงครามเย็นและสงครามเวียดนาม เนื่องจากเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศซึ่งสหรัฐฯ ใช้เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติการทางทหารในอินโดจีน โดยสามารถสรุปเหตุการณ์สำคัญช่วงสงครามเย็นในอุดรธานี ได้ดังต่อไปนี้ พ.ศ. 2488-2489 : การอพยพครั้งใหญ่ของชาวเวียดนาม หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและเวียดนามภายใต้การนำของโฮจิมินท์ประทุขึ้น คนเวียดนามหลายชีวิต หลบหนีการปราบจากฝรั่งเศส ข้ามฝั่งมายังชายแดนฝั่งโขงของไทย ในพื้นที่ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร(ในขณะนั้นยังคงเป็นอำเภอ) และขยายถิ่นฐานมาตั้งรกรากยังอุดรธานีและขอนแก่น พ.ศ. 2497 : การเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ในอีสาน สหรัฐฯ ภายใต้การนำของปธน. จอห์น เอฟ เคนเนดี เริ่มเข้ามามีบทบาทในการป้องกันการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งเป็นการเปิดฉากสงครามเวียดนาม ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าประเทศไทยเป็น “แนวหน้า” ของการต่อสู้กับการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายพื้นที่ในอีสาน รวมถึงอุดรธานี กลายเป็นพื้นที่สำคัญแก่กองทัพสหรัฐฯ ในการตั้งฐานทัพ พ.ศ. 2497-2505: เศรษฐกิจอุดรฯ ถูกพลิกโฉม สหรัฐฯ ได้มีการสนับสนุนงบประมาณ ในการก่อสร้างถนนมิตรภาพที่ตัดผ่านใจกลางเมืองอุดรจนแล้วเสร็จ รวมไปถึงเส้นทางรถไฟ และขยายถนนในแถบอีสานตอนบน ซึ่งวลีที่ว่า “ถนนไปที่ไหน ความเจริญไปที่นั่น” คงชัดเจนในกรณีของอุดรฯ ซึ่งเมืองอุดรในช่วงสงครามเวียดนามได้กลายเป็นศูนย์กลางการซื้อขายพืชเศรษฐกิจ การค้า การบริการ มีคนจีนอพยพเข้ามาค้าขายมาก ส่งผลเศรษฐกิจของอุดรธานีได้เจริญเติบโตในช่วงนี้ พ.ศ. 2507: กำเนิด “ค่ายรามสูร” เมืองอุดร ถูกเลือกเป็น 1 ใน 9 ที่ตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยเพื่อการสนับสนุนกำลังรบ และได้สร้าง “ค่ายรามสูร” เพื่อเป็นสถานีตรวจจับสัญญาณวิทยุ ฐานทัพมีทหารประจำการกว่า 8,500 คน ก่อให้เกิดการจ้างงานคนท้องที่กว่า 10,000 คนเพื่อเป็นลูกจ้างและเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ คนอุดรฯ มีการค้าขายและให้บริการกับทหารสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เศรษฐกิจอุดรธานี ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พ.ศ. 2519: สิ้นสุดสงคราม อุดรซบเซา หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และได้ถอนกำลังทหารออกจากไทย รวมถึงในอุดรฯ ส่งผลคนท้องที่สูญเสียแหล่งรายได้จากการจ้างงานและการค้าขายกับทหารสหรัฐฯ เศรษฐกิจของจังหวัดจึงได้ซบเซาลงอย่างรวดเร็ว เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี พ.ศ. 2531: จาก “ฐานทัพ” สู่ “ศูนย์กลางการค้าแห่งอีสาน” เศรษฐกิจจังหวัดอุดรธานีได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง ในยุคสมัยของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ที่ได้ประกาศนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ส่งผลให้อุดรฯ ที่ใกล้กับเวียงจันทร์ กลับมาเป็นศูนย์กลางการค้าของอีสานและได้พัฒนามาจวบจนปัจจุบัน ผลจากช่วงสงครามเย็นต่อเมืองอุดรฯในปัจุบัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐานหลายแห่งในอุดรธานียังคงเป็นมรดกจากช่วงสงครามเย็น ยกตัวอย่างที่สำคัญ

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน

วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพาทุกท่านมาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน แต่ละร้านมีจุดเด่นและเคล็ดลับความสำเร็จที่น่าสนใจจนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่ามาดูกัน   ตำกระเทย หรือ ตำกระเทย สาเกต ร้านส้มตำแสนแซ่บจากแดนอีสาน โดยมีจุดเริ่มต้นจากคุณจิรเดช เนตรวงค์ จากอดีตพนักงานขายวัสดุก่อสร้างและพนักงานรับจ้างทั่วไป จนถึงพ่อค้าคนกลางและพนักงานขายตรง เขาได้พลิกบทบาทมาสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร พร้อมสร้างแบรนด์น้ำปลาร้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของร้าน คนอีสานกับส้มตำและน้ำปลาร้านั้นเป็นของคู่บ้านคู่เมืองกัน และหากถูกปรุงด้วยฝีมืออันจัดจ้าน ย่อมทำให้รสชาติแซ่บ นัว และถูกปากจนสามารถครองใจลูกค้าได้ไม่ยาก สิ่งนี้กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้ร้านตำกระเทยได้รับความนิยม แม้ตลาดส้มตำจะดูเหมือนง่ายต่อการเข้าถึง แต่ก็เต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งรายเล็กที่มัดใจลูกค้าด้วยรสชาติที่กินอยู่ประจำ คู่แข่งขนาดกลางที่มีจุดขายในตัวเลือกที่หลากหลายและลูกเล่นต่างๆที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงคู่แข่งรายใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ร้านตำกระเทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างจุดยืนของตัวเอง หากไม่สามารถรักษาความแตกต่างและเอกลักษณ์ไว้ได้ ก็อาจทำให้เสียเปรียบได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม จากรายได้จะพบว่าร้านตำกระเทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แม้อาจมีความผันผวนจากต้นทุนวัตถุดิบ แต่ธุรกิจก็ยังคงเดินหน้าได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้ ร้านยังได้ขยายธุรกิจด้วยการเปิดตัวแบรนด์น้ำปลาร้าที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง โดยเน้นจุดขายเรื่องรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ทำให้ลูกค้าสามารถนำไปใช้ทำส้มตำที่บ้านได้เหมือนทานที่ร้าน ความสำเร็จของตำกระเทยไม่ได้มาจากเพียงแค่รสชาติที่แซ่บถึงใจ แต่ยังรวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาด และการสร้างแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน   วี ที แหนมเนือง ร้านอาหารเวียดนามชื่อดังจากอุดรธานีที่ครองใจผู้บริโภคมายาวนาน มีจุดเริ่มต้นจากคุณทอง กุลธัญวัฒน์ ลูกชายคนที่สามของครอบครัวที่สืบทอดสูตรอาหารต้นตำรับจากบรรพบุรุษ คุณทองได้เริ่มกิจการที่จังหวัดอุดรธานีในปี พ.ศ. 2540 โดยใช้ชื่อร้านว่า “วี ที แหนมเนือง” ซึ่งชื่อร้านมีความหมายลึกซึ้ง “วี” มาจากชื่อคุณย่าวี และ “ที” มาจากชื่อคุณปู่ตวน คุณทองยังมีพี่สาวคือคุณแดง วิภาดา จิตนันทกุล ผู้ที่สืบทอดกิจการร้านแดงแหนมเนืองจากคุณแม่ที่จังหวัดหนองคายจนประสบความสำเร็จ และร้านแดงแหนมเนืองยังได้รับการยกย่องให้เป็น “ห้องรับแขกประจำจังหวัดหนองคาย” ส่วน วี ที แหนมเนืองนั้น ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้บริโภค ด้วยความสดใหม่ของวัตถุดิบ รสชาติที่อร่อยคงที่ และการบริการที่ใส่ใจลูกค้า ทำให้ลูกค้ากลับมาทานซ้ำไม่ว่าจะเป็นครั้งไหนก็ยังคงประทับใจเหมือนครั้งแรก แม้ว่าจะมีการขยายสาขาไปทั่วประเทศจนกลายเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดแหนมเนือง แต่ผลประกอบการในปี พ.ศ. 2566 พบว่ารายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 257 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนขายสูงถึง 265 ล้านบาท รวมกับค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายอีก 19 ล้านบาท ทำให้ในปีนั้นบริษัทขาดทุนสุทธิ -42 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธุรกิจร้านอาหารมักมีเงินสดหมุนเวียนในระบบทุกวัน และการใช้เครดิตเทอมสำหรับค่าใช้จ่ายบางส่วนช่วยสร้างสภาพคล่องแก่ธุรกิจได้ นอกจากนี้ การลงทุนเพื่อขยายกิจการหรือเพิ่มศักยภาพในระยะยาวอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตัวเลขกำไรในระยะสั้น สำหรับการแข่งขันในตลาดอาหารเวียดนามที่เน้น “แหนมเนือง” แม้คู่แข่งรายใหญ่จะมีไม่มาก แต่ในพื้นที่ต้นตำรับอย่างอุดรธานีและหนองคาย กลับมีร้านแหนมเนืองหลากหลายที่ต่างชูเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งที่ร้านส่วนใหญ่มีเหมือนกันคือการใส่ใจในความสดสะอาดของผัก ซึ่งมักเป็นปัจจัยแรกที่ลูกค้าใช้ตัดสินใจเลือกซื้อ สิ่งที่ทำให้ วี ที แหนมเนือง โดดเด่นคือการยึดมั่นในคุณภาพของวัตถุดิบ หากผักไม่สดสมบูรณ์ 100% ทางร้านจะกำจัดทิ้งทันทีแม้ต้องเสียต้นทุนเพิ่ม เพราะร้านให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นของลูกค้ามากกว่าผลกำไรในระยะสั้น ความใส่ใจในรายละเอียดเช่นนี้ทำให้ วี ที แหนมเนือง ยังคงเป็นชื่อที่ลูกค้าไว้วางใจเสมอเมื่อนึกถึงอาหารเวียดนามคุณภาพดีที่มีมาตรฐานระดับประเทศ   โชคชัยสเต็กเฮ้าส์

พามาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง อัตราการว่างงานในภาคอีสานในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นจังใด๋แหน่

ฮู้บ่ว่า ภาคอีสานมีอัตราการว่างงานสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 แต่เมื่อเปรียบเทียบรายไตรมาสภายในปีนี้ พบว่าอัตราการว่างงานมีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการเข้าสู่ฤดูกาลเกษตรกรรมและการปรับตัวดีขึ้นของภาคอุตสาหกรรมในอีสาน   ISAN Insight สิพามาเบิ่ง อัตราการว่างงานในภาคอีสานในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นจังใด๋แหน่ . อัตราการว่างงาน สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่นั้นๆที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างแรงงาน นโยบายของภาครัฐ การปรับตัวของภาคการค้า อุตสาหกรรม และภาคการเกษตร รวมไปถึง การย้ายถิ่นฐานและการปรับตัวของแรงงาน ซึ่งสามารถส่งผลให้จำนวนผู้ว่างงานในแต่ละพื้นที่เปลี่ยนแปลงไป . การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานในภาคอีสานเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566  เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ภาคอีสานมีอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นมาก และหากเทียบรายไตรมาสจะพบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 มีการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานที่สูง จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งนับว่าสูงมาก และคาดว่าเป็นผลมาจาก การชะลอตัวของการลงทุนในภาคเอกชน ผลกระทบต่อ SME จากการนำเข้าสินค้าจีน รวมไปถึงราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2566 สืบเนื่องไปถึงช่วงต้นปี 2567 ส่งผลให้อัตราการว่างงานในภาคอีสานมีการปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ทำให้แม้ว่าอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 3 ของภาคอีสานจะมีการปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปีนี้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า จะพบว่า อัตราการว่างงานไตรมาส 3 ของภาคอีสาน ยังคงสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว   . การลดลงของอัตราการว่างงานในภาคอีสานเมื่อเปรียบเทียบรายไตรมาสในปี 2567 อัตราการว่างงานของภาคอีสานในไตรมาสที่ 3 ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากต้นปี เป็นผลมาจากการเข้าสู่ฤดูกาลเกษตรกรรมและการปรับตัวดีขึ้นของภาคอุตสาหกรรมในภาคอีสาน เป็นผลให้ความต้องการแรงงานสูงขึ้นและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งถูกผลักดันด้วยการปรับตัวที่ดีขึ้นของการบริโภคในภาคเอกชนและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวในภาคอีสาน ทำให้เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานในภาคอีสานรายไตรมาสในปี 2567 จะพบว่า อัตราการว่างงานในไตรมาส 3 ของภาคอีสานมีการปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปี   . จังหวัดในภาคอีสานที่มีจำนวนผู้ว่างงานมากที่สุดได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ในภาคอีสาน โดยมีอัตราการว่างงาน 1.4% ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับภาคอีสานทั้งหมด และจังหวัดที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดคือ จังหวัดหนองบัวลำภู ที่มีอัตราการว่างงานสูงมากถึง 2.9% . หมายเหตุ : การว่างงานหมายถึง บุคคลที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และในสัปดาห์แห่งการสำรวจ มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้  ไม่ได้มีงานและงานประจำ แต่ได้หางาน สมัครงานหรือรอการบรรจุในระหว่าง 30 วันก่อนวันสัมภาษณ์ ไม่ได้มีงานและงานประจำ และไม่ได้หางานทำในระหว่าง 30 วันก่อนวันสัมภาษณ์ แต่พร้อมจะทำงาน ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาตื  

พามาเบิ่ง อัตราการว่างงานในภาคอีสานในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นจังใด๋แหน่ อ่านเพิ่มเติม »

ไทยครองอันดับ 2 ประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด จากทุกประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (GMS)

  ฮู้บ่ว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดแอลกอฮอล์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 จากประเทศทั้งหมดในแถบลุ่มแม่น้ำโขง   . การกระจุกตัวของผู้เล่นในตลาดที่สูง สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มด้านการแข่งขันในตลาดที่น้อย และบ่งบอกถึงอำนาจของบริษัทเจ้าใหญ่ที่มีต่อตลาด อีกทั้งความเข้มข้นของแข่งขันในตลาดที่น้อยสามารถส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในด้านคุณภาพ ความหลากหลาย และราคาของสินค้านั้นๆ    . โดยค่าดัชนีการกระจุกตัวของตลาด(HHI) สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มของการผุกขาดและความเข้มข้นของการแข่งขันภายในตลาดนั้นๆได้ ค่า HHI ที่สูงกว่า 2,500 หมายความว่าตลาดมีการแข่งขันน้อยและมีการกระจุกตัวของผู้เล่นสูง ค่า HHI อยู่ระหว่าง 2500 ถึง 1500 หมายความว่าตลาดมีการแข่งขันและการกระจุกตัวปานกลาง และค่า HHI ที่น้อยกว่า 1500 หมายความว่าตลาดมีความเข้มข้นในการแข่งขันสูง มีการกระจุกตัวของผู้เล่นต่ำ ในขณะเดียวกัน ค่า HHI ก็ไม่สามารถบ่งบอกได้อย่างแน่ชัดว่า ตลาดนั้นๆเป็นตลาดที่ถูกผูกขาดหรือไม่ เนื่องจากยังมีปัจจัยในด้านอื่นๆ เช่น  พฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด โครงสร้างอุตสาหกรรม และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถส่งผลต่ออำนาจการผูกขาดของผู้เล่นในตลาดนั้นๆ ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นค่า HHI จึงสามารถบ่งบอกได้เพียงแนวโน้มของการผูกขาดและความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดเท่านั้น    . ตลาดสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในแต่ละประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) มีความแตกต่างกันในแง่ของความเข้มข้นของการแข่งขันเป็นอย่างมาก และบริษัทภายในประเทศไทยเองก็มีบทบาทสำคัญในตลาดต่างประเทศอีกด้วย เช่น บริษัทไทยเบฟเวอเรจ ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดติดอันดับสูงในตลาดของประเทศ GMS อาธิ ส่วนแบ่งการตลาด 45.1%.ในไทย, 33.5% ในเวียดนาม และ 15.3% ในเมียนมา ซึ่งแสดงถึงศักยภาพสินค้าไทยที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน    . กลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดสูง    ไทย มีแนวโน้มการผูกขาดที่สูงเป็นอันดับ 2 รองจากลาว และมีเจ้าใหญ่ในตลาด 2 รายคือ ไทยเบฟเวอเรจและบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ส่งผลให้เรามักจะเห็นสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตลาดของไทยไม่หลากหลายมากนัก โดยที่สองบริษัทนี้มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันอยู่ที่ 86.5% อีกทั้งสินค้าของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ยังมีศักยภาพด้านการแข่งขันในตลาดต่างประเทศที่สูง จากการเข้าครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย   ลาว มีแนวโน้มการผูกขาดที่สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศใน GMS เนื่องจากมีเจ้าใหญ่เพียงเจ้าเดียวคือ คาร์ลสเบิร์ก เอ/เอส ที่กินส่วนแบ่งการตลาดไปมากถึง 83.7% ทำให้ความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มแอลลกอฮอล์ในลาวมีน้อยและนับได้ว่ามีโอกาศเกิดการผูกขาดในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงมาก    เวียดนาม มาเป็นอันดับ 3 ของการมีแนวโน้มการผูกขาดสูง ที่มีเจ้าใหญ่ในตลาด 2 รายคือไฮเนเก้น เอ็นวี และ ไทยเบฟเวอเรจที่เป็นบริษัทของไทยนี่เอง โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของ 2 เจ้าใหญ่รวมกันอยู่ที่ 75.9%   . กลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดปานกลางประกอบด้วย กัมพูชา และเมียนมา ส่วนของประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดน้อยที่สุดคือ จีนที่เป็นประเทศที่มีความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดมากที่สุด เนื่องจากมีบริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายเจ้า และผู้เล่นรายใหญ่ไม่ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดในสัดส่วนที่สูงมากนัก ทำให้สินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศจีนมีความหลากหลาย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านคุณภาพและราคาที่เข้มข้น ซึ่งส่งผลดีให้กับผู้บริโภคภายในประเทศโดยตรง  

ไทยครองอันดับ 2 ประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด จากทุกประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 👀✋ เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ?

ฮู้บ่ว่าล่ามภาษามือทั่วไทยเหลือเพียง 202 คน เท่านั้น และในภาคอีสานก็มีล่ามเพียง 17 คนเท่านั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม . ISAN Insight and Outlook พามาเบิ่ง เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ?..#ล่ามภาษามือ ในไทย พบว่ามีจำนวนไม่สัมพันธ์กันกับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อสารความหมาย จากเดิมที่มีการจดแจ้งไว้กับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อปี 2552 – 2560 จำนวน 659 คน แต่ปัจจุบันมีเพียง 202 คน เท่านั้น* แบ่งเป็นล่ามภาษามือหูดี 186 คน, ล่ามภาษามือหูหนวก 14 คน และล่ามภาษามือหูตึง 2 คน.นอกจากนี้ ยังพบว่าจังหวัดที่มีล่ามภาษามือคอยให้บริการประชาชนมีเพียง 44 จังหวัด (จากทั้งหมด 77 จังหวัด) ส่วนใหญ่กระจุกตัวในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจังหวัดที่มีล่ามภาษามือมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ (75 คน) , นครปฐม (21 คน) และนนทบุรี (17 คน).ประเทศไทยมีคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อสารความหมาย ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ทั้งหมด 423,973 คน จากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 67 โดยภูมิภาคที่มีคนพิการทางการได้ยินมากที่สุดคือภาคอีสาน (162,456 คน) รองลงมาคือ ภาคกลางและตะวันออก (84,350 คน) ภาคใต้ (55,020 คน) และ กทม. (22,884 คน).อย่างไรก็ตามทางสมาคมล่ามภาษามือแห่งประเทศไทย เคยวิเคราะห์ข้อมูลเฉลี่ยความสามารถในการให้บริการด้านภาษามือชุมชน ไว้ว่าคนหูหนวก 10 คนต่อล่ามภาษามือ 1 คน ดังนั้น ประเทศไทยควรมีล่ามภาษามือในสัดส่วนที่เหมาะสม ประมาณ 42,000 คน..อ้างอิงจาก:กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ข้อมูล ณ วันที่ 20 ส.ค. 2567.ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่https://linktr.ee/isan.insight.#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ล่ามภาษามือ #ล่ามภาษามืออีสาน

พามาเบิ่ง 👀✋ เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ? อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 4 บริษัทอีสานในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ารวมกว่า 1,497 ล้านบาท

พามาเบิ่ง 4 บริษัทอีสานในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ารวมกว่า 1,497 ล้านบาท . . ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยมีด้วยกัน 3 ตลาด ได้แก่ SET, mai และ LIVEx ซึ่งหลายท่านอาจจะคุ้นหูกับบริษัทจากแดนอีสานบ้านเฮาที่อยู่ใน SET กันมาพอสมควร แต่ทว่าตลาด mai นั้นยังมีอีกหลายท่านที่เคยได้ยิน หรือรู้จักกันมาบ้าง แต่อาจจะไม่รู้ว่าบริษัทจากอีสานบริษัทใดบ้างที่อยู่ในตลาด mai . ตลาด mai หรือย่อมาจาก Market for Alternative Investment  เป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมีทุนชำระแล้วหลัง IPO ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมีแนวโน้มการเติบโตได้ดีในอนาคต (Business for the Future) . 4 จากบริษัทแดนอีสานในตลาด mai ได้แก่ 1.บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) จังหวัดมหาสารคาม ธุรกิจ: อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง: ก่อสร้างบ้าน ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ รายได้: 543.99 ล้านบาท | กำไร: -20.36 ล้านบาท เติบโต: 370.50% | อัตรากำไรสุทธิ: 14.49%   2.บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) จังหวัดขอนแก่น ธุรกิจ: สินค้าอุตสาหกรรม: ผลิตและจำหน่ายรถพ่วง อะไหล่ และซ่อมบริการ รายได้: 163.77 ล้านบาท | กำไร: -572.48 ล้านบาท เติบโต: -22.94% | อัตรากำไรสุทธิ: 10.94%   3.บริษัท เค.ซี.เมททอลชีท จำกัด (มหาชน) จังหวัดขอนแก่น ธุรกิจ: สินค้าอุตสาหกรรม: หลังคาเหล็กเคลือบ รีดลอน โครงสร้างผนังและหลังคา รายได้: 204.00 ล้านบาท | กำไร: -2.82 ล้านบาท เติบโต: 7.33% | อัตรากำไรสุทธิ: 78.75%   4.บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) (บุรีรัมย์) ธุรกิจ: เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร: ฟาร์มเลี้ยงไก่พันธุ์เนื้อ

พามาเบิ่ง 4 บริษัทอีสานในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ารวมกว่า 1,497 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง “วัวแดนอีสาน” กว่า 5.6 ล้านตัว กระจายอยู่ไหนบ้าง

ชวนมาเบิ่ง “วัวแดนอีสาน” กว่า 5.6 ล้านตัว กระจายอยู่ไหนบ้าง . . ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่เลี้ยงวัวมากที่สุดในประเทศ มีสัดส่วนกว่า 54.3% เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่ได้เปรียบในหลายด้าน อย่างเช่น มีความได้เปรียบด้านแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยเฉพาะวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น กากมันสำปะหลัง รำ ปลายข้าว ฟางข้าว และเปลือกข้าวโพด ที่นิยมนำมาผสมเป็นอาหารข้นเลี้ยงโคขุน เนื่องจากมีราคาถูก และให้คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าอาหารหยาบ (หญ้าสด) รวมไปถึงความได้เปรียบในเส้นทางคมนาคมการส่งออกวัวเนื้อมีชีวิตไป สปป. ลาว ซึ่งจะเป็นการส่งออกไปจีนผ่าน สปป.ลาว เป็นหลัก . ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนการเลี้ยงวัวมากกว่า 5,605,513 ตัว แบ่งเป็นวัวเนื้อกว่า 97.2% และวัวนมเพียง 2.8% เท่านั้น และมีจำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงวัวอยู่  977,716 คน ซึ่งแบ่งเป็น เกษตรกรที่เลี้ยงวัวเนื้ออยู่ 99.5% และเกษตรกรที่เลี้ยงวัวเนื้ออยู่เพียง 0.5% . จะเห็นได้ว่าแต่ละกลุ่มจังหวัดจะนิยมเลี้ยงวัวเนื้อมากกว่าเนื้อนม แล้วทำไมเกษตรกรถึงนิยมเลี้ยงวัวเนื้อ? . เนื่องจากโคเนื้อเป็นหนึ่งในสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของไทย ทั้งในเชิงของการใช้งาน รวมถึงการเลี้ยงขุนเพื่อบริโภค และใช้เพื่อการจำหน่าย อีกทั้งยังมีการผลักดัน “โคเนื้อไทย” เป็นสินค้าอุตสาหกรรมระดับพรีเมี่ยม ด้วยการแปรรูปพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน รูปแบบ และบรรจุภัณฑ์ของสินค้า และยังมีโครงการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อให้สามารถผลิตเนื้อที่มีคุณภาพเทียบเคียงกับเนื้อนำเข้าจาก ต่างประเทศหลากหลายสายพันธุ์มากขึ้น อย่างเช่น เนื้อโคขุนโพนยางคำจากจังหวัดสกลนคร เนื้อโคราชวากิว  . นอกจากนี้ เนื้อโคคุณภาพดีของภาคอีสานยังได้รับคัดเลือกให้เป็นเมนูอาหารขึ้นโต๊ะต้อนรับผู้นำระดับโลกในการประชุม “APEC 2022” ขณะเดียวกันมีการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อ “โคดำลำตะคอง” จากนวัตกรรมการผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ โคพื้นเมือง วากิว และแองกัส ถือเป็นตัวอย่างการพัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพสูง รองรับความต้องการบริโภคในประเทศที่เปลี่ยนไปในทิศทางพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต . . 5 อันดับจังหวัดที่เลี้ยงวัวมากที่สุดในประเทศ ก็จะเป็นจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ ตามลำดับ ซึ่งจังหวัดเหล่านี้ก็จะอยู่ในกลุ่มจังหวัด “นครชัยบุรินทร์” และ “ราชธานีเจริญศรีโสธร” หรืออีสานล่างนั่นเอง เพียง 2 จังหวัดถือว่ามีสัดส่วนการเลี้ยงวัวมาก 60% เลยทีเดียว  . ซึ่งสาเหตุที่ทำให้กลุ่มจังหวัดอีสานล่าง อย่าง “นครชัยบุรินทร์” และ “ราชธานีเจริญศรีโสธร” มีการเลี้ยงวัวมากที่สุด นั่นก็คือ อีสานตอนล่างมีขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมและทรัพยากรโดยรวมที่เอื้อต่อการเลี้ยงวัว ฟาร์มเลี้ยงวัวรายใหญ่ในภาคอีสานก็มักจะอยู่ในกลุ่มจังหวัดเหล่านี้  . โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มนครชัยบุรินทร์ อย่าง “บริษัท เซ่งเฮงฟาร์ม จำกัด” จากจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีรายได้รวมในปี 2566 กว่า 248 ล้านบาท ซึ่งเป็นฟาร์มเลี้ยงวัวที่มีรายได้มากที่สุดในประเทศ

ชวนมาเบิ่ง “วัวแดนอีสาน” กว่า 5.6 ล้านตัว กระจายอยู่ไหนบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top