Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

🔎ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง โรงมันสำปะหลัง รายใหญ่แห่งอีสาน🏭

🔎ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง โรงมันสำปะหลัง รายใหญ่แห่งอีสาน🏭 . . ในปี 2565 ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลัง อยู่ที่ 10.9 ล้านไร่ และมีผลผลิต 34.1 ล้านตัน . โดยในภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเรามีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังมากกว่า 5.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 54% ของขนาดพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตมากกว่า 18.7 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 55% ของผลผลิตมันสำปะหลังทั้งหมดในประเทศ  . จังหวัดที่มีผลผลิตของมันสำปะหลังที่มากส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในอีสานตอนล่าง อย่างนครราชสีมา ชัยภูมิ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ . . 🏭ในส่วนของธุรกิจเกี่ยวกับโรงมันสำปะหลัง  . บจก.สงวนวงษ์สตาร์ช 📍นครราชสีมา รายได้รวม 5,135 ล้านบาท   บจก.เอี่ยมศิริแป้งมัน 📍ศรีสะเกษ รายได้รวม 2,499 ล้านบาท   บจก.ซีวายวาย โกลบอล 📍สุรินทร์ รายได้รวม 2,448 ล้านบาท   บจก.แป้งมันเอี่ยมอีสานอุตสาหกรร 📍อุบลราชธานี รายได้รวม 2,011 ล้านบาท   บจก.แป้งมันร้อยเอ็ด 📍ร้อยเอ็ด รายได้รวม 2,007 ล้านบาท   บจก.ธนะวัฒน์ อินเตอร์ สตาร์ช 📍ชัยภูมิ รายได้รวม 1,965 ล้านบาท   บจก.เอี่ยมอำนาจ แป้งมัน 📍อำนาจเจริญ รายได้รวม 1,695 ล้านบาท   บจก.อิสาน พรีเมี่ยม สตาร์ช 📍กาฬสินธุ์ รายได้รวม 1,613 ล้านบาท   บจม.พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช 📍มุกดาหาร รายได้รวม 1,299 ล้านบาท   บจก.พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช(2012) 📍สกลนคร รายได้รวม 1,193 ล้านบาท   =================================== 📍นครราชสีมา มีผลผลิตมากที่สุดในอีสาน ผลผลิต 4.6 ล้านตัน   📍ชัยภูมิ ผลผลิต 1.9 ล้านตัน   📍อุบลราชธานี ผลผลิต 1.9 ล้านตัน   📍อุดรธานี ผลผลิต 1.6 ล้านตัน   📍บุรีรัมย์ ผลผลิต 1.3 ล้านตัน …

🔎ชวนมาเบิ่ง ตัวอย่าง โรงมันสำปะหลัง รายใหญ่แห่งอีสาน🏭 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ตลอดปีงบประมาณ 2567 ภาคอีสานได้รับจัดสรรงบประมาณ เบิก-จ่าย ไปมากน้อยแค่ไหน

นับถอยหลัง 2 สัปดาห์ ก่อนปิดปีงบประมาณ 2567 อีสานอินไซต์พาเปิดว่าตลอดปี เรื่องเงินๆทองๆของรัฐ เป็นยังไงบ้าง   เริ่มต้นโดยปีนี้ อีสานได้รับจัดสรรงบประมาณทั้งหมดมาที่หน่วยงานในพื้นที่ทั้งหมด 2.3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบที่กระทรวงจัดสรรให้กับหน่วยงานภายใต้กำกับในพื้นที่, งบที่ผ่านการบริหารงานของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และสุดท้าย เป็นงบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว 2.3 แสนล้านบาทนั้น มากขนาดไหน เดี๋ยวอีสานอินไซต์จะแสดงให้เห็นภาพเอง   ถึง 2.3 แสนล้าน อาจดูเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตลอดทั้งปีงบฯ 67 มีอนุมัติกรอบวงเงินทั้งหมดถึง 3.4 ล้านล้านบาท สะท้อนว่าจากงบประมาณประเทศ 100% มีมาถึงอีสานเพียงแค่ 6% เท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการกระจุกตัวของงบประมาณในส่วนกลางชัดเจน และเป็นที่น่าตั้งข้อสังเกตว่าทำไมส่วนกลางถึงจัดสรรงบประมาณให้อีสาน ภูมิภาคที่มีทั้งพื้นที่มากที่สุด และประชากรมากที่สุดเพียงเท่านี้   การกระจายอำนาจการบริหาร และงบประมาณ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการนโยบายรายพื้นที่ให้เหมาะสมกับความแตกต่างกันของแต่ละพื้นที่มากที่สุด แต่อีสานอินไซต์เห็นจุดที่น่าสนใจของการกระจายงบประมาณว่าในอีสาน กว่า 89% ของงบที่ได้รับจัดสรร เป็นงบที่ได้รับผ่านหน่วยงานย่อยในแต่ละกระทรวงเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานของหน่วยงานนั้น ๆ ซึ่งมีรูปแบบการบริการจัดการที่มีความใกล้เคียงกันสูงในแต่ละพื้นที่ ต่อมาอีก 2% เป็นงบที่จ่ายผ่านจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ซึ่งนับเป็นอำนาจการบริหารจัดการของผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละพื้นที่ ซึ่งก็ยังต้องขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทยจากส่วนกลางอยู่ดี ทำให้เหลืองบอีกเพียง 9% เท่านั้น ที่เป็นงบส่งเสริมให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นบุคคลที่นับเป็น represent จากการลงคะแนนเสียงของคนในพื้นที่ ซึ่งเมื่อมองในรูปแบบนี้แล้ว จะเห็นข้อจำกัดอย่างชัดเจนในการดำเนินการนโยบายหรือมาตรการต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่ จากข้อจำกัดของงบประมาณที่ได้รับอย่างจำกัด และถึงแม้ปัญหาในปัจจุบันในหลายพื้นที่อาจยังไม่ถูกแก้ไข แต่วงเงินในปัจจุบันของ อปท. ในปีงบฯนี้ก็ถูกเบิกจ่ายจนใกล้ครบถ้วนแล้ว ทำให้ในหลายพื้นที่ อาจมีโอกาสที่เจอปัญหาในพื้นที่ไม่ถูกแก้ให้ตรงจุด จากมาตรการหลักของส่วนกลางที่อาจจะไม่ “One Size Fits All” นั้นเอง     ที่มา ข้อมูลเบิกจ่ายล่าสุด ณ วันที่ 13 กันยายน 2567 จากกรมบัญชีกลาง

🔎พาอัพเดตเบิ่ง แนวโน้มสถานการณ์น้ำในอีสาน☔️🌧️🌊

จังหวัดเชียงราย และหนองคาย รวมไปถึงจังหวัดในพื้นที่ริมแม่น้ำโขง ที่มีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อตรวจสอบพบว่าต้นตอ มาจากซุปเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ ที่พัดเข้าประเทศจีน พม่า และลาว โดยตรง น้ำท่วมหนัก ใน 3 ประเทศดังกล่าว ว่ากันว่า หนักสุดในรอบมากกว่า 30 ปี   🌧️โดยมีฝนตกในพื้นที่พม่า จีน และ สปป.ลาว ในปริมาณมาก โดย สปป.ลาวนั้น มีพื้นที่รับน้ำของแม่น้ำโขงมากที่สุด รองลงมาคือ ประเทศไทย และจีน 10% แต่ที่ท่วมที่เชียงราย คือ น้ำโขงที่มาจากประเทศพม่า ส่วนที่หนองคายนั้น มาจาก สปป.ลาว ซึ่งมีจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกัน น้ำดังกล่าวนี้ ค่อยๆ ไหลเข้ามายังประเทศไทย เรียกน้ำนี้ว่า น้ำท่า   สาเหตุ “น้ำโขงล้น” มีสาเหตุมาจากอะไร?   การสร้างเขื่อนขวางโขงของจีนนั้นส่งผลในแทบทุกมิติตลอดทั้งพื้นที่ท้ายน้ำ ทั้งทางสังคม วัฒนธรรม ระบบนิเวศ ซึ่งเขื่อนขวางโขงอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนและหลายอย่างจะไม่กลับมาเหมือนเดิม น้ำโขงก็จะค่อยๆ ไหลมาเรื่อยๆ ด้วยปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมามหาศาล ทั้งที่ลงในแม่น้ำโดยตรง และไหลลงมาหลังจากมีการตกลงข้างทาง น้ำโขงผ่าน หนองคาย น้ำก็เอ่อล้นเมือง จนเกิดน้ำท่วมหนัก เมื่อผ่านหนองคายไปแล้ว ก็จะไปยังบึงกาฬ นครพนม อำนาจเจริญ อุบลราชธานี และค่อยๆ ลดลงตามระยะทาง   🌳สาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำท่วมหนักคราวนี้ นั้นคือ ปริมาณป่าไม้ในประเทศไทย ที่ทางมูลนิธิสืบออกมาเปิดเผยว่า 1 ปี ที่ผ่านมา ป่าไม้ในประเทศไทย ลดลง กว่า 3 แสนไร่ ถือเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 30-40 ปี     ⚠️แจ้งเตือน!! ระดับน้ำในแม่น้ำโขงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ช่วงวันที่ 12 – 18 กันยายน 2567   📍เชียงราย บริเวณสถานีเชียงแสน อ.เชียงแสน ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 0.50 – 0.70 เมตร ยังคงต่ำกว่าตลิ่ง 3.40 เมตร 📍เลย บริเวณสถานีเชียงคาน อ.เชียงคาน ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.00 – 3.60 เมตร และคาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 0.50 – 1.50 เมตร ในช่วงวันที่ 13 – 16 ก.ย. 67 📍หนองคาย บริเวณสถานีหนองคาย …

🔎พาอัพเดตเบิ่ง แนวโน้มสถานการณ์น้ำในอีสาน☔️🌧️🌊 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง น้ำในแม่น้ำโขงไหลมาจากไหนบ้าง

พามาเบิ่ง น้ำในแม่น้ำโขงไหลมาจากไหนบ้าง . แม่น้ำโขงมีต้นกำเนิดมาจากการละลายของน้ำแข็งและหิมะบริเวณที่ราบสูงทิเบตในบริเวณตอนเหนือของเขตปกครองตนเองทิเบตและบริเวณมณฑลชิงไห่ของประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำที่สำคัญอีก 2 สาย คือ แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำสาละวิน แม่น้ำโขงช่วงที่ไหลผ่านประเทศจีนชาวจีนเรียกว่า “แม่น้ำหลานชางเจียง” (Lancang Jiang) ไหลผ่านภูเขาและที่ราบสูงในประเทศจีน ผ่านมณฑลยูนนานเข้าสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และประเทศไทย บริเวณ “สามเหลี่ยมทองคำ” ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ไหลเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยกับ สปป.ลาว ผ่านจังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี เป็นระยะทาง 1,520 กิโลเมตร แล้วไหลเข้าสู่ สปป.ลาว และกัมพูชา ก่อนไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ที่ประเทศเวียดนาม รวมความยาวทั้งสิ้น 4,880 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่รับน้ำในลุ่มน้ำ 795,000 ตารางกิโลเมตร หรือ 496.875 ล้านไร่ . ลุ่มแม่น้ำโขงสามารถแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ ลุ่มน้ำโขงตอนบน (Upper Mekong Basin) และลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Basin) โดยลุ่มน้ำโขงตอนบนเริ่มตั้งแต่ต้นกำเนิดของแม่น้ำโขงในเขตปกครองตนเองทิเบต และประเทศจีน ส่วนลุ่มน้ำโขงตอนล่างเริ่มตั้งแต่มณฑลยูนนานในประเทศจีนไหลผ่านประเทศ เมียนมาร์ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ก่อนลงสู่ทะเลจีนใต้  . นอกจากนี้ลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Basin) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใน 4 ประเทศ คือ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นทั้งแหล่งน้ำ แหล่งโปรตีน แหล่งพันธุ์ปลา พันธุ์พืช และสัตว์น้ำหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งหล่อเลี้ยงผู้คนมากกว่า 60 ล้านคน เป็นแหล่งโปรตีนของผู้คนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมากถึงร้อยละ 47-80 โดยมีมูลค่าการทำประมงต่อปีอยู่ที่ 127,000 – 231,000 ล้านบาท . จากข้อมูล The Mekong-U.S. Partnership แสดงปริมาณน้ำที่ไหลลงแม่น้ำโขงตลอดเดือน สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมาว่าไหลมาจากที่ใดบ้าง และคิดเป็นสัดส่วนอย่างละเท่าไหร่ ดังนี้ ช่วงแม่น้ำโขงตอนบน จากจีน เสี่ยวหวาน เชียงรุ่ง มวลน้ำคิดเป็น 21%  ช่วงแม่น้ำโขงตอนล่าง ช่วงสามเหลี่ยมทองคำ มวลน้ำคิดเป็น 20% ช่วงแม่น้ำโขงตอนล่าง ช่วงน้ำงึม – นครพนม ซึ่งมีเมืองสำคัญทั้ง เวียงจันทน์ สปป.ลาว อำเภอเมืองหนองคาย และอำเภอเมืองนครพนม มวลน้ำคิดเป็น 36% …

พามาเบิ่ง น้ำในแม่น้ำโขงไหลมาจากไหนบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง จำนวนนักลงทุนไทย กว่า 2.8 ล้านคน กระจายอยู่ไหนบ้าง

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) เผยจำนวนผู้ลงทุนไทยทั้งหมด ณ เดือน กรกฏาคม 2567 2,800,000 คน  – กรุงเทพฯ 1,000,000 ราย – ปริมณฑล 520,000 ราย – ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 326,000 ราย – ภาคกลาง 285,000 ราย  – ภาคตะวันออก 253,000 ราย – ภาคเหนือ 194,000 ราย – ภาคใต้ 216,000 ราย จะเห็นได้ว่าจำนวนนักลงทุนสัญชาติไทย 2.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 4.24 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับ รายงาน Personal Finance and Investment Habits in Southeast Asia จาก Milieu Insight (มิลยู อินไซต์); บริษัทผู้ทำซอฟต์แวร์วิจัยด้านการตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทำการสำรวจพฤติกรรมและทัศนคติการเงินของคนใน 6 ประเทศอาเซียน จำนวน 3,000 คน จากสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์  พบว่า คนอาเซียนส่วนใหญ่เลือกออมเงินมากกว่าลงทุน สะท้อนจาก 54% ของคนในอาเซียน ไม่ได้แบ่งเงินเพื่อลงทุนอย่างจริงจัง มีคนเพียง 46% เท่านั้นที่ตื่นตัวในการแบ่งเงินไปลงทุน ความตื่นตัวในการลงทุน คนส่วนใหญ่ในภูมิภาค และสัดส่วนนักลงทุนไทยในตลาดหลักทรัพย์ สะท้อนว่า อาเซียนมีความรู้ทางการเงินต่ำ ประกอบกับมีรายได้น้อย จึงมีโอกาสเข้าถึง การลงทุนที่จำกัด ทำให้พลาดโอกาสในการสะสมความมั่งคั่ง และสร้างการเติบโตทางการเงิน ส่งผลต่อการมีอิสระทางการเงิน และจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต เมื่อแต่ละประเทศในอาเซียน รวมถึงไทย ได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  . การวางแผนทางการเงิน คือ กระบวนการวางแผนการใช้เงินในอนาคต  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน ซื้อรถ ส่งลูกเรียน หรือเกษียณอายุอย่างมีความสุข การวางแผนที่ดีจะช่วยให้คุณบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากปัญหาทางการเงิน และสร้างความมั่นคงในชีวิต โดยการวางแผนทางการเงินมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ กำหนดเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจน เช่น ต้องการมีเงินเก็บเท่าไหร่ในกี่ปี วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงิน: ประเมินรายรับ รายจ่าย และสินทรัพย์ที่มีอยู่ จัดทำงบประมาณ: วางแผนการใช้เงินในแต่ละเดือนให้สอดคล้องกับรายได้ ออมเงิน: สร้างวินัยในการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ ลงทุน: นำเงินออมไปลงทุนเพื่อให้เงินทำงานและเติบโต บริหารความเสี่ยง: ป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การประกันชีวิต การประกันสุขภาพ TOP 5 อุปสรรคการลงทุนของคนอาเซียน …

พามาเบิ่ง จำนวนนักลงทุนไทย กว่า 2.8 ล้านคน กระจายอยู่ไหนบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🚅🛩⛴ 🐉เส้นทางมังกร: การเดินทางของคนจีนสู่อีสาน 2024🇨🇳

สรุปข้อมูล คนจีนที่เดินทางเข้าในภาคอีสานของไทย ปี 2567 จากข้อมูลที่ให้มา เราสามารถวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมและแนวโน้มการเดินทางของชาวจีนเข้าสู่ภาคอีสานของไทยในปี 2567 ได้ดังนี้ จุดผ่านแดนยอดนิยม จุดผ่านแดนสะพานมิตรภาพ 1 จังหวัดหนองคาย เป็นจุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเดินทางเข้ามาของชาวจีน สะท้อนให้เห็นถึงความสะดวกในการเดินทางและความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ จุดผ่านแดนอื่นๆ เช่น สะพานมิตรภาพ 2, 3 และช่องเม็ก ก็มีปริมาณผู้เดินทางเข้ามาในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งบ่งบอกถึงความหลากหลายของเส้นทางที่ชาวจีนเลือกใช้ กลุ่มอายุ กลุ่มอายุ 25-34 ปี เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด สะท้อนให้เห็นถึงกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่สนใจการท่องเที่ยวและมีกำลังซื้อ กลุ่มอายุอื่นๆ ก็มีการกระจายตัวค่อนข้างดี ซึ่งบ่งบอกถึงความหลากหลายของกลุ่มเป้าหมายที่เดินทางมาเที่ยวภาคอีสาน เพศ เพศชาย มีจำนวนมากกว่าเพศหญิง กว่าเท่าตัว วิธีการเดินทาง การเดินทางทางบก เป็นวิธีการเดินทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด สอดคล้องกับข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าจุดผ่านแดนทางบกมีปริมาณผู้เดินทางสูงกว่าจุดผ่านแดนทางอากาศและทางน้ำ การเดินทางทางอากาศและทางน้ำ มีสัดส่วนน้อยกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะปัจจัยด้านระยะทางและความสะดวกในการเดินทาง ข้อเสนอแนะ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: ควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคอีสานให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: เน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่าง การสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว: พัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย การประชาสัมพันธ์: สร้างสรรค์แคมเปญการตลาดและประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของภาคอีสานให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีน วิเคราะห์ถึงการเข้ามาของคนจีนในภาคอีสาน จากข้อมูลที่วิเคราะห์ข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ภาคอีสานของไทยมีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาคอีสานจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง โดยพิจารณาจากกลุ่มอายุช่วง 25-34 ปี และ 35-44 ปี เป็นช่วงอายุที่ผ่านด่านเข้ามามากที่สุด รวมทั้ง เป็นเพศชายที่มากกว่าเพศหญิงกว่าเท่าตัว ด้วยความที่ข้อมูลชุดนี้มีเพียงจำนวนผู้ผ่านด่านแต่ละด่าน ไม่ได้แสดงลึกว่าเป็นผู้ถือครองวีซ่าประเภทไหนบ้าง จึงอาจจะไม่ทราบจุดประสงค์ของการเดินทางที่แท้จริงว่าเป็นการท่องเที่ยว หรือเข้ามาทำงาน แต่จากการลงพื้นที่สำรวจ และสัมภาษณ์คนในท้องถิ่นกลุ่มจังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีด่านเหล่านี้ ก็จะพบว่า การมาถึงของฟรีวิซ่าจีนและช่วงวิกฤติเศรษฐกิจจีนทำให้มีชาวจีน เข้ามาในไทยมากขึ้น โดยส่วนมากในอีสานจะเข้ามาทำงาน เดินทางมาทำธุรกิจมากกว่าการท่องเที่ยว และอีกจุดที่น่าสังเกตอีก 1 จุดคือ การเดินทางทางบกมีสัดส่วนสูงสุด โดยด่านหนองคายมีจำนวนผู้ผ่านด่านชาวจีนมากที่สุด อาจจะด้วยสาเหตุที่มีทางรถไฟสายเวียงจันทร์-บ่อเต็น หรือ ทางรถไฟสายจีน-ลาว สามารถลำเลียงสินค้าและผู้โดยสารจากจีนตอนใต้ ผ่านลาวมาถึงไทยได้อีกเส้นทางหนึ่ง โดยเส้นทางนี้จะเชื่อมจากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน มาที่บ่อเต็น สปป.ลาว และมีปลายทางที่นครหลวงเวียงจันทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดหนองคายเพียงแค่ 24 กิโลเมตร ดังนั้นหากในอนาคต มีการเชื่อมต่อระบบรางของไทยเชื่อมกับ ลาว และ จีนตอนใต้ ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนคนจีนที่จะเดินทางเข้าสู่อีสานมากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ท้าทายมากขึ้นสำหรับคนท้องถิ่นในอีสาน ภาพ เส้นทาง รถไฟ จีน-ลาว หมายเหตุ: การวิเคราะห์ข้างต้นเป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลที่ให้มา อาจมีความแตกต่างจากข้อมูลจริงได้ หากต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฤดูกาล: จำนวนนักท่องเที่ยวอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลท่องเที่ยว เทศกาล: การจัดงานเทศกาลต่างๆ อาจส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยว นโยบายของรัฐบาล: นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น การยกเว้นวีซ่า อาจส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ: สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศอาจมีผลต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยว การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมจะช่วยให้สามารถวางแผนและดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาคอีสานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น …

พามาเบิ่ง🚅🛩⛴ 🐉เส้นทางมังกร: การเดินทางของคนจีนสู่อีสาน 2024🇨🇳 อ่านเพิ่มเติม »

📢พามาเบิ่ง สนามบินแห่งแดนอีสาน ในช่วงครึ่งปีแรก✈️

การเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยที่มีศูนย์จัดงาน MICE ขนาดต่างๆ รองรับอยู่มากมาย นอกจากในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ก็ยังมีสถานที่จัดงาน MICE กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในทุกการเดินทางเพื่อไปร่วมงานได้อย่างสะดวกรวดเร็วจากการโดยสารเครื่องบินจึงเป็นสิ่งสำคัญ มาดูกันว่า ภาคอีสานมีท่าอากาศยานไว้บริการนักเดินทางไมช์ กี่แห่งและที่ไหนบ้าง? . ปัจจุบันภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสนามบินอยู่ 9 แห่งด้วยกัน และมีสนามบินที่มีเที่ยวบินพาณิชย์ให้บริการอยู่ทั้งหมด 8 แห่ง ได้แก่ – ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี มีจำนวนผู้โดยสารและจำนวนเที่ยวบินมากที่สุด  – ท่าอากาศยานนานาชาติขอนแก่น – ท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี – ท่าอากาศยานนครพนม – ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด – ท่าอากาศยานสกลนคร – ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ – ท่าอากาศยานเลย . โดยสนามบินที่ไม่มีเที่ยวบินพาณิชย์ให้บริการ คือ นครราชสีมา . . ทำไมท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ถึงมีจำนวนผู้โดยสารและจำนวนเที่ยวบินมากที่สุด? . เนื่องจากอุดรธานีตั้งอยู่ใกล้เขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างจังหวัดหนองคาย และตั้งอยู่ใกล้เวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาว โดยอยู่ห่างเพียง 50 กิโลเมตร ทำให้มีผู้โดยสารทั้งลาวและจีนมาใช้บริการ อีกทั้งยังมีเที่ยวบินในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก สามารถเลือกเวลาการเดินทางได้ แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายถูกกว่าที่จะใช้บริการสนามบินนานาชาติวัตไต ที่กรุงเวียงจันทน์  . และยังมีปัจจัยเสริมที่สำคัญคือ มีคนจีนส่วนหนึ่งที่เดินทางมากับรถไฟจีน-ลาว มาถึงลาวแล้วต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจที่กรุงเทพฯหรือพื้นที่ภาคตะวันออก ก็จะมาใช้บริการ อีกส่วนที่เป็นชาวลาวที่เดินทางข้ามแม่น้ำโขงมาใช้บริการด้วย สังเกตได้จากป้ายทะเบียนรถยนต์ที่จอดค้างคืนที่สนามบินอุดรธานี  . โดยท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานีเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนของภูมิภาคและประเทศไทย  . . ปัจจุบัน ทย.มีแผนการพัฒนาสนามบินใหม่อีก 3 แห่งในภาคอีสาน ซึ่งได้มีการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นไว้แล้ว บางแห่งก้าวหน้าไปในขั้นการออกแบบรายละเอียด และจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA ) ได้แก่  . สนามบินมุกดาหาร เบื้องต้นที่ตั้งที่เหมาะสมอยู่บริเวณ ต.คำป่าหลาย อ.เมือง จ.มุกดาหาร พื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ อยู่ห่างจาก อ.เมืองมุกดาหาร ประมาณ 20 กม. มีสนามบินใกล้เคียง 2 แห่ง ได้แก่ สนามบินนครพนม และสนามบินสกลนคร มีระยะห่างจากแต่ละสนามบินประมาณ 120 กม. ปัจจุบันศึกษาเบื้องต้น ออกแบบ และศึกษา EIA แล้ว วงเงินลงทุน 5,000 ล้านบาท คาดกันว่าจะเป็นสนามบินแห่งใหม่ ลำดับที่ 30 ของ ทย. ต่อจากสนามบินเบตง  . สนามบินบึงกาฬ จุดเหมาะสมอยู่ในเขต ต.โป่งเปือย และ ต.วิศิษฐ์ อ.เมือง จ.บึงกาฬ พื้นที่ประมาณ 2,500 ไร่ ศึกษาเบื้องต้นแล้ว วงเงินลงทุน 3,100 …

📢พามาเบิ่ง สนามบินแห่งแดนอีสาน ในช่วงครึ่งปีแรก✈️ อ่านเพิ่มเติม »

💰หากแจกเงิน กลุ่มเปราะบาง คนอีสานจะได้รับเงินรวมกันกว่า 5.5 หมื่นล้าน เพราะ เป็นภูมิภาคที่มีประชากรเยอะสุด และคนจนเยอะสุด ตามด้วยภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนือ ตามลำดับ . หมายเหตุ: ​รอคำแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ข้อมูลที่นำเสนอเป็นการนำเสนอจำนวน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเท่านั้น มิได้นับรวมผู้ที่ลงทะเบียนในแอพ "​ทางรัฐ" . ISAN Insight and Outlook พามาเบิ่ง จำนวนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ🏛️ . 💰กระแสแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทยังเป็นประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายให้การติดตามต่อเนื่อง ทั้งฝ่ายรัฐบาล, ฝ่ายค้าน, ธปท. รวมถึงภาคประชาชนอย่างเรา ๆ ที่รอเกณฑ์ที่แม่นยำว่าสุดท้ายจะได้รับเงินดิจิทัลหรือไม่ . โดยมีแหล่งข่าวแพร่สะพัดว่า การเดินหน้าของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะมีการปรับเงื่อนไขเบื้องต้น จะเป็นการแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบางที่ลงทะเบียนไว้ก่อนเป็นอันดับแรกในวงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ตามที่สภาเห็นชอบอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท มาใช้แจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะเป็นการแจกเงินสดผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ในครั้งเดียว จำนวน 10,000 บาท . ซึ่งวิธีการดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนจากการใช้เงินผ่านระบบดิจิทัลเป็นการเติมเงินสดลงไปในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐก่อน ส่วนประชาชนกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มเปราะบางนั้นยังไม่ได้พิจารณา . โอกาสนี้อีสานอินไซต์พาเปิดจำนวนผู้สิทธิได้รับเงินดิจิทัลกลุ่มแรก ซึ่งคือจำนวนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปัจจุบัน . โดยอีสานเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนคนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ โดยมีจำนวนผู้ถือฯกว่า 5 ล้านราย คิดเป็นกว่า 40% ของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั่วประเทศ สะท้อนว่าอีสานยังเป็นภูมิภาคที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจรายบุคคลอยู่มาก ที่ถึงแม้จะได้เงินกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้นกว่า 50,000 ล้านบาท แต่ในระยะยาวก็ยังเป็นความน่าเป็นห่วงของอีสานว่าเศรษฐกิจยังเผชิญกับความเปราะบางที่สูง . ที่มา กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง . #เงินดิจิทัล #ISANInsightandOulook #เศรษฐกิจอีสาน #ISANEcon

ISAN Insight and Outlook พามาเบิ่ง จำนวนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ISAN Insight and Outlook พามาเบิ่งจำนวนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หากแจกเงิน กลุ่มเปราะบาง คนอีสานจะได้รับเงินรวมกันกว่า 5.5 หมื่นล้าน เพราะ เป็นภูมิภาคที่มีประชากรเยอะสุด และคนจนเยอะสุด ตามด้วยภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนือ ตามลำดับ.หมายเหตุ: ​รอคำแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ข้อมูลที่นำเสนอเป็นการนำเสนอจำนวน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเท่านั้น มิได้นับรวมผู้ที่ลงทะเบียนในแอพ “​ทางรัฐ”.ISAN Insight and Outlook พามาเบิ่งจำนวนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.กระแสแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทยังเป็นประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายให้การติดตามต่อเนื่อง ทั้งฝ่ายรัฐบาล, ฝ่ายค้าน, ธปท. รวมถึงภาคประชาชนอย่างเรา ๆ ที่รอเกณฑ์ที่แม่นยำว่าสุดท้ายจะได้รับเงินดิจิทัลหรือไม่.โดยมีแหล่งข่าวแพร่สะพัดว่า การเดินหน้าของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะมีการปรับเงื่อนไขเบื้องต้น จะเป็นการแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบางที่ลงทะเบียนไว้ก่อนเป็นอันดับแรกในวงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ตามที่สภาเห็นชอบอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท มาใช้แจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะเป็นการแจกเงินสดผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ในครั้งเดียว จำนวน 10,000 บาท.ซึ่งวิธีการดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนจากการใช้เงินผ่านระบบดิจิทัลเป็นการเติมเงินสดลงไปในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐก่อน ส่วนประชาชนกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มเปราะบางนั้นยังไม่ได้พิจารณา.โอกาสนี้อีสานอินไซต์พาเปิดจำนวนผู้สิทธิได้รับเงินดิจิทัลกลุ่มแรก ซึ่งคือจำนวนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปัจจุบัน.โดยอีสานเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนคนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ โดยมีจำนวนผู้ถือฯกว่า 5 ล้านราย คิดเป็นกว่า 40% ของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั่วประเทศ สะท้อนว่าอีสานยังเป็นภูมิภาคที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจรายบุคคลอยู่มาก ที่ถึงแม้จะได้เงินกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้นกว่า 50,000 ล้านบาท แต่ในระยะยาวก็ยังเป็นความน่าเป็นห่วงของอีสานว่าเศรษฐกิจยังเผชิญกับความเปราะบางที่สูง.ที่มา กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง.

ชวนมาเบิ่ง ภาคอีสานใช้ไฟฟ้ากว่า 23,241 ล้านกิโลวัตต์ กระจายอยู่ไหนบ้าง

ในปี 2565 ประเทศไทยมีพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายและใช้จำนวน 141,001 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง แล้วรู้หรือไม่ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายและใช้อยู่จำนวนเท่าไหร่?   ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายและใช้อยู่จำนวน 23,241 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 16.5% ของพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายและใช้ทั้งหมดในประเทศ ถือว่ามากเป็นอับดับที่ 2 ของประเทศเลยทีเดียว โดยเป็นรองเพียงภาคกลางเท่านั้นที่ มีพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายและใช้อยู่ที่ 84,028 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง    เมื่อลงลึกไปดูการใช้ไฟฟ้าเป็นประเภทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็พบว่า การใช้ไฟฟ้าในบ้านอยู่อาศัยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 90.8% รองลงมา คือ ใช้ในธุรกิจ 7.2% และใช้ไฟฟ้าสูบน้ำเพื่อการเกษตร 0.04%    แต่เมื่อไปดูการใช้ไฟฟ้าสูบน้ำเพื่อการเกษตร พบว่า ภาคอีสานใช้ไฟฟ้าสูบน้ำเพื่อการเกษตรมากกว่า 45.5% ของการใช้ไฟฟ้าสูบน้ำเพื่อการเกษตรทั้งหมดในประเทศ ซึ่งสาเหตุนั่นก็คือภาคอีสานเป็นแหล่งภาคการเกษตรที่สำคัญของประเทศนั่นเอง     5 อันดับจังหวัดที่มีการใช้ไฟฟ้ามากที่สุด   อันดับที่ 1 นครราชสีมา 6,263 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง อันดับที่ 2 ขอนแก่น 2,579 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง อันดับที่ 3 อุบลราชธานี 1,712 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง อันดับที่ 4 อุดรธานี 1,622 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง อันดับที่ 5 บุรีรัมย์ 1,313 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง   จะเห็นได้ว่า นครราชสีมามีการใช้ไฟฟ้ามากที่สุด เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และยังเป็นแหล่งศูนย์กลางความเจริญของภาคอีสาน อีกทั้งยังมีนิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมายในช่วง 10 ปีหลัง และนครราชสีมายังเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศ โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และวังน้ำเขียว จึงทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับการบริการเกิดขึ้นใหม่มากมาย ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าจึงมากกว่าทุกจังหวัด    อีกทั้งการใช้ไฟฟ้าที่มากทั้ง 5 จังหวัด ซึ่งอาจสะท้อนว่ามีครัวเรือนรายได้สูงอาศัยอยู่มากเนื่องจากความเจริญทางเศรษฐกิจและความสะดวกในการคมนาคม   ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าสามารถใช้เป็นตัวแทนที่บ่งบอกการกระจายตัวของรายได้ครัวเรือนได้ ดังนั้น ความเหลื่อมล้ำในการใช้ไฟฟ้าจึงสามารถใช้เป็นตัวแทนเพื่อบ่งบอกความเหลื่อมล้ำของรายได้ครัวเรือนได้เช่นกัน ความเหลื่อมล้ำมีการเคลื่อนไหวตามฤดูกาล    โดยความเหลื่อมล้ำจะสูงที่สุดในฤดูร้อน และต่ำที่สุดในฤดูหนาว ซึ่งความมีฤดูกาล (seasonality) ของความเหลื่อมล้ำนี้เอง สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนถึงความเหลื่อมล้ำในการถือครองเครื่องใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน เพราะครัวเรือนรายได้สูงมักถือครองเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องปรับอากาศ มากกว่า และจะมีการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้สูงขึ้นในฤดูร้อน จึงทำให้ระดับการใช้ไฟฟ้าของครัวเรือนรายได้สูงแตกต่างจากครัวเรือนรายได้ต่ำอย่างชัดเจนในฤดูร้อนของทุกปี นอกจากความเหลื่อมล้ำในการใช้ไฟฟ้าจะแสดงความเป็นฤดูกาลภายในแต่ละปีแล้ว ยังมีแนวโน้มระยะยาวที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเหลื่อมล้ำของรายได้ที่สูงขึ้นตามไปด้วย     อ้างอิงจาก:  – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค – สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ – Drdancando   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook …

ชวนมาเบิ่ง ภาคอีสานใช้ไฟฟ้ากว่า 23,241 ล้านกิโลวัตต์ กระจายอยู่ไหนบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

ความท้าทายของการวิจัยและพัฒนาในกลุ่มประเทศ GMS: ไทยจะสามารถก้าวทันหรือจะถูกทิ้งห่าง?

“เวียดนาม มีจำนวนสิทธิบัตรสะสม มากกว่า ไทย แล้ว” งานวิจัยและพัฒนาถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างนวัตกรรมและเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขัน สิ่งที่จีนสามารถทำได้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรมอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากการนำแนวคิดการพัฒนาแบบไล่กวด (catch-up development) มาใช้ โดยจีนอาศัยการใช้ตลาดในประเทศขนาดใหญ่เป็นเครื่องมือในการต่อรองกับบริษัทยักษ์ใหญ่จากตะวันตกเพื่อให้เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีในหลายสาขาการผลิต นอกจากนี้ จีนยังสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้มาและเทคโนโลยีเหล่านี้ไปต่อยอดอย่างมีประสิทธิภาพ จนสามารถพัฒนาให้ทันหรือแม้กระทั่งล้ำหน้าตะวันตกในหลายด้าน อย่างไรก็ตาม แนวทางการพัฒนานี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ เพราะประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เคยใช้วิธีการคล้ายกันมาแล้ว เพียงแต่การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างออกไปตรงที่จีนได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มข้นจากภาครัฐ ทั้งในด้านนโยบายและทรัพยากร ซึ่งทำให้จีนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมของโลกได้อย่างรวดเร็ว ในภูมิภาค GMS (Greater Mekong Subregion) ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากที่สุดถ้าไม่นับจีน โดยส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ความไม่เสถียรทางการเมืองและการขาดความต่อเนื่องของนโยบายได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ทำให้ประเทศยังคงติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง (middle-income trap) เนื่องจากการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น เวียดนาม เวียดนามกลายเป็นจุดหมายสำคัญของการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งคล้ายกับสถานการณ์ของไทยในอดีต ปัจจุบัน เวียดนามมีแรงงานที่มีจำนวนและคุณภาพสูงกว่าไทย ซึ่งส่งผลให้ประเทศมีอำนาจในการบริโภคที่เพิ่มขึ้น และเป็นแรงจูงใจให้บริษัทต่างชาติเลือกที่จะลงทุนในเวียดนามเพื่อผลิตสินค้าและบริการในประเทศมากขึ้น นี่อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เวียดนามมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นขึ้นในภูมิภาค GMS. เวียดนามมีข้อได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจที่สำคัญเพิ่มเติมนอกเหนือจากจำนวนและคุณภาพของแรงงานที่สูงกว่าไทย โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในจุดเด่นคือการมีท่าเรือน้ำลึกที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการค้าระหว่างประเทศและการเชื่อมต่อทางโลจิสติกส์ โดยท่าเรือน้ำลึกเหล่านี้ช่วยลดต้นทุนในการขนส่งและเวลาในการขนส่งสินค้า ทำให้เวียดนามเป็นจุดหมายที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการใช้ประโยชน์จากการส่งออกที่มีต้นทุนต่ำและรวดเร็ว นอกจากนี้ เวียดนามยังได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาคุณภาพของการศึกษา โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ซึ่งทำให้มีแรงงานที่มีทักษะสูงที่สามารถสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีแรงงานที่มีการศึกษาที่มีคุณภาพสูงทำให้เวียดนามสามารถดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว ด้วยการพัฒนาทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา เวียดนามไม่เพียงแค่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค GMS แต่ยังมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้นในเวทีโลก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาตลาดที่มีศักยภาพสูงในระยะยาว. ภาคอีสานของไทยยังคงเผชิญกับปัญหาและความท้าทายที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ หนึ่งในปัญหาหลักคือการกระจายตัวของสถานศึกษาที่มีคุณภาพยังไม่ทั่วถึง ส่งผลให้การพัฒนาทักษะและคุณภาพของแรงงานในภาคอีสานยังคงต่ำกว่ามาตรฐานที่ต้องการ การขาดแคลนสถานศึกษาที่มีคุณภาพทำให้ภูมิภาคนี้ไม่สามารถผลิตบุคลากรที่มีทักษะสูงที่พร้อมจะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้และนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การทำธุรกิจในภาคอีสานยังคงเผชิญกับอุปสรรคในการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ เนื่องจากการที่ระบบราชการและโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจยังมีความเข้มข้นอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออก ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการในอีสานต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงบริการและการสนับสนุนจากภาครัฐ นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้ภาคอีสานไม่สามารถพัฒนาศักยภาพในการผลิตงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพและปริมาณได้เต็มที่ ในเชิงเศรษฐศาสตร์ การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคอีสานสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การกระจายตัวของสถานศึกษาที่มีคุณภาพและการพัฒนาคุณภาพของแรงงานในภูมิภาคนี้จะช่วยเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจ (economic productivity) ของภูมิภาค และลดความเหลื่อมล้ำในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาค ในระยะยาว ภาคอีสานมีศักยภาพที่จะกลายเป็นแหล่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของไทย เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดและมีพื้นที่กว้างขวาง หากสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนจากภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาคอีสานจะสามารถดึงดูดการลงทุนและสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคต. ที่: WIPO, อุทยานวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น), กรมทรัพย์สินทางปัญญา

Scroll to Top