Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

สำรวจดัชนีโอกาสทางธุรกิจที่สูงสุดในแต่ละจังหวัด ภาคอีสาน

เว็บไซต์ DBD DataWarehouse+ ซึ่งรวบรวมข้อมูลนิติบุคคลที่มีการจดทะเบียนตามกฎหมายกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดเผยดัชนีโอกาสหรือคะแนนที่บ่งบอกถึงโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมย่อย . โดยค่าดัชนีจะอยู่ในช่วง 0-1 (คะแนนสูง = มีโอกาสทางธุรกิจมาก) พิจารณาจาก กลไกตลาด (ขนาดของตลาด การแข่งขัน สภาวะตลาด) และปัจจัยทางอุตสาหกรรม (จำนวนแรงงาน เงินลงทุน) . 5 อันดับ จังหวัดในภาคอีสานที่มีดัชนีโอกาสทางธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยสูงสุด . 1. เลย ค่าดัชนี 0.94 กลุ่มยานยนต์ 2. หนองบัวลำภู ค่าดัชนี 0.88 กลุ่มส่วนประกอบของยานยนต์ 3. มหาสารคาม ค่าดัชนี 0.87 กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรม และเครื่องจักร 4. หนองคาย ค่าดัชนี 0.87 กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 5. มุกดาหาร ค่าดัชนี 0.85 กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรม และเครื่องจักร . น่าสนใจว่า 4 จาก 20 จังหวัดภาคอีสาน ได้แก่ หนองบัวลำภู บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และอุดรธานี มีโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยประเภท ‘ส่วนประกอบของยานยนต์’ สูงที่สุด เช่นเดียวกับอีก 4 จังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม มุกดาหาร ชัยภูมิ และสุรินทร์ ที่มีโอกาสทางธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยประเภท ‘วัสดุอุตสาหกรรม และเครื่องจักร’ สูงที่สุด . อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาประเทศไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนคิดเป็นประมาณ 5.9% ของ GDP โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไม่ได้เติบโตได้ด้วยตัวเอง แต่เติบโตจาก ‘การลงทุนทางตรง-ย้ายฐาน’ จาก ‘ญี่ปุ่น’ เป็นหลัก . เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ ‘ยุคยานยนต์ไฟฟ้า’ หรือ EV ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่ค่ายรถญี่ปุ่นยังปรับตัวช้า โดยมีแผนผลิต EV น้อยกว่าค่ายจีน-อเมริกันมาก จึงส่งผลเสียกับไทยที่เป็นฐานการผลิตด้วย . ยิ่งการที่ไทยมีข้อตกลงทางการค้ากับ ‘จีน’ อาจทำให้มีการนำเข้า EV มากกว่าผลิตเอง เพราะนำเข้า EV ได้โดยไม่มีภาษี อีกทั้งจีนยังมีกำลังผลิตมากกว่า ทำให้ต้นทุนถูกกว่า . ดังนั้น แม้อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนจะมีค่าดัชนีที่สูงในหลายจังหวัดภาคอีสาน แต่การพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่ยังมีแผนผลิต EV น้อย อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต เราจึงควรเร่งศึกษาผลกระทบ และโอกาสในระยะยาว (ควรเป็นการผลิต EV ไหม) รวมถึงทบทวนสัญญาข้อตกลงทางการค้าเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้ากลุ่มยานยนต์ให้มากขึ้น เพื่อความมั่นคงของอุตสาหกรรมในประเทศ และส่งเสริมให้เกิดการลงทุน การวิจัยและพัฒนาไปสู่เทคโนโลยีขั้นสูงได้ด้วยตัวเอง . . อ้างอิงจาก […]

สำรวจดัชนีโอกาสทางธุรกิจที่สูงสุดในแต่ละจังหวัด ภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนเบิ่ง การพัฒนาโครงข่ายรถไฟเชื่อมโยงพื้นที่ภาคอีสาน

เป็นที่รู้กันดีว่า ประเทศไทยมีแผนพัฒนาโครงข่ายในการเดินทางและขนส่งสินค้าทางรางให้ครอบคลุมและเชื่อมโยงพื้นที่ทั่วประเทศ แต่รู้หรือไม่ว่าการขับเคลื่อนเชิงนโยบายดังกล่าว หรือที่เรียกว่า “โครงการ R-map” โดยเฉพาะในภาคอีสาน มีเส้นทางใดบ้าง กำหนดการก่อสร้างเป็นอย่างไร และใช้งบลงทุนมากน้อยแค่ไหน อีสานอินไซต์จะสรุปให้… . รถไฟทางคู่ ระยะเร่งด่วน . 1. ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กม. มูลค่าโครงการ 24,064 ล้านบาท รูปแบบโครงสร้าง : ระดับพื้นดิน และยกระดับ จำนวนสถานี : 19 สถานี ย่านกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า : 3 แห่ง เปิดให้บริการแล้ว ในปี 2563 . 2. ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 135 กม. มูลค่าโครงการ 29,968.62 ล้านบาท (4 สัญญา + ขยายระยะเวลา) รูปแบบโครงสร้าง : ระดับพื้นดิน ยกระดับ และอุโมงค์ จำนวนสถานี : 19 สถานี ย่านกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า : 1 แห่ง กำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2565 (บางส่วน) . ทางคู่ระยะที่ 2 . 1. ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กม. มูลค่าโครงการ 26,663.26 ล้านบาท รูปแบบโครงสร้าง : ระดับพื้นดิน และทางรถไฟยกระดับ จำนวนสถานี : 15 สถานี ย่านกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า : 3 แห่ง สถานะ : รายงาน EIA ได้รับความเห็นชอบแล้ว อยู่ระหว่างกระทรวงคมนาคมพิจารณาเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินโครงการ โดยคาดว่า จะเริ่มก่อสร้างปี 2566 และเปิดให้บริการในปี 2569 . 2. ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กม. มูลค่าโครงการ 37,527.10 ล้านบาท รูปแบบโครงสร้าง : ระดับพื้นดิน และทางรถไฟยกระดับ จำนวนสถานี : 35 สถานี ย่านกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า : 4 แห่ง สถานะ : รายงาน EIA ได้รับความเห็นชอบแล้ว อยู่ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำข้อมูลเพื่อเสนอขออนุมัติโครงการ โดยคาดว่า

ชวนเบิ่ง การพัฒนาโครงข่ายรถไฟเชื่อมโยงพื้นที่ภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ปีงบฯ 2563 องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคอีสานมีรายได้เท่าไร ?

องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคอีสาน ประจำปีงบประมาณ 2563 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 178,217 ล้านบาท (-2.7% จากปีงบฯ 2562) . แหล่งรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย . 1. รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเอง ได้แก่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย อากรฆ่าสัตว์ อากรรังนกอีแอ่น ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าปรับ ภาษีบำรุงท้องที่ที่จัดเก็บจากยาสูบ น้ำมัน ค่าธรรมเนียมเข้าพักโรงแรม รวม 5,856 ล้านบาท (-27.3%) . 2. รายได้ที่รัฐจัดสรร เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีสุราและสรรพาสามิต ภาษีค่าธรรมเนียมรถยนต์ เป็นต้น และภาษีที่รัฐแบ่งให้ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม รวม 71,720 ล้านบาท (-7.5%) . 3. เงินอุดหนุน แบ่งเป็น เงินอุดหนุนทั่วไปและเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รวม 100,642 ล้านบาท (3.2%) . จะเห็นได้ว่า อปท. ยังคงต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลเป็นหลัก คือ เงินอุดหนุน ในการนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการสาธารณะ การสาธารณสุขต่าง ๆ ในขณะที่ รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเองนั้น ยังอยู่ในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมด . จังหวัดที่มีรายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเองสูงสุดในอีสาน ได้แก่ 1. จังหวัดนครราชสีมา 901 ล้านบาท 2. จังหวัดขอนแก่น 605 ล้านบาท 3. จังหวัดอุบลราชธานี 518 ล้านบาท . จังหวัดที่มีรายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเองต่ำสุดในอีสาน ได้แก่ 1. จังหวัดมุกดาหาร 84 ล้านบาท 2. จังหวัดอำนาจเจริญ 99 ล้านบาท 3. จังหวัดหนองบัวลำภู 117 ล้านบาท . การพัฒนาประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของ อปท. เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่รัฐพยายามปรับปรุงและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีการจัดเก็บได้น้อย ไม่เพียงพอสำหรับการบริหารจัดการภายในท้องถิ่นของตนเอง . จึงมีแนวคิดในการจัดหารายได้ให้แก่ อปท.เพิ่มขึ้น โดยการยกเลิกภาษีบำรุงท้องที่ โรงเรือนและที่ดิน แล้วตราพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ขึ้นมาบังคับใช้แทน โดยหวังว่าภาษีดังกล่าวจะช่วยสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง และลดการพึ่งพาจากรัฐบาลกลางให้ได้มากที่สุด . อย่างไรก็ตาม รัฐควรกำหนดตัวชี้วัดของการจัดเก็บรายได้เองของ อปท. เพื่อกระตุ้นให้ท้องถิ่นพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของตนเอง และควรส่งเสริมให้ท้องถิ่นสามารถหาแหล่งรายได้ใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวเอง . . อ้างอิงจาก: https://kku.world/pp249

ปีงบฯ 2563 องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคอีสานมีรายได้เท่าไร ? อ่านเพิ่มเติม »

ย้อนดู มูลค่าการค้าชายแดน – ผ่านแดน ภาคอีสาน ปี 63

ปี 2563 ภาคอีสานมีมูลค่าการค้าชายแดนรวม 175,400 ล้านบาท (+4.1% จากปี 2562) . หากแบ่งตามพื้นที่ตั้งด่านศุลกากร การค้าชายแดนภาคอีสานประมาณ 90% เป็นการค้ากับสปป.ลาว มีมูลค่าการค้า 157,100 ล้านบาท ส่วนอีก 10% เป็นการค้ากับกัมพูชา มีมูลค่า 18,300 ล้านบาท . โดยเป็นมูลค่าการส่งออกรวม 106,500 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้ารวม 68,800 ล้านบาท . ทั้งนี้ ภาคอีสานได้เปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด เช่นเดียวกับปี 2563 ยังคงได้เปรียบดุลการค้ารวม 37,700 ล้านบาท (ทั้งกับสปป. ลาว และกัมพูชา) แม้เป็นการได้เปรียบดุลการค้าที่ลดลง 24.3% จากปี 2562 เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 . . สำหรับมูลค่าการค้าผ่านแดนรวม 209,100 ล้านบาท (+25.2% จากปี 2562) ซึ่งเป็นการค้าผ่านแดนกับจีนตอนใต้ และเวียดนาม ที่มีมูลค่าการค้าผ่านแดนเป็นอันดับ 1 ของไทย . โดยเป็นมูลค่าการส่งออกผ่านแดนรวม 96,500 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้าผ่านแดนรวม 112,600 ล้านบาท . น่าสนใจว่า ปี 2563 ภาคอีสานเสียเปรียบดุลการค้าผ่านแดนรวม 16,100 ล้านบาท (เสียเปรียบดุลการค้ากับจีน 44,700 ล้านบาท ได้เปรียบดุลการค้ากับเวียดนาม 28,600 ล้านบาท) . มุกดาหาร จังหวัดในภาคอีสานที่มีมูลค่าการค้าผ่านแดนกับจีนตอนใต้ และเวียดนามสูงที่สุด โดยมีมูลค่าการค้าผ่านแดนรวม 152,600 ล้านบาท ก็ยังเสียเปรียบดุลการค้าผ่านแดนรวม 59,800 ล้านบาท (เสียเปรียบดุลการค้ากับจีน 62,000 ล้านบาท ได้เปรียบดุลการค้ากับเวียดนาม 2,200 ล้านบาท) . . อย่างไรก็ดี โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการค้าชายแดนไทย รวมถึงภาคอีสาน ยกตัวอย่าง สะพานข้ามแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม (ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2554) ที่มีส่วนสำคัญทำให้มูลค่าการขนส่งผ่านด่านศุลกากรนครพนมไปยังเวียดนาม และส่งต่อไปจีนตอนใต้เพิ่มขึ้น . โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 “บึงกาฬ-บอลิคำไซ” ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง หากแล้วเสร็จจะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างไทย-เวียดนามที่สั้นที่สุด ระยะทางเพียง 150 กิโลเมตร . และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ขอนแก่น – หนองคาย (ระยะที่ 2) ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุมัติโครงการ หากแล้วเสร็จจะสามารถเชื่อมต่อการขนส่งทางรางระหว่างไทย กับทางรถไฟ สปป.ลาว – จีนได้สะดวกขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสในด้านการค้าและการลงทุนใหม่

ย้อนดู มูลค่าการค้าชายแดน – ผ่านแดน ภาคอีสาน ปี 63 อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้จัก ราชาผลไม้ไทยดินแดนอีสาน ทุเรียนภูเขาไฟ VS ทุเรียนโอโซน

ทุเรียนได้รับฉายาว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” (King of fruits) ด้วยรสชาติที่หวาน มัน และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นที่ชื่นชอบของทั้งคนไทยและคนต่างชาติ (บางส่วน) ในปี 2564 สามารถส่งออกทำรายได้ให้ประเทศกว่า 3,854 ล้านดอลลาร์สหรัฐ . ปัจจุบัน จังหวัดศรีสะเกษเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน “ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ” ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมีชื่อเสียง ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เป็นการยกระดับมาตรฐานของสินค้า สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ผู้ค้า ในด้านของคุณภาพและความปลอดภัย . ปี 2564 มีเนื้อที่เพาะปลูกทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ 8,404 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 3,479 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 4,213 ตัน/ปี โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 1,220 ราย . ด้านต้นทุนการผลิต เฉลี่ย 18,430 บาท/ไร่/ปี (เริ่มให้ผลผลิตในปีที่ 5) เกษตรกรจะปลูกช่วงเดือนพฤษภาคม ผลผลิตจะออกสู่ตลาดช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,200 กิโลกรัม/ไร่/ปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 204,000 บาท/ไร่/ปี คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยสุทธิ (กำไร) 185,570 บาท/ไร่/ปี ราคาที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยอยู่ที่ 160 – 180 บาท/กิโลกรัม . สำหรับ “ทุเรียนโอโซน” ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ นั้นเน้นการรวมกลุ่มการผลิต และให้เกษตรกรเป็นผู้บริหารจัดการแบบครบวงจร ทั้งด้านการผลิต แปรรูปและการตลาด เพื่อให้ได้สินค้าเกษตรที่ให้ผลตอบแทนสูง และคุ้มค่า โดยในปี 2565 นี้อยู่ระหว่างการดำเนินการขอรับรองมาตรฐาน GAP ในนามเกษตรแปลงใหญ่ . ปี 2564 มีเนื้อที่ปลูกทั้งหมด 1,063 ไร่ เนื้อที่เก็บเกี่ยว 655 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 1,611 ตัน/ปี ปัจจุบันมีสมาชิก 51 ราย . ด้านต้นทุนการผลิต เฉลี่ย 27,196 บาท/ไร่/ปี (เริ่มให้ผลผลิตในปีที่ 6 และ เก็บเกี่ยวได้ระยะยาว) เกษตรกรนิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝน (เดือนเมษายน – พฤษภาคม ของทุกปี) เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ให้ผลผลิตเฉลี่ย 2,460 กิโลกรัม/ไร่/ปี ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 150 บาท/กิโลกรัม ผลตอบแทนเฉลี่ย 369,000 บาท/ไร่/ปี คิดเป็นผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย (กำไร) 341,804

ฮู้จัก ราชาผลไม้ไทยดินแดนอีสาน ทุเรียนภูเขาไฟ VS ทุเรียนโอโซน อ่านเพิ่มเติม »

ย้อนดู ผลการจัดเก็บภาษีสรรพากร ภาคอีสาน ปีงบฯ 63

 เงินจากการเรียกเก็บภาษีของรัฐบาลมาจากไหน? . เงินที่ได้จากการเก็บภาษีมาจาก 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และหน่วยงานอื่น ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจ กรมธนารักษ์ และส่วนราชการอื่น ๆ โดยหากเทียบสัดส่วนภาษีที่เรียกเก็บได้ในแต่ละปีจะพบว่า เกินครึ่งมาจากกรมสรรพากร .  ภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บ แบ่งเป็น . 1.ภาษีทางตรง เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีต้องจ่ายเอง ประกอบด้วย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมรดก และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม . 2. ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่เก็บจากบุคคลอื่น แต่ผู้เสียภาษีต้องรับภาระในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ประกอบด้วย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ .  ผลการจัดเก็บภาษีสรรพากรในภาคอีสาน ปีงบฯ 2563 จำนวน 44,485 ล้านบาท (+0.99% จากปีงบฯ 2562) .  ภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บได้มากที่สุดในอีสาน ได้แก่ . 1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 22,720 ล้านบาท (+7.56%) 2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล 9,193 ล้านบาท (-1.88%) 3. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 8,446 ล้านบาท (-11.13%) 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ 2,691 ล้านบาท (+8.14%) 5. อากรแสตมป์ 1,386 ล้านบาท (-7.61%) 6. รายได้อื่น ๆ* 49.31 ล้านบาท (-20.09%) . จะเห็นว่า ปีงบฯ 2563 แม้กรมสรรพากรในภาคอีสานจะจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในหมวดภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะเท่านั้น ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อากรแสตมป์ และรายได้อื่น ๆ เก็บได้ลดลง .  จังหวัดที่จัดเก็บภาษีสรรพากรได้สูงสุดในอีสาน ได้แก่ 1. นครราชสีมา 9,280 ล้านบาท 2. ขอนแก่น 6,888 ล้านบาท 3. อุบลราชธานี 3,871 ล้านบาท .  จังหวัดที่จัดเก็บภาษีสรรพากรได้ต่ำสุดในอีสาน ได้แก่ 1. อำนาจเจริญ 333 ล้านบาท 2. บึงกาฬ 390 ล้านบาท 3. ยโสธร 644 ล้านบาท . ทั้งนี้ เมื่อเทียบสัดส่วนจังหวัดที่กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีได้ “เพิ่มขึ้น

ย้อนดู ผลการจัดเก็บภาษีสรรพากร ภาคอีสาน ปีงบฯ 63 อ่านเพิ่มเติม »

ศึกห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น ภาคอีสาน รายได้หลักร้อยล้าน

ห้างสรรพสินค้า ถือเป็นธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะในช่วงที่มีการ Lockdown เมือง ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หันไปนิยมซื้อและทำธุรกรรมออนไลน์เพิ่มขึ้น . ผลประกอบที่ผ่านมาของห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น ภาคอีสานเป็นอย่างไร? . บริษัท คลังพลาซ่า จำกัด (อัษฎางค์) จ.นครราชสีมา ก่อตั้งมาแล้ว 46 ปี ปี 2563 รายได้ 137,083,359 บาท กำไร 26,616 บาท ปี 2562 รายได้ 254,409,487 บาท กำไร 272,612 บาท . บริษัท เซ็นโทซ่า จำกัด จ.ขอนแก่น ก่อตั้งมาแล้ว 38 ปี ปี 2563 รายได้ 321,356,296 บาท กำไร 3,014,526 บาท ปี 2562 รายได้ 324,610,146 บาท กำไร 3,705,832 บาท . บริษัท แฟรี่พลาซ่า จำกัด จ.ขอนแก่น ก่อตั้งมาแล้ว 35 ปี ปี 2563 รายได้ 205,339,923 บาท กำไร 7,867,117 บาท ปี 2562 รายได้ 258,115,281 บาท กำไร 2,921,381 บาท . บริษัท ร้อยเอ็ดพลาซ่า จำกัด จ.ร้อยเอ็ด ก่อตั้งมาแล้ว 30 ปี ปี 2563 รายได้ 204,216,212 บาท กำไร 577,435 บาท ปี 2562 รายได้ 246,631,118 บาท กำไร 2,005,350 บาท . บริษัท ซุ่นเฮงพลาซ่า จำกัด จ.ศรีสะเกษ ก่อตั้งมาแล้ว 28 ปี ปี 2563 รายได้ 321,885,929 บาท กำไร 729,252 บาท ปี 2562 รายได้ 369,495,531

ศึกห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น ภาคอีสาน รายได้หลักร้อยล้าน อ่านเพิ่มเติม »

ที่ผ่านมา “ข้าวไทย” ส่งออกอิหยังแหน่? พร้อมส่องทิศทาง ปี 65-67

“ข้าว” สินค้าส่งออกหลักของไทย ที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุด ครอบคลุมครัวเรือนกว่า 4.9 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ รอบปีเพาะปลูก 2562/63 มีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด 68.54 ล้านไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง ตามลำดับ . ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยผลิตข้าวเปลือกเฉลี่ยปีละ 31-33 ล้านตัน ซึ่งนำไปสีเป็นข้าวสารได้ประมาณ 20-22 ล้านตัน โดยใช้บริโภคภายในประเทศเฉลี่ย 11 ล้านตัน ส่วนที่เหลือมีทั้งส่งออกและสต๊อก . แบ่งเป็น ข้าวเพื่อใช้บริโภคโดยตรง มีสัดส่วน 60-70% และ ข้าวเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แป้งข้าว ขนมขบเคี้ยวจากข้าว การผลิตไฟฟ้าชีวมวล และการผลิตเอทานอล เป็นต้น มีสัดส่วน 30-40% ของความต้องการบริโภคข้าวในประเทศทั้งหมด . ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยในปี 2563 มีโครงสร้างดังนี้ . – ข้าวขาว มีปริมาณการค้าสูงสุดในตลาดโลก โดยปริมาณการส่งออกของไทยอยู่ที่ 2.24 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นสัดส่วน 39.1% ของปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าวทั้งหมดของไทย ตลาดส่งออกหลักอยู่ในภูมิภาคแอฟริกา และเอเชีย โดยส่งออกไปยังประเทศแองโกลาสูงสุดที่ 14.3% รองลงมาเป็นญี่ปุ่น (10.9%) โมซัมบิก (8.6%) แคเมอรูน (7.6%) และสหรัฐฯ (6.4%) ตามลำดับ . – ข้าวนึ่ง ปริมาณการส่งออกของไทยอยู่ที่ 1.45 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นสัดส่วน 25.3% ตลาดส่งออกหลักอยู่ในภูมิภาคแอฟริกา โดยส่งออกไปยังประเทศแอฟริกาใต้สูงถึง 44.6% รองลงมาเป็นเบนิน (25.4%) เยเมน (8.4%) แคเมอรูน (4.9%) และโตโก (2.7%) ตามลำดับ . – ข้าวหอมมะลิ ปริมาณการส่งออกของไทยอยู่ที่ 1.19 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นสัดส่วน 20.7% ตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐฯ (41%) รองลงมาเป็นจีน (11.6%) ฮ่องกง (10.8%) และแคนาดา (6.8%) ตามลำดับ . – ปลายข้าว เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแป้งและอาหารสัตว์ ปริมาณการส่งออกของไทยอยู่ที่ 5.9 แสนตันข้าวสาร คิดเป็นสัดส่วน 10.3% ตลาดส่งออกหลัก คือ เซเนกัล (18%) รองลงมาเป็นจีน (17.5%) อินโดนีเซีย (14.7%) และโกตดิวัวร์

ที่ผ่านมา “ข้าวไทย” ส่งออกอิหยังแหน่? พร้อมส่องทิศทาง ปี 65-67 อ่านเพิ่มเติม »

ปีงบฯ 65 ภาคอีสานได้รับจัดสรรงบประมาณเท่าไร ?

ปีงบฯ 65 ภาคอีสานได้รับจัดสรรงบประมาณเท่าไร ? . กรอบงบประมาณรายจ่ายแบ่งเป็น งบจังหวัด 70% และงบกลุ่มจังหวัด 30% . ภาคอีสานได้รับจัดสรรงบรวม (จังหวัด+กลุ่มจังหวัด) 5,154.11 ล้านบาท (-21.89%) .  งบจังหวัด . – จ.นครราชสีมา ได้รับจัดสรรงบประมาณ 342.90 ล้านบาท (-12.73%) สูงสุดของภูมิภาคและประเทศ – จ.อุดรธานี ได้รับจัดสรรงบประมาณ 26.30 ล้านบาท (-91.48%) ต่ำสุดของภูมิภาคและประเทศ .  งบกลุ่มจังหวัด . – กลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน 1 ซึ่งประกอบด้วย จ.หนองคาย เลย บึงกาฬ หนองบัวลำภู และอุดรธานี ได้รับจัดสรรงบประมาณรวม 388.72 ล้านบาท (-11.91%) สูงสุดของภูมิภาค – กลุ่มจังหวัดอีสานตอนกลาง ซึ่งประกอบด้วย จ.ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ ได้รับจัดสรรงบประมาณรวม 229.68 ล้านบาท (-17.70%) ต่ำสุดของภูมิภาค .  การจัดสรรงบประมาณจังหวัดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม . หนึ่งในเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณของจังหวัด (สัดส่วน 70%) คือ งบพัฒนาจังหวัด ซึ่งมีองค์ประกอบในการพิจารณา ดังนี้ 1. เฉลี่ยเท่ากันทุกจังหวัด 2. จำนวนประชากร 3. ขนาดพื้นที่ 4. สัดส่วนคนจน 5. ผกผันรายได้ครัวเรือน 6. ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) 7. ประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณ . เป็นที่น่าสังเกตว่า หากเปรีบเทียบเฉพาะ ‘สัดส่วนคนจน’ ของแต่ละจังหวัดในปี 2563 และงบประมาณของจังหวัดตามร่างงบประมาณรายจ่าย ปีงบฯ 2565 พบว่า กาฬสินธุ์ เป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในภาคอีสาน ปี 2563 (คิดเป็น 23.79%)ในขณะที่จังหวัดที่ได้รับงบประมาณสูงส่วนใหญ่เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ หรือจังหวัดหัวเมืองต่าง ๆ เช่น นครราชสีมา และบุรีรัมย์ . หรือหากเทียบเฉพาะ ‘ผกผันรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน’ แต่ละจังหวัดในปี 2562 และงบประมาณของจังหวัดตามร่างงบประมาณรายจ่าย ปีงบฯ 2565 จะพบว่า นครราชสีมา เป็นจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงเป็นอับดับ 2 ของภูมิภาค (25,735 บาท/ครัวเรือน) รองจากอุดรธานี (25,766 บาท/ครัวเรือน) แต่กลับได้รับงบประมาณสูงสุด ในขณะที่อุดรธานีได้รับงบประมาณต่ำสุดของภาค . กล่าวได้ว่า

ปีงบฯ 65 ภาคอีสานได้รับจัดสรรงบประมาณเท่าไร ? อ่านเพิ่มเติม »

ตลาดน้ำผลไม้ไทยมาแรง ดันส่งออก 2 หมื่นล้าน

การแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคหันมารับประทานอาหารและเครื่องดื่มเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางสุขภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดน้ำผลไม้กลับมาเติบโตอีกครั้ง . ปี 2564 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นมูลค่า 2.02 หมื่นล้านบาท (+15.8%) . และในช่วงระยะเวลา 10 ปี (ปี 2555 – 2564) ไทยมีสินค้าน้ำผลไม้วางจำหน่ายมากเป็นอันดับ 2 ของโลก จำนวน 3,190 รายการ . ทั้งนี้ การส่งออกน้ำผลไม้ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยบริหารจัดการสินค้าเกษตร ป้องกันผลผลิตสินค้าเกษตรล้นตลาด รวมทั้งเป็นการขยายมูลค่าของสินค้าเพื่อจำหน่ายให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ .  ตลาดส่งออกสำคัญ . – สหรัฐอเมริกา มูลค่าการส่งออก 8.8 พันล้านบาท | แนวโน้มตลาด นิยมน้ำผลไม้ออร์แกนิค น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลหรือแคลอรีต่ำ . – จีน มูลค่าการส่งออก 1.6 พันล้านบาท | แนวโน้มตลาด นิยมน้ำผลไม้เข้มข้นสูง ไม่เติมสารให้ความหวาน สี หรือสารกันบูด และนิยมซื้อออนไลน์ – เนเธอร์แลนด์ มูลค่าการส่งออก 1.2 พันล้านบาท | แนวโน้มตลาด นิยมน้ำสับปะรด (คู่แข่งที่ส่งออกน้ำผลไม้ประเภทเดียวกัน ได้แก่ เวียดนาม และฟิลิปปินส์) .  ประเด็นที่ถูกกล่าวอ้างถึงบนผลิตภัณฑ์มากที่สุด . 1. ฮาลาล 49% 2. ไม่มีวัตถุเจือปนอาหาร/วัตถุกันเสีย 42% 3. บรรจุภัณฑ์รักษ์สิ่งแวดล้อม 31% 4. ปราศจากการเติมสารกันเสีย 28% 5. มังสวิรัติ 21% 6. รีไซเคิล 21% 7. ปราศจากการเติมสีสังเคราะห์ 20% 8. ไม่เติมน้ำตาล 16% . จะเห็นว่า ผู้ประกอบการต่างชูจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ ที่นอกจากเรื่องพื้นฐาน ก็เริ่มหันมาสนใจผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการลดปริมาณน้ำตาล งดเครื่องดื่มที่เติมสารกันเสีย/สีสังเคราะห์ คำนึงถึงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น . อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องคอยติดตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีน้ำตาล มาตรฐานฉลากคาร์บอน การตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตและแบรนด์น้ำผลไม้ไทยสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต ปรับปรุงรสชาติและเนื้อสัมผัส ทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดส่งออกสำคัญได้ . . อ้างอิงจาก https://kku.world/0jkd9 https://kku.world/7pgst https://kku.world/hhnux . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #น้ำผลไม้ #ส่งออก

ตลาดน้ำผลไม้ไทยมาแรง ดันส่งออก 2 หมื่นล้าน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top