Article

“บ้านปู เน็กซ์” จับมือ “เชิดชัยฯ” และ “ดูราเพาเวอร์” ตั้งโรงงานแบตเตอรี่ 1.4 พันล้านบาท ที่ จ.นครราชสีมา

“บ้านปู เน็กซ์” จับมือ “เชิดชัยฯ” และ “ดูราเพาเวอร์” ตั้งโรงงานแบตเตอรี่  มูลค่า 1.4 พันล้านบาท ที่ จ.นครราชสีมา   บ้านปู เน็กซ์ ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานฉลาดชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกาศลงนามความร่วมมือ 2 พันธมิตรผู้นำทางธุรกิจ เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ ผู้ให้บริการรถบัสรายใหญ่ที่สุดในไทย และดูราเพาเวอร์ ผู้นำด้านระบบแบตเตอรี่จัดเก็บพลังงานแบบลิเธียมไอออนระดับโลก    นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของผู้นำธุรกิจจาก 3 อุตสาหกรรม ที่มุ่งมั่นขยายธุรกิจไปกับทิศทาง และเทรนด์ของโลกอนาคต โดยเฉพาะการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 13.52% หรือมีมูลค่ากว่า 8.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570* ทั้งยังเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจแบตเตอรี่ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท    การจัดตั้งโรงงานแห่งนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนแนวทางของภาครัฐที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถ EV โดยตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน กำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ในจังหวัดนครราชสีมา    ซึ่งมีเชิดชัยมอเตอร์เซลส์ ถือหุ้นสัดส่วน 40% บ้านปู เน็กซ์ ถือหุ้น 30 % และดูราเพาเวอร์ ถือหุ้น 30% คาดจะใช้เงินลงทุนราว 1,400 ล้านบาท ในการขยายกำลังการผลิตสู่ 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2569 เพื่อบุกตลาดในเอเชียแปซิฟิก   โดยระยะแรกจะมีกำลังผลิตเริ่มต้นที่ 200 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) คาดว่าปี 2566 จะเริ่มดำเนินการได้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ   ดร.อัสนี เชิดชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นแนวโน้มของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในไทยที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้น และเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม จึงมองหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อย่างบ้านปู เน็กซ์ และดูราเพาเวอร์ เพื่อรุกตลาดรถบัสไฟฟ้า (e-Bus) เพื่อช่วยสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้ธุรกิจ และขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่หลากหลาย   การร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งพลังที่จะช่วยสนับสนุน และสอดรับกับนโยบายการผลิต และการใช้ยานยนต์ไร้มลพิษของภาครัฐ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ที่มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ พร้อมช่วยขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ   อ้างอิงจาก:  https://www.banpunext.co.th/news-updates/  https://www.thansettakij.com/economy/industry/534727  https://workpointtoday.com/banpu-next-with-partner-build-lithium-ion-battery-factory/    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #บ้านปูเนกซ์ #Banpunext #เชิดชัย #Cherdchai #ดูราเพาเวอร์ #Durapower #โคราช #นครราชสีมา

มิตรผล ฟื้นชีพตึกร้างทุ่มพันล้านพลิกโฉมสู่ “ Khon Kaen Innovation Center ”

มิตรผล ฟื้นชีพตึกร้างทุ่มพันล้านพลิกโฉมสู่  “ Khon Kaen Innovation Center ”   อาคารร้าง สูง 28 ชั้น ที่ตั้งใจกลางเมืองขอนแก่น ของกลุ่มโฆษะ มากว่า 23 ปี กำลังจะกลายเป็นอดีต เมื่อประธานใหญ่ของกลุ่มน้ำตาลมิตรผล คุณอิสระ ว่องกุศลกิจ ได้ตัดสินใจเจรจากับประธานกลุ่มโฆษะ คุณชาติชาย โฆษะวิสุทธิ์  ซื้อที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวเมื่อช่วงปลายปี 2560 พร้อมกับจัดตั้ง “บริษัท ขอนแก่น อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด” ขึ้น เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และให้บริการบริหารอาคารดังกล่าว ด้วยทุนจดทะเบียน 980 ล้านบาท   “ Khon Kaen Innovation Center ” ศูนย์นวัตกรรมด้านการพัฒนานวัตกรรมการเกษตร อาหาร และไบโอเทค โดยหัวใจหลักคือ เป็นศูนย์นวัตกรรมที่เน้นการบ่มเพาะธุรกิจ (Incubation center) ให้กับสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในท้องถิ่นหรือทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาใช้บริการได้ ด้วยพื้นที่ห้องปฏิบัติการ 1,200 – 1,300 ตารางเมตร หรือกินพื้นที่ทั้งหมด 1 ชั้นครึ่งให้กับการวิจัยและการพัฒนาโดยเฉพาะ   อีกทั้งยังมีพื้นที่โรงแรมเพื่อเตรียมพร้อมรองรับคนจากที่ต่างๆ บริการโดยโรงแรม Ad Lib ซึ่งจะอยู่พื้นที่ด้านบนสุดของอาคาร ชั้น 27-28 เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ที่ทันสมัย มีวิวทิวทัศน์สวยงาม เห็นตัวเมืองขอนแก่นได้โดยรอบ   ศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้ยังมีแผนที่จะเปิดเป็นศูนย์ธุรกิจด้านบริการสุขภาพ (Wellness Clinic) ซึ่งเป็นการต่อยอดจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มีโครงการ Medical Hub ให้มีบริการที่ทันสมัยใจกลางเมือง ตอบโจทย์กับผู้มาใช้บริการ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังมี บมจ.บ้านปูเข้ามาช่วยดูแลพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) ภายในอาคารให้อีกด้วย และจะมีการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar System) และศูนย์บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ต่ออีกในอนาคต และ คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการในช่วงสิ้นปี 65 นี้   อ้างอิงจาก:  สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) https://www.nia.or.th/KKInnoCenter  https://www.prachachat.net/local-economy/news-541037  ขอบคุณรูปภาพจาก: Khon Kaen Talk

Update “ถนนวงแหวนรอบเมืองโคราช” ดำเนินการแล้วกว่า 80% คาดสร้างเสร็จปี 66

Update “ถนนวงแหวนรอบเมืองโคราช”  ดำเนินการแล้วกว่า 85% คาดสร้างเสร็จปี 66   ถนนวงแหวน (Ring Road) เป็นถนนที่สร้างขึ้นล้อมรอบตัวเมือง สามารถเดินทางจากฝั่งเมืองหนึ่ง ไปอีกฝั่งหนึ่งของเมืองได้โดยไม่ต้องเข้าเมืองเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง ช่วยแบ่งเบาภาระการจราจรและรองรับการขยายตัวของเมือง โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 290 สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา (วงแหวนรอบเมืองโคราช) งบประมาณรวม 12,429 ล้านบาท มีระยะทางทั้งหมด 110 กิโลเมตร คืบหน้าแล้วกว่า 85% ปัจจุบันยังเหลือการก่อสร้างอีกประมาณ 30 กิโลเมตร คิดเป็น 15% จากงบประมาณรวมทั้งหมด คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการปี 2566   โครงการได้เริ่มก่อสร้างถนนวงแหวนรอบเมืองขึ้นในปี 2549 เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่จึงมีการแบ่งงานก่อสร้างออกเป็นช่วงๆ เริ่มตั้งแต่ทางหลวงหมายเลข 205 – ทางหลวงหมายเลข 224 อยู่ในพื้นที่ อ.ปักธงชัย, อ.เมืองนครราชสีมา และ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เป็นถนนวงแหวนรอบเมืองที่มีขนาดใหญ่และมีระยะทางยาวที่สุดในต่างจังหวัด    อีกทั้งยังถือเป็นถนนวงแหวนที่มีระยะทางยาวเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย รองมาจากถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) การก่อสร้างของโครงการ แบ่งออกเป็น 11 ตอน ได้แก่ ทิศเหนือ 4 ตอน (ระยะทางประมาณ 48 กิโลเมตร) ก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 ตอน อีก 2 ตอนอยู่ระหว่างดำเนินการ และทิศใต้ 7 ตอน (ระยะทางประมาณ 62 กิโลเมตร) ก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 ตอน อีก 5 ตอนอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยตลอดแนวที่ถนนตัดผ่านนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและพื้นที่เกษตรกรรม โดยที่ผ่านมา ได้เปิดใช้เส้นทางวงแหวนด้านใต้บางส่วน ระยะทางรวม 29.22 กิโลเมตร ที่ต้องการบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หากดำเนินการแล้วเสร็จ จะเป็นเส้นทางที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เส้นทางและประชาชนในพื้นที่ตัวเมืองนครราชสีมาและโดยรอบ ส่งเสริมศักยภาพทางด้านการคมนาคม การค้า การขนส่ง โดยรวมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสามารถรองรับการขยายตัวของผังเมืองรวมในอนาคตอีกด้วย   อ้างอิงจาก : https://www.thansettakij.com/economy/534019  http://www.doh.go.th/content/page/news/144083  https://mgronline.com/columnist/detail/9650000004673  #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #โคราช #นครราชสีมา #ถนนวงแหวนรอบเมืองโคราช #วงแหวนรอบเมืองโคราช

นิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานี แห่งแรกในอีสานใต้ คาดเฟส 1 แล้วเสร็จปี 2565

นิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานี แห่งแรกในอีสานใต้ คาดเฟส 1 แล้วเสร็จปี 2565   นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายปองพล อดิเรกสาร ประธานกรรมการบริษัท อุบลราชธานีอินดรัสตี้ จำกัด นำคณะผู้บริหารบริษัทฯ เข้าพบ เพื่อรายงานความคืบหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานี ซึ่งถือเป็นนิคมแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ ตั้งอยู่ใน อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน คาดว่าเฟสที่ 1 จะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2565 ในปี พ.ศ. 2565 ได้มีแผนดำเนินการดังนี้ EIA ได้รับการอนุมัติ (EIA: การประเมินผลกระทบจากโครงการพัฒนาที่จะมีต่อสุขภาพหรือความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมทั้งทางบวกและทางลบ), การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) อนุมัติโครงการ, เริ่มการก่อสร้างและพัฒนาโครงการ และ ขายที่ดินโครงการ  ในปี พ.ศ. 2571 มีแผนพัฒนาโครงการดังนี้ การดำเนินโครงการ แล้วเสร็จ 50-70% และการขยายพื้นที่นิคมฯ นิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานีสอดรับกับนโยบายการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วยให้เกิดประโยชน์ทั้งในเรื่องพัฒนาสังคม พื้นที่ และยังเป็นฐานการผลิตของผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศและต่างประเทศ  มีบทบาทเป็นศูนย์กลางของระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย ที่พร้อมไปด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์ และแหล่งรวบรวมนวัตกรรมใหม่ ๆ จากผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการต่ำลง จะสามารถแข่งขันในตลาด CLMV และช่วยให้เกิดการสร้างงานคนในท้องถิ่น ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีเส้นทางที่สามารถเชื่อมโยงการค้าใน 4 ประเทศ ได้แก่ สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน มีรถไฟทางคู่และท่าอากาศยานอุบลราชธานีที่จะช่วยสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในระดับนานาชาติ รวมทั้งยังมีจุดผ่านแดนที่สำคัญ ที่จะทำให้การขนส่งจากกรุงเทพฯ หรือจากท่าเรือภาคตะวันออกไปสู่พื้นที่ได้สะดวกขึ้น   อ้างอิงจาก :  สำนักประชาสัมพันธ์เขต 2 อุบลราชธานี https://www.ubi.co.th/our-latest-news/1292 https://aic.moac.go.th/downloads/document/aic160963/009.pdf  #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #นิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานี #อุบลราชธานี #อุบลราชธานีอินดรัสตี้

” อินทผาลัมโคราช ” พลิกเปลี่ยนไร่มันฯ ขยายตลาด เร่งขึ้นบัญชี พืชปลูกได้ในประเทศ

” อินทผาลัมโคราช “ พลิกเปลี่ยนไร่มันฯ ขยายตลาด เร่งขึ้นบัญชี พืชปลูกได้ในประเทศ   เปิดสวน“อินทผาลัมโคราช” พืชเศรษฐกิจมาแรงในยุคนี้ สร้างรายได้เกษตรกรปีละเป็นล้าน มีความพร้อมทั้งคุณภาพผลผลิตและพื้นที่เพาะปลูก สมาคมผู้ปลูกฯ เดินหน้าผลักดัน ให้บรรจุอินทผาลัมเป็นพืชปลูกได้ในประเทศไทย เพื่อขยายตลาดส่งออกไปยังต่างประเทศ สวนอินทผาลัมโคราช เลขที่ 261 หมู่ที่ 13 หมู่บ้านอ่างห้วยยาง ต.ธงชัยเหนือ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา นายประทิน  อภิชาตเสนีย์  เจ้าของสวนอินทผาลัมโคราช ปลูกอินทผาลัมรวมจำนวน 1,000 ต้น โดยเป็นสวนอินทผาลัมสวนแรกของจังหวัดนครราชสีมา จากเดิมเป็นพื้นที่ดังกล่าวปลูกมันสำปะหลังมาก่อน กระทั่งปี 54 จึงหันมาปลูกอินทผาลัมด้วยการเพาะเมล็ด เนื่องจากผลผลิตไม่ดีและกลายพันธุ์รสชาติไม่ดี จึงเปลี่ยนมาปลูกจากต้นพันธุ์ที่เพาะเนื้อเยื่อพันธุ์บาฮี ในปี 2559 เหลือต้นพ่อพันธุ์ประมาณ 4-5 ต้นเท่านั้น  การให้น้ำจะใช้ระบบปริงเกอร์เพื่อให้กระจายให้ทั่วโดยสวนอินทผาลัมโคราชเป็นสวนปลอดสารเคมี ก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตระยะเวลา 3 เดือน ไม่มีการใช้สารเคมีจึงสามารถเด็ดจากต้นกินได้เลย ความโดดเด่นของอินทผาลัมที่นี่ คือ “ หวาน กรอบ อร่อย ปลอดภัยจากสารเคมี ” ซึ่งอินทผาลัมจะทยอยสุกและเริ่มตัดขายได้ตั้งแต่ กลางเดือน ก.ค. – ส.ค.  ราคาขายหน้าสวนอยู่ที่ กก.ละ 200 -300 บาท คาดว่าในปีนี้จะสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาทและมีผลผลิตต่อปีหลายร้อยตัน   แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรคือด้านการขยายตลาด เนื่องจากอินทผาลัมเป็นพืชที่ยังไม่ได้รับการบรรจุให้เป็นพืชที่ปลูกในประเทศไทยได้ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ ทางสมาคมผู้ปลูกอินทผาลัม ที่มีสมาชิกอยู่ทั่วประเทศ กำลังอยู่ระหว่างการผลักดันให้กระทรวงเกษตรกรฯ บรรจุให้อินทผาลัมให้เป็นพืชปลูกได้ในประเทศไทย เพื่อให้อินทผาลัมส่งออกขายในต่างประเทศได้  ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสที่ดีให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอินทผาลัม ได้มีโอกาสขยายตลาดไปสู่ประเทศต่าง ๆ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ เช่น อินโดนีเซีย มาเลยเซีย หรือในกลุ่มประเทศอาเซียน ขณะนี้ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาเรื่องดังกล่าวแล้ว จึงหวังว่าจะดำเนินการผลักดันให้เป็นรูปธรรมเพื่อเกษตรกรได้เดินหน้าต่อไป   อ้างอิงจาก :  https://www.thansettakij.com/economy/533259  https://mgronline.com/local/detail/9650000068900  https://www.nstda.or.th/home/news_post/pt-nstda-bcg-biotec/    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อินทผาลัมโคราช #นครราชสีมา 

ชวนเบิ่งงาน Pride ในอีสาน การส่งเสียงของ LGBTQ+ เพื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียม

ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยได้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในการเฉลิมฉลองเดือน “ไพรด์” คือ การจัดงานไพรด์นอกเหนือไปจากเมืองหลวงกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยว แต่เกิดขึ้นในจังหวัดอุดรธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ที่ภาคประชาชนและกลุ่ม LGBTQ+ ร่วมกันทำให้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสียงถึงความต้องการกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เพิ่งผ่านสภาในวาระ 1 การเดินขบวนของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ในงานบางกอกนฤมิตรไพรด์ที่จัดขึ้นบนถนนสีลม จุดประกายให้ภาคประชาชนกลุ่ม LGBTQ+ จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมาเช่นกัน จังหวัดเหล่านี้ไม่ได้เคยมีงานไพรด์มาก่อน ธงสีรุ้ง กับขบวนของคนรุ่นใหม่ที่เดินไปตามถนนในเมือง และพิธีจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม ในเดือน มิ.ย. มีงานไพรด์เกิดขึ้นอย่างน้อย 4 จังหวัดในภาคอีสาน ได้แก่ ยูดี ไพรด์ อุดรธานี, บุญบั้งไพรด์ ศรีสะเกษ, ซะเร็นไพรด์ สุรินทร์, อุบลฯ ไพรด์ อุบลราชธานี ในอดีต งานประจำปีของจังหวัดล้วนเป็นงานที่ชูเอกลักษณ์และของดีประจำจังหวัด ขึ้นมาเป็นจุดขาย แต่ผู้ริเริ่มงานไพรด์ในสุรินทร์ และอุบลราชธานี หวังว่า นี่จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่กลุ่มหลากหลายทางเพศจะได้แสดงออกถึงความภูมิใจในอัตลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQ+ ซะเร็นไพรด์ งานไพรด์ของชาวสุรินทร์ เบญจมินทร์ ปันสน คณะทำงาน “ซะเร็นไพรด์” ผู้จัดงานใน จ.สุรินทร์ บอกว่า กิจกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า กลุ่มคนหลากหลายทางเพศในจังหวัดต้องการอยากจะเห็นกิจกรรมเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้มีองค์กร หรือหน่วยงานไหน ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไหนในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นคนเริ่มต้น กลุ่ม LGBTQ+ ที่อยู่ในธุรกิจช่างแต่งหน้า เช่าชุด ทำคลินิกเสริมความงาม ต่างร่วมสนับสนุนงานที่จัดขึ้น เพราะต้องการเห็นจากงานไพรด์ในกรุงเทพฯ และหวังให้มีงานนี้ขึ้นมาในจังหวัดของตัวเอง นอกจากงานเดินขบวนและกิจกรรมที่เป็นสีสัน ซึ่งต้องการให้งานนี้สร้างความเข้าใจเรื่องร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ว่าให้สิทธิที่แตกต่างกันกับ พ.ร.บ.คู่ชีวิต อย่างไร ขณะที่พื้นที่สำคัญที่ใช้จัดงานคือ ศาลากลางจังหวัดหลังเก่าที่เคยล้อมรั้วเหล็กเอาไว้ ได้รับอนุญาตให้จัดงานของประชาชนได้ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นงานสำคัญ ที่ทุกคนเห็นว่าพื้นที่ศาลากลางกลางเมืองมีประโยชน์และเหมาะสมสำหรับเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับทุกคน อุบลฯ ไพรด์ เมืองเซฟโซนของ LGBTQ+ พิทักษ์ชัย ชาวอุบลราชธานี ซึ่งเป็น ผอ.กองประกวดมิสแกรนด์อุบลฯ ปีนี้ด้วย เห็นถึงศักยภาพของ จ.อุบลฯ ว่าเป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าจะจัดงานได้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งหลายภาคส่วนก็ร่วมสนับสนุนเรื่องนี้ ทั้งหอการค้าจังหวัด เอกชนในพื้นที่ และเทศบาลนครอุบลราชธานี และยังมีกลุ่มเยาวชนและผู้ประกอบการ มาร่วมด้วย โดยหลังจากการจัดงานไพรด์ในวันที่ 29 มิ.ย. แล้ว งานแห่เทียนพรรษา ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปีของอุบลฯ ก็จะมีการผนวกรวมขบวนพาเหรดสีรุ้งของกลุ่มหลากหลายทางเพศในอุบลฯ เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง โดยอุบลราชธานีจะมีการจัดทำให้อุบลฯ เป็น “เซฟโซน” หรือพื้นที่ปลอดภัยอีกหนึ่งเมืองของประเทศไทยที่รองรับ LGBTQ+ ทั่วโลกมาเที่ยว ผ่านแคมเปญ ALL FOR YOU ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มโรงแรม ห้างร้าน ร้านอาหาร ร่วมแสดงออกเชิงสัญลักษ์ว่าเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างต้อนรับ LGBTQ+ ที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะได้รับการปฏฺิบัติที่ไม่แบ่งแยกและปลอดภัย ดังนั้น เป็นการผลักดันให้อุบลฯ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่รองรับ LGBTQ+ ทั่วโลกมาเที่ยว …

ชวนเบิ่งงาน Pride ในอีสาน การส่งเสียงของ LGBTQ+ เพื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียม อ่านเพิ่มเติม »

“ เงินบาทอ่อนค่า ” ที่ 35.45 บาท/ดอลลาร์ ทำสถิติครั้งใหม่รอบ 5 ปีครึ่ง

“ เงินบาทอ่อนค่า ”  ที่ 35.45 บาท/ดอลลาร์ ทำสถิติครั้งใหม่รอบ 5 ปีครึ่ง    ค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มอ่อนค่า หลังทำสถิติครั้งใหม่รอบ 5 ปีครึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตามแรงเทขายหุ้นและพันธบัตรของนักลงทุนต่างชาติ   นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาด ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดที่ระดับ 35.45 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับปิดของสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 35.49 บาทต่อดอลลาร์    อีกทั้งยังมองว่ากรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.20-35.65 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทของวันที่ 27 มิ.ย. 2565  คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.35-35.55 บาทต่อดอลลาร์ โดยเฉพาะในกรณีที่ กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายนักลงทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่องในจังหวะที่ตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง   ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า  เงินบาทอ่อนค่า ลงเกือบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้เงินดอลลาร์ฯ จะเผชิญแรงขายจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันต่อรัฐสภาสหรัฐว่า เฟดมุ่งมั่นที่จะจัดการกับปัญหาเงินเฟ้ออย่างไม่มีเงื่อนไขเพื่อให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ กลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% แต่ก็ยอมรับว่า การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะถดถอย   ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอด้วยแรงขายของผู้ส่งออกที่ต่างรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่า  นอกจากนี้ หากราคาทองคำมีการดีดราคาขึ้นมา ก็อาจมีกระแสในการทำกำไรทองคำ ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน ส่วนความกังวลแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องรุนแรง ยังมองว่า เงินบาทจะยังไม่อ่อนค่าทะลุระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ง่าย หากตลาดไม่กังวลการเริ่มใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้งในบางพื้นที่ของจีน จนหันมาเทขายสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia ทั้งหุ้นและพันธบัตรอย่างรุนแรง   อีกทั้ง ธนาคารกสิกรไทย ประเมิน จากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากหากปล่อยไว้ จะยิ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า และ ยิ่งเร่งเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่า ธปท. ได้เข้าไปแทรกแซงค่าเงินเฉลี่ยสัปดาห์ละ 3,000-5,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 106,000-177,500 ล้านบาท) เพื่อช่วยพยุงไม่ให้เงินบาทอ่อนค่า หรือ ผันผวนเกินไป โดยรวม ๆ มีการใช้เงินเข้าไปดูแลแล้วราว 1 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วงที่เงินบาทผันผวน เพราะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น คาดว่าในปีนี้จะปรับขึ้น 2 ครั้ง (ในเดือนสิงหาคม และพฤศจิกายน)      อ้างอิงจาก: https://www.bangkokbiznews.com/business/1012154  https://www.prachachat.net/finance/news-963294  https://www.tnnthailand.com/news/wealth/117557/    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #เงินบาทอ่อนค่า

ท่องเที่ยวอีสานรูปแบบใหม่ “UNSEEN New Series” 5 ที่เที่ยวสุดปังไม่ธรรมดา

ท่องเที่ยวอีสานรูปแบบใหม่  “UNSEEN New Series”  5 ที่เที่ยวสุดปังไม่ธรรมดา ใกล้หยุดยาวในเดือนกรกฏาคมแล้ว เตรียมวางแผนในการเที่ยวสถานที่ใหม่ๆของภาคอีสาน จาก ททท. กันเลย  ก่อนหน้านี้ ISAN Insight & Outlook ได้นำเสนอข้อมูลรายได้จากการท่องเที่ยวในภาคอีสานจะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้ของแต่ละจังหวัดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งโครงการ 25 Unseen New Series ของททท. เป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปิดตัวแหล่งท่องเที่ยว โครงการ 25 Unseen New Series คัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ จำนวน 25 แหล่งจากทั่วประเทศ นำมาเป็นจุดขายใหม่เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นและสามารถสร้างเม็ดเงินกระตุ้นภาคธุรกิจการท่องเที่ยวได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก  ซึ่งภาคอีสาน เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ ประกอบไปด้วย 5 แหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จังหวัดนครราชสีมา , พญานาค 3 พิภพ จังหวัดมุกดาหาร , ภูพระ จังหวัดเลย , หอโหวด จังหวัดร้อยเอ็ด และโลกของช้าง จังหวัดสุรินทร์ โดยทิศทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวสำหรับปี 2565 นี้ ททท.จะคงความสำคัญของการท่องเที่ยวต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยเร่งให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวเร็วและเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง และเป็นสิ่งสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยและก้าวสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และมีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนาเป็นที่ตั้งของ “เมืองลอยฟ้า” ที่เป็นอ่างพักน้ำบนเขายายเที่ยง มีเสน่ห์ตรงที่มีทุ่งกังหันลมถึง 14 ตัว เรียงรายสุดสายตา เป็นจุดชมวิวมุมสูงที่มองเห็นเขื่อนลำตะคอง และถนนมอเตอร์เวย์สายใหม่ที่คู่ขนานไปกับรถไฟรางคู่ ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของไทย รวมถึงเป็นที่ตั้งของ “เมืองใต้พิภพ” ที่อยู่ลึกไปใต้ผิวดินกว่า 350 เมตร เป็นอุโมงค์โรงไฟฟ้าใต้ดิน ใช้เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้า โดยการสูบน้ำจากเขื่อนลำตะคองไปเก็บไว้ที่อ่างพักน้ำบนเขายายเที่ยง จากนั้นจะปล่อยน้ำลงมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า นับเป็นจุดเช็คอินที่ไม่เหมือนใคร นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ ชมวิวทิวทัศน์ของทุ่งกังหันลมบริเวณเขาเควสต้าหรือเขาอีโต้ และชมวิวมุมสูงของถนนมอเตอร์เวย์ที่สวยงาม สามารถปั่นจักรยานรอบอ่างเก็บน้ำเขายายเที่ยง และมีศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง ที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ด้านพลังงานสะอาด พิกัด : https://goo.gl/maps/6NrGPf5nQTniABPP6  พญานาค 3 พิภพ จ.มุกดาหาร ชาวมุกดาหารมีความเชื่อและนับถือศรัทธาองค์พญานาค ความมหัศจรรย์ของพญานาค 3 องค์ ที่บังเอิญตั้งอยู่บนแนวเส้นลองจิจูดเดียวกันที่ตำแหน่ง 104 องศา 43 ลิปดา เป็นตัวแทนแห่งพญานาค 3 พิภพ ซึ่งปกปักคุ้มครองเมืองมุกดาหารให้สงบร่มเย็น ได้แก่  องค์แรก พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช เป็นพญานาคดิน ตั้งอยู่ที่แก่งกะเบา กับคติความเชื่อ “อุดมสมบูรณ์ มั่นคง มั่งคั่ง ร่ำรวย” องค์ที่ 2 พญาอนันตนาคราช …

ท่องเที่ยวอีสานรูปแบบใหม่ “UNSEEN New Series” 5 ที่เที่ยวสุดปังไม่ธรรมดา อ่านเพิ่มเติม »

เงินเฟ้อลาว “ พุ่ง ” เงินกีบลาว “ อ่อนค่า ” เที่ยวลาว คิดเงินเรทนักท่องเที่ยว บาท-ดอลลาร์

เงินเฟ้อลาว “ พุ่ง ”  เงินกีบลาว “ อ่อนค่า ”  เที่ยวลาว คิดเงินเรทนักท่องเที่ยว บาท-ดอลลาร์   เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเงินกีบลาวอ่อนค่าลงอย่างหนัก จากระดับ 100 บาทแลกได้ 30,000 กีบ ปัจจุบันอ่อนค่าลงเป็น 50,000 กว่ากีบหรืออ่อนค่าลงกว่า 70% ทำให้คนแห่เก็บเงินบาทจนกระทั่งหาแลกเงินบาทไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านแลกเปลี่ยนเงินหรือเคาน์เตอร์ธนาคารพาณิชย์   ขณะที่เงินกีบที่อ่อนค่าทำให้ดูเหมือนว่า ราคาสินค้าและบริการในสปป.ลาวแม้จะเท่าเดิมในราคาเงินกีบ แต่จะถูกลงสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวไทย ที่มีพรมแดนติดต่อกับสปป.ลาว มีด่านถาวรและสะพานมิตรภาพข้ามนํ้าโขงเชื่อมโยงกันหลายแห่ง สามารถข้ามไปเที่ยวเพื่อเดินทาง กิน ดื่ม ในราคาถูกลงมากกว่าครึ่ง   นายสวาท ธีระรัตนนุกูลชัย รองประธานหอการค้าไทย (ภาคอีสาน) และประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หอการค้าไทย หอการค้าจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวของไทย ที่ต้องการเดินทางโดยรถไฟไปภาคเหนือของลาว ต้องคิดทบทวนการใช้จ่ายประจำวัน ค่าที่พัก ค่าอาหาร สำหรับนักท่องเที่ยว ในประเทศลาวเนื่องจากผู้ประกอบการจะกำหนดราคาเป็นเงินดอลลาร์   ต้องตรวจสอบว่า ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในลาว กำหนดราคาเป็นสกุลเงินใด เพราะผู้ประกอบการลาวหลายแห่งกำหนดค่าสินค้าและบริการเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วจึงคำนวณกลับเป็นราคาเงินบาท หากต้องการจ่ายเป็นเงินบาทไทย หรือเงินกีบลาว ทำให้ราคาสินค้าชิ้นนั้น ๆ ผันแปรไปตามค่าเงินแต่ละวัน เช่น ก๋วยเตี๋ยวเคยจ่ายชามละประมาณ 70 บาทไทย วันนี้ราคาอาจปรับขึ้นเป็นชามละ 120 บาท ราคาที่พักรีสอร์ทคืนละ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์มาเป็นเงินบาทไทย ในเวลานั้น เช่น 1 ดอลลาร์ ต่อ 33 บาทเศษ เป็นต้น   อ้างอิงจาก : https://www.thansettakij.com/economy/528878 https://www.thansettakij.com/economy/529180    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #ค่าเงินลาว #เงินเฟ้อ #เที่ยวลาว

พิษเศรษฐกิจ ปิดคลังพลาซ่า ยอดขายหดไม่ถึงแสนบาท

พิษเศรษฐกิจ ปิดคลังพลาซ่า    บริษัท คลังพลาซ่า จำกัด ภายใต้การบริหารของนายไพรัตน์ มานะศิลป์ เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าคลังพลาซ่า มีทั้งหมด 3 สาขา ประกอบด้วย คลังพลาซ่า สาขาอัษฎางค์, คลังพลาซ่า สาขาจอมสุรางค์ และคลังวิลล่า สาขาสุรนารายณ์   เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2565 บริษัท คลังพลาซ่า จำกัด เจ้าของห้างสรรพสินค้า “คลังพลาซ่า” จังหวัดนครราชสีมา ออกประกาศแจ้งปิดการให้บริการห้างสรรพสินค้า “คลังพลาซ่า สาขาอัษฎางค์” ซึ่งเป็นสาขาแรกและอยู่ใจกลางเมืองโคราช ที่เรียกกันว่า “คลังเก่า” ตั้งแต่ 31 ก.ค. 2565 เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ คลังพลาซ่า สาขาถนนจอมสุรางค์ยาตร ที่เรียกกันว่า “คลังใหม่” ได้สั่งปิดชั่วคราวไปเมื่อ 1 พฤษภาคม 2564    โดยระบุสาเหตุในการกิจการ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจการค้าโลก ประกอบกับการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะมีความยากลำบากมากขึ้น จากสงครามและมาตรการคว่ำบาตรซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกในขณะนี้  จากเดิมเคยมีรายได้วันละ 2-3 ล้านบาท ปัจจุบันยอดขายเหลือไม่ถึงแสนบาท    ทั้งนี้ คลังพลาซ่าจอมสุรางค์ยาตร  ได้มีการรีโนเวทครั้งใหญ่ไปตั้งแต่ปี 2557 ลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท รีโนเวทใหญ่ทุกชั้นทุกแผนกของ”คลังพลาซ่า จอมสุรางค์” ทั้งอาคาร 9 ชั้น ให้เป็นสไตล์โมเดิร์น ขยายพื้นที่ขายจาก 20,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) เป็น 30,000 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 33 %    เมื่อ 20 ก.พ. 2565 มีการปลดป้ายเดิมและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ARPAYA อาภาญา”  โดย นายไพรัตน์ ชี้แจงว่า เป็นการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่ จากวิกฤต COVID-19 พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ห้างสรรพสินค้าดีพาร์มเมนต์ที่แยกแผนกสินค้าต่าง ๆ ไม่ตอบโจทย์ยุคใหม่ ต้องปรับตัวใหม่ไปสู่ทางที่ดีกว่าเดิม   ช้อปปิ้งมอลล์ สู่ มิกส์ยูส “อาภาญา” ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์มัลติยูส ที่เป็นอาคารเอนกประสงค์หลากหลายธุรกิจมารวมอยู่ในพื้นที่ โดยจะมีพื้นที่เช่าเกี่ยวกับด้านศูนย์การศึกษา ด้านสุขภาพ ด้านกีฬา ด้านเทคโนโลยี เป็นอาคารเพื่อการเรียนรู้ และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ออฟฟิศ ร้านค้า เพราะอยู่ทำเลใจกลางเมือง ใกล้หน่วยงานราชการ การเดินทางสะดวก    อย่างไรก็ตาม มียืนยันจาก นายไพรัตน์ มานะศิลป์ …

พิษเศรษฐกิจ ปิดคลังพลาซ่า ยอดขายหดไม่ถึงแสนบาท อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top