SHARP ADMIN

พามาเบิ่ง การเข้าถึงและค่าใช้จ่ายของอาหารเพื่อสุขภาพ ของประเทศในกลุ่ม GMS

พามาเบิ่ง การเข้าถึงและค่าใช้จ่ายของอาหารเพื่อสุขภาพ ของประเทศในกลุ่ม GMS . ภูมิภาคเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง Greater Mekong Subregion (GMS) นั้นขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหารการกิน ซึ่งอาหารแต่ละประเทศก็มีเอกลักษณ์และวัตถุดิบเฉพาะตัวที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและภูมิประเทศ แต่ถึงแม้จะมีความแตกต่าง อาหารอาเซียนส่วนใหญ่ก็มีส่วนประกอบที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ สมุนไพร และข้าว ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น   อาหารในภูมิภาคนี้ที่ควรลอง: ข้าว: เป็นอาหารหลักของหลายประเทศในอาเซียน มีทั้งข้าวกล้อง ข้าวเหนียว และข้าวหอมมะลิ ซึ่งให้คาร์โบไฮเดรตที่เป็นพลังงานหลักแก่ร่างกาย ผัก: ผักใบเขียว ผักสีส้ม และผักหลากสีสัน อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี แตงกวา มะเขือเทศ ผลไม้: ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น มะม่วง มังคุด ทุเรียน ลองกอง ส้ม กล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและใยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย โปรตีน: ได้จากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ถั่ว และไข่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย สมุนไพร: ขมิ้นชัน กระเทียม พริกไทยดำ มีสรรพคุณทางยา ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อาหารในกลุ่มประเทศ GMS นั้นไม่เพียงแต่มีรสชาติอร่อยและหลากหลาย แต่ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกาย การเลือกทานอาหารอาเซียนที่ปรุงอย่างถูกสุขลักษณะและมีส่วนผสมที่หลากหลาย จะช่วยให้คุณได้รับสารอาหารครบถ้วนและมีสุขภาพที่ดี ตัวอย่างอาหารสุขภาพจากประเทศต่างๆ กลุ่มประเทศ GMS: ไทย: แกงเขียวหวานไก่, ต้มยำกุ้ง, ส้มตำ, ผัดไทย เวียดนาม: ก๋วยจั๊บญวน, ผัดซีอิ้ว, ส้มตำ, ปอเปี๊ยะสด ลาว: ลาบ, ส้มตำ, แหนมเนือง, ไส้อั่ว กัมพูชา: อามก, สัมลอร์ค็อก, น้ำพริก, ขนมจีน จีน: เต้าหู้, ซุปเห็ด, ผัดผักรวมมิตร, ปลาอบซีอิ๊ว วิเคราะห์ข้อมูลการเข้าถึงและค่าใช้จ่ายของอาหารเพื่อสุขภาพในกลุ่มประเทศ GMS จากการรวบรวมข้อมูลของ ISAN Insight ที่แสดงให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพ และสัดส่วนประชากรที่เข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพในแต่ละประเทศสมาชิกกลุ่มประเทศ GMS (Greater Mekong Subregion) นั้น สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้ ภาพรวม ค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน: ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยประเทศจีนแผ่นดินใหญ่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด ขณะที่ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายสูงสุด การเข้าถึงแตกต่างกัน: สัดส่วนประชากรที่เข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพในแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยประเทศลาวมีสัดส่วนประชากรที่เข้าถึงสูงสุด ขณะที่ประเทศเวียดนามมีสัดส่วนประชากรที่เข้าถึงต่ำสุด การวิเคราะห์รายประเทศ กัมพูชา: มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันค่อนข้างสูง แต่ข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนประชากรที่เข้าถึงยังไม่มีการเก็บรวบรวมหรือเผยแพร่อย่างชัดเจน โดยอาหาร และสินค้าโภคภัณฑ์หลายอย่างมีการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อวันสูง ในขณะที่ค่าเงินอ่อน จีนแผ่นดินใหญ่: …

พามาเบิ่ง การเข้าถึงและค่าใช้จ่ายของอาหารเพื่อสุขภาพ ของประเทศในกลุ่ม GMS อ่านเพิ่มเติม »

ร้อยเอ็ด จังหวัดเกินร้อย จากเมืองประตู 101 ทิศสู่เมืองแลนด์มาร์คแห่งอีสาน

ร้อยเอ็ด จังหวัดเกินร้อย จากเมืองประตู 101 ทิศสู่เมืองแลนด์มาร์คแห่งอีสาน . เมืองร้อยเอ็ด เคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “สาเกตนคร” หรือ เมืองร้อยเอ็ดประตู อันเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรื่องโดยที่มีเมืองขึ้นจํานวนมาก ชื่อของเมืองร้อยเอ็ดนั้นได้มาจากเป็นเมืองที่มีประตูล้อมรอบเป็นกําแพง การตั้งชื่อเมืองให้มีความใหญ่เกินเพื่อให้เป็นสิริมงคล ถือเป็นเรื่องธรรมดาของการตั้งชื่อเมืองโบราณ . ร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งคนทั่วไปอาจรู้จักในนามของจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัท Global House หนึ่งในร้านค้าวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ของประเทศ ที่เป็นบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน แต่ความจริงแล้ว ร้อยเอ็ดมีจุดแข็งและเสน่ห์ในหลายๆ ด้านที่คนอาจยังไม่ทราบกันมากนัก ภาพจาก Global House . ร้อยเอ็ด มีศักยภาพในด้านใดบ้าง ? อีสานอินไซต์ จะพามาเบิ่ง . . เศรษฐกิจของร้อยเอ็ด ปี 2565 มีมูลค่าเศรษฐกิจ (GPP) 83,818 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 7 ของอีสาน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต้นๆของภาคอีสาน โดยเศรษฐกิจของร้อยเอ็ดสามารถสร้างรายได้ทั้งจากภาคเกษตรกรรมและภาคบริการเป็นหลัก โดยสัดส่วนโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดร้อยเอ็ด ในปี 2565 มาจาก – ภาคบริการ 56,159 ล้านบาท (67%) – ภาคเกษตรกรรม 17,055 ล้านบาท (20%) – ภาคอุตสาหกรรม 10,604 ล้านบาท (13%) . แต่เมื่อดูย่อยเป็นประเภทธุรกิจ ภาคเกษตรกรรมเป็นภาคหลักที่สามารถสร้างมูลค่าให้กับจังหวัดร้อยเอ็ดได้มากที่สุด โดยร้อยเอ็ดปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก โดยสามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตกว่า 9.5 แสนตัน ในปีการผลิต 2565/2566 ซึ่งถือว่าปลูกข้าวมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของภาคอีสาน . ซึ่งพันธุ์ข้าวที่จังหวัดร้อยเอ็ดปลูกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งถือเป็นสินค้า GI ประจำจังหวัดร้อยเอ็ดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาก โดยร้อยเอ็ดมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้มากที่สุดในภาคอีสาน จาก 5 จังหวัดที่มีพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยมีสัดส่วนพื้นที่กว่า 46% จากพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ทั้งหมด จึงเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้ให้กับจังหวัด . และทำให้โรงสีข้าวในร้อยเอ็ดได้รับผลประโยชน์ไปด้วย โดยร้อยเอ็ดมีรายได้จากธุรกิจโรงสีข้าวมากที่สุดในภาคอีสาน โดยมีรายได้กว่า 10,076 ล้านบาทในปี 2566 และโรงสีข้าวที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท มีมากถึง 4 แห่ง จากบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาททั้งหมด 9 แห่ง หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 44% เลยทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทในร้อยเอ็ดส่วนใหญ่เป็นโรงสีข้าว  . นอกจากพืชเศรษฐกิจหลักอย่างข้าวแล้ว หลายคนคงไม่รู้ว่าร้อยเอ็ดมีรายได้จากการปลูกพืชอย่างยาสูบอีกด้วย โดยร้อยเอ็ดมีพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตของยาสูบมากที่สุดในภาคอีสาน อีกทั้งเป็นจังหวัดที่ปลูกยาสูบมากเป็นอันดับ 4 ของประเทศ เป็นรองเพียงจังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เพชรบูรณ์ สุโขทัย …

ร้อยเอ็ด จังหวัดเกินร้อย จากเมืองประตู 101 ทิศสู่เมืองแลนด์มาร์คแห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🥼จำนวนแพทย์และพยาบาลแต่ละประเทศในกลุ่ม GMS 👩‍⚕

พามาเบิ่ง🧐จำนวนแพทย์และพยาบาลแต่ละประเทศในกลุ่ม GMS 🥼👩‍⚕ จำนวนแพทย์ต่อประชากรเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญอย่างยิ่งในการประเมินสถานการณ์ด้านสุขภาพของประเทศหนึ่งๆ โดยสามารถบ่งบอกถึงปัจจัยต่างๆ ได้ดังนี้ 🥼การเข้าถึงบริการทางการแพทย์: จำนวนแพทย์ที่มากขึ้นจะส่งผลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น ลดระยะเวลาในการรอคิว และเพิ่มโอกาสในการได้รับการรักษาพยาบาลที่ทันท่วงที 🥼คุณภาพของการดูแลสุขภาพ: การมีแพทย์เพียงพอจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ละเอียดรอบคอบมากขึ้น แพทย์จะมีเวลาให้คำปรึกษาและตรวจรักษาผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่ การกระจายตัวของทรัพยากรบุคคล: การเปรียบเทียบจำนวนแพทย์ในแต่ละพื้นที่ จะช่วยให้เห็นภาพการกระจายตัวของทรัพยากรบุคคลทางการแพทย์ ว่ามีความสม่ำเสมอหรือไม่ และพื้นที่ใดบ้างที่ขาดแคลนแพทย์ 🥼ประสิทธิภาพของระบบสุขภาพ: จำนวนแพทย์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ระบบสุขภาพทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานของแพทย์ และป้องกันไม่ให้เกิดการทำงานหนักเกินไป การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม: ประเทศที่มีจำนวนแพทย์ต่อประชากรสูง มักจะมีสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ดีกว่า เนื่องจากประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีอายุขัยที่ยาวนานขึ้น . ปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนแพทย์ต่อประชากร: 🥼นโยบายด้านสาธารณสุข: รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการผลิตแพทย์และการกระจายแพทย์ไปยังพื้นที่ห่างไกลหรือไม่ 🥼งบประมาณด้านสาธารณสุข: การลงทุนด้านสาธารณสุขที่เพียงพอจะช่วยเพิ่มจำนวนแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ 🥼สภาพการทำงานของแพทย์: สภาพการทำงานที่น่าพอใจ เช่น เงินเดือนที่ดี สวัสดิการที่ดี จะดึงดูดให้แพทย์เข้ามาทำงานในระบบสาธารณสุขมากขึ้น 🥼การขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง: บางสาขาแพทย์อาจขาดแคลนบุคลากร ซึ่งส่งผลต่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์เฉพาะทาง . มาตรฐานจำนวนแพทย์ต่อประชากร: 🥼องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดมาตรฐานจำนวนแพทย์ต่อประชากรไว้ที่แพทย์ 1 คนต่อประชากร 1,000 คน แต่ค่ามาตรฐานนี้เป็นเพียงตัวเลขที่ใช้เป็นแนวทางเท่านั้น เนื่องจากความต้องการแพทย์จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น โรคระบาด อายุเฉลี่ยของประชากร และสภาพทางภูมิศาสตร์ . สถานการณ์จำนวนแพทย์ต่อประชากรในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS): ภาพรวมสถานการณ์ระบบการดูแลสูขภาพของจีน แพทย์ 25.18 ต่อ ประชากร 10,000 คน พยาบาล 35.20 ต่อ ประชากร 10,000 คน ระบบการรักษาพยาบาลแห่งชาติของประเทศจีนเป็นระบบหลายระดับ โดยมีประกันสุขภาพพื้นฐาน (BMI) เป็นส่วนสำคัญ และมีความช่วยเหลือทางการแพทย์เป็นระบบสำรอง รวมถึงมีประกันสุขภาพเชิงพาณิชย์ การบริจาคการกุศล และกิจกรรมช่วยเหลือทางการแพทย์ร่วมเป็นบริการเสริม ระบบ BMI ครอบคลุมสองกลุ่มหลักคือพนักงานที่ลงทะเบียนในโปรแกรมประกันสุขภาพพื้นฐานของพนักงาน (EBMI) และประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนในโปรแกรมประกันสุขภาพพื้นฐานของประชาชน (RBMI) โดยในเดือนกันยายน 2020 มีประชาชนมากกว่า 1.35 พันล้านคน หรือกว่า 95% ของประชากรทั้งหมดได้รับการคุ้มครองจากโปรแกรม BMI ซึ่งนับเป็นเครือข่ายความปลอดภัยทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีจำนวน 337 ล้านคนที่ได้รับการคุ้มครองจาก EBMI และ 1.014 พันล้านคนได้รับการคุ้มครองจาก RBMI ระบบประกันสุขภาพพื้นฐานมีความยั่งยืนและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2019 มีรายได้จากกองทุนประกันสุขภาพพื้นฐานแห่งชาติ (รวมประกันการคลอด) มูลค่า 2.44 ล้านล้านหยวน และมีค่าใช้จ่ายมูลค่า 2.09 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ ระบบความช่วยเหลือทางการแพทย์ยังมีบทบาทสำคัญในการประกันความมั่นคงทางการแพทย์ให้กับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้น้อย ด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์พื้นฐานได้ตั้งแต่ปี 2018 ความช่วยเหลือทางการแพทย์นี้ได้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยประมาณ 480 ล้านคน รวมมูลค่าประมาณ 330 พันล้านหยวน และได้ดำเนินมาตรการลดความยากจนโดยเฉพาะสำหรับผู้คนที่เจ็บป่วยร้ายแรงกว่า …

พามาเบิ่ง🥼จำนวนแพทย์และพยาบาลแต่ละประเทศในกลุ่ม GMS 👩‍⚕ อ่านเพิ่มเติม »

พาส่อง 4 ชุดประจำชาติจากแดนอีสาน 4 ใน 10 ชุดประจำชาติยอดเยี่ยม MUT 2024

“มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024” ในรอบ “ชุดประจำชาติ” หัวข้อ “งามล้ำหัตถศิลป์-ศิลปาชีพ” สัมผัสกับความวิจิตรงดงามของงานหัตถศิลป์และศิลปะชุดไทย โดยกองประกวดคาดหวังชุดที่ให้คุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมไทย ส่งเสริมสุนทรียะ ความงามของสตรี และให้ความสำคัญกับการสวมใส่ได้จริง สะท้อนคุณค่าความสำคัญของงานเบื้องหลังให้ปรากฏบนเวทีการประกวด ชุดประจำชาติในการประกวดปีนี้ ไม่จัดอยู่ในประเภท แฟนตาซี คาร์นิวัล พาเหรด.โดยมี 10 ชุดที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัล “10 Best National Costume Presented by The Mall Group” และจะได้ไปจัดแสดงโชว์ในงาน The Mall Lifestore Women Inspired Textile in Bloom ในวันที่ 8 สิงหาคมนี้ ซึ่งมีถึง 4 ชุดที่มาจากแดนอีสานกันเลยทีเดียว จากจังหวัดอะไรกันบ้าง มาดูกันเลยค่ะ. มหาสารคาม ศรีษะเกษ MUT 16 อังคณา ศรีสุวรรณชื่อชุด กินรีรดน้ำ เมื่อรดน้ำยาให้หลุดออกจึงพลันปรากฏลวดลายกินรีสีทองอร่าม เยื่องย่างออกกรีดกรายโผผินบินเริงระบำอ่อนช้อยงดงาม ดั่งปรากฏในจิตรกรรมไทย ชุดนี้ได้แรงบันดาลใจจากงานประณีตศิลป์ชั้นสูง ลายรดน้ำรูปกินรีอมนุษย์ครึ่งบนเป็นคนครึ่งล่างนก ผสมผสานเข้ากับแฟชั่นตามยุคสมัย ถือเป็นการยกระดับงานประณีตศิลป์ชั้นสูงในอีกมิตินึง ผ่านชุดแต่งกายประจำชาติไทย สืบทอดเป็นมรดกและเอกลักษณ์ด้านศิลปกรรมไทยอย่างแท้จริงออกแบบและตัดเย็บโดยธีรภัทรคชพันธ์. ศรีษะเกษ MUT 16 อังคณา ศรีสุวรรณชื่อชุด จักรีศิลป์กลิ่นลำดวน แรงบันดาลใจจากดอกลำดวนและชุดไทยจักรี ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยงานจักสาน ภูมิปัญญาหัตถศิลป์ของไทยอันงดงาม สะท้อนวัฒนธรรมไทยที่เป็นเอกลักษณ์ ผ่านลวดลายที่ประณีตและวัสดุธรรมชาติ ที่แสดงถึงความอ่อนช้อยของศิลปะแบบไทยผลิตโดยภาณุวัฒน์จันทร์ศิริห้องเสื้อ Haus of Whatanup เฮาส์ ออฟ วาทะนับ. อุบลราชธานี MUT 08 กานต์ฤทัย ทัศบุตรชื่อชุด ศาสตร์ศิลป์ (สาด-สิน) Ubon candle fest ofthailand ขบวนเทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี ถือได้ว่าเป็นงานหัตถศิลป์ที่วิจิตรงดงามตระการตา โดยใช้ทั้งศาสตร์ความรู้ความชำนาญและศิลปะ เข้ามาผสมผสานกันเพื่อให้เกิดเป็นผลงานต้นเทียนในแต่ละคุ้มวัด โดยฝีมือสกุลช่างเทียนที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ขบวนเทียนส่วนมากจะเล่าเรื่องราวทางพระพุธศาสนาพุทธชาดกและมีสัตว์ป่าหิมพานต์ต่างๆ มากมาย จะถูกนำมาอยู่ในขบวนเทียนออกแบบโดยนายกรกฤตโกยกิจเจริญและนายกีรติทองสุขตัดเย็บโดย KORRATI (กอ-ระ-ติ). สกลนคร MUT 33 มาลินดา พุกทองชื่อชุด “รจนารีศรีคราม” สกลนครนครแห่งหัตถศิลป์ สีครามธรรมชาติสมบัติล่ำค่า แห่งวัฒนธรรมระดับโลก นำเสนอความงดงามผ่านอาภรณ์ของ “นางรจณา” และมาลัยครามเสี่ยงคู่ นางละครแห่งวรรณกรรมสยามประเทศ ที่ชาวโลกจะถูกสะกดตะลึงและประทับใจมิรู้ลืมออกแบบและตัดเย็บ โดยทีมนะกะวี ด่านลาพล และครูคหกรรม SNRU.อ้างอิงจาก : ผู้จัดการออนไลน์, dailynews..ติดตาม ISAN Insight & Outlook ได้ที่https://linktr.ee/isan.insight.#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #MUT2024 #MissUniverseThailand2024

🔎พามาเบิ่ง ข้าว GI แดนอีสาน กระจายอยู่ไหนบ้าง👨🏻‍🌾🌾🍚

🔎พามาเบิ่ง ข้าว GI แดนอีสาน กระจายอยู่ไหนบ้าง👨🏻‍🌾🌾🍚 . . 👨🏻‍🌾🌾ทำความรู้จัก “ข้าวอีสาน” หลากหลายสายพันธุ์ ที่เพาะปลูกในภาคอีสาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เกิดเป็น “ของดี” สะท้อนวิถีชีวิต วัฒนธรรม และภูมิปัญญาในพื้นที่ สู่การได้รับเครื่องหมาย “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์” หรือ “GI” ที่มาจากแหล่งผลิตเฉพาะเจาะจง ซึ่งไม่เพียงสร้างความภาคภูมิใจและสร้างรายได้ให้เกษตรกรและชุมชน แต่ยัง “ผงาด” เป็นสินค้าข้าวที่สามารถสร้างชื่อไกลในระดับโลก . 🌾🍚ข้าวฮางหอมทองสกลทวาปี ปลูกในพื้นที่อำเภอวาริชภูมิ อำเภอพังโคน และอำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร โดยนำมาผ่านกรรมวิธีเฉพาะตามหลักประเพณีการทำข้าวฮางที่สืบต่อกันมาในพื้นที่ดังกล่าว ข้าวกล้อง มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลคล้ำ (เหลืองทอง) เมล็ด หอม เรียว แกร่ง ใส . 🌾🍚ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ปลูกในฤดูนาปี ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด ยโสธร สุรินทร์ มหาสารคาม และศรีสะเกษ เมล็ดข้าวยาว เรียว มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ ข้าวสารมีเมล็ดใสและแกร่ง ข้าวสุกมีความหอมและนุ่ม ด้วยความที่พื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ส่งผลให้ข้าวเกิดความเครียดจึงหลั่งสารหอม ทำให้มีความหอมมากกว่าข้าวหอมมะลิในพื้นที่อื่น . 🌾🍚ข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์ ปลูกได้เฉพาะฤดูนาปี ในเขตพื้นที่อำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์ (เฉพาะตำบลนาโก และตำบลหนองห้าง) และกิ่งอำเภอนาคู (เฉพาะตำบลนาดูและตำบลบ่อแก้ว) จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อนึ่งสุกจะหอมและนุ่มไม่แฉ ติดมือ และข้าวที่นึ่งแล้วเมื่อเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดหลายชั่วโมงจนข้าวเย็น ยังคงรักษาความอ่อนนุ่มไว้ได้ . 🌾🍚ข้าวหอมมะลิอุบลราชธานี ปลูกในเขตพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ในฤดูนาปีข้าวมีเมล็ดเรียวยาว ถ้าเป็นข้าวขาวจะมีสีขาวใส เป็นเงา มันวาว มีท้องไข่น้อยกว่า 6% เมื่อนำมาหุงสุกจะมีกลิ่นหอมและมีความเหนียวนุ่ม . 🌾🍚ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ปลูกในจังหวัดสุรินทร์ในฤดูนาปี และมีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ เมล็ดข้าวขาว เรียวยาวขาวใส เป็นเงา เลื่อมมัน เมื่อหุงสุกมีลักษณะอ่อนนุ่ม ชุ่มลิ้น กินอร่อย จนได้คำขนานนามว่า “ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ หอม ยาว ขาว นุ่ม” . 🌾🍚ข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ ปลูกในฤดูนาปี บนพื้นที่ทุ่งสัมฤทธิที่มีชั้นหินเกลือรองรับอยู่ด้านล่างของพื้นที่ ครอบคลุมพื้นที่ 14 อำเภอของจังหวัดนครราชสีมา ทำให้ข้าวมีเมล็ดเรียวยาว มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ . 🌾🍚ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ ปลูกในฤดูนาปี บนพื้นที่ที่มีแร่ธาตุจากดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ ทำให้เมล็ดข้าวเรียวยาวเลื่อมมัน มีท้องไข่น้อย เมื่อหุงสุกจะเหนียวนุ่มไม่แข็งกระด้าง ครอบคลุมพื้นที่ 7 อำเภอ ของจังหวัดบุรีรัมย์ได้แก่ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ อำเภอละหานทราย อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอห้วยราช อำเภอประโคนชัย อำเภอปะคำ และอำเภอนางรอง …

🔎พามาเบิ่ง ข้าว GI แดนอีสาน กระจายอยู่ไหนบ้าง👨🏻‍🌾🌾🍚 อ่านเพิ่มเติม »

ปริมาณการผลิตและสายพันธ์ุหมูท้องถิ่นในกลุ่มประเทศ GMS

กัมพูชามีปริมาณการผลิตหมูต่อปีที่ 101,251.76 ตัน  อุตสาหกรรมการผลิตเนื้อหมูในกัมพูชาปัจจุบันมีการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เนื่องจากการเลี้ยงหมูในกัมพูชาเองยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีประชากรใกล้เคียงกัน การขยายการเลี้ยงหมูของ CP Cambodia เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการลงทุนดังกล่าว มุ่งเน้นการปรับปรุงเทคนิคการเลี้ยงและการจัดการฟาร์มเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดการนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศ พันธ์ุหมูท้องถิ่นในกัมพูชา มีดังนี้ พันธุ์หมูเขมรแดง (Khmer Rouge): พันธุ์หมูเขมรแดงเป็นพันธุ์หมูที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกัมพูชา เนื่องจากมีความทนทานและต้านทานโรคได้ดี อย่างไรก็ตาม พันธุ์นี้มีนิสัยก้าวร้าวมาก จึงไม่เหมาะกับการเลี้ยงในที่แคบกับคนหรือสัตว์อื่น ๆ พันธุ์หมูกัมพูชาขาว (Cambodian White): พันธุ์หมูกัมพูชาขาวเป็นอีกพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมในกัมพูชา มีความก้าวร้าวน้อยกว่าหมูเขมรแดง แต่มีโครงสร้างร่างกายที่แข็งแรงและต้านทานโรคได้ดี พันธุ์หมูแม่น้ำโขงแดง (Mekong Red): พันธุ์หมูแม่น้ำโขงแดงเป็นหมูขนาดเล็กจากเวียดนาม แม้ว่าจะไม่ต้านทานโรคได้ดีเท่ากับสองพันธุ์ที่กล่าวถึงข้างต้น แต่ก็มีนิสัยสงบและง่ายต่อการเลี้ยง   จีนมีปริมาณการผลิตหมูต่อปีที่ 56,321,097.32 ตัน  ประเทศจีน เป็นประเทศที่ผลิตและบริโภคเนื้อหมูมากที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา การผลิตเนื้อหมูสเกลขนาดใหญ่ได้เข้ามาแทนที่ระบบการผลิตเนื้อหมูที่เคยทำโดยครอบครัว การใช้เทคโนโลยีการผสมพันธุ์ การให้อาหาร การฉีดวัคซีน และการจัดการแบบสมัยใหม่มีการใช้อย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยยังคงมีสัดส่วนมากในอุตสาหกรรมนี้ การผลิตเนื้อหมูในจีนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการใช้เทคโนโลยีอีกในอนาคต จากการเข้ามาของระบบปฎิบัตการ AI ในการช่วยบริหารและควบคุมคุณภาพ แต่การผลิตเนื้อหมูในจีนปัจจุบันยังมีความท้าทายในมิติการผลิตอย่างไรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน พันธ์ุหมูท้องถิ่นในจีน มีดังนี้ หมูไท่หู (TAIHU): หมูไท่หูมาจากหุบเขาไท่หู ใกล้กับเซี่ยงไฮ้ ในพื้นที่การเกษตรที่มีชื่อเสียง มีสภาพอากาศกึ่งเขตร้อนชื้น ฝนตกเหมาะสม และผลผลิตพืชสูง หมูไท่หูแบ่งออกได้หลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ เหม่ยซาน เฟิงจิง เจียซิงดำ และเอ่อหัวเหลียน หมูไท่หูมีหัวใหญ่ หน้าผากกว้าง ผิวหนาและเหี่ยวย่น หูและปากใหญ่ตกลง มีขนสีดำบนตัวที่หนาและเป็นกลุ่ม หมูเหม่ยซานมีขนาดตัวใหญ่ที่สุดและมีความสามารถในการสืบพันธุ์สูง หมูจินหัว (JINHUA): หมูจินหัวมาจากภาคกลางของจีนในเขตที่มีอากาศชื้นและอบอุ่น เป็นพันธุ์ขนาดกลาง มีลำตัวสีขาว หัวและสะโพกสีดำ จึงถูกเรียกว่า “สองปลายดำ” หมูจินหัวเจริญเติบโตเร็วและมีความอุดมสมบูรณ์สูง สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์ ทำน้ำซุป และผลิตแฮม หมูจินหัวมีไขมันสะสมมาก ทำให้เนื้อมีรสชาติหวาน แฮมจินหัวเป็นที่รู้จักทั่วโลกในเรื่องรสชาติและสีชมพูอ่อน   ลาวมีปริมาณการผลิตหมูต่อปีที่ 101,253 ตัน  ในประเทศลาว เนื้อหมูเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญอันดับสองรองจากปลา และความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี การผลิตหมูในเขตเมืองเวียงจันทน์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ตั้งแต่ระบบการผลิตขนาดใหญ่เข้ามาแทนที่การผลิตแบบครัวเรือน ในปี 2020 ลาวมีจำนวนหมูประมาณ 4.3 ล้านตัว โดย 91% เป็นหมูพื้นเมือง และ 54% ของหมูทั้งหมดถูกเลี้ยงในเวียงจันทน์ ราคาเนื้อหมูเฉลี่ยในปี 2020 อยู่ที่ 46,000 กีบ/กก. เพิ่มขึ้น 22% จากปี 2019 และ 11% จากปี …

ปริมาณการผลิตและสายพันธ์ุหมูท้องถิ่นในกลุ่มประเทศ GMS อ่านเพิ่มเติม »

12 นักกีฬาไทย ตะลุยโอลิมปิก จากแดนอีสาน

จุฑามาศ รักสัตย์ : มวยสากล รุ่น 50 กก.หญิง  โอลิมปิก 1 สมัย : 2024 ภูมิลำเนา: บุรีรัมย์    ใบสน มณีก้อน : มวยสากล รุ่น 75 กก. หญิง โอลิมปิก 2 สมัย : 2020, 2024 ภูมิลำเนา: จ. กาฬสินธุ์     จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง : มวยสากล รุ่น 66 กก. หญิง โอลิมปิก 1 สมัย : 2024 ภูมิลำเนา: จ. หนองคาย   บรรจง สินศิริ : มวยสากล รุ่น 63.5 กก. ชาย โอลิมปิก 1 สมัย : 2024 ภูมิลำเนา : จ. ศรีสะเกษ   วีระพล จงจอหอ : มวยสากล รุ่น 80 กก. ชาย โอลิมปิก 1 สมัย : 2024 “วีระพล” หลานสมจิตร จงจอหอ ภูมิลำเนา : จ. นครราชสีมา   อรวรรณ พาระนัง : เทเบิลเทนนิส หญิงเดี่ยว, ทีมหญิง โอลิมปิก 2 สมัย : 2020, 2024 ภูมิลำเนา : จ. อุบลราชธานี   “เมย์” รัชนก อินทนนท์ : แบดมินตัน ประเภทหญิงเดี่ยว โอลิมปิก 4 สมัย : 2012, 2016, 2020 และ2024 ภูมิลำเนา : จ. ยโสธร   สุภัค จอมเกาะ : แบดมินตัน …

12 นักกีฬาไทย ตะลุยโอลิมปิก จากแดนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ถนนไปที่ไหน ความเจริญไปที่นั่น จาก “สุดบรรทัด-เจนจบทิศ สู่ มิตรภาพ” เส้นทางประตูสู่อีสาน

เราสัญจรบน ถนนมิตรภาพมานาน แต่น้อยคนจะรู้ที่มาของชื่อ “มิตรภาพ” นั้นหมายถึงมิตรภาพระหว่างใคร บ้างก็ว่าเป็น มิตรภาพไทย-ลาว แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ และยิ่งไปกว่านั้น ก่อนจะมาเป็นชื่อ “มิตรภาพ” ทางหลวงสายนี้ยังเคยใช้ชื่ออื่นมาก่อนด้วย ประวัติความเป็นมาของ ถนนมิตรภาพ ถนนมิตรภาพเป็นทางหลวงที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางสหรัฐในด้านงบประมาณการก่อสร้าง เทคนิควิชาการในการก่อสร้าง นับเป็นทางหลวงสายแรกที่ก่อสร้างถูกต้องตามแบบมาตรฐานการก่อสร้างทางหลวงทุกขั้นตอน และเป็นทางหลวงสายแรกของประเทศไทยที่มีผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟอลต์คอนกรีต โดยเปิดให้บริการเมื่อปี พ.ศ. 2508 คณะรัฐมนตรี อนุมัติให้ตั้งชื่อถนนช่วงสระบุรี–ปากช่อง–นครราชสีมาว่า “ถนนสุดบรรทัด” และในช่วงนครราชสีมา–ขอนแก่น–อุดรธานี–หนองคายได้รับการตั้งชื่อถนนว่า “ถนนเจนจบทิศ” เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2493 ก่อนที่จะได้รับการสนันสนุนการก่อสร้างจากสหรัฐ ซึ่งเริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2498 จากสระบุรีจนถึงนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 148 กิโลเมตร โดยการสร้างถนนจากสระบุรี-นครราชสีมา ระยะแรกเริ่มต้นจากจังหวัดสระบุรี ไปสิ้นสุดที่จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง 148 กิโลเมตร จะมีช่วงถนนผ่านเข้าสู่จังหวัดนครราชสีมา ผ่านอำเภอปากช่อง เป็นอำเภอแรกสุดของการเดินทางจากถนนมิตรภาพเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, สีคิ้ว, สูงเนิน, และอำเภอเมืองนครราชสีมา ผ่านตัวเมืองนครราชสีมา จากนั้นเส้นทางออกจากเมืองขึ้นไปทางทิศเหนือ ผ่านอำเภอเฉลิมพระเกียรติ, โนนสูง, คง, โนนแดง, สีดา และอำเภอบัวลาย ก่อนเข้าสู่จังหวัดขอนแก่น ต่อมาได้สร้างต่อไปยังจังหวัดหนองคาย รวมเป็นระยะทาง 509 กิโลเมตร ถนนสายนี้เริ่มเปิดใช้เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2508 นับว่าถนนมิตรภาพเป็นถนนสายหลักที่สามารถเดินทางไปสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามสำนวนที่ว่า เปิดประตูสู่อีสาน เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2498 โดยรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับความช่วยเหลือจากองค์การบริหารวิเทศกิจแห่งสหรัฐอเมริกา (USOM) ในด้านงบประมาณการก่อสร้าง เทคนิควิชาการในการก่อสร้าง พร้อมทั้งได้จ้างผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันมาช่วยให้คำแนะนำ ส่วนการออกแบบและการก่อสร้างอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมทางหลวง นับเป็นทางหลวงสายแรกที่ก่อสร้างถูกต้องตามแบบมาตรฐานการก่อสร้างทางหลวงทุกขั้นตอน และเป็นทางหลวงสายแรกของประเทศไทยที่มีผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟอลต์คอนกรีต เพื่อแสดงถึงมิตรภาพของประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาในการก่อสร้างถนนร่วมกัน จึงขนานนามถนนสายนี้เป็น ถนนมิตรภาพ โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พระอริสริยศในขณะนััน) เสด็จพระราชดำเนินมาทรประกอบพิธีเปิดถนนมิตรภาพบริเวณกิโลเมตรที่ 33 อำเภอมวกเล็ก จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 และมีพิธีมอบถนนให้ประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500  และได้เปลี่ยนชื่อ ขนานนามใหม่ให้ถนนสายนี้ว่า ถนนมิตรภาพ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 เพื่อแสดงถึงมิตรภาพของประเทศไทยกับสหรัฐในการก่อสร้างถนนร่วมกัน โดยมีพิธีมอบถนนให้ประเทศไทย ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2501   ป้ายอนุสรณ์ ความร่วมมือ มิตรภาพ สหรัฐอเมริกา-ไทย   ถนนมิตรภาพ ช่วงลำตะคอง โคราชในอดีต เมื่อปี พ.ศ.2514 อนุสาวรีย์จำลอง อนุสรณ์ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหรัฐอเมริกาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 เดิม …

ถนนไปที่ไหน ความเจริญไปที่นั่น จาก “สุดบรรทัด-เจนจบทิศ สู่ มิตรภาพ” เส้นทางประตูสู่อีสาน อ่านเพิ่มเติม »

“ปลาหมอคางดำ” ชี้แพร่ถึงอีสานยากแต่ยังมีโอกาส นักวิชาการ มข.แนะทางแก้เอเลี่ยนสปีชีส์ “เจอต้องจับ”

“ปลาหมอคางดำ” กลายเป็นคำค้นหายอดนิยมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้บางคนอาจสงสัยว่าปลาชนิดนี้คือออะไร มีที่มาจากไหน รวมถึงมีประโยชน์หรืออันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร วันนี้ 16 กรกฎาคม 2567 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชวนมารู้จักกับ “ปลาหมอคางดำ” พร้อมไขคำตอบวิธีแก้ไขปัญหาการระบาดของเอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) กับ ผศ.ดร.พรเทพ เนียมพิทักษ์ หัวหน้าสาขาวิชาประมง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผศ.ดร.พรเทพ เนียมพิทักษ์ หัวหน้าสาขาวิชาประมง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ ปลาหมอคางดำ (Blackchin tilapia) ว่า มีลักษณะคล้ายปลาหมอเทศ  ปลานิล แต่บริเวณใต้คางจะมีสีดำ และโดยส่วนใหญ่มีขนาดเล็กกว่า ปลาชนิดนี้ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปแอฟริกา กระทั่งถูกนำเข้ามายังประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนจนเกิดการแพร่ระบาด แต่ยังไม่เป็นที่สนใจเพราะยังมีจำนวนไม่มากและยังไม่มีผลกระทบต่อการทำการประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จนไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น  ปัจจุบันข้อมูลจากกรมประมงที่มีการรายงาน  พบว่า ปลาหมอคางดำ มีการแพร่กระจายออกไปแล้ว 13 จังหวัด ตั้งแต่อ่าวไทยรูปตัวกอ เช่น จังหวัดระยอง  ลงไปถึงทางใต้ในจังหวัดสงขลา “จะสังเกตว่า ปลาหมอคางดำอยู่บริเวณเขตชายฝั่งของประเทศไทยและแม่น้ำ ลำคลองที่เชื่อมต่อกับชายฝั่งเป็นหลัก โดยปัจจัยที่มีการแพร่กระจาย คือ ปลาหมอคางดำสามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่มีความเค็มตั้งแต่ 0-45 PPT คือ อยู่ได้ทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม และอาศัยอยู่ได้ดีมากในบริเวณน้ำกร่อย  อีกปัจจัย คือ ปลาหมอคางดำมีการฟักไข่ในปาก โดยเฉลี่ยครั้งหนึ่งจะมีไข่ 50-300 อาจจะถึง 500 ฟอง ขึ้นอยู่กับขนาด ซึ่งตัวผู้จะดูแลตัวอ่อนค่อนข้างดี ทำให้อัตราการรอดตายของลูกสูงขึ้น คอกหนึ่งอาจจะรอดถึง 90-95% และเมื่อลูกออกมาจากปากก็จะตัวโตพอหาอาหารได้เองแล้ว”   ภาพ : เว็บไซต์กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผศ.ดร.พรเทพ กล่าวต่อว่า สำหรับปลาหมอคางดำนั้น มีประโยชน์ คือ สามารถนำมาเป็นอาหารให้มนุษย์บริโภคได้ ทั้งผลิตเป็นปลาเค็มแดดเดียว น้ำปลา น้ำปลาร้า หรือนำไปเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์อย่างการทำปลาป่น หรือนำไปทำเป็นปลาเหยื่อเลี้ยงปลาเนื้อ แต่อีกด้านปลาหมอคางดำก็มีลักษณะพิเศษ คือ หาอาหารเก่ง กินได้ทั้งพืชและสัตว์ ทำให้ไปแย่งอาหารปลาธรรมชาติ นอกจากนี้ ปลาหมอคางดำยังไปทำลายตัวอ่อนของสัตว์น้ำ กินได้ทั้งลูกกุ้ง ลูกปู ลูกปลา ทำให้สัตว์น้ำในธรรมชาติก็ค่อย ๆ ลดลงไป และตัวมันก็แพร่พันธุ์เร็วและมากยิ่งขึ้น สำหรับโอกาสที่ปลาหมอคางดำจะแพร่มายังภาคอีสานหรือไม่นั้น  หัวหน้าสาขาวิชาประมง ระบุว่า ยังมีโอกาสอยู่ แต่การจะแพร่ตามธรรมชาติคงต้องใช้เวลา เนื่องจากภูมิประเทศ และระบบลำน้ำของภาคอีสานไม่ได้เชื่อมต่อกับภาคกลางมากนัก ซึ่งการแพร่พันธุ์จะเน้นแพร่มาจากแม่น้ำ ลำคลอง ซึ่งระบบลำน้ำปกติแล้วจะไหลออกไปยังแม่น้ำโขง ดังนั้น หากจะแพร่มาภาคอีสานได้อาจจะเข้ามาทางแม่น้ำโขง แต่ตัวการที่ทำให้เกิดการแพร่พันธุ์ คือ มนุษย์ที่นำพาปลาหมอคางดำเข้ามา จุดนี้เป็นส่วนที่ต้องให้ความสำคัญ “คนเราต้องการอาหารโปรตีน ภาคอีสานการเลี้ยงสัตว์น้ำมันยาก เพราะดินไม่เหมาะสม การเก็บน้ำไม่อยู่ สารพัดอย่าง เพราะฉะนั้นแหล่งโปรตีนเราก็ต้องการ คนอีสานก็ชอบ ถ้าเกิดมาอยู่อีสานก็อาจจะหมดเลยก็ได้ในอนาคต เหมือนหอยเชอรี่ที่เมื่อก่อนก็เป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ที่ระบาดไปทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันในอีสานเริ่มขาดแคลนจนมีการเลี้ยงเพราะเป็นเมนูโปรดของหลายคน แต่ทางที่ดีคือ อย่ามีใครนำมาแพร่กระจายในภาคอีสานจะดีที่สุด ” แนะ 3 วิธีแก้ปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติ ผศ.ดร.พรเทพ แนะนำว่า วิธีการแก้ไขปัญหาเมื่อเผชิญกับเอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) อย่างปลาหมอคางดำ สิ่งสำคัญ คือ “เจอต้องจับ” เพื่อไม่ให้แพร่ระบาดไปยังแหล่งน้ำอื่น ควบคุมไม่ให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้ อีกวิธี คือ …

“ปลาหมอคางดำ” ชี้แพร่ถึงอีสานยากแต่ยังมีโอกาส นักวิชาการ มข.แนะทางแก้เอเลี่ยนสปีชีส์ “เจอต้องจับ” อ่านเพิ่มเติม »

“มูเตลู” การท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม จะต่อยอดการท่องเที่ยวอีสานได้อย่างไร?

เมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวหลายคนอาจนึกถึงการเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ การพักผ่อนที่โรงแรมหรู หรือการชมธรรมชาติที่สวยงาม แต่ยังมีมิติหนึ่งของการท่องเที่ยวที่น่าสนใจและเปี่ยมไปด้วยความลึกลับน่าค้นหา นั่นคือการท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางจิตวิญญาณและพิธีกรรมต่าง ๆ ในท้องถิ่น หนึ่งในนั้นคือ “มูเตลู” ความเชื่อที่ลึกซึ้งและพิธีกรรมที่น่าหลงใหลที่ถักทอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในหลายชุมชน ทั้งยังเป็นสะพานเชื่อมโยงประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน มาร่วมค้นหามิติของมูเตลูและสัมผัสความงดงามของการท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรมไปพร้อมกับ ดร.ริณา ทองธรรมชาติ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการท่องเที่ยว คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผ่านบทความนี้ไปด้วยกัน (ภาพที่ 1 : ดร.ริณา ทองธรรมชาติ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการท่องเที่ยว คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ความหมายและมิติของความเชื่อใน “มูเตลู” “มูเตลู” คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ เรื่องลี้ลับ ของขลัง ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ การดูไพ่ การเสริมดวงและโชคชะตา การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในปัจจุบัน “มูเตลู” เป็นการหลอมรวมความเชื่อพุทธ พราหมณ์ การนับถือผี และสิ่งเร้นลับเข้าด้วยกัน และกลายเป็นความเชื่อที่เสริมกำลังใจผู้นับถือบูชาให้สมหวังในสิ่งที่มุ่งหวัง เช่น มูเตลูด้านการงาน การเงิน และความรัก (ThaiPBS, 2566) โดยความเชื่อในมูเตลูมีรากฐานมาจากความศรัทธาในวิญญาณของบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ถูกนับถือในท้องถิ่น อาทิ ผีบ้าน ผีเรือน และผีฟ้า การปฏิบัติตามความเชื่อเหล่านี้มักจะมีพิธีกรรมและประเพณีที่เข้มงวด เช่น พิธีสู่ขวัญ พิธีไหว้ครู พิธีแห่นางแมว และบุญบั้งไฟ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงความศรัทธา แต่ยังเป็นวิธีการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย (ภาพที่ 2 : ประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร. ราชกิจ กรรณิกา, 2562) ดังนั้นคำว่า “มูเตลู” นำมาอธิบายกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ได้เคร่งทางศาสนา และในปัจจุบันการมูเตลูถูกมองผ่านเครื่องประดับหรือเครื่องรางของขลังทั้ง พระเครื่อง หินสี สร้อยข้อมือมงคล นอกจากนี้ยังมีการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พราหมณ์ พญานาค พระพิฆเนศ รวมถึงผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การทำบุญ การไหว้พระ การสวดมนต์ หรือแม้กระทั่งการดูไพ่ยิปซี ภาพหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เป็นรูปเทพต่าง ๆ  หรือกิจกรรมที่ทำแล้วสบายใจ ไม่เครียด เข้าถึงง่ายและเหมือนแฟชั่นหรือการตามเทรนด์ แทนการเข้าวัดหรือสถานที่ทางศาสนานั่นเอง (ภาพที่ 3 : การดูไพ่ยิปซี. สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 2566) มูเตลูกับการท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม Paranormal Tourism หรือ การท่องเที่ยวเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นการเยี่ยมชมสถานที่ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับผี วิญญาณ หรือปรากฏการณ์ลี้ลับต่าง ๆ นักท่องเที่ยวที่สนใจในรูปแบบการท่องเที่ยวลักษณะนี้ ต้องการสัมผัสหรือเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวและตำนานที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ต่าง ๆ เหล่านั้น ในประเทศไทยมีการท่องเที่ยวเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอยู่ทุกพื้นที่ทุกจังหวัด โดยเป็นการเข้าร่วมพิธีกรรมและการบูชา เช่น การไหว้พระ การทำบุญ การสวดมนต์ การขอพรจากพระพิฆเนศ เจ้าแม่กวนอิม หรือพญานาค รวมถึงการเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ …

“มูเตลู” การท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวัฒนธรรม จะต่อยอดการท่องเที่ยวอีสานได้อย่างไร? อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top