SHARP ADMIN

ชวนมาเบิ่ง! บริษัทเหล่านี้ดําเนินกิจการมากี่ปี ปัจจุบันถึงมีรายได้มากสุดของจังหวัดในอีสาน

จุดเริ่มต้นของฟาร์มโชคชัย เรื่องราวของฟาร์มแห่งนี้เริ่มต้นจาก คุณโชคชัย บูลกุล ชายหนุ่มผู้หลงใหลในวิถีชีวิตแบบ “คาวบอย” ความฝันของเขาพาให้เขาเดินทางไปศึกษาต่อด้านสัตวบาลที่ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐอเมริกา เพื่อสานต่อความหลงใหลให้กลายเป็นอาชีพ คุณโชคชัยเป็นบุตรชายของ นายมา บูลกุล และ นางบุญครอง บูลกุล เจ้าของอาณาจักรโรงสีข้าวและห้างสรรพสินค้า “มาบุญครอง” (MBK) ที่มีชื่อเสียงใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะเติบโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ แต่เส้นทางที่เขาเลือกเดินนั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เมื่อกลับมาจากสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2500 แม่ได้มอบรถสปอร์ตเป็นของขวัญ เขาขับรถท่องไปตามถนนมิตรภาพจนมาถึงอำเภอปากช่อง และตกหลุมรักธรรมชาติอันงดงามของ ป่าดงพญาไฟ ความประทับใจครั้งนั้นทำให้เขาตัดสินใจสร้างฟาร์มของตัวเอง เขาขอเงินลงทุนจากครอบครัว 1 แสนบาท แต่ได้รับเพียง 2 หมื่นบาท เท่านั้น ด้วยความมุ่งมั่น เขาจึงกลับไปช่วยบริหารธุรกิจโรงสีของครอบครัวเพื่อเก็บเงินสะสมจนสามารถซื้อที่ดินและเริ่มต้นเป็นคาวบอยได้ตามที่ฝัน จากฟาร์มเล็กๆ สู่ธุรกิจร้อยล้าน ชีวิตของคุณโชคชัยไม่ได้ราบรื่นเสมอไป หลังจากทำฟาร์มได้ 7 ปี เขาพบว่าหากดำเนินกิจการแบบเดิมต่อไป ฟาร์มอาจไปไม่รอด เขาจึงตัดสินใจทำอาชีพเสริมในด้านการก่อสร้าง หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญคือการเปิดร้านอาหาร “โชคชัยสเต็กเฮ้าส์” ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2514 บนชั้น 23 ของ “ตึกโชคชัย” ซึ่งเคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม ฟ้าก็ยังคงไม่เข้าค้างเข้า เมื่อสัญญาจ้างก่อสร้างสนามบิน 8 แห่งของสหรัฐฯ ถูกยกเลิก เพราะสหรัฐฯ ถอยทัพจากสงครามเวียดนาม ด้วยปัญหาทางการเงิน ตึกโชคชัยถูกขายไป และปัจจุบันกลายเป็น สำนักงานใหญ่ของธนาคารยูโอบี (UOB) แต่แม้จะสูญเสียทรัพย์สินบางส่วน ธุรกิจฟาร์มโชคชัยกลับเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟาร์มโชคชัยในปัจจุบัน ปัจจุบัน ฟาร์มโชคชัย มีพื้นที่ประมาณ 20,000 ไร่ และโคนมกว่า 3,000 ตัว นอกจากนี้ยังมีบริษัทในเครืออีก 6 บริษัท ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายด้าน ภายใต้การบริหารของ คุณโชค บูลกุล ทายาทรุ่นที่สอง ธุรกิจครอบครัวแห่งนี้เติบโตขึ้นจากความฝันของผู้เป็นพ่อ การวางแผนบริหารของผู้เป็นแม่ และการสืบทอดเจตนารมณ์โดยลูกชาย ทุกองค์ประกอบเหล่านี้ช่วยผลักดันให้ “ฟาร์มโชคชัย” กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจที่แข็งแกร่ง และพร้อมปรับตัวเพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคง หากพูดถึงฟาร์มโชคชัย ธุรกิจหลักที่หลายคนจะนึกถึงกันนอกจากฟาร์มโคนมได้แก่ ธุรกิจอาหารของร้านโชคชัยสเต็กเฮ้าส์ จากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2514 และในปี พ.ศ. 2529 ได้ขยายสาขามายังฟาร์มโชคชัย ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในจุดแวะพักยอดนิยมสำหรับผู้ที่เดินทางผ่านปากช่อง และต่อมาในปี พ.ศ. 2534 ได้เปิดสาขาเพิ่มที่รังสิต จนกลายเป็นร้านอาหารที่ได้รับความนิยมและมีลูกค้าประจำที่พร้อมกลับมาซ้ำอีก ความพิเศษของโชคชัยสเต็กเฮ้าส์อยู่ที่คุณภาพของเนื้อวัว ซึ่งมาจากวัวที่เลี้ยงเองในฟาร์มโชคชัย คัดสรรสายพันธุ์อย่างพิถีพิถัน พร้อมด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูงและกรรมวิธีการปรุงที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด รสชาติของสเต็กที่ถูกปรุงออกมาอย่างสมบูรณ์แบบนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานที่ทำให้ร้านยังคงครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน อีกหนึ่งธุรกิจที่หลายคนคุ้นเคยกันดีเมื่อเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อนั่นคือนมแบรนด์ฟาร์มโชคชัย แต่หนึ่งสิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบคือนมแบรนด์ฟาร์มโชคชัยนั้นไม่ใช่ของฟาร์มโชคชัยแล้ว ผลจากในช่วงที่คุณโชคชัยทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จัดหาเครื่องจักรกล และอุปกรณ์ก่อสร้างให้แก่กองทัพอากาศอเมริกัน ในปี 2512 บริษัทได้บุกเบิกกิจการฟาร์มโคเนื้อจนถึงปี 2519 ฟาร์มโชคชัยประสบปัญหาการผลิต ทำให้ผันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจโคนม […]

ชวนมาเบิ่ง! บริษัทเหล่านี้ดําเนินกิจการมากี่ปี ปัจจุบันถึงมีรายได้มากสุดของจังหวัดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง พระพุทธรูปไม้ ทั้ง 7 ปางในอีสาน

พามาเบิ่งตัวอย่าง พระพุทธรูปไม้ ทั้ง 7 ปางในอีสาน . พระพุทธรูปไม้ในภาคอีสานเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความศรัทธาและฝีมือของบรรพบุรุษไทย การแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อพระพุทธเจ้า แต่ยังเป็นการสืบสานศิลปะและวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณ ในบทความนี้ เราจะพาท่านไปทำความรู้จักกับพระพุทธรูปไม้ทั้ง 7 ปางที่พบในภาคอีสาน ซึ่งแต่ละปางมีความหมายและประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ   ปางพิศดารปาง: เป็นอิริยาบถที่พระพุทธองค์เสด็จไปยังสำนักงานชฏิล บริวารริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา พระพุทธองค์สามารถเสด็จจงกรมอยู่ได้ในกลางแจ้งท่ามกลางสายฝนโดยไม่เปียก ทำให้คนทั้งหลายยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์ ปางนี้สะท้อนถึงพลังอำนาจและความเมตตาของพระพุทธเจ้าในการโปรดสัตว์   ปางห้ามญาติ: แสดงถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปห้ามสงครามการแย่งน้ำระหว่างพระญาติฝ่ายพระบิดา (กษัตริย์ชาวศากยะ) กับพระญาติฝ่ายพระมารดา (กษัตริย์ชาวโกลิยะ) พระพุทธรูปไม้ปางห้ามญาติพบในภาคอีสานจำนวนเพียง 5 องค์เท่านั้น สะท้อนถึงความหายากและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของปางนี้   ปางประทับยืน:เป็นอิริยาบถที่พระพุทธองค์เสด็จออกโปรดสัตว์ ณ หน้ามุขพระคันธกุฏิ หรือบางครั้งอาจเป็นปางประทับยืนบำเพ็ญสมาธิ ปางนี้แสดงถึงความพร้อมในการเผยแผ่ธรรมและความสงบในจิตใจของพระพุทธเจ้า   ปางพิจารณาชราธรรม: แสดงถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ประทับจำพรรษา ณ บ้านเวฬุวคาม ในพรรษานั้นพระองค์ทรงประชวรหนัก แต่สามารถขับไล่พยาธิทุกข์ให้ระงับลงด้วยอิทธิบาทภาวนา ปางนี้สอนให้เราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิตและการพิจารณาธรรมเพื่อความหลุดพ้น   ปางสมาธิราบ (ปางตรัสรู้): เป็นอิริยาบถนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา โดยพระหัตถ์ขวาจะวางทับพระหัตถ์ซ้าย ปางนี้พบมากเป็นอันดับสองรองจากปางมารวิชัย โดยพบถึง 180 องค์ในภาคอีสาน แสดงถึงความสำคัญของการบำเพ็ญสมาธิและการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า   ปางมารวิชัย: เหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะมารผจญ โดยประทับนั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์ นิ้วชี้พระแม่ธรณีเป็นพยานในการเอาชนะมาร บางครั้งเรียกว่าปางสะดุ้งมาร ปางนี้นิยมทำเป็นพระประธานในโบสถ์ และพบมากที่สุดในภาคอีสานถึง 1,243 องค์ จากพระไม้ทั้งหมด 1,669 องค์   ปางนาคปรก: พระพุทธจริยาที่เสด็จประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขภายในวงขนดของพญานาคที่ขนดแวดล้อมพระกาย ปางนี้สะท้อนถึงการปกป้องและความสงบสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม   พระพุทธรูปไม้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธา แต่ยังเป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนถึงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของช่างไม้ในอดีต ในปัจจุบันมีการรวบรวมและจัดแสดงพระพุทธรูปไม้ในพิพิธภัณฑ์และวัดต่างๆ ในภาคอีสาน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมนี้สืบไป . ที่มา: ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #วิถีไทบ้าน #ISANCulture #พระพุทธรูปไม้  #พระพุทธรูปในภาคอีสาน #พระพุทธรูปไม้ในภาคอีสาน #พระพุทธรูป #พระพุทธรูปไม้ #ศาสนาพุทธ #องค์พระปฎิมา

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง พระพุทธรูปไม้ ทั้ง 7 ปางในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ทำไมโคราช ถึงถูกเสนอให้เป็น เมืองหลวงแห่งที่ 2 ในวันที่ กรุงเทพฯ อาจจมบาดาล

โคราช ถูกเสนอเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 หลังถูกพูดถึงอีกครั้ง ในการประชุมแก้ปัญหาวิกฤต กทม. เมืองหลวงที่กำลังจะจมน้ำจากภาวะโลกร้อน หลังจากมีข่าว กระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และ สรุปผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ แยกเป็นประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ในส่วนของแผนการจัดน้ำที่ดี กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับน้ำและกักเก็บน้ำเพิ่มเติมสำหรับแผนการจัดการน้ำในระยะกลางแล้ว และได้ดำเนินการก่อสร้างระบบระบายน้ำ ซึ่งเป็นอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่แล้ว 4 แห่ง อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 4 แห่ง และมีแผนสร้างคันกั้นน้ำด้านตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อการจัดการน้ำในระยะยาวอีกด้วย ในส่วนของโครงสร้างการป้องกันชายฝั่งกรุงเทพมหานคร ได้จัดทำโครงสร้างแบบแข็ง (เขื่อนกันคลื่น/กำแพงกันคลื่น) และแบบอ่อน (เนินทราย/ป่าชายเลน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดสมุทรสาคร และกระทรวงคมนาคม ได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลียทางด้านวิชาการด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะระบบระบายน้ำ การย้ายเมืองหลวง จากกรุงเทพมหานครไป จังหวัดนครราชสีมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า การการย้ายเมืองหลวงจะต้องมีการทำประชามติ และประเมินผลกระทบ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการและการจ้างงาน และกระทบต่อวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมประเพณีของประชาชน ดังนั้น การสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หรือดำเนินการเพิ่มเมืองศูนย์กลาง ระดับภาคและศูนย์กลางรองระดับภาคเพื่อสร้างสมดุลให้แก่ระบบเมืองของประเทศ น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า ความเหมาะสมของจังหวัดนครราชสีมา ที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย โดยปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมือง และกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว เช่น โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติให้เกิดความมั่นคงและความสมดุลกับความต้องการน้ำในอนาคต และศึกษาแนวทางการย้ายเมืองหลวงของประเทศอื่นเป็นแนวทางและเทียบเคียงด้วย การศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษา เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เช่น การจัดทำ Sea barrier ได้แก่ การพัฒนาเขื่อน ประตูกั้นปากแม่น้ำ ประตูระบายน้ำ คันกั้นน้ำทะเล รวมทั้งการขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาแนวทางการป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา และการศึกษาการคาดการณ์อนาคต ระดับน้ำที่สูงขึ้นในแต่ละช่วงปี เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาให้เกิดความครอบคลุมและควรศึกษาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและปัญหาอย่างต่อเนื่อง การศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า ควรมีการจัดทำฉากทัศน์ เพื่อเปรียบเทียบ สถานการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางเลือกและผลได้ผลเสียเปรียบเทียบ และควรศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นให้รอบคอบเพื่อกำหนดแผนป้องกัน แก้ไข และการจัดการแบบปรับตัว (Adaptive Management) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การสนับสนุนการวิจัยพัฒนาในการออกแบบอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า ควรมีการศึกษาการออกแบบอาคารใหม่ และการปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมแบ่งตามประเภทอาคารที่ใช้งานรวมถึงขนาดและความสูงของอาคาร ควรมีการปรับปรุง Rule Curve ของแต่ละอาคารบังคับน้ำและอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งควรเตรียมการด้านกฎหมายและการสร้างความตระหนักให้หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและประชาชน ควบคู่กันไป และควรมีการปรับกฎหมายสิ่งก่อสร้างให้สอดรับกับการปรับโครงสร้างอาคารสถานที่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ประชุมครม.ได้มีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนจากนี้จะแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบตามขั้นตอนต่อไป ล่าสุด 4/2/2568 : ครม.รับฟังข้อเสนอ เมืองหลวงแห่งที่ 2 หนีวิกฤตกรุงเทพฯ จมน้ำ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รัฐบาลได้มีการพิจารณาหาทางออกอย่างเป็นรูปธรรม หนึ่งในแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การย้ายเมืองหลวงไปที่จังหวัดนครราชสีมา หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “โคราช” ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากที่กระทรวงมหาดไทยรวบรวมความคิดเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ และเสนอให้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2

ทำไมโคราช ถึงถูกเสนอให้เป็น เมืองหลวงแห่งที่ 2 ในวันที่ กรุงเทพฯ อาจจมบาดาล อ่านเพิ่มเติม »

จีนลงทุนในไทย อุตสาหกรรมไหนกำลังมาแรง

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของจีนในไทยในหลายด้าน ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ผลกระทบเชิงบวก การย้ายฐานการผลิต: สงครามการค้าทำให้บริษัทจีนหลายแห่งตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้นจากสหรัฐฯ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตนี้ เนื่องจากมีปัจจัยดึงดูดหลายประการ เช่น ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ โครงสร้างพื้นฐานที่ดี แรงงานที่มีฝีมือ และนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูด การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่: บริษัทจีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย การขยายตลาด: บริษัทจีนใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้กับประเทศไทย ผลกระทบเชิงลบ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น: การเข้ามาลงทุนของบริษัทจีนอาจทำให้เกิดการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นกับธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การลงทุนบางโครงการอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยมลพิษ หรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน การพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป: ประเทศไทยอาจพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงในอนาคต หากความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไป ไทยอาจโดนผลพวงจากการกีดการการค้าและการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ: โดยสหรัฐฯ จะใช้ข้ออ้างที่จีนย้ายการลงทุนมาไทยเพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ และสินค้าดั่งเดิมที่ผลิตโดยผู้ประกอบการไทยอาจได้รับผลกระทบจากการกีดกันทางการค้า แนวทางการรับมือ รัฐบาลไทยควรมีนโยบายที่รอบคอบและระมัดระวังในการรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้า และการลงทุนของจีน โดยมีแนวทางดังนี้: ส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณภาพ: รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุน SMEs ไทย: รัฐบาลควรให้การสนับสนุน SMEs ไทยในการแข่งขันกับบริษัทจีน เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพัฒนาเทคโนโลยี และการตลาด กระจายความเสี่ยง: รัฐบาลควรส่งเสริมการลงทุนจากหลากหลายประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป สร้างความร่วมมือ: รัฐบาลควรสร้างความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เพื่อรับมือกับความท้าทายจากสงครามการค้าและการลงทุนจากจีน สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้มองเห็นช่องทางการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯและยุโรป เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีสินค้าจีนที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่สมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง โดยที่ผ่านมาไทยมีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีสัดส่วนการพึ่งพาสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนสงครามการค้า ส่งผลให้จีนมองเห็นโอกาสในการขยายฐานการผลิตออกมาในไทย เพื่อลดต้นทุนและตอบสนองความต้องการของสินค้าจีนที่มีมากในตลาด ประเทศไทยเนื้อหอม ดึงดูดนักลงทุนจีน ตั้งโรงงานผลิตในไทย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักลงทุนจากจีน ที่ต้องการขยายฐานการผลิตและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ประเทศไทยน่าสนใจสำหรับนักลงทุนจีน ได้แก่ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ ประเทศไทยตั้งอยู่ในใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว การลงทุนในไทยช่วยให้บริษัทจีนสามารถเข้าถึงตลาดในภูมิภาคนี้ได้ง่ายขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาอย่างดี เช่น ถนน ท่าเรือ สนามบิน และระบบไฟฟ้า ซึ่งเอื้อต่อการขนส่งสินค้าและการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ แรงงานที่มีฝีมือและค่าแรงที่เหมาะสม ประเทศไทยมีแรงงานที่มีฝีมือและมีทักษะหลากหลายสาขาอาชีพ นอกจากนี้ ค่าแรงในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูด รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เช่น การลดหย่อนภาษี การยกเว้นภาษี และการอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งธุรกิจ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีน ไทยและจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจีนในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย . การลงทุนจากจีนในโรงงานของไทยรวมไปถึงการตั้งโรงงานของจีน มักจะกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่จีนได้เปรียบและไทยมีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากจีนและข้อมูลการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย เช่น อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก

จีนลงทุนในไทย อุตสาหกรรมไหนกำลังมาแรง อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ปี 2568 อบจ.อีสาน ได้รับงบประมาณเท่าไร?

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในรูปแบบเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการต่างๆ ภายในจังหวัด โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการคลังระหว่างชุมชนท้องถิ่น เสริมสร้างรายได้ให้แก่หน่วยงาน และเป็นกลไกในการกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่ท้องถิ่น หลังการเลือกตั้งนายกและสมาชิก อบจ. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา อีสานอินไซต์ จึงขอนำเสนอ ข้อมูลการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2568 ของ อบจ. แต่ละจังหวัดในภาคอีสาน พร้อมชวนดูประเด็นที่น่าสนใจ อบจ.นครราชสีมา ยังคงเป็นผู้ได้รับงบประมาณสูงสุดที่ 2,417,148,800 บาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน โดย 68% ของงบประมาณถูกจัดสรรไปยังด้านการศึกษา ตามมาด้วย อบจ.ขอนแก่น ที่ได้รับงบประมาณ 1,498,012,800 บาท เพิ่มขึ้น 7% โดย 48% เป็นงบบริหารจัดการ ในส่วนของอันดับ 3-20 ได้แก่ อบจ.ศรีสะเกษ 1,381,533,200 บาท  เพิ่มขึ้น 5% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 63% อบจ.มหาสารคาม 970,081,400 บาท  เพิ่มขึ้น 15% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 42% อบจ.ชัยภูมิ 933,079,500 บาท  เพิ่มขึ้น 9% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 62% อบจ.ร้อยเอ็ด 851,729,300 บาท  เพิ่มขึ้น 2% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 67% อบจ.อุบลราชธานี 803,190,000 บาท เพิ่มขึ้น 15% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 54% อบจ.สกลนคร 760,993,900 บาท  เพิ่มขึ้น 3% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 62% อบจ.กาฬสินธุ์ 722,528,600 บาท  เพิ่มขึ้น 10% ส่วนใหญ่เป็นด้านการศึกษา 55% อบจ.มุกดาหาร 358,615,800 บาท  เพิ่มขึ้น 13% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 77% อบจ.หนองบัวลำภู 353,781,300 บาท  เพิ่มขึ้น 8% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 69% อบจ.อำนาจเจริญ 323,363,000 บาท  เพิ่มขึ้น 13% ส่วนใหญ่เป็นด้านบริหารจัดการ 69% อบจ.อุดรธานี 314,878,500 บาท เพิ่มขึ้น 4% ส่วนใหญ่เป็นด้านศึกษา 56% อบจ.เลย 296,701,500 บาท

พามาเบิ่ง ปี 2568 อบจ.อีสาน ได้รับงบประมาณเท่าไร? อ่านเพิ่มเติม »

คูน้ำโบราณบุรีรัมย์ มรดกภูมิปัญญาแห่งแดนอีสานใต้

คูน้ำ เป็นร่องที่ถูกขุดขึ้นเพื่อใช้กักเก็บน้ำไว้ใช้ โดยทำหน้าที่เป็นเส้นทางการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกและการอุปโภคบริโภค โดยในอีสานใต้ โดยเฉพาะบุรีรัมย์ มีคูน้ำที่ล้อมรอบพื้นที่อยู่อาศัยอยู่มากมาย ซึ่งบทความนี้จะพามาดูต้นกำเนิดของคูน้ำ มีความสำคัญอย่างไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องราวของเมืองโบราณแห่งอีสานอย่างบุรีรัมย์ ภายในตัวอำเภอเมืองบุรีรัมย์ บริเวณใจกลางเมืองมีคูน้ำขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นรูปวงรีล้อมรอบบริเวณพื้นที่ศาลหลักเมือง คนบุรีรัมย์เรียกคูน้ำนี้ว่า “ละลม” มีความกว้างเฉลี่ย 80 เมตร ยาวประมาณ 5,000 เมตร พื้นที่รวม 179 ไร่ 2 งาน 12 ตารางวา แต่ก่อนมีเพียงคูเดียวล้อมรอบ แต่ปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 6 ส่วน ซึ่งละลมแห่งนี้มีประวัติอย่างยาวนานมาตั้งแต่สมัยทวารวดี (ช่วง พ.ศ.1100 – 1500) มีอายุกว่า 1,800 ปี  ซึ่งการกร้างละลมนี้มีจุดประสงค์เป็นเพื่อการอุปโภคบริโภคของชาวเมือง และการทำอุตสาหกรรมเหล็กในสมัยก่อนเป็นหลัก โดยละลมถูกจัดตั้งเป็นโบราณสถานตามประกาศกรมศิลปากร ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2523 นอกจากจะเป็นสถานที่ประวัติศาตร์แล้ว ปัจจุบันละลมของเมืองบุรีรัมย์ ก็เป็นสวนสาธารณะและแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองบุรีรัมย์และนักท่องเที่ยว นอกจากละลมในตัวเมืองแล้วนั้น คูน้ำลักษณะนี้ยังกระจายอยู่หลายพื้นที่ในจังหวัด โดยขอยกตัวอย่าง “บ้านปะเคียบ” ตั้งอยู่ ตําบลปะเคียบ อําเภอคูเมือง เป็นชุมชนเมืองโบราณที่อยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล หมู่บ้านมีลักษณะที่ถูกโอบล้อมด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งบ้านปะเคียบแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโบราณสถานโนนสำโรง ซึ่งถูกสันนิษฐานว่าชุมชนโบราณแห่งนี้มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากโบราณวัตถุมากมายไม่ว่าจะเป็นก้อนศิลาแลง หรือชิ้นส่วนกระเบื้อง เป็นต้น โดยตัวอย่างชุมชนอื่นๆ ในจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีคูน้ำล้อมรอบเพื่อใช้ประโยชน์ ที่หยิบยกมานำเสนอ ได้แก่ บ้านเมืองฝ้าย ตำบลเมืองฝ้าย อำเภอหนองหงส์ เป็นอีกชุมชนเมืองโบราณในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีคูน้ำล้อมรอบ 3 ชั้น ลึกประมาณ 2.50 เมตร บ้านทะเมนชัย ตำบลโคกขมิ้น อำเภอพลับพลาชัย เป็นชุมชนเมืองโบราณ มีคูน้ำล้อมรอบขอบเนินเป็นรูปวงรี ตามแนวเหนือใต้ 3 ชั้น กว้างยาวโดยประมาณ 244  ไร่ บ้านตะลุงเก่า ตำบลโคกม้า อำเภอประโคนชัย เมืองโบราณที่มีคูน้ำล้อมรอบเป็นวงรีซ้อนกันสามชั้น ปัจจุบันเหลืออยู่สองชั้น บ้านแสลงโทน ตำบลแสลงโทน อำเภอประโคนชัย กับคูน้ำโบราณตั้งแต่สมัยทวารวดี นอกจากชุมชนที่กล่าวมา ยังมีชุมชนอื่นๆ ที่มีคูเมืองล้อมรอบ เช่น บ้านพระครู บ้านเมืองดู่ และบ้านไทรโยง คูน้ำถือเป็น ‘นวัตกรรม’ การบริหารจัดการน้ำของชาวอีสานใต้ในอดีต สะท้อนถึงภูมิปัญญาในการปรับตัวของผู้คนที่อาศัยในที่ราบลุ่มแม่น้ำ ระบบคูน้ำนี้ไม่เพียงช่วยกระจายน้ำสู่พื้นที่เพาะปลูกอย่างทั่วถึง แต่ยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง อีกทั้งยังเป็นระบบนิเวศขนาดเล็กที่เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำและพืชน้ำหลากหลายชนิด ซึ่งยังคงให้ประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน    ที่มา สิ่งแวดล้อมศิลปกรรม ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม วิกิชุมชน วารสารเมืองโบราณ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์  

คูน้ำโบราณบุรีรัมย์ มรดกภูมิปัญญาแห่งแดนอีสานใต้ อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง🚜รถเเทรกเตอร์เกือบครึ่งประเทศอยู่ในเเดนอีสาน เเละหากเทียบสัดส่วนรถเเทรกเตอร์ 1 คันต่อเนื้อที่การเกษตรคิดเป็นเท่าไหร่🌾

พาส่องเบิ่ง!  รถเเทรกเตอร์เกือบครึ่งประเทศอยู่ในเเดนอีสาน เเละหากเทียบสัดส่วนรถเเทรกเตอร์ 1 คันต่อเนื้อที่การเกษตรคิดเป็นเท่าไหร่ . รถเเทรกเตอร์(Tractor) เครื่องจักรกลการเกษตรที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเพื่อการเตรียมแปลงเกษตร โดยความต้องการใช้เครื่องจักรเพื่อการเกษตรของไทยมีสัดส่วนสูงที่ 71.3% ของจํานวนผู้ถือครองทําการเกษตรทั้งหมด โดยชนิดของเครื่องจักรที่มีผู้ใช้มากที่สุด คือ รถเเทรกเตอร์  (50.8% ของผู้ถือครองเนื้อที่ทําการเกษตรที่รายงานว่ามีการใ้เครื่อจักรเพื่อการเกษตร ) รองลงมาเป็นเครื่องเกี่ยวนวดข้าว(27.9%) . คํานิยามของรถเเทรกเตอร์ คือ เป็นรถที่มีล้อหรือสายพาน และมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนในตัวเอง เป็นเครื่องจักรกลขั้นพื้นฐานในงานที่เกี่ยวกับการขุด ตัก ดัน หรือฉุดลาก เป็นต้น หรือรถยนต์สำหรับลากจูงซึ่งมิได้ใช้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกต้องมีขนาดกว้าง ไม่เกิน 4.40 เมตร ยาวไม่เกิน 16.20 เมตร . แทรกเตอร์ที่ใช้ในภาคเกษตรไทยส่วนใหญ่แบ่งเป็น (1) กลุ่มแทรกเตอร์ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ รถไถเดินตาม (Power tiller or 2-wheel walking tractor) เหมาะกับเกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดเล็กและอาศัยความคล่องตัว และ (2) กลุ่มแทรกเตอร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือแทรกเตอร์ที่มีขนาดกำลังแรงม้าไม่น้อยกว่า 40 แรงม้า ส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้ในการปรับพื้นที่ ไถเตรียมดิน ใช้เพื่อฉุดลากเครื่องมือหรือเครื่องทุ่นแรง หรือมีพื้นที่เพาะปลูกเป็นจำนวนมาก . หากลองเทียบสัดส่วนจํานวนรถเเทรกเตอรที่จดทะเบียนสะสมในเเต่ละจังหวัดกับเนื้อที่ถือครองทําการเกษตร จะได้อัตราส่วนรถเเทรกเตอร์ต่อพื้นที่การเกษตร( 1 คันต่อกี่ไร่) จะพบว่าที่มีอัตราส่วนนี้มากที่สุดคือ บึงกาฬ  1 คัน  : 628 ไร่ เนื่องจากมีจํานวนรถเเทรกเตอร์จดทะเบียนสะสมน้อยที่สุดในภูมิภาคอยู่ที่  2,922 คัน ในขณะที่จังหวัดนครราชสีมาที่มารถเเทกเตอร์มากที่สุดอยู่ที่ 46,595 คัน มีอัตราส่วนอยู่ที่ 1คัน  : 159 ไร่ . อัตราส่วนเฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 1 คัน  : 246 ไร่ นอกจากนี้มีงานศึกษาจากวารสารแก่นเกษตร ระบุว่าจุดคุ้มทุนของรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง เจ้าของรถเเทรกเตอร์ควรไถนาอย่างน้อย 260 ไร่ต่อคันต่อปีเพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุน เป็นข้อมูลที่น่าสนใจเเละน่าสังเกตสําหรับการตัดสินใจซื้อหรือใช้งานรถเเทรกเตอร์ เเต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบอย่างคร่าวๆเท่านั้น มีข้อมูลหรือเหตุปัจจัยๆอื่นที่มากกว่าที่ได้นําเสนอสําหรับการวิเคราะห์หรือตัดสินใจเกี่ยวกับรถเเทรกเตอร์เเละการเกษตร .   ที่มา : กรมการขนส่งทางบก,สํานักงานสถิติเเห่งชาติ,Krungsri Research,วารสารแก่นเกษตร . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #รถเเทรกเตอร์ #Tractor #รถไถนา #รถไถ #คูโบต้า #kubota #Yanmar #NewHolland

พาส่องเบิ่ง🚜รถเเทรกเตอร์เกือบครึ่งประเทศอยู่ในเเดนอีสาน เเละหากเทียบสัดส่วนรถเเทรกเตอร์ 1 คันต่อเนื้อที่การเกษตรคิดเป็นเท่าไหร่🌾 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐โฉนดที่ดินในอําเมืองคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของทั้งจังหวัดในอีสาน⛳️

โฉนดที่ดิน ถือเป็นเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินประเภทหนึ่ง ที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน จะใช้เอกสารดังกล่าว ในการแสดงความเป็นเจ้าของ และใช้ในการประกอบธุรกรรมด้านต่างๆ เช่น ซื้อ ขาย จำนอง เป็นต้น  . ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานจากข้อมูลของกรมที่ดินพบว่า จังหวัดนครราชสีมาเเละขอนเเก่นเป็นจังหวัดที่มีโฉนดที่ดินมากที่สุดในประเทศเป็นอันดับที่ 2  เเละ  3 เป็นรองเพียงกรุงเทพมหานคร โดยมีปริมาณเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินอยู่ที่1,566,201 เเปลงเเละ 1,166,513  เเปลง ตามลําดับ ส่วนกรุงเทพมหานครมากสุดในประเทศอยู่ที่ 2,182,095 เเปลง จากทั้งหมด 37,272,607 เเปลง  . หากมองไปที่ปริมาณเอกสารสิทธิรายสํานักงาน เเสดงรายอําเภอ การจดทะเบียนสิทธิเเละนิติกรรมที่สํานักงานที่ดินซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ จะพบว่าในภาคอีสานหากคิดเป็นร้อยละของอําเภอเมืองเทียบกับทั้งตัวจังหวัด อําเภอเมืองมุกดาหารมีปริมาณเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินคิดเป็นถึงร้อยละ  40.54 ของทั้งจังหวัด อาจเป็นสิ่งที่เป็นนัยได้ว่าที่ดินที่ประชาชนถือครองใช้ประโยชน์อยู่นั้นกรรมสิทธ์ความเป็นเจ้าของในที่ดินเกือบครึ่งหนึ่งยังอยู่เเค่ตัวอําเภอเมือง รองลงมาคือหนองบัวลําภูเเละหนองคายที่ 38.99 เเละ 36.28  ตามลําดับ หากคิดรวมทั้งภูมิภาคโฉนดที่ดินในอําเภอเมืองคิดเป็นร้อยละ 21.52 จากทังหมด . การเปลี่ยนแปลงในด้านการถือครองและการจัดการโฉนดที่ดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของเขตเมือง และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชน ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การสิ่งเเวดล้อม การสํารวจดูการเปลี่ยนเเปลงเอกสารสิทธิในที่ดิน โดยเฉพาะโฉนดที่ดินจึงมีประโยชน์เเก่ผู้ที่สนใจเเละสามารถนําข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการวิเคราะห์วางเเผนด้านต่างๆ . ที่มา : กรมที่ดิน . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #ที่ดิน#โฉนด#โฉนดที่ดิน

พามาเบิ่ง🧐โฉนดที่ดินในอําเมืองคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของทั้งจังหวัดในอีสาน⛳️ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶

เกิดใหม่น้อย! อีสานเตรียมรับมือโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะเปลี่ยนไป . ฮู้บ่ว่า❓Gen Alpha ไม่ใช่คำใหม่อีกต่อไป เมื่อเด็กที่เกิดปี 2568 – 2582 จะกลายเป็น Gen Beta ยุคที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ผสมผสานเข้ากับชีวิตโดยสมบูรณ์ ขณะที่เด็กในอีสานเกิดน้อยลงในทุกๆ ปี หน้าตาของโครงสร้างของประชากรจะเปลี่ยนไปอย่างไร และผลกระทบจะมากแค่ไหน . ISAN Insight & Outlook พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶 ▶️อายุ 0 – 4 ปี ♂️417,495♀️394,812 รวม 812,307 คน ▶️อายุ 5 – 9 ปี ♂️548,243♀️519,923 รวม 1,068,166 คน ▶️อายุ 10 – 14 ปี ♂️655,239♀️620,054 รวม 1,275,293 คน ▶️อายุ 15 -19 ปี ♂️679,876♀️642,546 รวม 1,322,422 คน ▶️อายุ 20 – 24 ปี ♂️671,492♀️661,126 รวม 1,332,618 คน ▶️อายุ 25 – 29 ปี ♂️802,509♀️760,277 รวม 1,562,786 คน ▶️อายุ 30 – 34 ปี ♂️805,263♀️758,027 รวม 1,563,290 คน ▶️อายุ 35 – 39 ปี ♂️746,860♀️711,132 รวม 1,457,992 คน ▶️อายุ 40 – 44 ปี ♂️822,741♀️805,643 รวม 1,628,384 คน ▶️อายุ 45 – 49 ปี ♂️862,275♀️872,900 รวม 1,735,175 คน ▶️อายุ 50 – 54 ปี ♂️884,798♀️933,547 รวม 1,818,345 คน ▶️อายุ 55 – 59

พามาเบิ่ง👨‍👩‍👧‍👦กราฟพีระมิด ‘ประชากรอีสาน’ ต้อนรับ Gen BETA👶 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐 “แรงงานต่างด้าวในอีสาน มีมากแค่ไหน”👨‍🎓

พามาเบิ่ง “แรงงานต่างด้าวในอีสาน มีมากแค่ไหน” ฟิลิปปินส์ ชาติที่มีแรงงานต่างด้าวในไทย อันดับ 5 . จากกระแสข่าวดังในโลกโซเชียล ที่ขึ้น แฮชแท็ก #สุขุมวิท11 และ #กะเทยไทย ที่ขึ้นเทรด X มากกว่า 3 ล้านโพสต์ จากต้นเรื่องเหตุเกิดที่ สุขุมวิท11 จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ กะเทย ไทย-ปินส์ . เมื่อกะเทยฟิลิปปินส์เริ่มมาทำมาหากินในไทยโดยอาศัยช่องว่างที่คนฟิลิปปินส์สามารถท่องเที่ยวในไทยโดยไม่ต้องขอวีซ่าและพำนักได้ 30 วัน และ นักท่องเที่ยวฟิลิปปินส์หลายคนแอบเข้ามาลักลอบทำงานเป็น sex worker ในย่านสุขุมวิท จนเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับคนไทยดังข่าวที่ปรากฏ . วันนี้อีสานอินไซด์จึงจะมาเปิดข้อมูลสถิติ ว่านอกจากนักท่องเที่ยวฟิลิปปินส์หรือนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆที่มาในฐานะวีซ่าของนักท่องเที่ยวแล้ว จำนวนแรงงานต่างด้าวที่มาอย่างถูกกฎหมายที่พำนักอยู่ในไทยสะสมถึงปัจจุบันมีจำนวนอยู่เท่าใด และจำนวนของแรงงานต่างด้าวในแต่ละจังหวัดของอีสานมีจำนวนอยู่มากไหร่ . โดยหากดูจากข้อมูลสถิติแล้วจะพบว่าจำนวนแรงงานต่างด้าวที่มาอย่างถูกกฎหมายในไทยมีมากถึง 3,415,774 คน โดยกระจายตัวตามแต่ละภูมิภาค ดังนี้ กรุงเทพฯ และปริมณฑล 1,784,479 หรือคิดเป็น 52% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ภาคกลางและภาคตะวันออก 799,963 หรือคิดเป็น 23% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ภาคเหนือ 308,604 หรือคิดเป็น 9% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ภาคอีสาน 71,655 หรือคิดเป็น 2% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ภาคใต้ 451,073 หรือคิดเป็น 13% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด โดย 5 สัญชาติของแรงงานต่างด้าวที่มีมากที่สุดในไทย ได้แก่ เมียนมา, กัมพูชา, ลาว, จีน, และฟิลิปปินส์ . โดยจำนวนแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ถือเป็นแรงงานหลักสำคัญในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ เนื่องด้วยแรงงานมีราคาค่าจ้างที่ถูกกว่าแรงงานไทย ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของผู้ประกอบการ . ทั้งนี้อีสานอินไซด์ตั้งข้อสังเกตจากกรณีข่าวดังกล่าวว่ากฎหมายยังมีช่องว่างก่อให้เกิดการละเมิดและการแย่งงานของคนในพื้นที่รวมไปถึงงานบางประเภทที่ไม่ได้ระบุหรือถูกบัญญัติให้ถูกกฎหมาย อาจจะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสและรายได้ทางเศรษฐกิจที่แม้แต่ทางอีสานอินไซด์ก็ไม่สามารถประเมินได้ จึงอยากให้กรณีข่าวนี้ถูกผลักดันและดำเนินการแก้ไข ป้องกัน ด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป . ที่มา สำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าว (จำนวนแรงงานต่างด้าวที่พำนักอยู่ไทย สะสมถึง ม.ค.2567) . พามาสำรวจ ผ่านมา 10 ปี ชนกลุ่มน้อยที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในอีสานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว . สิทธิของลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าว แรงงานต่างด้าวในประเทศไทยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเช่นเดียวกับแรงงานไทย โดยมีกฎหมายและมาตรการเฉพาะที่มุ่งดูแลสิทธิและความปลอดภัยของแรงงานต่างด้าว เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานต่างด้าว ต่อไปนี้คือสิทธิที่แรงงานต่างด้าวพึงได้รับ: 1. สิทธิในการได้รับค่าจ้าง แรงงานต่างด้าวมีสิทธิได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด เช่นเดียวกับแรงงานไทย นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างตรงเวลาและครบถ้วน 2. สิทธิในเวลาทำงานและเวลาพัก ชั่วโมงการทำงาน: ไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เวลาพัก: ต้องมีเวลาพักอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หากทำงานเกิน

พามาเบิ่ง🧐 “แรงงานต่างด้าวในอีสาน มีมากแค่ไหน”👨‍🎓 อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top