SHARP ADMIN

ไม่เอาแล้วทำฟันปีละ ฿900 ประกันสังคม🦷 เตรียมขยายสิทธิ “ทำฟัน รพ.รัฐและคลินิกเอกชน ฟรี!“🪥 ไม่ต้องสำรองจ่าย ไม่จำกัดวงเงิน ไม่จำกัดครั้ง

#สิทธิ์ทันตกรรมใหม่ ประกันสังคม จ่อขยายสิทธิผู้ประกันตน ทำฟันใน รพ.รัฐ ฟรี! ไม่จำกัดวงเงิน วันนี้ (17 พฤษภาคม 2568) ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี ประธานคณะทำงานประสานและดูแลมาตรฐานชุดสิทธิประโยชน์ทันตกรรมสำหรับผู้ประกันตน ให้สัมภาษณ์ว่า คณะทำงานชุดนี้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลสิทธิประโยชน์ด้านทันตกรรมให้กับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยมีผู้แทนจากสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ร่วมอยู่ในคณะทำงาน มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนไม่ด้อยไปกว่าสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) หรือ สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ นอกจากนั้น ยังช่วยดูสิทธิประโยชน์ในภาพรวมทั้ง 3 กองทุนด้วย รมว.แรงงาน ร่วมทันตแพทยสภา ตั้งคณะทำงานประสานดูแลมาตรฐานสิทธิประโยชน์ทันตกรรม “ผู้ประกันตน” ล่าสุดมีแนวโน้มขยายบริการ “อุดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟัน” รพ.รัฐที่ไหนก็ได้ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่จำกัดวงเงิน นอกเหนือจาก 900 บาทต่อปีรับบริการที่คลินิกทำฟันเอกชน ยังเหมือนเดิม ทพ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา ทันตแพทยสภาได้เข้าพบกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเสนอแนวทางปรับระบบดูแลผู้ประกันตน ซึ่งครั้งนั้นมีการเสนอไป 3 ทางเลือก จากนั้นมี การตั้งคณะทำงานฯ ชุดดังกล่าวขึ้นมา แล้วได้ ประชุมกันเมื่อวันที่ 25 เมษายน โดย สปส. รับ 1 ข้อเสนอที่มีความเป็นไปได้ที่สุดในตอนนี้ คือ การให้ผู้ประกันตนเข้ารับบริการทันตกรรม ดูแลช่องปาก ได้แก่ อุดฟัน ขูดหินปูน และถอน ฟันในโรงพยาบาลของรัฐที่ไหนก็ได้ไม่จำกัด จำนวนครั้ง ไม่จำกัดวงเงิน และไม่ต้องสำรอง จ่าย ซึ่งประกันสังคมจะเป็นผู้จัดการเรื่องการ เคลมเอง โดยราคาการให้บริการนั้น จะเบิกจ่าย ตามอัตราของกรมบัญชีกลาง ดังนั้น ความรู้สึก ของผู้ประกันตน คือ ไม่ด้อยกว่าสิทธิข้าราชการและสิทธิบัตรทองอย่างแน่นอน “ส่วนความกังวลว่าไปทำฟันใน รพ.ของรัฐ แล้วคิวจะยาว ถ้าทำแบบนี้คนไทยทุกคน ทุกสิทธิ จะเท่ากัน คิวจะยาวก็เท่ากัน ฉะนั้นทุกคนจะได้สิทธิเหมือนคนอื่น แต่ผู้ประกันตนจะมีวงเงินในกระเป๋า 900 บาทต่อปี ที่จะสามารถนำไปรับบริการที่คลินิกทำฟันเอกชน โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ส่วนนี้ก็ยังต้องคงมีอยู่ไม่ได้ตัดออก เพียงแต่ขยายการให้บริการไปยัง รพ.ของรัฐ ซึ่งจะเหมือนกับผู้ที่มีสิทธิบัตรทองและสิทธิข้าราชการ ทั้งนี้จะมีการประชุมคณะทำงานฯ ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เพื่อหารือ เรื่องนี้อีกครั้ง” ทพ.วีระศักดิ์กล่าว สรุป ✅ รับบริการโดยตรงที่ รพ.รัฐ ✅ ไม่ต้องสำรองจ่าย ✅ ไม่จำกัดวงเงิน ✅ เพิ่มการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนมากยิ่งขึ้น ⭐️ ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือ เตรียมเสนอเข้า ครม.เร็ว ๆ นี้ทาง ISAN […]

ไม่เอาแล้วทำฟันปีละ ฿900 ประกันสังคม🦷 เตรียมขยายสิทธิ “ทำฟัน รพ.รัฐและคลินิกเอกชน ฟรี!“🪥 ไม่ต้องสำรองจ่าย ไม่จำกัดวงเงิน ไม่จำกัดครั้ง อ่านเพิ่มเติม »

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย: บทบาทเมืองรองและความยืดหยุ่นที่มากกว่าเมืองหลวง (Resilient infrastructure)

บริบททางเศรษฐกิจและการเติบโตของประเทศไทย ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่งในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา เปลี่ยนจากประเทศรายได้ต่ำเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวที่ช้ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ความท้าทายเหล่านี้มาพร้อมกับปัญหาด้านผลิตภาพ (productivity) และแนวโน้มด้านประชากรที่ไม่เอื้ออำนวย (อัตราการเกิดลดลงและประชากรสูงอายุ) การขยายตัวของเมืองในประเทศไทยได้กระจุกตัวอย่างมากในกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีความโดดเด่นที่สุดในโลก (primate cities) และทำหน้าที่เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมี GDP ของพื้นที่เมืองกรุงเทพฯ สูงกว่าพื้นที่เมืองใหญ่อันดับสองถึง 40 เท่า การกระจุกตัวของเศรษฐกิจและกิจกรรมในกรุงเทพฯ แม้จะสร้างประโยชน์มหาศาลด้านผลิตภาพและรายได้ แต่ก็กำลังถึงจุดที่ให้ผลตอบแทนลดลง (diminishing returns) เนื่องจากปัญหาความแออัดและต้นทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังสร้างความเปราะบางทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อประเทศ ดังที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่สำคัญซึ่งกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่สมดุลนี้ นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันและยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แหล่งข้อมูลชี้ว่ากรุงเทพฯ อาจมีผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง (underperforms relative to its endowment level) ในขณะที่จังหวัดรอบนอกซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองรองจำนวนมาก มีผลการดำเนินงานเกินกว่าระดับผลิตภาพที่คาดหวังไว้   บทบาทของเมืองรองในการขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ แหล่งข้อมูลจาก World Bank ชี้ว่า เมืองรองเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพการเติบโตใหม่ที่สมดุลและทั่วถึงของประเทศไทย แนวคิด “พอร์ตโฟลิโอของสถานที่” (portfolio of places) ระบุว่า ประเทศต้องการเมืองหลากหลายประเภททำหน้าที่ต่างกัน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เมืองรองหลายแห่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอยู่แล้ว โดยมีอุตสาหกรรมและภาคส่วนที่หลากหลาย แหล่งข้อมูลระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา การเติบโตของ GDP ต่อหัวในเมืองรองของไทยสูงกว่าในกรุงเทพฯ เกือบ 15 เท่า และเมืองรองที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ หรือพื้นที่ชายฝั่งทะเลมักแสดงให้เห็นถึงผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การพัฒนาเมืองรองจะช่วยกระจายการเติบโต ลดความแออัดในเมืองใหญ่ และสร้างฐานเศรษฐกิจที่กระจายตัวมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับประชาชนและธุรกิจ และมีส่วนช่วยลดความยากจนในพื้นที่ชนบทโดยรอบ การลงทุนที่เหมาะสมในโครงสร้างพื้นฐาน ทุนมนุษย์ และการเสริมสร้างศักยภาพเชิงสถาบัน รวมถึงการปรับกรอบการทำงานระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถิ่น จะช่วยให้เมืองรองเหล่านี้สามารถยกระดับผลิตภาพ กระตุ้นการเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศไทยได้ การเชื่อมโยงการเติบโตกับความยืดหยุ่นของเมือง ประเด็นสำคัญที่แหล่งข้อมูลเน้นย้ำคือ ความจำเป็นในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น (resilient infrastructure) เพื่อให้เมืองสามารถรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง) การกระจุกตัวทางเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากน้ำท่วมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การคาดการณ์ระบุว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่อาจสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าหากไม่มีมาตรการปรับตัวที่แข็งแกร่ง ปัญหาความร้อนในเมือง (Urban Heat Island effect) ก็เป็นอีกความท้าทายด้านความน่าอยู่อาศัยและผลิตภาพในอนาคต โดยกรุงเทพฯ มีความร้อนสูงกว่าเมืองรองอื่นๆ ภาพ : New York Times สำหรับประเทศไทย พื้นที่เกือบทั้งหมดของกรุงเทพมหานคร หรือคิดเป็นพลเมืองมากกว่า 10 % ที่อาศัยบนพื้นดินใกล้ชายฝั่ง รวมถึงในกรุงเทพมหานครเสี่ยงได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลสูง หรือเผชิญกับอุทกภัย ภายในปี พ.ศ. 2593 เทียบกับผลวิจัยก่อนหน้าที่คาดว่าจะกระทบต่อประชาชนเพียง 1 % ของกรุงเทพฯเท่านั้น หรือเลวร้ายจากการประเมินครั้งก่อนถึง 12 เท่า การพัฒนาเมืองรองเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจในระดับชาติ

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย: บทบาทเมืองรองและความยืดหยุ่นที่มากกว่าเมืองหลวง (Resilient infrastructure) อ่านเพิ่มเติม »

ถอดรหัส “เซินเจิ้น” จากหมู่บ้านชาวประมง สู่ Silicon Valley แห่งเมืองจีน โอกาสและบทเรียนที่ไทยและเมืองหลัก ควรเรียนรู้

ฮู้บ่ว่า? จากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ใน 40 ปีก่อน “เซินเจิ้น” ได้กลายเป็นมหานครเทคโนโลยี และนวรรตกรรมที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน ให้ทะยานขึ้นไปในระดับโลก . เป็นเมืองหลักที่อยู่ทางตะวันออกของชะวากทะเลแม่น้ำจูในมณฑลกวางตุ้งตอนใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีอาณาเขตทางใต้ติดกับฮ่องกง ตะวันออกเฉียงเหนือติดกับฮุ่ยโจว ตะวันตกเฉียงเหนือติดกับตงกว่าน และทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ติดกับกว่างโจว จงชาน และจูไห่ ซึ่งเป็นอีกฝั่งของชะวากทะเล โดยใช้เขตแดนทางทะเลเป็นตัวแบ่งอาณาเขต ด้วยจำนวนประชากร 17.5 ล้านคนใน ค.ศ. 2020 ทำให้เชินเจิ้นเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสาม (วัดตามจำนวนประชากรในเขตเมือง) ของประเทศจีน รองจากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ท่าเรือเซินเจิ้นยังเป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่พลุกพล่านมากเป็นอันดับ 4 ของโลก จากชุมชนเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทางตอนใต้ของจีน ที่ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพประมงและ GDP ทั้งเมืองมีเพียง 270 ล้านหยวน เซินเจิ้นได้รับการพลิกโฉมครั้งใหญ่เมื่อปี 1980 ด้วยการประกาศให้เป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของประเทศจีน” การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของพายุแห่งการพัฒนา จากแรงผลักดันของรัฐบาลที่ต้องการเปิดเมืองรับการลงทุนจากต่างชาติ ส่งผลให้เงินทุน และเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองชายฝั่งเล็ก ๆ แห่งนี้ จากข้อได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานที่มีราคาถูก และวิสัยทัศน์ที่ต้องการเรียนรู้องค์ความรู้และนวรรตกรรมจากต่างชาติ ทำให้ในเวลาไม่นาน เซินเจิ้นก็กลายเป็นหนึ่งในแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เซินเจิ้น (Shēnzhèn) ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าไปทั่วโลก และด้วยการผลิตที่เน้น “ปริมาณมาก ต้นทุนต่ำ” ทำให้สินค้าที่ผลิตในเมืองเซินเจิ้นมีความสามารถในการแข่งขันได้ในระดับโลก แต่ในขณะเดียวกัน นั่นทำให้เซินเจิ้นในยุคหนึ่งถูกมองว่าเป็น “เมืองแห่งสินค้าก็อปปี้” ที่เน้นปริมาณและราคามากกว่าคุณภาพ การเติบโตของภาคอุตสาหกรรม การเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านเทคโนโลยีของจีน รวมถึงแรงสะสมขององค์ความรู้ด้านเทคนิค แรงงานฝีมือ และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการผลิต ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเซินเจิ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐหันมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) การส่งเสริมสตาร์ทอัพ และการให้ทุนแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ส่งผลให้.ในปัจจุบัน เซินเจิ้นเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “เมืองแห่งสินค้าก็อปปี้” สู่การเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือที่หลายคนขนานนามว่า “Silicon Valley แห่งเอเชีย” ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากมาย . ในปัจจุบัน เศรษฐกิจของเซินเจิ้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 8.35% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบัน มูลค่า GDP ล่าสุดของเมืองอยู่ที่ประมาณ 3.68 ล้านล้านหยวน หรือราว 514.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2025) ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับประเทศขนาดกลางอย่างประเทศไทย รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในเมืองเซินเจิ้นอยู่ที่ประมาณ 1แสน 9 หมื่นหยวน หรือราวๆ 900,989 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศจีนอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นของเซินเจิ้น รวมถึงความก้าวหน้าทางการพัฒนาเมืองในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งยังตอกย้ำบทบาทของเซินเจิ้นในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน สู่การเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและนวัตกรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเป็นฐานการผลิตและศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สำคัญของสินค้าด้านเทคโนโลยี อาทิ โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต

ถอดรหัส “เซินเจิ้น” จากหมู่บ้านชาวประมง สู่ Silicon Valley แห่งเมืองจีน โอกาสและบทเรียนที่ไทยและเมืองหลัก ควรเรียนรู้ อ่านเพิ่มเติม »

[สรุปตามประเด็นปัญหาของขอนแก่น] ในเวที ดีเบต #KhonKaenNext⏩2025 “เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น 2568”

𝘿𝙚𝙗𝙖𝙩𝙚 [สรุปตามประเด็นปัญหาของขอนแก่น] ในเวที ดีเบต #KhonKaenNext⏩2025 “เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น 2568” . โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน รับชม รับฟัง ทีมงานเพียงอำนวยความสะดวกเพียงเท่านั้น ผู้สมัครแต่ละท่านได้นำเสนอมุมมองและนโยบายที่หลากหลายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการของประชาชน โดยมุ่งเน้นในด้านต่างๆ เช่น: . 💡𝟭. 𝗜𝗻𝗳𝗿𝗮𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 : การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมพื้นฐาน #เบอร์1 ทนายวสันต์ ชูชัย เน้นการแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่ค้างคาอยู่ เช่น ปัญหาสวนสาธารณะ น้ำท่วม การจราจร ทางเท้าต่างๆ เพื่อให้เมืองมีความเป็นระเบียบวินัย สะอาด สะดวก และปลอดภัยสำหรับประชาชน. นโยบายเบื้องต้นจะให้ความสำคัญกับปัญหาพื้นฐาน โครงสร้างสังคม โครงสร้างการพัฒนาคนทุกด้าน ด้านสิ่งแวดล้อม การกำจัดขยะ ถนน การจราจร สวนสาธารณะ และการศึกษา. คุณภาพชีวิตที่ดีต้องมาจากพื้นฐานที่ดี. #เบอร์2 คุณนันทวัน ไกรศรีวันทนะ เห็นว่าบ้านเมืองควรพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้. นโยบายระยะสั้นที่เห็นได้ง่ายคือการปรับปรุงสวนสาธารณะ ซึ่งเมืองขอนแก่นมีศักยภาพและกายภาพดี แต่ขาดการดูแล บึงแก่นนครถูกทิ้งร้างมานาน. สิ่งแวดล้อมเป็นลมหายใจของเรา จึงต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตประชาชน. การจัดการขยะต้องเริ่มจากจิตสำนึกของประชาชนให้คัดแยกขยะในครัวเรือน. ปัญหาภัยพิบัติ (ส่วนมากคือน้ำท่วมซ้ำซาก) อยากขุดลอกท่อระบายน้ำทั่วเขตเทศบาล. #เบอร์3 คุณวรินทร์ เอกบุรินทร์ แก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ จราจร ซ่อมแซมถนน. อยากเห็นชาวขอนแก่นเติบโตในเมืองด้วยชีวิตที่ดี. ชีวิตประจำวันที่ดีเริ่มต้นที่ความราบรื่นปลอดภัย. ตื่นเช้ามาไม่เห็นขยะหน้าบ้าน ไปโรงเรียนบนถนนเรียบ ไม่มีรถติด ลูกหลานไปเรียนมีคุณภาพชีวิตดี มีห้องน้ำ ห้องพยาบาล สนามเด็กเล่นที่ดีในโรงเรียน. เดินไปทำงานบนทางเท้าที่ดี ไม่มีสิ่งกีดขวาง. กลับบ้านอย่างปลอดภัยบนถนนที่มีแสงสว่าง ทาสีตีเส้นดี มี CCTV. วันหยุดพาครอบครัวไปสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่นที่ดี ปลอดภัย. #เบอร์4 คุณเบญจมาพร ศรีบุตร เห็นปัญหาและโอกาสของเมือง. การทำโครงสร้างพื้นฐานของเมืองให้พร้อมรองรับโอกาสเป็นสิ่งสำคัญ. ถ้าเมืองยังมีห้องน้ำไม่สะอาด ขนส่งไม่สะดวก พื้นที่ไม่ปลอดภัย โอกาสต่างๆ อาจไม่เข้ามา. การทำทางเดินเท้าให้มีคุณภาพ การทลายจุดเสี่ยงเพื่อให้เดินทางปลอดภัย จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก. พื้นที่สาธารณะเป็นเสาหลักที่ 2 คือพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับทุกคน. ทำเพื่อให้คนมาเรียนรู้ ใช้ชีวิต ทำกิจกรรมนอกอาคารได้. นโยบายห้องสมุดเพื่อทุกคน สนามเด็กเล่นน่าเล่น พื้นที่สีเขียว. ห้องสมุดเมืองจะเปลี่ยนเป็น Working Space เป็นลานกิจกรรมให้คนทุกเพศทุกวัยใช้ร่วมกัน. นโยบายห้องน้ำสะอาดมากเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนใช้ชีวิตนอกบ้าน. #เบอร์5 คุณประสิทธิ์ ทองแท่งไทย คุณภาพชีวิตที่ดีเป็นเป้าหมายหลัก. เมืองที่น่าอยู่คือเมืองที่ใช้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ใช่แค่เน้นเทคโนโลยี แต่เน้นอำนวยความสะดวก. เรื่องของถนนและทางเท้ามีความสำคัญ. ถนนทำเท่าไหร่ก็ไม่พอเพราะรถมาก ต้องทำอย่างไรให้คนใช้รถน้อยลง. เพิ่มพื้นที่ทางเท้าและปรับปรุงทางเท้าให้ราบเรียบ เหมาะแก่การเดิน. **ที่สำคัญ ทางเท้าต้องมีร่มเงา** (ต้นไม้หรือชายคาอาคาร) เพื่อให้เดินได้สบาย ยกตัวอย่างสิงคโปร์. ไฟส่องสว่างสำคัญต่อความปลอดภัย ต้องอาศัยความร่วมมือภาครัฐและประชาชนช่วยกันเพิ่มแสงสว่างตามทางเดิน.

[สรุปตามประเด็นปัญหาของขอนแก่น] ในเวที ดีเบต #KhonKaenNext⏩2025 “เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น 2568” อ่านเพิ่มเติม »

1 เดียวในโลก ‘บั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ความภาคภูมิใจของชาวกาฬสินธุ์ จาก ประเพณี สู่ ‘อัตลักษณ์เศรษฐกิจสร้างสรรค์’

1. ‘บั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ประเพณี 1 เดียวในโลก ภาพจาก: ททท.สำนักงานขอนแก่น TAT Khonkaen Fanpage ท่ามกลางเสียงหวีดแหลมของตะไลที่หมุนทะยานขึ้นฟ้า และกลิ่นควันดินประสิวที่คลุ้งทั่วท้องนาเล็ก ๆ แห่งตำบลกุดหว้า มีบางสิ่งที่มากกว่า ‘ประเพณี’ ประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นประเพณีที่ผูกโยงกับความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวอีสานมาอย่างช้านาน เชื่อว่าเป็นการจุดขึ้นเพื่อขอให้เทพเทวดาบันดาลให้ฝนตกดี เพื่อทำการทำนาในช่วงต้นฤดูฝน    ณ ตำบลกุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ มีงานประเพณีบุญบั้งไฟที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่นไม่ซ้ำประเพณีบั้งไฟที่ไหนในโลก นั่นคือ ‘ประเพณีบุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ความโดดเด่นที่ว่านั่นคือ การจุด ‘บั้งไฟตะไล’ ซึ่งเป็นบั้งไฟที่มีลักษณะเป็นวงกลม มีหลายขนาดตามปริมาณดินประสิวที่ใช้ในการบรรจุ ตั้งแต่บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน และบั้งไฟล้านจนไปถึงสิบล้าน เอกลักษณ์ของบั้งไฟตะไลคือ เวลาจุดจะมีลักษณะหมุนขึ้นพร้อมกับปล่อยควันเป็นเกลียวคลื่น ส่งเสียงดังกังวาน และตัวบั้งไฟก็จะตกลงพื้นอย่างช้าๆ จากร่มชูชีพที่คอยพยุง สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก   สำหรับปี 2568 นี้ งานบุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า จะจัดขึ้นในวันที่ 17–18 พฤษภาคม โดยมีกิจกรรมหลากหลายตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น   ขบวนแห่บั้งไฟสุดอลังการ การจุดบั้งไฟตะไลแสน ตะไลสองล้าน และตะไลสิบล้าน ที่จะทะยานขึ้นฟ้าอย่างตื่นตาตื่นใจ การแสดงศิลปวัฒนธรรมอีสานพื้นบ้าน รวมถึงกิจกรรมสนุกสนานอีกมากมายตลอด 2 วันเต็ม ภาพจาก: ททท.สำนักงานขอนแก่น TAT Khonkaen Fanpage งานใหญ่ประจำปีที่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ใครที่อยากสัมผัสมนต์เสน่ห์ของบั้งไฟตะไลล้านและบรรยากาศงานบุญอีสานแท้ ๆ ห้ามพลาดเด็ดขาด!   นอกจากนี้ อีสาน อินไซต์ สิพามาเบิ่ง ว่าทำไม ‘บุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ จึงเป็นมากกว่าแค่ประเพณี @aum_wimonrat บั้งไฟตะไลสิบล้าน #บุญบั้งไฟ #กุดหว้า ♬ เสียงต้นฉบับ – หมอแคนอุ้ม วิมลรัตน์ – หมอแคนอุ้ม Shop   2. ไม่ใช่แค่เพียงสิ่งที่จุดขึ้นฟ้า แต่ บั้งไฟตะไลล้าน คือ ‘สัญลักษณ์แห่งความเป็นกุดหว้า’ ก่อนที่จะมีบั้งไฟตะไล ชาวบ้านกุดหว้าซึ่งเป็นชาวผู้ไท ก็มีการจุดบั้งไฟเช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆในภาคอีสาน กระทั่ง ‘นายพิศดา จำพล’ ได้คิดค้นและริเริ่มการทำ บั้งไฟตะไล ขึ้นเป็นครั้งแรก และมีการเริ่มจุดในปี 2521 ด้วยความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ แม้จะลอยอยู่บนฟ้าได้ไม่นาน แต่กลับสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ชม และได้กลายมาเป็น อัตลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในโลก ของชุมชนกุดหว้า @pailolhnaidee แล่นล่ะแม้ บั้งไฟตะไล 10 ล้าน ทีมงาน #เหิรฟ้าพญาแถน หนึ่งเดียวในโลก! ประเพณีอีสานบ้านเฮา งานบุญบั้งไฟตะไลล้าน ประจำปี 2567 เทศบาลตำบลกุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์

1 เดียวในโลก ‘บั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ความภาคภูมิใจของชาวกาฬสินธุ์ จาก ประเพณี สู่ ‘อัตลักษณ์เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ อ่านเพิ่มเติม »

เปิดรับทั่วประเทศ สู่เส้นทางวงการบันเทิง “BMG Flock into Be My Gangstar” กับการคัดเลือกให้เป็นตัวท็อปสายบันเทิงเจนใหม่

📢 BMG Project 2025 Flock into Be My Gangstar คุณคือรายต่อไป ที่จะโดนหมายหัว กับการคัดเลือกให้เป็นตัวท็อปสายบันเทิงเจนใหม่ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับแก็งค์สตาร์ ซ่าส์ไปกับความสนุก โชว์ความสามารถ เติมเต็มความฝันของคุณ ในวงการบันเทิง พร้อมเสิร์ฟคอนเทนต์ภาพยนตร์ ซีรีส์ ร้อง เต้น เล่น ดนตรี ไปกับเราชาว Gangstar @flockinto พบกับ 2 หนุ่มหล่อ น้องแคมป์ คุณาธิป และ น้องจิมมี่ จิรเมธ 17-18 พ.ค. นี้ โปรเจค BMG Flock into Be My Gangstar ชั้น 3 เดอะมอลล์ บางแค สำหรับผู้ชนะโปรเจค BMG Flock into Be My Gangstar ผู้ชนะเลิศฝ่ายชาย จะได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท ผู้ชนะเลิศฝ่ายหญิง จะได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ฝ่ายชาย จะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ฝ่ายหญิง จะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ฝ่ายชาย จะได้รับเงินรางวัล 3,000 บาท รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ฝ่ายหญิง จะได้รับเงินรางวัล 3,000 บาท และตำแหน่งพิเศษอีกมากมาย รวมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 100,00 บาท และสำหรับผู้ที่ผ่านการออดิชั่น -ได้ร่วมแสดงซีรีส์วาย เรื่อง “อาการมันเป็นยังไงไหนบอกหมอ..” (Lottery Doctor) -ได้ร่วมแสดงซีรีส์วาย เรื่อง “Culture of love” -ได้ร่วมโปรเจค ไทย-บอลลี่วู้ด-จีน -ได้เป็น Brand Ambassador ผลิตภัณฑ์ Maxi B -ได้เป็นศิลปิน ได้ร่วมคอนเทนต์ อีกมากมาย #อาการมันเป็นยังไงไหนบอกหมอ #lotterydoctor #BMGproject #BMGproject2025 #FlockIntoBeMyGangstar #FlockInto #GangStar #bl #ซีรีส์วาย #ยูริ #Movies #Artist #คู่จิ้น #เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์บางแค #แคมป์คุณาธิป #จิมมี่จิรเมธ ♬

เปิดรับทั่วประเทศ สู่เส้นทางวงการบันเทิง “BMG Flock into Be My Gangstar” กับการคัดเลือกให้เป็นตัวท็อปสายบันเทิงเจนใหม่ อ่านเพิ่มเติม »

ทำไม บึงกาฬ จึงเป็นจังหวัดเดียวในอีสานที่เศรษฐกิจหดตัว ปี 66 เจาะลึกปัญหา และ โอกาสที่ต้องเผชิญ

 บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่กับปัญหา และ โอกาสที่ต้องเผชิญ จังหวัดบึงกาฬหรือจังหวัดน้องใหม่เป็นจังหวัดที่มีการพึ่งพาภาคการเกษตรมากที่สุดในภาคอีสานจังหวัดบึงกาฬเป็นหนึ่งในจังหวัดสำคัญในการปลูก ต้นยาง และ ปาล์มน้ำมัน เพื่อส่งออกเป็นรายได้ให้กับจังหวัดจังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่มีการปลูกยางพารามากที่สุดในภาคอีสานรวมไปถึงปาล์มน้ำมันก็เช่นเดียวกันที่การปลูกมากที่สุดในภาคอีสาน การท่องเที่ยวก็เช่นกันมีการท่องเที่ยวเชิง ศาสนาที่เดินตามรอยพยานาค จังหวัดน้องใหม่ที่มีขนาดเศรษฐกิจอยู่ที่อันดับที่ 17 ของภูมิภาค แต่มีรายได้ต่อหัวสูงถึง อันดับที่ 7 ของภูมิภาค อะไรที่ทำให้จังหวัดน้องใหม่อย่างบึงกาฬมีรายได้ต่อหัวที่สูงขนาดนี้ และ จังหวัดบึงกาฬจะสามารถพัฒนาไปในทิศทางไหนได้บ้าง  พาส่องเบิ่ง GPP อีสานปีล่าสุด 2566 จังหวัด Big 5 of ISAN มีมูลค่ามากกว่า 50% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งภาคอีสาน . . อีสานอินไซต์ สิพามาเบิ่ง ทำไม บึงกาฬ จังหวัดเดียวที่เศรษฐกิจหดตัว? . ก่อนอื่นอาจจะต้องทำความเข้าใจโครงสร้างของจังหวัดบึงกาฬก่อน เพราะจังหวัดบึงกาฬนั้นมีแรงงานกว่า 80% อยู่ในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเกษตรกรเหล่านี้เพาะปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมันและปลูกข้าว ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับราคาของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และเกษตรกรเหล่านี้ก็นำเงินที่ได้ไปจับจ่ายใช้สอยซึ่งทำให้เกิดมูลค่าในเศรษฐกิจภาคการค้าและบริการในจังหวัด . ในภาคการเกษตรนั้น หากจะกล่าวก็คือบึงกาฬนั้นเป็นจังหวัดที่มีผลิตภาพทางการเกษตรสูงสุด นั่นหมายความว่าเกษตรกร 1 คนมีมูลค่าที่ได้จากการผลิตทางการเกษตรนั้นสูงที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน เพราะ บึงกาฬนั้นมีผลิตผลผลิตทางการเกษตร สูงสุดคือ ยางพารา . แต่ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ดัชนีราคายางพาราทั่วประเทศนั้น ค่อนข้างตกต่ำในรอบหลายปี ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรซึ่งเป็นรายได้หลักและเป็นเศรษฐกิจภาคการเกษตรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดบึงกาฬ เมื่อเกษตรกรรายได้ลดลงการจับจ่ายใช้สอยและการซื้อสินค้าคงทน ทั้งรถยนต์รวมไปถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือน การหดตัวของสินเชื่อและรวมถึงความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อทำให้การซื้อและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หดตัวลงเช่นกัน นอกจากนั้นในฝั่งภาคการลงทุนด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในภาคอีสานนั้น มักจะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร แต่กลับพบว่าการลงทุนเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นโรงงานการแปรรูปยางพารา ลงทุนในจังหวัดใกล้เคียงอย่าง เช่น สกลนคร และ นครพนม ซึ่งมีพื้นที่ติดกับชายแดนและเขตพื้นที่การค้า ทำให้บทบาทของจังหวัดบึงกาฬนั้นกลายเป็นเพียงพื้นที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ส่วนพื้นที่แปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าการผลิตทางการเกษตรนั้น ไปเติบโตในจังหวัดใกล้เคียง และเมื่อภาคอุตสาหกรรมไม่ได้ถูกลงทุน ภาคการเกษตรที่เป็นรายได้หลักหดตัวจากราคาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง การบริโภคหดตัวลงและส่งผลกระทบต่อภาคการค้าและภาคบริการในจังหวัด ทั้งหมดนี้จึงทำให้จังหวัดบึงกาฬเป็นเพียงแค่จังหวัดเดียว ที่มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือ GPP หดตัวถึง 5.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเป็นเพียงแค่จังหวัดเดียวในภาคอีสานที่ขนาดเศรษฐกิจหดตัวลงนั่นเอง   โดยจะแยกรายละเอียดเพิ่มเติมถึงโอกาส และ ความท้าทายที่จังหวัด บึงกาฬ ได้ 5 ประเด็น ดังนี้ .   1. อย่างที่เรารู้กันจังหวัดบึงกาฬนั้นเป็นจังหวัดที่มีการ ปลูก ยางพารา และ ปาล์มน้ำมันมากที่สุด ในภาคอีสาน ซึ่งยางพาราสามารถให้ผลผลิตกว่า 1.3ล้านตัน จังหวัดบึงการมีการพึ่งพาภาคการเกษตรเป็นหลัก และ ในปี 2565 จังหวัดบึงกาฬ ถือเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตการเพาะปลูกยางพารามากทึ่สุดในภาคอีสาน อยู่ที่ 208,035 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 15.6% อีกทั้งมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงที่สุดในภาคอีสาน และสูงที่สุดของประเทศด้วย โดยมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่อยู่ที่ 248

ทำไม บึงกาฬ จึงเป็นจังหวัดเดียวในอีสานที่เศรษฐกิจหดตัว ปี 66 เจาะลึกปัญหา และ โอกาสที่ต้องเผชิญ อ่านเพิ่มเติม »

ธุรกิจโรงสีข้าวร้อยเอ็ด มีรายได้รวมมากที่สุดในอีสาน แต่กระจุกตัวเพียงไม่กี่รายจริงหรือไม่?

บริบทภาคการเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด ‘ข้าว’ ถือเป็นจิตวิญญาณของคนร้อยเอ็ด โดยพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดแห่งนี้เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ ด้วยพื้นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ ทำให้ร้อยเอ็ดสามารถปลูกข้าวได้หลากหลายสายพันธุ์ตลอดทั้งปี โดยร้อยเอ็ดมีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 3.1 ล้านไร่ มีผลผลิตข้าวนาปีในปี 2567 ปริมาณ 9.9 แสนตัน มากเป็นอันดับ 6 ของภาค และมี ‘ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้’ เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)ประจำจังหวัด มีความหอมและความเรียวสวยงามเป็นเอกลักษณ์ สามารถส่งออกสู่ตลาดนานาชาติ พาเปิดเบิ่ง “ทุ่งกุลาร้องไห้” มีอะไรบ้าง🌾🍚✈️ บทบาทของโรงสีข้าวต่อเศรษฐกิจอีสานและจังหวัดร้อยเอ็ด ในด้านของธุรกิจที่ควบคู่มากับชุมชนปลูกข้าว คงหนีไม่พ้น ‘ธุรกิจโรงสีข้าว’ ซึ่งเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานอันสำคัญ จากการที่ในภาคอีสานซึ่งมีการปลูกข้าวมาก จึงทำให้มีโรงสีข้าวกระจายอยู่ทั่วไป ตั้งแต่โรงสีข้าวขนาดเล็กในชุมชน จนไปถึงโรงสีขนาดใหญ่ที่ผลิตข้าวระดับประเทศและเป็นผู้ส่งออก ซึ่งบทบาทของโรงสีนั้นไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับแปรรูปผลผลิต แต่ยังถือว่าเป็น ‘จุดผ่านสำคัญ’ ของข้าว ช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่มีแหล่งจำหน่ายข้าว สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนั้นธุรกิจโรงสียังก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่อีกด้วย จากข้อมูลนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงสีข้าวที่ยังดำเนินการอยู่ในปี 2568 ในภาคอีสานมีทั้งสิ้น 336 ราย คิดเป็นสัดส่วน 32% ของประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนและจำนวนโรงสีมากที่สุดในประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็นรายเล็ก จากการที่มีทุนจดทะเบียนรวม 1.25 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเพียง 27% ของประเทศ และมีรายได้รวม 6.67 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเพียง 20% ของประเทศ โดย 3 จังหวัดที่มีธุรกิจโรงสีข้าวมากที่สุดในภาคอีสาน ได้แก่ สุรินทร์ 51 ราย อุบลราชธานี 40 ราย นครราชสีมา 40 ราย ศรีสะเกษ 27 ราย อุดรธานี 27 ราย โดยจังหวัดร้อยเอ็ด มีจำนวนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงสีข้าวอยู่ทั้งสิ้น 26 ราย เป็นอันดับ 6 ในอีสาน โดยคิดเป็นเพียง 8% ของนิติบุคคลประเภทเดียวกันในภาค  และมีทุนจดทะเบียนรวม 0.13 หมื่นล้านบาท แม้ในด้านจำนวนนิติบุคคลจะไม่ได้ติด Top 5 ของภูมิภาค แต่เมื่อมองในด้านของรายได้รวมของธุรกิจแล้วนั้น จะพบว่าธุรกิจโรงสีในร้อยเอ็ดมีรายได้รวม ‘มากที่สุดในอีสาน’ กว่า 1.11 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ทั้งภูมิภาคถึง 17% ในส่วนของอันดับ 2 – 5 จังหวัดที่มีรายได้รวมสูงสุด ได้แก่ ศรีสะเกษ 0.93 หมื่นล้านบาท สุรินทร์ 0.78 หมื่นล้านบาท นครราชสีมา 0.72 หมื่นล้านบาท อุบลราชธานี 0.59 หมื่นล้านบาท   โรงสีข้าวร้อยเอ็ด ใหญ่อันดับต้นๆของอีสาน ชูจุดแข็ง

ธุรกิจโรงสีข้าวร้อยเอ็ด มีรายได้รวมมากที่สุดในอีสาน แต่กระจุกตัวเพียงไม่กี่รายจริงหรือไม่? อ่านเพิ่มเติม »

ประเทศไทย ประเทศเทา รายได้ใต้เงา กับธุรกิจนอกระบบในสังคมไทย

ธุรกิจรายย่อยในประเทศไทยนับหมื่นรายถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของการจ้างงาน และการสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ไม่มากก็น้อย แม้ว่าธุรกิจในกลุ่มนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยแต่ผู้ประกอบการธุรกิจในกลุ่มนี้หลายรายไม่ได้มีการจดทะเบียนธุรกิจอย่างถูกกฎหมายหรือเรียกว่าธุรกิจนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการจดทะเบียนพาณิชย์หรือนิติบุคคลก็ตาม ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้อย่างเต็มเม็ดเต้มหน่วย อีกทั้งธุรกิจนอกระบบเหล่านี้เนื่องจากไม่ได้มีการจดทะเบียนทำให้ลูกจ้างนั้นไม่ได้มีการส่งเข้าสู่ระบบประกันสังคมซึ่งถือเป็นสิทธิ์ของลูกจ้างเช่นกัน รายงานจากธนาคารโลก (World Bank) ในปี พ.ศ. 2563 ระบุว่า ประเทศไทยมีขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก และใหญ่ที่สุดในอาเซียน คิดเป็นมูลค่าราว 7 ล้านล้านบาท จากมูลค่า GDP ที่ 15.7 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งหากรวมเศรษฐกิจนอกระบบเข้าไปจะทำให้ GDP โดยรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 22.7 ล้านล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ถูกนำมาบันทึกในระบบ และบ่งชี้ว่า หากสามารถดึงสัดส่วนที่อยู่นอกระบบเหล่านี้เข้าสู่ระบบได้ ก็จะทำให้รายได้ของรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้น มีแหล่งรายได้เพิ่มเติม และสามารถจัดสรรทรัพยากรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนได้มากขึ้น และจากรายงานของ OECD ระบุว่า ในภูมิภาคอาเซียนกว่า 80% ของธุรกิจ และ 55% ของแรงงาน ยังคงอยู่นอกระบบ ซึ่งหมายความว่าแรงงานจำนวนมหาศาลไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ขาดหลักประกันทางสังคม และไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แม้จะเป็นแรงงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานราก รูปที่ 1 ขนาดเศรษฐกิจนอกระบบทั่วโลก พ.ศ. 2563 ที่มา: World Bank เมื่อพิจารณาจากธุรกิจทั่วประเทศ พบว่า จากการรายงานของ สสว. ประเทศไทยมีผู้ดำเนินกิจการประมาณ 3.2 ราย แต่มีเพียง 890,000 รายเท่านั้นที่จดมีการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งใกล้เคียงกับข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่แจ้งว่ามีจำนวนธุรกิจที่จดทะเบียนและยังดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้นราว 9.3 แสนแห่ง สะท้อนว่าเกือบ 3 ใน 4 ของผู้ประกอบการรายย่อยยังคงดำเนินกิจการอยู่นอกระบบ ซึ่งเป็นผลจากทั้งอุปสรรคเชิงโครงสร้าง เช่น ขั้นตอนการจดทะเบียนที่ซับซ้อน การขาดความรู้ด้านบัญชีและกฎหมาย ตลอดจนปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น ไม่เห็นความจำเป็นในการเข้าสู่ระบบ ซึ่งหากผู้ประกอบการที่เหลือมีการเข้าสู่ระบบทั้งหมด จะทำให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ธุรกิจนอกระบบมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากธุรกิจในระบบอย่างชัดเจน โดยมักดำเนินการอยู่ในระดับครัวเรือนหรือรายบุคคล เช่น ร้านขายของชำขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย ร้านอาหารในชุมชน ช่างฝีมืออิสระ และบริการพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งกระจายอยู่ในหลากหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม การค้าปลีกขนาดเล็ก และภาคบริการ รูปที่ 2 สัดส่วนธุรกิจที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคล ที่มา: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภาคอีสานเป็นภาคที่มีสัดส่วนของธุรกิจนอกระบบสูงที่สุด โดยกว่า 90% ของร้านค้าในพื้นที่ไม่ได้จดทะเบียนกับภาครัฐ รองลงมาคือภาคเหนือ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน ปัจจัยที่มีผล ได้แก่ ระดับรายได้เฉลี่ยของประชาชนในพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ความพร้อมด้านทักษะและเทคโนโลยี ตลอดจนการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ยังไม่เพียงพอ สถานการณ์นี้ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยในภูมิภาคดังกล่าวขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนหรือการสนับสนุนด้านพัฒนาอาชีพ และต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากธุรกิจในระบบที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่า รูปที่ 3 สัดส่วนธุรกิจนอกระบบ แบ่งตามภูมิภาค

ประเทศไทย ประเทศเทา รายได้ใต้เงา กับธุรกิจนอกระบบในสังคมไทย อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐พลังงานข้ามพรมแดนไทยพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวแค่ไหน

ฮู้บ่ว่า? สปป.ลาว เป็นแหล่งซื้อไฟฟ้าที่สำคัญที่สุดของไทย ด้วยข้อตกลงการซื้อไฟฟ้ากว่า 10,500 เมกะวัตต์ ผ่านจุดรับในภาคอีสาน กระจายสู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศ . ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ขยายความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ความร่วมมือนี้ได้พัฒนาเป็นโครงการขนาดใหญ่ภายใต้แนวคิด “Battery of Southeast Asia” ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้ารายหลักจากลาวอย่างต่อเนื่อง . ข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า ไทยมีข้อตกลงซื้อไฟฟ้าจากลาวรวมสูงถึง 10,500 เมกะวัตต์ โดยได้ลงนามในสัญญาไปแล้วประมาณ 9,342 เมกะวัตต์ และมีการรับไฟฟ้าในปี 2567 แล้วประมาณ 5,936 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นราว 10% ของความต้องการไฟฟ้าทั้งประเทศ โดยมีแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ เขื่อนไซยะบุรี เขื่อนน้ำเทิน 2 และเขื่อนน้ำงึม 2 (พลังน้ำ) รวมถึงโรงไฟฟ้าหงสา (ถ่านหิน) . สาเหตุที่ไทยนำเข้าไฟฟ้าจากลาวมีหลากหลายปัจจัย ทั้งในด้านต้นทุนที่อาจต่ำกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศ เนื่องจากลาวมีทรัพยากรพลังน้ำที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในบางโครงการต่ำกว่าการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในไทย อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงแรงต่อต้านจากสาธารณชนภายในประเทศ โดยเฉพาะในกรณีของถ่านหินและพลังน้ำ ที่มักมีข้อถกเถียงด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน . อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวในระดับสูง อาจสร้างความกังวลในด้านความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว เพราะการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศมากเกินไป อาจทำให้ไทยเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ ภัยพิบัติในลาว หรือความไม่แน่นอนด้านนโยบาย นอกจากนี้ ยังมีข้อห่วงใยด้านสิ่งแวดล้อมจากโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อระบบนิเวศของแม่น้ำโขง และชุมชนในลาว ซึ่งอาจกลายเป็นประเด็นจริยธรรมที่ไทยในฐานะผู้บริโภคพลังงานต้องพิจารณา . หากเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะจากภัยธรรมชาติ หรือความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทยกับลาว พื้นที่ภาคอีสานซึ่งเป็นจุดรับและกระจายไฟฟ้าจากลาว อาจได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะหากมีการหยุดส่งไฟฟ้าชั่วคราวหรือระยะยาว ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและกิจกรรมในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ หากกำลังการผลิตภายในประเทศไม่สามารถทดแทนได้ทัน . แม้ระบบพลังงานข้ามพรมแดนนี้จะช่วยให้ไทยได้รับประโยชน์ด้านต้นทุนและความยืดหยุ่นเชิงนโยบายอย่างมาก แต่ความสมดุลระหว่าง “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” กับ “ต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม” จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน พร้อมทั้งควรมีแผนสำรองรองรับความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งพลังงานภายนอกมากเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

พามาเบิ่ง🧐พลังงานข้ามพรมแดนไทยพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top