SHARP ADMIN

มาตรการได้ผล! อ้อยเผาอีสานลดลง นักวิชาการแนะใช้กลไกตลาดเพิ่มมูลค่าและความยั่งยืน

เผาอ้อย สาเหตุจากต้นทุน กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง  การเผาอ้อย เป็นกรรมวิธีที่ชาวไร่อ้อยทำในช่วงเก็บเกี่ยวอ้อยจนกลายเป็นวัฒนธรรม โดยเฉพาะในช่วงเปิดหีบอ้อยช่วงเดือนธันวาคม-ช่วงต้นปี ซึ่งสาเหตุหลักที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเลือกที่จะทำการเผา มาจากปัจจัยด้าน “ต้นทุน” เนื่องมาจากแรงงานตัดอ้อยสดหาได้ยากกว่า แรงงานไม่ชอบตัดอ้อยสด เพราะยุ่งยาก เสี่ยงที่โดนใบอ้อยบาดมือ และใช้เวลามากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้มีต้นทุนค่าแรงที่สูง เจ้าของไร่อ้อยหลายรายจึงมองว่าไม่คุ้มค่าที่จะจ้าง และเลือกที่จะใช้วิธีการเผาแล้วจึงเก็บเกี่ยว   ปัจจัยต่อมาคือการใช้รถตัดอ้อยเพื่อแก้ปัญหาแรงงานนั้นทำไม่ได้ทั่วถึงเนื่องจากในบางพื้นที่สภาพทางกายภาพไม่เหมาะสมกับรถตัด ได้แก่ พื้นที่ที่เป็นเนิน มีหินเยอะ มีต้นไม้เยอะ พื้นที่ลุ่มที่มีน้ำขังได้ง่าย นอกจากนั้นการใช้รถตัดอ้อยนั้นมีต้นทุนที่สูง จำนวนรถตัดมีไม่มาก และไร่อ้อยบางพื้นที่รถตัดเข้าไปได้ยาก และเสี่ยงที่จะไม่คุ้มค่า ลักษณะของแปลงของเกษตรกรไร่อ้อยในภาคอีสานเป็นแปลงขนาดเล็ก เกษตรกรมีจำนวนมากในบางโรงอาจมีเกษตรกรมากถึงเป็น 10,000 ราย ในการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่เช่นรถตัดอ้อยเข้าไปในแปลงขนาดเล็กนั้นจะไม่คุ้มทุนเพราะต้องเสียหัวแปลงท้ายแปลงในการกลับรถเสี่ยงต่อการที่รถตัดอ้อยจะเหยียบอ้อย การที่แปลงไร่อ้อยกระจายอยู่ทั่วไปไม่รวมตัวกันทำให้การเคลื่อนย้ายรถตัดทำได้ลำบาก อาจมีต้นทุนที่สูงจึงทำให้หารถเข้าไปตัดได้ยาก  คุณภาพของการบริการรถตัดอ้อยก็ส่งผลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรเช่นกันเพราะถ้าหากคนขับรถตัดไม่ชิดดินทำให้ตออ้อยถอนขึ้นหรือเหยียบตออ้อยจะทำให้อัตราการงอกในปีต่อไปค่อนข้างต่ำและเกิดการสูญเสียในปีต่อๆไป   นอกเหนือจากปัจจัยสำคัญในข้างต้นแล้ว ก็ยังมีอีกหลายปัจจัย เช่น ปัญหาไฟไหม้ธรรมชาติ หรือไฟที่เผาจากแปลงอื่นลุกลามมา นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องการแข่งขัน ที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องทำการรีบเร่งให้ผลผลิตของตนออกสู่ตลาดก่อนรายอื่น จึงต้องทำการเผาอ้อยเพื่อเร่งเก็บเกี่ยว ซึ่งอาจเกิดไฟไหม้ลามไปถึงแปลงอื่นๆได้   การแข่งขันระหว่างโรงงานอาจเป็นเหตุจูงใจให้มีการจุดไฟเผาไร่อ้อย เพื่อบังคับให้เกษตรกร เร่งการเก็บเกี่ยวหากไม่มีคิวหีบก็จะต้องขายอ้อยที่ไหนก็ได้แบบเร่งด่วนเพื่อไม่ให้น้ำหนักอ้อยไฟไหม้สูญเสียไปมากกว่าที่ควรเป็น ซึ่งอาจเกิดไฟไหม้ลามไปถึงแปลงอื่นๆได้   ภาคอีสาน เป็นภูมิภาคที่มีการปลูกอ้อยมากที่สุดในในประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงมีการเผาอ้อยมากที่สุดตามไปด้วย โดยปริมาณอ้อยไฟไหม้ที่เกษตรชาวไร่อ้อยอีสานได้นำมาขายให้โรงงานมีปริมาณทั้งสิ้น 14 ล้านตัน หรือเป็นสัดส่วนกว่า 34% ของปริมาณอ้อยเข้าหีบในภาคอีสาน การเผาอ้อยนั้นเป็นอีกหนึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาควัน เศษที่เถ้า ฝุ่น PM2.5 ผนวกกับช่วงต้นปีมีความกดอากาศต่ำอยู่แล้ว จึงส่งผลให้ปัญหามลภาวะหนักขึ้นไปอีกและกลายเป็นปัญหาที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทุกปี  เผาอ้อยเฮ็ดหยัง? ต้นตอฝุ่นควัน กับเหตุผลที่หลายคนยังไม่รู้ สัดส่วนอ้อยเผาเข้าหีบอีสานลดลง จากมาตรการที่เข้มงวดขึ้น ปีเก็บเกี่ยว 2567/68 นี้ บอร์ดคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล ได้เพิ่มความเข้มงวดในการเก็บเกี่ยวและซื้อขายอ้อยของชาวไร่และโรงงาน เพื่อลดปัญหาการเผาและฝุ่นควัน ผ่านการสนับสนุนให้เก็บเกี่ยวอ้อยสดเพิ่มขึ้น เพิ่มมูลค่าให้กับใบและยอดอ้อยผ่านการรับซื้อจากชาวไร่ มีการสนับสนุนและดูแลเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวอ้อยสด ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้ชาวไร่ประมาณ 120 บาทต่อตันอ้อย อีกทั้งในปีนี้มีมาตรการหักเงินชาวไร่ตามสัดส่วนของอ้อยเผาที่ส่งเข้าโรงงาน ตั้งแต่ 30-130 บาทต่อตัน นอกจากนั้นยังมีบทลงโทษแก่โรงงานน้ำตาลที่มีการรับซื้ออ้อยเผาเกินสัดส่วน ดังเช่นในกรณีของ บริษัท น้ำตาลไทย อุดรธานี ที่ได้ถูกสั่งปิดชั่วคราวหลังจากมีการรับซื้ออ้อยเผาเป็นปริมาณมาก   โดยจากมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในปีเก็บเกี่ยวนี้ เมื่อเปรียบเทียบจากปริมาณอ้อยเข้าหีบหลังจากเปิดหีบ 45 วัน ของปีการผลิต 2566/2567 และ 2567/2568  พบว่าตัวเลขการรับซื้ออ้อยเผาของโรงงานน้ำตาลภาคอีสานลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปีการผลิต 2566/2567 (เปิดหีบ 12 ธ.ค. 2566) มีปริมาณอ้อยเผาเข้าหีบ 7 ล้านตัน คิดเป็น 30% ของปริมาณอ้อยเข้าหีบรวม ขณะที่ปีการผลิต 2567/2568 (เปิดหีบ 6 ธ.ค. 2567) พบว่าปริมาณอ้อยเผาเข้าหีบลดลงเป็น 4.2 ล้านตัน และคิดเป็นเพียง 20% ของปริมาณอ้อยเข้าหีบรวมในปีนี้ สะท้อนผลในเชิงบวกของการใช้มาตรการ เป็นแนวทางการลดปัญหาการเผาอ้อยและมลภาวะต่อไป […]

มาตรการได้ผล! อ้อยเผาอีสานลดลง นักวิชาการแนะใช้กลไกตลาดเพิ่มมูลค่าและความยั่งยืน อ่านเพิ่มเติม »

แบงก์ไทย🇹🇭อนุมัติยากนัก 🇨🇳 สินเชื่อจีนเตรียมบุก หวังดันยอดรถ EV🚘อนุมัติง่าย ดอกเบี้ยต่ำ

ยอดรถจดทะเบียนภาคอีสานยังซบเซาตลอดปี 67 จากบทความที่ยกมาข้างต้น จะพบว่ายอดจดทะเบียนภาคอีสานยังซบเซา รวมถึงสถานการณ์ทั้งประเทศก็ไม่ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะตลาดรถกระบะที่ซบเซามากที่สุดในรอบ 5 ปี อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และหนี้เสีย(NPL) รวมทั้งหนี้ที่ต้องเฝ้าระวังหรือชำระล่าช้าเพิ่มมากขึ้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และอนุมัติวงเงิน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ยากมากยิ่งขึ้น โดยตัวเลขประมาณการณ์การอนุมัติไม่ผ่านของสินเชื่อปรับตัวสูงขึ้นถึง 20-30% โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพค้าขาย และอาชีพอิสระ ที่อาจมีการปฏิเสธสินเชื่อสูงมากขึ้นด้วย ปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม ดังต่อไปนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมาย: แม้จะมีการสนับสนุนจากรัฐบาลและแผนที่ชัดเจนสำหรับการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยในปี 2566 ก็ต่ำกว่าเป้าหมายอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากความยากลำบากในการขอสินเชื่อจากธนาคารสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แม้ความต้องการรถไฟฟ้าของผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสนใจมากขึ้น และต้องการใช้สิทธิ์ในการสนับสนุนการซื้อจากภาครัฐ ธนาคารไม่ยอมให้กู้ยืมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า: อัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงในตลาดยานยนต์ไทยทำให้ธนาคารระมัดระวังในการให้กู้ยืมสำหรับรถยนต์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีงานไม่เป็นทางการ เช่น ฟรีแลนซ์, ค้าขาย โอกาสและช่องว่างทางธุรกิจของธุรกิจการเงินจากจีน สถาบันการเงินจีนเข้ามาแทนที่: เพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้ สถาบันการเงินจีนได้เข้าสู่ตลาดไทยด้วยเงื่อนไขสินเชื่อที่ยืดหยุ่นกว่า อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า และขั้นตอนการอนุมัติที่ง่ายกว่า ทั้งยังเพื่อช่วยส่งเสริมการรุกตลาดของรถยนต์ EV ในไทย และเพื่อทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถ EV สามารถเร่งทำยอดขายก่อนที่โควต้าการนำเข้าต่อการผลิตรถภายในไทยที่บังคับไว้จะเพิ่มขึ้นในปีถัดไป ผู้ให้กู้ยืมชาวจีนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี: สถาบันเหล่านี้ใช้ AI และข้อมูลขนาดใหญ่ในการประเมินความน่าเชื่อถือเหนือกว่าคะแนนเครดิตแบบดั้งเดิม ทำให้บุคคลที่มีแหล่งรายได้ไม่เป็นทางการสามารถมีคุณสมบัติสำหรับสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่จะทำในรูปแบบ FinTech(แอพกระเป๋าเงินดิจิตอล) หรือ รูปแบบ Virtual Bank (ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา) เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินการทางการเงิน รวมถึง นำเทคโนโลยีจากจีนที่เชี่ยวชาญในการทำ SuperApp ที่รวมทุกบริการไว้ในแอปเดียว และให้บริการ Fintech อย่างที่แบรนด์จีนเข้ามาทำตลาดในไทยก่อนหน้านี้ อย่างเช่น ShopeePayLater, LazadaPayLater, หรืออย่าง Grab PayLater ที่ใช้เทคโนโลยีตรวจเช็คพฤติกรรมการใช้จ่าย การจ่ายที่ตรงเวลา และอื่นๆ เพื่อนำมาคำนวณเครดิตในการปล่อยสินเชื่อ นั่นเอง ตัวเลือกในตลาดที่มากขึ้นและเพิ่มการแข่งขันด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำ ซึ่งหากสถานบันการเงินจากต่างชาติเข้ามาเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าย่อมทำให้เกิดการแข่งขัน และดึงดูดด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ต้องรอดูสถานการณ์และดูแนวโน้มต่อไป เพราะ แม้จะมีแนวโน้มว่าสินเชื่อรถยนต์ EV จีนจะปล่อยแบบลดต้น-ลดดอก แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพียงแต่หากเกิดขึ้นจริง ย่อมทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนตลาด ลิซซิ่งสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ที่อาจจะตามาในอนาคต ความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลทางการเงินของจีน: การเพิ่มขึ้นของสถาบันการเงินจีนในตลาดยานยนต์ไทยก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบระยะยาวต่อระบบการเงินไทย ที่จะไม่เฉพาะในวงการของรถยนต์ รวมถึงความกังวลจากการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้น เนื่องจากหนี้รถยนต์เป็นภาระที่ค่อนข้างก้อนใหญ่ซึ่งจะส่งผลให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้น ความท้าทายที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยากลำบากในการขอสินเชื่อจากธนาคารสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นำเสนอการเกิดขึ้นของสถาบันการเงินจีนเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ ซึ่งนำเสนอตัวเลือกสินเชื่อที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของอิทธิพลทางการเงินของจีนในตลาดไทย รวมทั้งยังต้องมีการผ่านข้อบังคับ และข้อกฎหมายในประเทศไทยตามการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้น จำเป็นต้องติดตามการอัพเดตกันต่อไปว่า สินเชื่อจากจีนนี้จะมาเมื่อไหร่ในรูปแบบใด และจะเข้ามามีบทบาทในตลาดการเงินของไทยมากน้อยเพียงใด   โค้วยู่ฮะ อีซูซุ กับความท้าทาย ในตลาดรถกระบะ ปี 2567

แบงก์ไทย🇹🇭อนุมัติยากนัก 🇨🇳 สินเชื่อจีนเตรียมบุก หวังดันยอดรถ EV🚘อนุมัติง่าย ดอกเบี้ยต่ำ อ่านเพิ่มเติม »

NARIT! เผย “สาเหตุหลัก” ที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 อาจไม่ใช่แค่ “การเผา-การใช้รถ”

พาสำรวจเบิ่ง จุดเผาใน GMS หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5   ในทุกฤดูหนาวอากาศที่เย็นตัว พร้อมกับความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผนวกกับลมประจำฤดูที่พัดลมหนาวจากตะวันออกเฉียงหนือ จาก Infographic ที่แสดงจุดเผาในประเทศเพื่อนบ้านจะพบว่า มลพิษทางอากาศทั้งในประเทศและต่างประเทศก็เป็นอีก 1 สาเหตุของมลภาวะทางอากาศ ไม่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทั้ง โรงงานอุตสาหกรรม, การใช้รถที่เผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และที่กำลังเป็นประเด็นสังคม คือ การเผาในทางการเกษตร ทั้ง นาข้าว อ้อย และข้าวโพด ล่าสุดสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT เสนอให้มีการตรวจสอบและศึกษาวิจัยสาเหตุของฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง เพื่อหาต้นตอที่แท้จริงโดยนำวิเคราะห์ฝุ่นด้วยเทคนิคดาราศาสตร์มาใช้ ศึกษาฝุ่นด้วยเทคนิคดาราศาสตร์ “การเผา-การใช้รถ” อาจไม่ใช่ “สาเหตุหลัก” ฝุ่น PM2.5 รองผู้อำนวยการ NARIT เผย ต้นตอหลักของการเกิดฝุ่น PM2.5 มาจากการเผาและการใช้รถไม่ถึงครึ่ง แต่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า “ละอองลอยทุติยภูมิ” ในงาน NARIT The Next Big Leap เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 68 ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) หรือ NARIT ได้มีการกล่าวถึงการนำองค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์มาปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาสังคม ซึ่งรวมถึงปัญหาใหญ่ใกล้ตัวอย่าง “วิกฤตฝุ่น PM2.5” ด้วย ดร. วิภู รุโจปการ รองผู้อำนวยการ NARIT บอกว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้เทคนิค “Mass Spectrometry” (แมสสเปกโทรเมทรี) ในการศึกษาองค์ประกอบฝุ่นเพื่อหาว่าต้นตอจริง ๆ ของฝุ่น PM2.5 มาจากการเผาตามที่มีการเข้าใจกันเป็นวงกว้างจริงหรือไม่ Mass Spectrometry คือการจำแนกโครงสร้างของโมเลกุลสารต่าง ๆ ออกมาในรูปแบบของสเปกตรัม ซึ่งทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สารนั้น ๆ มีองค์ประกอบที่แตกต่างกันเป็นอะไรบ้าง เช่น นักดาราศาสตร์จะใช้ตรวจวัดสเปกตรัมรังสีคอสมิกในบรรยากาศดวงจันทร์ ในที่นี้ ก็สามารถนำมาใช้ศึกษาฝุ่นได้และสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในปีนี้ด้วย ดร.วิภูบอกว่า ก่อนหน้านี้ในปี 2016 งานวิจัยต่างประเทศเคยมีการทดลองใช้ ACSM ใกล้กับกรุงมิลาน ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองอุตสาหกรรมของอิตาลี และมีประชากรมาก มีหลายองค์ประกอบที่คล้ายกรุงเทพและเชียงใหม่ การศึกษาครั้งนั้นออกมาว่า ในระยะเวลา 1 ปี องค์ประกอบโดยเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 ประกอบด้วย สารประกอบอินทรีย์ถึง 58% รองลงมาคือไนเตรท (NO3) 21% ตามด้วยซัลเฟต (SO4) 12% และแอมโมเนีย (NH4) 8% งานวิจัย Variations in the chemical composition of

NARIT! เผย “สาเหตุหลัก” ที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 อาจไม่ใช่แค่ “การเผา-การใช้รถ” อ่านเพิ่มเติม »

อะไรๆ ก็หม่าล่า พามาเบิ่ง หม่าล่าในอีสาน ยังฮอตฮิต หรือแค่กระแส(ที่เริ่มแผ่ว)

ถ้าพูดถึงอาหารยอดฮิตยอดนิยมตตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้น “หม่าล่า” อาหารรสชาติเผ็ดชาที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์จีน ที่ตอนนี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็กวัยรุ่นนักเรียนนักศึกษาไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งตอนนี้ก็มีธุรกิจร้านอาหารหม่าล่าผุดขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารแนวสตรีทฟู้ด (ร้านอาหารข้างทาง) ร้านอาหารปิ้งย่างชาบูบุฟเฟต์อลาคาส ที่มีคนยืนต่อคิวเข้าร้านมากกว่าร้อยคิวต่อหนึ่งวัน ฮู้บ่ว่าจริงๆ “หม่าล่า” ที่คนไทยพูดติดปากกันเป็นชื่ออาหาร แต่จริงๆแล้วคำว่า “หม่าล่า” นั้นแปลว่า อาการเผ็ดหรือเผ็ดจนลิ้นชา ซึ่งความเผ็ดนั้นมาจากเครื่องเทศ “ฮวาเจียว” ซึ่งเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งจากพริกไทยเสฉวน หรือ Sichuan Pepper  ความชื่นชอบรสชาติเผ็ดชาที่เป็นของแปลกใหม่ และถูกใจคนไทยจนถึงปัจจุบัน ทำให้ร้านหม่าล่าผุดขึ้นมามากมาย จำนวนร้านหม่าล่าเปิดเยอะกว่าก็อาจเป็นเพราะด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่าเชียงใหม่ รวมไปถึงจำนวนพื้นที่และพลังสื่อโซเชียลที่ช่วยกระจายร้านอร่อย ร้านเด็ด ร้านดังแชร์ให้คนตามมากินกันได้ง่ายกว่า แม้ว่าร้านหม่าล่าเป็นกระแสมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ร้านดังที่เป็นกระแสก็ยังเป็นที่นิยมมักเป็นร้านที่สร้างความแตกต่างจากที่อื่นได้ก่อน ยกตัวอย่างเช่น ร้านสุกกี้จินดา ที่ผสมความเป็นหม่าล่ากับหม้อชาบูเข้าด้วยกัน และยังเพิ่มจุดขายคือ สุกี้เสียบไม้ ซึ่งเป็นการใช้ความสะดวกสบายที่ใช้สายพานในการเสริฟอาหาร และด้วยความเป็นไม้ทำให้ลูกค้าสามารถกำหนดงบประมาณของตัวเองได้ และในช่วงที่เป็นกระแสในโลกออนไลน์ ก็ได้ไอเดียมาจากช่วงโรคระบาดโควิด-19 ที่ต้องใส่ใจความสะอาด และสุขอนามัยกลายมาเป็นสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังเพิ่มมากขึ้น ไอเดียหม้อแยกจึงสร้างความไว้วางใจ และช่วยประกอบการตัดสินใจได้ ยิ่งไปกว่านั้น สไตล์การกินแบบหม้อแยกยังเจาะกลุ่มเป้าหมายคนที่อยากกินคนเดียว ปัจจุบันขยายสาขาไปแล้วกว่า 40 สาขา แบ่งเป็นเจ้าของแบรนด์บริหารเอง 7 สาขา สาขาแฟรนไชส์ 33 สาขา   . ย้อนกลับไปช่วงปี 2566 ร้านหม่าล่าในไทยมีจำนวน 16,000 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 7.3% ผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่อย่าง LINE MAN ได้เผยสถิติที่สุดแห่งปี 2566 ด้านอาหาร พบว่าเมนูยอดฮิตจากผู้ใช้บริการกว่า 10 ล้านคน จากร้านอาหารกว่า 1 ล้านร้านใน 77 จังหวัด คือ หมาล่าเสียบไม้และสุกี้ชาบูหมาล่า เมนูดาวรุ่งสุดร้อนแรง มีผู้ใช้บริการ LINE MAN สั่งมากกว่า 1 ล้านออเดอร์ เพิ่มขึ้นถึง 45% เมื่อเทียบกับปี 2565 มีการพูดถึง หม่าล่า ถึง 3,697 ข้อความ Engagement 315,561 ครั้ง . ประเภทอาหารหม่าล่าที่คนบนโลกออนไลน์สนใจมากที่สุด ชาบูหม่าล่า 46% สุกี้หม่าล่า 37% ปิ้งย่างหม่าล่า 17% . ถ้าลองวิเคราะห์สถานการณ์ของกิจการ . จุดแข็งของกิจการ มีเมนูอาหารที่หลากหลาย วัตถุดิบมีคุณภาพ ราคาถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับ คุณภาพของอาหาร ปรุงด้วยสตรเฉพาะของทางร้าน  สถานที่ตั้งร้านอยู่ในแหล่งชุมชนและมีบริการจัดส่งในชุมชน มีการแนะนาเมนูอาหารใหม่ๆ และโปรโมชั่นใหม่ๆ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่นเว็บ เพจ ทางเฟสบุ๊ค ไลน์  มีอุปกรณ์อานวยความสะดวกในร้าน โดยมีเครื่องปรับอากาศที่เปิดตลอดเวลา และมีบริการ Free WIFI ให้แก่ลูกค้าเล่นระหว่างนั่งรออาหาร

อะไรๆ ก็หม่าล่า พามาเบิ่ง หม่าล่าในอีสาน ยังฮอตฮิต หรือแค่กระแส(ที่เริ่มแผ่ว) อ่านเพิ่มเติม »

สกลนคร-บึงกาฬ จังหวัดต้นแบบหน่วยงานรัฐโปร่งใส

ความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องอยู่คู่กับหน่วยงานและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ได้ดำเนินการจัดทำการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) เพื่อให้หน่วยงานและประชาชนรับรู้ถึงความโปร่งใสขององค์กรต่าง ๆ และนำข้อมูลไปปรับปรุงพัฒนา รูปแบบการประเมินตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา สำนักงาน ป.ป.ช. จะเป็นผู้ดำเนินการประเมินเอง โดยมีคะแนนประเมินตั้งแต่ 0-100 คะแนน และเกณฑ์ผ่านการประเมินที่ 85.00 คะแนนขึ้นไป ผลการประเมิน ITA ในปีงบประมาณ 2567 จากการสรุปผลการประเมินหน่วยงานภาครัฐในแต่ละจังหวัด พบว่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) มีเพียง 2 จังหวัดที่หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยผ่านเกณฑ์การประเมิน ได้แก่: จังหวัดสกลนคร จำนวนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์: 142 หน่วยงาน คะแนนเฉลี่ย: 97.32 คะแนน หน่วยงานที่มีคะแนนสูงสุด: เทศบาลตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ ซึ่งได้คะแนน 99.89 จังหวัดบึงกาฬ จำนวนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์: 59 หน่วยงาน คะแนนเฉลี่ย: 96.90 คะแนน หน่วยงานที่มีคะแนนสูงสุด: เทศบาลตำบลท่าสะอาด อำเภอเซกา ซึ่งได้คะแนน 99.91 ทั้งสองจังหวัดนี้ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของหน่วยงานรัฐในด้านการดำเนินงานด้วยคุณธรรมและความโปร่งใส ภาพรวมในภาคอีสาน สำหรับภาพรวมในภาคอีสาน มีหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้น 2,629 หน่วยงาน จากทั้งหมด 2,985 หน่วยงาน คิดเป็นสัดส่วน 88% โดยมีข้อมูลสัดส่วนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ในจังหวัดที่โดดเด่นและจังหวัดที่ต้องัฒนาต่อไป ดังนี้   จังหวัดที่มีสัดส่วนหน่วยงานผ่านเกณฑ์สูง (รองจากสกลนครและบึงกาฬ) อำนาจเจริญ สัดส่วนที่ผ่าน: 98.46% (64 จาก 65 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 94.57 หนองคาย สัดส่วนที่ผ่าน: 97.10% (67 จาก 69 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 94.10 ขอนแก่น สัดส่วนที่ผ่าน: 96.90% (219 จาก 226 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 94.78   จังหวัดที่มีสัดส่วนหน่วยงานผ่านเกณฑ์ต่ำ มหาสารคาม สัดส่วนที่ผ่าน: 75.69% (109 จาก 144 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 88.07 ศรีสะเกษ สัดส่วนที่ผ่าน: 68.81% (150 จาก 218 หน่วยงาน) คะแนนเฉลี่ย: 86.82 หนองบัวลำภู สัดส่วนที่ผ่าน: 68.12% (47 จาก 69

สกลนคร-บึงกาฬ จังหวัดต้นแบบหน่วยงานรัฐโปร่งใส อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่งหนี้สาธารณะแต่ละประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง GMS

. ​​จากข้อมูลปี 2566  ไทยเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงสุดในอาเซียน โดยมียอดหนี้กว่า 11,131 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารเศรษฐกิจ ในขณะที่กัมพูชา มียอดหนี้ต่ำสุดในกลุ่มนี้เพียง 374 พันล้านบาท ทำให้ประเทศกัมพูชาดูเหมือนจะมีเสถียรภาพทางการเงินที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน   ตารางเปรียบเทีบหนี้สินสาธารณะของแต่ละประเทศ(บาท,ดอลลาร์) ประเทศ พันล้านบาท พันล้านดอลลาร์ เป็นเปอร์เซ็นของ​GDP มูลค่าgdpของแต่ละประเทศ(พันล้านดอลล่าร์) เวียดนาม 5,530 158 37% 429.7 กัมพูชา 374.54 11.24 37.2% 31.77 ลาว 460.51 13.83 108% 15.84 ไทย 11,131.63 318.05 62.14% 514.9   สาเหตุในการก่อหนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: ประเทศต่างๆ มักก่อหนี้เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน รถไฟ สนามบิน เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือภาคเอกชน: ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลอาจต้องกู้เงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ การขาดดุลงบประมาณ: หากรายได้ของรัฐบาลน้อยกว่ารายจ่าย รัฐบาลก็จำเป็นต้องกู้เงินมาชดเชย ปัจจัยทางการเมือง: การตัดสินใจก่อหนี้บางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางการเมือง เช่น การหาเสียงเลือกตั้ง หรือการสร้างผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภาระดอกเบี้ย: หนี้สาธารณะที่สูงจะส่งผลให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจำนวนมาก ซึ่งอาจกระทบต่องบประมาณที่ควรจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน ความน่าเชื่อถือทางการเงิน: หนี้สาธารณะที่สูงเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจและอาจถอนเงินลงทุนออกไป อัตราแลกเปลี่ยน: หนี้สาธารณะที่สูงอาจทำให้สกุลเงินของประเทศอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าและบริการ และอาจทำให้ราคาสินค้าภายในประเทศสูงขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจ: หนี้สาธารณะที่สูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะรัฐบาลอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากในการชำระหนี้แทนที่จะนำไปลงทุนในกิจกรรมที่สร้างการเติบโต ผลกระทบต่อประชาชน การลดลงของบริการสาธารณะ: เมื่อรัฐบาลต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจำนวนมาก อาจต้องลดการลงทุนในบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ภาษีที่สูงขึ้น: เพื่อนำเงินมาชำระหนี้สาธารณะ รัฐบาลอาจต้องเพิ่มอัตราภาษี ซึ่งเป็นภาระแก่ประชาชน ความไม่เสมอภาค: หนี้สาธารณะที่สูงอาจทำให้เกิดความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ เพราะประชาชนบางกลุ่มอาจได้รับผลกระทบจากหนี้สาธารณะมากกว่ากลุ่มอื่นๆ หมายเหตุ: การวิเคราะห์นี้เป็นเพียงภาพรวมเบื้องต้น การวิเคราะห์ที่ละเอียดจะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ นโยบายทางการเงินและการคลัง และปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อหนี้สาธารณะ   ที่มา เว็ปไซต์ :NBT-connext ,moneybuffalo ,khmertimeskh ,vir ,tradingeconomics ,worldeconomics พามาเบิ่ง GDP ย้อนหลัง 35 ปี ของอีสานบ้านเฮาและเพื่อนบ้าน GMS  

พามาเบิ่งหนี้สาธารณะแต่ละประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง GMS อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 8 ปีผ่านไป ไทยขาดดุลจีนมากแค่ไหน

ฮู้บ่ว่า ไทยมีแนวโน้มที่จะขาดดุลทางการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการขาดดุลทางการค้ากับจีนในปีที่ผ่านมา( มกราคม – พฤศจิกายน) มากถึง 1.47 ล้านล้านบาท   . จีนนับว่าเป็นประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักกับไทยมาอย่างยาวนานและเป็นประเทศที่ไทยมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าเข้ามามากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ในขณะเดียวกันไทยก็ขาดดุลทางการค้ากับจีนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มสร้างความกังวลให้กับผู้ผลิตในประเทศไทย ที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากจีนที่มากเกินไปกระทั่งเรียกได้ว่าเป็นสินค้าทะลักจากจีน   . ในช่วงก่อนสงครามทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ในปี 2561 ขณะนั้นไทยเองก็มีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่าส่งออกไปจีนมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่งผลให้พอเกิดสงครามการค้าขึ้นที่จีนได้รับผลกระทบจากนโยบายทางภาษีศุลกากรจากสหรัฐอเมริกาและทำให้สินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีต้นทุนที่สูงขึ้นและได้เริ่มมองหาตลาดใหม่ๆเพื่อรองรับสินค้า ซึ่งเป้าหมายในการเป็นตลาดรองรับสินค้าจากจีนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมไทยของเราด้วยนั่นเอง   . หากเปรียบเทียบระหว่างช่วงก่อนสงครามการค้าและในปัจจุบัน จะพบว่า ไทยมีสัดส่วนการนำเข้าจากจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดในช่วงก่อนสงครามการค้าที่ 20% แต่ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 26% ซึ่งบ่งบอกถึงการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากจีนที่มากขึ้น โดยมีสินค้าที่โดดเด่นหลักๆคือสินค้าประเภท อุปกรณ์ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์จากเหล็กกล้า ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่ไทยได้นำเข้าจากจีนในปีที่ผ่านมา ในด้านการส่งออกของไทย จะมีสินค้าหลักเป็นสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์จากสินค้าเกษตร ได้แก่ ผลไม้และลูกนัต ยางและผลิตภัณฑ์จากยางเป็นต้น    . การนำเข้าสินค้าจากจีนที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมส่งผลกระทบกับประเทศไทยเองในหลายๆด้าน ซึ่งก็มีปัญหาที่หลายๆฝ่ายกังวลอย่างเช่น ผู้ประกอบการที่อยู่ในประเทศนั้นจะไม่สามารถแข่งกับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในภาคการผลิต ที่ผลิตสินค้าใกล้เคียงกันกับสินค้าที่ไทยนำเข้ามาจากจีน ในส่วนของผู้ประกอบการภาคการค้า มีบางส่วนที่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน แต่ก็มีผู้ประกอบการที่ได้รับอานิสงส์จากการนำเข้าสินค้าจากจีน จากต้นทุนด้านราคาที่ถูกลง    . เนื่องจากปัญหาของการนำเข้าจากจีนที่มากขึ้น สามารถสร้างผลกระทบให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและกระจายไปยังเศรษฐกิจในวงกว้าง ส่งผลให้ปัญหาดังกล่าวควรมีการเร่งปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสีย และหาทางออกหรือแนวทางการป้องกันที่ครอบคลุมมากเพียงพอที่จะป้องกันภาคธุรกิจภายในประเทศ หรืออย่างน้อยก็สามารถทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวเพื่อสู้กับปัญหาสินค้าทะลักจากต่างประเทศได้ ลาวถูกแซงหน้า จากสินค้าจีนล้นด่านชายแดนอีสาน : เปรียบเทียบการนำเข้าก่อน-หลังสงครามการค้า สินค้า🇨🇳จีนทะลักครองสัดส่วนการนำเข้าสินค้าผ่านแดนอีสานสูงถึง 83% เปิด เส้นทางขนส่งสินค้า ออนไลน์ ทำไมต้องผ่าน “มุกดาหาร” 2 วัน ส่งไว จีน-ไทย ไม่เกินจริง

พามาเบิ่ง 8 ปีผ่านไป ไทยขาดดุลจีนมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

Go Wholesale รุกอีสาน เปิดสาขาอุดร ขอนแก่น

ชื่อบริษัท: บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ปีที่จดทะเบียน: 24 พ.ย. 2565 ทุนจดทะเบียน: 1,800 รายได้ปี 2566: 479 ล้านบาท กำไรปี 2566: -342 ล้านบาท ผู้บริหาร: คุณสุชาดา อิทธิจารุกุล สาขาอุดรธานี ลำดับสาขา: 11 วันที่เปิด: 17 ม.ค. 2568 ที่ตั้ง: 217 ถ.เลี่ยงเมืองหนองคาย ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000 ขนาดพื้นที่: ตั้งอยู่บนพื้นที่ 37 ไร่ พื้นที่ขายกว่า 9,100 ตร.ม. ภาพจาก Inside Udon   สาขาขอนแก่น ลำดับสาขา: 12 วันที่เปิด: 22 ม.ค. 2568 ที่ตั้ง: 1/51 ถ.ประชาสโมสร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 ขนาดพื้นที่: ตั้งอยู่บนพื้นที่ 27 ไร่ พื้นที่ขายประมาณ 9,000 ตร.ม. ภาพจาก Khon Kaen Update   สาขาทั่วประเทศ  กรุงเทพมหานคร 3 สาขา ชลบุรี 2 สาขา ปทุมธานี 1 สาขา เชียงใหม่ 1 สาขา สมุทรปราการ 1 สาขา ภูเก็ต 2 สาขา อุดรธานี 1 สาขา ขอนแก่น 1 สาขา Go Wholesale ศูนย์ค้าส่งน้องใหม่ในประเทศไทยจากเครือเซ็นทรัลที่พึ่งเกิดใหม่ในปี 2565 และเปิดสาขาแรกในปี 2566 มีสินค้าให้เลือกมากมายกว่า 20,000 รายการ การเข้ามาของ Go Wholesale แน่นอนว่าเข้ามาเพื่อเป็นคู่แข่งกับ Makro ของเครือซีพีโดยตรง โดยทาง Go Wholesale ได้คุณสุชาดา อิทธิจารุกุล มานำทัพในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ ในธุรกิจเครือ CRC เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณสุชาดา อิทธิจารุกุล เป็นผู้คร่ำหวอดอยู่ในธุรกิจค้าส่งมานานเกือบ 3

Go Wholesale รุกอีสาน เปิดสาขาอุดร ขอนแก่น อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง โฉนดที่ดินของเเต่ละจังหวัดในอีสาน เปลี่ยนเเปลงเพิ่มขึ้นไปมากเท่าใด ในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา

. โฉนดที่ดิน ถือเป็นเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินประเภทหนึ่ง ที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะใช้เอกสารดังกล่าว ในการแสดงความเป็นเจ้าของ และใช้ในการประกอบธุรกรรมด้านต่างๆ เช่น ซื้อ ขาย จำนอง เป็นต้น  . ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานจากข้อมูลของกรมที่ดินพบว่า จังหวัดนครราชสีมาเเละขอนเเก่นเป็นจังหวัดที่มีโฉนดที่ดินมากที่สุดในประเทศเป็นอันดับที่ 2  เเละ  3 เป็นรองเพียงกรุงเทพมหานคร โดยมีปริมาณเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินอยู่ที่1,566,201 เเปลงเเละ 1,166,513  เเปลง ตามลําดับ ส่วนกรุงเทพมหานครมากสุดในประเทศอยู่ที่ 2,182,095 เเปลง จากทั้งหมด 37,272,607 เเปลงทั่วประเทศ  . ในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา(พ.ศ.2559- 2567) เมื่อมองถึงร้อยละการเปลี่ยนเเปลงที่เพิ่มขึ้นจะพบว่าจังหวัดที่มีโฉนดที่ดินเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือบึงกาฬ ที่ร้อยละ 22.73 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนเเปลงของทั้งภูมิภาคที่อยู่ที่ร้อยละ 15.67 ส่วนจังหวัดนครราชสีมาที่มีโฉนดที่ดินมากที่สุดกลับเปลี่ยนเเปลงเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 14.04 . โดยโฉนดที่ดินของทั้งภูมิภาคในปัจจุบันอยู่ที่ 12,343,003 เเปลง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงในด้านการถือครองและการจัดการโฉนดที่ดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของเขตเมือง และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชน ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การสิ่งเเวดล้อม การสํารวจดูการเปลี่ยนเเปลงเอกสารสิทธ์ในที่ดิน โดยเฉพาะโฉนดที่ดินจึงมีประโยชน์เเก่ผู้ที่สนใจเเละสามารถนําข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการวิเคราะห์วางเเผนด้านต่างๆ . พาสำรวจเบิ่ง “ราคาที่ดินต่ำสุด-สูงสุด” แต่จังหวัดในภาคอีสาน ที่มา : กรมที่ดิน . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #ที่ดิน #โฉนด #โฉนดที่ดิน

พามาเบิ่ง โฉนดที่ดินของเเต่ละจังหวัดในอีสาน เปลี่ยนเเปลงเพิ่มขึ้นไปมากเท่าใด ในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา อ่านเพิ่มเติม »

3 วัดชื่อดังของแต่ละประเทศเพื่อนบ้าน สายบุญห้ามพลาด!

วันนี้เราจะพามาแนะนำวัดชื่อดังที่สายบุญห้ามพลาด ต้องได้ลองไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต   ไทย(อีสาน) – วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา  วัดเก่าแก่ในตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด เป็นวัดสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตของ พระเทพวิทยาคม หรือ “หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ” พระเกจิชื่อดังซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั้งประเทศ ภายในวัดมีสิ่งปลูกสร้างสำคัญ ๆ อยู่หลายอาคาร ได้แก่ พระอุโบสถ พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ หอแก้ว หอระฆัง อาคารประชาสัมพันธ์ ศูนย์โอทอป (OTOP) และที่โดดเด่นสวยงามอย่างมากคือ หอเทพวิทยาคม เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา (อาคารปริสุทธปัญญา) ซึ่งเป็นอุทยานธรรม 5 ชั้น กลางบึงน้ำขนาดใหญ่    -วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ตั้งอยู่ที่ถนนประจักษ์ศิลปาคม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองหนองคาย เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วิจิตรตระการตา และเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อพระใส” พระพุทธรูปสำคัญคู่เมือง เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ในสมัยล้านช้าง หล่อด้วยทองสีสุก หน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ซึ่งในช่วงวันสงกรานต์ของทุกปี จะมีการจัดงานสมโภชและขบวนแห่ให้ชาวหนองคายได้สรงน้ำหลวงพ่อพระใสเพื่อความเป็นสิริมงคลกันอีกด้วย   -วัดมหาธาตุ จังหวัดยโสธร วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองยโสธร ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองยโสธร อำเภอเมืองยโสธร ภายในวัดมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญคือ “พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์” หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยเชียงแสน เป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธรและเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำเมืองที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย และพระธาตุอานนท์ พระธาตุเก่าแก่ที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน   ลาว –วัดเชียงทอง สร้างขึ้นใน พ.ศ.2103 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เป็นวัดสวยของหลวงพระบางที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ที่นี่ถือว่าเป็นวัดเก่าแก่ และสวยที่สุดในหลวงพระบาง จนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็น “อัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมสกุลช่างล้านช้าง” เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างตอนเหนือที่งดงามมาก  จุดเด่นที่ต้องห้ามพลาดเลยก็คือ วิหารพระม่าน และหอพระพุทธไสยาสน์ ผนังด้านนอกทาพื้นเป็นสีชมพูกุหลาบ ตกแต่งดอกลวดลายสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของเมืองหลวงพระบาง ถ้าใครได้มาเที่ยวหลวงพระบางแล้ว ไม่ได้แวะมาเยือนวัดเชียงทอง แทบเหมือนมาไม่ถึงหลวงพระบางเลยทีเดียว   –พระธาตุพูสี ตั้งอยู่บนยอดเขากลางเมืองหลวงพระบาง ที่มีความสูงถึง 150 เมตรเลยทีเดียว สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอนุรุท ประมาณปี พ.ศ.2337 และเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของชาวหลวงพระบาง มีพระพุทธรูป และรอยพระพุทธบาทเก่าแก่ การขึ้นพระธาตุพูสี ต้องเดินขึ้นบันไดจำนวน 328 ขั้น ทางขึ้นพระธาตุมี 2 ทาง คือทางฝั่งแม่น้ำคาน กับฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งมีความสวยงามต่างกันไป อีกทั้งด้านบนยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยที่สุดของหลวงพระบาง สามารถมองเห็นวิวหลวงพระบางได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว   –วัดโพนไซ วัดโพนไซ หรือ วัดโพนชัยชนะสงคราม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2344 โดยพระเจ้าอนุรุทธราช กษัตริย์แห่งหลวงพระบาง พระอุโบสถเป็นศิลปะแบบหลวงพระบาง ในอดีตมีความเชื่อกันว่า

3 วัดชื่อดังของแต่ละประเทศเพื่อนบ้าน สายบุญห้ามพลาด! อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top