SHARP ADMIN

เปิดรับทั่วประเทศ สู่เส้นทางวงการบันเทิง “BMG Flock into Be My Gangstar” กับการคัดเลือกให้เป็นตัวท็อปสายบันเทิงเจนใหม่

📢 BMG Project 2025 Flock into Be My Gangstar คุณคือรายต่อไป ที่จะโดนหมายหัว กับการคัดเลือกให้เป็นตัวท็อปสายบันเทิงเจนใหม่ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับแก็งค์สตาร์ ซ่าส์ไปกับความสนุก โชว์ความสามารถ เติมเต็มความฝันของคุณ ในวงการบันเทิง พร้อมเสิร์ฟคอนเทนต์ภาพยนตร์ ซีรีส์ ร้อง เต้น เล่น ดนตรี ไปกับเราชาว Gangstar @flockinto พบกับ 2 หนุ่มหล่อ น้องแคมป์ คุณาธิป และ น้องจิมมี่ จิรเมธ 17-18 พ.ค. นี้ โปรเจค BMG Flock into Be My Gangstar ชั้น 3 เดอะมอลล์ บางแค สำหรับผู้ชนะโปรเจค BMG Flock into Be My Gangstar ผู้ชนะเลิศฝ่ายชาย จะได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท ผู้ชนะเลิศฝ่ายหญิง จะได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ฝ่ายชาย จะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ฝ่ายหญิง จะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ฝ่ายชาย จะได้รับเงินรางวัล 3,000 บาท รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ฝ่ายหญิง จะได้รับเงินรางวัล 3,000 บาท และตำแหน่งพิเศษอีกมากมาย รวมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 100,00 บาท และสำหรับผู้ที่ผ่านการออดิชั่น -ได้ร่วมแสดงซีรีส์วาย เรื่อง “อาการมันเป็นยังไงไหนบอกหมอ..” (Lottery Doctor) -ได้ร่วมแสดงซีรีส์วาย เรื่อง “Culture of love” -ได้ร่วมโปรเจค ไทย-บอลลี่วู้ด-จีน -ได้เป็น Brand Ambassador ผลิตภัณฑ์ Maxi B -ได้เป็นศิลปิน ได้ร่วมคอนเทนต์ อีกมากมาย #อาการมันเป็นยังไงไหนบอกหมอ #lotterydoctor #BMGproject #BMGproject2025 #FlockIntoBeMyGangstar #FlockInto #GangStar #bl #ซีรีส์วาย #ยูริ #Movies #Artist #คู่จิ้น #เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์บางแค #แคมป์คุณาธิป #จิมมี่จิรเมธ ♬ […]

เปิดรับทั่วประเทศ สู่เส้นทางวงการบันเทิง “BMG Flock into Be My Gangstar” กับการคัดเลือกให้เป็นตัวท็อปสายบันเทิงเจนใหม่ อ่านเพิ่มเติม »

ทำไม บึงกาฬ จึงเป็นจังหวัดเดียวในอีสานที่เศรษฐกิจหดตัว ปี 66 เจาะลึกปัญหา และ โอกาสที่ต้องเผชิญ

 บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่กับปัญหา และ โอกาสที่ต้องเผชิญ จังหวัดบึงกาฬหรือจังหวัดน้องใหม่เป็นจังหวัดที่มีการพึ่งพาภาคการเกษตรมากที่สุดในภาคอีสานจังหวัดบึงกาฬเป็นหนึ่งในจังหวัดสำคัญในการปลูก ต้นยาง และ ปาล์มน้ำมัน เพื่อส่งออกเป็นรายได้ให้กับจังหวัดจังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่มีการปลูกยางพารามากที่สุดในภาคอีสานรวมไปถึงปาล์มน้ำมันก็เช่นเดียวกันที่การปลูกมากที่สุดในภาคอีสาน การท่องเที่ยวก็เช่นกันมีการท่องเที่ยวเชิง ศาสนาที่เดินตามรอยพยานาค จังหวัดน้องใหม่ที่มีขนาดเศรษฐกิจอยู่ที่อันดับที่ 17 ของภูมิภาค แต่มีรายได้ต่อหัวสูงถึง อันดับที่ 7 ของภูมิภาค อะไรที่ทำให้จังหวัดน้องใหม่อย่างบึงกาฬมีรายได้ต่อหัวที่สูงขนาดนี้ และ จังหวัดบึงกาฬจะสามารถพัฒนาไปในทิศทางไหนได้บ้าง  พาส่องเบิ่ง GPP อีสานปีล่าสุด 2566 จังหวัด Big 5 of ISAN มีมูลค่ามากกว่า 50% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งภาคอีสาน . . อีสานอินไซต์ สิพามาเบิ่ง ทำไม บึงกาฬ จังหวัดเดียวที่เศรษฐกิจหดตัว? . ก่อนอื่นอาจจะต้องทำความเข้าใจโครงสร้างของจังหวัดบึงกาฬก่อน เพราะจังหวัดบึงกาฬนั้นมีแรงงานกว่า 80% อยู่ในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเกษตรกรเหล่านี้เพาะปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมันและปลูกข้าว ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับราคาของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และเกษตรกรเหล่านี้ก็นำเงินที่ได้ไปจับจ่ายใช้สอยซึ่งทำให้เกิดมูลค่าในเศรษฐกิจภาคการค้าและบริการในจังหวัด . ในภาคการเกษตรนั้น หากจะกล่าวก็คือบึงกาฬนั้นเป็นจังหวัดที่มีผลิตภาพทางการเกษตรสูงสุด นั่นหมายความว่าเกษตรกร 1 คนมีมูลค่าที่ได้จากการผลิตทางการเกษตรนั้นสูงที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน เพราะ บึงกาฬนั้นมีผลิตผลผลิตทางการเกษตร สูงสุดคือ ยางพารา . แต่ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ดัชนีราคายางพาราทั่วประเทศนั้น ค่อนข้างตกต่ำในรอบหลายปี ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรซึ่งเป็นรายได้หลักและเป็นเศรษฐกิจภาคการเกษตรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดบึงกาฬ เมื่อเกษตรกรรายได้ลดลงการจับจ่ายใช้สอยและการซื้อสินค้าคงทน ทั้งรถยนต์รวมไปถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือน การหดตัวของสินเชื่อและรวมถึงความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อทำให้การซื้อและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หดตัวลงเช่นกัน นอกจากนั้นในฝั่งภาคการลงทุนด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในภาคอีสานนั้น มักจะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร แต่กลับพบว่าการลงทุนเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นโรงงานการแปรรูปยางพารา ลงทุนในจังหวัดใกล้เคียงอย่าง เช่น สกลนคร และ นครพนม ซึ่งมีพื้นที่ติดกับชายแดนและเขตพื้นที่การค้า ทำให้บทบาทของจังหวัดบึงกาฬนั้นกลายเป็นเพียงพื้นที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ส่วนพื้นที่แปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าการผลิตทางการเกษตรนั้น ไปเติบโตในจังหวัดใกล้เคียง และเมื่อภาคอุตสาหกรรมไม่ได้ถูกลงทุน ภาคการเกษตรที่เป็นรายได้หลักหดตัวจากราคาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง การบริโภคหดตัวลงและส่งผลกระทบต่อภาคการค้าและภาคบริการในจังหวัด ทั้งหมดนี้จึงทำให้จังหวัดบึงกาฬเป็นเพียงแค่จังหวัดเดียว ที่มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือ GPP หดตัวถึง 5.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเป็นเพียงแค่จังหวัดเดียวในภาคอีสานที่ขนาดเศรษฐกิจหดตัวลงนั่นเอง   โดยจะแยกรายละเอียดเพิ่มเติมถึงโอกาส และ ความท้าทายที่จังหวัด บึงกาฬ ได้ 5 ประเด็น ดังนี้ .   1. อย่างที่เรารู้กันจังหวัดบึงกาฬนั้นเป็นจังหวัดที่มีการ ปลูก ยางพารา และ ปาล์มน้ำมันมากที่สุด ในภาคอีสาน ซึ่งยางพาราสามารถให้ผลผลิตกว่า 1.3ล้านตัน จังหวัดบึงการมีการพึ่งพาภาคการเกษตรเป็นหลัก และ ในปี 2565 จังหวัดบึงกาฬ ถือเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตการเพาะปลูกยางพารามากทึ่สุดในภาคอีสาน อยู่ที่ 208,035 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 15.6% อีกทั้งมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงที่สุดในภาคอีสาน และสูงที่สุดของประเทศด้วย โดยมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่อยู่ที่ 248

ทำไม บึงกาฬ จึงเป็นจังหวัดเดียวในอีสานที่เศรษฐกิจหดตัว ปี 66 เจาะลึกปัญหา และ โอกาสที่ต้องเผชิญ อ่านเพิ่มเติม »

ธุรกิจโรงสีข้าวร้อยเอ็ด มีรายได้รวมมากที่สุดในอีสาน แต่กระจุกตัวเพียงไม่กี่รายจริงหรือไม่?

บริบทภาคการเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด ‘ข้าว’ ถือเป็นจิตวิญญาณของคนร้อยเอ็ด โดยพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดแห่งนี้เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ ด้วยพื้นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ ทำให้ร้อยเอ็ดสามารถปลูกข้าวได้หลากหลายสายพันธุ์ตลอดทั้งปี โดยร้อยเอ็ดมีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 3.1 ล้านไร่ มีผลผลิตข้าวนาปีในปี 2567 ปริมาณ 9.9 แสนตัน มากเป็นอันดับ 6 ของภาค และมี ‘ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้’ เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)ประจำจังหวัด มีความหอมและความเรียวสวยงามเป็นเอกลักษณ์ สามารถส่งออกสู่ตลาดนานาชาติ พาเปิดเบิ่ง “ทุ่งกุลาร้องไห้” มีอะไรบ้าง🌾🍚✈️ บทบาทของโรงสีข้าวต่อเศรษฐกิจอีสานและจังหวัดร้อยเอ็ด ในด้านของธุรกิจที่ควบคู่มากับชุมชนปลูกข้าว คงหนีไม่พ้น ‘ธุรกิจโรงสีข้าว’ ซึ่งเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานอันสำคัญ จากการที่ในภาคอีสานซึ่งมีการปลูกข้าวมาก จึงทำให้มีโรงสีข้าวกระจายอยู่ทั่วไป ตั้งแต่โรงสีข้าวขนาดเล็กในชุมชน จนไปถึงโรงสีขนาดใหญ่ที่ผลิตข้าวระดับประเทศและเป็นผู้ส่งออก ซึ่งบทบาทของโรงสีนั้นไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับแปรรูปผลผลิต แต่ยังถือว่าเป็น ‘จุดผ่านสำคัญ’ ของข้าว ช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่มีแหล่งจำหน่ายข้าว สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนั้นธุรกิจโรงสียังก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่อีกด้วย จากข้อมูลนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงสีข้าวที่ยังดำเนินการอยู่ในปี 2568 ในภาคอีสานมีทั้งสิ้น 336 ราย คิดเป็นสัดส่วน 32% ของประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนและจำนวนโรงสีมากที่สุดในประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็นรายเล็ก จากการที่มีทุนจดทะเบียนรวม 1.25 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเพียง 27% ของประเทศ และมีรายได้รวม 6.67 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเพียง 20% ของประเทศ โดย 3 จังหวัดที่มีธุรกิจโรงสีข้าวมากที่สุดในภาคอีสาน ได้แก่ สุรินทร์ 51 ราย อุบลราชธานี 40 ราย นครราชสีมา 40 ราย ศรีสะเกษ 27 ราย อุดรธานี 27 ราย โดยจังหวัดร้อยเอ็ด มีจำนวนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงสีข้าวอยู่ทั้งสิ้น 26 ราย เป็นอันดับ 6 ในอีสาน โดยคิดเป็นเพียง 8% ของนิติบุคคลประเภทเดียวกันในภาค  และมีทุนจดทะเบียนรวม 0.13 หมื่นล้านบาท แม้ในด้านจำนวนนิติบุคคลจะไม่ได้ติด Top 5 ของภูมิภาค แต่เมื่อมองในด้านของรายได้รวมของธุรกิจแล้วนั้น จะพบว่าธุรกิจโรงสีในร้อยเอ็ดมีรายได้รวม ‘มากที่สุดในอีสาน’ กว่า 1.11 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ทั้งภูมิภาคถึง 17% ในส่วนของอันดับ 2 – 5 จังหวัดที่มีรายได้รวมสูงสุด ได้แก่ ศรีสะเกษ 0.93 หมื่นล้านบาท สุรินทร์ 0.78 หมื่นล้านบาท นครราชสีมา 0.72 หมื่นล้านบาท อุบลราชธานี 0.59 หมื่นล้านบาท   โรงสีข้าวร้อยเอ็ด ใหญ่อันดับต้นๆของอีสาน ชูจุดแข็ง

ธุรกิจโรงสีข้าวร้อยเอ็ด มีรายได้รวมมากที่สุดในอีสาน แต่กระจุกตัวเพียงไม่กี่รายจริงหรือไม่? อ่านเพิ่มเติม »

ประเทศไทย ประเทศเทา รายได้ใต้เงา กับธุรกิจนอกระบบในสังคมไทย

ธุรกิจรายย่อยในประเทศไทยนับหมื่นรายถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของการจ้างงาน และการสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ไม่มากก็น้อย แม้ว่าธุรกิจในกลุ่มนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยแต่ผู้ประกอบการธุรกิจในกลุ่มนี้หลายรายไม่ได้มีการจดทะเบียนธุรกิจอย่างถูกกฎหมายหรือเรียกว่าธุรกิจนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการจดทะเบียนพาณิชย์หรือนิติบุคคลก็ตาม ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้อย่างเต็มเม็ดเต้มหน่วย อีกทั้งธุรกิจนอกระบบเหล่านี้เนื่องจากไม่ได้มีการจดทะเบียนทำให้ลูกจ้างนั้นไม่ได้มีการส่งเข้าสู่ระบบประกันสังคมซึ่งถือเป็นสิทธิ์ของลูกจ้างเช่นกัน รายงานจากธนาคารโลก (World Bank) ในปี พ.ศ. 2563 ระบุว่า ประเทศไทยมีขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก และใหญ่ที่สุดในอาเซียน คิดเป็นมูลค่าราว 7 ล้านล้านบาท จากมูลค่า GDP ที่ 15.7 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งหากรวมเศรษฐกิจนอกระบบเข้าไปจะทำให้ GDP โดยรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 22.7 ล้านล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ถูกนำมาบันทึกในระบบ และบ่งชี้ว่า หากสามารถดึงสัดส่วนที่อยู่นอกระบบเหล่านี้เข้าสู่ระบบได้ ก็จะทำให้รายได้ของรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้น มีแหล่งรายได้เพิ่มเติม และสามารถจัดสรรทรัพยากรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนได้มากขึ้น และจากรายงานของ OECD ระบุว่า ในภูมิภาคอาเซียนกว่า 80% ของธุรกิจ และ 55% ของแรงงาน ยังคงอยู่นอกระบบ ซึ่งหมายความว่าแรงงานจำนวนมหาศาลไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ขาดหลักประกันทางสังคม และไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แม้จะเป็นแรงงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานราก รูปที่ 1 ขนาดเศรษฐกิจนอกระบบทั่วโลก พ.ศ. 2563 ที่มา: World Bank เมื่อพิจารณาจากธุรกิจทั่วประเทศ พบว่า จากการรายงานของ สสว. ประเทศไทยมีผู้ดำเนินกิจการประมาณ 3.2 ราย แต่มีเพียง 890,000 รายเท่านั้นที่จดมีการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งใกล้เคียงกับข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่แจ้งว่ามีจำนวนธุรกิจที่จดทะเบียนและยังดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้นราว 9.3 แสนแห่ง สะท้อนว่าเกือบ 3 ใน 4 ของผู้ประกอบการรายย่อยยังคงดำเนินกิจการอยู่นอกระบบ ซึ่งเป็นผลจากทั้งอุปสรรคเชิงโครงสร้าง เช่น ขั้นตอนการจดทะเบียนที่ซับซ้อน การขาดความรู้ด้านบัญชีและกฎหมาย ตลอดจนปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น ไม่เห็นความจำเป็นในการเข้าสู่ระบบ ซึ่งหากผู้ประกอบการที่เหลือมีการเข้าสู่ระบบทั้งหมด จะทำให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ธุรกิจนอกระบบมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากธุรกิจในระบบอย่างชัดเจน โดยมักดำเนินการอยู่ในระดับครัวเรือนหรือรายบุคคล เช่น ร้านขายของชำขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย ร้านอาหารในชุมชน ช่างฝีมืออิสระ และบริการพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งกระจายอยู่ในหลากหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม การค้าปลีกขนาดเล็ก และภาคบริการ รูปที่ 2 สัดส่วนธุรกิจที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคล ที่มา: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภาคอีสานเป็นภาคที่มีสัดส่วนของธุรกิจนอกระบบสูงที่สุด โดยกว่า 90% ของร้านค้าในพื้นที่ไม่ได้จดทะเบียนกับภาครัฐ รองลงมาคือภาคเหนือ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน ปัจจัยที่มีผล ได้แก่ ระดับรายได้เฉลี่ยของประชาชนในพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ความพร้อมด้านทักษะและเทคโนโลยี ตลอดจนการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ยังไม่เพียงพอ สถานการณ์นี้ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยในภูมิภาคดังกล่าวขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนหรือการสนับสนุนด้านพัฒนาอาชีพ และต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากธุรกิจในระบบที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่า รูปที่ 3 สัดส่วนธุรกิจนอกระบบ แบ่งตามภูมิภาค

ประเทศไทย ประเทศเทา รายได้ใต้เงา กับธุรกิจนอกระบบในสังคมไทย อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐พลังงานข้ามพรมแดนไทยพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวแค่ไหน

ฮู้บ่ว่า? สปป.ลาว เป็นแหล่งซื้อไฟฟ้าที่สำคัญที่สุดของไทย ด้วยข้อตกลงการซื้อไฟฟ้ากว่า 10,500 เมกะวัตต์ ผ่านจุดรับในภาคอีสาน กระจายสู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศ . ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ขยายความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ความร่วมมือนี้ได้พัฒนาเป็นโครงการขนาดใหญ่ภายใต้แนวคิด “Battery of Southeast Asia” ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้ารายหลักจากลาวอย่างต่อเนื่อง . ข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า ไทยมีข้อตกลงซื้อไฟฟ้าจากลาวรวมสูงถึง 10,500 เมกะวัตต์ โดยได้ลงนามในสัญญาไปแล้วประมาณ 9,342 เมกะวัตต์ และมีการรับไฟฟ้าในปี 2567 แล้วประมาณ 5,936 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นราว 10% ของความต้องการไฟฟ้าทั้งประเทศ โดยมีแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ เขื่อนไซยะบุรี เขื่อนน้ำเทิน 2 และเขื่อนน้ำงึม 2 (พลังน้ำ) รวมถึงโรงไฟฟ้าหงสา (ถ่านหิน) . สาเหตุที่ไทยนำเข้าไฟฟ้าจากลาวมีหลากหลายปัจจัย ทั้งในด้านต้นทุนที่อาจต่ำกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศ เนื่องจากลาวมีทรัพยากรพลังน้ำที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในบางโครงการต่ำกว่าการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในไทย อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงแรงต่อต้านจากสาธารณชนภายในประเทศ โดยเฉพาะในกรณีของถ่านหินและพลังน้ำ ที่มักมีข้อถกเถียงด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน . อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวในระดับสูง อาจสร้างความกังวลในด้านความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว เพราะการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศมากเกินไป อาจทำให้ไทยเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ ภัยพิบัติในลาว หรือความไม่แน่นอนด้านนโยบาย นอกจากนี้ ยังมีข้อห่วงใยด้านสิ่งแวดล้อมจากโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อระบบนิเวศของแม่น้ำโขง และชุมชนในลาว ซึ่งอาจกลายเป็นประเด็นจริยธรรมที่ไทยในฐานะผู้บริโภคพลังงานต้องพิจารณา . หากเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะจากภัยธรรมชาติ หรือความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทยกับลาว พื้นที่ภาคอีสานซึ่งเป็นจุดรับและกระจายไฟฟ้าจากลาว อาจได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะหากมีการหยุดส่งไฟฟ้าชั่วคราวหรือระยะยาว ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและกิจกรรมในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ หากกำลังการผลิตภายในประเทศไม่สามารถทดแทนได้ทัน . แม้ระบบพลังงานข้ามพรมแดนนี้จะช่วยให้ไทยได้รับประโยชน์ด้านต้นทุนและความยืดหยุ่นเชิงนโยบายอย่างมาก แต่ความสมดุลระหว่าง “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” กับ “ต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม” จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน พร้อมทั้งควรมีแผนสำรองรองรับความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งพลังงานภายนอกมากเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

พามาเบิ่ง🧐พลังงานข้ามพรมแดนไทยพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง เมื่อค่าแรงไล่ตาม “ค่าครองชีพ” ไม่ทัน จากราคาสินค้าปี 2559 สู่ 2568 พุ่งทะยาน

ปี 2559 ปี 2560 ปี 2561 ปี 2562 ปี 2563 ปี 2564 ปี 2565 ปี 2566 ปี 2567 ปี 2568 300 บาท 305-308 บาท 310-320 บาท 310-320 บาท 313-325 บาท 313-325 บาท 328 – 340 บาท 328 – 340 บาท 340-352 บาท 347-359 บาท   ทอง (1 บาท) 2559 21,500 บาท 2568 51,550 บาท เพิ่มขึ้น 30,050 บาท ≈ 139.77%   หมู (เนื้อแดง สะโพก ตัดแต่ง)  2559 152.50 บาท/กก. 2568 175.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้น 22.50 บาท ≈ 14.75%   ไข่ไก่ (เบอร์ 1) 2559 3.75 บาท/ฟอง 2568 4.70 บาท/ฟอง เพิ่มขึ้น 0.95 บาท ≈ 25.33%   ทุเรียนหมอนทอง 2559 110.00 บาท/กก. 2568 225.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้น 115.00 บาท ≈ 104.55%   น้ำมันปาล์ม (ขวด1 ลิตร) 2559 40.00 บาท/ขวด 2568 57.50 บาท/ขวด เพิ่มขึ้น 17.50 บาท ≈ 43.75%   ข้าวสารเจ้า 100% ธรรมดา (ข้าวใหม่) 2559 405.00 บาท/15 กก. 2568 425.00 บาท/15

พามาเบิ่ง เมื่อค่าแรงไล่ตาม “ค่าครองชีพ” ไม่ทัน จากราคาสินค้าปี 2559 สู่ 2568 พุ่งทะยาน อ่านเพิ่มเติม »

มัดรวมให้อ่าน 5 คลิปบทสัมภาษณ์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรี เทศบาลนครขอนแก่น

มัดรวมให้อ่าน บทสัมภาษณ์ 5 ผู้สมัครนายกเทศมนตรี เทศบาลนครขอนแก่น . #KKTCityupdate ชวนเจาะลึก บทสัมภาษณ์ กับ 5 ผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น โดย DOC.KK และ Khon Kaen Let’s Go ขอนแก่นแล่นโลด ได้คุยกับทั้ง 5 ผู้สมัคร พร้อมด้วย 3 คำถามสำคัญของแนวนโยบาย วิสัยทัศน์ต่อการเข้ามาบริหารเทศบาลนครขอนแก่น . #ISANInsightAndOutlook #บ้านเมืองอีสาน #เทศบาลนคร #เทศบาลนครขอนแก่น   เบอร์ 1 คุณวสันต์ ชูชัย คลิปสัมภาษณ์ จาก ขอนแก่นแล่นโลด https://www.facebook.com/share/v/19hWuDSM7y/ คลิปสัมภาษณ์ จาก DOC.KK https://www.facebook.com/share/v/1Ad8WeVQQF/     เบอร์ 2 คุณเต๊าะ นันทวัลย์ ไกรศรีวรรธนะ คลิปสัมภาษณ์ จาก ขอนแก่นแล่นโลด https://www.facebook.com/share/v/16LR4uM7pT/ คลิปสัมภาษณ์ DOC.KK https://www.facebook.com/share/v/1AhyUpjhNN/     เบอร์ 3 คุณแนน วรินทร์ เอกบุรินทร์ คลิปสัมภาษณ์ จาก ขอนแก่นแล่นโลด https://www.facebook.com/share/v/1HbUJ1q1cZ/ คลิปสัมภาษณ์ DOC.KK https://www.facebook.com/share/v/194WL9XBvp/ เบอร์ 4 คุณอ๊อฟ เบญจมาภรณ์ ศรีละบุตร คลิปสัมภาษณ์ จาก ขอนแก่นแล่นโลด https://www.facebook.com/share/v/1CL2zV36p4/ คลิปสัมภาษณ์ DOC.KK https://www.facebook.com/share/v/16BzMcxBEq/   เบอร์ 5 คุณฤทธิ์ ประสิทธิ์ ทองแท่งไท คลิปสัมภาษณ์ จาก ขอนแก่นแล่นโลด https://www.facebook.com/share/v/19K6sNhPR4/ คลิปสัมภาษณ์ DOC.KK https://www.facebook.com/share/v/195eJAYRvL/ มัดรวมให้อ่าน บทสัมภาษณ์ 5 ผู้สมัครนายกเทศมนตรี เทศบาลนครขอนแก่น นอกจากนั้น ISAN Insight เผยข้อมูล น่าฮู้ เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่น จังหวัด ขอนแก่น อำเภอ เมืองขอนแก่น ขนาดพื้นที่ 46 ตร.กม. ประชากร 105,020 คน งบประมาณประจำปี 2566 ฿1.55 พันล้านบาท ประกอบไปด้วย จัดเก็บเอง: 466.20 ล้านบาท รัฐจัดสรร: 699.30

มัดรวมให้อ่าน 5 คลิปบทสัมภาษณ์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรี เทศบาลนครขอนแก่น อ่านเพิ่มเติม »

หนองบัวลำภู เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 3.0 ความลึก 4 กม. กลางดึก ยันส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน

หนองบัวลำภู เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 3.0 ความลึก 4 กม. ตีหนึ่ง ไม่รุนแรงหรือส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 3.0 ความลึก 4 กิโลเมตร ต.บุญทัน อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู ขณะที่ แผ่นดินไหว ขนาด 2.6 ประเทศเมียนมา ห่าง อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณ 157 กิโลเมตร วันนี้ (6 พ.ค.2568) เวลา 01.36 น. กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 3.0 ความลึก 4 กิโลเมตร ในพื้นที่ของ ต.บุญทัน อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู เบื้องต้นยังไม่มีรายงานการรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน ที่มา:กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยยันไม่กระทบสิ่งปลูกสร้าง เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ตรวจสอบ จุดศูนย์กลาง #แผ่นดินไหว ที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง อ่างเก็บน้ำ 2 แห่ง รวมทั้งฝายน้ำล้นและสะพาน ในพื้นที่ อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู หลังเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา (6 พ.ค. 68) เกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.0 โดยประชาชนรับรู้ถึงแรงสั่นไหวได้

หนองบัวลำภู เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 3.0 ความลึก 4 กม. กลางดึก ยันส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน อ่านเพิ่มเติม »

ขอนแก่นกับโอกาสในการเป็นเมืองน่าอยู่สำหรับนักทำงานออนไลน์ (Digital Nomads) จากทั่วโลก

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพัฒนาอย่างรวดเร็ว วิถีการทำงานของผู้คนทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในเทรนด์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ คือการทำงานในรูปแบบ “Digital Nomads” หรือ “นักเดินทางดิจิทัล” โดยเพื่อความง่ายในการเข้าใจ บทความนี้จะใช้คำแปลว่า ”นักทำงานออนไลน์” ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่ใช้เทคโนโลยีในการทำงานจากระยะไกล โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสถานที่ทำงานแบบดั้งเดิม และจากสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ก็ได้ส่งผลให้จำนวนนักทำงานออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2567 มีกลุ่มคนอเมริกันที่นิยามตัวเองว่าเป็นนักทำงานออนไลน์เพิ่มขึ้นจากปี 2562 กว่า 147% (MBO partners, 2024) ซึ่งพวกเขาสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ในเมืองใหญ่ ชายหาดในต่างประเทศ หรือพื้นที่ชนบทที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งเหล่านักทำงานออนไลน์เหล่านี้ก็ได้กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายยอดนิยมของกลุ่มคนเหล่านี้ จากการสำรวจของ Flatino (2023) พบว่านักทำงานออนไลน์ มีลักษณะโดยทั่วไปดังนี้ ลักษณะประชากรศาสตร์: นักทำงานออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย อายุระหว่าง 30 ถึง 39 ปี หรือกลุ่ม Gen Y และมาจากหลากหลายประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตกผิวขาวหรือก็คือฝรั่งนั่นเอง  กว่า 40% มาจากสหรัฐอเมริกา รองลงมาเป็นประเทศต่างๆ ในยุโรป การทำงานและรายได้: 32% ของนักทำงานออนไลน์มีงานประจำ และ 35% ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ อุตสาหกรรมหลักที่นักทำงานออนไลน์ทำงานอยู่ ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีทั่วไป สื่อ การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการตลาด โดยนักทำงานออนไลน์ประมาณ 40% มีรายได้ 1.5 – 2.6 ล้านบาท/ปี และ 20% มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท/ปี วิถีชีวิตและการอยู่อาศัย: ชาวนักทำงานออนไลน์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหัวก้าวหน้า โดย 43% ชอบที่จะเดินทางคนเดียว และ 24% มีเพื่อนหรือคู่หูร่วมเดินทางด้วย โดยในการอยู่อาศัยต่างถิ่นจะอยู่ช่วงสั้นๆ แล้วแต่ความต้องการ โดยประมาณ 55% จะอยู่ที่ใดที่หนึ่งไม่เกิน 4 เดือน ซึ่งการหาที่พักเป็นสิ่งที่เหล่านักเดินทางออนไลน์กังวลใจที่สุด โดยนอกจากการทำงานแล้ว พวกเขาก็ชอบที่จะมีกิจกรรมที่หลากหลายทำ เช่น เล่นกีฬา หรือ ปาร์ตี้ เป็นต้น ตามที่เกริ่นไปว่าประเทศไทย โดยเฉพาะ กรุงเทพฯ  และเชียงใหม่ เป็นเมืองยอดนิยมอันดับต้นๆ สำหรับพวกเขา เนื่องจากค่าครองชีพที่ถูก มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงครอบคลุม มีสถานที่ท่องเที่ยวและหลากวัฒนธรรมน่าดึงดูด นอกจากนั้นสังคมไทยยังค่านิยมที่ฝังรากลึกอย่าง “White privilege” หรือเอกสิทธ์คนขาว ที่คนมักจะปฏิบัติต่อฝรั่งผิวขาวในทางที่ดีกว่า ส่งผลให้ชาวตะวันตกสามารถใช้ชีวิตในเมืองไทยได้ค่อนข้างสะดวกสบาย และทางรัฐบาลไทยก็ได้ส่งเสริมกลุ่มนักทำงานออนไลน์เช่นกัน ผ่านการให้วีซ่า DTV (Destination Thailand Visa) เพื่อให้ชาวต่างชาติที่ทำงานระยะไกลสามารถพำนักและทำงานในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย นักทำงานออนไลน์ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง มีแนวโน้มใช้จ่ายในท้องถิ่น ส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็ก

ขอนแก่นกับโอกาสในการเป็นเมืองน่าอยู่สำหรับนักทำงานออนไลน์ (Digital Nomads) จากทั่วโลก อ่านเพิ่มเติม »

ทำไม ขอนแก่น ถึงถูกวางให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน?

ทำไม ขอนแก่น ถึงถูกวางให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน . . ขอนแก่นมักจะเป็นจังหวัดแรกๆที่คนนึกถึง เมื่อพูดถึงอีสาน จากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางของภาคอีสาน . แต่ขอนแก่นไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางของอีสานในด้านภูมิศาสตร์เท่านั้น เพราะจังหวัดแห่งนี้ ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางในหลายๆด้านของภาคอีสานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ การคมนาคม และศูนย์ราชการ ทำให้มีผู้เกิดผู้คนสัญจรและเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้าจังหวัดจำนวนมากและต่อเนื่อง . ขอนแก่น น่าสนใจอย่างไร ทำไม ถึงจึงถูกวางให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน ? อีสานอินไซต์ จะพามาเบิ่ง . . 1. ขอนแก่น มีพื้นที่ประมาณ 10,880 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของภาคอีสาน โดยมีเขตติดต่อกับหลายจังหวัด . – ทิศเหนือ ติดกับอุดรธานี เลย และหนองบัวลำภู – ทิศใต้ ติดกับนครราชสีมา และบุรีรัมย์ – ทิศตะวันออก ติดกับกาฬสินธุ์ และมหาสารคาม – ทิศตะวันตก ติดกับชัยภูมิ และเพชรบูรณ์ . จะเห็นว่าขอนแก่นตั้งอยู่ในภาคอีสานตอนกลาง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างภาคอีสานตอนบน และภาคอีสานตอนล่าง หลายคนจึงเรียกจังหวัดนี้ว่าเป็น ศูนย์กลางของภาคอีสาน . อีกทั้งขอนแก่น ยังเป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางได้สะดวก ทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และทางเครื่องบิน ถือว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งที่สำคัญของภาคอีสาน โดยสนามบินขอนแก่นเองก็มีศักยภาพในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสารได้ไม่ต่ำกว่า 100,000 คนต่อวัน และมีเส้นทางการบิน ขอนแก่น-กทม (16 เที่ยวต่อวัน) และบินตรงระหว่างภูมิภาค ขอนแก่น-ภูเก็ต (3 วันต่อสัปดาห์) ขอนแก่น-เชียงใหม่ (ทุกวัน) อีกทั้ง สนามบินขอนแก่นยังเป็นสนามบินนานาชาติ (รองรับสายการบินระหว่างประเทศได้ เมื่อมีความต้องการ) . 2. ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้น ปี 2565 ขอนแก่น มีมูลค่าเศรษฐกิจ (GPP) 216,367 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 2 ของอีสาน (เป็นรองจังหวัดโคราช) และอันดับที่ 16 ของประเทศ และมีรายได้ต่อหัว (GPP per capita) 126,636 บาท มากเป็นอันดับ 2 ของอีสาน ซึ่งทางด้านเศรษฐศาสตร์รายได้ต่อหัวสะท้อนถึงคนมีเงินมากน้อยแค่ไหน ยิ่งตัวเลขมากก็หมายถึงคนมีกำลังซื้อสูงนั่นเอง โดยเศรษฐกิจของขอนแก่นพึ่งพารายได้จากภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก สะท้อนได้จากข้อมูลสัดส่วนโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดขอนแก่น ในปี 2565 มาจาก – ภาคบริการ 56% – ภาคอุตสาหกรรม 34% – ภาคเกษตรกรรม 10% . ซึ่งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก

ทำไม ขอนแก่น ถึงถูกวางให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top