พามาเบิ่ง เจ้าตลาดมอเตอร์ไซค์อีสาน ใครคือเบอร์หนึ่งมอเตอร์ไซค์ในแต่ละจังหวัด

ฮู้บ่ว่า? บริษัทในเครือ เกียรติสุรนนท์ เป็นเครือบริษัทในกลุ่มธุรกิจขายมอเตอร์ไซค์ที่มีรายได้สูงที่สุดในภาคอีสาน โดยมีบริษัทรวมกันที่สิ้น 5 บริษัท 47 สาขา ใน 3 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ และยโสธร มีรายได้รวมในปี 2566 ที่ผ่านมารวมกันกว่า 4,668 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 175 ล้านบาท

จังหวัด ชื่อบริษัท รายได้รวม %YoY กำไรสุทธิ %YoY จำนวนสาขา
อุบลราชธานี บริษัท เกียรติสุรนนท์อุบลราชธานี จำกัด 1930 9.6% 88 357.4% 30
หนองบัวลำภู ห้างหุ้นส่วนจำกัด ณัฐพงษ์มอเตอร์ (1989) 1539 3.5% 19 45.9% 45
อุดรธานี ห้างหุ้นส่วนจำกัด ณัฐมอเตอร์เซลล์ 1175 5.3% 2 42.9% 34
มุกดาหาร บริษัท พรประเสริฐมอเตอร์ จำกัด 1053 -9.9% 11 -62.3% 66
สกลนคร บริษัท อึ้งกุ่ยเฮงสกลนคร จำกัด 1034 20.3% 13 32.4% 54
บุรีรัมย์ บริษัท บุรีรัมย์ยนตรการ จำกัด 888 15.2% 8 15.2% 18
ศรีสะเกษ บริษัท ศรีสะเกษกิจเจริญไทย จำกัด 870 -2.1% 19 -19.0% 22
ร้อยเอ็ด บริษัท ชัยรักษ์มอเตอร์ จำกัด 779 8.6% 20 59.7% 92
มหาสารคาม บริษัท ที.โอ.เอช.มอเตอร์ จำกัด 628 5.9% 4 -5.2% 23
ขอนแก่น บริษัท ซี.เค.เจริญยนต์ จำกัด 604 -2.4% 9 132.5% 13
กาฬสินธุ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุพัฒน์มอเตอร์ 586 18.2% 7 156.0% 32
หนองคาย บริษัท เจียง ฮอนด้า หนองคาย จำกัด 401 12.2% 2 -23.5% 35
นครราชสีมา บริษัท ทองแท้เจริญยนต์ จำกัด 377 14.4% 7 14.9% 2
สุรินทร์ บริษัท วรรณเทพยนต์ จำกัด 362 -0.2% 1 -10.6% 11
อำนาจเจริญ บริษัท เกียรติสุรนนท์อำนาจเจริญ จำกัด 324 3.5% 2 43.2% 8
ยโสธร บริษัท เกียรติสุรนนท์ยโสธร จำกัด 276 17.5% 1 1563.7% 9
เลย ห้างหุ้นส่วนจำกัด พัฒนชัยยนต์-ปืนวิฑูรย์ 270 7.2% 2 -45.4% 21
ชัยภูมิ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชัยภูมิศรีสมวงศ์กลการ 199 5.9% 5 6.6% 8
นครพนม บริษัท มังกรมอไซค์ จำกัด 118 -10.0% 1 149.1% 19
บึงกาฬ บริษัท ลิ้มมณี เจริญยนต์ จำกัด 80 30.4% 1 248.6% 3

แบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่มีการจดทะเบียนใหม่สูงสุดในอีสานปี 2567

  • อันดับ 1 Honda จำนวน 331,905 คัน (85.8%)
  • อันดับ 2 Yamaha จำนวน 41,123 คัน (10.6%)
  • อันดับ 3 Vespa จำนวน 4,252 คัน (1.1%)

 

รถจักรยานยนต์พาหนะที่มีทุกบ้าน

รถจักรยานยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ ยานพาหนะที่ใช้เดินทางยอดนิยมของคนไทย แม้จะเป็นสินค้าที่มีราคาย่อมเยาเมื่อเทียบกับบ้านหรือรถยนต์ แต่หลายคนกลับเลือกผ่อนชำระในระยะยาว ด้วยค่างวดรายเดือนที่ไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยที่สะสมตลอดสัญญากลับสูงมาก ซึ่งกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของธุรกิจมอเตอร์ไซค์ ไม่ใช่เพียงแค่กำไรจากการขายตัวรถเท่านั้น แต่รายได้จากการปล่อยสินเชื่อก็มีมูลค่าสูงและสร้างกำไรอย่างมหาศาลให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มนี้

ภาคอีสานถือเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์สะสมสูงสุดในประเทศอยู่ที่ 5.2 ล้านคัน จากทั้งหมด 22.9 ล้านคันทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนประชากรในภาคอีสานที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ นอกจากรถจักรยานยนต์แล้วรถกระบะก็เป็นอีกหนึ่งประเภทยานยนต์ที่มีการจดทะเบียนสะสมสูงสุดในภาคอีสานเช่นกัน อยู่ที่ 1.8 ล้านคัน จากทั้งหมด 7 ล้านคันทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลซึ่งมักใช้ในชีวิตประจำวันภาคอีสานกลับมีการจดทะเบียนสะสมเพียง 1.8 ล้านคัน จากจำนวนรวมทั่วประเทศที่ 12.3 ล้านคัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนวิถีชีวิตของชาวอีสานที่ส่วนใหญ่มีรายได้ไม่สูงนัก รถจักรยานยนต์จึงเป็นทางเลือกที่ประหยัดและเหมาะสมกับการใช้งานประจำวัน ขณะที่รถกระบะก็ถูกนำมาใช้ในเชิงอาชีพ เช่น การขนส่งสินค้าและประกอบกิจการขนาดย่อม ซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้

 

แม้ว่าภาคอีสานจะมียอดการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์สะสมสูงที่สุดในประเทศ แต่หากย้อนดูข้อมูลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า ยอดการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ใหม่ (รถป้ายแดง) กลับมีแนวโน้มลดลง แม้จะพ้นช่วงวิกฤตโควิด-19 มาแล้วก็ตาม แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงการชะลอตัวของการบริโภคสินค้าคงทนซึ่งสอดคล้องกับปัญหาเรื้อรังในภาคอีสาน โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นและลดการซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูง

แม้ว่ายอดการจดทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ใหม่จะชะลอตัวลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ธุรกิจร้านจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์กลับยังมีการเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง และผู้ประกอบการหลายรายยังสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ยึดรายได้หลักจากการขายรถเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว “การขายรถ” เป็นเพียงหนึ่งในกลไกของรายได้ในธุรกิจนี้เท่านั้น ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยได้ขยับบทบาทมาเป็น “ผู้ให้สินเชื่อ” โดยตรงกับลูกค้า เช่น การให้ผ่อนชำระผ่านร้านเอง หรือผ่านบริษัทในเครือ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือภูมิภาคที่ลูกค้าอาจเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ยาก การให้ผ่อนกับร้านจึงกลายเป็นตัวเลือกหลัก ซึ่งมีความสะดวกและไม่ซับซ้อน

ธุรกิจขายรถจักรยานยนต์ บน โมเดลรายได้หลักจากการปล่อยสินเชื่อ

ดอกเบี้ยจากการปล่อยสินเชื่อเหล่านี้จึงกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าราคาขายมอเตอร์ไซค์ต่อคันมีกำไรไม่ได้มากนัก การปล่อยสินเชื่อผ่อนชำระจึงเป็นทางออกในการเพิ่มกำไรต่อหน่วย แม้จะเสี่ยงเรื่องลูกหนี้ค้างจ่าย แต่ผลตอบแทนที่ได้รับจากดอกเบี้ยยังคงสูงเพียงพอให้ธุรกิจเดินหน้า อย่างไรก็ตาม การปล่อยสินเชื่อจะต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติการกำกับดูแลผู้ให้สินเชื่อรายย่อย หรือข้อกำหนดจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมักกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไว้ เช่น ไม่เกิน 15% หรือ 23% ต่อปี แล้วแต่ประเภทของสินเชื่อ เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อยหรือเข้าถึงสถาบันการเงินหลักได้ยาก

ภาพจากงาน Motor Expo 2021

โดยข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยธุรกิจ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า แนวโน้มธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในช่วง 1 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ “Negative” โดยปัจจัยสำคัญที่กดดันคือระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้สถาบันการเงินมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อยานยนต์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านจากปรากฏการณ์เอลนีโญไปสู่ลานีญาเร็วกว่าที่คาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ทำให้หลายพื้นที่ประสบกับภาวะน้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ภาคเกษตรที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างจำกัด เมื่อรวมกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการฟื้นตัวที่ยังอยู่ในระดับต่ำของภาคการผลิต การส่งออก และการลงทุนภาคเอกชน ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในปีนี้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ และอาจต่อเนื่องไปถึงปี 2568 ขณะเดียวกัน การส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยประคับประคองภาพรวมของธุรกิจ ได้แก่ นโยบายส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และมาตรการอุดหนุนจากภาครัฐ รวมถึงการแข่งขันของผู้ให้บริการสินเชื่อกลุ่ม Non-bank ที่เร่งการปล่อยสินเชื่อก่อนสิ้นปี 2567

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามในปี 2568 ได้แก่ ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวลดลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP หากสามารถปรับลดลงได้ ก็อาจช่วยให้สถาบันการเงินผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น

อ้างอิงจาก

 

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top