SHARP ADMIN

🗨️Typhoon; โมเดล AI สัญชาติไทย รองรับ ‘เลขไทย’ เอกสาร ‘ราชการ’ ก็ไม่กลัว ดึงข้อมูลจาก-PDF OCR โปรเจคภายใต้ยานแม่ SCB-X

[เปิดให้นักพัฒนา AI ทั่วโลกสามารถใช้งานได้แล้ววันนี้ “ไต้ฝุ่น” โมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่บน Samba-1]   กลุ่ม SCBX นำโดย เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) และเอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) เดินหน้าผลักดันระบบนิเวศและคอมมูนิตี้ AI ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของกลุ่ม SCBX ในการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI หรือ AI-First Organization ล่าสุด ผนึกกำลัง SambaNova Systems บริษัทผู้ให้บริการโซลูชันด้าน Generative AI ที่รวบรวมโมเดลที่เร็วที่สุด และ Chips ที่ทันสมัยที่สุด นำ “ไต้ฝุ่น” (Typhoon) โมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่ (Thai Large Language Model) เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์ม Samba-1 Composition of Experts (CoE) เพื่อให้นักพัฒนา AI ทั่วโลกสามารถใช้ต่อยอดและพัฒนาแอปพลิเคชันด้าน AI บนแพลตฟอร์ม Samba-1 ได้แล้ววันนี้ “ไต้ฝุ่น” (Typhoon) โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับภาษาไทยโดยเฉพาะ (Large Language Model optimized for Thai) ซึ่งนับเป็นโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่ที่ดีที่สุดในปัจจุบันและมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ GPT-3.5 และ GPT-4 ในภาษาไทย โดยวัดจาก Benchmark ที่รวบรวมและจัดเตรียมมาจากข้อสอบภาษาไทยความยากเทียบเท่าข้อสอบมัธยมปลายและข้อสอบมาตรฐานอื่นๆ ในประเทศไทย โดย “ไต้ฝุ่น” (Typhoon) ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาช่องว่างทางภาษาที่โมเดลส่วนใหญ่ในปัจจุบันถูกฝึกฝนเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก รวมถึงข้อจำกัดด้านทรัพยากรของภาษาไทยที่ไม่มีข้อมูลมากเพียงพอ (Low Resource Language) ผู้สนใจและนักพัฒนาทดลองสามารถดาวน์โหลด Typhoon Model เพื่อต่อยอดในการพัฒนาแอปพลิเคชันและนวัตกรรมด้าน AI ได้ฟรีตั้งแต่วันนี้ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ https://opentyphoon.ai/ [ทำไมไทยต้องมี AI ที่มี LLM เป็นของตนเอง?] . ประหยัดต้นทุนต่อ Token: ในเชิงเทคนิค หากใครจ่ายเงินใช้ AI อย่าง ChatGPT, Gemini หรือ แบรนด์ใดๆ อยู่จะทราบว่าการใช้งานของคุณ จำกัด token ตามแพ็คเกจที่จ่ายเงิน สมมติเช่น Hi = 1 คำ 2 token, แต่พอเป็น สวัสดี อาจจะใช้มากถึง 4-5 token เพื่อให้ Ai เข้าใจคำที่มีความหมายเดียวกันในต่างภาษา เพราะ LM หรือ […]

🗨️Typhoon; โมเดล AI สัญชาติไทย รองรับ ‘เลขไทย’ เอกสาร ‘ราชการ’ ก็ไม่กลัว ดึงข้อมูลจาก-PDF OCR โปรเจคภายใต้ยานแม่ SCB-X อ่านเพิ่มเติม »

สำนักเลขาพระสังฆราช แถลงปม เพจเผยแพร่❌ข้อมูลเท็จ ‘แอบอ้าง’ พระดำรัส สั่งงดถวายเงินพระ

จากกรณี การเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จโดยแอบอ้างว่าเป็นพระดำรัส โดยเนื้อหาที่เผยแพร่และถูกแชร์อย่างแพร่หลายใน social media ระบุว่า “สมเด็จพระสังฆราชรับสั่งให้ประชาชนงดเอาเงินถวายพระโดยเด็ดขาดแม้กระทั่งงานศพงดใส่ซองขาวถวายพระ สาธุ🙏” หรือมีการก็อปวางแพร่ข่าว อื่น ๆ   สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช แถลงแจงว่าเป็นข่าวเท็จ ข้อมูลเท็จ ‘แอบอ้าง’ พระดำรัส สั่งงดถวายเงินพระ โดยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 เพจเฟสบุ๊คของ สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง การเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จโดยแอบอ้างว่าเป็นพระดำรัส โดยมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้ “ด้วย ปรากฏว่ามีการนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์และเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ โดยแอบอ้างว่าเป็นพระดำรัส สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว จึงขอแจ้งให้ทราบดังนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไม่เคยมีพระดำรัสด้วยถ้อยคำในลักษณะบริภาษตามที่ปรากฏในสื่อ แต่โปรดมีรับสั่งกำชับเนือง ๆ ในเรื่องการบริจาคทาน การถวายจตุปัจจัยอันควรแก่สมณบริโภค และการปวารณาเป็นอุปัฏฐากพระภิกษุจำเพาะรายด้วยปัจจัยสี่ ให้กระทำตามหลักพระธรรมวินัย ด้วยการปวารณา และการมีไวยาวัจกร จึงขอสาธารณชนอย่าหลงเชื่อถ้อยคำอันถูกแต่งเติม และขออย่าได้ส่งต่อ อันเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกตำหนิโทษกันในหมู่พุทธบริษัท อนึ่ง เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช โปรดมีพระลิขิตที่ สร. ๑๕/๒๕๖๘ ลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ประทานพระปรารภไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้กราบทูลเสนอหลักการและแนวนโยบายสำหรับการจัดการศาสนสมบัติวัด อย่างสมสมัยและสถานการณ์ ตามหลักพระธรรมวินัยและกฎหมายคณะสงฆ์ เพื่อนำเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณากำหนดนโยบายคณะสงฆ์ และวางมาตรการปฏิบัติ ทั้งนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ดำเนินการสนองพระปรารภแล้ว และจะได้มอบถวายมหาเถรสมาคมพิจารณาโดยถี่ถ้วนต่อไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๘”

สำนักเลขาพระสังฆราช แถลงปม เพจเผยแพร่❌ข้อมูลเท็จ ‘แอบอ้าง’ พระดำรัส สั่งงดถวายเงินพระ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง เจ้าตลาดมอเตอร์ไซค์อีสาน ใครคือเบอร์หนึ่งมอเตอร์ไซค์ในแต่ละจังหวัด

ฮู้บ่ว่า? บริษัทในเครือ เกียรติสุรนนท์ เป็นเครือบริษัทในกลุ่มธุรกิจขายมอเตอร์ไซค์ที่มีรายได้สูงที่สุดในภาคอีสาน โดยมีบริษัทรวมกันที่สิ้น 5 บริษัท 47 สาขา ใน 3 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ และยโสธร มีรายได้รวมในปี 2566 ที่ผ่านมารวมกันกว่า 4,668 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 175 ล้านบาท จังหวัด ชื่อบริษัท รายได้รวม %YoY กำไรสุทธิ %YoY จำนวนสาขา อุบลราชธานี บริษัท เกียรติสุรนนท์อุบลราชธานี จำกัด 1930 9.6% 88 357.4% 30 หนองบัวลำภู ห้างหุ้นส่วนจำกัด ณัฐพงษ์มอเตอร์ (1989) 1539 3.5% 19 45.9% 45 อุดรธานี ห้างหุ้นส่วนจำกัด ณัฐมอเตอร์เซลล์ 1175 5.3% 2 42.9% 34 มุกดาหาร บริษัท พรประเสริฐมอเตอร์ จำกัด 1053 -9.9% 11 -62.3% 66 สกลนคร บริษัท อึ้งกุ่ยเฮงสกลนคร จำกัด 1034 20.3% 13 32.4% 54 บุรีรัมย์ บริษัท บุรีรัมย์ยนตรการ จำกัด 888 15.2% 8 15.2% 18 ศรีสะเกษ บริษัท ศรีสะเกษกิจเจริญไทย จำกัด 870 -2.1% 19 -19.0% 22 ร้อยเอ็ด บริษัท ชัยรักษ์มอเตอร์ จำกัด 779 8.6% 20 59.7% 92 มหาสารคาม บริษัท ที.โอ.เอช.มอเตอร์ จำกัด 628 5.9% 4 -5.2% 23 ขอนแก่น บริษัท ซี.เค.เจริญยนต์ จำกัด 604 -2.4% 9 132.5% 13 กาฬสินธุ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุพัฒน์มอเตอร์ 586 18.2% 7 156.0% 32 หนองคาย บริษัท

พามาเบิ่ง เจ้าตลาดมอเตอร์ไซค์อีสาน ใครคือเบอร์หนึ่งมอเตอร์ไซค์ในแต่ละจังหวัด อ่านเพิ่มเติม »

จากกาแฟแพง สู่ทุเรียนถูก บทเรียนเกษตรกร เมื่อเวียดนามหันมาปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการหดตัวลงของการปลูกกาแฟ

จากกาแฟแพง สู่ ทุเรียนถูกเวียดนามล้มกาแฟโรบัสต้า ปลูกทุเรียนหวังส่งออก กลับต้องเผชิญกับทุเรียนล้นตลาดราคาถูก เวียดนาม กาแฟแพง ทุเรียนถูก ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้อาจมีความเกี่ยวข้องกัน และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ เหตุการณ์ทั้งสองมีนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากเป็นผลพวงที่ต่อเนื่องกัน เนื่องจากแรงจูงใจในการปลูกทุเรียนที่เพิ่มขึ้น โดยได้อานิสงค์จากความนิยมอย่างมากในตลาดส่งออก โดยเฉพาะตลาดจีน ทำให้ทุเรียนเป็นที่ต้องการในตลาดส่งออก และการได้รับการยอมรับในตลาดจีนผลักดันให้ราคาทุเรียนเวียดนามอยู่คงในระดับสูงพอสมควรและมีแนวโน้มทำกำไรได้ดีกว่าการปลูกพืชอื่นๆ รวมถึงกาแฟโรบัสต้าที่ราคาอาจไม่จูงใจเท่า . จากข้อมูลของ กรมการผลิตพืช สังกัดกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ของเวียดนามพบว่า ในปี 2023 เวียดนามมีพื้นที่ปลูกทุเรียนรวมประมาณ 131,000 เฮกตาร์ โดยเพิ่มขึ้นกว่า 20% ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี สะท้อนถึงแนวโน้มการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกหรือแม้กระทั้งการลดการปลูกกาแฟ เพื่อหันไปปลูกทุเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ในภูมิภาค Central Highlands ที่เป็นพื้นที่หลักที่เป็นแหล่งเพาะปลุกกาแฟของเวียดนาม แต่ปัจจุบันมีการปลุกทุเรียนมากขึ้น และกลายเป็นพื้นที่หลักที่เป็นแหล่งปลูกทุเรียน ด้วยสัดส่วน 40.4% ของพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนทั้งหมดในประเทศ และการปลูกทุเรียนยังเป็นที่นิยมในพื้นที่อื่นๆ พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong River Delta) 36.4% ภาคตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast) 19.4% และชายฝั่งตอนใต้ตอนกลาง (South Central Coast) 5.6% การที่เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ลดปริมาณการผลิตลง ส่งผลให้ปริมาณกาแฟโรบัสต้าในตลาดโลกลดน้อยลง และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ราคากาแฟมีการปรับตัวขึ้น ผลกระทบต่อตลาดทุเรียน: การที่เกษตรกรจำนวนมากพร้อมใจกันเปลี่ยนมาปลูกทุเรียนในช่วงเวลาใกล้เคียงกันทั่วประเทศเวียดนาม (และใช้เวลาหลายปีกว่าต้นทุเรียนจะให้ผลผลิตเต็มที่) ทำให้ในที่สุด ปริมาณผลผลิตทุเรียนในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ผลผลิตที่ล้นตลาดนี้มีปริมาณมากกว่าความต้องการของตลาดส่งออก (โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก) และตลาดภายในประเทศ * ภาวะทุเรียนล้นตลาดและราคาตก: เมื่ออุปทานทุเรียนมีมากกว่าอุปสงค์อย่างมาก ผู้ขายจึงต้องแข่งขันกันระบายสินค้าที่เน่าเสียง่ายออกไป ทำให้ต้องลดราคาลงอย่างหนัก จนเกิดภาวะ “ทุเรียนล้นตลาดราคาถูก” อย่างที่พบเห็นในปัจจุบัน ✅สรุปคือ: การที่เกษตรกรเวียดนามจำนวนมากตัดสินใจทิ้งการปลูกกาแฟโรบัสต้าที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าในขณะนั้น เพื่อไปปลูกทุเรียนตามกระแสราคาดี คือ สาเหตุ ที่นำไปสู่ ผลลัพธ์ สองประการพร้อมๆ กันในช่วงเวลาที่ต่างกัน คือ ราคาโรบัสต้าในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น (จากอุปทานที่ลดลง) หลังจากผ่านไปหลายปี ทุเรียนที่ปลูกใหม่จำนวนมหาศาลก็ออกสู่ตลาดพร้อมกัน ทำให้อุปทานล้นเกินและราคาทุเรียนตกต่ำลงอย่างมาก มันคือวัฏจักรของพืชผลทางการเกษตรที่มักเกิดขึ้น เมื่อราคาสินค้าเกษตรชนิดใดดี เกษตรกรจำนวนมากจะหันไปปลูก ทำให้ในอีกไม่กี่ปีต่อมาผลผลิตล้นตลาดและราคาตก จากนั้นเกษตรกรอาจจะหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ราคากำลังดีแทน วนเวียนไปเช่นนี้       ผลจากกาแฟโรบัสต้าที่ผลิตลดลง กลับส่งผลดีต่อเกษตรกรที่เพาะปลูกกาแฟในไทย   การที่เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ลดปริมาณการผลิตลง ส่งผลให้ปริมาณกาแฟโรบัสต้าในตลาดโลกลดน้อยลง และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ราคากาแฟมีการปรับตัวขึ้น ประกอบกับการส่งออกของกาแฟบราซิลที่ลดลง และความต้องการในตลาดที่สูง ทำให้ราคากาแฟในช่วงต้นปี 2025 มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงต้นปี แต่เริ่มปรับตัวลงเล็กน้อยในเดือนเมษายนเนื่องจากการเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวของทั้งเวียดนามและบราซิล ผลจาก กาแฟโรบัสต้า ส่งผลดีต่อเกษตรกรชาวไทยที่เพาะปลูกกาแฟเป็นอย่างมาก เพราะ ในขณะที่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ราคาตกต่ำ แต่กาแฟโดยเฉพาะโรบัสต้ากับมีราคาพุ่งสูงขึ้นเกือบเทียบเท่ากับสายพันธุ์อาราบิก้า ที่ก่อนหน้านี้มีราคามากกว่า

จากกาแฟแพง สู่ทุเรียนถูก บทเรียนเกษตรกร เมื่อเวียดนามหันมาปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการหดตัวลงของการปลูกกาแฟ อ่านเพิ่มเติม »

ผู้ว่าฯ ปราจีนบุรี เซ็นคำสั่งยกเลิกแต่งตั้ง ‘ชายชาวจีน’ เป็นที่ปรึกษา หลังถูกเพจดังแฉ

เมื่อ 29 เมษายน เพจ CSI LA แฉ ผู้ว่าฯ ปราจีนลงนามตั้ง ‘ชายชาวจีน’ เป็นที่ปรึกษา ถามแรงไม่มีคนไทยที่มีความสามารถ เหตุใดให้คนจีนนั่งใกล้ใจกลางอำนาจท้องถิ่น . เมื่อวานนี้ (29 เมษายน) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจดังเผยภาพหนังสือราชการของศาลากลางจังหวัดปราจีนบุรี เรื่องการแต่งตั้งที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ลงวันที่ 21 เมษายน 2568 ระบุว่า ด้วยจังหวัดปราจีนบุรีได้มีคำสั่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่ 1327/2568 ได้แต่งตั้ง Mr.Juncheng Zhu เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในประเด็นต่างๆ ที่เห็นว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร และการขับเคลื่อนงานของจังหวัดปราจีนบุรี โดยมี วีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีเป็นผู้ลงนาม Mr.Juncheng Zhu เป็นใคร ทำธุรกิจอะไร? ครั้งแรกจดทะเบียน 24 กรกฎาคม 2558 ในชื่อ “ตี้ไท้ รับเบอร์ จำกัด” / ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น ”ปราจีน ลาเท็กซ์ จำกัด“ เมื่อ 21 มกราคม 2561 / และปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “ฮอตเชน เทคโนโลยี จำกัด” เมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งปัจจุบันประกอบธุรกิจประเภทการผลิตและจำหน่วยชุดเครื่องนอนเพื่อสุขภาพที่ทำจากยางพาราทุกชนิด ทุนจดทะเบียนสูงถึง 125 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่เลขที่ 612/19 หมู่ที่ 9 ต.หนองกี่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเมื่อมาดูรายชื่อกรรมการบริษัทฮอตเชน เทคโนโลยี จำกัด คือ นางสาว ”จิ้ง เหวิน“ โดยไม่ปรากฏชื่อ Mr.Juncheng Zhu เป็นกรรมการบริษัท ส่วนประวัติของนายจู จวินเฉิง อายุ 37 ปี จบการศึกษา Central South Uhiversity Of Human (คณะวิศวกรรมศาสตร์) เมื่อปี 2016 มีการลงทุนและก่อสร้าง บริษัท ปราจีน ลาเท็กซ์ จำกัด ได้มีการเริ่มประกอบกิจการ ผลิตและจำหน่าย หมอน,ที่นอน,ชุดชั้นใน ยางพารา วัตถุดิบน้ำยาง ได้มีการนำสินค้าจัดส่งออกไปยังประเทศจีน ประกอบกิจการมาเป็นระยะเวลา 8 ปี จนถึงปี 2024 มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก บริษัท ปราจีน ลาเท็ก จำกัด เป็น บริษัท ฮอตเชน เทคโนโลยี

ผู้ว่าฯ ปราจีนบุรี เซ็นคำสั่งยกเลิกแต่งตั้ง ‘ชายชาวจีน’ เป็นที่ปรึกษา หลังถูกเพจดังแฉ อ่านเพิ่มเติม »

ไม่เอาแล้วทำฟันปีละ ฿900 ประกันสังคม🦷 เตรียมขยายสิทธิ “ทำฟัน รพ.รัฐและคลินิกเอกชน ฟรี!“🪥 ไม่ต้องสำรองจ่าย ไม่จำกัดวงเงิน ไม่จำกัดครั้ง

#สิทธิ์ทันตกรรมใหม่ ประกันสังคม จ่อขยายสิทธิผู้ประกันตน ทำฟันใน รพ.รัฐ ฟรี! ไม่จำกัดวงเงิน วันนี้ (17 พฤษภาคม 2568) ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี ประธานคณะทำงานประสานและดูแลมาตรฐานชุดสิทธิประโยชน์ทันตกรรมสำหรับผู้ประกันตน ให้สัมภาษณ์ว่า คณะทำงานชุดนี้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลสิทธิประโยชน์ด้านทันตกรรมให้กับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยมีผู้แทนจากสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ร่วมอยู่ในคณะทำงาน มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนไม่ด้อยไปกว่าสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) หรือ สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ นอกจากนั้น ยังช่วยดูสิทธิประโยชน์ในภาพรวมทั้ง 3 กองทุนด้วย รมว.แรงงาน ร่วมทันตแพทยสภา ตั้งคณะทำงานประสานดูแลมาตรฐานสิทธิประโยชน์ทันตกรรม “ผู้ประกันตน” ล่าสุดมีแนวโน้มขยายบริการ “อุดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟัน” รพ.รัฐที่ไหนก็ได้ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่จำกัดวงเงิน นอกเหนือจาก 900 บาทต่อปีรับบริการที่คลินิกทำฟันเอกชน ยังเหมือนเดิม ทพ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา ทันตแพทยสภาได้เข้าพบกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเสนอแนวทางปรับระบบดูแลผู้ประกันตน ซึ่งครั้งนั้นมีการเสนอไป 3 ทางเลือก จากนั้นมี การตั้งคณะทำงานฯ ชุดดังกล่าวขึ้นมา แล้วได้ ประชุมกันเมื่อวันที่ 25 เมษายน โดย สปส. รับ 1 ข้อเสนอที่มีความเป็นไปได้ที่สุดในตอนนี้ คือ การให้ผู้ประกันตนเข้ารับบริการทันตกรรม ดูแลช่องปาก ได้แก่ อุดฟัน ขูดหินปูน และถอน ฟันในโรงพยาบาลของรัฐที่ไหนก็ได้ไม่จำกัด จำนวนครั้ง ไม่จำกัดวงเงิน และไม่ต้องสำรอง จ่าย ซึ่งประกันสังคมจะเป็นผู้จัดการเรื่องการ เคลมเอง โดยราคาการให้บริการนั้น จะเบิกจ่าย ตามอัตราของกรมบัญชีกลาง ดังนั้น ความรู้สึก ของผู้ประกันตน คือ ไม่ด้อยกว่าสิทธิข้าราชการและสิทธิบัตรทองอย่างแน่นอน “ส่วนความกังวลว่าไปทำฟันใน รพ.ของรัฐ แล้วคิวจะยาว ถ้าทำแบบนี้คนไทยทุกคน ทุกสิทธิ จะเท่ากัน คิวจะยาวก็เท่ากัน ฉะนั้นทุกคนจะได้สิทธิเหมือนคนอื่น แต่ผู้ประกันตนจะมีวงเงินในกระเป๋า 900 บาทต่อปี ที่จะสามารถนำไปรับบริการที่คลินิกทำฟันเอกชน โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ส่วนนี้ก็ยังต้องคงมีอยู่ไม่ได้ตัดออก เพียงแต่ขยายการให้บริการไปยัง รพ.ของรัฐ ซึ่งจะเหมือนกับผู้ที่มีสิทธิบัตรทองและสิทธิข้าราชการ ทั้งนี้จะมีการประชุมคณะทำงานฯ ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เพื่อหารือ เรื่องนี้อีกครั้ง” ทพ.วีระศักดิ์กล่าว สรุป ✅ รับบริการโดยตรงที่ รพ.รัฐ ✅ ไม่ต้องสำรองจ่าย ✅ ไม่จำกัดวงเงิน ✅ เพิ่มการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนมากยิ่งขึ้น ⭐️ ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือ เตรียมเสนอเข้า ครม.เร็ว ๆ นี้ทาง ISAN

ไม่เอาแล้วทำฟันปีละ ฿900 ประกันสังคม🦷 เตรียมขยายสิทธิ “ทำฟัน รพ.รัฐและคลินิกเอกชน ฟรี!“🪥 ไม่ต้องสำรองจ่าย ไม่จำกัดวงเงิน ไม่จำกัดครั้ง อ่านเพิ่มเติม »

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย: บทบาทเมืองรองและความยืดหยุ่นที่มากกว่าเมืองหลวง (Resilient infrastructure)

บริบททางเศรษฐกิจและการเติบโตของประเทศไทย ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่งในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา เปลี่ยนจากประเทศรายได้ต่ำเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวที่ช้ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ความท้าทายเหล่านี้มาพร้อมกับปัญหาด้านผลิตภาพ (productivity) และแนวโน้มด้านประชากรที่ไม่เอื้ออำนวย (อัตราการเกิดลดลงและประชากรสูงอายุ) การขยายตัวของเมืองในประเทศไทยได้กระจุกตัวอย่างมากในกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีความโดดเด่นที่สุดในโลก (primate cities) และทำหน้าที่เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมี GDP ของพื้นที่เมืองกรุงเทพฯ สูงกว่าพื้นที่เมืองใหญ่อันดับสองถึง 40 เท่า การกระจุกตัวของเศรษฐกิจและกิจกรรมในกรุงเทพฯ แม้จะสร้างประโยชน์มหาศาลด้านผลิตภาพและรายได้ แต่ก็กำลังถึงจุดที่ให้ผลตอบแทนลดลง (diminishing returns) เนื่องจากปัญหาความแออัดและต้นทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังสร้างความเปราะบางทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อประเทศ ดังที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่สำคัญซึ่งกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่สมดุลนี้ นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันและยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แหล่งข้อมูลชี้ว่ากรุงเทพฯ อาจมีผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง (underperforms relative to its endowment level) ในขณะที่จังหวัดรอบนอกซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองรองจำนวนมาก มีผลการดำเนินงานเกินกว่าระดับผลิตภาพที่คาดหวังไว้   บทบาทของเมืองรองในการขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ แหล่งข้อมูลจาก World Bank ชี้ว่า เมืองรองเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพการเติบโตใหม่ที่สมดุลและทั่วถึงของประเทศไทย แนวคิด “พอร์ตโฟลิโอของสถานที่” (portfolio of places) ระบุว่า ประเทศต้องการเมืองหลากหลายประเภททำหน้าที่ต่างกัน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เมืองรองหลายแห่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอยู่แล้ว โดยมีอุตสาหกรรมและภาคส่วนที่หลากหลาย แหล่งข้อมูลระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา การเติบโตของ GDP ต่อหัวในเมืองรองของไทยสูงกว่าในกรุงเทพฯ เกือบ 15 เท่า และเมืองรองที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ หรือพื้นที่ชายฝั่งทะเลมักแสดงให้เห็นถึงผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การพัฒนาเมืองรองจะช่วยกระจายการเติบโต ลดความแออัดในเมืองใหญ่ และสร้างฐานเศรษฐกิจที่กระจายตัวมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับประชาชนและธุรกิจ และมีส่วนช่วยลดความยากจนในพื้นที่ชนบทโดยรอบ การลงทุนที่เหมาะสมในโครงสร้างพื้นฐาน ทุนมนุษย์ และการเสริมสร้างศักยภาพเชิงสถาบัน รวมถึงการปรับกรอบการทำงานระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถิ่น จะช่วยให้เมืองรองเหล่านี้สามารถยกระดับผลิตภาพ กระตุ้นการเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศไทยได้ การเชื่อมโยงการเติบโตกับความยืดหยุ่นของเมือง ประเด็นสำคัญที่แหล่งข้อมูลเน้นย้ำคือ ความจำเป็นในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น (resilient infrastructure) เพื่อให้เมืองสามารถรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง) การกระจุกตัวทางเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากน้ำท่วมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การคาดการณ์ระบุว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่อาจสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าหากไม่มีมาตรการปรับตัวที่แข็งแกร่ง ปัญหาความร้อนในเมือง (Urban Heat Island effect) ก็เป็นอีกความท้าทายด้านความน่าอยู่อาศัยและผลิตภาพในอนาคต โดยกรุงเทพฯ มีความร้อนสูงกว่าเมืองรองอื่นๆ ภาพ : New York Times สำหรับประเทศไทย พื้นที่เกือบทั้งหมดของกรุงเทพมหานคร หรือคิดเป็นพลเมืองมากกว่า 10 % ที่อาศัยบนพื้นดินใกล้ชายฝั่ง รวมถึงในกรุงเทพมหานครเสี่ยงได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลสูง หรือเผชิญกับอุทกภัย ภายในปี พ.ศ. 2593 เทียบกับผลวิจัยก่อนหน้าที่คาดว่าจะกระทบต่อประชาชนเพียง 1 % ของกรุงเทพฯเท่านั้น หรือเลวร้ายจากการประเมินครั้งก่อนถึง 12 เท่า การพัฒนาเมืองรองเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจในระดับชาติ

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย: บทบาทเมืองรองและความยืดหยุ่นที่มากกว่าเมืองหลวง (Resilient infrastructure) อ่านเพิ่มเติม »

ถอดรหัส “เซินเจิ้น” จากหมู่บ้านชาวประมง สู่ Silicon Valley แห่งเมืองจีน โอกาสและบทเรียนที่ไทยและเมืองหลัก ควรเรียนรู้

ฮู้บ่ว่า? จากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ใน 40 ปีก่อน “เซินเจิ้น” ได้กลายเป็นมหานครเทคโนโลยี และนวรรตกรรมที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน ให้ทะยานขึ้นไปในระดับโลก . เป็นเมืองหลักที่อยู่ทางตะวันออกของชะวากทะเลแม่น้ำจูในมณฑลกวางตุ้งตอนใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีอาณาเขตทางใต้ติดกับฮ่องกง ตะวันออกเฉียงเหนือติดกับฮุ่ยโจว ตะวันตกเฉียงเหนือติดกับตงกว่าน และทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ติดกับกว่างโจว จงชาน และจูไห่ ซึ่งเป็นอีกฝั่งของชะวากทะเล โดยใช้เขตแดนทางทะเลเป็นตัวแบ่งอาณาเขต ด้วยจำนวนประชากร 17.5 ล้านคนใน ค.ศ. 2020 ทำให้เชินเจิ้นเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสาม (วัดตามจำนวนประชากรในเขตเมือง) ของประเทศจีน รองจากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ท่าเรือเซินเจิ้นยังเป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่พลุกพล่านมากเป็นอันดับ 4 ของโลก จากชุมชนเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทางตอนใต้ของจีน ที่ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพประมงและ GDP ทั้งเมืองมีเพียง 270 ล้านหยวน เซินเจิ้นได้รับการพลิกโฉมครั้งใหญ่เมื่อปี 1980 ด้วยการประกาศให้เป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของประเทศจีน” การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของพายุแห่งการพัฒนา จากแรงผลักดันของรัฐบาลที่ต้องการเปิดเมืองรับการลงทุนจากต่างชาติ ส่งผลให้เงินทุน และเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองชายฝั่งเล็ก ๆ แห่งนี้ จากข้อได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานที่มีราคาถูก และวิสัยทัศน์ที่ต้องการเรียนรู้องค์ความรู้และนวรรตกรรมจากต่างชาติ ทำให้ในเวลาไม่นาน เซินเจิ้นก็กลายเป็นหนึ่งในแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เซินเจิ้น (Shēnzhèn) ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าไปทั่วโลก และด้วยการผลิตที่เน้น “ปริมาณมาก ต้นทุนต่ำ” ทำให้สินค้าที่ผลิตในเมืองเซินเจิ้นมีความสามารถในการแข่งขันได้ในระดับโลก แต่ในขณะเดียวกัน นั่นทำให้เซินเจิ้นในยุคหนึ่งถูกมองว่าเป็น “เมืองแห่งสินค้าก็อปปี้” ที่เน้นปริมาณและราคามากกว่าคุณภาพ การเติบโตของภาคอุตสาหกรรม การเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านเทคโนโลยีของจีน รวมถึงแรงสะสมขององค์ความรู้ด้านเทคนิค แรงงานฝีมือ และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการผลิต ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเซินเจิ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐหันมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) การส่งเสริมสตาร์ทอัพ และการให้ทุนแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ส่งผลให้.ในปัจจุบัน เซินเจิ้นเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “เมืองแห่งสินค้าก็อปปี้” สู่การเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือที่หลายคนขนานนามว่า “Silicon Valley แห่งเอเชีย” ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากมาย . ในปัจจุบัน เศรษฐกิจของเซินเจิ้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 8.35% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบัน มูลค่า GDP ล่าสุดของเมืองอยู่ที่ประมาณ 3.68 ล้านล้านหยวน หรือราว 514.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2025) ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับประเทศขนาดกลางอย่างประเทศไทย รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในเมืองเซินเจิ้นอยู่ที่ประมาณ 1แสน 9 หมื่นหยวน หรือราวๆ 900,989 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศจีนอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นของเซินเจิ้น รวมถึงความก้าวหน้าทางการพัฒนาเมืองในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งยังตอกย้ำบทบาทของเซินเจิ้นในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน สู่การเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและนวัตกรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเป็นฐานการผลิตและศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สำคัญของสินค้าด้านเทคโนโลยี อาทิ โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต

ถอดรหัส “เซินเจิ้น” จากหมู่บ้านชาวประมง สู่ Silicon Valley แห่งเมืองจีน โอกาสและบทเรียนที่ไทยและเมืองหลัก ควรเรียนรู้ อ่านเพิ่มเติม »

[สรุปตามประเด็นปัญหาของขอนแก่น] ในเวที ดีเบต #KhonKaenNext⏩2025 “เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น 2568”

𝘿𝙚𝙗𝙖𝙩𝙚 [สรุปตามประเด็นปัญหาของขอนแก่น] ในเวที ดีเบต #KhonKaenNext⏩2025 “เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น 2568” . โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน รับชม รับฟัง ทีมงานเพียงอำนวยความสะดวกเพียงเท่านั้น ผู้สมัครแต่ละท่านได้นำเสนอมุมมองและนโยบายที่หลากหลายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการของประชาชน โดยมุ่งเน้นในด้านต่างๆ เช่น: . 💡𝟭. 𝗜𝗻𝗳𝗿𝗮𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 : การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมพื้นฐาน #เบอร์1 ทนายวสันต์ ชูชัย เน้นการแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่ค้างคาอยู่ เช่น ปัญหาสวนสาธารณะ น้ำท่วม การจราจร ทางเท้าต่างๆ เพื่อให้เมืองมีความเป็นระเบียบวินัย สะอาด สะดวก และปลอดภัยสำหรับประชาชน. นโยบายเบื้องต้นจะให้ความสำคัญกับปัญหาพื้นฐาน โครงสร้างสังคม โครงสร้างการพัฒนาคนทุกด้าน ด้านสิ่งแวดล้อม การกำจัดขยะ ถนน การจราจร สวนสาธารณะ และการศึกษา. คุณภาพชีวิตที่ดีต้องมาจากพื้นฐานที่ดี. #เบอร์2 คุณนันทวัน ไกรศรีวันทนะ เห็นว่าบ้านเมืองควรพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้. นโยบายระยะสั้นที่เห็นได้ง่ายคือการปรับปรุงสวนสาธารณะ ซึ่งเมืองขอนแก่นมีศักยภาพและกายภาพดี แต่ขาดการดูแล บึงแก่นนครถูกทิ้งร้างมานาน. สิ่งแวดล้อมเป็นลมหายใจของเรา จึงต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตประชาชน. การจัดการขยะต้องเริ่มจากจิตสำนึกของประชาชนให้คัดแยกขยะในครัวเรือน. ปัญหาภัยพิบัติ (ส่วนมากคือน้ำท่วมซ้ำซาก) อยากขุดลอกท่อระบายน้ำทั่วเขตเทศบาล. #เบอร์3 คุณวรินทร์ เอกบุรินทร์ แก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ จราจร ซ่อมแซมถนน. อยากเห็นชาวขอนแก่นเติบโตในเมืองด้วยชีวิตที่ดี. ชีวิตประจำวันที่ดีเริ่มต้นที่ความราบรื่นปลอดภัย. ตื่นเช้ามาไม่เห็นขยะหน้าบ้าน ไปโรงเรียนบนถนนเรียบ ไม่มีรถติด ลูกหลานไปเรียนมีคุณภาพชีวิตดี มีห้องน้ำ ห้องพยาบาล สนามเด็กเล่นที่ดีในโรงเรียน. เดินไปทำงานบนทางเท้าที่ดี ไม่มีสิ่งกีดขวาง. กลับบ้านอย่างปลอดภัยบนถนนที่มีแสงสว่าง ทาสีตีเส้นดี มี CCTV. วันหยุดพาครอบครัวไปสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่นที่ดี ปลอดภัย. #เบอร์4 คุณเบญจมาพร ศรีบุตร เห็นปัญหาและโอกาสของเมือง. การทำโครงสร้างพื้นฐานของเมืองให้พร้อมรองรับโอกาสเป็นสิ่งสำคัญ. ถ้าเมืองยังมีห้องน้ำไม่สะอาด ขนส่งไม่สะดวก พื้นที่ไม่ปลอดภัย โอกาสต่างๆ อาจไม่เข้ามา. การทำทางเดินเท้าให้มีคุณภาพ การทลายจุดเสี่ยงเพื่อให้เดินทางปลอดภัย จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก. พื้นที่สาธารณะเป็นเสาหลักที่ 2 คือพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับทุกคน. ทำเพื่อให้คนมาเรียนรู้ ใช้ชีวิต ทำกิจกรรมนอกอาคารได้. นโยบายห้องสมุดเพื่อทุกคน สนามเด็กเล่นน่าเล่น พื้นที่สีเขียว. ห้องสมุดเมืองจะเปลี่ยนเป็น Working Space เป็นลานกิจกรรมให้คนทุกเพศทุกวัยใช้ร่วมกัน. นโยบายห้องน้ำสะอาดมากเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนใช้ชีวิตนอกบ้าน. #เบอร์5 คุณประสิทธิ์ ทองแท่งไทย คุณภาพชีวิตที่ดีเป็นเป้าหมายหลัก. เมืองที่น่าอยู่คือเมืองที่ใช้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ใช่แค่เน้นเทคโนโลยี แต่เน้นอำนวยความสะดวก. เรื่องของถนนและทางเท้ามีความสำคัญ. ถนนทำเท่าไหร่ก็ไม่พอเพราะรถมาก ต้องทำอย่างไรให้คนใช้รถน้อยลง. เพิ่มพื้นที่ทางเท้าและปรับปรุงทางเท้าให้ราบเรียบ เหมาะแก่การเดิน. **ที่สำคัญ ทางเท้าต้องมีร่มเงา** (ต้นไม้หรือชายคาอาคาร) เพื่อให้เดินได้สบาย ยกตัวอย่างสิงคโปร์. ไฟส่องสว่างสำคัญต่อความปลอดภัย ต้องอาศัยความร่วมมือภาครัฐและประชาชนช่วยกันเพิ่มแสงสว่างตามทางเดิน.

[สรุปตามประเด็นปัญหาของขอนแก่น] ในเวที ดีเบต #KhonKaenNext⏩2025 “เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น 2568” อ่านเพิ่มเติม »

1 เดียวในโลก ‘บั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ความภาคภูมิใจของชาวกาฬสินธุ์ จาก ประเพณี สู่ ‘อัตลักษณ์เศรษฐกิจสร้างสรรค์’

1. ‘บั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ประเพณี 1 เดียวในโลก ภาพจาก: ททท.สำนักงานขอนแก่น TAT Khonkaen Fanpage ท่ามกลางเสียงหวีดแหลมของตะไลที่หมุนทะยานขึ้นฟ้า และกลิ่นควันดินประสิวที่คลุ้งทั่วท้องนาเล็ก ๆ แห่งตำบลกุดหว้า มีบางสิ่งที่มากกว่า ‘ประเพณี’ ประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นประเพณีที่ผูกโยงกับความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวอีสานมาอย่างช้านาน เชื่อว่าเป็นการจุดขึ้นเพื่อขอให้เทพเทวดาบันดาลให้ฝนตกดี เพื่อทำการทำนาในช่วงต้นฤดูฝน    ณ ตำบลกุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ มีงานประเพณีบุญบั้งไฟที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่นไม่ซ้ำประเพณีบั้งไฟที่ไหนในโลก นั่นคือ ‘ประเพณีบุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ความโดดเด่นที่ว่านั่นคือ การจุด ‘บั้งไฟตะไล’ ซึ่งเป็นบั้งไฟที่มีลักษณะเป็นวงกลม มีหลายขนาดตามปริมาณดินประสิวที่ใช้ในการบรรจุ ตั้งแต่บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน และบั้งไฟล้านจนไปถึงสิบล้าน เอกลักษณ์ของบั้งไฟตะไลคือ เวลาจุดจะมีลักษณะหมุนขึ้นพร้อมกับปล่อยควันเป็นเกลียวคลื่น ส่งเสียงดังกังวาน และตัวบั้งไฟก็จะตกลงพื้นอย่างช้าๆ จากร่มชูชีพที่คอยพยุง สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก   สำหรับปี 2568 นี้ งานบุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า จะจัดขึ้นในวันที่ 17–18 พฤษภาคม โดยมีกิจกรรมหลากหลายตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น   ขบวนแห่บั้งไฟสุดอลังการ การจุดบั้งไฟตะไลแสน ตะไลสองล้าน และตะไลสิบล้าน ที่จะทะยานขึ้นฟ้าอย่างตื่นตาตื่นใจ การแสดงศิลปวัฒนธรรมอีสานพื้นบ้าน รวมถึงกิจกรรมสนุกสนานอีกมากมายตลอด 2 วันเต็ม ภาพจาก: ททท.สำนักงานขอนแก่น TAT Khonkaen Fanpage งานใหญ่ประจำปีที่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ใครที่อยากสัมผัสมนต์เสน่ห์ของบั้งไฟตะไลล้านและบรรยากาศงานบุญอีสานแท้ ๆ ห้ามพลาดเด็ดขาด!   นอกจากนี้ อีสาน อินไซต์ สิพามาเบิ่ง ว่าทำไม ‘บุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ จึงเป็นมากกว่าแค่ประเพณี @aum_wimonrat บั้งไฟตะไลสิบล้าน #บุญบั้งไฟ #กุดหว้า ♬ เสียงต้นฉบับ – หมอแคนอุ้ม วิมลรัตน์ – หมอแคนอุ้ม Shop   2. ไม่ใช่แค่เพียงสิ่งที่จุดขึ้นฟ้า แต่ บั้งไฟตะไลล้าน คือ ‘สัญลักษณ์แห่งความเป็นกุดหว้า’ ก่อนที่จะมีบั้งไฟตะไล ชาวบ้านกุดหว้าซึ่งเป็นชาวผู้ไท ก็มีการจุดบั้งไฟเช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆในภาคอีสาน กระทั่ง ‘นายพิศดา จำพล’ ได้คิดค้นและริเริ่มการทำ บั้งไฟตะไล ขึ้นเป็นครั้งแรก และมีการเริ่มจุดในปี 2521 ด้วยความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ แม้จะลอยอยู่บนฟ้าได้ไม่นาน แต่กลับสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ชม และได้กลายมาเป็น อัตลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในโลก ของชุมชนกุดหว้า @pailolhnaidee แล่นล่ะแม้ บั้งไฟตะไล 10 ล้าน ทีมงาน #เหิรฟ้าพญาแถน หนึ่งเดียวในโลก! ประเพณีอีสานบ้านเฮา งานบุญบั้งไฟตะไลล้าน ประจำปี 2567 เทศบาลตำบลกุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์

1 เดียวในโลก ‘บั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ความภาคภูมิใจของชาวกาฬสินธุ์ จาก ประเพณี สู่ ‘อัตลักษณ์เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top