Nanthawan Laithong

พาสำรวจเบิ่ง อันตรายจาก “ขีปนาวุธ PHL-03” ยิงไกลกว่า 130 กม.

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัมพูชากำลังเปลี่ยนบทบาทจากประเทศขนาดเล็กที่มักอยู่นอกกระแสของการแข่งขันด้านอาวุธ มาเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือการจัดซื้อระบบจรวดนำวิถีแบบพหุคูณ (Multiple Launch Rocket System – MLRS) รุ่น PHL-03 จากประเทศจีน จำนวน 6 เครื่อง ซึ่งถูกส่งมอบให้กัมพูชาในเดือนพฤษภาคม 2022 พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนด้านโลจิสติกส์อย่างครบชุด แล้ว PHL-03 คืออะไร? PHL-03 คือระบบยิงจรวดหลายลำกล้องขนาด 300 มม. ที่พัฒนาโดยบริษัท China North Industries Group Corporation Limited (NORINCO) ประเทศของจีน โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบต่อยอดจาก BM-30 “Smerch” ของรัสเซีย แต่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมในด้านระบบควบคุมการยิงผ่าน GPS/GLONASS/BeiDou และระบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถยิงได้ครั้งละ 12 นัด ภายในเวลาไม่กี่นาทีโดยแต่ละหัวรบมีน้ำหนักราว 280 กิโลกรัม และยิงได้ไกลมาตรฐานถึง 130 กิโลเมตร ส่วนรุ่นใหม่ล่าสุดยิงได้ไกลถึง 160 กิโลเมตรเลยทีเดียว ทำไมกัมพูชาถึงเลือกใช้ PHL-03? จีนคือผู้ส่งออกอาวุธหลักในอาเซียน โดยเฉพาะให้กัมพูชา ลาว และเมียนมา ผ่านบริษัท NORINCO การส่งอาวุธมักมาพร้อม ดีลแฝง อย่างเช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การฝึกทหาร หรือโลจิสติกส์ ซึ่งการซื้อ PHL‑03 ของกัมพูชานั้น ก็สะท้อนการแข่งขันอิทธิพลระหว่างจีนกับมหาอำนาจอื่น ยิ่งในช่วงภูมิภาคตึงเครียด การลงทุนด้านอาวุธยิ่งกลายเป็นเครื่องมือ ดึงพันธมิตรทางการเมืองและเศรษฐกิจ การจัดซื้ออาวุธ PHL-03 ของกัมพูชา ไม่ได้เป็นเพียงการเสริมขีดความสามารถทางทหารเท่านั้น โดยการจัดซื้ออาวุธเหล่านี้มักแนบมากับข้อตกลงด้านการลงทุน การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งการฝึกอบรมกำลังพลโดยผู้เชี่ยวชาญจากจีนนั่นเอง สถานการณ์ล่าสุดและความกังวล ความสามารถในการยิงของ PHL-03 นั้นที่มีระยะไกลถึง 130-160 กิโลเมตร ทำให้ระบบนี้ครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้างของภาคอีสานไทย ซึ่งทำให้เกิดความกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ากัมพูชานำระบบดังกล่าวไปติดตั้งใกล้แนวชายแดนไทย แต่กองทัพไทยได้แสดงความห่วงใยต่อศักยภาพที่อาจนำมาใช้ในกรณีเกิดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ   ดังนั้น PHL-03 ไม่ได้เป็นเพียงระบบจรวดของกัมพูชา แต่คือสัญลักษณ์ของการวางบทบาทของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการส่งออกอาวุธระดับสูงควบคู่กับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทูต โดยเฉพาะในประเทศที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับจีนอย่างกัมพูชา สำหรับประเทศไทย จำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมวางยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงและการทูต มีข้อมูลและประเมินทั้งมิติความร่วมมือและความขัดแย้งอย่างสมดุล เพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคในระยะยาว   อ้างอิงจาก: – Thai PBS News – The Nation – Bangkok Post    ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business […]

พาสำรวจเบิ่ง อันตรายจาก “ขีปนาวุธ PHL-03” ยิงไกลกว่า 130 กม. อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง  สรุปไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา

ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนบริเวณช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี จนเป็นเหตุให้ทหารไทยขาขาด 1 นาย และบาดเจ็บอีก 4 นาย เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่คำสั่งปิดด่านชายแดนสำคัญ 4 แห่งด้วยกัน และการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศโดยฝ่ายไทย การปะทะลุกลามเป็นวงกว้าง เพียงข้ามคืน ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม กองกำลังฝ่ายกัมพูชาได้เคลื่อนไหวเชิงรุกใกล้บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยนำอาวุธหนักเข้าประจำการใกล้แนวรั้วลวดหนามของฝ่ายไทย และในเวลาต่อมา ทางกัมพูชาก็ได้เปิดฉากยิงใส่ฐานของทหารไทยก่อน เป็นเหตุให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง การปะทะยืดเยื้อขยายตัวไปยังหลายพื้นที่ชายแดน ทั้งที่ปราสาทตาควาย เขาพระวิหาร ช่องอานม้า ช่องบก และช่องจอม ครอบคลุมจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี สิ่งที่น่าตกใจคือ การที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 หลายลำกล้องเข้าใส่พื้นที่บ้านเรือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงพยาบาลพนมดงรักและพื้นที่ชุมชนในอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งถือเป็นการโจมตีที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมและเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง อันถือว่าเป็น อาชญากรรมสงคราม ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย รายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ณ เวลา 21.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม สรุปความสูญเสียเบื้องต้นว่า มีพลเรือนเสียชีวิต 13 ราย และบาดเจ็บรวม 45 ราย ขณะที่ฝ่ายทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บรวม 15 นาย อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 25 กรกฎาคม การปะทะกันนั้นยังคงดำเนินต่อเนื่อง และยอดผู้เสียชีวิตของทหารไทยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 4 นาย โดยเฉพาะที่บริเวณปราสาทตาควายและฐานปฏิบัติการฟ้าลั่น การโจมตีจากฝั่งกัมพูชายังรวมถึงการใช้รถถังและปืนใหญ่ ซึ่งจงใจเล็งเป้าไปยังเป้าหมายที่ไม่ใช่ฐานทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนในพื้นที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน ตำบลศรีวิเชียร อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ที่ถูกจรวดตกใส่ สร้างความหวาดผวาในหมู่ประชาชนที่ต้องอพยพออกนอกเขตการสู้รบในรัศมี 20-40 กิโลเมตร   ปฏิกิริยาระหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ จากเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้ประกาศจัดประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงต่อ UNSC ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามกล่าวโทษไทยผ่านช่องทางยูเนสโก กล่าวหาว่าฝ่ายไทยยิงสนับสนุนใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งถูกกองทัพไทยปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมชี้แจงว่า กัมพูชานำปืนใหญ่มาประจำในพื้นที่ชุมชน โดยใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์นั่นเอง อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า หลายประเทศเสนอตัวเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย แต่ไทยยังขอเวลาในการปฏิบัติการตอบโต้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุนเซน ได้ตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดียโดยเน้นย้ำว่า สงครามมีแต่จะสร้างความทุกข์ทรมานแก่ประชาชน พร้อมเผยภาพความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวผู้นำในอดีต   เส้นทางสู่การทูต หรือสู่ความรุนแรงซ้ำซาก? เหตุการณ์ปะทะชายแดนในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นความขัดแย้งเรื่องพรมแดน หากแต่เป็นการทดสอบเสถียรภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะการยิงโจมตีพลเรือนและโรงพยาบาล ย่อมทำลายภาพลักษณ์ต่อเวทีโลก และสุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีในระดับนานาชาติ ขณะนี้ ความหวังของประชาคมโลกยังตั้งอยู่ที่การไกล่เกลี่ยโดยประเทศที่สาม อย่างเช่น มาเลเซีย หรือองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงลงได้ชั่วคราว

พาเปิดเบิ่ง  สรุปไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา อ่านเพิ่มเติม »

จับตา ‘ชายแดนเดือด’ ไทย-กัมพูชา พาเปิดเบิ่ง “กองกำลังรบ” และ “ยุทโธปกรณ์”  ใครมีอะไรในมือ… พร้อมรับสถานการณ์ล่าสุด!

เมื่อวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2568 เกิดเหตุปะทะทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดนใกล้ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งนับเป็นการเผชิญหน้าครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว โดยเหตุการณ์ดังกล่าวมีการปะทะด้วยอาวุธหนักและเบา มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตจากทั้งสองฝ่าย พร้อมทั้งมีรายงานความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนในเขตชายแดน โดยเฉพาะในอำเภอพนมดงรัก และพื้นที่ตรงข้ามจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศซึ่งยังคงมีข้อพิพาททางดินแดนที่รอการคลี่คลาย โดยเหตุปะทะครั้งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจการค้าและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดน การขนส่งสินค้าบริเวณด่านช่องสะงำ-อันลองเวง ต้องหยุดชะงักทันที ซึ่งส่งผลให้สินค้าอุปโภคบริโภคที่ขนย้ายระหว่างประเทศต้องค้างสต๊อกจำนวนมาก เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยที่ค้าขายกับฝั่งกัมพูชาประสบความเสียหายโดยตรง ขณะที่โรงงานผลิตในฝั่งกัมพูชาซึ่งใช้วัตถุดิบจากฝั่งไทยต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเช่นกัน ทำให้ห่วงโซ่อุปทานในบางอุตสาหกรรมต้องชะงักทันที เหตุการณ์นี้ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความสูญเสียไว้ในพื้นที่ชายแดนทั้งทางกายภาพและจิตใจ โดยเฉพาะในชุมชนรอบอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และเขตแนวปะทะตรงข้ามจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา มีทั้งประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดและกระสุนปืน บางรายเป็นเด็กและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้ทัน และยิ่งที่น่าสลดใจคือมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ด้วย อีกทั้งโรงพยาบาลท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลพนมดงรัก และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ใกล้เคียง ต้องรับมือกับผู้บาดเจ็บอย่างเร่งด่วนภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด ขาดเวชภัณฑ์และบุคลากรเฉพาะทางในการรับมือกับกรณีฉุกเฉินจากการสู้รบ ส่งผลให้ต้องประสานงานกับโรงพยาบาลในจังหวัดเพื่อส่งต่อผู้ป่วยบางราย ซึ่งล่าช้าและเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้บาดเจ็บ แม้สถานการณ์ทางทหารจะคลี่คลายได้ในไม่กี่วัน แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและจิตวิทยาสังคมจะอยู่อีกนาน ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นอุปสรรคในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภาคอีสานหรือไม่? ซึ่งพึ่งพาการค้าชายแดนเป็นหลัก    อีสานอินไซต์จะพามาเบิ่ง กองกำลังและยุทโธปกรณ์ ของทั้ง 2 ประเทศ สถานการณ์ความไม่สงบและความขัดแย้งในอดีตบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชายังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา  จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า กองทัพไทยมีขนาดที่ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยกำลังพลรวมทั้งสิ้น 606,850 นาย แบ่งเป็นกำลังพลประจำการ 360,850 นาย, กำลังพลสำรอง 221,000 นาย และกำลังพลกึ่งทหาร 25,000 นาย ในทางตรงกันข้าม กัมพูชามีกำลังพลรวม 231,000 นาย ประกอบด้วยกำลังพลประจำการ 221,000 นาย และกำลังพลกึ่งทหาร 10,000 นาย ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการระดมพลและขยายขนาดกองทัพที่เหนือกว่าของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความมั่นคงในระยะยาว สำหรับกองกำลังทางอากาศ ประเทศไทยมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเครื่องบินรวม 493 ลำ ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินรบ 265 ลำ และมีเฮลิคอปเตอร์ 170 ลำ ขณะที่กัมพูชามีเครื่องบินเพียง 25 ลำ (รวมเครื่องบินรบ 21 ลำ) และเฮลิคอปเตอร์ 21 ลำ ความเหนือกว่าทางอากาศของไทยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงขีดความสามารถในการป้องกันทางอากาศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศักยภาพในการโจมตีทางอากาศและการสนับสนุนการรบภาคพื้นดินที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในสงครามสมัยใหม่ สำหรับยุทโธปกรณ์ภาคพื้นดิน ทั้งสองประเทศมีจำนวนรถถังที่ใกล้เคียงกัน โดยไทยมี 635 คัน และกัมพูชามี 644 คัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรถหุ้มเกราะ ไทยมีจำนวนมากถึง 16,935 คัน เทียบกับ 3,627 คันของกัมพูชา ซึ่งบ่งชี้ถึงขีดความสามารถในการเคลื่อนที่และการป้องกันกำลังพลภาคพื้นดินที่เหนือกว่าของไทย นอกจากนี้ ไทยยังมีปืนใหญ่ 639 กระบอก ในขณะที่กัมพูชามี 460 กระบอก แสดงให้เห็นถึงอำนาจการยิงสนับสนุนที่มากกว่า และในด้านกำลังทางเรือ กองทัพเรือไทยมีเรือรบ 68 ลำ ในขณะที่กัมพูชามี 20 ลำ ตอกย้ำถึงความได้เปรียบของไทยในการควบคุมน่านน้ำและการป้องกันชายฝั่ง ซึ่งมีความสำคัญต่อประเทศที่มีพื้นที่ทางทะเลกว้างใหญ่

จับตา ‘ชายแดนเดือด’ ไทย-กัมพูชา พาเปิดเบิ่ง “กองกำลังรบ” และ “ยุทโธปกรณ์”  ใครมีอะไรในมือ… พร้อมรับสถานการณ์ล่าสุด! อ่านเพิ่มเติม »

ทำไมห้ามโจมตีโรงพยาบาลและพลเรือน? พามาฮู้จัก “อนุสัญญาเจนีวา” ที่โลกจับตา ในวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชานี้

ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 สถานพยาบาลพลเรือนอย่าง โรงพยาบาลพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยจรวดหลายลำกล้องจากกองกำลังกัมพูชา การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศไทย แต่ยังถือเป็นการละเมิด อนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่สำคัญยิ่งในการจำกัดความรุนแรงของสงครามและคุ้มครองผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบนั่นเอง อนุสัญญาเจนีวาถือเป็นรากฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยประกอบด้วย 4 ฉบับหลักและพิธีสารเพิ่มเติมอีก 3 ฉบับ ซึ่งมุ่งเน้นการคุ้มครองกลุ่มเปราะบางในสถานการณ์ความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นทหารที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย เชลยศึก ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์และพลเรือน อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 ได้ให้ความคุ้มครองแก่พลเรือนในเขตสงครามหรือพื้นที่ที่ถูกยึดครอง และมีข้อห้ามที่ระบุไว้อย่างชัดเจนใน มาตรา 18 ว่าด้วยการคุ้มครองโรงพยาบาลพลเรือน โรงพยาบาลเหล่านี้ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ รวมถึงสตรีมีครรภ์และผู้สูงอายุ จะต้องได้รับการคุ้มครองและเคารพในทุกสถานการณ์ และจะต้องไม่ตกเป็นเป้าของการโจมตีโดยเด็ดขาด ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในภาคีที่ได้ลงนามในอนุสัญญาเจนีวาครบทั้ง 4 ฉบับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชาเองก็เป็นภาคีเช่นกัน การที่ประเทศภาคีใดๆ ก็ตามกระทำการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา จะถือเป็นการก่อ อาชญากรรมสงคราม (War Crimes) ซึ่งมีผลทางกฎหมายระหว่างประเทศ และอาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีโดย ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)   แม้โลกจะมีเสียงเรียกร้องให้สงครามเป็นเพียงประวัติศาสตร์ แต่ในวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2568 ความรุนแรงได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ณ ชายแดนไทย-กัมพูชา ท่ามกลางหมอกควันแห่งการสู้รบ สิ่งที่น่าสลดใจยิ่งกว่าการสูญเสีย คือการที่โรงพยาบาลและพลเรือนตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีนี้ ซึ่งขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากล และละเมิดอย่างร้ายแรงต่อ “อนุสัญญาเจนีวา” ที่ทั้งสองประเทศได้ลงนามไว้ อนุสัญญาเจนีวาไม่ใช่เพียงเอกสารทางสากล แต่คือกติกาแห่งความเป็นมนุษย์ในภาวะสงคราม มาตรการคุ้มครองผู้บาดเจ็บ พลเรือน ผู้ลี้ภัย และบุคลากรทางการแพทย์ ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน การที่กัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนตามรายงานข่าวจากหลายแหล่ง และมีการทิ้งระเบิดใส่พื้นที่โรงพยาบาล รวมถึงพื้นที่ปลอดอาวุธนั้น ไม่เพียงแต่ผิดหลักจริยธรรม และถือว่ายังเป็น “อาชญากรรมสงคราม” (War Crime) ที่อาจถูกดำเนินคดีโดยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)   เสียงปืนที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจ สิ่งที่ตามมาจากเหตุปะทะ ไม่ได้จบลงเพียงกับเสียงปืนหรือผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ แต่ยังส่งผลกระทบถึงระบบเศรษฐกิจในประเทศทั้งสอง ดัชนีหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ตกต่ำทันทีหลังข่าวการยิงตอบโต้แพร่กระจาย ธุรกิจชายแดนซึ่งพึ่งพาการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา มูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี เกิดภาวะหยุดชะงัก สินค้าติดค้างที่ด่าน พ่อค้าแม่ค้าขาดรายได้ ประชาชนขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคที่หมุนเวียนอยู่ในพื้นที่ ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทที่ลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษอย่าง อ.อรัญประเทศ ต้องหยุดดำเนินงานชั่วคราว เพราะความไม่แน่นอนของสถานการณ์ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงทันที ผลกระทบนี้หากยืดเยื้อ อาจกระทบต่อภาพรวม GDP ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ   แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในมุมมองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่นี่คือบททดสอบว่าชาติสมาชิกของอนุสัญญาเจนีวาจะยึดถือหลักมนุษยธรรมได้จริงหรือไม่ หากไม่มีการสอบสวนและดำเนินการอย่างโปร่งใส เหตุการณ์ลักษณะนี้อาจกลายเป็น “ความเคยชินใหม่” ที่อันตรายยิ่งกว่าสงคราม ขณะเดียวกัน สังคมไทยเองก็ควรตระหนักว่า นี่ไม่ใช่เพียงการปะทะชายแดนธรรมดา แต่คือสัญญาณของการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่อาจย้อนกลับมาสร้างความเสียหายลึกยิ่งขึ้น หากปล่อยให้ลอยนวลไปนั่นเอง การยิงใส่โรงพยาบาลหรือพื้นที่พลเรือนไม่เคยถูกยอมรับในเวทีใดของโลก เพราะมันหมายถึงการล้มล้างศีลธรรมขั้นพื้นฐานของความมนุษย์

ทำไมห้ามโจมตีโรงพยาบาลและพลเรือน? พามาฮู้จัก “อนุสัญญาเจนีวา” ที่โลกจับตา ในวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชานี้ อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง สถิติคนหมดใจใน 14 ปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือน ชาวอีสาน “รักน้อยลง แต่งน้อยลง แยกมากขึ้น” กระทบอัตราการเกิด

รักน้อยลง? เมื่อการแต่งงานลดฮวบ – หย่าร้างพุ่ง สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวยุคใหม่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านโครงสร้างครอบครัว จากสถิติปี 2567 พบว่า ภาคอีสานมียอดการจดทะเบียนสมรสใน 20 จังหวัดของภาคอีสานมีเพียงประมาณ 66,567 คู่ ซึ่งถือเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในรอบ 14 ปี ขณะที่ยอดการหย่าร้างยังคงสูงถึงเกือบ 40,000 คู่ สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงลึกในพฤติกรรมของผู้คน ที่หันมาใช้ชีวิตแบบโสดมากขึ้น หรือเลือกจะอยู่ร่วมกันแบบไม่ผูกมัดตามกฎหมาย ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเขตเมืองใหญ่เท่านั้น แต่กำลังค่อยๆ แทรกซึมสู่ชุมชนชนบททั่วอีสาน หากลงไปดูในแต่ละจังหวัดจะเห็นแนวโน้มที่น่าตกใจ อย่างเช่น จังหวัดขอนแก่น ที่มียอดจดทะเบียนสมรสเพียง 6,142 คู่ ขณะที่การหย่าร้างอยู่ที่ 3,889 คู่ คิดเป็นอัตราการหย่าร้างกว่า 63% ของคู่ที่แต่งงานในปีเดียวกัน หรือจะในจังหวัดนครราชสีมาเอง ที่แม้จะมีคู่สมรสสูงถึง 9,499 คู่ แต่ก็มียอดหย่าถึง 5,876 คู่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงในชีวิตคู่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนักในยุคปัจจุบัน ปัจจัยที่ทำให้คน “แต่งงานน้อยลง” ก็มีหลากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมามุ่งมั่นด้านการงาน การศึกษาหรือการออกไปทำงานนอกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือแม้กระทั่งต่างประเทศ ซึ่งก็ทำให้ความสัมพันธ์ระยะยาวถูกลดความสำคัญลง นอกจากนี้ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และภาระการเลี้ยงดูลูกยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนเลี่ยงการแต่งงานหรือการมีครอบครัว อีกทั้งความคาดหวังต่อชีวิตคู่ในยุคนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คนรุ่นใหม่ต้องการความเข้าใจและอิสรภาพมากกว่าความผูกพันทางกฎหมายแบบเดิมนั่นเอง   อีกทั้ง การหย่าร้างในภาคอีสานไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองใหญ่ แต่พบได้ในหลายจังหวัดชนบท ไม่ว่าจะเป็น ศรีสะเกษ ยโสธร หนองบัวลำภู หรืออำนาจเจริญ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีอัตราการหย่าร้างเฉลี่ยสูงเมื่อเทียบกับจำนวนสมรส สาเหตุสำคัญ คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ความไม่เข้าใจในชีวิตคู่ และการเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่เลือกจะไม่ทน ในความสัมพันธ์ที่ไม่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตอีกต่อไป   อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจของการเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์นี้นั่นคือ เทรนด์ทางสังคมที่กำลังเติบโตอย่างชัดเจนในทั่วโลกและสังคมไทย ในรูปแบบ “การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนการมีลูก” หรือที่เรียกว่า “Pet Humanization” เทรนด์นี้สะท้อนชัดในกลุ่มคนวัยทำงานและผู้สูงอายุจำนวนมากเริ่มหันมาเลี้ยงสัตว์ อย่างเช่น สุนัขและแมว ด้วยความผูกพันในระดับสมาชิกในครอบครัวมากกว่าการมีลูกอย่างจริงจัง ข้อมูลจาก The 1 Insight และ CRC VoiceShare ระบุว่า กว่า 65% ของคนไทยที่เลี้ยงสัตว์ มองว่าสัตว์เลี้ยงคือเสมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว และกลุ่มผู้คนเหล่านี้ยินดีที่จะทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อแลกมาด้วยคุณภาพชีวิตสัตว์เลี้ยงที่ดี ไม่ว่าจะเป็นทั้งค่าอาหาร ค่ารักษา สปา โรงแรมสัตว์ หรือแม้แต่คลินิกเฉพาะทาง ทำให้ธุรกิจในกลุ่ม Pet Economy ในประเทศไทยเริ่มได้รับความสนใจและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่กำลังเคลื่อนตัวออกจากค่านิยมครอบครัวแบบเดิม ที่มีทั้งชาย-หญิง-ลูก และก้าวเข้าสู่รูปแบบ “แฟมิลี่ทางเลือก” หรือครอบครัวที่มีเฉพาะสัตว์เลี้ยง ซึ่งตอบโจทย์ทั้งอารมณ์ ความรัก ความผูกพัน และอิสระในชีวิตโดยไม่ต้องแบกรับภาระทางสังคมแบบครอบครัวดั้งเดิมอีกต่อไปนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล – สำนักบริหารการทะเบียน

พาย้อนเบิ่ง สถิติคนหมดใจใน 14 ปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือน ชาวอีสาน “รักน้อยลง แต่งน้อยลง แยกมากขึ้น” กระทบอัตราการเกิด อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ไทยต้องแบก “ค่ารักษาต่างด้าว” กว่า 2.3 พันล้าน ภาระนี้ ชายแดนไทย-กัมพูชา อ่วมหนัก 277 ล้าน

วิกฤตหนี้สะสมจากค่ารักษาพยาบาลแรงงานต่างด้าว ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสาธารณสุขชายแดนไทย ในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา ข้อมูลจากระบบสาธารณสุขของประเทศไทยได้เปิเผยตัวเลขที่น่าจับตามอง นั่นคือภาระหนี้สะสมจากค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้จากกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ซึ่งแตะตัวเลขสูงถึง 2,315 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนกว่า 76.3% ของหนี้ก้อนนี้มาจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นจุดที่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานมากที่สุด มีแรงงานต่างด้าวที่เข้ารับบริการมากกว่า 8.7 แสนครั้ง มีถึง 52.8% ที่ไม่สามารถชำระค่ารักษาได้ทั้งหมดหรือไม่มีสิทธิรองรับใดๆ สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจของกลุ่มประชากรนี้ แม้ว่าจะมีระบบการคัดกรองและบริหารจัดการ แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งตัวแรงงานและครอบครัว การที่แรงงานส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำและไม่สามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาที่ครอบคลุมได้ นำไปสู่การเข้าไม่ถึงบริการที่จำเป็นหรือการเข้าถึงเมื่ออาการหนักแล้ว ซึ่งย่อมส่งผลให้การรักษาซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามมา ก่อให้เกิดวงจรหนี้สินที่ไม่สิ้นสุด และในทางกลับกัน ภาระหนี้ก้อนใหญ่นี้ได้กลายเป็น “ต้นทุนทางสังคม” ที่สถานพยาบาลในพื้นที่ต้องแบกรับ โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กในพื้นที่ชายแดนที่ต้องรับมือกับความต้องการบริการที่สูงเกินขีดความสามารถ   ผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทย ภาระหนี้ 2,315 ล้านบาท ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการของโรงพยาบาลอย่างรุนแรง งบประมาณที่ต้องนำมาใช้เพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ อาจส่งผลให้งบลงทุนด้านการพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ การจัดซื้อเครื่องมือ การบริหารจัดการบุคลากรต้องชะลอตัวลง หรือแม้แต่การขยายบริการพื้นฐานต้องถูกตัดทอนลง สถานพยาบาลขนาดเล็กหลายแห่งที่ตั้งอยู่ใน 31 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ไม่เพียงต้องทำงานเกินขีดความสามารถ แต่ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วย่อมกระทบต่อคุณภาพการบริการที่ประชาชนชาวไทยจะได้รับในที่สุดนั่นเอง   สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าว 🇲🇲ชายแดนไทย–เมียนมา 76.3% เรียกเก็บไม่ได้ 1,800 ล้านบาท 🇰🇭ชายแดนไทย–กัมพูชา 12% เรียกเก็บไม่ได้ 277 ล้านบาท 🇱🇦ชายแดนไทย–ลาว 7.8% เรียกเก็บไม่ได้ 180 ล้านบาท 🇲🇾ชายแดนไทย–มาเลเซีย 4% เรียกเก็บไม่ได้ 93 ล้านบาท จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า แรงงานจากกัมพูชามีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้สูงสุดที่ 277 ล้านบาท ตามมาด้วยลาว 180 ล้านบาท และเมียนมา 160 ล้านบาท ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างทางสิทธิประโยชน์และนโยบายการคุ้มครองสุขภาพระหว่างประเทศ แม้ว่าภาพรวมหนี้จะมาจากชายแดนเมียนมาเป็นหลัก แต่การเจาะลึกข้อมูลทำให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงกลไกความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้าใจและร่วมมือกันในมิติของการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ภาระหนี้ก้อนโตจากค่ารักษาพยาบาลแรงงานข้ามชาติไม่ใช่เพียงเรื่องของงบประมาณที่ขาดหายไปเท่านั้น แต่เป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของระบบสาธารณสุขชายแดนไทย ที่มีทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกคนในสังคมอย่างแท้จริงนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กรุงเทพธุรกิจ – ข่าวคนจริง   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ระบบสาธารณสุขไทย #สาธารณสุขไทย #ค่ารักษาต่างด้าว #แรงงานต่างด้าว

พามาเบิ่ง ไทยต้องแบก “ค่ารักษาต่างด้าว” กว่า 2.3 พันล้าน ภาระนี้ ชายแดนไทย-กัมพูชา อ่วมหนัก 277 ล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ครึ่งปีแรก 2568 “อีสานโกยรายได้ท่องเที่ยว” พุ่งทะลุ 5.8 หมื่นล้าน‼️ เติบโตเกือบ 7%

ท่องเที่ยวอีสานฟื้นแรง‼️รายได้ครึ่งปีทะลุ 5.8 หมื่นล้าน เปิดโอกาสธุรกิจใหม่กลางแดนอีสาน ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568 ภาคอีสานของเรา มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมทั้งภูมิภาคพุ่งทะลุ 58,057 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน โดยถือเป็นสัญญาณเชิงบวกอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐกิจฐานรากของภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง การพักผ่อน และการใช้จ่ายในระดับชุมชน 4 จังหวัดหลักกุมสัดส่วนรายได้กว่า 54% จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าพื้นที่ 4 จังหวัดหลักของอีสาน อย่างเช่น นครราชสีมา, ขอนแก่น, อุดรธานี และอุบลราชธานี ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมั่นคง โดยสร้างรายได้รวมกันถึงกว่า 31,600 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 54.4% ของทั้งภูมิภาคเลยทีเดียว ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทในฐานะประตูเศรษฐกิจอีสานที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน สายการบิน การคมนาคมทางถนน และระบบสาธารณูปโภคที่รองรับการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบนั่นเอง นครราชสีมา ยังคงเป็นแชมป์ด้วยรายได้กว่า 11,197 ล้านบาท จากความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว ทั้งวัฒนธรรม ธรรมชาติ และเมืองพักผ่อนปลายทางอย่างเขาใหญ่ ตามมาด้วย ขอนแก่น และ อุดรธานี ทำรายได้ไล่หลังมาติดๆ ด้วยบทบาทศูนย์กลางเศรษฐกิจตอนบนของอีสาน มีทั้งมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลชั้นนำ และธุรกิจ MICE (การจัดประชุม/สัมมนา) และ อุบลราชธานี แม้จะอยู่ชายแดน แต่ก็เติบโตจากทั้งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และศักยภาพของสนามบินที่เชื่อมต่อกับเมืองใหญ่ทั่วประเทศ   หนองคาย ดาวรุ่งชายแดนลุ่มน้ำโขง ในอันดับที่ 5 อย่าง หนองคาย กวาดได้กว่า 4,779 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากบทบาทของการเป็นเมืองหน้าด่านติด สปป.ลาวโดยเฉพาะสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่เปิดช่องทางให้การค้าชายแดนคึกคัก รวมถึงการเดินทางของนักท่องเที่ยวลาวและเวียดนาม ที่นิยมต่อรถเข้ามาชอปปิ้ง รักษาสุขภาพ หรือพักผ่อนในฝั่งไทย โดยเฉพาะที่จังหวัด อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬซึ่งมีศูนย์การค้า โรงพยาบาลเอกชน และคลินิกความงามครบครัน พฤติกรรมการท่องเที่ยวลักษณะนี้ทำให้ธุรกิจบริการข้ามแดน อย่างเช่น ศัลยกรรม เช่าเหมารถ การจัดทัวร์รายวัน และธุรกิจร้านอาหาร-ร้านขายของฝาก ได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงจำนวนมากเลยทีเดียว   อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ “ค่าใช้จ่ายต่อคนในการท่องเที่ยว” ซึ่งชี้ให้เห็นพฤติกรรมและกำลังซื้อของนักเดินทาง โดยจังหวัดที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูง ได้แก่ – ขอนแก่น มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 3,190 บาท/คน – อุดรธานี มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 2,753 บาท/คน – หนองคาย มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 2,488 บาท/คน – นครราชสีมา มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 2,445 บาท/คน จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ การศึกษา และการคมนาคม มักมีนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่านักท่องเที่ยวแบบประหยัด เพราะจุดหมายเหล่านี้ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังจ่ายสูง ทั้งชาวไทยและเพื่อนบ้าน ทำให้ธุรกิจระดับกลางถึงบน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรู สปา คลินิกเวชกรรม

พาเปิดเบิ่ง ครึ่งปีแรก 2568 “อีสานโกยรายได้ท่องเที่ยว” พุ่งทะลุ 5.8 หมื่นล้าน‼️ เติบโตเกือบ 7% อ่านเพิ่มเติม »

ชายแดนเดือดอีกครั้ง‼️ พาเจาะลึกเบิ่ง “ปราสาทตาเมือนธม” 1 ใน 4 ปราสาทที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ในถิ่นไทย

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 เวลา 13:08 น. บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ได้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายและเสียงทะเลาะดังสนั่นระหว่างคนไทยกับคนกัมพูชาที่ต่างอ้างสิทธิในพื้นที่ ซึ่งแม้เหตุการณ์จะไม่ลุกลามเป็นความรุนแรง แต่ได้สะท้อนถึงรอยร้าวที่ยังคงคุกรุ่นในดินแดนชายแดน “ปราสาทตาเมือนธม” คือโบราณสถานขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเมือน ตั้งอยู่ในอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ไม่ไกลจากชายแดนไทย-กัมพูชา ตัวปราสาทสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอม ภายหลังการล่มสลายของขอมโบราณ ปราสาทหลายแห่งกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะตั้งอยู่บนพื้นที่สูง มองเห็นเส้นทางลำเลียงและแนวป้องกันทางธรรมชาติได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ปราสาทหลายแห่ง อย่างเช่น ตาเมือนธม จึงไม่ได้เป็นเพียงมรดกทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นมรดกทางยุทธศาสตร์โดยปริยาย เป็นทั้งจุดควบคุมพรมแดน เขตทหาร และเป้าหมายของความขัดแย้งเชิงสัญลักษณ์ที่ดึงเอาเรื่องวัฒนธรรมมาเป็นฉากหน้าเพื่อต่อรองด้านอื่นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า   พรมแดนไม่เคยนิ่ง จากข้อพิพาทไทย–กัมพูชา หากย้อนไปในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ความขัดแย้งหลักล้วนมีจุดร่วมอยู่ที่พรมแดนที่ยังไม่มีข้อยุติ และทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่ซ้อนทับกัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลโลกตัดสินให้ตกเป็นของกัมพูชาในปี 2505 และนำไปสู่ข้อพิพาทซ้ำซ้อนในปี 2551-2554 รวมถึงการปะทะระหว่างทหารที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและชาวบ้านต้องอพยพออกจากพื้นที่หลายพันคน ในกรณีปราสาทตาเมือนธม ความขัดแย้งเดิมสงบนิ่งหลังจากเหตุการณ์รุนแรงช่วงปี 2548-2554 แต่ในปัจจุบันกระแสของการทวงคืนวัฒนธรรมก็กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชามีการขึ้นทะเบียนโบราณสถานในพื้นที่ชายแดน ซึ่งไทยมองว่าเป็นการกระทำฝ่ายเดียว และไม่ยอมรับเขตแดนตามแผนที่ฝรั่งเศสยุคล่าอาณานิคม ล่าสุดในปี 2568 กัมพูชาได้มีการจัดกิจกรรมบริเวณใกล้ปราสาท พร้อมมีป้ายเขียนภาษาเขมรและธงชาติกัมพูชาปรากฏอยู่ในพื้นที่ที่คนไทยถือว่าอยู่ฝั่งไทย จุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจของชาวบ้าน รวมถึงการปะทะด้วยวาจาอย่างรุนแรง   โบราณสถานชายแดน อย่างเช่นปราสาทตาเมือนธม หรือแม้แต่ปราสาทพระวิหาร ไม่เพียงมีค่าในเชิงวัฒนธรรม แต่ยังเป็นทรัพยากรเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ การค้าชายแดน และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในอาเซียน โดยหลายปีที่ผ่านมา พื้นที่เหล่านี้เคยถูกเสนอเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เกิดการค้าระหว่างประเทศ และยกระดับชุมชนชายแดนให้พึ่งพาตนเองได้ผ่านการท่องเที่ยวและงานหัตถกรรม แต่แล้วความไม่แน่นอนของอธิปไตยทางวัฒนธรรม กลับกลายเป็นอุปสรรคหลักที่ทำให้การลงทุนระยะยาวหยุดชะงัก ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงช่างฝีมือท้องถิ่น นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ชุมชนในพื้นที่ชายแดนยังเผชิญกับความไม่มั่นคงในชีวิต การค้าขายตามแนวชายแดนชะงักงัน วิถีชีวิตดั้งเดิมถูกรบกวน และความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่เคยแน่นแฟ้นระหว่างสองฝั่งต้องถดถอยลงอีกด้วย หากภาครัฐสามารถเจรจาอย่างสงบ สร้างกลไกการบริหารจัดการร่วมในลักษณะแหล่งมรดกร่วมแบบพหุภาคี อย่างเช่นเดียวกับกรณี “เคบายา” ในอาเซียน หรือแม้แต่ “โขน-ละครโขล” ในปี 2561 ที่ต่างฝ่ายต่างขึ้นทะเบียนแต่ไม่ขัดแย้ง ก็จะเป็นประตูที่เปิดให้การท่องเที่ยวชายแดนกลายเป็นสันติภาพทางเศรษฐกิจแทนการปะทะทางการเมืองนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – Matichon – True ID – Thai PBS – Spring News   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ปราสาทตาเมือนธม

ชายแดนเดือดอีกครั้ง‼️ พาเจาะลึกเบิ่ง “ปราสาทตาเมือนธม” 1 ใน 4 ปราสาทที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ในถิ่นไทย อ่านเพิ่มเติม »

🔎พาเปิดเบิ่ง ภาคอีสาน เบอร์ 1 ผลผลิต “มันสำปะหลัง” เยอะสุดในประเทศ กว่า 16.2 ล้านตัน

ราคามันสำปะหลังไทย “ดิ่งเหว” ต่ำสุดรอบ 10 ปี เมื่อจีนหันไปปลูกเอง และภาคอีสานต้องเป็นผู้รับกรรมหรือไม่⁉️ เมื่อพูดถึง “มันสำปะหลัง” คนส่วนใหญ่อาจมองว่าเป็นเพียงพืชเศรษฐกิจธรรมดาที่ไม่หรูหราเหมือนข้าวหอมมะลิหรือทุเรียนส่งออก แต่สำหรับภาคอีสานของเรา มันสำปะหลังถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจฐานรากที่สามทรถหล่อเลี้ยงครอบครัวนับล้านชีวิต  จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า อีสานคือเบอร์ 1 ของประเทศแหล่งผลิตมันสำปะหลัง กว่า 16.2 ล้านตัน และมีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 5 ล้านไร่ โดยมีจังหวัดนครราชสีมานำมาเป็นอันดับ 1 (3.7 ล้านตัน) รองลงมาเป็น ชัยภูมิ และ อุบลราชธานีตามลำดับ แต่แล้ววันนี้ราคามันสำปะหลังในประเทศกลับตกต่ำซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสาเหตุนั้นก็มาจาก จีน ผู้ซื้อหลักของไทยที่ได้หันไปปลูกเองเพื่อพึ่งพาตนเองทางอาหารและอุตสาหกรรม ซึ่งไทยเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปที่คู่ค้ากำลังลดการพึ่งพาภายนอกจากไทย   📉จากสินค้าทำเงิน สู่พืชไร้ราคา เกษตรกรอีสานติดหล่มหนี้ ในภาวะที่ราคามันสำปะหลังตกต่ำ หลายครอบครัวในภาคอีสานได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะพืชชนิดนี้ไม่ใช่แค่สร้างรายได้เท่านั้น แต่คือความหวังของเกษตรกรจำนวนมากที่กู้หนี้เพื่อเตรียมพื้นที่ปลูก ซื้อปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า ค่าน้ำมันไถนา และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อหวังเก็บเกี่ยวแล้วขายให้มีเงินหมุนเวียนในครัวเรือน แต่แล้ววันนี้ราคาที่ตกต่ำกลับไม่สามารถแม้แต่จะคืนต้นทุนได้ ขณะเดียวกัน ภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพามันสำปะหลัง ไม่ว่าจะเป็น โรงงานผลิตแป้งมัน อาหารสัตว์ หรือเชื้อเพลิงชีวภาพ ก็เริ่มเผชิญปัญหาต้นทุนสูงขึ้น ขณะที่รายได้ลดลงตามราคาตลาด ทำให้เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจในหลายจังหวัดของภาคอีสาน   เกษตรกรวอนรัฐ “อย่าปล่อยให้ตายกลางไร่” เสียงของเกษตรกรดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา “เราไม่อยากได้แค่เงินเยียวยา แต่ต้องการแผนการฟื้นฟูและพัฒนาแบบยั่งยืน” ข้อเรียกร้องนี้สะท้อนว่าความช่วยเหลือแบบระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำ หรือเงินอุดหนุน ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงระบบได้   อ้างอิงจาก:  – สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร – ลงทุนแมน – Thai PBS   ติดตาม ISAN Insight ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsight #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #มันสำปะหลัง #อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง #อุตสาหกรรมมันสำปะหลังในอีสาน #มันสำปะหลังในอีสาน

🔎พาเปิดเบิ่ง ภาคอีสาน เบอร์ 1 ผลผลิต “มันสำปะหลัง” เยอะสุดในประเทศ กว่า 16.2 ล้านตัน อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ตัวเลขสุดช็อก พบอีสานมีผู้ป่วย “ไตวาย” พุ่งพรวดกว่า 32.9% ในปีเดียว และเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งในรอบ 8 ปี‼️

สถานการณ์โรคไตวายในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคอีสานที่กำลังส่งสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ หลังข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ในปี 2566 มีผู้ป่วยไตวายในภาคอีสานพุ่งสูงถึง 404,680 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 32.9% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงผิดปกติ หากเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ที่เพิ่มขึ้นเพียงปีละไม่เกิน 8% นี่จึงไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงตัวเลขที่ได้นำเสนอไป แต่เป็นการระเบิดของวิกฤตสุขภาพที่อาจส่งผลลึกถึงระดับเศรษฐกิจและนโยบายสาธารณสุขของประเทศ   โรคไตวายเรื้อรังเกิดจากอะไร⁉️ โรคไตวายเรื้อรังมีสาเหตุสำคัญจากพฤติกรรมและโรคประจำตัวของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ซึ่งล้วนเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังของคนไทยโดยเฉพาะในภาคอีสานที่นิยมบริโภคอาหารรสจัด เช่น ปลาร้า แจ่ว หรืออาหารหมักดองต่าง ๆ ที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบหลัก นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมเสี่ยงอื่น อย่างเช่น การใช้ยาชุด สมุนไพรพื้นบ้านโดยไม่ควบคุม และการดื่มน้ำสมุนไพรหรือเครื่องดื่มพื้นบ้านที่ไม่ได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย แต่ในห้วงเวลาที่วิกฤตไตกำลังปะทุ สิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้นั้นคือ การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายในช่วงปลายปี 2564 ที่ “พืชกระท่อม” ถูกปลดล็อกให้ถูกกฎหมายในประเทศไทย การบริโภคกระท่อมในรูปแบบ “น้ำกระท่อม” จึงขยายตัวอย่างรวดเร็วในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทั่วไปที่เข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ กระท่อมแม้จะมีฤทธิ์ลดปวดหรือเพิ่มพลังงาน แต่เมื่อบริโภคในปริมาณมาก หรือถูกนำไปผสมกับน้ำอัดลม พาราเซตามอล ยาแก้ไอ หรือสารเคมีอื่น กลับเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบไตอย่างรุนแรงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยในประเทศไทยที่ยืนยันแบบเฉพาะเจาะจงว่า “น้ำกระท่อม” เป็นสาเหตุโดยตรงของโรคไตวาย แต่การที่ตัวเลขผู้ป่วยไตพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 32.9% ภายในปีเดียว ขณะที่ใน 7 ปีก่อนหน้านั้นเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 4-8% ย่อมเป็นข้อมูลที่ไม่อาจมองข้ามได้   ผลกระทบของโรคไตวายต่อระบบเศรษฐกิจ ผลกระทบของโรคไตวายไม่เพียงจำกัดอยู่ในระบบสาธารณสุข แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจในหลายระดับ เริ่มจากภาระงบประมาณของรัฐที่ต้องแบกรับค่ารักษาผู้ป่วยฟอกไต ซึ่งมีต้นทุนสูงถึงหลักแสนบาทต่อคนต่อปีเลยทีเดียว ขณะที่ครอบครัวของผู้ป่วยจำนวนมากต้องสูญเสียรายได้จากการทำงาน หรือกลายเป็นผู้ดูแลโดยจำเป็น ส่งผลให้เกิดภาวะความยากจนจากโรคเรื้อรังที่ยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในภาคอีสานซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่ำอยู่แล้วนั่นเอง นอกจากนี้ เมื่อกลุ่มแรงงานวัยทำงานกลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง ความสามารถในการผลิตของระบบเศรษฐกิจก็ลดลงทั้งทางตรงและทางอ้อม ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพืชกระท่อม แม้สร้างรายได้ในระยะสั้น แต่หากปราศจากมาตรการควบคุมและมาตรฐานความปลอดภัยในการบริโภค ก็อาจจะย้อนกลับมาก่อปัญหาสุขภาพระยะยาวซึ่งมีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงกว่าผลประโยชน์ที่ได้หลายเท่านั่นเอง   อ้างอิงจาก: – กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข – กองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข – ฐานข้อมูลผู้ป่วยใน หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)   – Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพ – PPTVHD 36 – The Coverage   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ไตวาย #โรคไตวาย

พาเปิดเบิ่ง ตัวเลขสุดช็อก พบอีสานมีผู้ป่วย “ไตวาย” พุ่งพรวดกว่า 32.9% ในปีเดียว และเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งในรอบ 8 ปี‼️ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top