พาส่องเบิ่ง ภาษีทรัมป์ ของประเทศในอาเซียน ไทยได้ลดจาก 36% เหลือ 19%

นโยบายปรับลดภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา หรือ “ภาษีทรัมป์” กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ที่ต่างเร่งปรับตัวเพื่อให้สินค้าส่งออกของตนสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ภายใต้เงื่อนไขภาษีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยเองได้ประกาศลดอัตราภาษีจาก 36% เหลือ 19% เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการค้าโลก ท่ามกลางความคาดหวังว่าจะสามารถรักษาศักยภาพของตนในฐานะฐานการผลิตระดับภูมิภาคไว้ได้อย่างมั่นคงนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การลดภาษีดังกล่าว ก็เป็นผลมาจากแรงกดดันด้านการแข่งขันในภูมิภาคและความจำเป็นในการรักษาส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาอัตราภาษีใหม่ของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน จะพบว่าหลายประเทศต่างได้อัตราภาษีลดลงเหลือระดับใกล้เคียงกัน เช่น เวียดนามจาก 46% เหลือ 20%, ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียลดลงเหลือ 19% เช่นเดียวกับไทย ขณะที่ประเทศอย่างสิงคโปร์ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านโลจิสติกส์และการค้าไม่ใช่ข้อได้เปรียบเฉียบขาด หากแต่เป็นการ “จำเป็นต้องลด” เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบเชิงโครงสร้างในเวทีการค้าโลกนั่นเอง

ผลกระทบของภาษีทรัมป์ต่อระบบเศรษฐกิจไทยจึงไม่อาจมองเพียงมิติของผู้ส่งออกเท่านั้น แม้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือเกษตรแปรรูปอาจได้รับประโยชน์จากต้นทุนภาษีที่ลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้านำเข้าราคาถูกซึ่งหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดไทย ภาษีที่ลดลงกลายเป็นช่องทางให้ผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดเดิมของผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งยังขาดความพร้อมในด้านเทคโนโลยี แบรนด์ และทุนหมุนเวียน อาจส่งผลให้เกิดการปิดกิจการหรือการปรับโครงสร้างอย่างเร่งด่วนในหลายภาคส่วนของอุตสาหกรรม

 

ไทยแลกอะไร…เพื่อได้ “ภาษีทรัมป์” 19%?

การที่ไทยสามารถเจรจาลดอัตราภาษีจากสหรัฐฯ จาก 36% เหลือ 19% ถือเป็นก้าวสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและการทูต โดยมีการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญถึง 10 ข้อ ครอบคลุมทั้งด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสหรัฐฯ และรักษาเสถียรภาพการส่งออกของไทยในตลาดโลกที่มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นนั่นเอง

  1. เปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ มากกว่า 90%
    ไทยตกลงเปิดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 10,000 รายการในอัตรา 0% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยเปิดตลาดให้กับประเทศอื่นผ่าน FTA อยู่แล้ว เช่น ออสเตรเลียหรือจีน รายการเหล่านี้ส่วนมากเป็นสินค้าที่ไทยผลิตไม่พอใช้ เช่น ผลไม้เมืองหนาว ข้าวโพด อะไหล่รถยนต์ และเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น โดยเฉพาะ “เนื้อหมู” ที่ถือว่าอ่อนไหว ไทยยินดีเปิดตลาดในสัดส่วนเพียงเล็กน้อยประมาณ 1% เท่านั้น พร้อมยืนยันว่า “เครื่องในหมู” จะไม่เปิดตลาดโดยเด็ดขาด
  1. ลดอุปสรรคทางเทคนิคในการค้า (NTBs)
    ไทยให้คำมั่นจะลดขั้นตอนราชการและกฎระเบียบที่ซับซ้อน เช่น การศุลกากร ด้วยการนำระบบ “ตรวจสอบภายหลัง” (Post-clearance audit) มาใช้มากขึ้น เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเร่งความเร็วการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ไทยยังมีแผนจัดตั้ง One Stop Service และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยลดความยุ่งยากอย่างเป็นรูปธรรม
  1. เปิดช่องลงทุนให้สหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
    รัฐบาลไทยเสนอ Fast-track และสิทธิประโยชน์จาก BOI ให้กับบริษัทอเมริกันใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ พลังงานสะอาด เซมิคอนดักเตอร์/ICT และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ สู่ภูมิภาคอาเซียน
  1. สั่งซื้อ LNG และเครื่องบิน Boeing
    เพื่อช่วยลดดุลการค้าที่ไทยเกินดุลกับสหรัฐฯ ในระดับสูง ไทยมีแผนสั่งซื้อ LNG จากสหรัฐฯ แล้วกว่า 1 ล้านตัน และมีแนวโน้มจะซื้อเครื่องบิน Boeing เพิ่มอีกมากในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ถือเป็นการใช้ “อาวุธการค้า” เพื่อสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
  1. ให้คำมั่นลดดุลการค้าเกินดุลลง 70% ภายในปี 2573
    ไทยเสนอแผนปฏิบัติการเพื่อลดการเกินดุลการค้าจากปัจจุบันกว่า 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 30% ภายใน 5 ปี ผ่านการเพิ่มการนำเข้าและส่งเสริมการลงทุนจากสหรัฐฯ
  1. ยอมใช้กติกาถิ่นกำเนิดสินค้าแบบใหม่ (RVC)
    เพื่อตอบสนองความกังวลของสหรัฐฯ ว่าไทยอาจเป็นทางผ่านของสินค้าจีน ไทยยินดีตรวจสอบที่มาสินค้าเข้มงวดขึ้น โดยใช้เกณฑ์ Regional Value Content (RVC) เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่ส่งออกจากไทยคือ “ของไทยจริง ๆ”
  1. เว้นภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทสหรัฐฯ ชั่วคราว
    เพื่อจูงใจบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันเข้ามาลงทุน ไทยยินดีเว้นภาษี 5% สำหรับบริการคลาวด์จากสหรัฐฯ เช่น AWS และ Google Cloud เป็นระยะเวลา 2 ปี
  1. เพิ่มโควตานำเข้าพืชเกษตรจากสหรัฐฯ
    ไทยพร้อมเพิ่มโควตาการนำเข้าข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเหลือง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และตอบรับความต้องการของกลุ่มเกษตรกรในสหรัฐฯ
  1. รักษาอัตราภาษีสินค้ากลุ่มยุทธศาสตร์บางประเภท
    แม้จะเปิดตลาดกว้างขึ้น แต่ไทยยังคงอัตราภาษีไว้สำหรับสินค้าสำคัญ เช่น ข้าว น้ำตาล ผลไม้แปรรูป เพื่อปกป้องเกษตรกรและอุตสาหกรรมภายในประเทศ
  1. ส่งสัญญาณลดตึงเครียดชายแดนกัมพูชา
    แม้จะไม่อยู่ในข้อตกลงอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวสหรัฐฯ เชื่อว่า ท่าทีของไทยในการลดความตึงเครียดกับกัมพูชา เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยให้สหรัฐฯ ตัดสินใจลดภาษีลงได้เร็วขึ้น

การลดภาษีจาก 36% เหลือ 19% ทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่มยางพารา อิเล็กทรอนิกส์ และอาหารแปรรูป แต่ข้อตกลงครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ตัวเลขภาษี” เท่านั้น หากแต่เป็นการเปิดประตูให้ไทยเข้าถึง “อิทธิพล” ทางเศรษฐกิจและการลงทุนของมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก ในขณะเดียวกัน ไทยก็ต้องแลกมาด้วยการเปิดตลาดและยอมรับแรงกดดันจากภาคการผลิตในประเทศบางกลุ่ม โดยเฉพาะภาคเกษตรและผู้ประกอบการ SME นั่นเอง

 

กัมพูชาแลกอะไรกับสหรัฐฯ เพื่อได้ “ภาษีทรัมป์” 19%

กัมพูชาก็ไม่ยอมน้อยหน้าไทย โดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต เดินหน้าเต็มสูบ ใช้ทั้งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ การทูต และความร่วมมือทางการเมืองเพื่อแลกกับการลดภาษีในระดับเดียวกัน ดังนี้

  1. ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมด

หนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด คือการตัดสินใจของกัมพูชาในการ “ยกเลิกภาษีนำเข้า 100%” สำหรับสินค้าสหรัฐฯ ทุกรายการ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนถึงความพร้อมเปิดตลาดและสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระยะยาวกับวอชิงตัน มาตรการนี้สะท้อนความกล้าในการใช้ “ตลาดในประเทศ” เป็นแต้มต่อในการเจรจา แม้จะมีความเสี่ยงต่อผู้ผลิตท้องถิ่นก็ตาม แต่กัมพูชามองว่าโอกาสในการส่งออกมากขึ้น และการดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนมากกว่าในระยะยาว

  1. สั่งซื้อเครื่องบิน Boeing 737 Max กว่า 20 ลำ

ในด้านการค้าและอุตสาหกรรม กัมพูชายังเสนอ “ดีลพิเศษ” ด้วยการเตรียมสั่งซื้อเครื่องบิน Boeing รุ่น 737 Max มากถึง 20 ลำ เพื่อช่วยปรับสมดุลการค้าระหว่างสองประเทศ และส่งเสริมการลงทุนด้านโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของกัมพูชาในยุคหลังสงคราม

การซื้อครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดดุลการค้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลในเชิงจิตวิทยาทางเศรษฐกิจ ว่ากัมพูชาต้องการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาวกับสหรัฐฯ

  1. สื่อสารตรงถึงโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อย้ำบทบาท “มิตรสันติภาพ”

การเจรจาภาษีครั้งนี้ไม่ได้อยู่แค่ในมุมมองเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับบทบาททางการทูตอย่างชัดเจน นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้เปิดเผยผ่านโซเชียลมีเดียว่า ตนได้พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์โดยตรงถึงสองครั้งในเดือนกรกฎาคม และแสดงความขอบคุณต่อบทบาทของทรัมป์ที่ผลักดันให้เกิดการหยุดยิงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

  1. “ภาษีเพื่อสันติภาพ” กับอนาคตของกัมพูชา

กัมพูชายังใช้ประวัติศาสตร์ของตนเป็นแต้มต่อในการเจรจา โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการฟื้นฟูประเทศหลังสงครามเรื้อรัง ทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงตอบรับข้อเรียกร้องนี้ด้วยการลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากกัมพูชาลงเหลือ 19% เช่นเดียวกับไทย

ถือได้ว่ากัมพูชาใช้การเปิดตลาดเต็มรูปแบบ การซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ และการส่งสัญญาณสันติภาพเชิงการทูต เพื่อแลกกับโอกาสในการฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยไม่ต้องแลกด้วยฐานทัพหรือนโยบายที่กระทบความมั่นคงนั่นเอง

ทรัมป์เปิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน 🇹🇭ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก 🇺🇸สหรัฐ-จีน🇨🇳 ชิงอำนาจเหนือกัมพูชา🇰🇭

อ้างอิงจาก:

  • The Standard
  • สำนักข่าว BBC News ไทย
  • Share2Trade
  • Nation TV
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • ประชาชาติธุรกิจ
  • ฐานเศรษฐกิจ

 

ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่

https://linktr.ee/isan.insight

 

#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ภาษีทรัมป์ #ดีลภาษี #ภาษีสหรัฐ #ไทยกัมพูชา #ภาษีไทย

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top