พามาเบิ่งชนวนร้อน “MOU 44” พื้นที่ทับซ้อนกว่า 26,000 ตร.กม. ไทย-กัมพูชา ทำไมควรจะยกเลิก⁉️

MOU 44 ปมพื้นที่ทับซ้อนที่มีค่ามากกว่าแค่เส้นแบ่งทะเล

การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับที่ 44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ไม่ใช่แค่เอกสารทางการทูตธรรมดาเพียงเท่านั้น แต่คือจุดเปลี่ยนของการจัดการพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีขนาดใหญ่มากถึง 26,000 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ที่ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยความคลุมเครือด้านกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ยังซ่อนศักยภาพทางเศรษฐกิจมหาศาล โดยเฉพาะในรูปของแหล่งพลังงานใต้ทะเลนั่นเอง

พื้นที่ทับซ้อน ผลพวงจากเส้นแบ่งที่ไม่แน่ชัด

ปัญหาหลักที่นำไปสู่การจัดทำ MOU 44 นั้น คือ ความแตกต่างในการตีความของ “เส้นเขตแดนทางทะเล” โดยไทยและกัมพูชาต่างก็อ้างอิงเส้นฐานของตนในการวาดเส้นเขตแดนทะเลที่ลากไปยังส่วนลึกของอ่าวไทย ส่งผลให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนกลางทะเล ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ว่าตนมีอำนาจเหนือพื้นที่นั้น การลงนามใน MOU 44 จึงเป็นการแช่แข็งข้อพิพาทและวางกรอบการเจรจาเพื่อการจัดการพื้นที่อย่างสันติ

โดยพื้นที่ทับซ้อนนี้แบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. พื้นที่ทับซ้อนส่วนบน (~10,000 ตร.กม.) ใกล้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือ
  2. พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่าง (~16,000 ตร.กม.) ซึ่งมีแนวโน้มจะกลายเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area – JDA)

บริเวณทับซ้อนแห่งนี้เชื่อกันว่ามีทรัพยากรพลังงานใต้ทะเลอย่างมหาศาล โดยเฉพาะ ก๊าซธรรมชาติกว่า 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งคิดเป็นมูลค่าตามราคาปัจจุบันกว่า 3.5 ล้านล้านบาท และ น้ำมันอีกประมาณ 500 ล้านบาร์เรล ซึ่งอาจมีมูลค่าเพิ่มเติมอีกราว 1.5 ล้านล้านบาท ทั้งนี้แหล่งข้อมูลบางแห่งประเมินว่ามูลค่ารวมของทรัพยากรปิโตรเลียมในบริเวณนี้อาจสูงถึง 10 ล้านล้านบาท หากสามารถสำรวจและพัฒนาได้เต็มศักยภาพ

ด้วยศักยภาพที่มากมายขนาดนี้ พื้นที่ทับซ้อนจึงถูกมองว่าอาจกลายเป็น “แหล่งพลังงานสำคัญแห่งใหม่” สำหรับทั้งไทยและกัมพูชา หากสามารถตกลงกันในกรอบความร่วมมือที่ชัดเจนได้ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ทรัพยากรในแหล่งก๊าซธรรมชาติฝั่งไทย รวมถึงพื้นที่พัฒนาร่วมไทย–มาเลเซีย เริ่มเข้าสู่ภาวะร่อยหรอ สวนทางกับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศ ราคาก๊าซที่สูงขึ้นยังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน ค่าไฟฟ้าไทยให้พุ่งสูง จนกลายเป็นภาระต่อประชาชนอย่างกว้างขวางนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ความหวังในการปลดล็อกทรัพยากรใต้ทะเลอาจยังห่างไกลจากความเป็นจริง เนื่องจากข้อพิพาทในพื้นที่นี้ดำเนินมายาวนานกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” (MOU 44) ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความคืบหน้าในทางปฏิบัติกลับเกิดขึ้นน้อยมาก เนื่องจากประเด็นข้อขัดแย้งหลัก ๆ ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ หลักเกณฑ์ในการแบ่งเขต, ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล, หรือข้อวิตกทางการเมืองและอธิปไตย ที่ทำให้แต่ละฝ่ายยังไม่สามารถหาฉันทามติร่วมกันได้

 

ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนนี้ส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร

ความไม่แน่นอนของสถานะพื้นที่และผลทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจน ได้สร้างภาระทางธุรกิจโดยตรง โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทน้ำมันและก๊าซ เช่น PTT Exploration and Production (PTTEP), Chevron, Total หรือแม้แต่ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาค นักลงทุนไม่สามารถประเมินความเสี่ยงหรือแผนลงทุนในระยะยาวได้ หลายบริษัทที่เคยสนใจพื้นที่อ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้เบนเป้าไปยังเวียดนามหรือมาเลเซียแทน ซึ่งมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนกว่า

 

เสียงจากสังคมไทยมีการเรียกร้องให้ยกเลิก

นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา มีกระแสจากกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนบางส่วนที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทย “ยกเลิก MOU 44” โดยให้เหตุผลว่า

– เส้นเขตแดนควรยึดตามหลัก equidistance ตามกฎหมายทะเลสากล (UNCLOS)

– MOU ทำให้ไทยไม่สามารถพัฒนาพื้นที่ที่ใกล้ชายฝั่งตนเองได้

– รายได้จากพลังงานอาจตกไปอยู่ในมือกัมพูชามากกว่าทั้งที่แหล่งพลังงานอยู่ใกล้ไทยมากกว่า

ในทางกลับกัน ฝ่ายที่สนับสนุน MOU ชี้ว่าการแช่แข็งข้อพิพาทยังดีกว่าการเปิดทางไปสู่ความขัดแย้ง และการยกเลิกเอกสารนี้โดยไม่มีทางออกทางการทูตอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่คุ้มกับผลประโยชน์ที่จะได้รับนั่นเอง

MOU 44 ไม่ได้เป็นแค่บันทึกความเข้าใจธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นบทสะท้อนของการเจรจาทางภูมิรัฐศาสตร์ในพื้นที่ซึ่งซับซ้อนด้วยประวัติศาสตร์ ความมั่นคง และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล คำถามที่ยังคงเปิดอยู่คือ ไทยควรเดินหน้าต่อด้วยการทบทวนแนวทางเจรจาเพื่อพัฒนา JDA ที่ชัดเจนและเป็นธรรม หรือควร “ยกเลิก” เพื่อรักษาอธิปไตยโดยแลกกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ?

ในยุคที่พลังงานกลายเป็นปัจจัยกำหนดอำนาจทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ การตัดสินใจใดๆ กับ MOU 44 ไม่ใช่แค่เรื่องนโยบายต่างประเทศ หากแต่คือการวางยุทธศาสตร์อนาคตของประเทศทั้งในมิติเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการลงทุนระยะยาวอย่างแท้จริง

 

 

อ้างอิงจาก:

– Thai PBS

– Thairath Online

– Cofact Thailand

– กรมประชาสัมพันธ์ (PRD)

– Nation Thailand

– ASEAN News Network (ANN)

– Thai PBS World

– UNCLOS

– Geneva Convention

– BBC News

 

ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่

https://linktr.ee/isan.insight

 

#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #MOU44 #พื้นที่ทับซ้อน #อ่าวไทย #พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล #ไทยกัมพูชา #เกาะกูด

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top