Nanthawan Laithong

พามองเบิ่ง GMS ผ่านดาวเทียมยามค่ำคืน “ใครสว่าง ใครมืด” บางเมืองไม่เคยหลับ บางเมืองไม่เคยได้เปิดไฟ

ภาพถ่ายดาวเทียมในยามค่ำคืนของกลุ่มประเทศกลุ่ม GMS ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังสามารถสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจ การกระจายตัวของประชากร และระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน   ไทย โดดเด่นด้วยความสว่างหนาแน่น โดยเฉพาะบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งกระจุกตัวของแสงไฟอย่างชัดเจน แสดงถึงความหนาแน่นของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคกลาง ขณะเดียวกัน เมืองใหญ่ในแต่ละภูมิภาค อย่างเช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี และนครราชสีมา ก็ปรากฏเป็นจุดสว่างกระจายทั่วประเทศ ซึ่งบ่งชี้ถึงโครงสร้างเมืองที่กระจายตัวและมีเครือข่ายคมนาคมเชื่อมต่อกันอย่างดี   เวียดนาม แสงไฟกระจุกตัวหนาแน่นบริเวณโฮจิมินห์และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง แสดงให้เห็นความหนาแน่นของกิจกรรมเศรษฐกิจ การผลิต และการค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการส่งออก เวียดนามตอนใต้ยังคงสว่างไสวมากกว่าตอนเหนือของประเทศ    กัมพูชา สะท้อนภาพการพัฒนาแบบกระจุกตัวสูงในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและการปกครอง แต่พื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ยังคงมืดมิด แสดงถึงช่องว่างของโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าและการพัฒนาในชนบทที่ยังล่าช้าอีกด้วย   ลาว มีแสงไฟกระจายตัวบางเบา บ่งบอกถึงความหนาแน่นประชากรต่ำและโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่จำกัด แม้เมืองหลวงเวียงจันทน์และเมืองสำคัญอย่างปากเซจะปรากฏเป็นจุดสว่าง แต่พื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาแสงธรรมชาติและระบบไฟฟ้าแบบจำกัด ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจที่พึ่งพาเกษตรกรรมและพลังงานน้ำเป็นหลัก   เมียนมา มีแสงไฟกระจุกในเมืองย่างกุ้งและเนปิดอว์ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงมืดสนิท ซึ่งเป็นผลจากโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าที่อาจจะไม่ทั่วถึงและสถานการณ์การเมืองที่ส่งผลต่อการลงทุนด้านพลังงานและการพัฒนาเมืองนั่นเอง   จีนตอนใต้ โดยเฉพาะมณฑลกวางตุ้งที่มีแสงไฟปรากฏหนาแน่นรอบเมือง สะท้อนความเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค และเป็นเมืองชายฝั่งทะเลที่ตั้งอยู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงประตูที่เชื่อมต่อการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านใน GMS     อ้างอิงจาก: – worldview.earthdata.nasa   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ความสว่าง #GMS 

พามองเบิ่ง GMS ผ่านดาวเทียมยามค่ำคืน “ใครสว่าง ใครมืด” บางเมืองไม่เคยหลับ บางเมืองไม่เคยได้เปิดไฟ อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ภาษีทรัมป์ ของประเทศในอาเซียน ไทยได้ลดจาก 36% เหลือ 19%

นโยบายปรับลดภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา หรือ “ภาษีทรัมป์” กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ที่ต่างเร่งปรับตัวเพื่อให้สินค้าส่งออกของตนสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ภายใต้เงื่อนไขภาษีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยเองได้ประกาศลดอัตราภาษีจาก 36% เหลือ 19% เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการค้าโลก ท่ามกลางความคาดหวังว่าจะสามารถรักษาศักยภาพของตนในฐานะฐานการผลิตระดับภูมิภาคไว้ได้อย่างมั่นคงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม การลดภาษีดังกล่าว ก็เป็นผลมาจากแรงกดดันด้านการแข่งขันในภูมิภาคและความจำเป็นในการรักษาส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาอัตราภาษีใหม่ของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน จะพบว่าหลายประเทศต่างได้อัตราภาษีลดลงเหลือระดับใกล้เคียงกัน เช่น เวียดนามจาก 46% เหลือ 20%, ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียลดลงเหลือ 19% เช่นเดียวกับไทย ขณะที่ประเทศอย่างสิงคโปร์ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านโลจิสติกส์และการค้าไม่ใช่ข้อได้เปรียบเฉียบขาด หากแต่เป็นการ “จำเป็นต้องลด” เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบเชิงโครงสร้างในเวทีการค้าโลกนั่นเอง ผลกระทบของภาษีทรัมป์ต่อระบบเศรษฐกิจไทยจึงไม่อาจมองเพียงมิติของผู้ส่งออกเท่านั้น แม้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือเกษตรแปรรูปอาจได้รับประโยชน์จากต้นทุนภาษีที่ลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้านำเข้าราคาถูกซึ่งหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดไทย ภาษีที่ลดลงกลายเป็นช่องทางให้ผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดเดิมของผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งยังขาดความพร้อมในด้านเทคโนโลยี แบรนด์ และทุนหมุนเวียน อาจส่งผลให้เกิดการปิดกิจการหรือการปรับโครงสร้างอย่างเร่งด่วนในหลายภาคส่วนของอุตสาหกรรม   ไทยแลกอะไร…เพื่อได้ “ภาษีทรัมป์” 19%? การที่ไทยสามารถเจรจาลดอัตราภาษีจากสหรัฐฯ จาก 36% เหลือ 19% ถือเป็นก้าวสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและการทูต โดยมีการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญถึง 10 ข้อ ครอบคลุมทั้งด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสหรัฐฯ และรักษาเสถียรภาพการส่งออกของไทยในตลาดโลกที่มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นนั่นเอง เปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ มากกว่า 90% ไทยตกลงเปิดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 10,000 รายการในอัตรา 0% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยเปิดตลาดให้กับประเทศอื่นผ่าน FTA อยู่แล้ว เช่น ออสเตรเลียหรือจีน รายการเหล่านี้ส่วนมากเป็นสินค้าที่ไทยผลิตไม่พอใช้ เช่น ผลไม้เมืองหนาว ข้าวโพด อะไหล่รถยนต์ และเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น โดยเฉพาะ “เนื้อหมู” ที่ถือว่าอ่อนไหว ไทยยินดีเปิดตลาดในสัดส่วนเพียงเล็กน้อยประมาณ 1% เท่านั้น พร้อมยืนยันว่า “เครื่องในหมู” จะไม่เปิดตลาดโดยเด็ดขาด ลดอุปสรรคทางเทคนิคในการค้า (NTBs) ไทยให้คำมั่นจะลดขั้นตอนราชการและกฎระเบียบที่ซับซ้อน เช่น การศุลกากร ด้วยการนำระบบ “ตรวจสอบภายหลัง” (Post-clearance audit) มาใช้มากขึ้น เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเร่งความเร็วการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ไทยยังมีแผนจัดตั้ง One Stop Service และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยลดความยุ่งยากอย่างเป็นรูปธรรม เปิดช่องลงทุนให้สหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รัฐบาลไทยเสนอ Fast-track และสิทธิประโยชน์จาก BOI ให้กับบริษัทอเมริกันใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ พลังงานสะอาด เซมิคอนดักเตอร์/ICT และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ สู่ภูมิภาคอาเซียน สั่งซื้อ LNG และเครื่องบิน Boeing เพื่อช่วยลดดุลการค้าที่ไทยเกินดุลกับสหรัฐฯ

พาส่องเบิ่ง ภาษีทรัมป์ ของประเทศในอาเซียน ไทยได้ลดจาก 36% เหลือ 19% อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่งสถิติ แรงงานต่างด้าวในอีสานพุ่งไม่หยุด‼️ “ลาว-เมียนมา-กัมพูชา” ใครยึดพื้นที่จังหวัดไหนบ้าง⁉️

ในรอบ 9 ปี ภาคอีสานรับแรงงานข้ามชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากราว 14,417 คน ในเดือน ก.ค. ปี 2560 พุ่งแตะ 41,263 คน ในเดือน ก.ค. 2568 โดยช่วงโควิดทำให้ตัวเลขหดตัวในปี 2564-2565 ก่อนกลับมาเร่งตัวอีกครั้งหลังการเปิดประเทศ แสดงให้เห็นว่าแรงงานเพื่อนบ้านกลายเป็นแรงงานสำคัญของตลาดแรงงานอีสานสมัยใหม่ ไม่ใช่เพียงแรงงานทดแทน แต่เป็นทุนมนุษย์ที่รักษาเครื่องจักรเศรษฐกิจให้เดินต่อเนื่องนั่นเอง หากดูเป็นรายประเทศจะเห็ได้ว่า ลาวคิดเป็น 57.9% หรือกว่า 23,892 คน ส่วนเมียนมา 26.3% หรือ 10,857 คน และกัมพูชา 15.8% กว่า 6,514 คน จังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมากสุด คือ นครราชสีมา ที่รวมทุกสัญชาติได้มากที่สุดถึงราวกว่า 12,719 คน หรือประมาณ 31% ของทั้งภาคอีสาน รองลงมาคือ ขอนแก่นกว่า 11.5% ของทั้งภาคอีสาน อีกทั้งจะเห็นได้ว่า ลาวหนาแน่นในจังหวัดเลย อุดรธานี หนองคาย และนครพนมตามแนวชายแดน ขณะที่แรงงานเมียนมามีบทบาทโดดเด่นในสายการผลิตอาหารและเกษตรแปรรูปของ ร้อยเอ็ด และ มหาสารคาม ส่วนแรงงานกัมพูชากระจุกใน นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์ ที่มีทั้งก่อสร้างและโรงงานใช้แรงงาน ทำไมแรงงานต่างชาติจึงมีมากในไทยและอีสาน?  ซึ่งปัจจัยหลักคือค่าแรง, ระยะทาง, และโครงสร้างอุตสาหกรรม ไทยมีค่าจ้างและโอกาสทำงานสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านในระดับที่คุ้มค่าต่อการย้ายถิ่น แต่รายได้รวมต่อเดือน (รวมโอทีและชั่วโมงทำงานยืดหยุ่น) ยังถือเป็นแรงจูงใจมากกว่าทำงานฝั่งบ้านเกิดตัวเอง อีกทั้งระยะทางและต้นทุนข้ามแดนของอีสานต่ำ อาจจะมีการข้ามสะพานมิตรภาพหรือผ่านด่านชายแดนซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือแม้กระทั่งโครงสร้างอุตสาหกรรมอีสานในปัจจุบันต้องการแรงงานจำนวนมากในช่วงเวลาเร่งด่วน อย่างเช่น เกษตรฤดูกาล (อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา), อาหารและเครื่องดื่ม, ชิ้นส่วนยานยนต์-พลาสติก, ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเมืองมหาวิทยาลัยและโลจิสติกส์ แรงงานข้ามชาติจึงกลายเป็นกำลังแรงงานที่ทำให้สายการผลิตไม่สะดุดในคอขวดแรงงานนั่นเอง สำหรับเศรษฐกิจอีสาน แรงงานข้ามชาติถือว่าช่วยตรึงกำลังการผลิตในห่วงโซ่อาหาร เกษตรและก่อสร้าง ซึ่งมีสัดส่วนสูงใน GRP ของภาค เมื่อตัวเลขแรงงานเพิ่มขึ้นหลังโควิด สัญญาณนี้สะท้อนให้เห็นการกลับมาของคำสั่งซื้อและโครงการลงทุน ขณะเดียวกัน แรงงานไทยวัยทำงานของอีสานจำนวนมากยังย้ายไปทำงานกรุงเทพฯ หรือพื้นที่ EEC ทำให้เกิด ช่องว่างแรงงานท้องถิ่น ทำให้เกิดการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติเพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ SME และโรงงานขนาดกลาง   อ้างอิงจาก: – กรมการจัดหางาน สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #แรงงานต่างด้าว #ต่างด้าว พามาเบิ่งการค้าระหว่างไทย–กัมพูชาพึ่งพาการค้าผ่านชายแดน กระทบเพียงใดหลังเหตุปะทะ

พาเปิดเบิ่งสถิติ แรงงานต่างด้าวในอีสานพุ่งไม่หยุด‼️ “ลาว-เมียนมา-กัมพูชา” ใครยึดพื้นที่จังหวัดไหนบ้าง⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

ทั่วโลกจับจามอง❗การประชุม GBC ที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ สิพาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์การเจรจา ไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมา

จากเสียงปืนสู่โต๊ะเจรจา ไทย–กัมพูชา กับเดิมพันหยุดความรุนแรงในเวที GBC สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังเหตุปะทะที่ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิตของทหารกัมพูชา และส่งแรงกระเพื่อมถึงระดับผู้นำทั้งสองประเทศ ความขัดแย้งที่ก่อตัวจากข้อพิพาทเรื่องแนวเขตแดนและการเคลื่อนไหวของกำลังพล ได้ทำให้เกิดการเจรจาหลายรอบในระดับทหารและการทูต เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงจะบานปลาย การหารือครั้งสำคัญเริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ช่องจอม โดยผู้บัญชาการทหารบกของไทยและกัมพูชาได้พบปะกันและเห็นพ้องใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การใช้กลไกคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นช่องทางหลักในการแก้ปัญหา การถอนกำลังทหารออกจากจุดปะทะ และการกำกับดูแลไม่ให้มีการยั่วยุซ้ำ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวต้องสะดุดลงเมื่อฝ่ายของกัมพูชาเองได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธการถอนกำลัง สะท้อนความไม่ไว้วางใจที่ยังคงอยู่ จากนั้นในวันที่ 14 มิถุนายน การประชุม JBC อย่างเป็นทางการได้เกิดขึ้นที่กรุงพนมเปญ เพื่อเร่งหาทางยุติความตึงเครียดหลังเหตุปะทะในเดือนก่อน แม้ผลการเจรจาจะไม่ได้นำไปสู่ข้อยุติที่เป็นรูปธรรม แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกที่ช่วยเปิดช่องทางสื่อสารระหว่างสองฝ่าย ทว่าความรุนแรงก็ยังไม่จบสิ้น เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมเกิดการปะทะอีกรอบ ทำให้สถานการณ์ทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568 เกิดเหตุปะทะรุนแรงบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้จุดตรวจช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ การสู้รบครั้งนี้ถือเป็นการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี มีรายงานว่ามีทั้งเสียงปืนใหญ่ การใช้โดรนลาดตระเวน และปะทะด้วยอาวุธเบาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากทั้งสองฝ่ายหลายราย รวมถึงมีประชาชนในพื้นที่ต้องอพยพหนีภัยเป็นจำนวนมาก สาเหตุของความรุนแรงครั้งนี้เกิดจากความไม่ชัดเจนของแนวเขตแดน และการเคลื่อนย้ายกำลังพลที่ต่างฝ่ายต่างมองว่าเป็นการรุกราน ความพยายามในการควบคุมสถานการณ์ด้วยกลไกการเจรจายังไม่ทันเกิดผล ความไม่ไว้วางใจจึงปะทุเป็นการปะทะเต็มรูปแบบ แรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศ ทำให้ทั้งสองฝ่ายยอมกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา ในวันที่ 28 กรกฎาคม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นผู้ประสานกลาง พร้อมการสนับสนุนจากจีนและสหรัฐฯ การประชุมครั้งนั้นจบลงด้วยข้อตกลงหยุดยิง (ceasefire) มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันถัดไป ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่ลดแรงกดดันในพื้นที่ชายแดนอย่างชัดเจน และส่งผลให้เกิดการเจรจาทางทหารระดับภาคเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงสำคัญถึง 7 ข้อ รวมถึงการตั้งชุดประสานงานร่วมและการอำนวยความสะดวกด้านมนุษยธรรม ขณะนี้ สายตาทั่วทั้งภูมิภาคจับจ้องไปยังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่กำลังจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ การประชุมครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นความหวังสูงสุดในการกำหนดแนวทางระยะยาวต่อข้อพิพาท โดยเฉพาะในสายตาของประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความวิตกกังวลอย่างมาก แม้เส้นทางสู่ความสงบจะยังอีกยาวไกล แต่เสียงเรียกร้องจากประชาชนที่ต้องการสันติภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคง คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องเดินหน้าบนหนทางแห่งการเจรจา มากกว่าความรุนแรงซ้ำเติม หากการประชุม GBC รอบนี้สามารถนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม ความหวังในการฟื้นฟูความสัมพันธ์และสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคก็อาจไม่ไกลเกินเอื้อมนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – มติชนออนไลน์ – PPTVHD36 – Thai PBS – BBC   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ

ทั่วโลกจับจามอง❗การประชุม GBC ที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ สิพาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์การเจรจา ไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมา อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? “ประเทศไทย” มีดัชนีเสรีภาพสื่อสูงสุดในอาเซียน และลำดับที่ 85 จาก 180 ประเทศทั่วโลก

“เสรีภาพสื่อไทย” อันดับหนึ่งในอาเซียน  ในปี 2568 รายงานดัชนีเสรีภาพสื่อโลก (World Press Freedom Index) ที่เผยแพร่โดยองค์กร Reporters Without Borders (RSF) พบว่า ประเทศไทยขึ้นอันดับ 85 ของโลก จากทั้งหมด 180 ประเทศ และอยู่ในลำดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน ด้วยคะแนนรวม 56.72 แซงหน้ามาเลเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งในอดีตเคยถูกมองว่ามีสื่อที่เสรีภาพมากกว่าไทย ในขณะที่ด้านกัมพูชาถูกปรับลดจากลำดับ 151 เป็น 161 จาก 180 ประเทศทั่วโลกนั่นเอง ข้อมูลเชิงลึกในรายงานของ RSF ชี้ว่า ประเทศไทยได้คะแนนสูงมากใน “ด้านความปลอดภัย” ด้วยอันดับโลกที่ 80 และคะแนน 80.79 ซึ่งถือว่าดีมากในภูมิภาค การไม่พบเหตุการณ์ความรุนแรงร้ายแรงต่อผู้สื่อข่าวในช่วงปีที่ผ่านมา มีส่วนช่วยให้คะแนนด้านนี้พุ่งสูงนั่นเอง นอกจากนี้ ไทยยังมีคะแนนค่อนข้างดีใน “ด้านทางสังคม” และ “ด้านทางการเมือง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สื่ออาจมีพื้นที่หายใจหายคอมากขึ้นหลังการเลือกตั้งในปี 2566 ที่สิ้นสุดยุครัฐประหารอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม รายงานเดียวกันก็ชี้ให้เห็น “ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง” อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้าน กฎหมายและเศรษฐกิจ ไทยอยู่อันดับที่ 119 ของโลกในมิติ “ด้านกฎหมาย” ด้วยคะแนนเพียง 49.61 เท่านั้น   รายงานจากการ RSF ระบุว่า “เลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ของประเทศไทยถูกจับตามองจากทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น “เสรีภาพสื่อ” ที่กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง เนื่องจากพรรคก้าวไกลเสนอให้แก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีบทลงโทษรุนแรงถึงจำคุก 15 ปี แต่กระแสอภิปรายนี้กลับถูกตัดจบในเดือนสิงหาคม 2567 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่าการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญไทย” นอกจากนี้ “โครงสร้างการเป็นเจ้าของสื่อ” ก็เป็นปัญหาที่ไม่เคยถูกแก้ไข สื่อหลักของไทยจำนวนมากยังอยู่ในเครือข่ายของกลุ่มทุนที่เชื่อมโยงกับกองทัพ ราชการ หรือครอบครัวการเมือง ทำให้เกิดคำถามว่า “ความเป็นกลาง” ของสื่อที่ได้คะแนนดีนั้นเป็นจริงหรือแค่การถูกควบคุม?   มองผ่านมุมสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา สื่อกับความขัดแย้งข้ามพรมแดน กรณีความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องปราสาทตาเมือนธม หรือเหตุปะทะตามแนวชายแดนในอดีต สะท้อนให้เห็นชัดว่า สื่อมีบทบาทอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนความเข้าใจระหว่างประชาชน แต่ขณะเดียวกัน สื่อก็สามารถกลายเป็น “เครื่องมือแห่งชาตินิยม” ที่ยั่วยุความเกลียดชังได้เช่นกันหากไม่ระวัง ในหลายช่วงเวลา สื่อเองก็ถูกใช้เพื่อผลักดันวาทกรรมชาตินิยม โดยละเลยข้อเท็จจริงหรือละเมิดมุมมองของอีกฝ่าย การรายงานเพียงด้านเดียวอาจสร้างภาพลักษณ์ที่บิดเบือน และส่งผลร้ายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   การขึ้นอันดับ 85 ของไทยในเวทีโลก แม้จะดูน่าชื่นชม แต่ควรใช้เป็น “จุดเริ่มต้นของการตั้งคำถาม” มากกว่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย เพราะเสรีภาพสื่อที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ไม่มีการปิดสถานีโทรทัศน์ หรือไม่มีนักข่าวถูกจับเท่านั้น แต่หมายถึง การที่นักข่าวสามารถขุดคุ้ย

ฮู้บ่ว่า? “ประเทศไทย” มีดัชนีเสรีภาพสื่อสูงสุดในอาเซียน และลำดับที่ 85 จาก 180 ประเทศทั่วโลก อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง 3 อันดับโรงเรียนส่งลูกศิษย์พิชิต ม.ขอนแก่น มากที่สุด

โรงเรียนปั้นเด็กเข้าสู่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สะท้อนพลังทางการศึกษาและความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยระดับภูมิภาค มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ในบทบาทเป็นศูนย์กลางการศึกษาแห่งภาคอีสานมากกว่า 60 ปี และยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักเรียนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาคอีสาน  ข้อมูลจากปีการศึกษา 2568 มีจำนวนนักศึกษาปี 1 ที่เข้ามาศึกษาใน มข. กว่า 8,791 คน โดยส่วนใหญ่มาจากภาคอีสานกว่า 6,682 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 76% แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโรงเรียนหลายแห่งมีบทบาทสำคัญในการปั้นนักเรียนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยขอนแก่นอย่างมั่นคง และกลายเป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยม ความเชื่อมั่น และศักยภาพของ มข. ในการเป็น “จุดหมายปลายทางด้านการศึกษา” ที่แท้จริงนั่นเอง 5 อันดับจังหวัดที่มีนักศึกษาใหม่เข้าศึกษาต่อที่ ม.ขอนแก่นมากที่สุด – ขอนแก่น 1,900 คน – อุดรธานี 698 คน – นครราชสีมา 496 คน – ร้อยเอ็ด 426 คน – สกลนคร 319 คน จะเห็นได้ว่า จังหวัดขอนแก่นมีนักศึกษาใหม่เข้าศึกษาต่อมากที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของ มข. ในฐานะหนึ่งในศูนย์กลางการศึกษาหลักของภาคอีสาน ที่ทั้งใกล้บ้าน เข้าถึงง่าย และมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของโรงเรียนในจังหวัด อย่างเช่น ขอนแก่นวิทยายน, แก่นนครวิทยาลัย และกัลยาณวัตร ต่างส่งนักเรียนเข้าศึกษาต่อจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ปกครองและนักเรียนเองก็มองเห็นโอกาสที่สามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐานออกจากภูมิภาค นอกจากนี้ ความภาคภูมิใจในสถาบันระดับภูมิภาคและความเชื่อมโยงทางสังคมในพื้นที่ ล้วนเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ มข. ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับเยาวชนในจังหวัดขอนแก่นนั่นเอง หากไปดูข้อมูลรายโรงเรียนจะเห็นได้ว่า โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ครองตำแหน่งอันดับ 1 ในด้านจำนวนนักเรียนที่สอบเข้า มข. ได้มากที่สุดถึง 378 คน สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของระบบการเรียนการสอน และความพร้อมของนักเรียนในระดับมัธยมปลาย ซึ่งสามารถก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัยระดับประเทศได้อย่างภาคภูมิ อีกทั้งยังมีโรงเรียนเด่นอื่น ๆ อย่างเช่น อุดรพิทยานุกูล กว่า 314 คน, ร้อยเอ็ดวิทยาลัย 221 คน และสกลราชวิทยานุกูล 111 คน ที่ต่างก็มีบทบาทสำคัญในการผลิตเยาวชนเข้าสู่ มข. อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจคือความหลากหลายของโรงเรียนที่ส่งนักเรียนเข้า มข. ไม่ได้จำกัดเฉพาะโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองแต่ละจังหวัดเท่านั้น แต่รวมถึงโรงเรียนในต่างอำเภอ หรือแม้แต่โรงเรียนจากจังหวัดอื่น ซึ่งต่างก็ส่งนักเรียนเข้าศึกษาต่อที่ มข. เป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนถึงการเปิดโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงของมหาวิทยาลัย การที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับความนิยมสูงในภาคอีสานเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นผลสะสมของความไว้วางใจจากครอบครัวและนักเรียนตลอดหลายทศวรรษ ด้วยภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยที่ทันสมัย ครบถ้วนทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ การแพทย์ และวิศวกรรม ตลอดจนการพัฒนาด้านนวัตกรรม การวิจัย และการสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพสูงและตอบโจทย์ตลาดแรงงานทั้งในและนอกประเทศอีกด้วย มหาวิทยาลัยขอนแก่นยังถือเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและความก้าวหน้าทางการศึกษาสำหรับเยาวชนในภาคอีสานมาโดยตลอด การได้เข้าศึกษาที่ มข. จึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญของนักเรียนระดับมัธยมปลายหลายคน และยังเป็นแรงผลักดันให้โรงเรียนมัธยมต่าง ๆ ปรับตัว

พาส่องเบิ่ง 3 อันดับโรงเรียนส่งลูกศิษย์พิชิต ม.ขอนแก่น มากที่สุด อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่งชนวนร้อน “MOU 44” พื้นที่ทับซ้อนกว่า 26,000 ตร.กม. ไทย-กัมพูชา ทำไมควรจะยกเลิก⁉️

MOU 44 ปมพื้นที่ทับซ้อนที่มีค่ามากกว่าแค่เส้นแบ่งทะเล การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับที่ 44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ไม่ใช่แค่เอกสารทางการทูตธรรมดาเพียงเท่านั้น แต่คือจุดเปลี่ยนของการจัดการพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีขนาดใหญ่มากถึง 26,000 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ที่ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยความคลุมเครือด้านกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ยังซ่อนศักยภาพทางเศรษฐกิจมหาศาล โดยเฉพาะในรูปของแหล่งพลังงานใต้ทะเลนั่นเอง พื้นที่ทับซ้อน ผลพวงจากเส้นแบ่งที่ไม่แน่ชัด ปัญหาหลักที่นำไปสู่การจัดทำ MOU 44 นั้น คือ ความแตกต่างในการตีความของ “เส้นเขตแดนทางทะเล” โดยไทยและกัมพูชาต่างก็อ้างอิงเส้นฐานของตนในการวาดเส้นเขตแดนทะเลที่ลากไปยังส่วนลึกของอ่าวไทย ส่งผลให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนกลางทะเล ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ว่าตนมีอำนาจเหนือพื้นที่นั้น การลงนามใน MOU 44 จึงเป็นการแช่แข็งข้อพิพาทและวางกรอบการเจรจาเพื่อการจัดการพื้นที่อย่างสันติ โดยพื้นที่ทับซ้อนนี้แบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ พื้นที่ทับซ้อนส่วนบน (~10,000 ตร.กม.) ใกล้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือ พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่าง (~16,000 ตร.กม.) ซึ่งมีแนวโน้มจะกลายเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area – JDA) บริเวณทับซ้อนแห่งนี้เชื่อกันว่ามีทรัพยากรพลังงานใต้ทะเลอย่างมหาศาล โดยเฉพาะ ก๊าซธรรมชาติกว่า 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งคิดเป็นมูลค่าตามราคาปัจจุบันกว่า 3.5 ล้านล้านบาท และ น้ำมันอีกประมาณ 500 ล้านบาร์เรล ซึ่งอาจมีมูลค่าเพิ่มเติมอีกราว 1.5 ล้านล้านบาท ทั้งนี้แหล่งข้อมูลบางแห่งประเมินว่ามูลค่ารวมของทรัพยากรปิโตรเลียมในบริเวณนี้อาจสูงถึง 10 ล้านล้านบาท หากสามารถสำรวจและพัฒนาได้เต็มศักยภาพ ด้วยศักยภาพที่มากมายขนาดนี้ พื้นที่ทับซ้อนจึงถูกมองว่าอาจกลายเป็น “แหล่งพลังงานสำคัญแห่งใหม่” สำหรับทั้งไทยและกัมพูชา หากสามารถตกลงกันในกรอบความร่วมมือที่ชัดเจนได้ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ทรัพยากรในแหล่งก๊าซธรรมชาติฝั่งไทย รวมถึงพื้นที่พัฒนาร่วมไทย–มาเลเซีย เริ่มเข้าสู่ภาวะร่อยหรอ สวนทางกับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศ ราคาก๊าซที่สูงขึ้นยังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน ค่าไฟฟ้าไทยให้พุ่งสูง จนกลายเป็นภาระต่อประชาชนอย่างกว้างขวางนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ความหวังในการปลดล็อกทรัพยากรใต้ทะเลอาจยังห่างไกลจากความเป็นจริง เนื่องจากข้อพิพาทในพื้นที่นี้ดำเนินมายาวนานกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” (MOU 44) ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความคืบหน้าในทางปฏิบัติกลับเกิดขึ้นน้อยมาก เนื่องจากประเด็นข้อขัดแย้งหลัก ๆ ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ หลักเกณฑ์ในการแบ่งเขต, ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล, หรือข้อวิตกทางการเมืองและอธิปไตย ที่ทำให้แต่ละฝ่ายยังไม่สามารถหาฉันทามติร่วมกันได้   ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนนี้ส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร ความไม่แน่นอนของสถานะพื้นที่และผลทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจน ได้สร้างภาระทางธุรกิจโดยตรง โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทน้ำมันและก๊าซ เช่น PTT Exploration and Production (PTTEP), Chevron, Total หรือแม้แต่ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาค นักลงทุนไม่สามารถประเมินความเสี่ยงหรือแผนลงทุนในระยะยาวได้ หลายบริษัทที่เคยสนใจพื้นที่อ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้เบนเป้าไปยังเวียดนามหรือมาเลเซียแทน ซึ่งมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนกว่า   เสียงจากสังคมไทยมีการเรียกร้องให้ยกเลิก นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา มีกระแสจากกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนบางส่วนที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทย “ยกเลิก MOU

พามาเบิ่งชนวนร้อน “MOU 44” พื้นที่ทับซ้อนกว่า 26,000 ตร.กม. ไทย-กัมพูชา ทำไมควรจะยกเลิก⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

จากเหตุการณ์ บ่อนคาสิโนร้างที่กัมพูชาโดนถล่ม พาเปิดเบิ่ง “อาณาจักรคาสิโน” แหล่งหม้อข้าวสำคัญของกัมพูชา

ในปี 2024 กัมพูชาสามารถเก็บภาษีจากอุตสาหกรรมคาสิโนได้เพิ่มขึ้นกว่า 85% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 63.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภาคธุรกิจการพนันในฐานะหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของกัมพูชา โดยแม้ว่ากฎหมายกัมพูชาจะไม่อนุญาตให้พลเมืองของตนเข้าไปเล่นพนันในคาสิโนได้ แต่การเปิดเสรีด้านธุรกิจนี้กลับกลายเป็นจุดขายที่ดึงดูดชาวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักพนันส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวจีน ไทย และเวียดนาม ที่มาจากประเทศที่ยังจำกัดการพนันในระดับเข้มงวด การตั้งคาสิโนในพื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะบริเวณปอยเปต เกาะกง บาเวต และช่องจอม จึงสะท้อนกลยุทธ์เชิงพื้นที่ที่เน้นความสะดวกในการเข้าถึงของนักพนันจากประเทศเพื่อนบ้าน   อุตสาหกรรมการพนันในกัมพูชา ศูนย์กลางของเศรษฐกิจชายแดนและทุนข้ามชาติ อุตสาหกรรมการพนันในกัมพูชาเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้กรอบกฎหมายที่เปิดกว้างและนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ รัฐบาลกัมพูชาอนุญาตให้เปิดดำเนินธุรกิจคาสิโนได้อย่างถูกกฎหมายภายใต้ใบอนุญาตที่ควบคุมโดยรัฐ และห้ามประชาชนชาวกัมพูชาเล่นการพนันโดยเด็ดขาด ส่งผลให้มีนักพนันหลักเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ไทย และเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้หลักให้กับอุตสาหกรรมนี้ คาสิโนในกัมพูชามักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ชายแดนและเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยสามารถแบ่งพื้นที่หลักออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กรุงพนมเปญ – มีคาสิโน NagaWorld เพียงแห่งเดียวที่ดำเนินกิจการอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นการผูกขาดโดยบริษัท NagaCorp ที่มีฐานผู้เล่นวีไอพีเป็นนักพนันชาวจีน ปอยเปต – ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นศูนย์กลางนักพนันชาวไทย บาเวต – ชายแดนเวียดนาม เป็นแหล่งรองรับนักพนันชาวเวียดนาม สีหนุวิลล์ – เมืองท่าชายฝั่งทะเลที่กลายเป็น “มาเก๊าแห่งใหม่” ของจีน ด้วยจำนวนคาสิโนมากถึง 88 แห่งในปี 2019 เกือบทั้งหมดเป็นของทุนจีน อะไรเป็นจุดเริ่มต้นของคาสิโนในกัมพูชา คาสิโนในกัมพูชาเริ่มขึ้นในปี 2537 เมื่อรัฐบาลออกใบอนุญาตให้ Naga Resort ดำเนินกิจการคาสิโนลอยน้ำบนแม่น้ำโตนเลสาบ และต่อมาพัฒนาเป็น NagaWorld ในปัจจุบัน ภายหลังจากมีการออกพระราชบัญญัติปราบปรามการพนันในปี 2539 และคำสั่งให้คาสิโนต้องตั้งอยู่นอกเขตเมืองหลวงในรัศมี 200 กม. จึงเกิดการกระจุกตัวของคาสิโนตามแนวชายแดน โดยเฉพาะปอยเปตและบาเวต ได้กลายเป็นพื้นที่ธุรกิจที่เปิดรับทุนข้ามชาติอย่างเข้มข้น ปอยเปต คือเส้นทางเดิมพันของไทย ด้วยความสะดวกในการเดินทางจากฝั่งไทยผ่านด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ปอยเปตจึงกลายเป็นจุดหมายของนักพนันชาวไทย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของนักพนันทั้งหมดในพื้นที่ คาสิโนในปอยเปตมีทั้งกลุ่มวีไอพีที่ใช้เงินหมุนเวียนระดับสูง และกลุ่มนักพนันรายย่อยซึ่งเดินทางด้วยรถบัสที่จัดโดยคาสิโนเอง ส่งผลให้ปอยเปตกลายเป็นระบบเศรษฐกิจขนาดเล็กที่หมุนรอบกิจกรรมการพนัน ซึ่งสอดรับกับการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร และอสังหาริมทรัพย์ สีหนุวิลล์ เมืองท่าที่กลายเป็นศูนย์การพนันระดับภูมิภาค สีหนุวิลล์ในอดีตเป็นเมืองตากอากาศริมทะเล แต่ในช่วงหลังรัฐบาลได้ผลักดันให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเปิดเสรีให้นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักธุรกิจจีน เข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สิ่งทอ โครงสร้างพื้นฐาน และคาสิโน ส่งผลให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็น “เมืองจีนขนาดย่อม” ที่ขับเคลื่อนด้วยทุนจีนและแรงงานชาวจีน การก่อสร้างตึกสูง มีทั้งร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม และคาสิโนจำนวนมากเกิดขึ้นพร้อมกัน ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและพึ่งพิงทุนต่างชาติอย่างชัดเจน คาสิโนออนไลน์ ทางรอดใหม่หลังโควิด การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศถูกจำกัด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคาสิโนแบบดั้งเดิม คาสิโนในกัมพูชาจึงปรับตัวด้วยการพัฒนาคาสิโนออนไลน์ที่ถ่ายทอดสดจากสถานที่จริง รองรับหลายภาษา รวมถึงภาษาไทย อังกฤษ จีน เวียดนาม และเกาหลี กลายเป็นการขยายขอบเขตการตลาดไปยังกลุ่มนักพนันทั่วโลก โดยไม่ต้องพึ่งพาการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวแบบเดิมอีกต่อไป เครือข่ายทุนและการเมืองในธุรกิจคาสิโน นักลงทุนในอุตสาหกรรมการพนันของกัมพูชาประกอบด้วยกลุ่มนายทุนจากหลากหลายชาติ

จากเหตุการณ์ บ่อนคาสิโนร้างที่กัมพูชาโดนถล่ม พาเปิดเบิ่ง “อาณาจักรคาสิโน” แหล่งหม้อข้าวสำคัญของกัมพูชา อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง อันตรายจาก “ขีปนาวุธ PHL-03” ยิงไกลกว่า 130 กม.

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัมพูชากำลังเปลี่ยนบทบาทจากประเทศขนาดเล็กที่มักอยู่นอกกระแสของการแข่งขันด้านอาวุธ มาเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือการจัดซื้อระบบจรวดนำวิถีแบบพหุคูณ (Multiple Launch Rocket System – MLRS) รุ่น PHL-03 จากประเทศจีน จำนวน 6 เครื่อง ซึ่งถูกส่งมอบให้กัมพูชาในเดือนพฤษภาคม 2022 พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนด้านโลจิสติกส์อย่างครบชุด แล้ว PHL-03 คืออะไร? PHL-03 คือระบบยิงจรวดหลายลำกล้องขนาด 300 มม. ที่พัฒนาโดยบริษัท China North Industries Group Corporation Limited (NORINCO) ประเทศของจีน โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบต่อยอดจาก BM-30 “Smerch” ของรัสเซีย แต่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมในด้านระบบควบคุมการยิงผ่าน GPS/GLONASS/BeiDou และระบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถยิงได้ครั้งละ 12 นัด ภายในเวลาไม่กี่นาทีโดยแต่ละหัวรบมีน้ำหนักราว 280 กิโลกรัม และยิงได้ไกลมาตรฐานถึง 130 กิโลเมตร ส่วนรุ่นใหม่ล่าสุดยิงได้ไกลถึง 160 กิโลเมตรเลยทีเดียว ทำไมกัมพูชาถึงเลือกใช้ PHL-03? จีนคือผู้ส่งออกอาวุธหลักในอาเซียน โดยเฉพาะให้กัมพูชา ลาว และเมียนมา ผ่านบริษัท NORINCO การส่งอาวุธมักมาพร้อม ดีลแฝง อย่างเช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การฝึกทหาร หรือโลจิสติกส์ ซึ่งการซื้อ PHL‑03 ของกัมพูชานั้น ก็สะท้อนการแข่งขันอิทธิพลระหว่างจีนกับมหาอำนาจอื่น ยิ่งในช่วงภูมิภาคตึงเครียด การลงทุนด้านอาวุธยิ่งกลายเป็นเครื่องมือ ดึงพันธมิตรทางการเมืองและเศรษฐกิจ การจัดซื้ออาวุธ PHL-03 ของกัมพูชา ไม่ได้เป็นเพียงการเสริมขีดความสามารถทางทหารเท่านั้น โดยการจัดซื้ออาวุธเหล่านี้มักแนบมากับข้อตกลงด้านการลงทุน การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งการฝึกอบรมกำลังพลโดยผู้เชี่ยวชาญจากจีนนั่นเอง สถานการณ์ล่าสุดและความกังวล ความสามารถในการยิงของ PHL-03 นั้นที่มีระยะไกลถึง 130-160 กิโลเมตร ทำให้ระบบนี้ครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้างของภาคอีสานไทย ซึ่งทำให้เกิดความกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ากัมพูชานำระบบดังกล่าวไปติดตั้งใกล้แนวชายแดนไทย แต่กองทัพไทยได้แสดงความห่วงใยต่อศักยภาพที่อาจนำมาใช้ในกรณีเกิดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ   ดังนั้น PHL-03 ไม่ได้เป็นเพียงระบบจรวดของกัมพูชา แต่คือสัญลักษณ์ของการวางบทบาทของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการส่งออกอาวุธระดับสูงควบคู่กับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทูต โดยเฉพาะในประเทศที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับจีนอย่างกัมพูชา สำหรับประเทศไทย จำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมวางยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงและการทูต มีข้อมูลและประเมินทั้งมิติความร่วมมือและความขัดแย้งอย่างสมดุล เพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคในระยะยาว   อ้างอิงจาก: – Thai PBS News – The Nation – Bangkok Post    ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business

พาสำรวจเบิ่ง อันตรายจาก “ขีปนาวุธ PHL-03” ยิงไกลกว่า 130 กม. อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง  สรุปไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา

ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนบริเวณช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี จนเป็นเหตุให้ทหารไทยขาขาด 1 นาย และบาดเจ็บอีก 4 นาย เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่คำสั่งปิดด่านชายแดนสำคัญ 4 แห่งด้วยกัน และการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศโดยฝ่ายไทย การปะทะลุกลามเป็นวงกว้าง เพียงข้ามคืน ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม กองกำลังฝ่ายกัมพูชาได้เคลื่อนไหวเชิงรุกใกล้บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยนำอาวุธหนักเข้าประจำการใกล้แนวรั้วลวดหนามของฝ่ายไทย และในเวลาต่อมา ทางกัมพูชาก็ได้เปิดฉากยิงใส่ฐานของทหารไทยก่อน เป็นเหตุให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง การปะทะยืดเยื้อขยายตัวไปยังหลายพื้นที่ชายแดน ทั้งที่ปราสาทตาควาย เขาพระวิหาร ช่องอานม้า ช่องบก และช่องจอม ครอบคลุมจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี สิ่งที่น่าตกใจคือ การที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 หลายลำกล้องเข้าใส่พื้นที่บ้านเรือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงพยาบาลพนมดงรักและพื้นที่ชุมชนในอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งถือเป็นการโจมตีที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมและเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง อันถือว่าเป็น อาชญากรรมสงคราม ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย รายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ณ เวลา 21.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม สรุปความสูญเสียเบื้องต้นว่า มีพลเรือนเสียชีวิต 13 ราย และบาดเจ็บรวม 45 ราย ขณะที่ฝ่ายทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บรวม 15 นาย อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 25 กรกฎาคม การปะทะกันนั้นยังคงดำเนินต่อเนื่อง และยอดผู้เสียชีวิตของทหารไทยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 4 นาย โดยเฉพาะที่บริเวณปราสาทตาควายและฐานปฏิบัติการฟ้าลั่น การโจมตีจากฝั่งกัมพูชายังรวมถึงการใช้รถถังและปืนใหญ่ ซึ่งจงใจเล็งเป้าไปยังเป้าหมายที่ไม่ใช่ฐานทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนในพื้นที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน ตำบลศรีวิเชียร อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ที่ถูกจรวดตกใส่ สร้างความหวาดผวาในหมู่ประชาชนที่ต้องอพยพออกนอกเขตการสู้รบในรัศมี 20-40 กิโลเมตร   ปฏิกิริยาระหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ จากเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้ประกาศจัดประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงต่อ UNSC ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามกล่าวโทษไทยผ่านช่องทางยูเนสโก กล่าวหาว่าฝ่ายไทยยิงสนับสนุนใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งถูกกองทัพไทยปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมชี้แจงว่า กัมพูชานำปืนใหญ่มาประจำในพื้นที่ชุมชน โดยใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์นั่นเอง อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า หลายประเทศเสนอตัวเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย แต่ไทยยังขอเวลาในการปฏิบัติการตอบโต้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุนเซน ได้ตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดียโดยเน้นย้ำว่า สงครามมีแต่จะสร้างความทุกข์ทรมานแก่ประชาชน พร้อมเผยภาพความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวผู้นำในอดีต   เส้นทางสู่การทูต หรือสู่ความรุนแรงซ้ำซาก? เหตุการณ์ปะทะชายแดนในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นความขัดแย้งเรื่องพรมแดน หากแต่เป็นการทดสอบเสถียรภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะการยิงโจมตีพลเรือนและโรงพยาบาล ย่อมทำลายภาพลักษณ์ต่อเวทีโลก และสุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีในระดับนานาชาติ ขณะนี้ ความหวังของประชาคมโลกยังตั้งอยู่ที่การไกล่เกลี่ยโดยประเทศที่สาม อย่างเช่น มาเลเซีย หรือองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงลงได้ชั่วคราว

พาเปิดเบิ่ง  สรุปไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top