Nanthawan Laithong

พาย้อนเบิ่ง ในช่วง 14 ปีที่ผ่าน “แรงงานต่างด้าว” ในอีสานเปลี่ยนไปมากแค่ไหน

ในปี 2567 ภาคอีสานมีจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานกว่า 75,193 คน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 2.2% จากจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานทั้งหมดในประเทศ หากนำข้อมูลไปเปรียบเทียบจำนวนแรงงานต่างด้าวเมื่อ 14 ที่ผ่านมามีจำนวนการเพิ่มขึ้นมากว่า 31,588 คน หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 72%   ข้อมูลจำนวนแรงงานต่างด้าวในภาคอีสานตลอด 14 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าในช่วงปี 2554 – 2559 ตัวเลขค่อนข้างทรงตัว บางปีมีแนวโน้มลดลง ตัวเลขนี่อาจสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจในขณะนั้น ที่ยังพึ่งพาแรงงานภายในประเทศเป็นหลัก แต่แล้วในช่วงปี 2560 เป็นต้นมา มีการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมาเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2562 ก่อนที่จะชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2567 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้แสดงถึงปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่ส่งผลต่อความต้องการแรงงานต่างด้าวอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมบางประเภท การขาดแคลนแรงงานในบางสาขา หรือแม้แต่นโยบายการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป   หากดูเป็นรายจังหวัดจะเห็นได้ว่า แรงงานต่างด้าวในจังหวัดนครราชสีมาที่มีจำนวนสูงถึง 29,709 คนในปี 2567 และมีการเติบโตถึง 92% เมื่อเทียบกับปี 2554 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของนครราชสีมาในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการค้าของภาคอีสาน ความต้องการแรงงานที่เพิ่มขึ้นในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โครงการก่อสร้าง หรือภาคบริการ จึงดึงดูดแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านให้เข้ามาแสวงหาโอกาส    ในขณะเดียวกัน จังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของแรงงานต่างด้าวสูงอย่างน่าตกใจ อย่างเช่น ชัยภูมิ (161%), บึงกาฬ (168%), มหาสารคาม (105%), และอำนาจเจริญ (421%) แสดงให้เป็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในพื้นที่เหล่านั้น ซึ่งอาจมีการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน หรือการเติบโตของภาคการเกษตรที่ต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นนั่นเอง   อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของแรงงานต่างด้าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายมิติด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งในด้านบวก คือ แรงงานต่างด้าวสามารถช่วยเติมเต็มตำแหน่งงานที่ขาดแคลน โดยเฉพาะงานที่คนไทยอาจไม่นิยมทำ หรือมีทักษะไม่เพียงพอ ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังอาจช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานในบางภาคส่วน ทำให้สินค้าและบริการมีราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น   แต่หากในระยะยาว อาจเกิดผลกระทบต่อตลาดแรงงานในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานไร้ฝีมือหรือกึ่งฝีมือ อาจมีการแข่งขันที่สูงขึ้น และอาจนำไปสู่ปัญหาการกดค่าแรง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากรของประเทศ และภาระด้านสวัสดิการสังคม   ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ ก็สามารถเกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่น่าสนใจได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการแรงงาน บริษัทที่ให้บริการจัดหาแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมาย การฝึกอบรมภาษาและวัฒนธรรม การจัดการด้านเอกสารและวีซ่า จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวก ความต้องการที่พักอาศัยราคาที่ไม่สูง และสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงานต่างด้าวจะเพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าและธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าและอาหารที่ตอบสนองความต้องการของแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะ จะมีโอกาสเติบโตอีกด้วย     อ้างอิงจาก: – กรมการจัดหางาน สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business […]

พาย้อนเบิ่ง ในช่วง 14 ปีที่ผ่าน “แรงงานต่างด้าว” ในอีสานเปลี่ยนไปมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ในปี 2567 ภาคอีสานจ่ายภาษีสรรพสามิตไปกว่า 32,068 ล้านบาท จังหวัดไหนจ่ายหนักสุด?

ในปี 2567 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมูลค่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตทั้งหมดรวมกัน อยู่ที่ 32,068 ล้านบาท โดยภาษีเบียร์เป็นประเภทสินค้าที่มีมูลค่าการเก็บภาษีได้มากที่สุด 16,339 ล้านบาท รองลงมา คือ ภาษีสุรา 12,090 ล้านบาท และภาษีเครื่องดื่ม 2,302 ล้านบาท ตามลำดับ   5 อันดับจังหวัดที่มีการจ่ายภาษีสรรพสามิตมากสุด – ขอนแก่น จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 20,854 ล้านบาท – อุบลราชธานี จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 2,997 ล้านบาท – หนองคาย จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 2,843 ล้านบาท – บุรีรัมย์ จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 2,660 ล้านบาท – นครราชสีมา จ่ายภาษีสรรพสามิตกว่า 2,150 ล้านบาท   หากดูเป็นรายจังหวัดจะพบว่ามูลค่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตกว่า 65% เป็นมูลค่าการจัดเก็บภาษีจากจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 20,854 ล้านบาท   ทำไมขอนแก่นถึงมีมูลค่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตได้มากที่สุดในอีสาน? ประเภทสินค้าที่มีมูลค่าการเก็บภาษีได้มากที่สุดในขอนแก่น คือ ภาษีเบียร์ มากถึง 15,932 ล้านบาท สาเหตุที่ภาษีเบียร์มากที่สุด อาจจะเป็นเพราะที่ขอนแก่นมีอาณาจักรสิงห์บริวเวอรี่ หรือ บริษัท ขอนแก่น บริวเวอรี่ จำกัด ที่ดำเนินกิจการผลิตเครื่องดื่มเเอลกอฮอลล์ ลีโอเบียร์ ได้ขยายฐานการผลิตสู่ภูมิภาค และตอบสนองความต้องการของลูกค้าภายในประเทศ ซึ่งมีฐานการผลิตในภาคอีสานแค่ที่ขอนแก่นจังหวัดเดียว ในขณะที่จังหวัดใหญ่อย่างอุบลราชธานีและนครราชสีมาตามมาในอันดับรองๆ ก็สะท้อนถึงขนาดเศรษฐกิจและกิจกรรมทางธุรกิจที่เข้มข้นในหัวเมืองหลักเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม จังหวัดที่มีมูลค่าการเก็บภาษีสรรพสามิตได้น้อยนั้น อาจมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่า หรือมีลักษณะธุรกิจที่แตกต่างออกไป อาจเน้นไปที่ภาคเกษตรกรรม การท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่ม ซึ่งอาจไม่ได้สร้างรายได้จากภาษีสรรพสามิตในอัตราที่สูงนักนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กรมสรรพสามิต   ติดตาม ISAN Insight ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsight #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ภาษีสรรพสามิต #ภาษี #ภาษีเบียร์ #ภาษีสุรา #ภาษีเครื่องดื่ม

พาเปิดเบิ่ง ในปี 2567 ภาคอีสานจ่ายภาษีสรรพสามิตไปกว่า 32,068 ล้านบาท จังหวัดไหนจ่ายหนักสุด? อ่านเพิ่มเติม »

อีสานเตรียม “ปั้นหมอ” เพิ่ม  พาเปิดเบิ่ง “หมอในอีสาน” มีมากแค่ไหน

🧑🏻‍⚕️🥼🩺ในปี 2566 หากมาดูจำนวนแพทย์ทั่วภาคอีสานจะพบว่า มีจำนวนแพทย์ทั้งหมด 8,447 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 290 คน ซึ่งในปี 2565 มีจำนวนแพทย์ทั้งหมด 8,157 คน ขณะที่ประชากรในภาคอีสานมีมากถึง 21.7 ล้านคน ทำให้ภาคอีสานมีสัดส่วนประชากร 2,565 คน ต่อแพทย์ 1 คน ซึ่งถือว่ามีตัวเลขที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก เพราะ WHO หรือองค์การอนามัยโลกได้แนะนำสัดส่วนมาตรฐานเอาไว้ โดยกำหนดว่าสัดส่วนที่เหมาะสมคือ แพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 1,000 คน นั่นเอง    🧑🏻‍⚕️5 อันดับจังหวัดที่มีแพทย์มากที่สุดในอีสาน อันดับที่ 1 ขอนแก่น มีจำนวน 1,647 คน อันดับที่ 2 นครราชสีมา มีจำนวน 1,243 คน อันดับที่ 3 อุบลราชธานี มีจำนวน 803 คน อันดับที่ 4 อุดรธานี มีจำนวน 586 คน อันดับที่ 5 บุรีรัมย์ มีจำนวน 504 คน   🏥🧑🏻‍⚕️ขอนแก่น…ผู้นำทัพ “หมออีสาน” สู่เป้าหมาย Medical Hub โอกาสและความท้าทายบนเส้นทางศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ จากข้อมูลจำนวนแพทย์ใน 5 จังหวัดหลักของภาคอีสาน จะเห็นได้ว่าจังหวัดขอนแก่นมีจำนวนแพทย์ที่สูงสุดถึง 1,647 คน ทิ้งห่างจังหวัดใหญ่อื่นๆ อย่างนครราชสีมาและอุบลราชธานีอย่างเห็นได้ชัด โดยปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ขอนแก่นก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านนี้ คือการเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาชั้นนำที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่และมีความเชี่ยวชาญสูง อย่างเช่น โรงพยาบาลศรีนครินทร์ และโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เข้มแข็งเช่นนี้ ถือเป็นรากฐานสำคัญที่แข็งแกร่งในการผลักดันให้ขอนแก่นก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาตั้งแต่ปี 2558 และมีแผนยุทธศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน (พ.ศ. 2560-2569) การเป็น Medical Hub ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การมีจำนวนแพทย์ที่มากเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์ที่ครบวงจร ตั้งแต่การรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานไปจนถึงการรักษาเฉพาะทางขั้นสูง การมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขา รวมถึงการมีระบบสนับสนุนด้านสุขภาพอื่นๆ ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ในขณะที่จำนวนแพทย์ในจังหวัดอื่นๆ ในกลุ่มท้ายตารางอย่างบึงกาฬ อำนาจเจริญ และหนองบัวลำภู นับว่ามีจำนวนแพทย์น้อยมาก ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่สมดุลในภูมิภาคอีสาน แม้ว่าจะมีจังหวัดที่เป็น “หัวเมือง” ที่มีจำนวนแพทย์หนาแน่น แต่จังหวัดรอบนอกหรือพื้นที่ห่างไกลอาจเผชิญกับภาวะขาดแคลนแพทย์อย่างแท้จริง วิกฤต “แพทย์ไม่พอ” ในอีสาน โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดข้างต้นนี้ นับว่าเป็นสถานการณ์น่าเป็นห่วงที่สุดนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสาธารณสุขและชีวิตของประชาชน การเข้าถึงการรักษาที่ล่าช้า คุณภาพการรักษาที่อาจลดลง และความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการ เป็นผลกระทบที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

อีสานเตรียม “ปั้นหมอ” เพิ่ม  พาเปิดเบิ่ง “หมอในอีสาน” มีมากแค่ไหน อ่านเพิ่มเติม »

👀”อีสานฟีเวอร์” … เมื่อธรรมชาติปลุกพลังเศรษฐกิจ  พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์ “อุทยานแห่งชาติ” ในอีสาน ปี 67 สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 229 ล้านบาท🌳🕊️

🌳อุทยานแห่งชาติในไทยมีทั้งหมด 156 แห่ง โดยในจำนวนนี้รวมอุทยานแห่งชาติที่เตรียมการฯ 23 แห่ง ซึ่งมีรายได้รวมมากกว่า 2,198 ล้านบาท แต่ละที่จะมีที่เที่ยวต่างๆ ที่โดดเด่นและแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มีอุทยานสวยงามไม่แพ้ภาคอื่น   “อีสานเขียว” พลิกโฉมเศรษฐกิจ เมื่อเสน่ห์ธรรมชาติเบ่งบาน สร้างรายได้ท่องเที่ยวทะยานกว่า 229 ล้านบาท ในปี 67  🕊️โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอุทยานแห่งชาติอยู่ทั้งหมด 29 แห่งด้วยกัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 18.6% ของจำนวนอุทยานแห่งชาติทั้งหมดในไทย และมีรายได้รวมกว่า 229 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 10.4% ของรายได้อุทยานแห่งชาติทั้งหมดในไทย   หากลงไปดูข้อมูลยอดการจัดเก็บเงินอุทยานจะพบว่า อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ยังคงเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่ง ด้วยยอดการจัดเก็บเงินอุทยานฯ สูงถึง 124.7 ล้านบาท และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 1.9 ล้านคน โดยความโดดเด่นของเขาใหญ่ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับประเทศที่ผสมผสานความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบ ยังคงเป็นดั่งแม่เหล็กที่ทรงพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของทั้งภูมิภาค   อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาให้ลึกลงไป จะพบว่าเสน่ห์ของอีสานไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เขาใหญ่เท่านั้น การผงาดขึ้นของแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของ “อีสานเขียว” ที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าประทับใจ “ภูหินร่องกล้า” จังหวัดเลย กลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่สำคัญ ด้วยยอดการจัดเก็บเงินอุทยานฯ สูงถึง 14.5 ล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยว 223,790 คน เช่นเดียวกับ “ภูกระดึง” ในจังหวัดเลย ที่สร้างรายได้ 13.7 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยว 66,941 คน ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ความงามของธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละพื้นที่ กำลังเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ที่แท้จริงและแตกต่างจากการท่องเที่ยวในเมืองใหญ่   “จังหวัดเลย”…อัญมณีแห่งอีสานเหนือ การที่จังหวัดเลยมีแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นภูหินร่องกล้า ภูกระดึง หรือแม้แต่ อุทยานแห่งชาติภูเรือ ที่สร้างรายได้ 3.6 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยว 78,909 คน ยิ่งตอกย้ำถึงศักยภาพอันโดดเด่นของจังหวัดนี้ในการก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ” ที่สำคัญของภาคอีสาน ภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่ภูเขาสูงตระหง่าน ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ไปจนถึงอากาศที่บริสุทธิ์และสดชื่น ได้กลายเป็นแรงดึงดูดอันทรงพลังที่เชื้อเชิญนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาสัมผัสเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์นี้   การเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติในอีสานได้จุดประกายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ธุรกิจที่พัก” ที่ขยายตัวจากโรงแรมหรูและรีสอร์ทที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ไปจนถึงโฮมสเตย์ที่มอบประสบการณ์การสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนอย่างใกล้ชิด “ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม” ที่นำเสนอความอร่อยของอาหารพื้นถิ่นรสชาติต้นตำรับ ควบคู่ไปกับคาเฟ่บรรยากาศดีและอาหารริมทางที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ “ธุรกิจนำเที่ยวและกิจกรรม” ที่นำเสนอโปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การผจญภัยที่น่าตื่นเต้น หรือการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง รวมถึงกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับความงดงามของธรรมชาติ เช่น การเดินป่า การปีนเขา และการดูนก และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ธุรกิจสินค้าที่ระลึกและผลิตภัณฑ์ชุมช” ที่ช่วยสนับสนุนงานหัตถกรรม ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูป และของที่ระลึกที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นอีกด้วย   อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วของการท่องเที่ยวก็มาพร้อมกับความท้าทายในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ซึ่งรวมถึง การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ

👀”อีสานฟีเวอร์” … เมื่อธรรมชาติปลุกพลังเศรษฐกิจ  พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์ “อุทยานแห่งชาติ” ในอีสาน ปี 67 สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 229 ล้านบาท🌳🕊️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะเบิ่ง จากเหนือจรดใต้ 3 อันดับจังหวัดที่มี GPP สูงสุดในแต่ละภูมิภาค

ใครคือ “แชมป์” GRP และเบื้องหลังขุมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย? จากข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภาค หรือ GRP ล่าสุดปี 2566 จะพบว่า กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ยังคงครองบัลลังก์ความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง ด้วยมูลค่าขนาดเศรษฐกิจสูงถึง 8,570,179 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 47.7% ของ GDP ทั้งประเทศ ตัวเลขนี้สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของเมืองหลวงและพื้นที่โดยรอบในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการบริโภคของประเทศ อย่างไรก็ตาม การมีสัดส่วนที่สูงเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP ทั้งประเทศ ก็อาจเป็นประเด็นที่น่าพิจารณาถึงความสมดุลและความเสี่ยงของการพึ่งพาเศรษฐกิจในพื้นที่เดียว   ภาคตะวันออก รองแชมป์ ด้วยมูลค่าขนาดเศรษฐกิจ 3,229,062 ล้านบาท คิดเป็น 18.0% ของ GDP ทั้งประเทศ ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภาคตะวันออกนั้น ส่วนหนึ่งมาจากบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ   สำหรับภูมิภาคอื่นๆ ภาคอีสาน มีมูลค่าขนาดเศรษฐกิจ 1,808,413 ล้านบาท (10.1%), ภาคใต้ มี 1,437,591 ล้านบาท (8.0%), ภาคเหนือ มี 1,390,863 ล้านบาท (7.7%), ภาคกลาง (ที่ไม่รวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล) มี 881,689 ล้านบาท (4.9%), และ ภาคตะวันตก มีมูลค่าขนาดเศรษฐกิจน้อยที่สุดที่ 636,869 ล้านบาท (3.5%)   ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของขนาดเศรษฐกิจและโครงสร้างทางเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาค ซึ่เป็นผลมาจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ โครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายการพัฒนาที่แตกต่างกัน   เปิดขุมทรัพย์เศรษฐกิจรายจังหวัด 3 อันดับขนาดเศรษฐกิจสูงสุดแต่ละภูมิภาค ใครคือดาวเด่น ใครคือม้ามืด? ภาคเหนือ: เชียงใหม่นำทัพ ผนังเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากหลากหลายมิติ เชียงใหม่ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้วยขนาดเศรษฐกิจ 277,477 ล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้พึ่งพาเพียงภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ อุตสาหกรรมหัตถกรรมและสินค้าพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ และภาคเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มสูง รองลงมาคือ นครสวรรค์ (124,649 ล้านบาท) ซึ่งอาจได้รับอานิสงส์จากการเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้าและโลจิสติกส์ที่สำคัญของภาคเหนือตอนล่าง และ กำแพงเพชร (121,156 ล้านบาท) ที่อาจมีภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก   ภาคอีสาน: นครราชสีมาคือ “พี่ใหญ่” ขอนแก่นและอุบลฯ ตามติดด้วยศักยภาพที่แตกต่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี นครราชสีมา เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ด้วยขนาดเศรษฐกิจสูงถึง 343,510 ล้านบาท ซึ่งอาจเป็นผลมาจากขนาดของจังหวัด จำนวนประชากร และการเป็นศูนย์กลางทางการค้า และการคมนาคมของภูมิภาค ขอนแก่น (225,107 ล้านบาท) ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยศักยภาพในด้านการค้า

พาเลาะเบิ่ง จากเหนือจรดใต้ 3 อันดับจังหวัดที่มี GPP สูงสุดในแต่ละภูมิภาค อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “ม.ราชภัฏ” ในอีสาน ใครครองบัลลังก์นักศึกษาครูมากสุด

มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยสำคัญของประเทศที่มีการกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาคกว่า 38 แห่ง ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค โดยมหาวิทยาลัยราชภัฎเป็นแหล่งผลิตบัณฑิตครูสำคัญของไทย โดยนักศึกษาครูมากกว่าครึ่งของประเทศมาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ   อีสานอินไซต์จึงขอพาดูจำนวนนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏในแต่ละแห่งว่ามีจำนวนเท่าไหร่ และนักศึกษาเรียนครูสาขาอะไรมากที่สุด   ขุมพลังผลิตครูจากรั้ว “ม.ราชภัฏ” ทั่วไทย การศึกษาไทย “ครู” ยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนอนาคตของชาติ แล้วใครคือผู้สร้างและบ่มเพาะ “ครูของแผ่นดิน” เหล่านี้?   ข้อมูลล่าสุดจากมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศในปีการศึกษา 2567 พบว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศได้หล่อหลอมนักศึกษาครูมากถึง 74,250 คน ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 48% ของจำนวนนักศึกษาครูทั้งหมดในประเทศ จำนวนนี้ตอกย้ำสถานะของมหาวิทยาลัยราชภัฏในฐานะ “หนึ่งในแหล่งผลิตครู” ของประเทศ   หากลงลึกในระดับภูมิภาค จะพบว่า ภาคอีสาน เป็นภูมิภาคที่มีจำนวนนักศึกษาครูมากที่สุด ด้วยตัวเลขสูงถึง 30,175 คน จาก 11 สถาบันในภูมิภาคนี้ ตัวเลขนี้อาจสะท้อนถึงความต้องการครูที่สูงในพื้นที่ หรืออาจเป็นผลมาจากความเข้มแข็งและชื่อเสียงของคณะครุศาสตร์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏของภาคอีสาน รองลงมาคือ ภาคกลาง ที่มีนักศึกษาครู 22,614 คน จากจำนวนมหาวิทยาลัยที่มากถึง 14 แห่ง สะท้อนถึงความสำคัญของการผลิตครูในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นและมีความหลากหลายทางการศึกษา ขณะที่ ภาคเหนือ มีจำนวน 15,416 คนจาก 8 มหาวิทยาลัย และ ภาคใต้ มีจำนวนนักศึกษาครูน้อยที่สุดที่ 6,045 คน จาก 5 มหาวิทยาลัย   หากลงไปดูมหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคอีสาน พบว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยจำนวนนักศึกษาครูสูงสุดถึง 3,581 คน ตามมาด้วยสองสถาบันเก่าแก่และมีชื่อเสียงในภาคอีสานอย่าง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่มี 3,427 คน และ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่มี 3,242 คน ซึ่งถือว่าเป็น 3 อันดับมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีนักศึกษาครูมากสุดในประเทศ การที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏจากภาคอีสานครองอันดับต้นๆ ยิ่งเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของภูมิภาคนี้ในการผลิตครู   อย่างไรก็ตาม การที่ภาคอีสานมีจำนวนนักศึกษาครูมากที่สุด อาจเป็นผลดีในการตอบสนองความต้องการครูในภูมิภาค แต่ก็อาจนำมาซึ่งคำถามถึงการกระจายโอกาสทางการศึกษาและการบรรจุครูในภูมิภาคอื่นๆ นอกจากนี้ จำนวนนักศึกษาครูในแต่ละมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แม้จะอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ก็เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาถึงปัจจัยที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นขนาดของมหาวิทยาลัย ศักยภาพของคณะครุศาสตร์ หรือความต้องการครูในพื้นที่นั้นๆ   โดยตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของการเป็นครู จำนวนนักศึกษาในปัจจุบันไม่ได้หมายถึงจำนวนครูที่จะเข้าสู่ระบบในอนาคต ทั้งอัตราการสำเร็จการศึกษา และความสามารถในการสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาเพิ่มเติม นอกจากนี้ ข้อมูลนี้ยังจำกัดอยู่เฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งไม่ได้รวมถึงสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ ที่มีการผลิตครูเช่นกัน     อ้างอิงจาก: – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม   ติดตาม ISAN Insight

พาเปิดเบิ่ง “ม.ราชภัฏ” ในอีสาน ใครครองบัลลังก์นักศึกษาครูมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “หมออีสาน” แบกรับภาระงานสุดโหด จังหวัดไหน “คนไข้ล้นมือ” หนักสุด ปี 66 

ในปี 2566 สัดส่วนแพทย์ต่อประชากรภาคอีสาน อยู่ที่แพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 2,565 คน ซึ่งสัดส่วนจำนวนแพทย์ในภาคอีสานแต่ละจังหวัดกลับมีตัวเลขที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก เพราะ WHO หรือองค์การอนามัยโลกได้แนะนำสัดส่วนมาตรฐานเอาไว้ โดยกำหนดว่าสัดส่วนที่เหมาะสมคือ แพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 1,000 คน นั่นเอง     โดย 5 จังหวัดแรกที่แพทย์แบกรับภาระมากที่สุด จังหวัดบึงกาฬ มีสัดส่วนแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 5,003 คน จังหวัดหนองบัวลำภู มีสัดส่วนแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 4,650 คน จังหวัดอำนาจเจริญ มีสัดส่วนแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 4,202 คน จังหวัดนครพนม มีสัดส่วนแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 4,150 คน จังหวัดชัยภูมิ มีสัดส่วนแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 3,790 คน   สำหรับในจังหวัดที่แพทย์แบกรับภาระน้อยที่สุดนั้น คือ จังหวัดขอนแก่น โดยมีสัดส่วนแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากรเพียงแค่ 1,080 คน ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนแพทย์ที่ไม่ห่างจากสัดส่วนมาตรฐานมากนัก   จากสัดส่วนข้างต้น ทำให้เห็นว่าปัญหาของจำนวนแพทย์ในประเทศไทยนั้น ขาดการกระจายตัวของแพทย์อย่างเห็นได้ชัดเจน   โดยปริมาณแพทย์ส่วนใหญ่มักกระจุกกันอยู่ที่จังหวัดหัวเมืองหลักของภาคอีสาน อาจเพราะว่าจังหวัดเหล่านั้นเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ด้วยก็เป็นได้ ซึ่งทำให้โรงพยาบาลเหล่านั้นต้องรับรักษาผู้ป่วยที่มาจากจังหวัดใกล้เคียงเพิ่มด้วยเช่นกัน   “หมออีสาน” แบกภาระงานสุดโหด ใน 4 จังหวัด “คนไข้ล้นมือ” วิกฤตอันดับต้นของประเทศ เมื่อสถิติจำนวนประชากรต่อแพทย์ในภาคอีสาน ปี 2566 เผยให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำและความตึงเครียดในระบบสาธารณสุขของภูมิภาคอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรากฏชื่อ 4 จังหวัดที่น่าตกใจ ได้แก่ บึงกาฬ, หนองบัวลำภู, อำนาจเจริญ และนครพนม ที่ติดอันดับจังหวัดที่มีอัตราส่วนประชากรต่อแพทย์สูงที่สุด 4 อันดับแรกของประเทศ สะท้อนถึงภาระงานอันหนักอึ้งที่บุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่เหล่านี้ต้องเผชิญ และอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพการรักษาและชีวิตของผู้ป่วย   การที่จังหวัดบึงกาฬมีอัตราส่วนประชากรต่อแพทย์สูงถึง 5,003 ต่อ 1 คน หมายความว่าแพทย์หนึ่งท่านต้องดูแลประชากรมากถึงห้าพันกว่าชีวิต เช่นเดียวกับหนองบัวลำภู (4,650 : 1), อำนาจเจริญ (4,202 : 1) และนครพนม (4,150 : 1) ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติที่น่ากังวล แต่เป็นภาพสะท้อนของความยากลำบากในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ความเหนื่อยล้าของบุคลากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ สถานการณ์ “หมอไม่พอ” ในอีสาน โดยเฉพาะใน 4 จังหวัดดังกล่าว มีหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นการกระจายตัวของบุคลากรที่ไม่สมดุล โดยแพทย์ส่วนใหญ่มักกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่และโรงพยาบาลประจำจังหวัด ในขณะที่โรงพยาบาลชุมชนและสถานีอนามัยในพื้นที่ห่างไกลเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรอย่างต่อเนื่อง 

พาเปิดเบิ่ง “หมออีสาน” แบกรับภาระงานสุดโหด จังหวัดไหน “คนไข้ล้นมือ” หนักสุด ปี 66  อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “กางเกง Soft Power” จากแดนอีสาน บอกเล่าเอกลักษณ์จังหวัดผ่านลายกางเกง

สงกรานต์ 2568 รัฐบาลทุ่มเงินงบประมาณ 150 ล้านบาทในการจัดงานฉลองสงกรานต์ทั่วประเทศ โดยกิจกรรมทั่วประเทศนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ทำแผนกิจกรรม ซึ่งมีจังหวัดหลักที่จัดงานใหญ่ เช่น เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น นครศรีธรรมราช และสมุทรปราการ อีกทั้งยังมีการเชิญชวนให้ประชาชนใส่กางเกงลายสัญลักษณ์จังหวัด เพื่อโปรโมตภูมิปัญญาชาวบ้านช่วงสงกรานต์ และช่วยกันผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ในจังหวัดของตนเอง สงกรานต์นี้ “คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” ชวนใส่กางเกงลายจังหวัด โชว์ภูมิปัญญาชาวบ้าน   อีสานอินไซต์ พามาเบิ่งกางเกงอัตลักษณ์ 20 จังหวัดภาคอีสาน Soft Power ใส่เล่นสงกรานต์   กาฬสินธุ์  กางเกงกาฬสินธุ์ ขอนแก่น  กางเกงอุทยานธรณีขอนแก่น  กางเกงลายเมืองขอน (มข.) กางเกงไดโนเสาร์เดินดง ชัยภูมิ  กางเกงมอหินขาว นครพนม กางเกงนครพนม กางเกงพนม นครพนม นครราชสีมา กางเกงแมว จังหวัดแรกที่ริเริ่มให้มีลายประจำจังหวัด* กางเกงแมวเหมียว บึงกาฬ กางเกงนาคบึงกาฬ บุรีรัมย์ กางเกงนกกระเรียน/อารยะบุรี กางเกงบุรีรัมย์ มหาสารคาม กางเกงปูม่วง มุกดาหาร กางเกงช้างน้าว ณ จุดจำหน่ายสินค้า OTOP จวนผู้ว่าฯ มุกดาหาร ลาย หอยกาบกี้ ข้างในมีไข่มุก และลาย กลองสำริด มโหระทึก ขนาดใหญ่ ถนนคนเดินใต้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 โทรติดต่อได้ครับ 085-9242039 อาร์ม ยโสธร กางเกงบั้งไฟยโสธร ร้อยเอ็ด กางเกงสาเกต กางเกงลายโหวด เลย กางเกง 3 ผีดี๊ด๊า กางเกงมักม่วน ผีตาโขน เมืองเลย กางเกงผีตาโขน ศรีสะเกษ กางเกงกูปรีพลัส สกลนคร กางเกงน้องก่ำ สุรินทร์ กางเกงสุรินทร์ หนองคาย กางเกงบั้งไฟพญานาค กางเกงลายหนองคาย หนองบัวลำภู กางเกงลายไก่งวงขาว อำนาจเจริญ  ลายยักษ์คุ , ลายผ้าขาวม้า , ลายดอกจานเหลือง , ลายขิดตะขอสลับเอื้อ อุดรธานี กางเกงไหบ้านเชียง (สีดำ) กางเกงไหบ้านเชียง (สีส้มอิฐ) อุบลราชธานี กางเกงลายผาแต้ม อุทยานแห่งชาติผาแต้ม กางเกงผาแต้ม เพจสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี กางเกงอุบล ลายผาแต้ม สอบถามได้ที่ แพรวคอฟฟี่ ID ไลน์ :preawprapat   “กางเกงช้าง”

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “กางเกง Soft Power” จากแดนอีสาน บอกเล่าเอกลักษณ์จังหวัดผ่านลายกางเกง อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง สถิติแผ่นดินไหวใหญ่รอบประเทศไทย ในช่วง 125 ปีที่ผ่านมา

แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และการดำเนินธุรกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและทางอ้อม จากข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 และข้อมูลทางสถิติแผ่นดินไหวในช่วง 125 ปีที่ผ่านมา  พบว่าประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวดันกล่าวส่งผลให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนรุนแรง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินความเสียหายเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งกระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน มาจากการหยุดชะงักหรือเลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์   นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) มองว่าตลาดนักท่องเที่ยวเป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงในระยะสั้นเพิ่มขึ้น และอาจมีการทบทวนประมาณการใหม่อีกครั้ง     ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ หนึ่งในผลกระทบหลักของแผ่นดินไหวคือความเสียหายต่ออาคาร บ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน และเส้นทางคมนาคม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง หากแผ่นดินไหวรุนแรงพอ อาจทำให้ตึกสูงหรือโครงสร้างเก่าแก่ถล่มลงมา ซึ่งนำไปสู่ต้นทุนการซ่อมแซมและการฟื้นฟูที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างจะได้รับผลกระทบทั้งในด้านลบและด้านบวก โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมและก่อสร้างใหม่อาจได้รับอานิสงส์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น    ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ภาคการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก แผ่นดินไหวรุนแรงสามารถทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย รีสอร์ต โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอาจต้องปิดตัวลงชั่วคราวเพื่อซ่อมแซม ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก   ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการผลิต โรงงานและศูนย์การผลิตที่ตั้งอยู่ในเขตแผ่นดินไหวอาจได้รับความเสียหายจากการสั่นสะเทือน ซึ่งอาจทำให้เครื่องจักรเสียหาย การผลิตต้องหยุดชะงัก หรือแม้แต่ต้องย้ายฐานการผลิต ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการผลิตและโลจิสติกส์อาจเผชิญกับปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้นและการจัดส่งสินค้าที่ล่าช้า     แม้ว่าแผ่นดินไหวจะสร้างผลกระทบด้านลบอย่างมาก แต่ในระยะยาว ธุรกิจและเศรษฐกิจสามารถปรับตัวได้เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต บริษัทที่ให้บริการด้านการก่อสร้าง วิศวกรรม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างต้านแผ่นดินไหวอาจมีโอกาสเติบโต ธุรกิจด้านการประกันภัยอาจพัฒนาแพ็กเกจคุ้มครองภัยพิบัติที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ ภาครัฐสามารถใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงมาตรฐานการก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต   แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบเชิงลึกต่อธุรกิจและเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม การเงิน และการลงทุน อย่างไรก็ตาม การวางแผนรับมือและการปรับตัวที่ดีจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวและเติบโตต่อไปได้ในอนาคต     อ้างอิงจาก: – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – U.S. Geological Survey   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสานอินไซต์ #แผ่นดินไหว #แผ่นดินไหมพม่า #รอยเลื่อนสะกาย #แผ่นดินไหวเมียนมา #เมืองมัณฑะเลย์

พาย้อนเบิ่ง สถิติแผ่นดินไหวใหญ่รอบประเทศไทย ในช่วง 125 ปีที่ผ่านมา อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ระดับความรุนแรงในไทย จากเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 28 มีนาคม 2568 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและธุรกิจ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ที่ประเทศเมียนมา บริเวณรอยเลื่อนสะกาย ที่เมืองมัณฑะเลย์ ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงหลายพื้นที่ในประเทศไทย ระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวในบางจังหวัดของไทยวัดได้ตั้งแต่ 3.0 – 5.7 โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคกลางที่ได้รับแรงสั่นสะเทือนชัดเจน เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศไทย   ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง แม้ว่าจะไม่มีการพังถล่มรุนแรงในหลายพื้นที่ แต่ก็มีรายงานความเสียหายต่อโครงสร้างบางส่วนของอาคารสำนักงาน โรงแรม และคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะในเขตที่มีอาคารเก่าซึ่งไม่ได้ออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหว   ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับมาตรฐานการก่อสร้างที่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนได้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จึงอาจต้องปรับแผนการออกแบบและการตลาดเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป   ผลกระทบต่อธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม – การชะลอตัวของการลงทุน นักลงทุนบางส่วนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน – ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวบางส่วน โดยเฉพาะชาวต่างชาติ อาจมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ส่งผลให้มีการยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางมายังประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ที่ได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน – การประกันภัยและมาตรการความปลอดภัยทางธุรกิจ เหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้หลายธุรกิจเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับ กรมธรรม์ประกันภัยแผ่นดินไหว มากขึ้น บริษัทประกันภัยอาจต้องปรับอัตราเบี้ยประกันหรือขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต   ทำไมแผ่นดินไหวในพม่าเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ถึงส่งแรงสั่นสะเทือนถึงไทย? เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมาถึงประเทศไทยได้ เนื่องจากปัจจัยทางธรณีวิทยาหลายประการ ดังนี้: รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault): จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่บริเวณรอยเลื่อนสะกาย ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่มีพลังและมีการเคลื่อนที่ในแนวระนาบ การเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนนี้ทำให้เกิดการปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปแบบคลื่นแผ่นดินไหว ซึ่งสามารถเดินทางไปได้ในระยะทางไกล ขนาดและความลึกของแผ่นดินไหว: แผ่นดินไหวครั้งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ (7.7 แมกนิจูด) และมีจุดศูนย์กลางค่อนข้างตื้น (10 กิโลเมตร) แผ่นดินไหวขนาดใหญ่และตื้นจะทำให้เกิดคลื่นแผ่นดินไหวที่ทรงพลัง ซึ่งสามารถเดินทางไปได้ไกลและส่งผลกระทบในพื้นที่ห่างไกลได้ ลักษณะทางธรณีวิทยาของประเทศไทย: บางพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่สามารถขยายคลื่นแผ่นดินไหวได้ โดยธรณีสัณฐานที่ตื้นของกรุงเทพมหานครยังเสี่ยงต่อคลื่นสั่นสะเทือนจากระยะไกล และแผ่นดินที่เป็นพื้นดินอ่อนจากอดีตที่เคยอยู่ใต้ทะเลก่อนจะกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ และกลายเป็นแผ่นดินเกิดใหม่ในไม่กี่พันปีที่ผ่านมา ระยะทาง: ถึงแม้ว่าจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวจะอยู่ในเมียนมา แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก ทำให้คลื่นแผ่นดินไหวสามารถเดินทางมาถึงประเทศไทยได้ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมานี้ เป็นอีกเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต แม้ว่าผลกระทบในระยะสั้นจะทำให้เศรษฐกิจบางภาคส่วนได้รับความเสียหาย แต่หากมองในระยะยาว นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ประเทศไทยพัฒนามาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายด้านความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน และเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต แม้ภาคอีสานจะมีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบต่ำจากรอยเลื่อนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว โดยรอยเลื่อนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคตะวันเฉียงเหนือ มีดังต่อไปนี้ รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ประเทศเมียนมา: เป็นรอยเลื่อนที่มีพลังและมีความยาวมาก การเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนนี้สามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง แม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะอยู่ห่างไกล แต่แผ่นดินไหวขนาดใหญ่จากรอยเลื่อนนี้ก็สามารถส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงได้ กลุ่มรอยเลื่อนเมืองหงสา สปป.ลาว: รอยเลื่อนนี้วางตัวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ การเคลื่อนไหวของรอยเลื่อนนี้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใกล้เคียง

พาส่องเบิ่ง ระดับความรุนแรงในไทย จากเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top