Nanthawan Laithong

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “กางเกง Soft Power” จากแดนอีสาน บอกเล่าเอกลักษณ์จังหวัดผ่านลายกางเกง

สงกรานต์ 2568 รัฐบาลทุ่มเงินงบประมาณ 150 ล้านบาทในการจัดงานฉลองสงกรานต์ทั่วประเทศ โดยกิจกรรมทั่วประเทศนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ทำแผนกิจกรรม ซึ่งมีจังหวัดหลักที่จัดงานใหญ่ เช่น เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น นครศรีธรรมราช และสมุทรปราการ อีกทั้งยังมีการเชิญชวนให้ประชาชนใส่กางเกงลายสัญลักษณ์จังหวัด เพื่อโปรโมตภูมิปัญญาชาวบ้านช่วงสงกรานต์ และช่วยกันผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ในจังหวัดของตนเอง สงกรานต์นี้ “คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” ชวนใส่กางเกงลายจังหวัด โชว์ภูมิปัญญาชาวบ้าน   อีสานอินไซต์ พามาเบิ่งกางเกงอัตลักษณ์ 20 จังหวัดภาคอีสาน Soft Power ใส่เล่นสงกรานต์   กาฬสินธุ์  กางเกงกาฬสินธุ์ ขอนแก่น  กางเกงอุทยานธรณีขอนแก่น  กางเกงลายเมืองขอน (มข.) กางเกงไดโนเสาร์เดินดง ชัยภูมิ  กางเกงมอหินขาว นครพนม กางเกงนครพนม กางเกงพนม นครพนม นครราชสีมา กางเกงแมว จังหวัดแรกที่ริเริ่มให้มีลายประจำจังหวัด* กางเกงแมวเหมียว บึงกาฬ กางเกงนาคบึงกาฬ บุรีรัมย์ กางเกงนกกระเรียน/อารยะบุรี กางเกงบุรีรัมย์ มหาสารคาม กางเกงปูม่วง มุกดาหาร กางเกงช้างน้าว ณ จุดจำหน่ายสินค้า OTOP จวนผู้ว่าฯ มุกดาหาร ลาย หอยกาบกี้ ข้างในมีไข่มุก และลาย กลองสำริด มโหระทึก ขนาดใหญ่ ถนนคนเดินใต้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 โทรติดต่อได้ครับ 085-9242039 อาร์ม ยโสธร กางเกงบั้งไฟยโสธร ร้อยเอ็ด กางเกงสาเกต กางเกงลายโหวด เลย กางเกง 3 ผีดี๊ด๊า กางเกงมักม่วน ผีตาโขน เมืองเลย กางเกงผีตาโขน ศรีสะเกษ กางเกงกูปรีพลัส สกลนคร กางเกงน้องก่ำ สุรินทร์ กางเกงสุรินทร์ หนองคาย กางเกงบั้งไฟพญานาค กางเกงลายหนองคาย หนองบัวลำภู กางเกงลายไก่งวงขาว อำนาจเจริญ  ลายยักษ์คุ , ลายผ้าขาวม้า , ลายดอกจานเหลือง , ลายขิดตะขอสลับเอื้อ อุดรธานี กางเกงไหบ้านเชียง (สีดำ) กางเกงไหบ้านเชียง (สีส้มอิฐ) อุบลราชธานี กางเกงลายผาแต้ม อุทยานแห่งชาติผาแต้ม กางเกงผาแต้ม เพจสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี กางเกงอุบล ลายผาแต้ม สอบถามได้ที่ แพรวคอฟฟี่ ID ไลน์ :preawprapat   “กางเกงช้าง” […]

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “กางเกง Soft Power” จากแดนอีสาน บอกเล่าเอกลักษณ์จังหวัดผ่านลายกางเกง อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง สถิติแผ่นดินไหวใหญ่รอบประเทศไทย ในช่วง 125 ปีที่ผ่านมา

แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และการดำเนินธุรกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและทางอ้อม จากข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 และข้อมูลทางสถิติแผ่นดินไหวในช่วง 125 ปีที่ผ่านมา  พบว่าประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวดันกล่าวส่งผลให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนรุนแรง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินความเสียหายเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งกระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน มาจากการหยุดชะงักหรือเลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์   นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) มองว่าตลาดนักท่องเที่ยวเป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงในระยะสั้นเพิ่มขึ้น และอาจมีการทบทวนประมาณการใหม่อีกครั้ง     ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ หนึ่งในผลกระทบหลักของแผ่นดินไหวคือความเสียหายต่ออาคาร บ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน และเส้นทางคมนาคม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง หากแผ่นดินไหวรุนแรงพอ อาจทำให้ตึกสูงหรือโครงสร้างเก่าแก่ถล่มลงมา ซึ่งนำไปสู่ต้นทุนการซ่อมแซมและการฟื้นฟูที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างจะได้รับผลกระทบทั้งในด้านลบและด้านบวก โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมและก่อสร้างใหม่อาจได้รับอานิสงส์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น    ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ภาคการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก แผ่นดินไหวรุนแรงสามารถทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย รีสอร์ต โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอาจต้องปิดตัวลงชั่วคราวเพื่อซ่อมแซม ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก   ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการผลิต โรงงานและศูนย์การผลิตที่ตั้งอยู่ในเขตแผ่นดินไหวอาจได้รับความเสียหายจากการสั่นสะเทือน ซึ่งอาจทำให้เครื่องจักรเสียหาย การผลิตต้องหยุดชะงัก หรือแม้แต่ต้องย้ายฐานการผลิต ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการผลิตและโลจิสติกส์อาจเผชิญกับปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้นและการจัดส่งสินค้าที่ล่าช้า     แม้ว่าแผ่นดินไหวจะสร้างผลกระทบด้านลบอย่างมาก แต่ในระยะยาว ธุรกิจและเศรษฐกิจสามารถปรับตัวได้เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต บริษัทที่ให้บริการด้านการก่อสร้าง วิศวกรรม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างต้านแผ่นดินไหวอาจมีโอกาสเติบโต ธุรกิจด้านการประกันภัยอาจพัฒนาแพ็กเกจคุ้มครองภัยพิบัติที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ ภาครัฐสามารถใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงมาตรฐานการก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต   แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบเชิงลึกต่อธุรกิจและเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม การเงิน และการลงทุน อย่างไรก็ตาม การวางแผนรับมือและการปรับตัวที่ดีจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวและเติบโตต่อไปได้ในอนาคต     อ้างอิงจาก: – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – U.S. Geological Survey   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสานอินไซต์ #แผ่นดินไหว #แผ่นดินไหมพม่า #รอยเลื่อนสะกาย #แผ่นดินไหวเมียนมา #เมืองมัณฑะเลย์

พาย้อนเบิ่ง สถิติแผ่นดินไหวใหญ่รอบประเทศไทย ในช่วง 125 ปีที่ผ่านมา อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ระดับความรุนแรงในไทย จากเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 28 มีนาคม 2568 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและธุรกิจ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ที่ประเทศเมียนมา บริเวณรอยเลื่อนสะกาย ที่เมืองมัณฑะเลย์ ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงหลายพื้นที่ในประเทศไทย ระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวในบางจังหวัดของไทยวัดได้ตั้งแต่ 3.0 – 5.7 โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคกลางที่ได้รับแรงสั่นสะเทือนชัดเจน เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศไทย   ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง แม้ว่าจะไม่มีการพังถล่มรุนแรงในหลายพื้นที่ แต่ก็มีรายงานความเสียหายต่อโครงสร้างบางส่วนของอาคารสำนักงาน โรงแรม และคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะในเขตที่มีอาคารเก่าซึ่งไม่ได้ออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหว   ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับมาตรฐานการก่อสร้างที่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนได้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จึงอาจต้องปรับแผนการออกแบบและการตลาดเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป   ผลกระทบต่อธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม – การชะลอตัวของการลงทุน นักลงทุนบางส่วนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน – ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวบางส่วน โดยเฉพาะชาวต่างชาติ อาจมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ส่งผลให้มีการยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางมายังประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ที่ได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน – การประกันภัยและมาตรการความปลอดภัยทางธุรกิจ เหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้หลายธุรกิจเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับ กรมธรรม์ประกันภัยแผ่นดินไหว มากขึ้น บริษัทประกันภัยอาจต้องปรับอัตราเบี้ยประกันหรือขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต   ทำไมแผ่นดินไหวในพม่าเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ถึงส่งแรงสั่นสะเทือนถึงไทย? เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมาถึงประเทศไทยได้ เนื่องจากปัจจัยทางธรณีวิทยาหลายประการ ดังนี้: รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault): จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่บริเวณรอยเลื่อนสะกาย ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่มีพลังและมีการเคลื่อนที่ในแนวระนาบ การเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนนี้ทำให้เกิดการปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปแบบคลื่นแผ่นดินไหว ซึ่งสามารถเดินทางไปได้ในระยะทางไกล ขนาดและความลึกของแผ่นดินไหว: แผ่นดินไหวครั้งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ (7.7 แมกนิจูด) และมีจุดศูนย์กลางค่อนข้างตื้น (10 กิโลเมตร) แผ่นดินไหวขนาดใหญ่และตื้นจะทำให้เกิดคลื่นแผ่นดินไหวที่ทรงพลัง ซึ่งสามารถเดินทางไปได้ไกลและส่งผลกระทบในพื้นที่ห่างไกลได้ ลักษณะทางธรณีวิทยาของประเทศไทย: บางพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่สามารถขยายคลื่นแผ่นดินไหวได้ โดยธรณีสัณฐานที่ตื้นของกรุงเทพมหานครยังเสี่ยงต่อคลื่นสั่นสะเทือนจากระยะไกล และแผ่นดินที่เป็นพื้นดินอ่อนจากอดีตที่เคยอยู่ใต้ทะเลก่อนจะกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ และกลายเป็นแผ่นดินเกิดใหม่ในไม่กี่พันปีที่ผ่านมา ระยะทาง: ถึงแม้ว่าจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวจะอยู่ในเมียนมา แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก ทำให้คลื่นแผ่นดินไหวสามารถเดินทางมาถึงประเทศไทยได้ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมานี้ เป็นอีกเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต แม้ว่าผลกระทบในระยะสั้นจะทำให้เศรษฐกิจบางภาคส่วนได้รับความเสียหาย แต่หากมองในระยะยาว นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ประเทศไทยพัฒนามาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายด้านความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน และเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต แม้ภาคอีสานจะมีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบต่ำจากรอยเลื่อนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว โดยรอยเลื่อนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคตะวันเฉียงเหนือ มีดังต่อไปนี้ รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ประเทศเมียนมา: เป็นรอยเลื่อนที่มีพลังและมีความยาวมาก การเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนนี้สามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง แม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะอยู่ห่างไกล แต่แผ่นดินไหวขนาดใหญ่จากรอยเลื่อนนี้ก็สามารถส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงได้ กลุ่มรอยเลื่อนเมืองหงสา สปป.ลาว: รอยเลื่อนนี้วางตัวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ การเคลื่อนไหวของรอยเลื่อนนี้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใกล้เคียง

พาส่องเบิ่ง ระดับความรุนแรงในไทย จากเหตุแผ่นดินไหว 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก รอยเลื่อนสะกาย ยักษ์หลับกลางเมืองพม่า ต้นเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ สะเทือนแรงถึงไทย

รอยเลื่อนสะกาย ต้นเหตุของแผ่นดินไหวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ถือเป็นหนึ่งใน รอยเลื่อนมีพลัง (active fault) ที่สำคัญอันดับต้นๆ ในอาเซียนบ้านเรา ด้วยความยาวประมาณ 1,200 กิโลเมตร ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ผ่ากลางอกประเทศพม่า และพาดผ่านแทบทุกเมืองที่สำคัญ เช่น มิตจีนา, มัณฑะเลย์, เนปิดอว์, ย่างกุ้ง, และพะโค ทำให้รอยเลื่อนสะกายถือว่าเป็นรอยเลื่อนยักษ์ที่อยู่ใกล้คนมากเกินไปและไม่น่าไว้ใจในอนาคต   รอยเลื่อนสะกายมีลักษณะเป็นรอยเลื่อนที่เคลื่อนที่ได้ในลักษณะ แบบเฉือน (Strike-slip fault) ซึ่งแปลว่า แผ่นเปลือกโลกทั้งสองข้างของรอยเลื่อนจะเคลื่อนที่ขนานกันไปตามแนวรอยเลื่อน โดยไม่เกิดการหนีบหรือยกสูงของเปลือกโลก ในกรณีนี้ รอยเลื่อนสะกายจะเคลื่อนตัวในลักษณะ เลื่อนด้านซ้าย (Left-lateral fault) โดยที่แผ่นดินทั้งสองข้างจะเคลื่อนตัวไปในทิศทางตรงข้ามกัน   รอยเลื่อนสะกายเป็นขอบหรือรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกย่อยโบราณ 2 แผ่น คือ แผ่นซุนดา (Sunda Plate) และ แผ่นพม่า (Burma Plate) ซึ่งปัจจุบันถือเป็นส่วนหนึ่งของ แผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย (Eurasian Plate)   สาเหตุการเกิดแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนสะกาย แผ่นดินไหวที่เกิดจากรอยเลื่อนสะกาย เป็นผลมาจาก การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ซึ่งเกิดจาก แรงเครียด (Stress) ที่สะสมอยู่ตามแนวรอยเลื่อน เป็นการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก แผ่นอินเดีย (Indian Plate) เคลื่อนตัว ชนกับแผ่นยูเรเชีย (Eurasian Plate)   สะกายเคยทำอะไรมาบ้าง? ⭐ปี 1972-2534 (562 ปี) พบแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ขึ้นไป ประมาณ 70 ครั้ง ⭐ปี 2507 – 2555 (48 ปี) พบแผ่นดินไหวขนาด 2.9-7.3 ประมาณ 276 ครั้ง จากการวิเคราะห์ข้อมูลแผ่นดินไหวในเชิงสถิติของ Pailoplee ประเมินว่ารอยเลื่อนสะกายนั้นมีศักยภาพพอที่จะเป็นแหล่งกำเนิดขนาดใหญ่ได้สูงถึง 8.6 โดยเฉพาะบริเวณเมืองมิตจีนา (Myitkyina) ทางตอนเหนือของรอยเลื่อนสะกาย   และจากการรวบรวมผลกระทบด้านแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากรอยเลื่อนสะกายบ่งชี้ว่า หากเกิดแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนสะกาย “ประเทศไทย” มีโอกาสได้รับแรงสั่นสะเทือนในระดับ 4-5 ตามมาตราเมอร์คัลลี่แปลง    ในอดีต แถบภาคเหนือลามไปถึงกรุงเทพฯ เคยได้รับแรงสั่นสะเทือนจากรอยเลื่อนสะกายนี้ในระดับ 3 (จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.0 เมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 และ 7.0 เมื่อ 3-4 ธันวาคม พ.ศ. 2473)    ดังนั้นจึงไม่ใช่เฉพาะประเทศเมียนมาเท่านั้นที่ควรจะใส่ใจรอยเลื่อนสะกาย แต่คนไทยอย่างพวกเราก็ควรที่จะจับตาและเฝ้าระวังรอยเลื่อนสะกายอย่างไม่ให้คลาดสายตาเช่นกัน

พามาฮู้จัก รอยเลื่อนสะกาย ยักษ์หลับกลางเมืองพม่า ต้นเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ สะเทือนแรงถึงไทย อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง “เซ็นทรัลพัฒนา” สร้างปรากฏการณ์พัฒนาเมกะโปรเจกต์ ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาโครงการ Mixed-Use

เซ็นทรัลพัฒนา: ปฏิวัติวงการค้าปลีกไทย ผงาดสู่ผู้นำมิกซ์ยูสระดับประเทศ เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 120,000 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (มิกซ์ยูส) ที่ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ครอบคลุมทั่วประเทศ ด้วยกลยุทธ์ “Retail-Led Mixed-Use Development” ที่ผสานศูนย์การค้า ที่พักอาศัย โรงแรม และอาคารสำนักงานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว   ปี 2567 ที่ผ่านมา CPN สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 51,843 ล้านบาท กำไรสุทธิ 16,729 ล้านบาท และจำนวนผู้เข้าใช้บริการศูนย์การค้ากว่า 500 ล้านครั้งต่อปี ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของ CPN ในฐานะผู้นำที่เข้าใจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง   เปิดตัวเมกะโปรเจกต์และปรับโฉมศูนย์การค้าครั้งใหญ่ CPN เตรียมเปิดตัวและปรับปรุงโครงการสำคัญหลายแห่งทั่วประเทศ ดังนี้   Central Park โอเอซิสใจกลางกรุงเทพฯ บนถนนสีลม-พระราม 4 ที่จะเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2568 ด้วยคอนเซ็ปต์ “Here for Bangkok” รวบรวมแบรนด์ดังระดับโลกรวมกว่า 230 แบรนด์ รวมถึงร้านอาหารชื่อดังและมิชลินสตาร์   The Central พหลโยธิน ถือเป็นหนึ่งในโครงการ Mixed-use ที่ใหญ่ติด Top3 ของเซ็นทรัลพัฒนา สามารถเชื่อมต่อกับศูนย์การค้า Central ลาดพร้าวได้ ซึ่งเป็นมิกซ์ยูสแห่งแรกของเซ็นทรัลพัฒนา โครงการนี้ถูกวางให้เป็น Gateway สำคัญในการดึงดูดดีมานด์ใหม่จากกรุงเทพฯ ตอนบน รวมถึงนักช้อประดับคุณภาพจากจังหวัดใกล้เคียง   Central Northville โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุด ใจกลางนนทบุรี ภายใต้แนวคิด The New District of North Bangkok โครงการนี้โดดเด่นด้วย Biophilic Design นำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร สร้างบรรยากาศ Outdoor-in-Indoor คล้ายกับโมเดลรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ (อย่าง Central Eastville และ Central Westville) ออกแบบพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตร่วมกันแบบ Socialized, Multi-Generation & Community Space รวมถึงรองรับ Pet-Friendly มากยิ่งขึ้น   Central Chiangmai Airport ปรับโฉมครั้งใหญ่ สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการรีเทลภาคเหนือ จากที่ผ่านมาได้ปรับ Master Planning ใหม่ครั้งใหญ่ โครงการนี้ยังเป็นที่ตั้งของ Muji’s First Flagship Store ในภาคเหนือ และเพิ่มเสน่ห์ให้กับพื้นที่ด้วยโซน

ชวนมาเบิ่ง “เซ็นทรัลพัฒนา” สร้างปรากฏการณ์พัฒนาเมกะโปรเจกต์ ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาโครงการ Mixed-Use อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ราคาเมล็ดกาแฟโลกทำลายสถิติ! “ไทย-เวียดนาม” ส่งออกพุ่งทะยาน

กาแฟแก้วโปรด…ราคาพุ่งทะยาน! วิกฤตสภาพอากาศดันราคาเมล็ดกาแฟโลกทำสถิติใหม่ คอกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อราคาเมล็ดกาแฟในตลาดโลกพุ่งสูงทำลายสถิติเป็นประวัติการณ์ โดยเมล็ดกาแฟอาราบิก้าแตะ 9 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม และโรบัสต้าอยู่ที่ 5.8 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตกาแฟ ทำให้หลายคนเริ่มหันมาชงกาแฟดื่มเองที่บ้านเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย   ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาเมล็ดกาแฟ สภาพอากาศแปรปรวน : เกิดภัยแล้งรุนแรงในบราซิล ผู้ผลิตกาแฟอาราบิก้ารายใหญ่ของโลก และยังเกิดพายุไต้ฝุ่นและภัยแล้งในเวียดนาม ผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ของโลก   ความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น : การบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศกำลังพัฒนา และจำนวนชนชั้นกลางที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการกาแฟสูงขึ้น     กาแฟไทย: โอกาสทองในตลาดโลก ท่ามกลางราคาพุ่งสูงและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ราคาเมล็ดกาแฟในตลาดโลกที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับโอกาสทองในการขยายตลาดส่งออกกาแฟ โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของมูลค่าการส่งออกกาแฟไทยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 258% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า   ศักยภาพของกาแฟไทยในตลาดโลก การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกในเดือนมกราคมแสดงให้เห็นถึงความต้องการกาแฟไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดโลก ในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกกาแฟอยู่ที่ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 302 ล้านบาท ซึ่งแม้จะไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อื่นๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโต   ในส่วนของความหลากหลายของสายพันธุ์นั้น ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิตกาแฟอาราบิก้า 64% และโรบัสต้า 36% ซึ่งถือว่ามีความหลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่แตกต่างกันได้ ซึ่งกาแฟอาราบิก้าของไทยมีชื่อเสียงในเรื่องของคุณภาพและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะกาแฟจากภาคเหนือของประเทศ   ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 35 ของโลกในด้านปริมาณการผลิตกาแฟ ซึ่งแม้จะไม่ใช่อันดับต้นๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ     เวียดนาม: เจ้าแห่งโรบัสต้า ผงาดสู่ผู้นำตลาดกาแฟโลก ด้วยมูลค่าส่งออกทะยานหลักพันล้าน เวียดนาม ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดกาแฟโลก ด้วยตัวเลขการส่งออกที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ครองส่วนแบ่งตลาดอย่างแข็งแกร่ง ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของมูลค่าการส่งออกกาแฟเวียดนามในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 83% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า   ความแข็งแกร่งของเวียดนามในตลาดกาแฟโลก ในปี 2024 ที่ผ่านมา เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกกาแฟสูงถึง 4,242 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 142,542 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในฐานะผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ของโลก โดยการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการกาแฟเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก   อีกทั้งเวียดนามเป็นผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยมีสัดส่วนการผลิตโรบัสต้ามากกว่า 90% ของผลผลิตกาแฟทั้งหมด กาแฟโรบัสต้าของเวียดนามมีชื่อเสียงในเรื่องของรสชาติที่เข้มข้นและมีปริมาณคาเฟอีนสูง ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบกาแฟรสชาติเข้มข้น   ปัจจุบันเวียดนามอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลกในด้านปริมาณการผลิตกาแฟ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผลิตกาแฟปริมาณมากเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก     แนวโน้มกาแฟโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร? ด้วยปัจจัยด้านสภาพอากาศที่ยังคงมีความไม่แน่นอน และความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าราคาเมล็ดกาแฟจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะสั้นถึงระยะกลาง ผู้ประกอบการและผู้บริโภคจึงต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนของตลาดกาแฟในอนาคต ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมกาแฟในระยะยาว     อ้างอิงจาก: – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – The International Coffee Organization (ICO) –

พาส่องเบิ่ง ราคาเมล็ดกาแฟโลกทำลายสถิติ! “ไทย-เวียดนาม” ส่งออกพุ่งทะยาน อ่านเพิ่มเติม »

พาส่องเบิ่ง ทุนญี่ปุ่นเบอร์ 1 ของอีสาน เปิดรายชื่อ 15 ยักษ์ใหญ่ เงินลงทุนมหาศาล

เมื่อพูดถึงการลงทุนจากต่างประเทศในประเทศไทย ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสำคัญมายาวนาน ด้วยการลงทุนมหาศาลในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศ ภาคอีสานแม้จะเป็นพื้นที่ที่เคยเน้นเกษตรกรรม แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งใหม่ที่ดึงดูดทุนญี่ปุ่นได้อย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลล่าสุด พบว่ามีบริษัทญี่ปุ่นรายใหญ่กว่า 15 บริษัท ที่เข้ามาลงทุนในภาคอีสาน โดยมีเม็ดเงินลงทุนรวมกันหลายพันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ในการรองรับอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีและแรงงานทักษะสูง   ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2567 เผยให้เห็นว่าญี่ปุ่นได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 7,533 ล้านบาทในภูมิภาคนี้   อีสานอินไซต์จะพาเปิดรายชื่อ 15 ยักษ์ใหญ่ ที่ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลในอีสาน   บจก.คาสิโอ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตนาฬิกา โดยมีมูลค่าการลงทุน 1,020 ล้านบาท   บจก.โคยามา แคสติ้ง (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การหล่อเหล็ก โดยมีมูลค่าการลงทุน 855 ล้านบาท   บจก.นิชิกาว่า เตชาพลาเลิศ คูปเปอร์📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตผลิตภัณฑ์ยาโดยมีมูลค่าการลงทุน 490 ล้านบาท   บจก.เจวีซีเคนวูด ออพติคัล อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์โดยมีมูลค่าการลงทุน 488 ล้านบาท   บจก.สตาร์ ไมโครนิคส์ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไป โดยมีมูลค่าการลงทุน 406 ล้านบาท   บจก.คายาม่า เอ็นจิเนียริ่ง📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องทำความเย็นโดยมีมูลค่าการลงทุน 380 ล้านบาท   บจก.ฮอนด้า เฟาดรี (เอเซียน)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 327 ล้านบาท   บจก.ฟูจิคูระ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตสายไฟฟ้า, เคเบิลและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 261 ล้านบาท   บจก.ไทย อะคิบะ📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การหล่อโลหะ โดยมีมูลค่าการลงทุน 238 ล้านบาท   บจก.แอลป์ส ทูล (ประเทศไทย)📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องจักร โดยมีมูลค่าการลงทุน 224 ล้านบาท   บจก.ฮิตาชิ แอสเตโม โคราช📍นครราชสีมา ประกอบธุรกิจ การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 217 ล้านบาท   บจก.แอดเดอรานสไทย📍บุรีรัมย์ ประกอบธุรกิจ การผลิตเครื่องประดับ โดยมีมูลค่าการลงทุน 210 ล้านบาท   บจก.ยานอส (ไทยแลนด์)📍นครราชสีมา

พาส่องเบิ่ง ทุนญี่ปุ่นเบอร์ 1 ของอีสาน เปิดรายชื่อ 15 ยักษ์ใหญ่ เงินลงทุนมหาศาล อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง .. ทุนมังกรผงาดอีสาน 15 โรงงานจีนที่พลิกโฉมเศรษฐกิจภาคอีสาน

🇨🇳นักลงทุนชาวจีนเข้ามาลงทุนธุรกิจในภาคอีสานมูลค่ากว่า 1,846 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.4% ของมูลค่าที่นักลงทุนชาวจีนเข้ามาลงทุนทั้งหมดในประเทศ    ไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง โดยที่ผ่านมาไทยมีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้จีนมองเห็นโอกาสในการขยายฐานการผลิตออกมาในไทย เพื่อลดต้นทุนและตอบสนองความต้องการของสินค้าจีนที่มีมากในตลาด ประเทศไทยเนื้อหอม ดึงดูดนักลงทุนจีน ตั้งโรงงานผลิตในไทย   การลงทุนจากจีนในโรงงานของไทยรวมไปถึงการตั้งโรงงานของจีน มักจะกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไทยมีการพึ่งพาสินค้าจากจีนสูง อย่างเช่น  อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก การผลิตยาง และโลหะที่มีจำนวนการตั้งใหม่ของโรงงานที่มีจีนลงทุนอยู่ด้วยมาก รวมถึงภาคการค้า ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีการลงทุนสูงถึง 56% เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายส่งยางพาราและพลาสติก การขายส่งแร่โลหะ การขายส่งเสื้อผ้า และปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม   การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนชาวจีนในภาคอีสานกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าปี 2567 เผยให้เห็นถึงการลงทุนของนิติบุคคลสัญชาติจีน 15 แห่ง ในหลากหลายอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของภาคอีสานที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ บจก.ซีแอนด์ดี รับเบอร์ (ประเทศไทย) 📍สกลนคร ธุรกิจการขายส่งยางพาราและพลาสติก มูลค่าการลงทุน 484 ล้านบาท   บจก.เซรีโค รับเบอร์ (ประเทศไทย) 📍เลย ธุรกิจการผลิตยางแผ่นและยางแท่ง มูลค่าการลงทุน 144 ล้านบาท   บจก.ไชน่า โคล นัมเบอร์ 3 ไมน์นิ่ง (ไทยแลนด์) 📍นครราชสีมา ธุรกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย มูลค่าการลงทุน 127 ล้านบาท   บจก.ฮั้วเซิ่งไทยรับเบอร์ 📍อุบลราชธานี ธุรกิจการขายส่งยางพาราและพลาสติก มูลค่าการลงทุน 74 ล้านบาท   บจก.ฮัวไท่ ไมนิ่ง อินดัสตรี้ 📍เลย ธุรกิจการขายส่งแร่โลหะ มูลค่าการลงทุน 59 ล้านบาท   บจก.ซี.แอล.เอส.อินดัสเทรียล 📍นครราชสีมา ธุรกิจการผลิตอุปกรณ์เครื่องเขียน มูลค่าการลงทุน 46 ล้านบาท   บจก.ธงทอง รับเบอร์ 📍มุกดาหาร ธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่าการลงทุน 42 ล้านบาท   บจก.อาร์ที สกลนคร เทคโนโลยี 📍สกลนคร ธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก มูลค่าการลงทุน 30 ล้านบาท   บจก.ไทยคาลิ 📍นครราชสีมา ธุรกิจการขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ มูลค่าการลงทุน 26 ล้านบาท   บจก.ต้าทง พลาสติก (ไทยแลนด์) 📍นครราชสีมา ธุรกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก มูลค่าการลงทุน 25 ล้านบาท   บจก.ฮงพลาสแพค 📍นครราชสีมา ธุรกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก มูลค่าการลงทุน

ชวนมาเบิ่ง .. ทุนมังกรผงาดอีสาน 15 โรงงานจีนที่พลิกโฉมเศรษฐกิจภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง ภาพรวม 2024 ธุรกิจ Delivery เติบโตขึ้น 20% แต่ร้านอาหารใหม่ 50% เจ๊งตั้งแต่ปีแรก

นายธนพงศ์ วงศ์ชินศรี หรือ “ต่อเพนกวิน” ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร บริษัท เพนกวินเอ็กซ์ จำกัด ระบุว่า อัตราการปิดตัวของธุรกิจร้านอาหารในปี 2567 สูงถึง 60% ปัจจัยหลักมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15-20% ของยอดขาย นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนวัตถุดิบ 35% ค่าแรง 15-20% และค่า GP เดลิเวอรี 30% ซึ่งทำให้เจ้าของร้านแทบจะขาดทุนตั้งแต่ยังไม่เริ่ม   ทีมต่อเพนกวินได้เปิดเผยเทรนด์ธุรกิจอาหารที่น่าสนใจ โดยพบว่า “Economy of Scale” เป็นเรื่องของแบรนด์ใหญ่ที่แบรนด์เล็กสู้ไม่ได้ แต่ “Economy of Style” จะเป็นสิ่งที่ทำให้ SME ไปต่อได้ในอนาคต โดยร้านอาหารยุคใหม่ต้อง “Small but Style” คือร้านไม่ใหญ่แต่สไตล์ชัดเจน นอกจากนี้ “Specialty” ไม่ได้จำกัดอยู่ที่วงการกาแฟ แต่กระจายเข้าสู่วงการ Street Food โดย Street Food บ้านๆ แต่รสชาติและกระบวนการทำต้องไม่บ้าน และต้องเปิดใจเรียนรู้ความ Specialty มากขึ้น   ในยุคที่ Labor Cost สูงมาก การลดค่าใช้จ่ายโดยไม่กระทบ Quality Service กับ Product เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง “Lean Management” และการใช้เทคโนโลยีจะช่วยลดการทำงานซ้ำซ้อนได้ นอกจากนี้ การเพิ่มมูลค่าจากสินค้าเดิมๆ เช่น การเสิร์ฟในรูปแบบใหม่ๆ หรือการเพิ่มท็อปปิ้งพิเศษ จะช่วย “ทุบเพดาน” และเพิ่มโอกาสในการเติบโต   การตลาดแบบเดิมๆ ไม่เพียงพออีกต่อไป การสร้างสื่อของตัวเอง เช่น Jones Salad และ After Yum จะช่วยเปลี่ยนจากการขายใกล้เป็นการขายไกล โดยลูกค้าเลือกสั่งร้านที่อยู่ในรัศมี 3-4 กม. เท่านั้น ดังนั้น การต่อยอดเป็น Retail Product ส่งทั่วประเทศ จะช่วยเพิ่มช่องทางการขายโดยที่ Fixed Cost เท่าเดิม . แบรนด์ใหญ่ในกรุงเทพฯ ไปตีต่างจังหวัดมากขึ้น แต่สิ่งเดียวที่สู้ไม่ได้คือ Localize “From Local Heritage to a Unique Brand Identity” ร้านประจำจังหวัดไม่ใช่ร้านที่อยู่มานาน แต่เป็นร้านที่เอาอัตลักษณ์ของจังหวัดนั้นมาบวกกับตัวตนของตัวเอง   TikTok เปิดให้ขาย Affiliate Voucher โรงแรมแล้ว

พาสำรวจเบิ่ง ภาพรวม 2024 ธุรกิจ Delivery เติบโตขึ้น 20% แต่ร้านอาหารใหม่ 50% เจ๊งตั้งแต่ปีแรก อ่านเพิ่มเติม »

อีสานบ่ธรรมดา! ต่างชาติทุ่มทุนมหาศาล พาส่อง ต่างชาติแห่ลงทุน มูลค่ารวมทะลุสองหมื่นล้าน

ข้อมูลการลงทุนจากต่างชาติในภาคอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญของภูมิภาคนี้ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งผลิตสินค้าเกษตรอีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่การเป็นหมุดหมายใหม่ของการลงทุนจากทั่วโลก ด้วยมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท จาก 22 ประเทศทั่วทั้งเอเชีย ยุโรป และโอเชียเนีย   (1) อีสาน…ไม่ใช่แค่แหล่งข้าว: เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ชี้ชัดศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่ ข้อมูลการลงทุนจากต่างประเทศในภาคอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจุกตัวของการลงทุนในบางจังหวัด ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่ และโอกาสในการเติบโตที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่   5 อันดับจังหวัดที่มีนักลงทุนต่างชาตินิยมลงทุนมากสุด นครราชสีมา มูลค่าการลงทุน 17,267 ล้านบาท ​​อุดรธานี มูลค่าการลงทุน 983 ล้านบาท ขอนแก่น มูลค่าการลงทุน 595 ล้านบาท สกลนคร มูลค่าการลงทุน 559 ล้านบาท บุรีรัมย์ มูลค่าการลงทุน 406 ล้านบาท. นครราชสีมา: แม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินลงทุน นครราชสีมาครองแชมป์จังหวัดที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดอย่างทิ้งห่าง คิดเป็นสัดส่วนถึง 81% ของการลงทุนทั้งหมดในภาคอีสาน มีมูลค่าการลงทุนกว่า 17,267 ล้านบาท นครราชสีมาเป็นประตูสู่ภาคอีสาน มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และเป็นศูนย์กลางคมนาคมที่สำคัญ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีตลาดแรงงานขนาดใหญ่ และมีศักยภาพในการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง อีกทั้งยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ และนิคมอุตสาหกรรม ทำให้จังหวัดนี้มีความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้น ที่สำคัญนครราชสีมามีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม การค้า และบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว     กลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพ อย่างอุดรธานี ขอนแก่น สกลนคร และบุรีรัมย์  กลุ่มจังหวัดเหล่านี้มีมูลค่าการลงทุนรองลงมา โดยแต่ละจังหวัดมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน อุดรธานี: เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ ขอนแก่น: เป็นศูนย์กลางการศึกษา การแพทย์ และการบริการของภาคอีสาน สกลนคร: มีศักยภาพในภาคเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตยางพารา บุรีรัมย์: เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงกีฬา และมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว   (2) ภาคอุตสาหกรรม ถือหัวใจหลักของการลงทุน ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ มูลค่า 5,639 ล้านบาท และ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 913 ล้านบาท ครองอันดับต้นๆ ของการลงทุน สิ่งนี้บ่งชี้ว่าภาคอีสานกำลังก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญในระดับโลก การลงทุนนี้จะช่วยสร้างงานและพัฒนาทักษะแรงงานในท้องถิ่น รวมถึงส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี อุตสาหกรรมแปรรูป การผลิตสตาร์ชมันสำปะหลัง มูลค่า 2,095 ล้านบาท และ การผลิตผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 717 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาคเกษตรแปรรูปในภาคอีสาน การลงทุนนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรในท้องถิ่น และส่งเสริมการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานในภาคเกษตร อุตสาหกรรมเครื่องจักร การผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ในทางการแพทย์ มูลค่า

อีสานบ่ธรรมดา! ต่างชาติทุ่มทุนมหาศาล พาส่อง ต่างชาติแห่ลงทุน มูลค่ารวมทะลุสองหมื่นล้าน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top