Nanthawan Laithong

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “ภูเขาสูง” แดนอีสาน ที่ซ่อนความลับระดับ Unseen Thailand

ภูหมันขาว ที่จังหวัดเลยและเพชรบูรณ์ มีความสูง 1,820 เมตร ภูลมโล ที่จังหวัดเลย, พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ มีความสูง 1,664 เมตร ภูหลวง ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,571 เมตร เนิน 1408 ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,408 เมตร ภูเรือ ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,365 เมตร ภูกระดึง ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,316 เมตร ภูผาจิต ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,271 เมตร ภูบักได ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,200 เมตร เขาแถบอีสาน ตั้งแต่สันเขาของเลยถึงแนวเพชรบูรณ์ ไม่ได้เป็นเพียงภูมิทัศน์งดงามเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นสินทรัพย์เศรษฐกิจเชิงนิเวศที่สามารถสร้างมูลค่าหลายอย่าง ทั้งรายได้ท่องเที่ยวตรง บริการระบบนิเวศ และทุนทางวัฒนธรรม หากมองเชิงธุรกิจ ภูกระดึง ภูเรือ ภูลมโล และภูสูงอื่นๆ คือ “คลัสเตอร์ท่องเที่ยวอากาศเย็น” ที่ดึงดูดผู้คนตามฤดูกาลนั่นเอง โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปกว่า 2,500-3,500 บาท จากผู้มาเยือนหลักแสนต่อปี ก่อให้เกิดเงินสะพัดหลายร้อยล้านบาท และกระจายสู่โฮมสเตย์ ร้านอาหาร รถท้องถิ่น และสินค้า OTOP นั่นเอง รายได้จากการท่องเที่ยวภูเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผู้ประกอบการโฮมสเตย์หรืออุทยานเท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงเกษตรกรที่ขายผลผลิตให้ร้านอาหาร ร้านค้าเล็กๆ ที่จำหน่ายอุปกรณ์เดินป่า รถรับจ้างท้องถิ่น ไปจนถึงกลุ่มแม่บ้านที่ผลิตผ้าทอและงานหัตถกรรม การไหลเวียนของเงินเหล่านี้สร้างตัวคูณทางเศรษฐกิจที่ทำให้เงิน 1 บาทจากนักท่องเที่ยว ขยายผลเป็นรายได้ 1.5–2 บาทในระบบเศรษฐกิจของชุมชน ถือเป็นพลังที่ช่วยหล่อเลี้ยงคนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริงนั่นเอง อีกหนึ่งจุดแข็งของการท่องเที่ยวภูเขาในอีสานคือความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กัน อย่างเช่น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเชื่อมต่อจากภูกระดึงไปภูเรือ หรือจากภูหลวงไปภูลมโลได้ในเวลาไม่นาน หากมีการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเป็น “วงแหวนภูเขา” นักท่องเที่ยวจะอยู่ค้างคืนยาวขึ้น รายได้ก็จะกระจายไปยังหลายหมู่บ้าน และช่วยให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากธรรมชาติแล้ว วัฒนธรรมท้องถิ่นยังเป็นมูลค่าเพิ่มที่ทำให้ภูเขาเหล่านี้แตกต่างจากภูเขาในภาคอื่น นักท่องเที่ยวไม่ได้เพียงมาดูวิว แต่ยังได้สัมผัสอาหารอีสาน งานหัตถกรรม ผ้าทอ และประเพณีพื้นถิ่น ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้การท่องเที่ยวมีราคาสูงขึ้น นักท่องเที่ยวยินดีใช้จ่ายมากขึ้น และสร้างรายได้เสริมแก่ชุมชนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุทยานนั่นเอง   ในปัจจุบัน “การเดินป่า-ท่องเที่ยวภูเขา” กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของคนรุ่นใหม่และคนเมือง เพราะผู้คนเริ่มโหยหาความสงบและธรรมชาติ หลังจากใช้ชีวิตท่ามกลางความเร่งรีบและตึกสูงในเมืองใหญ่ การขึ้นภูเขาจึงไม่ใช่เพียงการท่องเที่ยว แต่เป็นการพักผ่อนเชิงสุขภาพ ทั้งกายและใจ บางคนมองว่าเป็นการ ชาร์จพลังชีวิต ขณะที่บางกลุ่มเห็นเป็นโอกาสในการออกกำลังกายแบบผจญภัย ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่กำลังเติบโตทั่วโลก เทรนด์นี้ช่วยเปิดตลาดใหม่ให้กับการท่องเที่ยวภูเขา นักท่องเที่ยวที่นิยมเดินป่า มักต้องการประสบการณ์มากกว่าที่พักหรูหรา แต่จะใช้จ่ายกับอุปกรณ์เดินป่า ไกด์ท้องถิ่น เส้นทางศึกษาธรรมชาติ และสินค้าพื้นถิ่นที่สะท้อนเอกลักษณ์ของพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายเล็ก อย่างเช่น ร้านเช่าเต็นท์ ร้านขายอุปกรณ์เดินป่า ร้านกาแฟชุมชน และกลุ่มชาวบ้านที่จัดกิจกรรมเชิงเรียนรู้ […]

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “ภูเขาสูง” แดนอีสาน ที่ซ่อนความลับระดับ Unseen Thailand อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่งไทม์ไลน์ 100 ปี! “เขากระโดง” ที่ดิน 5,083 ไร่ การต่อสู้เพื่อทวงคืน “สมบัติชาติ” จะจบลงอย่างไร?

เรื่องราวของ “เขากระโดง” จังหวัดบุรีรัมย์ คือมหากาพย์ข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมากว่า 100 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2462 ที่รัฐออกพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางรถไฟสายภาคอีสาน เส้นนครราชสีมา-บุรีรัมย์-อุบลราชธานี โดยมีการกันพื้นที่จำนวนหนึ่งไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ในการก่อสร้าง แม้จะยังไม่ได้วางรางจริงก็ตาม แต่ได้ประกาศห้ามบุกรุกหรือออกเอกสารสิทธิ์ใดๆ บนพื้นที่ดังกล่าว แต่เมื่อเวลาผ่านไปทำให้พื้นที่เขากระโดงค่อยๆ กลายเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน มีการตั้งถิ่นฐาน สร้างบ้านเรือน โรงเรียน และวัด อีกทั้งยังมีความพยายามออกโฉนดและซื้อขายเปลี่ยนมืออย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นปัญหาสะสมที่ไม่เคยถูกแก้ไขอย่างเด็ดขาดนั่นเอง จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2513 เมื่อการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หารือกับนายชัย ชิดชอบ นักการเมืองท้องถิ่นผู้ทรงอิทธิพล โดยมีการระบุในบันทึกประชุมว่า รฟท. ยอมให้ครอบครัวชิดชอบและผู้เกี่ยวข้องอาศัยอยู่ต่อชั่วคราวในรูป “สัญญาอาศัย” แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีการดำเนินการจริง ไม่นานหลังจากนั้นก็มีการออกโฉนดแปลงหนึ่งและถูกซื้อขายหมุนเวียนในกลุ่มตระกูลเดียวกัน โดยเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าที่ดินเขากระโดงไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น “ทุนทางการเมือง” ที่เชื่อมโยงอำนาจท้องถิ่นและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น เมื่อเข้าสู่ปลายทศวรรษ 2540 รัฐเริ่มเข้ามาจัดการแบบจริงจัง คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยชัดเจนว่าที่ดินเขากระโดงเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ และต่อมา ศาลแพ่งจนถึงศาลฎีกาก็ตัดสินไปในทิศทางเดียวกันว่าประชาชนไม่มีสิทธิครอบครอง อย่างไรก็ตาม การชนะคดีในเชิงกฎหมายไม่ได้หมายความว่ารฟท. จะได้ที่ดินคืนทันที เนื่องจากความจริงในพื้นที่มีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมาก หลายแปลงถูกพัฒนาเป็นวัด โรงเรียน หรือที่ทำการเอกชน การบังคับคดีจึงเต็มไปด้วยข้อจำกัด ทั้งในด้านมนุษย์และในด้านสังคม โดยปัญหานี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ข้อพิพาทด้านสิทธิครอบครองเท่านั้น เพราะเขากระโดง 5,083 ไร่ ถูกบรรจุในแผนพัฒนาเป็น “สถานีขนถ่ายสินค้า” หรือ Dry Port ของภาครัฐ หากโครงการนี้เกิดขึ้นจริง บุรีรัมย์จะถูกยกระดับจากเมืองกีฬาและท่องเที่ยวให้กลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอีสานใต้ เชื่อมการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว กัมพูชา และเวียดนาม ผลประโยชน์ที่จะตามมาไม่เพียงลดต้นทุนการขนส่งเท่านั้น แต่ยังดันมูลค่าอสังหาริมทรัพย์โดยรอบให้พุ่งสูงขึ้น และสร้างโอกาสใหม่ให้กับภาคธุรกิจท้องถิ่นและนักลงทุนจากภายนอก ดังนั้น การช่วงชิงกรรมสิทธิ์ที่ดินในบริเวณนี้จึงเท่ากับการช่วงชิงอนาคตทางเศรษฐกิจของทั้งจังหวัดและภูมิภาคนั่นเอง เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคการเมืองร่วมสมัย หลังปี พ.ศ. 2566 ศาลปกครองกลางสั่งให้กรมที่ดินสอบสวนเพื่อพิจารณาการเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกทับซ้อน ผลการสอบสวนกลับสรุปว่า “ไม่ควรเพิกถอน” เพราะยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นของการรถไฟฯ อย่างไรก็ตาม รฟท. ไม่ยอมแพ้ และเมื่อเข้าสู่ปี พ.ศ. 2568 สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไป พรรคภูมิใจไทยและตระกูลชิดชอบไม่ได้มีส่วนร่วมในรัฐบาล การสะสางปัญหานี้จึงถูกเร่งเดินหน้าโดยกรมที่ดิน แต่ในเวลาเดียวกัน กลุ่มทุนท้องถิ่น ทนายความ และชาวบ้านก็รวมตัวคัดค้าน โดยอ้างว่าหลักฐานแผนที่ของรฟท. ไม่ใช่ของแท้จาก พ.ร.ฎ. 2462 และคำพิพากษาศาลไม่อาจผูกพันบุคคลที่ไม่ใช่คู่ความ ข้อพิพาทเขากระโดงจึงไม่ใช่เพียงการแย่งสิทธิครอบครองเท่านั้น แต่เป็นการปะทะกันของกฎหมาย การเมือง และเศรษฐกิจในระดับลึก หากมองในเชิงธุรกิจ ที่ดินแห่งนี้คือทุนพัฒนาที่สามารถยกระดับภูมิภาคได้ทันทีหากได้รับการบริหารจัดการที่ชัดเจน แต่หากรัฐใช้วิธีเวนคืนโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสังคม ก็อาจสร้างแรงต่อต้านใหม่และบั่นทอนเสถียรภาพการลงทุน ในทางกลับกัน หากปล่อยให้ทุนท้องถิ่นควบคุมโดยไม่จัดการ ความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจก็จะยิ่งรุนแรงและบิดเบือนตลาดที่ดินหรือไม่?    อ้างอิงจาก: – THAIRATH – SUM UP   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน

พาเปิดเบิ่งไทม์ไลน์ 100 ปี! “เขากระโดง” ที่ดิน 5,083 ไร่ การต่อสู้เพื่อทวงคืน “สมบัติชาติ” จะจบลงอย่างไร? อ่านเพิ่มเติม »

นี่คือเงินภาษีคุณ‼️ พาส่องเบิ่ง “งบประมาณจังหวัด” ที่คนท้องถิ่นต้องรู้ เมืองที่คุณอยู่ได้งบเท่าไหร่⁉️ งบปี 69

“งบประมาณจังหวัด” ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจท้องถิ่นทุกระดับ ตั้งแต่คุณภาพชีวิตของประชาชนไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ภาคธุรกิจใช้ในการขยายตัว ปีงบประมาณ 2569 หากเจาะลึกลงไปในแต่ละจังหวัด จะพบความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน จะเห็นได้ว่านครราชสีมาได้งบมากที่สุดถึง 442 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.1% ของงบอีสานทั้งหมด ขณะที่จังหวัดเล็กอย่างบึงกาฬกลับได้รับเพียง 190 ล้านบาท หรือแค่ 3.5%  งบประมาณจังหวัดเปรียบเสมือนแรงขับเคลื่อนแรกเริ่มที่กระจายเงินลงสู่ท้องถิ่น เมื่อโครงการสาธารณูปโภค ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน หรือระบบน้ำประปาได้รับการสนับสนุน เม็ดเงินที่รัฐจัดสรรลงไปจะหมุนเวียนต่อในระบบธุรกิจท้องถิ่น ทั้งการจ้างแรงงานท้องถิ่น การจัดซื้อวัตถุดิบ การสร้างงานบริการ และการกระตุ้นกำลังซื้อในตลาด อย่างเช่น ขอนแก่นแม้งบประมาณจะอยู่ที่ 333 ล้านบาทซึ่งน้อยกว่านครราชสีมา แต่ด้วยศักยภาพของการเป็นศูนย์กลางมหาวิทยาลัยและการแพทย์ งบประมาณที่ได้รับกลับสร้างผลทวีคูณสูง เพราะสามารถต่อยอดไปสู่การลงทุนภาคเอกชนและดึงดูดทุนใหม่เข้าสู่ภูมิภาคได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง อย่างไรก็ตาม การได้งบมากหรือน้อยไม่ได้หมายความว่าคุณภาพการพัฒนาจะสูงหรือต่ำตามไปด้วย จังหวัดใหญ่อย่างนครราชสีมามีภาระประชากรจำนวนมากและพื้นที่กว้าง การใช้งบแม้จะมากแต่ก็ต้องกระจายครอบคลุมหลายด้าน ต่างจากจังหวัดขนาดเล็ก อย่างเช่น ยโสธรหรือมุกดาหารที่แม้งบเพียงราว 200 ล้านบาท แต่หากมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อาจสร้างผลลัพธ์ที่ตรงจุดและเห็นผลเร็วกว่า จะเห็นได้ว่า งบประมาณไม่ได้เป็นเพียง “ขนาดเงิน” แต่คือ “คุณภาพการใช้เงิน” ที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญกว่า ในมุมมองธุรกิจนั้น เมืองที่ได้รับงบมากมักจะกลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาที่ดึงดูดโครงสร้างพื้นฐานและกำลังซื้อ ขณะที่เมืองงบน้อยกลับซ่อนโอกาสสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือ SME ที่สามารถเข้าไปเติมเต็มในสิ่งที่ภาครัฐไม่สามารถทำได้ครบถ้วน เมืองชายขอบ อย่างเช่นบึงกาฬ มุกดาหาร หรือหนองคาย แม้งบไม่สูง แต่มีความได้เปรียบด้านการค้าชายแดนที่สามารถเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นช่องว่างทางธุรกิจที่น่าจับตานั่นเอง งบประมาณจังหวัดคือภาพสะท้อนของนโยบายการพัฒนาและการกระจายทรัพยากรของรัฐที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประชาชน การที่บางจังหวัดได้มากบางจังหวัดได้น้อยก็เหมือนเป็นการกำหนดทิศทางอนาคตภูมิภาคอย่างชัดเจน คนท้องถิ่นเองก็ควรตระหนักว่าเงินเหล่านี้คือภาษีของประชาชน และควรติดตามตรวจสอบว่า งบประมาณถูกนำไปใช้กับโครงการที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์จริงหรือเพียงแค่ผ่านตัวเลขในเอกสารราชการ หากสามารถใช้เงินอย่างคุ้มค่า งบประมาณปี 2569 ก็อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้อีสานก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และกลายเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจไม่แพ้ส่วนอื่นของประเทศได้     อ้างอิงจาก: – สำนักงบประมาณ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ # #เศรษฐกิจอีสาน #งบประมาณจังหวัด #งบประมาณในอีสาน  #งบประมาณ #งบประมาณปี2569  

นี่คือเงินภาษีคุณ‼️ พาส่องเบิ่ง “งบประมาณจังหวัด” ที่คนท้องถิ่นต้องรู้ เมืองที่คุณอยู่ได้งบเท่าไหร่⁉️ งบปี 69 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “เงินเดือนคนไทย”  ตัวเลขล่าสุดเผย คนกว่า 2.7 ล้านคน ได้ไม่ถึง 1.1 หมื่นบาท‼️

ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคมล่าสุดพบว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งส่วนใหญ่คือแรงงานในระบบเอกชน มีจำนวนกว่า 12.1 ล้านคน อีกทั้งยังพบว่า แรงงานจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเงินเดือน 9,001-11,000 บาทต่อเดือน มากถึงกว่า 2.7 ล้านคน หรือคิดเป็น 23.05% ของทั้งหมดเลยทีเดียว รองลงมาคือกลุ่มที่มีรายได้ 13,001-15,000 บาท จำนวนกว่า 1.7 ล้านคน หรือ 14.07% และกลุ่ม 11,001-13,000 บาท กว่า 12.3% สะท้อนให้เห็นว่าแรงงานไทยกว่าครึ่งหนึ่งยังอยู่ในระดับรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งก็ถือว่าเป็นฐานค่าจ้างขั้นต่ำถึงระดับปานกลางที่ยังไม่สูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพปัจจุบันนั่นเอง รายได้ของแรงงานนั่น สามารถสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริโภคของครัวเรือนไทยอย่างชัดเจน เนื่องจากกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนมีสัดส่วนมาก ทำให้กำลังซื้อโดยรวมของประเทศยังคงอยู่ในระดับจำกัด ส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนด้านบริการที่ต้องพึ่งพาฐานผู้บริโภคจำนวนมากนั่นเอง ขณะเดียวกันกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทขึ้นไปมีเพียง 12% ของแรงงานในระบบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มชนชั้นกลางระดับสูงและชนชั้นบนมีจำนวนน้อย อีกประเด็นสำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำที่ปรากฏจากโครงสร้างรายได้ คนไทยจำนวนกว่า 2.7 ล้านคน มีรายได้เพียง 9,000-11,000 บาท ขณะที่มีเพียงประมาณ 289,000 คน หรือ 2.38% เท่านั้นที่มีรายได้เกิน 80,000 บาทต่อเดือน สังเกตได้ว่าระหว่างแรงงานรายได้ต่ำกับแรงงานรายได้สูงจึงกว้างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ การกระจุกตัวของรายได้ในเมืองใหญ่ และความเปราะบางของครัวเรือนที่พึ่งพาค่าแรงขั้นต่ำ และข้อมูลนี้ยังชี้ให้เห็นทิศทางการวางกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน โดยบริษัทที่ทำธุรกิจแมสจำเป็นต้องออกแบบสินค้าและบริการให้มีราคาที่เข้าถึงได้ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีกำลังซื้อต่ำอยู่ ขณะที่ธุรกิจที่เน้นเจาะตลาดพรีเมียมหรือชนชั้นกลางถึงระดับสูง แม้จะเผชิญฐานลูกค้าที่เล็กกว่า แต่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงหากเจาะตรงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง การที่ผู้ประกันตนที่มีรายได้เกิน 17,500 บาท ต้องเริ่มจ่ายเงินสมทบเพิ่มจาก 750 บาทเป็น 875 บาทตั้งแต่ปี 2569 ก็สะท้อนความพยายามของรัฐในการปรับสมดุลกองทุนประกันสังคมให้สอดคล้องกับรายได้ที่สูงขึ้น แต่ในอีกมิติหนึ่งก็อาจเป็นภาระต่อแรงงานระดับกลางที่ยังไม่ได้มีฐานะมั่นคงมากนัก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายของระบบประกันสังคมที่ต้องดูแลทั้งแรงงานรายได้น้อยจำนวนมาก และแรงงานรายได้ปานกลางที่กำลังเผชิญค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น   อ้างอิงจาก:  – สำนักงานประกันสังคม (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ส.ค. 68) – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เงินเดือนคนไทย #เงินเดือน #ประกันสังคม

พาเปิดเบิ่ง “เงินเดือนคนไทย”  ตัวเลขล่าสุดเผย คนกว่า 2.7 ล้านคน ได้ไม่ถึง 1.1 หมื่นบาท‼️ อ่านเพิ่มเติม »

ก่อนเป็นจังหวัด อีสานมีชื่อที่ถูกลืม! พาย้อนเวลาเบิ่ง “ชื่อเก่า” ที่คนท้องถิ่นเองยังไม่เคยรู้

ภาคอีสานในปัจจุบันมี 20 จังหวัด แต่หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จะพบว่าดินแดนเหล่านี้เคยถูกเรียกขานด้วย “ชื่อเก่า” ที่สะท้อนทั้งเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และสภาพสังคมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งต่อมาได้ถูกปรับเปลี่ยนเมื่อมีการจัดระเบียบการปกครองใหม่จาก “เมือง” สู่ “จังหวัด” โดยเฉพาะในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ส่งผลให้ชื่อเก่าเหล่านี้ค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงในเอกสารเก่าและความทรงจำของผู้คนท้องถิ่นนั่นเอง การเปลี่ยนชื่อจาก “เมือง” ไปสู่ “จังหวัด” ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนที่มุ่งรวมศูนย์อำนาจและสร้างมาตรฐานเดียวกัน อย่างเช่น เมืองขามแก่น ซึ่งกลายเป็น “จังหวัดขอนแก่น” ในปี 2459 หรือบ้านหลวงที่กลายมาเป็น “จังหวัดชัยภูมิ” ในปี 2476 ก็สะท้อนให้เห็นถึงการขยายอำนาจรัฐเข้าสู่ท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีบางจังหวัดที่ได้รับการยกฐานะช้ากว่า อย่างเช่น จังหวัดบึงกาฬ ที่เพิ่งแยกจากหนองคายในปี 2554 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระบวนการจัดการพื้นที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องตามความจำเป็นและความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิศาสตร์ ในแง่เศรษฐกิจ เมื่อลองมองย้อนกลับไปก็จะเห็นว่าการเปลี่ยนสถานะจาก “เมือง” เป็น “จังหวัด” ได้สร้างความมั่นคงทางการปกครองและเศรษฐกิจให้แก่ท้องถิ่น เช่น จังหวัดนครพนม (เดิม “เมืองมรุกขนคร”) และสกลนคร (เดิม “เมืองสกลทวาปี”) ก็กลายเป็นศูนย์กลางการค้าริมแม่น้ำโขงที่มีบทบาทเชื่อมโยงกับลาวและเวียดนาม ขณะที่มหาสารคาม (เดิมคือ “บ้านลาดกุดยางใหญ่”) ได้กลายเป็นเมืองการศึกษาในอีสานตอนกลาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการยกฐานะเมืองเป็นจังหวัดไม่เพียงแต่ช่วยให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นระบบ แต่ยังถือเป็นการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมให้เติบโตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วยดังนั้น “ชื่อเก่า” ของเมืองอีสานจึงไม่ได้เป็นแค่ความทรงจำท้องถิ่นเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเมืองเล็กๆ ที่พึ่งพาธรรมชาติและภูมิศาสตร์ สู่การเป็นจังหวัดที่มีบทบาทเชื่อมโยงเศรษฐกิจระดับภูมิภาค อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของผู้คนในแต่ละถิ่น ที่แม้ชื่อเมืองจะเปลี่ยนไป แต่รากเหง้าและตัวตนของชุมชนก็ยังคงปรากฏในวิถีชีวิตของชาวอีสานจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง   ทำไมถึงต้อง “อีสาน” คำว่า “อีสาน” มีรากมาจากภาษาสันสกฤตว่า “อีศาน” ซึ่งหมายถึงพระศิวะ เทพผู้ประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ราวพุทธศตวรรษที่ 11 คำนี้ถูกใช้ทั้งในชื่อรัฐ “อีศานปุระ” และพระนามกษัตริย์ “อีศานวรมัน” ก่อนจะแผลงเป็นรูปบาลีว่า “อีสาน” ที่ภาษาไทยนำมาใช้เรียกภูมิภาคแห่งนี้ต่อมา ดังนั้น “อีสาน” จึงไม่ใช่เพียงชื่อภูมิศาสตร์ แต่ยังสะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรมและคติความเชื่อของผู้คนด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม “คนอีสาน” ไม่ได้หมายถึงชนชาติหนึ่งโดยตรง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกผู้คนในภูมิภาคนี้ซึ่งมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมร่วมกัน อัตลักษณ์ของคนอีสานจึงเกิดจากการผสมผสานของชนหลายกลุ่มทั้งคนดั้งเดิมและผู้คนที่อพยพเข้ามาในช่วงเวลาต่าง ๆ จนก่อรูปเป็นเครือข่ายเครือญาติทางภาษาและวัฒนธรรมที่สลับซับซ้อน หากย้อนกลับไปกว่า 5,000 ปี พื้นที่อีสานมีคนพื้นเมืองดั้งเดิมตั้งถิ่นฐานอยู่แล้ว หลักฐานทางโบราณคดีที่ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น แสดงให้เห็นการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และการตั้งบ้านเรือนมาแต่โบราณ คนพื้นเมืองเหล่านี้แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ พวกที่สูง ซึ่งทำไร่เลื่อนลอยแบบ “เฮ็ดไฮ่” ใช้ไฟเผาป่าและหยอดเมล็ดพืชโดยไม่ไถพรวน มีผลผลิตจำกัด แต่ชำนาญการถลุงโลหะ ส่วนพวกที่ราบนั้นตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ มีความรู้ด้านการจัดการน้ำเพื่อเกษตรกรรม ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์เกินพอก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนจนพัฒนาจากหมู่บ้านไปสู่เมืองและรัฐ ต่อมาเริ่มมีผู้คนจากภายนอกเคลื่อนย้ายเข้ามา จนผสมกลมกลืนกับคนพื้นเมือง ราว 3,000 ปีก่อน

ก่อนเป็นจังหวัด อีสานมีชื่อที่ถูกลืม! พาย้อนเวลาเบิ่ง “ชื่อเก่า” ที่คนท้องถิ่นเองยังไม่เคยรู้ อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนรอยเบิ่ง ค่ายอพยพผู้ลี้ภัย และความเจ็บปวดที่เขมรแดงฝากไว้ให้คนไทย

ความโหดร้ายของเขมรแดงและผลกระทบต่อไทย หากเอ่ยถึงโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่มีเหตุการณ์ใดสะเทือนใจเท่ากับยุคเขมรแดงในกัมพูชา ระหว่างปี พ.ศ. 2518-2522 ภายใต้การนำของพลพต กัมพูชาถูกผลักเข้าสู่การทดลองทางอุดมการณ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 20 รัฐบาลปฏิวัติยกเลิกเงินตรา ห้ามเทคโนโลยี และกวาดต้อนผู้คนจากเมืองไปทำเกษตรแบบยังชีพในชนบท ทำให้มีประชากรกว่า 2 ล้านคน เสียชีวิตจากความอดอยาก การทำงานหนักเกินมนุษย์ และการสังหารหมู่โดยรัฐ การสูญเสียครั้งนั้นไม่เพียงพรากชีวิต แต่ยังทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจและทุนมนุษย์ของกัมพูชาอย่างมหาศาล ผลกระทบของเขมรแดงไม่ได้หยุดอยู่แค่ภายในพรมแดนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทย ในปี 2520 เพียงปีเดียว เขมรแดงบุกโจมตีชายแดนไทยกว่า 400 ครั้ง หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2520 ที่อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสระแก้ว) เมื่อทหารเขมรแดงบุกฆ่าล้างหมู่บ้านชาวไทยถึง 21 คน เผาบ้านเรือน ข่มขืน และทำลายชุมชนอย่างป่าเถื่อน เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้รัฐไทยต้องเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงและขยายกำลังทหารเพื่อรับมือกับภัยคุกคาม ส่งผลให้พื้นที่ทางเศรษฐกิจในแนวชายแดนจำนวนมากถูกทิ้งร้าง ที่สำคัญสงครามและความอดอยากทำให้ชาวกัมพูชาหลั่งไหลเข้ามายังชายแดนไทย ในปี 2518 มีผู้อพยพเพียง 17,000 คน แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงปี 2522 ตัวเลขพุ่งขึ้นเป็นกว่า 137,000-200,000 คน ผู้ลี้ภัยจำนวนมากอิดโรยจากความหิวโหย ต้องนำทองคำและเงินตรามาแลกอาหารกับชาวบ้านไทย แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ต้องแบกรับภาระทางสาธารณสุขและความมั่นคงจำนวนมหาศาล เพราะเขมรแดงได้ฝังทุ่นระเบิดไว้ตามแนวชายแดน ทิ้ง “มรดกสงคราม” ที่คร่าชีวิตผู้คนไปอีกหลายสิบปีนั่นเอง จึงเกิดเป็นการตั้งค่ายผู้ลี้ภัยมากถึง 18 ค่าย อย่างเช่น ไซต์ทูและไซต์ทรี ซึ่งบางแห่งมีผู้อพยพหลายหมื่นคนจนกลายเป็น “เมืองเศรษฐกิจเฉพาะกิจ” ที่มีการค้าขาย ตลาดอาหาร และแรงงานราคาถูก อย่างไรก็ตาม ค่ายผู้ลี้ภัยก็สร้างผลกระทบทางลบ โดยเฉพาะต่อโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นปราสาทสด๊กก๊อกธม ที่ถูกใช้เป็นแหล่งน้ำและเชื้อเพลิงจนเกิดความเสียหายทางวัฒนธรรมอย่างใหญ่หลวง ขณะเดียวกันงบประมาณที่ไทยต้องใช้ในการดูแลผู้อพยพก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2523 เพียงปีเดียว รัฐบาลไทยใช้งบประมาณมากถึง 20.9 ล้านบาท แม้ได้รับการสนับสนุนจาก UNHCR แต่ไทยก็ยังต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนหลักดังกล่าว ตลอดเวลากว่าสองทศวรรษ ไทยต้องอยู่กับวิกฤตผู้อพยพที่ไม่เพียงเป็นปัญหาความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นทั้งภาระและโอกาสทางเศรษฐกิจ  ไทยเสียโอกาสจากพื้นที่เกษตรและการท่องเที่ยวในชายแดนที่ถูกทำลายจากสงครามและทุ่นระเบิด แต่อีกในมุมมอง การที่ไทยยื่นมือช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกลับยกระดับภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก ทำให้ได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่มีบทบาทสร้างสันติภาพและมนุษยธรรมในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม 2536 ผู้อพยพกลุ่มสุดท้ายจำนวน 199 คน ได้กลับประเทศจากศูนย์อพยพเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้ว ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยกัมพูชาของไทยที่ยาวนานเกือบ 20 ปี ประวัติศาสตร์ช่วงนี้สะท้อนให้เห็นว่า อุดมการณ์ที่สุดโต่งสามารถทำลายชาติหนึ่งชาติได้อย่างสิ้นเชิง และยังส่งแรงสะเทือนข้ามพรมแดนมาสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย   อ้างอิงจาก: – LUEhistory.com   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business

พาย้อนรอยเบิ่ง ค่ายอพยพผู้ลี้ภัย และความเจ็บปวดที่เขมรแดงฝากไว้ให้คนไทย อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่งพิกัด “เทือกเขาอีสาน” ที่ซ่อน “มรดกโลก” และ “ประวัติศาสตร์ชาติ” ไว้

เทือกเขาในภาคอีสาน มรดกธรรมชาติและโอกาสเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ภาคอีสานไม่ได้มีเพียงวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังซ่อนความงดงามทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะเทือกเขาต่างๆ ที่ถือเป็น “ขุนเขาแห่งอีสาน” และเป็นพื้นที่ที่ถูกบันทึกไว้ในมรดกโลก รวมถึงประวัติศาสตร์ชาติ และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงเศรษฐกิจที่สามารถขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในระดับสากลได้ 5 เทือกเขาในภาคอีสานมีอะไรบ้าง⁉️ เทือกเขาเพชรบูรณ์ จุดสูงสุดแห่งอีสาน ภูหินร่องกล้าและภูเขาสูงตระหง่าน อย่างเช่น ภูหินขาว มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,820 เมตร ทำให้เทือกเขาเพชรบูรณ์กลายเป็นพื้นที่ชมวิวที่โดดเด่นของภาคอีสาน การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงผจญภัย อย่างเช่น การปีนเขา เดินป่า และแคมป์ปิ้ง ก็สามารถเชื่อมโยงกับกระแสสุขภาพและธรรมชาติบำบัดได้เป็นอย่างดี ซึ่งในขณะนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มครอบครัวที่แสวงหาความเงียบสงบ ขณะเดียวกันยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การลงทุนธุรกิจโฮมสเตย์เชิงนิเวศและรีสอร์ตที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อีกด้วย เทือกเขาภูพญาเย็น-สันกำแพง มรดกโลกที่ใหญ่กว่ากรุงเทพฯ 4 เท่า มีขนาดพื้นที่กว่า 6,155 ตารางกิโลเมตรของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพ ธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่นี้สามารถต่อยอดในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากิจกรรมดูนก การจัดทริปศึกษาธรรมชาติ ไปจนถึงการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้สำหรับเยาวชน การได้รับเป็นมรดกโลกนั่น ยังเพิ่มมูลค่าให้กับการแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมองว่าเป็นจุดหมายที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต เทือกเขาพนมดงรัก รอยต่อประวัติศาสตร์ไทย-กัมพูชา พนมดงรักไม่เพียงเป็นเทือกเขาที่เต็มไปด้วยโบราณสถานสำคัญ อย่างเช่น ปราสาทเขาพระวิหาร และปราสาทหินพนมรุ้ง แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวระหว่างไทยและกัมพูชา การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมที่ผสานเข้ากับเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจประวัติศาสตร์อารยธรรมขอมโบราณ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมธุรกิจชุมชน เช่น งานหัตถกรรมและอาหารพื้นถิ่น ที่สามารถเป็นสินค้าที่ระลึกและเพิ่มรายได้ให้แก่คนท้องถิ่นนั่นเอง เทือกเขาภูพาน แหล่งอาหารป่าและพืชสมุนไพรของอีสาน ภูพานไม่ใช่เพียงเทือกเขาของอีสาน แต่คือพื้นที่ที่รวมคุณค่าหลายมิติ ทั้งรอยเท้าไดโนเสาร์และฟอสซิลที่ภูกุ้มข้าว-ภูแฝก ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว อาหารป่าและพืชสมุนไพรที่ทำให้ภูพานถูกขนานนามว่า “ตู้กับข้าวธรรมชาติ”ฃ สามารถต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงอาหารและสุขภาพ ขณะเดียวกันยังมีประวัติศาสตร์การเมืองในฐานะอดีตที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่สามารถพัฒนาเป็นเส้นทางเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรมได้อย่างแตกต่าง หากมีการบูรณาการเชิงกลยุทธ์ ภูพานจะกลายเป็น “จุดหมายปลายทางแห่งหลายประสบการณ์” ที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้ให้แก่ชุมชนรอบข้างได้อย่างยั่งยืน เทือกเขาในภาคอีสานจึงไม่ใช่เพียง “ขุนเขา” ที่เงียบสงบ แต่คือ “ทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรม” ที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล การบูรณาการเส้นทางท่องเที่ยวหลายมิติ (ธรรมชาติ-วัฒนธรรม-อาหาร) และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เทือกเขาอีสานจะไม่เพียงเป็น “ภูเขาแห่งความงาม” แต่ยังเป็น “ภูเขาแห่งโอกาส” ที่ยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่นได้ในระยะยาวนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช – กรมทรัพยากรธรณี – องค์การบริหารส่วนตำบลภูลานจัง – แผนที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย – ศูนย์ข้อมูลการวิจัย สกว. – สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เทือกเขาในภาคอีสาน #เทือกเขา #มรดกโลก #ประวัติศาสตร์ #มรดกธรรมชาติ #การท่องเที่ยว

พาเปิดเบิ่งพิกัด “เทือกเขาอีสาน” ที่ซ่อน “มรดกโลก” และ “ประวัติศาสตร์ชาติ” ไว้ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง งบประมาณอีสานปี 69 เปิดตัวเลขที่คนในพื้นที่ต้องรู้ เทศบาลไหน “รวยงบสุด” ในปีนี้⁉️

งบประมาณจากภาครัฐถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาของเทศบาลนคร เม็ดเงินเหล่านี้ถูกจัดสรรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการสาธารณะ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปจนถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น การได้รับงบประมาณที่เพียงพอและสอดคล้องกับขนาดและความต้องการของเทศบาลนครแต่ละแห่ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเมือง เทศบาลนครที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการงบประมาณนั้น ก็สามารถแปลงเม็ดเงินที่ได้รับมาเป็นโครงการและกิจกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน แต่ในทางตรงกันข้ามเทศบาลที่ประสบปัญหาในการบริหารจัดการ อาจเผชิญกับข้อจำกัดในการพัฒนาและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่ จากข้อมูลงบประมาณเทศบาลในภาคอีสานปี 2569 แสดงให้เห็นถึงภาพเศรษฐกิจเมืองอีสานที่กำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคการพัฒนาเชิงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ เมืองใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้า การศึกษา การแพทย์ และโลจิสติกส์ ได้รับงบประมาณจำนวนมากเพื่อรองรับการเติบโตของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งตามตัวเลขงบประมาณจึงไม่เพียงบอกว่าเมืองใดรวยงบที่สุด แต่ยังสะท้อนบทบาทของเมืองในฐานะเครื่องยนต์เศรษฐกิจภูมิภาคอีกด้วย 5 จังหวัดที่ได้รับงบมากที่สุด เทศบาลนครนครราชสีมา 952 ล้านบาท เทศบาลนครขอนแก่น 942 ล้านบาท เทศบาลนครอุดรธานี 854 ล้านบาท เทศบาลนครอุบลราชธานี 499 ล้านบาท เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด 477 ล้านบาท จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ทั้งหมดล้วนเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงและมีบทบาทเชื่อมโยงกับภูมิภาคใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นนครราชสีมาที่เป็นฐานอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์, ขอนแก่นซึ่งโดดเด่นด้านการแพทย์และมหาวิทยาลัย ส่วนอุดรธานีที่ทำหน้าที่เป็นประตูการค้าสู่ลาวและเวียดนาม, อุบลราชธานีที่เชื่อมเศรษฐกิจกับกัมพูชา รวมถึงร้อยเอ็ดที่แม้ไม่ใช่เมืองชายแดนแต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากบทบาทด้านบริการและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมนั่นเอง เหตุผลที่กลุ่มจังหวัดเหล่านี้ได้งบจำนวนมาก มาจากทั้งขนาดเศรษฐกิจและความซับซ้อนของเทศบาล เมืองใหญ่ต้องลงทุนมากกว่าเมืองเล็ก ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อย่างเช่น ถนน ระบบระบายน้ำ การจัดการขยะ และขนส่งสาธารณะ ตลอดจนการสร้างพื้นที่สาธารณะเพื่อรองรับประชากรและนักท่องเที่ยว อีกทั้งเทศบาลเหล่านี้ยังมีฐานรายได้ท้องถิ่นสูง จากภาษีที่ดิน ภาษีป้าย และค่าธรรมเนียม จึงได้รับการจัดสรรจากส่วนกลางมากขึ้นตามสัดส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั่นเอง อีกหนึ่งมุมมองน่าสนใจ คือ “งบต่อหัว” เมืองที่ไม่ได้อยู่ใน 5 อันดับแรกด้านงบรวมกลับโดดเด่น เช่น ร้อยเอ็ดที่มีงบต่อหัวสูงถึงราว 14,909 บาท/คน, เลยประมาณ 12,015 บาท/คน, และนครพนมกว่า 10,621 บาท/คน ทั้งนี้เพราะจำนวนประชากรตามทะเบียนบ้านไม่มาก แต่เทศบาลต้องดูแลผู้มาใช้บริการจริงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน นักศึกษา หรือผู้ป่วยจากต่างจังหวัด การมีงบต่อหัวสูงจึงสะท้อนการลงทุนในบริการที่มีคุณภาพและเจาะลึก อย่างเช่น การแพทย์ การท่องเที่ยว หรือโครงการพัฒนาเมืองเชิงวัฒนธรรมอีกด้วย งบประมาณอีสานปี 2569 สะท้อนความจริงที่ว่าเมืองใหญ่อย่างนครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานียังคงเป็นหัวรถจักรหลักของเศรษฐกิจภาคอีสาน ขณะที่อุบลราชธานีและร้อยเอ็ดกำลังเสริมบทบาทในฐานะศูนย์บริการและเมืองคุณภาพสูง เมืองที่สามารถแปลงงบประมาณให้เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ อย่างเช่น การแก้น้ำท่วม ขนส่งสาธารณะ และโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางใหม่ของเศรษฐกิจอีสานในอนาคตนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – สำนักงบประมาณ – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ # #เศรษฐกิจอีสาน #เทศบาลนคร #เทศบาลนครในอีสาน  #เทศบาลนคร #เทศบาลเมือง  

พาเปิดเบิ่ง งบประมาณอีสานปี 69 เปิดตัวเลขที่คนในพื้นที่ต้องรู้ เทศบาลไหน “รวยงบสุด” ในปีนี้⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา! “ประตูสู่แดนอีสาน” บานไหนคึกคักสุด? พาส่องเบิ่ง “เพื่อนบ้าน GMS” แห่ข้ามแดนด่านไหนมากสุด

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา สถิติการเดินทางข้ามแดนในอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของด่านชายแดนไทยกับกลุ่มประเทศ GMS ซึ่งไม่เพียงแต่ในเชิงการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะตัวเลขจาก ด่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย ซึ่งมีจำนวนผู้ข้ามแดนสูงถึงกว่า 703,160 คน ซึ่งมากที่สุดในอีสาน แสดงให้เห็นว่าหนองคายยังคงเป็น “ศูนย์กลางการเชื่อมโยงเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง” ที่ทรงพลังที่สุดนั่นเอง จะเห็นได้ว่าสัดส่วนของผู้ข้ามแดนจาก ประเทศลาวกว่า 91.5% ในด่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพิงซึ่งกันและกันระหว่างไทย-ลาว ในการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว แต่สิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามคือการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนและเวียดนาม แม้จะยังมีสัดส่วนไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นสัญญาณของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเชิงลึกที่สะท้อนให้เห็นว่าชายแดนไทย-ลาวกำลังกลายเป็นประตูรองรับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากจีนที่เล็งเห็นความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ของอีสานในการเข้าถึงตลาดอาเซียนนั่นเอง อีกด่าน คือ ด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีผู้ข้ามแดนกว่า 169,583 คน กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-ลาวตอนใต้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการค้าการลงทุน โดยเฉพาะด้านพลังงานและเกษตรอุตสาหกรรม เนื่องจากพื้นที่นี้เชื่อมโยงโดยตรงกับแขวงจำปาสักและเส้นทางเศรษฐกิจไปสู่เวียดนามตอนกลาง การเติบโตของด่านนี้จึงควรได้รับการจับตามองในฐานะฮับเศรษฐกิจชายแดนตอนใต้ที่พร้อมจะดึงดูดการลงทุนด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมแปรรูปนั่นเอง นอกจากนี้ ด่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 3 จังหวัดนครพนม แม้มีจำนวนผู้ข้ามแดนราว 63,816 คน แต่เมื่อพิจารณาเชิงโครงสร้างจะพบว่า ด่านนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อการเชื่อมโยง East-West Economic Corridor (EWEC) ที่เชื่อมไทย-ลาว-เวียดนาม จึงไม่ใช่แค่ปริมาณคน แต่คือคุณภาพของเส้นทางการค้าที่จะกำหนดศักยภาพการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะโลจิสติกส์และธุรกิจส่งออก แต่หากมองในภาพรวม จะเห็นได้ว่า ภาคอีสานกำลังกลายเป็น “หนึ่งในประสู่เศรษฐกิจ” ของไทย ที่รับแรงหนุนจากทั้งการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนข้ามพรมแดน จุดเด่นของอีสานไม่เพียงอยู่ที่จำนวนคนและแรงงานเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่สามารถเป็นสะพานเชื่อมจีน-ลาว-เวียดนามเข้าสู่ประเทศไทยได้อีกด้วย และต่อไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งหากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการยกระดับเมืองชายแดนให้เป็นเมืองเศรษฐกิจพิเศษ ก็จะทำให้อีสานไม่ใช่เพียงประตูผ่าน แต่กลายเป็น “จุดหมายปลายทางทางเศรษฐกิจ” อย่างแท้จริง     อ้างอิงจาก: – TRAVEL LINK   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ด่านชายแดน #การค้าาชายแดน #การค้าชายแดนอีสาน #ด่านในอีสาน #เศรษฐกิจชายแดน

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา! “ประตูสู่แดนอีสาน” บานไหนคึกคักสุด? พาส่องเบิ่ง “เพื่อนบ้าน GMS” แห่ข้ามแดนด่านไหนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

เมื่อด่านอีสานใต้ปิดเพราะความขัดแย้งชายแดน พาเปิดเบิ่งตัวเลข คนกัมพูชาหันข้ามผ่านฝั่งไทย–ลาว

ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่ปะทุขึ้นในช่วงกลางปี 2568 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจชายแดนอีสานอย่างไม่อาจมองข้ามได้ จำนวนผู้โดยสารผ่านด่านฝั่งไทย-กัมพูชาที่เคยสูงถึง 125,771 คนในเดือนเมษายน 2568 นั้น กลับร่วงลงเหลือเพียง 4,409 คนในเดือนกรกฎาคม หลังจากด่านฝั่งอีสานใต้ถูกปิดชั่วคราว การหดตัวนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการหยุดชะงักของการเดินทางเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงการหยุดชะงักของเม็ดเงินหมุนเวียนในเมืองชายแดนที่เคยพึ่งพาผู้มาเยือนจากกัมพูชา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าด่านไทย-กัมพูชาจะปิดชั่วคราว แต่คนกัมพูชาก็ยังคงหาทางเข้ามายังประเทศไทยกัน โดยเลือกเส้นทางใหม่ผ่านฝั่งไทย-ลาว   การเปลี่ยนเส้นทาง จากจุดชายแดนอีสานใต้สู่อีสานตอนบน ก่อนปิดด่าน ด่านหลักของฝั่งไทย-กัมพูชาที่มีผู้ใช้มากที่สุดคือ ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ และด่านคลองลึก จ.สระแก้ว ที่มีผู้สัญจรหลักหมื่นถึงหลายหมื่นต่อเดือน แต่หลังปิดด่าน ตัวเลขผู้ใช้ด่านฝั่งกัมพูชาลดลงเหลือเพียงเศษเสี้ยว ขณะที่ด่านฝั่งลาว ไม่ว่าจะเป็น สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 จ.มุกดาหาร และ ด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี กลับเห็นจำนวนผู้เดินทางจากกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยแสดงให้เห็นว่า คนกัมพูชาบางส่วนยอมเพิ่มระยะทางและต้นทุนการเดินทางเพื่อเข้ามาทำธุรกิจ จับจ่ายสินค้า หรือแม้กระทั่งทำงานในไทย ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของตลาดไทยต่อความต้องการสินค้าและบริการของกัมพูชานั่นเอง   แล้วสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่ออีสานอย่างไร⁉️ เมืองชายแดนฝั่งลาว อย่างเช่น มุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี เริ่มได้รับอานิสงส์จากการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น ร้านค้าปลีก ตลาดการค้า และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในพื้นที่เหล่านี้มีโอกาสฟื้นตัวและขยายตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักจะไม่ใช่ชาวลาวเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงชาวกัมพูชาที่ข้ามเข้ามาด้วย อีกทั้งเส้นทางจากกัมพูชาสู่ลาวและเข้าสู่ไทย อาจต้องผ่านหลายด่านและหลายรูปแบบการขนส่ง ทำให้ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ในอีสานตอนบนมีโอกาสให้บริการเส้นทางใหม่ ทั้งการขนสินค้าข้ามแดน การจัดการเอกสารศุลกากร และบริการคลังสินค้าอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จังหวัดชายแดนฝั่งกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นสุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว อาจสูญเสียเม็ดเงินจากการเดินทาง การค้าขาย และการท่องเที่ยวชายแดนในสัดส่วนสูง โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และตลาดนัดชายแดนที่เคยรองรับนักท่องเที่ยวและนักช้อปจากกัมพูชานั่นเอง   แม้สถานการณ์ความขัดแย้งจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจชายแดนฝั่งไทย-กัมพูชา แต่การปรับตัวของผู้คนและภาคธุรกิจถือเป็นการสร้างเส้นทางเศรษฐกิจใหม่ผ่านฝั่งไทย-ลาว ซึ่งไม่เพียงเป็นทางออกชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังอาจกลายเป็นโอกาสสำหรับอีสานตอนบน หากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการพัฒนาตลาดชายแดนให้รองรับความต้องการของทั้งชาวลาวและกัมพูชา     อ้างอิงจาก: – Travel Link   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ปิดด่านชายแดนกัมพูชา #แรงงานกัมพูชา

เมื่อด่านอีสานใต้ปิดเพราะความขัดแย้งชายแดน พาเปิดเบิ่งตัวเลข คนกัมพูชาหันข้ามผ่านฝั่งไทย–ลาว อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top