จับตา ‘ชายแดนเดือด’ ไทย-กัมพูชา พาเปิดเบิ่ง “กองกำลังรบ” และ “ยุทโธปกรณ์” ใครมีอะไรในมือ… พร้อมรับสถานการณ์ล่าสุด!
เมื่อวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2568 เกิดเหตุปะทะทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดนใกล้ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งนับเป็นการเผชิญหน้าครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว โดยเหตุการณ์ดังกล่าวมีการปะทะด้วยอาวุธหนักและเบา มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตจากทั้งสองฝ่าย พร้อมทั้งมีรายงานความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนในเขตชายแดน โดยเฉพาะในอำเภอพนมดงรัก และพื้นที่ตรงข้ามจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศซึ่งยังคงมีข้อพิพาททางดินแดนที่รอการคลี่คลาย โดยเหตุปะทะครั้งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจการค้าและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดน การขนส่งสินค้าบริเวณด่านช่องสะงำ-อันลองเวง ต้องหยุดชะงักทันที ซึ่งส่งผลให้สินค้าอุปโภคบริโภคที่ขนย้ายระหว่างประเทศต้องค้างสต๊อกจำนวนมาก เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยที่ค้าขายกับฝั่งกัมพูชาประสบความเสียหายโดยตรง ขณะที่โรงงานผลิตในฝั่งกัมพูชาซึ่งใช้วัตถุดิบจากฝั่งไทยต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเช่นกัน ทำให้ห่วงโซ่อุปทานในบางอุตสาหกรรมต้องชะงักทันที เหตุการณ์นี้ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความสูญเสียไว้ในพื้นที่ชายแดนทั้งทางกายภาพและจิตใจ โดยเฉพาะในชุมชนรอบอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และเขตแนวปะทะตรงข้ามจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา มีทั้งประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดและกระสุนปืน บางรายเป็นเด็กและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้ทัน และยิ่งที่น่าสลดใจคือมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ด้วย อีกทั้งโรงพยาบาลท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลพนมดงรัก และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ใกล้เคียง ต้องรับมือกับผู้บาดเจ็บอย่างเร่งด่วนภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด ขาดเวชภัณฑ์และบุคลากรเฉพาะทางในการรับมือกับกรณีฉุกเฉินจากการสู้รบ ส่งผลให้ต้องประสานงานกับโรงพยาบาลในจังหวัดเพื่อส่งต่อผู้ป่วยบางราย ซึ่งล่าช้าและเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้บาดเจ็บ แม้สถานการณ์ทางทหารจะคลี่คลายได้ในไม่กี่วัน แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและจิตวิทยาสังคมจะอยู่อีกนาน ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นอุปสรรคในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภาคอีสานหรือไม่? ซึ่งพึ่งพาการค้าชายแดนเป็นหลัก อีสานอินไซต์จะพามาเบิ่ง กองกำลังและยุทโธปกรณ์ ของทั้ง 2 ประเทศ สถานการณ์ความไม่สงบและความขัดแย้งในอดีตบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชายังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า กองทัพไทยมีขนาดที่ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยกำลังพลรวมทั้งสิ้น 606,850 นาย แบ่งเป็นกำลังพลประจำการ 360,850 นาย, กำลังพลสำรอง 221,000 นาย และกำลังพลกึ่งทหาร 25,000 นาย ในทางตรงกันข้าม กัมพูชามีกำลังพลรวม 231,000 นาย ประกอบด้วยกำลังพลประจำการ 221,000 นาย และกำลังพลกึ่งทหาร 10,000 นาย ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการระดมพลและขยายขนาดกองทัพที่เหนือกว่าของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความมั่นคงในระยะยาว สำหรับกองกำลังทางอากาศ ประเทศไทยมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเครื่องบินรวม 493 ลำ ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินรบ 265 ลำ และมีเฮลิคอปเตอร์ 170 ลำ ขณะที่กัมพูชามีเครื่องบินเพียง 25 ลำ (รวมเครื่องบินรบ 21 ลำ) และเฮลิคอปเตอร์ 21 ลำ ความเหนือกว่าทางอากาศของไทยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงขีดความสามารถในการป้องกันทางอากาศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศักยภาพในการโจมตีทางอากาศและการสนับสนุนการรบภาคพื้นดินที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในสงครามสมัยใหม่ สำหรับยุทโธปกรณ์ภาคพื้นดิน ทั้งสองประเทศมีจำนวนรถถังที่ใกล้เคียงกัน โดยไทยมี 635 คัน และกัมพูชามี 644 คัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรถหุ้มเกราะ ไทยมีจำนวนมากถึง 16,935 คัน เทียบกับ 3,627 คันของกัมพูชา ซึ่งบ่งชี้ถึงขีดความสามารถในการเคลื่อนที่และการป้องกันกำลังพลภาคพื้นดินที่เหนือกว่าของไทย นอกจากนี้ ไทยยังมีปืนใหญ่ 639 กระบอก ในขณะที่กัมพูชามี 460 กระบอก แสดงให้เห็นถึงอำนาจการยิงสนับสนุนที่มากกว่า และในด้านกำลังทางเรือ กองทัพเรือไทยมีเรือรบ 68 ลำ ในขณะที่กัมพูชามี 20 ลำ ตอกย้ำถึงความได้เปรียบของไทยในการควบคุมน่านน้ำและการป้องกันชายฝั่ง ซึ่งมีความสำคัญต่อประเทศที่มีพื้นที่ทางทะเลกว้างใหญ่ […]