Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

IPO พลิกชีวิต? สำรวจ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ภาคอีสานหลังเข้าตลาดหุ้น

ในวันนี้จะพามาดู 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ในภาคอีสานที่เข้าตลาดหุ้นว่านับตั้งแต่วันที่เข้าตลาดวันแรกจนถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด   เป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัทขนาดใหญ่เมื่อทำกิจการมาซักระยะหนึ่งก็จะมีความต้องการในการขยายกิจการไปยังพื้นที่ต่างๆ หรือการขยายสาขาเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ โดยแน่นอนอยู่แล้วว่าการขยายกิจการไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตามสิ่งที่ตามมาด้วยเป็นเงาตามตัวนั่นคือ “เงิน” ที่จำเป็นต้องใช้ในการขยายกิจการ ซึ่งแหล่งที่มาของเงินทุนนั้นมีหลากหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินของกิจการเดิมของตัวเองมาขยายกิจการใหม่เพิ่ม การเข้าไปขอกู้เงินกับทางธนาคาร และการเข้าตลาดหุ้นเพื่อระดมทุน โดยในแต่ละวิธีนั้นไม่มีคำจำกัดความว่าบริษัทไหนต้องใช้รูปแบบไหนขึ้นอยู่กับความเห็นของตัวผู้บริหาร หรือบอร์ดบริหาร ณ ช่วงเวลานั้นว่ามองเห็นอะไรที่เป็นจุดที่น่าสนใจในแต่ละวิธี โดยการนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้นนั้นถือว่าเป็นการหาแหล่งระดมเงินทุนในระยะยาวก็สามารถพูดได้ว่าเป็นเช่นนั้น โดยข้อดีของการระดมทุนในตลาดหุ้นคือการปราศจากดอกเบี้ยและภาระการชำระคืนเงินต้น ซึ่งต่างจากการไปกู้ธนาคารที่จะมีดอกเบี้ยในอัตราที่สูง อีกทั้งส่วนหนึ่งยังเป็นสิ่งที่เพิ่มความน่าเชื่อถือของตัวบริษัทด้วย แต่หากมิงดูดีๆแล้วจะพบว่าโกลบอลเฮ้าส์นั้นเป็นบริษัทเจ้าเดียวที่ไม่มีสาขาในกรุงเทพมหานครเลยแม้แต่สาขาเดียว ขณะที่บริเวณปริมณฑลนั้นมีสาขาอยู่ล้อมรอบซึ่งอาจจะสามารถมองได้ว่าเป็นกลยุทธหรือวิธีการทางธุรกิจบางอย่างที่บริษัทพิจารณามาแล้วว่าจะไม่ทำตลาดในกรุงเทพมหานครเลย   สำหรับบริษัทแรกเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนไทยไม่ใช่เพียงแค่คนอีสานเท่านั้น บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (Global House) ก่อตั้งโดย คุณวิทูร สุริยวนากุล โกลบอลเฮ้าส์เริ่มแรกที่จังหวัดร้อยเอ็ด ในวันที่ 14 พ.ย. 2540 ปัจจุบันผ่านมาแล้วเกือบ 27 ปี โกลบอลเฮ้าส์ได้มีการขยายสาขาถึงเกือบ 80 สาขา โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาโกลบอลเฮ้าส์มีรายได้รวมจากการประกอบกิจการอยู่ที่ 33,013.75 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 2,671.43 ล้านบาท แม้ว่าตัวเลขจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่ในด้านของรายได้รวมและกำไรสุทธิของปี 2566 นั้นกลับต่ำกว่าปี 2564 และ 2565 ที่ผ่านมาผลจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ แต่ว่าหากมองในฝั่งของตลาดหุ้นนั้นจะพบว่าโกลบอลเฮ้าส์ได้เข้าตลาดหุ้นตั้งแต่ 19 ส.ค. 2552 ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 15 ปีจากเดิมที่ IPO ในราคาต่อหุ้นที่ 2.55 บาท ปัจจุบันราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 15.80 บาท เพิ่มขึ้น 519.61% แสดงถึงความน่าเชื่อถือและความไว้ใจจากหลายฝ่ายที่ทำให้หุ้นโตมาได้ถึงขนาดนี้ หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่มีการเข้าตลาดหุ้นมานั้นถือว่ากระแสตอบรับของโกลบอลเฮ้าส์เป็นไปในทิศทางที่ดี นับว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากหลังจากมีการเข้าตลาดหุ้นมา   สำหรับบริษัทในลำดับถัดมายังคงอยู่ในหมวดค้าวัสดุก่อสร้างที่รู้จักกันทั่วประเทศนั่นคือ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) (DoHome) ก่อตั้งโดย คุณอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา และคุณนาตยา ตั้งมิตรประชา เดิมทีในตอนตั้งบริษัทตอนแรกนั้นไม่ได้มีชื่อว่าดูโฮมแต่เป็น “ศ. อุบลวัสดุ” ในปี 2526 โดยได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “ดูโฮม” ในปี 2539 หรือหลังจากนั้น 13 ปี โดยในปัจจุบันดูโฮมมีสาขาทั้งสิ้น 25 สาขา และ 1 ศูนย์กระจายสินค้า ในปี 2566 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 31,615.25 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 526.40 ล้านบาท หากดูในด้านของตัวเลขรายได้รวมนั้นไม่มีความแตกต่างจากโกลบอลเฮ้าส์มากซักเท่าไหร่ แต่ในด้านของกำไรนั้นกลับพบว่ามีการปรับลดลงในช่วงสองปีที่ผ่านมาสวนทางกับรายได้ที่มีการเพิ่มขึ้นในแต่ละปี อาจสรุปได้ว่ามีเหตุผลที่คล้ายกับทางโกลบอลเฮ้าส์ที่ภาวะความผันผวนของภาคอสังหาในด้านราคาส่งผลกระทบต่อความต้องการในการสร้างและซื้อบ้าน ขณะที่ในด้านของราคาหุ้นนั้นจะพบว่า ณ วันที่ 6 ส.ค. 2562 ซึ่งเป็นวัน IPO เปิดราคาหุ้นที่ 7.80 บาท …

IPO พลิกชีวิต? สำรวจ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ภาคอีสานหลังเข้าตลาดหุ้น อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง “เด็กน้อยอีสาน” ตกหล่น จากการระบบศึกษามากแค่ไหน

พาสำรวจเบิ่ง “เด็กน้อยอีสาน” ตกหล่น จากการระบบศึกษามากแค่ไหน . . ในปี 2565 ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 3-18 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษามีมากกว่า 1.02 ล้านคน ในจำนวนนี้ยังมีหลายคนกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่วงจรอันตราย 3 เรื่อง คือ (1) แรงงานรายได้ต่ำ เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ (2) ค้าประเวณีหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง และ (3) ยุวอาชญากรที่ตกอยู่ในวังวนยาเสพติด และลักขโมย . แล้วเคยรู้หรือไม่ว่า ในภาคอีสานมีเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามากแค่ไหน? . โดยในภาคอีสานมีเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาอยู่มากกว่า 211,692 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ 20.64% ของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาทั้งหมดในประเทศ . และเมื่อนำสัดส่วนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามาเปรียบกับจำนวนเด็กและเยาวชนทั้งหมดในภาคอีสาน ก็พบว่า มีสัดส่วนอยู่ที่ 5.34% . จังหวัดที่มีสัดส่วนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษามากที่สุด คือ จังหวัดหนองคาย มีสัดส่วนอยู่ที่ 7.40% ของจำนวนเด็กและเยาวชนทั้งหมดในจังหวัด . . อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เด็กออกนอกระบบการศึกษา? . กสศ.ได้พัฒนางานวิจัยเชิงสํารวจเพื่อศึกษาข้อมูลของเด็กนอกระบบการศึกษาภายใต้ “โครงการการสนับสนุนและพัฒนากลไกการขับเคลื่อนครูและเด็กนอกระบบการศึกษา” ประกอบด้วยข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากองค์กรเครือข่าย ทั้งสิ้น 67 องค์กร จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มีจำนวนเด็กนอกระบบการศึกษาที่ให้ข้อมูลความต้องการ 35,003 คน โดย 3 อันดับสาเหตุของการออกนอกระบบการศึกษาหลัก ได้แก่ ความยากจนมากที่สุด 46.70% รองลงมาคือ มีปัญหาครอบครัว 16.14% และออกกลางคัน/ถูกผลักออก 12.03% ตามลำดับ . เมื่อวิเคราะห์สาเหตุอื่นๆ ของการ “ออกกลางคัน” จากการตอบคำถามปลายเปิดจากจำนวนคำตอบทั้งสิ้น 5,270 คำตอบพบว่า เหตุผลที่ปรากฏบ่อย ได้แก่ ไม่อยากเรียน ต้องการทำงาน ตั้งครรภ์ในวัยเรียน มีครอบครัว ไม่มีสัญชาติไทย ไม่มีบัตรประชาชน พิการ ยาเสพติด เป็นต้น . . อ้างอิงจาก: – กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) – กรมการปกครอง ติดตาม ISAN Insight ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight #ISANInsight #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เด็กออกนอกระบบการศึกษา #เด็กนอกระบบการศึกษา

ทำไม ‘บึงกาฬ’ จึงเป็นจังหวัดที่มี ‘ผลิตภาพภาคการเกษตร’ ที่สูงที่สุดในอีสาน?

ทำไม ‘บึงกาฬ’ จึงเป็นจังหวัดที่มี ‘ผลิตภาพภาคการเกษตร’ ที่สูงที่สุดในอีสาน   ‘ผลิตภาพของแรงvานเกษตร’ คือมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตรที่เกิดจากแรงvานทางการเกษตร 1 หน่วย บ่งบอกถึง ความมีประสิทธิภาพในการผลิตของภาคการเกษตรซึ่งยิ่งมากยิ่งดี โดยจากแผนภูมิจะแสดงถึงผลิตภาพของครัวเรือนที่ทำเกษตร จำนวนครัวเรือนที่ทำการเกษตร และมูลค่าทางเศรษฐกิจจากภาคเกษตรใน GPP แบบลูกโซ่ของจังหวัดในภาคอีสาน โดยจังหวัดในภาคอีสานที่มีผลิตภาพภาคการเกษตรสูงที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่   บึงกาฬ ครัวเรือนทำการเกษตร 63,183 ครัวเรือน มีผลิตภาพ 315,053 บาท/ครัวเรือน บุรีรัมย์ ครัวเรือนทำการเกษตร 222,283 ครัวเรือน มีผลิตภาพ 260,000 บาท/ครัวเรือน หนองคาย ครัวเรือนทำการเกษตร 59,388 ครัวเรือน มีผลิตภาพ 98,480 บาท/ครัวเรือน   จะเห็นได้ว่า บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทยที่ตั้งอยู่แถบภาคอีสานตอนบน มีผลิตภาพการเกษตรต่อครัวเรือนที่สูงโดดเด่นที่สุดในภาคอีสาน แม้ว่าจะมีจำนวนครัวเรือนทำการเกษตรจำนวนน้อยแต่กลับก่อให้เกิดมูลค่าภาคการเกษตรใน GPP ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของภาค โดยมีมูลค่า 19,906 ล้านบาท ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? มีปัจจัยอะไรที่ส่งเสริม? วันนี้ Isan Insight and Outlook สิพามาเจาะเบิ่ง   ปัจจัยที่ 1 : สัดส่วนภาคการเกษตรที่ใหญ่ จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่เศรษฐกิจมีการพึ่งพิงภาคการเกษตรมากที่สุดในอีสาน โดยภาคการเกษตรมีสัดส่วนเป็น 34% ของ GPP จังหวัด มีพื้นที่ทำการเกษตร 1,614,458 ไร่ หรือ เกือบ 60% ของพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัด นอกจากนั้นแรงvานสัดส่วน 74% ก็ทำงานอยู่ในภาคเกษตร    ปัจจัยที่ 2 : ‘ยางพารา’ พืชตัวแบกแห่งภาคเกษตร ยางพารา เป็นพืชเกษตรอันดับ 1 ของบึงกาฬ มีพื้นที่ปลูกกว่า 847,095 ไร่ มากเป็นอันดับที่ 1 ในภาคอีสาน มีปริมาณผลผลิตในปี 2565 รวม 21,977 ตัน คิดเป็น 15% ของปริมาณทั้งภาค ซึ่งในช่วงหลังๆ ราคายางได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากความต้องการในอุตสาหกรรมยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางพาราในตลาดโลกขยายตัว ส่งผลให้มูลค่าผลผลิตยางพาราในบึงกาฬขยายตัวแม้ว่าจะมีจำนวนเกษตรกรที่ไม่มาก จากปัจจัยด้านความได้เปรียบและโอกาสทางเศรษฐกิจนี้ ส่งผลให้ผลิตภาพภาคการเกษตรของบึงกาฬพุ่งสูงเป็นอันดับ 1   ปัจจัยที่ 2 : มีการพัฒนาจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่ทำให้ภาคเกษตรโดยเฉพาะยางพาราในบึงกาฬบูมได้ขนาดนี้ เป็นผลมาจากการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ระบบส่งเสริมการเกษตร หรือ T&V System และมีการแปรรูปจากยางพาราก้อนเป็นผลิตภัณฑ์ยางพาราแบบแผ่นเพื่อเพิ่มมูลค่า …

ทำไม ‘บึงกาฬ’ จึงเป็นจังหวัดที่มี ‘ผลิตภาพภาคการเกษตร’ ที่สูงที่สุดในอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง✈“สนามบิน” ไกลจาก “ตัวเมือง” ปานได๋🛬

พามาเบิ่ง“สนามบิน” ไกลจาก “ตัวเมือง” ปานได๋ . . การเดินทางไปต่างจังหวัดนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถยนต์ส่วนตัว นั่งรถบัส หรือแม้กระทั่งโดยสารรถไฟ แต่สำหรับการเดินทางข้ามจังหวัดในระยะทางที่ไกล การใช้เวลาเดินทางก็นับเป็นสิ่งสำคัญ การเดินทางด้วยเครื่องบินจึงกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยประหยัดเวลาและสะดวกสบายสำหรับหลายๆ คน . ในภาคอีสานของเรา มีสนามบินกระจายอยู่หลายแห่ง แม้ว่าจะไม่ได้มีทุกจังหวัด แต่ก็ถือว่าครอบคลุมเป็นอย่างดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางสะดวกและรวดเร็ว แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าสนามบินแต่ละแห่งในอีสานนี้ อยู่ห่างจากตัวเมืองมากน้อยแค่ไหน? วันนี้เรารวบรวมข้อมูลระยะทางจากตัวเมืองถึงสนามบินในภาคอีสานมาให้ได้รู้กันค่ะ . 1.สนามบินอุบลราชธานี ตั้งอยู่ที่ ต.ในเมือง อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองเพียง 2.5 กิโลเมตร 2.สนามบินเลย ตั้งอยู่ที่ ต.นาอาน อ.เมือง ห่างจากตัวเมือง 5.4 กิโลเมตร 3.สนามบินอุดรธานี ตั้งอยู่ที่ ต.หมากแข้ง อ.เมือง ห่างจากตัวเมือง 5.6 กิโลเมตร 4.สนามบินขอนแก่น ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านเป็ด อ.เมือง ห่างจากตัวเมือง 9 กิโลเมตร 5.สนามบินสกลนคร ตั้งอยู่ที่ ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง ห่างจากตัวเมือง 11.5 กิโลเมตร 6.สนามบินนครพนม ตั้งอยู่ที่ ต.นาทราย อ.เมืองนครพนม ห่างจากตัวเมือง 17.8 กิโลเมตร 7.สนามบินร้อยเอ็ด ตั้งอยู่ที่ ต.หนองพอก อ.ธวัชบุรี ห่างจากตัวเมือง 18.1 กิโลเมตร 8.สนามบินบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ที่ ต.ร่อนทอง อ.สตึก ห่างจากตัวเมือง 32.3 กิโลเมตร . ทุกท่านเคยไปใช้สนามบินที่ไหนกันบ้างคะ คอมเมนต์มาแชร์ประสบการณ์การเดินทางขากสนามบินเข้าไปในตัวเมืองกันหน่อยค่ะ . ที่มา: กรมท่าอากาศยาน, Google Maps หมายเหตุ: 1.ระยะทาง ใช้ศาลหลักเมืองเป็นจุดอ้างอิงในการวัด เนื่องจากศาลหลักเมืองสามารถเป็นจุดอ้างอิงของตัวเมืองของแต่ละจังหวัดได้ . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #สนามบิน #สนามบินในอีสาน #สนามบินอีสาน #ท่าอากาศยาน

พาสำรวจเบิ่ง “ราคาที่ดินต่ำสุด-สูงสุด” แต่จังหวัดในภาคอีสาน

พาสำรวจเบิ่ง “ราคาที่ดินต่ำสุด-สูงสุด” แต่จังหวัดในภาคอีสาน . . ราคาที่ดินที่แพงสุดส่วนใหญ่ราคาที่ดินในอำเภอเมืองมักจะสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของการคมนาคมขนส่ง มีถนนหนทางที่เชื่อมต่อกับพื้นที่อื่นๆ ได้สะดวก มีระบบสาธารณูปโภคที่ครบครัน (ไฟฟ้า น้ำประปา โทรคมนาคม) ทำให้มีประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองจำนวนมากขึ้น ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยก็เพิ่มขึ้น ยิ่งในปัจจุบันคนต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวและต้องการมีครอบครัวเดี่ยวด้วยแล้ว ราคาที่ดินจึงลดลงได้ยาก เมื่อ Demand กับ Supply มาเจอกัน ราคาที่ดินย่อมดีดตัวสูงขึ้น เนื่องจากทรัพยากรมีจำกัด . สังคมเมืองมีการขยายตัว มีห้างสรรพสินค้า รถไฟฟ้า และการขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบาย ราคาที่ดินในละแวกนั้นย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย ยิ่งใกล้สถานที่ที่เป็นทำเลทองมากเท่าไร แปลว่าคนที่อาศัยอยู่บนที่ดินนั้นจะสะดวกสบายในการใช้ชีวิตมากขึ้น ดังนั้น ที่ดินบริเวณนั้นจึงแพงและมิอาจประเมินราคาที่ดินได้ โดยส่วนมากคนที่ซื้อต่อจึงเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ . ในขณะที่ดินที่ถูกสุดส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ห่างจากตัวเมือง เนื่องจากความสะดวกในการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกอาจจะยังไม่ครบครัน อีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญนั้นก็คือ ที่ดินที่มีข้อจำกัด เช่น ที่ดินติดลำธาร ที่ดินลาดชัน หรือที่ดินที่มีปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ จะมีราคาถูกกว่าที่ดินที่มีสภาพดี . . อ้างอิงจาก: – DDproperty – Bangkok CitiSmart – กรมธนารักษ์   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ราคาที่ดิน #ราคาประเมินที่ดิน

พาส่องเบิ่่ง จังหวัดไหนในอีสาน มีก๊าซโอโซน มากที่สุด

“ฮู้บ่ว่า?โอโซนในอีสานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ส่งผลต่อสุขภาพเรามากกว่าที่คิด จากปัญหาระบบทางเดินหายใจสู่โรคร้ายแรง . โอโซน เป็นก๊าซชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ทั้งในชั้นบรรยากาศและใกล้พื้นผิวโลก แต่โอโซนที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพคือโอโซนใกล้พื้นดิน (Ground-level ozone) ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารมลพิษที่ปล่อยออกจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม และแหล่งเผาไหม้อื่น ๆ กับแสงแดด โอโซนใกล้พื้นดินมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก โดยเฉพาะในภาคอีสานของประเทศไทยที่พบว่าปริมาณโอโซนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี . ภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศทั้งจากการขนส่งทางบกและการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม เมื่อโอโซนสะสมมากขึ้นในบรรยากาศ มันสามารถส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคปอดหรือโรคหัวใจอยู่แล้ว การสัมผัสกับโอโซนในระดับสูงเป็นเวลานานสามารถทำให้เกิดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ อาการหายใจถี่ แน่นหน้าอก หรืออาการไออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ โอโซนยังสามารถทำให้การทำงานของปอดลดลงและทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และหืด . เมื่อดูปริมาณก๊าซโอโซนในรายจังหวัดจะพบว่าจังหวัด มุกดาหารที่มีค่าก๊าซโอโซนมากที่สุด มีเพียง 42 PPB ที่เทียบเป็นรายปี ซึ่งถือได้ว่ามีค่าไม่ได้สูงมากนัก ตามมาตราฐานที่ประเทศไทยกำหนดที่อยู่ในระดับอันตรายนั้นจะต้องมีค่าใกล้กับ 70 PPB เทียบรายเฉลี่ย8ชั่วโมง . โดยสามารถตรวจสอบค่าก๊าซและฝุ่นละออง ด้วยตัวเองได้ทาง ลิงก์เว็บไซต์ Click . ที่มา สำนักงานสถิติแห่งชาติ . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #แวดล้อมอีสาน

🔎พาสำรวจเบิ่ง ชื่อหมู่บ้านมีคำว่า “ดอน” กระจายอยู่ไหนบ้าง🏠

🔎พาสำรวจเบิ่ง ชื่อหมู่บ้านมีคำว่า “ดอน” กระจายอยู่ไหนบ้าง🏠 . . ในการตั้งชื่อหมู่บ้านของคนโบราณส่วนใหญ่นิยมเลือกเป็นที่อยู่อาศัยในอดีต ได้แก่ เนิน โนน โพน โคก ดอน ควน . หมู่บ้านที่มีคำว่า ดอน พบกระจายตัวอยู่ประปรายในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดลำปางและน่าน ส่วนที่กระจุกตัวกันอย่างหนาแน่นพบบริเวณฝั่งตะวันตกของที่ราบลุ่มภาคกลาง ประชิดแนวเทือกเขาถนนธงชัย และอีกหนึ่งพื้นที่ที่น่าสนใจ คือ พื้นที่ระหว่างแม่น้ำมูลตอนบนและแม่น้ำชีตอนล่างของภาคอีสาน รวมไปถึงตลอดแนวภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ก็พบหมู่บ้านที่มีคำว่า ดอน เช่นกัน โดยเฉพาะแถบจังหวัดนครศรีธรรมราชและสงขลา . หมู่บ้านที่ใช้คำว่า “ดอน”  มีลักษณะเป็นพื้นที่ที่มีความลาดชันจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง และอาจมีเพียงเนินเล็กๆ เตี้ยๆ เป็นศูนย์กลางของพื้นที่หมู่บ้าน . ธรณีวิทยา “ดอน”  . ผลจากการชนและบีบอัดกันของแผ่นเปลือกโลกในอดีตนานมากแล้ว ทำให้พื้นแผ่นดินอีสานซึ่งประกอบไปด้วยชั้นหินทรายเป็นส่วนใหญ่เกิด การคดโค้งโก่งงอของหิน (folding) ทำให้ภาคอีสานมีภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นแบบที่เรียกว่าที่ ราบลูกฟูก หรือ เนินลูกระนาด ซึ่งแนวเทือกเขาภูพาน แถบสกลนคร เป็นตัวอย่างชัดเจนที่เกิดและยกตัวเป็นภูเขาขึ้นมาได้จากการคดโค้งโก่งงของหินเช่นกัน กลายเป็นภูมิประเทศโดยส่วนใหญ่ทั่วภาคอีสาน . อย่างไรก็ตาม จากกระบวนการกวัดแกว่งโค้งตวัดของทางแม่น้ำมูลและแม่น้ำชี ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของพื้นที่ โดยธรรมชาติของกระบวนการทางน้ำ จะทำให้เกิดการปรับราบพื้นที่ กลายเป็น ที่ราบน้ำท่วมถึง (floodplain) ด้วยเหตุนี้ หมู่บ้านที่มีคำว่า “ดอน” จึงกระจายตัวอยู่ในภาคอีสาน ตามลักษณะภูมิประเทศดั้งเดิมที่เกิดจากการคดโค้งโก่งงอของหิน ยกเว้นพื้นที่ราบน้ำท่วมถึง ที่ได้รับการปรับพื้นที่ราบ จากกระบวนการทางน้ำของแม่น้ำมูลและแม่น้ำชี . . ตัวอย่างชื่อหมู่บ้านที่มีคำว่า “ดอน” – บ้านดอนกอย ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร – บ้านดอนน้อย ต.ดอนหญ้านาง อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ – บ้านดอนมัน ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม – บ้านดอนบม ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.ขอนแก่น – บ้านดอนหมู ต.ขามเปี้ย อ.ตระการพืชผล จ.ดอุบลราชธานี – บ้านดอนยาวน้อย ต.วังหิน อ.โนนแดง จ.นครราชสีมา – บ้านดอนแดง ต.เชียงขวัญ อ.เชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด – บ้านดอนนาดี ต.บ้านขาม อ.เมืองหนองบัวลำภู จ.หนองบัวลำภู  . . อ้างอิงจาก: – มิตรเอิร์ธ – mitrearth   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook …

🔎พาสำรวจเบิ่ง ชื่อหมู่บ้านมีคำว่า “ดอน” กระจายอยู่ไหนบ้าง🏠 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง สถิติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน💥🚙

พามาเบิ่ง สถิติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน💥🚙 . 🤕จากสถิติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละจังหวัด ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2567 พบว่ามีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก และยังสะท้อนถึงปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข ไม่เพียงแต่เพื่อรักษาชีวิตของประชาชน แต่ยังเพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย . ภาคอีสานมีจำนวนผู้บาดเจ็บสูงถึง 139,000 ราย และผู้เสียชีวิต 2,824 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในบรรดาภูมิภาคอื่นๆ อาจเนื่องมาจากเป็นภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นและสภาพการจราจรที่ซับซ้อนจะมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่สูงขึ้น . และจังหวัดที่มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงที่สุดในภาคอีสานคือ จังหวัดนครราชสีมา ด้วยตัวเลขผู้เสียชีวิต 343 ราย และผู้บาดเจ็บมากถึง 24,563 ราย และนอกจากนี้ยังมีจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เช่น จังหวัดอุดรธานี ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 236 ราย และ จังหวัดอุบลราชธานี ถึงแม้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตเพียง 177 ราย แต่มีจำนวนผู้บาดเจ็บสูงถึง 14,605 ราย ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึงปัญหาในการใช้รถใช้ถนนในภาคอีสานที่ยังคงมีอยู่สูง . 🚨🚘อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในภาคอีสานคือ การขับขี่โดยประมาท รวมไปถึงการขับรถเร็วเกินกำหนด การไม่สวมหมวกนิรภัยหรือคาดเข็มขัดนิรภัย และการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนหรือขณะขับขี่ แม้ว่าทางภาครัฐจะมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง แต่พฤติกรรมเหล่านี้ยังพบเห็นได้บ่อย ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก . ทั้งนี้เราขอให้ทุกท่านขับขี่ปลอดภัย ปราศจากแอลกอฮอล์ และสวมหมวกนิรภัยหรือคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและผู้อื่น . หมายเหตุ : เป็นข้อมูล ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2567 . ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #อุบัติเหตุ #การจราจร

พามาเบิ่ง👩‍🎓👩‍🔧 ค่าแรงขั้นต่ำในประเทศเฮาและเพื่อนบ้าน GMS เฮา

พามาเบิ่ง👩‍🎓👩‍🔧 ค่าแรงขั้นต่ำในประเทศเฮาและเพื่อนบ้าน GMS เฮา . 👷ค่าแรงขั้นต่ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) เช่น ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา ซึ่งมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีที่ผ่านมาเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อและเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน จากตารางแสดงให้เห็นว่า 🇨🇳ประเทศจีนมีค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 401.75 บาทต่อวัน หรือ 12,454.20 บาทต่อเดือน 🇹🇭ในขณะที่ประเทศไทย (ภาคอีสาน) มีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 343.45 บาทต่อวัน ซึ่งเทียบเป็นรายเดือนแล้วประมาณ 10,646.95 บาท 🇲🇲ส่วนประเทศเมียนมามีค่าแรงขั้นต่ำต่ำสุดในกลุ่มนี้ที่ 109.02 บาทต่อวัน หรือประมาณ 3,379.62 บาทต่อเดือน เด้อ . ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของค่าแรงในแต่ละประเทศซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานค่าครองชีพและสภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอย่างต่อเนื่องเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่แต่ละประเทศใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและรักษาสิทธิของแรงงาน ในระดับปัจเจกบุคคล: คุณค่าของแรงงาน: ค่าจ้างสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่ตลาดให้กับทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ยิ่งมีทักษะที่ตลาดต้องการมากเท่าไหร่ ค่าจ้างก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเท่านั้น มาตรฐานการครองชีพ: ค่าจ้างเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดมาตรฐานการครองชีพของคนเรา ว่าสามารถซื้อสินค้าและบริการอะไรได้บ้าง รวมถึงคุณภาพชีวิตโดยรวม แรงจูงใจในการทำงาน: ค่าจ้างที่เหมาะสมเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้คนเราอยากทำงานและพัฒนาตนเอง ในระดับองค์กร: ประสิทธิภาพการผลิต: ค่าจ้างที่เหมาะสมจะช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและคุณภาพของสินค้าหรือบริการ ต้นทุนการผลิต: ค่าจ้างเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิต หากค่าจ้างสูงขึ้น ก็อาจส่งผลต่อราคาขายสินค้าหรือบริการ ความสามารถในการแข่งขัน: ค่าจ้างที่สูงเกินไปอาจทำให้บริษัทขาดความสามารถในการแข่งขัน ในขณะที่ค่าจ้างที่ต่ำเกินไปอาจทำให้ขาดแรงงานที่มีคุณภาพ ในระดับสังคม: ความเหลื่อมล้ำทางรายได้: การกระจายตัวของค่าจ้างสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในสังคม สถานการณ์เศรษฐกิจ: การเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างโดยเฉลี่ยสามารถบ่งบอกถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศได้ เช่น ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว ค่าจ้างโดยเฉลี่ยมักจะเพิ่มขึ้น นโยบายเศรษฐกิจ: นโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เช่น การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ หรือมาตรการส่งเสริมการจ้างงาน จะมีผลต่อระดับและการกระจายตัวของค่าจ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าจ้าง ทักษะและประสบการณ์: ยิ่งมีทักษะและประสบการณ์สูง ค่าจ้างก็ยิ่งสูงขึ้น อุปสงค์และอุปทานของแรงงาน: หากอุปสงค์ของแรงงานในสาขาใดสาขาหนึ่งสูง แต่ปริมาณแรงงานมีจำกัด ค่าจ้างในสาขานั้นก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้น ค่าครองชีพ: ค่าจ้างมักจะปรับตัวตามค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น กฎหมายและนโยบาย: กฎหมายแรงงานและนโยบายของรัฐบาลมีผลต่อการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและสวัสดิการต่างๆ ที่ลูกจ้างได้รับ อำนาจต่อรอง: อำนาจต่อรองของลูกจ้างและนายจ้างมีผลต่อการกำหนดระดับค่าจ้าง สรุป ค่าจ้างแรงงานเป็นตัวแปรที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง การวิเคราะห์ค่าจ้างจึงต้องพิจารณาในบริบทที่หลากหลาย ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล องค์กร และสังคม . ที่มา เว็ปไซต์ vdb-loi,prd.co.th,vietnam.incorp,b2b-cambodia,atlashxm,chinalegalexperts . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight . #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #ISANxGMS #เพื่อนบ้านอีสาน

พามาเบิ่ง👩‍🌾พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่

พามาเบิ่ง👩‍🌾พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ . . การเกษตรของไทยก้าวหน้าไปไกลมาก ด้วยแนวทาง เกษตรทฤษฎีใหม่ ที่เกิดขึ้นในแต่ละตำบลทั่วประเทศ โครงการนี้เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการเกษตรที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตของประเทศไทย . ในภาคภาคอีสาน ของเราเป็นแหล่งสำคัญของเกษตรกรไทย เรามีการดำเนินโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ในหลายจังหวัด ข้อมูลล่าสุดจากโครงการนี้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจน เช่น . 1⃣.จังหวัดนครราชสีมา: มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการถึง 3,307 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 11,768.5 ไร่ โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละครัวเรือนมีพื้นที่การเกษตรประมาณ 3.6 ไร่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ 2⃣.จังหวัดอุดรธานี: ก็ไม่แพ้กัน โดยมีเกษตรกรถึง 3,929 ครัวเรือน ทำการเกษตรบนพื้นที่ทั้งหมด 15,540 ไร่ พื้นที่เฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 4.0 ไร่ แสดงถึงการขยายตัวของการทำเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่นี้ 3⃣.สกลนคร: อีกหนึ่งจังหวัดที่โดดเด่น มีเกษตรกร 2,311 ครัวเรือน ใช้พื้นที่ทำเกษตรกว่า 8,567 ไร่ พื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3.7 ไร่ต่อครัวเรือน . โครงการนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นในภาคอีสานเท่านั้น แต่ยังขยายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เช่น 🌳 ภาคกลาง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่สำคัญของการเกษตรไทย มีเกษตรกรเข้าร่วมถึง 2,741 ครัวเรือน ใช้พื้นที่การเกษตรถึง 10,003 ไร่ เฉลี่ย 3.6 ไร่ต่อครัวเรือน 🌳 ภาคใต้ มีพื้นที่การเกษตร 5,966 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วม 1,816 ครัวเรือน โดยแต่ละครัวเรือนมีพื้นที่เฉลี่ย 3.3 ไร่ . โครงการนี้มุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงชีพได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นี่จึงเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาภาคเกษตรไทย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย   หมายเหตุ: ข้อมูลถึง มีนาคม 2567 . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เกษตรทฤษฎีใหม่ #เกษตรยั่งยืน #เกษตรอีสาน #พัฒนาท้องถิ่น #1ตำบล1กลุ่ม #เกษตรกรอีสาน

Scroll to Top