Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่?

  ปัจจุบันภาคอีสานในหลายๆ พื้นที่ กำลังจะมีโครงการใหญ่ๆ ที่หลายคนเฝ้ารอ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ สะพาน สนามบิน และอื่นๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีบางโครงการที่ได้มีการประกาศว่าจะเกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันกลับเงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงสัยให้กับคนพื้นที่ว่า ‘สรุปโครงการนี้จะเอายังไงกันแน่’ เราขอหยิบยกมานำเสนอ 2 โครงการ ได้แก่… ศูนย์การแพทย์ สถาบันพระบรมราชชนก วิทยาเขตอุดรธานี🏥 : หลายคนคงเคยได้ยินว่า อุดรฯ กำลังจะมีโรงเรียนเพื่อพัฒนาบุคลากรแพทย์ รวมไปถึงเป็นโรงพยาบาล ภายใต้งบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งตามกำหนดการจะใช้เวลาก่อสร้างในช่วง 2565 – 2567 แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับชาวบ้านในเขต ต.สามพร้าว ขึ้น ทำใหโครงการหยุดชะงัก ซึ่งปัจจุบันตัวก็ยังไม่มีการอัพเดตใดๆ จนคนอุดรหลายคนสงสัยไปตามๆ กันว่าศูนย์การแพทย์แห่งนี้จะได้ไปต่อหรือไม่🤔 ท่าอากาศยานมุกดาหาร ✈️: สนามบินมุกดาหาร เป็นโครงการที่ไม่เชิงว่าเงียบไป แต่ทำให้คนมุกนั้นสับสนกันพอสมควร ซึ่งตามแผนเดิมนั้นจะมีการก่อสร้างและเปิดใช้งานในปี 2571 แต่ในช่วงปลายเดือน เม.ย. 68 รมว.คมนาคม ในขณะนั้น รายงานว่ายังไม่มีนโยบายก่อสร้างสนามบินมุกดาหาร เนื่องจากหลายอย่างยังไม่พร้อม และอาจไม่คุ้มค่าทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ได้ออกมายืนยันว่าการก่อสร้างสนามบินมุกดาหารจะเดินหน้าต่อแน่นอน เพียงแต่ต้องทบทวนความพร้อมหลายๆ อย่างก่อน   ใครที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียง หรือติดตามเรื่องนี้อยู่ หรือมีโครงการอื่นๆ ของภาคอีสานในลักษณะที่ไม่รู้ว่าจะไปได้ต่อหรือไม่ มาแสดงความเห็นกันได้นะคะ ✍️ ที่มา: ศูนย์อนามัยที่ 8 อุดรธานี, สำนักข่าวชายขอบ, เดลินิวส์, สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่? อ่านเพิ่มเติม »

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย”

สุจินดา เชิดชัย หรือ “เจ๊เกียว” เดิมชื่อ “คาเกียว” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเมื่ออายุ 9 ขวบ เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรคนที่ 6 ของครอบครัว แม้จะเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ที่ 1 แต่กลับต้องหยุดเรียนเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะมารดาไม่อนุญาตให้เรียนต่อ หลังจบการศึกษา เจ๊เกียวเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากการเป็นแม่ค้าขายของตามสถานีรถไฟ ก่อนต่อยอดด้วยการเรียนตัดเสื้อ และเปิดโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อผ้า กระทั่งได้แต่งงานกับ นายวิชัย เชิดชัย (เฮียไช) เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจเดินรถโดยสาร จากจุดเล็ก ๆ นั้น เจ๊เกียวได้ขยายกิจการจนกลายเป็น เจ้าของสัมปทานรถโดยสารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ภายใต้ชื่อ “เชิดชัยทัวร์” ที่ดำเนินธุรกิจรถร่วม บขส. มานานกว่า 65 ปี มีรถกว่า 200 คัน วิ่งให้บริการครอบคลุมทั้งภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ นอกจากบทบาทนักธุรกิจ เจ๊เกียวยังดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วม บขส. และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าโดยสารในช่วงราคาน้ำมันพุ่งสูง อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 เจ๊เกียวเคยจะประกาศเตรียมเลิกกิจการรถทัวร์ และขายบริษัทเชิดชัยทัวร์ออกไป โดยให้เหตุผลว่าได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้โดยสารที่เปลี่ยนไป หลายคนหันมาขับรถส่วนตัว หรือเลือกใช้สายการบินโลว์คอสต์แทน เนื่องจากค่าโดยสารใกล้เคียงกันแต่ใช้เวลาเดินทางสั้นกว่า ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา “รถโดยสารระหว่างจังหวัด” เคยเป็นเส้นเลือดหลักของระบบคมนาคมไทย เชื่อมต่อเมืองใหญ่กับต่างจังหวัดทั่วประเทศ แต่เมื่อพฤติกรรมการเดินทางของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังการมาของ สายการบินต้นทุนต่ำ (Low-Cost Airline) และการที่ประชาชนหันมาใช้ รถยนต์ส่วนตัว กันมากขึ้น ธุรกิจเดินรถบัสสาธารณะจึงเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การเข้ามาของสายการบินต้นทุนต่ำ เช่น แอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ หรือไทยเวียดเจ็ท ทำให้การเดินทางทางอากาศไม่ใช่เรื่องของคนมีฐานะอีกต่อไป ราคาตั๋วเครื่องบินที่เคยอยู่หลักพันปลาย กลับลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถโดยสารวีไอพี โดยเฉพาะเมื่อมีโปรโมชั่น “บินถูกหลักร้อย” ออกมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้โดยสารจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว และพนักงานบริษัท ที่ต้องการประหยัดเวลาในการเดินทาง เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ที่เครื่องบินใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่รถบัสต้องใช้เวลากว่า 8 – 10 ชั่วโมง เมื่อเวลามีค่ามากขึ้น การจ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อแลกกับความรวดเร็วและความสะดวกสบายจึงกลายเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” สำหรับหลายคน ผลที่ตามมาคือ เส้นทางระยะไกลหลายสายของผู้ประกอบการเดินรถเริ่มมีผู้โดยสารลดลงอย่างต่อเนื่อง จนต้องลดจำนวนเที่ยวหรือยกเลิกบางเส้นทาง เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กดดันธุรกิจรถบัสคือ การใช้รถยนต์ส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากความสะดวกในการผ่อนรถ ราคาน้ำมันที่ทรงตัว และถนนที่เชื่อมต่อทั่วถึงมากขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวหรือเพื่อนร่วมทาง มองว่าการขับรถเอง

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย” อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ

ในปี 2567 ประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งหมด โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ยังคงมี “สัดส่วนคนจนสูง” แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะเริ่มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางในระดับครัวเรือนกลับยิ่งชัดเจนขึ้น โดยจังหวัด อุบลราชธานี และ ศรีสะเกษ กลายเป็นตัวแทนของภาพเศรษฐกิจอีสานในปัจจุบัน ทั้งคู่ติดอันดับ Top 10 จังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดของไทย โดยอุบลราชธานีมีสัดส่วนคนจนกว่า 20.34% ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด ส่วนศรีสะเกษอยู่ที่ 14.08% สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก แม้จะอยู่ในภูมิภาคที่อุดมด้วยทรัพยากรและพรมแดนการค้า แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกลับไม่กระจายสู่ชุมชนอย่างเท่าเทียมนั่นเอง เศรษฐกิจอีสานส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก แรงงานกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในภาคเกษตร โดยเฉพาะการทำนา ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด สินค้าหลักที่สามารถสร้างรายได้กลับผันผวนและพึ่งพาธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่แน่นอนของฝน ความเสียหายจากน้ำท่วมซ้ำซาก และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น กลายเป็น “กับดักรายได้ต่ำ” ที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถสะสมทุนเพื่อหลุดพ้นจากความยากจนได้ อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูง รายได้ที่ไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มที่ ขณะเดียวกัน โอกาสทางเศรษฐกิจในอีสานยังถูกจำกัดด้วย โครงสร้างการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่เอื้อให้เกิดธุรกิจสมัยใหม่ การลงทุนภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวในภาคกลางและภาคตะวันออก ขณะที่ภาคอีสานแม้จะมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์มหาศาล โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนอย่างมุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี ที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาวและกัมพูชา แต่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยังไม่ต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมหรือบริการได้อย่างแท้จริง . แรงงานจำนวนมากจึงเลือกเดินทางออกจากภูมิภาคไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อหารายได้สูงกว่า ผลคือ “เศรษฐกิจท้องถิ่นขาดแรงหมุนเวียน” เงินรายได้จากแรงงานอีสานที่ส่งกลับบ้านในรูปของเงินโอน แม้จะช่วยเลี้ยงครัวเรือนในระยะสั้น แต่ไม่ได้สร้างการเติบโตในระยะยาว เมื่อคนหนุ่มสาวย้ายถิ่น แรงงานในพื้นที่จึงเหลือเพียงผู้สูงอายุและแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งอีสานคือ โครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอีสานมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 28.4% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาค ซึ่งหมายความว่าภาคแรงงานจะยิ่งหดตัวลง และภาระการดูแลสังคมจะเพิ่มขึ้น  เมื่อเศรษฐกิจพึ่งเกษตร รายได้ไม่แน่นอน การลงทุนต่ำ และโครงสร้างประชากรเปลี่ยน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ได้กลายเป็น “วงจรความยากจนเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้ภาคอีสานของเราที่แม้จะมีศักยภาพ แต่ไม่อาจก้าวทันภูมิภาคอื่นของประเทศนั่นเอง อีสานมีศักยภาพมหาศาลทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน วัฒนธรรม และภูมิรัฐศาสตร์ หากได้รับการพัฒนาอย่างมีทิศทาง อีสานจะไม่ใช่เพียง “ภูมิภาคแห่งความยากจน” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ภูมิภาคแห่งพลังใหม่ของเศรษฐกิจไทย” ที่เติบโตบนฐานความยั่งยืนและภูมิปัญญาท้องถิ่น   อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. – ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “วิกฤตทางการศึกษา” ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตัวเลขจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปี 2567 พบว่า จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุดในประเทศกลับไม่ใช่เขตเศรษฐกิจหลัก แต่เป็นพื้นที่ชายขอบและชนบท อย่างเช่น แม่ฮ่องสอน นราธิวาส และโดยเฉพาะ ภาคอีสาน ที่ติดอันดับถึง 8 จังหวัดจาก 10 อันดับแรก ไม่ว่าจะเป็น นครพนม อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ยโสธร มุกดาหาร ศรีสะเกษ และสกลนคร โดยเด็กในพื้นที่เหล่านี้กว่า 35-40% มาจากครัวเรือนยากจนพิเศษ ซึ่งหมายความว่าแทบทุก 3-4 คน จะมี 1 คนที่ขาดปัจจัยพื้นฐานต่อการเรียนรู้นั่นเอง เบื้องหลังปัญหานี้คือ โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง โดยภาคอีสานยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก เผชิญภัยแล้ง ราคาผลผลิตผันผวน และขาดอุตสาหกรรมมูลค่าสูง จึงสร้างรายได้ที่ไม่มั่นคง ขณะเดียวกัน ครัวเรือนจำนวนมากมีการศึกษาสูงสุดเพียงระดับประถม ทำให้ขาดความสามารถในการสนับสนุนลูกหลานด้านการเรียน การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา เช่น โรงเรียนที่มีครูครบวิชา ห้องสมุด และเทคโนโลยีดิจิทัล ยิ่งซ้ำเติมช่องว่างเหล่านี้ เมื่อเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอหรือเท่าที่ควรจะเป็น โอกาสหลุดออกนอกระบบการศึกษาจึงสูง และเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็ถูกจำกัดให้ทำงานรายได้ต่ำในระบบเศรษฐกิจที่อาจไม่ก้าวหน้านั่นเอง วิกฤตนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาสังคม แต่คือ ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ที่ส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตของประเทศ การที่เด็กในภูมิภาคใหญ่ที่สุดของไทยขาดการศึกษาที่มีคุณภาพ คือสัญญาณว่าประเทศกำลังสูญเสีย “ทุนมนุษย์” (human capital) ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในอนาคต ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคอื่นเร่งพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล เด็กไทยจำนวนมากกลับยังติดอยู่กับความเหลื่อมล้ำพื้นฐาน หากรัฐและสังคมไม่ลงทุนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เราอาจต้องเผชิญกับวงจร “จน–ขาดโอกาส–ไม่มีศักยภาพแข่งขัน” ที่กัดกินทั้งสังคมและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว อย่างไรก็ตาม แม้การศึกษาจะเป็นปัจจัยสำคัญและถือเป็น “ใบเบิกทาง” ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงอาชีพ รายได้ และความก้าวหน้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งของอนาคต โลกความจริงเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้ที่ไม่ได้เรียนจบสูง แต่สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และสร้างรายได้มหาศาลได้ด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้าเสี่ยง การศึกษาไม่ใช่คำตอบเดียว หากเป็นสะพานที่ช่วยให้การเดินทางไปถึงฝั่งฝันง่ายขึ้น ขณะที่บางคนเลือกสร้างเรือของตนเองแล้วฝ่าคลื่นออกไป ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกันนั่นเอง ดังนั้น บทความนี้ไม่ได้ต้องการสรุปว่า ใครที่ยากจนหรือขาดการศึกษาในระบบจะต้องล้มเหลวในชีวิต หากแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า หากรัฐและสังคมละเลยเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เราอาจจะต้องสูญเสียศักยภาพมหาศาลจากเด็กจำนวนมากที่พร้อมจะเป็นพลังสำคัญของชาติ การศึกษาคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเปิดประตูโอกาส แม้ไม่การันตีความสำเร็จ แต่การมีโอกาสย่อมดีกว่าการถูกปิดกั้นตั้งแต่แรกเริ่ม   อ้างอิงจาก: – กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) – รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2567 – สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) – Thai PBS. – SDG Move.  – มติชนสุดสัปดาห์ – Cheewid Blog – Postjung   ติดตาม ISAN Insight &

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน

ฮู้บ่ว่า จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ ภายใต้แนวคิด “ทรัมป์ 2.0” ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนถึงการตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงต่อสินค้าจากจีน ได้ส่งผลให้จีนต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การส่งออกครั้งสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญต่อพลวัตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค โดยจีนที่มีการเร่งการส่งออกเข้าสู่สหรัฐฯต้นปี เริ่มชะลอตัวและหันมาส่งออกสู่ตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งมูลค่าการส่งออกโดยตรงจากจีนไปยังสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 215,909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงถึง 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (241,587 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การหดตัวนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนและผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบรุนแรงจากต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้น และลดการค้าโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและต้นทุนจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ยุทธศาสตร์ตอบโต้ของจีน: ใช้ “อาเซียน” เป็นฐานทัพใหม่ เมื่อประตูการค้าสู่สหรัฐฯ แคบลง จีนไม่ได้ยอมจำนน แต่เลือกใช้กลยุทธ์ “เบนเข็ม” โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งมีพรมแดนติดกันและมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจสูง การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของจีนมายังภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด: ภาพรวมอาเซียน: การส่งออกของจีนมายังอาเซียน เติบโตขึ้น 12.2% กัมพูชา: เติบโตสูงสุดถึง +24.0% ไทย: เติบโต +20.2% เวียดนาม: เติบโต +20.0% ซึ่งนัยนึงอาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนถึง “ทางเลี่ยง” ในการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ไม่ได้หมายความว่าสินค้าจีนทั้งหมดจะถูกบริโภคภายในอาเซียนเท่านั้น แต่มีนัยสำคัญเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์นี้ คือ “การใช้ประเทศที่สามในการสวมสิทธิสินค้า กระบวนการนี้ทำงานได้จากการ ส่งชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished goods) หรือวัตถุดิบมายังโรงงานในประเทศอาเซียน เช่น ไทย หรือ เวียดนาม และถูกนำมาผ่านกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า ให้กลายเป็น “Made in Thailand” หรือ “Made in Vietnam” สรุป: แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การย้ายตลาด แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก” ครั้งใหญ่ โดยมีสงครามการค้าเป็นตัวเร่ง ประเทศไทยและอาเซียนกำลังอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับทั้งโอกาสและความท้าทาย การวางนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสมดุล จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับภูมิทัศน์การค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

“ช่องอานม้า” ลุกเป็นไฟ🔥ทบ.เตือนอย่าตกหลุม “กัมพูชายิงยั่วยุ” หวังปั่นภาพบนเวทีโลก⁉️ พาเปิดพิกัดเบิ่ง เขมรเสริมกำลัง จ่อประชิดชายแดนไทย

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 บริเวณช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเหตุความตึงเครียดระหว่างหน่วยปฏิบัติการของทั้งสองฝ่ายในช่วงเวลากลางวัน โดยสื่อรายงานเหตุการณ์ว่าเวลาประมาณ 12.03 น. ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนกลมือและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามายังแนวป้องกันของไทย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยจะมีการตอบโต้ด้วยอาวุธชนิดเดียวกันและสถานการณ์คลี่คลายลงในประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา อย่างไรก็ตาม เพจอย่างเป็นทางการของกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นการ “ยิงยั่วยุ” จากฝั่งกัมพูชา และยืนยันว่าไทยไม่ได้เปิดการปะทะในเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมขอให้ประชาชนเชื่อถือข้อมูลจากช่องทางทางการเท่านั้น พฤติกรรมการใช้ปืนกลและเครื่องยิงลูกระเบิดในช่วงเวลากลางวัน รวมทั้งการตั้งกล้องบันทึกภาพบริเวณฐานปฏิบัติการ ของกัมพูชานั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการปะทะครั้งนี้อาจมีเป้าประสงค์ทางการประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างภาพเหตุการณ์สาธารณะหรือไม่? ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าเป็นความพยายาม “สร้างเงื่อนไข” ให้สอดคล้องกับการเดินทางของคณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ชายแดนในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปะทะเชิงทหารเท่านั้น แต่ยังผูกโยงกับการต่อสู้ในมิติสื่อและการเมืองระหว่างประเทศ โดยเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ก็ส่งผลกระทบในระดับท้องถิ่นที่ชัดเจน ชุมชนชายแดน/ตลาดชายแดน พ่อค้าแรงงานรายวัน เกษตรกรที่นำผลผลิตมาจำหน่าย และผู้ประกอบการขนส่ง จะได้รับผลกระทบทันทีจากการชะงักของกิจกรรมการค้าข้ามพรมแดน การปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว หรือการจำกัดการสัญจรของประชาชนย่อมทำให้รายได้วันต่อวันลดลง โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กและแรงงานนอกระบบซึ่งมีสภาพคล่องน้อย ผลกระทบเหล่านี้แม้จะไม่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจระดับชาติ แต่สำหรับชุมชนชายแดนแล้วสามารถแปลเป็นการสูญเสียทางรายได้ และแรงกดดันต่อการดำรงชีพภายในพื้นที่ได้ทันทีนั่นเอง ระยะเวลาของความตึงเครียดและระดับการบานปลายเป็นตัวกำหนดขนาดของความเสียหาย หากเหตุการณ์คลี่คลายเร็วและการสื่อสารทางการเป็นไปอย่างโปร่งใส ผลกระทบจะจำกัดอยู่ที่การชะงักชั่วคราวของการค้าและการท่องเที่ยวท้องถิ่น แต่หากมีการปะทะซ้ำหรือยืดเยื้อ จะเกิดค่าใช้จ่ายทางการทหารที่เพิ่มขึ้น งบประมาณท้องถิ่นต้องถูกเบียดบังไปสู่การรักษาความปลอดภัย การลงทุนหรือโครงการพัฒนาพื้นที่จะชะลอหรือลดขนาด นอกจากนี้ความไม่แน่นอนที่ยาวนานย่อมเพิ่ม “ความเสี่ยง” ทำให้ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศชะลอการตัดสินใจในโครงการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ใกล้ชายแดน ส่งผลต่อการจ้างงานและการเติบโตของเศรษฐกิจระดับภูมิภาคนั่นเอง เหตุการณ์ช่องอานม้าที่เกิดขึ้นเมื่อ 27 กันยายน 2568 แม้จะมีลักษณะจำกัดวง แต่สะท้อนความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนที่ผูกโยงกันทั้งมิติทหาร สื่อสาร และเศรษฐกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจแม้จะเน้นหนักในระดับท้องถิ่น แต่หากปล่อยให้ความไม่แน่นอนสะสมก็ย่อมขยายเป็นปัญหาระดับภูมิภาคได้ การสร้างความรัดกุมด้านความมั่นคง การสื่อสารเชิงรับผิดชอบ และมาตรการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับชุมชนชายแดน จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ต่อไป   อ้างอิงจาก: – กองทัพบก ทันกระแส – ประชาชาติธุรกิจ – ข่าวช่อง8 – PPTVHD 36   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ช่องอานม้า #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชา

“ช่องอานม้า” ลุกเป็นไฟ🔥ทบ.เตือนอย่าตกหลุม “กัมพูชายิงยั่วยุ” หวังปั่นภาพบนเวทีโลก⁉️ พาเปิดพิกัดเบิ่ง เขมรเสริมกำลัง จ่อประชิดชายแดนไทย อ่านเพิ่มเติม »

🔎“รากาซา” ทำอีสานฝนตกหนักมาก พาเปิดเบิ่ง แผนที่ “น้ำท่วม 10 ปี” และพื้นที่เสี่ยง☔️⛈️

⛰️จากการประมวลความถี่ของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  พบว่าในช่วงหนึ่งอายุของคนที่เกิดในปี 2563 จะมีโอกาสเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากกว่าคนที่เกิดในปี 2503 ถึง 3 เท่า  โดยรายงานการค้าและการพัฒนา (Trade and Development Report 2021) จัดทำโดย UNCTAD ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 2543 – 2562 ทั่วโลกเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ จำนวน 7,348 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไป 1.23 ล้านคน ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกกว่า 4,200 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 2.97 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 101.75 ล้านล้านบาท ⛈️เมื่อปี 2554 ประเทศไทยประสบกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี ส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของเคยไทยเกือบทุกภูมิภาคของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจได้รับความเสียหายอย่างมาก นับเป็นอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ☔️หากลงไปดูข้อมูลน้ำท่วมในภาคอีสาน ก็พบว่า ข้อมูลในปี 2567 ภาคอีสานมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 1.38 ล้านไร่ รวม 18 จังหวัดทั่วภาคอีสาน ยกเว้นจังหวัดมุกดาหารและเลยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยจังหวัดนครพนมมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมมากที่สุดประมาณ 221,706 ไร่ รองลงมาคือจังหวัดอุดรธานีและหนองคาย ที่มีพื้นที่ถูกน้ำท่วม 213,478 และ 206,727 ไร่  ​​หากเกิดน้ำท่วม ก็ย่อมกระทบตั้งแต่ต้นน้ำอย่างภาคเกษตร ซึ่งเป็นหัวใจหลักของอีสาน ไปจนถึงปลายน้ำอย่างการขนส่งสินค้าและตลาดท้องถิ่นที่ต้องหยุดชะงัก ผลกระทบเชิงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นตลาดสดและศูนย์กระจายสินค้าอาจขาดแคลนพืชผลการเกษตร ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อยต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่การเดินทางและการคมนาคมเชื่อมโยงไปยังจังหวัดเศรษฐกิจใหญ่ อย่างเช่น ขอนแก่น และนครราชสีมา อาจสะดุดและส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโดยรวม อีกทั้งภาวะน้ำท่วมยังบั่นทอนความเชื่อมั่นการลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและโลจิสติกส์ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นฐานหลัก   🌪️ในขณะนี้ เดือนกันยายน 2568 ไทยกำลังเผชิญสภาพอากาศแปรปรวนทั่วประเทศ โดยภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ เช่น พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ จันทบุรี และตราด ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ไม่พ้น มีฝนตกหนักบางแห่ง เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยภาคอีสาน มีฝนฟ้าคะนองถึง 80% ของพื้นที่ หลายจังหวัดเจอทั้งฝนหนักและลมแรง อาทิ เลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ และอีกหลายจังหวัด ควรเฝ้าระวังสถานการณ์ใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทาง เกษตรกรรม และชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   สัญญาณน้ำท่วมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องฝนตกหนักทั่วไป แต่กำลังกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ต่อทั้งเกษตรกรและประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย จากการวิเคราะห์ข้อมูล “พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 7 ปี”

🔎“รากาซา” ทำอีสานฝนตกหนักมาก พาเปิดเบิ่ง แผนที่ “น้ำท่วม 10 ปี” และพื้นที่เสี่ยง☔️⛈️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.มัธยมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน

จากข้อมูลที่อีสานอินไซต์พาเปิดโผ 3 อันดับโรงเรียนมัธยมที่มีนักเรียนมากที่สุดในแต่ละจังหวัดอีสาน เผยให้เห็นภาพการรวมตัวของ “สมองคนรุ่นใหม่” ที่กระจุกอยู่ในโรงเรียนใหญ่ใจกลางเมืองหลัก ไม่ว่าจะเป็น ขอนแก่นวิทยายนที่มีนักเรียนกว่า 4,554 คน, สุรนารีวิทยา จังหวัดนครราชสีมา 4,347 คน, หรืออุดรพิทยานุกูล 4,275 คน ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติด้านการศึกษาเท่านั้น แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่ลึกซึ้ง โดยโรงเรียนขนาดใหญ่นั่นก็สร้างข้อได้เปรียบในเรื่องการที่มีครูผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น หลักสูตรที่หลากหลาย และกิจกรรมเสริมทักษะที่ครบครัน แต่ในอีกมิติหนึ่งก็เผชิญความท้าทาย ทั้งความแออัด และการกระจายทรัพยากรที่ยังไม่ทั่วถึงนั่นเอง โรงเรียนเหล่านี้กลายเป็นศูนย์กลางชีวิตเมืองด้วยกัน ซึ่งก่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจรอบโรงเรียนนั่นเอง ตั้งแต่การขนส่ง ร้านอาหาร ร้านเครื่องแบบ ติวเตอร์ ไปจนถึงที่พักนักเรียน โรงเรียนจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่การเรียนรู้เท่านั้น แต่กลับยังมีความสำคัญของเศรษฐกิจบริเวณรอบโรงรียน และยังสะท้อนโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทร่วมลงทุนในการพัฒนาบริการทางการศึกษาและทักษะอาชีพได้มากขึ้น เมื่อมองในระยะยาว เด็กนักเรียนในภาคอีสานคือ “ทุนมนุษย์” ที่จะเติบโตเป็นแรงงานสมองของชาติไปอนาคตต่อไป พวกเขาเหล่านี้ต่างก็จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ไปจนถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกษตรต่างๆ ดังนั้นนโยบายการศึกษาจึงควรมุ่งกระจายทรัพยากรครูและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปถึงโรงเรียนชนบท สร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียน มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนเพื่อเปิดเส้นทางสู่อาชีพ และยกระดับโรงเรียนขนาดใหญ่ให้เป็นศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้นั่นเอง ดังนั้น การลงทุนในคุณภาพการศึกษามัธยมของอีสานวันนี้ คือการลงทุนใน “สมองอนาคต” ของประเทศ เพราะเด็กอีสานไม่ใช่เพียงผู้เรียน แต่คือพลังความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพการแข่งขัน ที่จะต่อยอดสู่ความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในวันหน้านั่นเอง   อ้างอิงจาก: – ข้อมูลสารสนเทศนักเรียน โรงเรียนสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #โรงเรียนมัธยม #โรงเรียนมัธยมในอีสาน #โรงเรียนในอีสาน 

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.มัธยมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 สรุปประเด็นหลัก #KeyInsights ผลพวงสงครามการค้า ดันสินค้าจีนทะลักเข้าไทย พุ่งจากปีก่อนหน้ากว่า 23% ผลักสัดส่วนต่อการนำเข้าจากจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้นกว่า 5% มูลค่าการนำเข้าจากจีน ผ่านสปป.ลาว ในปี 2568 (ม.ค. – ก.ค.) มีมูลค่ากว่า 156,247 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 24.2 % #สินค้าจีนทะลัก #ISANxGMS #เศรษฐกิจอีสาน ใช่ครับ ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือยืนยันว่า **สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ** โดยเป็นผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า . ฮู้บ่ว่า? ปี 2568 มีแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่เข้ามาในไทยมาขึ้น แม้ปีก่อนหน้าจะมีกระแสการทะลักเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว สะท้อนคลื่นสินค้าที่อาจเข้าระลอกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมจากผลของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ การทะลักของสินค้าจีน 3.0 ข้อมูล 7 เดือนล่าสุดของปี 2568  (มกราคม ถึง กรกฎาคม) ชี้ให้เห็นการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 23.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และโดยที่คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทยที่สูงถึง 30.3% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย   ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า แนวทางการเร่งการส่งออกมายังไทย และประเทศในแถบอาเซียนของจีน สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของการใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี จากข้อมูลของ Trad Map การส่งออก 2 ไตรมาสแรกจากจีนไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 12.2% โดยมีอัตราการเติบโตมากสุดในการส่งออกไปยัง กัมพูชา(24.2%) ไทย(20.2%) และเวียดนาม(20%)   ทะลักเข้าแดนอีสานโดยตรง “เส้นทางบกสายใหม่” ที่สินค้าจีนไม่ได้มาแค่ทางเรืออีกต่อไป แต่ยังทะลักผ่านลาวเข้าชายสู่ชายแดนฝั่งภาคอีสานโดยตรง ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจีนผ่านแดนสปป.ลาว สูงขึ้นถึง 24.2% จากข้อได้เปรียบด้านการขนส่งผ่านรถไฟลาวจีนที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งถูกขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขการขาดดุลการค้า แต่อาจสะท้อนถึงความเปราะบางของผู้ประกอบการและ SME ไทย ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้าต้นทุนต่ำกว่า การทะลักเข้ามาของสินค้าผ่านช่องทางใหม่นี้ยังเป็นการท้าทายศักยภาพการแข่งขันของผู้ค้ารายย่อยในระดับภูมิภาคโดยตรง รวมถึงปัญหาการสวมสิทธิของสินค้าที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยโดยตรง จึงอาจต้องมีการเข้ามาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดระเบียบและมาตรฐานของสินค้านำเข้า สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมผู้ประกอบการในประเทศ   สถิติการนำเข้าล่าสุด (ปี 2568 เทียบ ปี 2567) ตัวเลขการนำเข้า: ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 การนำเข้าสินค้าจากจีนมายังไทย เพิ่มขึ้นสูงสุดในอาเซียนที่ 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า [1] ขาดดุลการค้า: จากตัวเลขการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทย ขาดดุลการค้ากับจีนหนักขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 2.2 แสนล้านบาท [2] สินค้าที่ทะลักเข้ามา: สินค้าที่คาดว่าจะทะลักเข้ามามากที่สุดส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องใช้สำหรับโทรคมนาคมและอุปกรณ์เครือข่าย,

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 อ่านเพิ่มเติม »

เปิดสัญญาณ “วิกฤต”‼️ เมื่อภาคอีสานกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” และ “ชัยภูมิ” ได้คว้าแชมป์อันดับ 1 ของภาคไปครอง‼️

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ และมีการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสูงภายในไม่กี่ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากอัตราการเกิดที่ลดลงควบคู่กับอายุขัยที่ยาวนานขึ้น ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความท้าทายด้านสังคมและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสเชิงธุรกิจที่สำคัญในหลายมิติด้วยกัน จากข้อมูลจะเห็นได้ชัดว่าภาคอีสานหลายจังหวัดกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” (Aged Society) ซึ่งมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกิน 20% อีกทั้งปรากฏการณ์นี้สะท้อนทั้งวิถีชีวิตใหม่ของคนรุ่นปัจจุบันที่นิยมอยู่เป็นโสด มีลูกน้อยลง และการที่อัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด ก็ทำให้โครงสร้างประชากรกลับหัว การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อธุรกิจ เศรษฐกิจมหภาค และเสถียรภาพทางสังคม 5 อันดับจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากสุด – ชัยภูมิ 22.6% – เลย 22.4% – ขอนแก่น 22.2% – มหาสารคาม 22.0% – นครราชสีมา 21.8% ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าภาคอีสานของเราไม่ใช่แค่กำลังสูงวัยเท่านั้น แต่กำลังย้ายเข้าสู่ระยะที่ผลกระทบจะฝังแน่นในโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องจำนวนคนเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบความต้องการของผู้บริโภค โครงสร้างแรงงาน และภาระทางการคลังที่ต้องออกแบบใหม่ทั้งระบบนั่นเอง อีกทั้ง จากเดิมที่ประเทศไทยเคยอาศัยแรงงานต้นทุนต่ำและการผลิตเชิงปริมาณ ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและสุขภาพพุ่งสูงขึ้น ประเทศก็จะเผชิญกับรายได้ภาษีลดลงจากประชากรวัยทำงานน้อยลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นจากประชากรวัยสูงอายุที่ต้องการบริการทางการแพทย์และบำนาญ หากไม่ปรับโครงสร้างการคลัง ประเทศไทยอาจเข้าสู่ “กับดักการคลังสูงวัย” ที่ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการเบียดบังงบลงทุนเพื่ออนาคตนั่นเอง ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรและในพื้นที่ชนบทซึ่งเป็นฐานของอีสานจะเผชิญแรงกดดันรุนแรง เนื่องจากแรงงานหนุ่มสาวอพยพเข้าเมือง เหลือเพียงผู้สูงอายุเป็นหลัก การผลิตอาหารจะชะงักหากไม่มีการลงทุนในเกษตรอัจฉริยะ และระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ อีกทั้งยังเกิดโจทย์ใหม่ว่าใครจะดูแลผู้สูงอายุในชนบท? หากไม่มีการสร้างเศรษฐกิจชุมชนดูแลที่ผสานการจ้างงานท้องถิ่นกับธุรกิจสังคม การเป็นสังคมผู้สูงอายุต่อเนื่องย่อมลดอุปทานของแรงงาน ซึ่งก็ส่งผลต่อการเติบโตของ GDP หากไม่ได้มีมาตรการชดเชยด้วยการเพิ่มผลิตภาพหรือแรงงานทดแทน ซึ่งผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจก็มีความซับซ้อนเช่นกัน ในอีกมุมหนึ่งอัตราการออมต่อหัวอาจเพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุใกล้เกษียณ แต่การบริโภคโดยรวมเปลี่ยนแปลงไป ลดความต้องการสินค้าเพื่อเด็กและวัยหนุ่มสาว และหันไปเพิ่มความต้องการบริการสุขภาพ การดูแลระยะยาว และสินค้าเชิงคุณภาพชีวิต ทำให้เกิดการขยายตัวของ “เศรษฐกิจแบบดูแล (Care Economy)” อีกทั้ง การเป็นสังคมผู้สูงวัยเองก็มีทั้งความเสี่ยงและโอกาส โดยสาขาที่อาจหดตัวได้แก่ ตลาดสินค้าเด็ก การศึกษาแบบมวลชน และบางบริการความบันเทิงสำหรับวัยหนุ่มสาว ขณะเดียวกันโอกาสใหม่ๆ จะผุดขึ้นมากมาย อย่างเช่น บริการดูแลผู้สูงอายุแบบรายเดือน, โทรเวชกรรมและการจัดการโรคเรื้อรังนั่นเอง การกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มตัวเป็นทั้งความท้าทายเชิงโครงสร้างและโอกาส หากรัฐ ภาคธุรกิจ และชุมชนร่วมกันคิดเชิงระบบ ปรับกรอบนโยบาย และออกแบบบริการที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของประชากรสูงวัย ประเทศยังสามารถเปลี่ยน “ภาระประชากรสูงวัย” ให้เป็น “เศรษฐกิจคุณภาพชีวิต” ที่สร้างงานและนวัตกรรมได้ แต่ต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงของโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนไป และออกแบบมาตรการที่เป็นทั้งเชิงป้องกันและเชิงสร้างสรรค์พร้อมกัน   อ้างอิงจาก: – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง – กรมกิจการผู้สูงอายุ – กระทรวงสาธารณสุข – World Bank – วิจัยกรุงศรี   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ

เปิดสัญญาณ “วิกฤต”‼️ เมื่อภาคอีสานกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” และ “ชัยภูมิ” ได้คว้าแชมป์อันดับ 1 ของภาคไปครอง‼️ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top