Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 สรุปประเด็นหลัก #KeyInsights ผลพวงสงครามการค้า ดันสินค้าจีนทะลักเข้าไทย พุ่งจากปีก่อนหน้ากว่า 23% ผลักสัดส่วนต่อการนำเข้าจากจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้นกว่า 5% มูลค่าการนำเข้าจากจีน ผ่านสปป.ลาว ในปี 2568 (ม.ค. – ก.ค.) มีมูลค่ากว่า 156,247 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 24.2 % #สินค้าจีนทะลัก #ISANxGMS #เศรษฐกิจอีสาน ใช่ครับ ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือยืนยันว่า **สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ** โดยเป็นผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า . ฮู้บ่ว่า? ปี 2568 มีแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่เข้ามาในไทยมาขึ้น แม้ปีก่อนหน้าจะมีกระแสการทะลักเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว สะท้อนคลื่นสินค้าที่อาจเข้าระลอกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมจากผลของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ การทะลักของสินค้าจีน 3.0 ข้อมูล 7 เดือนล่าสุดของปี 2568  (มกราคม ถึง กรกฎาคม) ชี้ให้เห็นการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 23.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และโดยที่คิดเป็นสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจีนต่อการนำเข้าทั้งหมดของไทยที่สูงถึง 30.3% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย   ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า แนวทางการเร่งการส่งออกมายังไทย และประเทศในแถบอาเซียนของจีน สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของการใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี จากข้อมูลของ Trad Map การส่งออก 2 ไตรมาสแรกจากจีนไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 12.2% โดยมีอัตราการเติบโตมากสุดในการส่งออกไปยัง กัมพูชา(24.2%) ไทย(20.2%) และเวียดนาม(20%)   ทะลักเข้าแดนอีสานโดยตรง “เส้นทางบกสายใหม่” ที่สินค้าจีนไม่ได้มาแค่ทางเรืออีกต่อไป แต่ยังทะลักผ่านลาวเข้าชายสู่ชายแดนฝั่งภาคอีสานโดยตรง ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจีนผ่านแดนสปป.ลาว สูงขึ้นถึง 24.2% จากข้อได้เปรียบด้านการขนส่งผ่านรถไฟลาวจีนที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งถูกขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขการขาดดุลการค้า แต่อาจสะท้อนถึงความเปราะบางของผู้ประกอบการและ SME ไทย ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้าต้นทุนต่ำกว่า การทะลักเข้ามาของสินค้าผ่านช่องทางใหม่นี้ยังเป็นการท้าทายศักยภาพการแข่งขันของผู้ค้ารายย่อยในระดับภูมิภาคโดยตรง รวมถึงปัญหาการสวมสิทธิของสินค้าที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยโดยตรง จึงอาจต้องมีการเข้ามาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดระเบียบและมาตรฐานของสินค้านำเข้า สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมผู้ประกอบการในประเทศ   สถิติการนำเข้าล่าสุด (ปี 2568 เทียบ ปี 2567) ตัวเลขการนำเข้า: ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 การนำเข้าสินค้าจากจีนมายังไทย เพิ่มขึ้นสูงสุดในอาเซียนที่ 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า [1] ขาดดุลการค้า: จากตัวเลขการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทย ขาดดุลการค้ากับจีนหนักขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 2.2 แสนล้านบาท [2] สินค้าที่ทะลักเข้ามา: สินค้าที่คาดว่าจะทะลักเข้ามามากที่สุดส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องใช้สำหรับโทรคมนาคมและอุปกรณ์เครือข่าย, […]

สินค้าจีนทะลัก 3.0 จับตาคลื่นสินค้าทะลักลูกใหม่ปี 2568 อ่านเพิ่มเติม »

เปิดสัญญาณ “วิกฤต”‼️ เมื่อภาคอีสานกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” และ “ชัยภูมิ” ได้คว้าแชมป์อันดับ 1 ของภาคไปครอง‼️

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ และมีการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสูงภายในไม่กี่ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากอัตราการเกิดที่ลดลงควบคู่กับอายุขัยที่ยาวนานขึ้น ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความท้าทายด้านสังคมและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสเชิงธุรกิจที่สำคัญในหลายมิติด้วยกัน จากข้อมูลจะเห็นได้ชัดว่าภาคอีสานหลายจังหวัดกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” (Aged Society) ซึ่งมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกิน 20% อีกทั้งปรากฏการณ์นี้สะท้อนทั้งวิถีชีวิตใหม่ของคนรุ่นปัจจุบันที่นิยมอยู่เป็นโสด มีลูกน้อยลง และการที่อัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด ก็ทำให้โครงสร้างประชากรกลับหัว การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อธุรกิจ เศรษฐกิจมหภาค และเสถียรภาพทางสังคม 5 อันดับจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากสุด – ชัยภูมิ 22.6% – เลย 22.4% – ขอนแก่น 22.2% – มหาสารคาม 22.0% – นครราชสีมา 21.8% ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าภาคอีสานของเราไม่ใช่แค่กำลังสูงวัยเท่านั้น แต่กำลังย้ายเข้าสู่ระยะที่ผลกระทบจะฝังแน่นในโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องจำนวนคนเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบความต้องการของผู้บริโภค โครงสร้างแรงงาน และภาระทางการคลังที่ต้องออกแบบใหม่ทั้งระบบนั่นเอง อีกทั้ง จากเดิมที่ประเทศไทยเคยอาศัยแรงงานต้นทุนต่ำและการผลิตเชิงปริมาณ ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและสุขภาพพุ่งสูงขึ้น ประเทศก็จะเผชิญกับรายได้ภาษีลดลงจากประชากรวัยทำงานน้อยลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นจากประชากรวัยสูงอายุที่ต้องการบริการทางการแพทย์และบำนาญ หากไม่ปรับโครงสร้างการคลัง ประเทศไทยอาจเข้าสู่ “กับดักการคลังสูงวัย” ที่ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการเบียดบังงบลงทุนเพื่ออนาคตนั่นเอง ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรและในพื้นที่ชนบทซึ่งเป็นฐานของอีสานจะเผชิญแรงกดดันรุนแรง เนื่องจากแรงงานหนุ่มสาวอพยพเข้าเมือง เหลือเพียงผู้สูงอายุเป็นหลัก การผลิตอาหารจะชะงักหากไม่มีการลงทุนในเกษตรอัจฉริยะ และระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ อีกทั้งยังเกิดโจทย์ใหม่ว่าใครจะดูแลผู้สูงอายุในชนบท? หากไม่มีการสร้างเศรษฐกิจชุมชนดูแลที่ผสานการจ้างงานท้องถิ่นกับธุรกิจสังคม การเป็นสังคมผู้สูงอายุต่อเนื่องย่อมลดอุปทานของแรงงาน ซึ่งก็ส่งผลต่อการเติบโตของ GDP หากไม่ได้มีมาตรการชดเชยด้วยการเพิ่มผลิตภาพหรือแรงงานทดแทน ซึ่งผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจก็มีความซับซ้อนเช่นกัน ในอีกมุมหนึ่งอัตราการออมต่อหัวอาจเพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุใกล้เกษียณ แต่การบริโภคโดยรวมเปลี่ยนแปลงไป ลดความต้องการสินค้าเพื่อเด็กและวัยหนุ่มสาว และหันไปเพิ่มความต้องการบริการสุขภาพ การดูแลระยะยาว และสินค้าเชิงคุณภาพชีวิต ทำให้เกิดการขยายตัวของ “เศรษฐกิจแบบดูแล (Care Economy)” อีกทั้ง การเป็นสังคมผู้สูงวัยเองก็มีทั้งความเสี่ยงและโอกาส โดยสาขาที่อาจหดตัวได้แก่ ตลาดสินค้าเด็ก การศึกษาแบบมวลชน และบางบริการความบันเทิงสำหรับวัยหนุ่มสาว ขณะเดียวกันโอกาสใหม่ๆ จะผุดขึ้นมากมาย อย่างเช่น บริการดูแลผู้สูงอายุแบบรายเดือน, โทรเวชกรรมและการจัดการโรคเรื้อรังนั่นเอง การกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มตัวเป็นทั้งความท้าทายเชิงโครงสร้างและโอกาส หากรัฐ ภาคธุรกิจ และชุมชนร่วมกันคิดเชิงระบบ ปรับกรอบนโยบาย และออกแบบบริการที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของประชากรสูงวัย ประเทศยังสามารถเปลี่ยน “ภาระประชากรสูงวัย” ให้เป็น “เศรษฐกิจคุณภาพชีวิต” ที่สร้างงานและนวัตกรรมได้ แต่ต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงของโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนไป และออกแบบมาตรการที่เป็นทั้งเชิงป้องกันและเชิงสร้างสรรค์พร้อมกัน   อ้างอิงจาก: – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง – กรมกิจการผู้สูงอายุ – กระทรวงสาธารณสุข – World Bank – วิจัยกรุงศรี   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ

เปิดสัญญาณ “วิกฤต”‼️ เมื่อภาคอีสานกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” และ “ชัยภูมิ” ได้คว้าแชมป์อันดับ 1 ของภาคไปครอง‼️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “ศักยภาพเพื่อนบ้าน GMS” ใครคือผู้นำเศรษฐกิจตัวจริง⁉️

ภาคอีสานของเรากำลังถูกจับตามองในฐานะ “หนึ่งศูนย์กลางเชื่อมโยงเศรษฐกิจ” ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ ซึ่งทั้งหมดมีประชากรรวมกว่า 240 ล้านคน ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียแปซิฟิก โดยภาคอีสานมีจุดแข็งเป็นศูนย์กลางการเขื่อมโยงการค้าและการขนส่ง ผ่านเส้นทางคมนาคมสำคัญ ภาคอีสานสามารถใช้ประโยชน์จากแรงดึงดูดทางเศรษฐกิจของประเทศรอบข้างได้อย่างมหาศาล อย่างเช่น จีนตอนใต้ซึ่งมี GRP สูงถึง 14 ล้านล้านบาทและประชากรกว่า 47 ล้านคน กำลังเร่งขยายอิทธิพลด้านการค้าและการลงทุนไปยังประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) อีสานจึงมีโอกาสเป็นจุดผ่านของห่วงโซ่อุปทานการผลิต (supply chain) ทั้งในอุตสาหกรรมการเกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ เวียดนามซึ่งมีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย (GRP 16 ล้านล้านบาท) ก็เป็นทั้งคู่แข่งและคู่ค้า ทำให้อีสานสามารถดึงดูดการลงทุนข้ามแดนและพัฒนาอุตสาหกรรมเชื่อมโยงได้ ด้านผลกระทบเชิงบวก ภาคอีสานจะได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูงไทย-ลาว-จีน ด่านการค้า และเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มศักยภาพด้านการส่งออกได้ และขยายโอกาสทางการท่องเที่ยวชายแดนให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังสร้างช่องทางให้เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสินค้าผลไม้ ข้าวอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์แปรรูปที่กำลังได้รับความนิยมในตลาดโลก ภาคอีสานไม่ได้เป็นเพียงภูมิภาคชายขอบ แต่กำลังกลายเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่สำคัญทางเศรษฐกิจที่มีอำนาจต่อรองมากขึ้น เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจอย่างจีนเข้ากับอาเซียน อีกทั้งยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ BRI (Belt and Road Initiative) ของจีน และแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจของไทย ทำให้อีสานอยู่ในตำแหน่งที่สามารถกำหนดทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตได้นั่นเอง หากมองไปในทางอนาคตข้างหน้า โอกาสของภาคอีสานคือการต่อยอดจากความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ ไปสู่ความได้เปรียบเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ ผ่านการพัฒนานวัตกรรม การเกษตรอัจฉริยะ และการยกระดับบริการโลจิสติกส์ หากสามารถสร้างระบบธุรกิจที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่น ภาคอีสานเองจะไม่ใช่เพียง “ภูมิภาคชายแดน” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหัวใจใหม่ของเศรษฐกิจภูมิภาค GMS ที่ผลักดันไทยให้ก้าวสู่บทบาทผู้นำเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริงนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสัมคมแห่งชาติ – Trading Economics – World Bank – BOI – Greater Mekong Subregion Secretariat – IMF (International Monetary Fund)   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #GMS เพื่อนล้านอีสาน #จีนใต้ #เวียดนาม #กัมพูชา #ลาว #เมียนมา

พาเปิดเบิ่ง “ศักยภาพเพื่อนบ้าน GMS” ใครคือผู้นำเศรษฐกิจตัวจริง⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระบบการเงินโลกสั่นคลอน พามาเบิ่ง ยักษ์ใหญ่การเงิน ทั่วโลกล้มละลายที่ไหนบ้าง⁉️

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับความเปราะบางของระบบการเงินที่แสดงให้เห็นว่า แม้ธนาคารจะมีขนาดใหญ่และเก่าแก่แค่ไหน ก็ไม่สามารถรับประกันความมั่นคงได้ตลอดไป และล่าสุดกระแสการอายัดบัญชีในไทยเมื่อไม่นานมานี้ ที่ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยต่างเร่งถอนเงินสดออกจากธนาคาร เป็นภาพสะท้อนความไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้นในทุกประเทศเมื่อระบบการเงินสั่นคลอน และเมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เราก็อาจจะเห็นบทเรียนสำคัญว่าความเชื่อมั่นเป็นตัวแปรหลักที่กำหนดชะตาของธนาคารนั่นเอง หากย้อนกลับไปดูตัวอย่างในโซนยุโรป ก็จะพบกรณี Banco Popular ของสเปนในปี 2017 ที่มีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวนมากจนต้องขายกิจการให้ Santander ในราคาเพียง 1 ยูโร ส่วนในเอเชีย PMC Bank ของอินเดียก็ประสบปัญหาหนี้เสียมากถึง 73% จนผู้ฝากเงินไม่สามารถเข้าถึงเงินของตัวเองได้ ขณะที่ Yes Bank ก็ต้องเผชิญการแห่ถอนเงินของประชาชน รัฐบาลจึงต้องเข้ามาอุ้มเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤติการเงินนั่นเอง ข้ามไปเวียดนาม Saigon Commercial Bank กลายเป็นบทเรียนสำคัญเรื่องการกำกับดูแลที่หละหลวม เมื่อปัญหาทุจริตและหนี้เสียก่อให้เกิดการสูญเสียศรัทธาของผู้ฝากเงินอย่างรุนแรง ในระดับโลก ชื่อที่สะเทือนใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Credit Suisse หนึ่งในธนาคารเก่าแก่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ที่ต้องถูก UBS ซื้อกิจการในปี 2023 เพื่อหยุดยั้งการล้มละลายนั่นเอง ขณะที่สหรัฐอเมริกาเองก็เผชิญวิกฤติครั้งใหญ่จาก Silicon Valley Bank (SVB) ซึ่งสะท้อนการเกิด “Bank Run ยุคดิจิทัล” ที่การถอนเงินพร้อมกันเพียง 48 ชั่วโมงสามารถล้มธนาคารได้ทันที และเมื่อ SVB ล้มลง ความเชื่อมั่นก็สั่นคลอนไปยัง First Republic Bank และ Signature Bank ที่ต้องปิดกิจการตามมาอีกด้วย   การล้มละลายของธนาคารเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการจัดการภายในหรือความผิดพลาดเชิงธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา ซึ่งเมื่อความเชื่อมั่นหายไป ผู้ฝากเงินเลือกที่จะถอนเงินโดยไม่สนใจว่าในเชิงบัญชีธนาคารยังมีสินทรัพย์อยู่หรือไม่ ผลลัพธ์คือระบบการเงินทั้งหมดอาจล้มพังได้ในเวลาอันสั้นนั่นเอง ผลกระทบจากการล้มละลายของธนาคารมีหลากหลายมิติ ตั้งแต่ระดับมหภาคที่ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก การลงทุนหดหาย และตลาดเงินผันผวน ไปจนถึงระดับจุลภาคที่ผู้ประกอบการ SME ขาดเงินทุนหมุนเวียน และประชาชนสูญเสียความมั่นใจต่อการออมในระบบธนาคาร เม็ดเงินจำนวนมากจึงไหลไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเช่น ทองคำหรือพันธบัตรรัฐบาล สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินและตลาดทุนโลก บทเรียนจากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า การล้มของธนาคารไม่ใช่แค่ปัญหาของสถาบันใดสถาบันหนึ่ง แต่คือ “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ที่พร้อมจะกระทบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม หากปล่อยให้ความไว้วางใจพังทลายลงนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – FDIC – RBI – Reuters – Bloomberg – MONEY LAB   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ธนาคาร #เงินฝาก #ธนาคารล่ม

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระบบการเงินโลกสั่นคลอน พามาเบิ่ง ยักษ์ใหญ่การเงิน ทั่วโลกล้มละลายที่ไหนบ้าง⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ

จากกระแสที่แบงก์อายัดบัญชีที่โยงกับบัญชีม้า ทำให้หลายคนเริ่มแห่ไปถอนเงินกันเพื่อถือเป็นเงินสดมากขึ้น โพสต์นี้จึงพามาดูข้อมูลที่น่าสนใจกัน! รู้หรือไม่ว่าธนบัตรที่เราใช้จ่ายกันอยู่ทุกวันนี้ มีจำนวนรวมกันกว่า 7,929 ล้านฉบับ และมีมูลค่ารวมสูงถึง 2,702,880 ล้านบาท! 🤯 ลองดูตัวเลขของธนบัตรแต่ละชนิดกันหน่อยสิว่าฉบับไหนมีจำนวนมากที่สุด ธนบัตร 1,000 บาท: 2,247 ล้านฉบับ ธนบัตร 500 บาท: 346 ล้านฉบับ ธนบัตร 100 บาท: 1,937 ล้านฉบับ ธนบัตร 50 บาท: 691 ล้านฉบับ ธนบัตร 20 บาท: 2,707 ล้านฉบับ จากกระแสนที่คนแห่ไปถอนเงิน อาจทำให้บางแบงก์นั้นมีเงินสำรองไม่พอให้ถอนบ้างในระยะสั้น แต่ทาง ธปท. ก็ได้ออกมายืนยันว่ายังไม่เห็นสัญญาณของ Bank run เผานาฆ่าหนู❓สรุปไทม์ไลน์ข่าว “ล่าบัญชีม้า🐴แต่ร้านค้าโดนอายัด” สู่ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน💸ร้านไม่รับโอน #บัญชีม้า #ธนบัตรไทย #เศรษฐกิจไทย #แบงก์ชาติ ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

ฮู้บ่ว่า? ‘ธนบัตร’ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีอยู่กี่ฉบับ อ่านเพิ่มเติม »

โลกกำลังเดือด‼️ พาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์ 10 ปี เมื่อ “ความอดทนหมดลง”… ก่อเกิดการจลาจลไปทั่วโลก‼️

โลกเดือด เมื่อความอดทนหมดลง – การประท้วงในฐานะภาพสะท้อนเศรษฐกิจและความมั่นคงโลก ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โลกเผชิญคลื่นการประท้วงที่ปะทุขึ้นในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ลาตินอเมริกา ยุโรป ไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำ และความล้มเหลวของภาครัฐ ในการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งนำไปสู่คำถามใหญ่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศและการเชื่อมโยงต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวมนั่นเอง เวเนซุเอลา (2017–2019) เศรษฐกิจล่มสลายและการเมืองล้มเหลว เวเนซุเอลาเป็นกรณีศึกษาชัดเจนของรัฐที่พึ่งพาน้ำมันมากเกินไป เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำ เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนขาดแคลนอาหารและยา รัฐบาลมาดูโรถูกกดดันจากทั้งภายในและภายนอก ผลที่ตามมาคือการอพยพครั้งใหญ่สู่ประเทศเพื่อนบ้าน ก่อให้เกิดภาระทางสังคมและเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ชิลี (2019) ความเหลื่อมล้ำในประเทศที่เติบโต การขึ้นค่าโดยสารรถไฟใต้ดินในชิลีเป็นเพียง “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่จุดชนวนความไม่พอใจที่สะสมมาอย่างยาวนาน ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจตกอยู่ในมือชนชั้นนำไม่กี่กลุ่ม จึงทำให้เกิดการประท้วง ซึ่งการประท้วงครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแรงไม่ได้การันตีเสถียรภาพทางสังคม หากความเหลื่อมล้ำยังคงสูง ผลกระทบเชื่อมโยงถึงตลาดลงทุน เพราะชิลีคือผู้ส่งออกทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก ความไม่สงบจึงสั่นสะเทือนห่วงโซ่อุปทานโลหะอุตสาหกรรมระดับโลกนั่นเอง ฮ่องกง (2019) ความมั่นคงทางการเมืองและการเงินโลก การต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนสะท้อนความกังวลเรื่องอิทธิพลของจีน และนำไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินโลกถูกสั่นคลอน ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ นักลงทุนต่างชาติทบทวนความเชื่อมั่น ในฐานะประตูการเงินสู่จีน และส่งผลต่อการจัดทัพทุนของบริษัทข้ามชาตินั่นเอง สหรัฐอเมริกา (2020): Black Lives Matter และความเหลื่อมล้ำเชิงสังคม การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ จุดประกายการประท้วง Black Lives Matter ที่สะท้อนทั้งความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ขบวนการดังกล่าวไม่ได้เพียงเขย่าสังคมอเมริกันเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อแบรนด์ระดับโลก หลายแห่งที่ต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อสะท้อนความรับผิดชอบทางสังคม และทำให้ความยุติธรรมทางเชื้อชาติกลายเป็นแรงกดดันใหม่ในระบบทุนนิยมโลก คาซัคสถาน (2022): ราคาพลังงานกับการเมืองเผด็จการ การขึ้นราคาก๊าซเชื้อเพลิงเป็นตัวเร่งให้เกิดการลุกฮือทั่วประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่ยังแสดงให้เห็นว่า ราคาพลังงานคือจุดเปราะบางของความมั่นคงของภาครัฐ ความไม่สงบในคาซัคสถานซึ่งเป็นผู้ส่งออกพลังงานสำคัญ ทำให้ตลาดพลังงานโลกผันผวน และตอกย้ำความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างการปกครองแบบเผด็จการกับการจัดการทรัพยากร ฝรั่งเศส (2023): ความรุนแรงของตำรวจและสังคมพหุวัฒนธรรม การเสียชีวิตของวัยรุ่นฝรั่งเศสที่ถูกตำรวจยิง จุดชนวนให้เกิดการประท้วงใหญ่ในชุมชนผู้อพยพ เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาการบูรณาการทางสังคม และสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ความไม่สงบส่งผลต่อ เสถียรภาพการลงทุนในยุโรป และกระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักนั่นเอง   ในปี 2025 ความปั่นป่วนรอบใหม่ในหลายประเทศด้วยกัน – สหราชอาณาจักร คลื่นต่อต้านผู้อพยพสะท้อนความตึงเครียดทางสังคมจากกระแสชาตินิยม ผลทางเศรษฐกิจคือแรงงานขาดแคลน โดยเฉพาะในภาคบริการและเกษตรกรรม – เนปาล คนรุ่นใหม่ (Gen Z) ลุกฮือเพื่อต่อต้านการแบนโซเชียลมีเดียและคอร์รัปชัน สะท้อนความเปราะบางของรัฐเล็กในเอเชียใต้ที่ต้องพึ่งพาแรงงานส่งออกและเงินโอนจากต่างประเทศ – สหรัฐอเมริกา “Million March” ต่อต้านทรัมป์ แสดงให้เห็นการแบ่งขั้วการเมืองที่ลึกขึ้นในมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งอาจกระทบเสถียรภาพนโยบายการคลังและการค้าระหว่างประเทศ – อินโดนีเซีย การประท้วงปากท้องจากค่าครองชีพสูงและความไม่พอใจการเมือง เป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging market) ก็เผชิญแรงกดดันจากความเหลื่อมล้ำและต้นทุนชีวิต   การประท้วงคือสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกัน การประท้วงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความมั่นคงภายในประเทศที่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะของการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น แต่คือเครือข่ายที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกอีกด้วย เมื่อรัฐไม่สามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน ความไม่พอใจจะแปรเปลี่ยนเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งการประท้วงทำให้เกิดต้นทุนแฝง ทั้งการชะงักของซัพพลายเชน

โลกกำลังเดือด‼️ พาย้อนเบิ่ง ไทม์ไลน์ 10 ปี เมื่อ “ความอดทนหมดลง”… ก่อเกิดการจลาจลไปทั่วโลก‼️ อ่านเพิ่มเติม »

⏰”iPhone 17″ มาแล้ว พาย้อนเบิ่ง 10 ปีที่ผ่านมา ต้องทำงานกี่วันถึงจะได้ iPhone หนึ่งเครื่อง?📱

จากกระแสการเปิดตัว iPhone 17 Pro Max ปี 2568 ได้สร้างกระแสทั้งในแง่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจ แต่หากมองผ่านมุมมองเชิงธุรกิจและเศรษฐศาสตร์เชิงลึก จะเห็นความเหลื่อมล้ำของอำนาจซื้อที่สะท้อนชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างราคาสินค้าและการเติบโตของค่าแรงขั้นต่ำของภาคอีสานในช่วง 10 ที่ผ่านมา หากย้อนกลับไปปี 2559 ช่วงการเปิดตัว iPhone 7 Plus ที่มีราคา 31,500 บาท มาถึงปี 2568 ราคาของ iPhone 17 Pro Maxพุ่งขึ้นไปที่ 48,900 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 17,400 บาท คิดเป็น 55.2% ในเวลา 10 ปี ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำกลับขยับขึ้นจาก 300 บาท มาอยู่ที่เพียง 347-359 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 15.7%–19.7% เท่านั้น ซึ่งความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นว่า ราคาสินค้าเทคโนโลยีระดับพรีเมียมเติบโตเร็วกว่ารายได้แรงงานขั้นพื้นฐานอย่างมาก หากแรงงานรายวันต้องการซื้อ iPhone เครื่องใหม่ อาจจะต้องทำงานนานขึ้นกว่าที่เคย ตัวอย่างเช่น ในปี 2559 ใช้เวลาราว 105 วัน เพื่อเก็บเงินซื้อ iPhone 7 Plus แต่ในปี 2568 ต้องใช้เวลาระหว่าง 137-141 วัน เพื่อซื้อ iPhone 17 Pro Max ทั้งที่ค่าแรงเพิ่มขึ้น แต่กลับไม่ทันต่อราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงกว่า ส่งผลให้เทคโนโลยีกลายเป็น “ของหรู” สำหรับผู้มีรายได้สูง มากกว่าจะเป็น “ของใช้” ที่เข้าถึงได้เหมือนที่ Apple เคยผลักดันในอดีตนั่นเอง สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง กลยุทธ์การตลาดของ Apple ที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์สินค้าพรีเมียม เน้นนวัตกรรมและความต้องการเชิงอารมณ์ มากกว่าความจำเป็นในการใช้งานจริง แต่ก็เปิดช่องให้ตลาด สมาร์ตโฟนมือสอง และสมาร์ตโฟนรุ่นเก่า มีบทบาทสำคัญต่อกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่สามารถเข้าถึงรุ่นใหม่ได้ทันที ขณะเดียวกัน สมาร์ตโฟนแอนดรอยด์เอง ก็กลายเป็นคู่แข่งเชิงทางเลือกที่ตอบโจทย์ด้านราคาและฟังก์ชันพื้นฐานได้ดีกว่าในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงล่างนั่นเอง อีกทั้งยังชี้ให้เห็นปัญหาเชิงลึกของ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ที่ยังไม่ถูกแก้ไข แม้สินค้าเทคโนโลยีใหม่จะสะท้อนถึงความก้าวหน้าของโลกธุรกิจ แต่แรงงานจำนวนมากยังต้องเลือกระหว่างการ “ทำงานหนักขึ้นเพื่อได้มาซึ่งสินค้า” หรือ “หันไปเลือกทางเลือกที่ถูกกว่า” ปรากฏการณ์นี้จึงไม่เพียงเป็นเรื่องของ iPhone เท่านั้น แต่ยังเป็น ภาพสะท้อนของเศรษฐกิจในรอบ 10 ปีที่การเติบโตของรายได้แรงงานยังตามไม่ทันกับการขยายตัวของราคาสินค้าในตลาดโลก   อ้างอิงจาก: – เว็บไซต์ของบริษัท Apple – กระทรวงแรงงาน   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน

⏰”iPhone 17″ มาแล้ว พาย้อนเบิ่ง 10 ปีที่ผ่านมา ต้องทำงานกี่วันถึงจะได้ iPhone หนึ่งเครื่อง?📱 อ่านเพิ่มเติม »

ความภาคภูมิใจของคนอีสาน‼️ พามาเบิ่ง “ขอนแก่น” ขึ้นแท่นอันดับ 1 ของไทย ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

ขอนแก่น ภาคอีสานสู่บทพิสูจน์การพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย ผลการจัดอันดับ ดัชนีการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับจังหวัด (Thailand Provincial SDG Index) ล่าสุด ทำให้ “ขอนแก่น” ก้าวขึ้นมาเป็นจังหวัดอันดับ 1 ของประเทศด้วยคะแนน 62.38 นับเป็นความสำเร็จที่สะท้อนภาพใหญ่ของภูมิภาคอีสานในฐานะห้องทดลองเชิงนโยบาย ที่ผสมผสานการเติบโตทางเศรษฐกิจกับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลนั่นเอง การประเมินครั้งนี้จัดทำโดยศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับคณะทำงานระดับภาคทั้ง 6 ภาค ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)โดยอ้างอิงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ครอบคลุมกรอบ 5 มิติ ได้แก่ – Planet (สิ่งแวดล้อม) คะแนนเฉลี่ย 66.58 – Peace (สันติภาพและสถาบัน) 66.24 – Prosperity (เศรษฐกิจ) 51.6 – People (สังคม) 48.21 – Partnership (หุ้นส่วนการพัฒนา) 34.42 เมื่อพิจารณาเชิงเปรียบเทียบ จุดแข็งของไทยคือการจัดการสิ่งแวดล้อมและสันติภาพ ขณะที่ “ช่องว่าง” อยู่ที่เศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะ Partnership ที่ยังอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าประเทศจำเป็นต้องพัฒนาเครือข่ายหุ้นส่วนการพัฒนา ทั้งในและนอกพื้นที่ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่า “ขอนแก่น” โดดเด่นเพราะสามารถสร้างสมดุลการพัฒนา ผ่านโครงสร้างพื้นฐานเมืองสมัยใหม่ อย่างเช่น โครงการรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และการวางระบบบริการสาธารณะให้เข้าถึงประชาชนได้จริง อีกทั้งยังมีโมเดล “ขอนแก่นพัฒนาเมือง” ที่แสดงพลังความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชนท้องถิ่นได้อย่างชัดเจน นี่คือการตอบโจทย์ Partnership ที่หลายจังหวัดยังไม่สามารถทำได้ดีนักนั่นเอง อันดับจังหวัดที่มีผลการพัฒนาโดดเด่น (Top 10) และจังหวัดที่ยังมีความท้าทายสูง (Bottom 10) อย่างชัดเจน ดังนี้ อันดับ 1 ขอนแก่น 62.38 คะแนน (ภาคอีสาน) อันดับ 2 ตราด 62.20 คะแนน (ภาคตะวันออก) อันดับ 3 จันทบุรี 61.73 คะแนน (ภาคตะวันออก) อันดับ 4 บึงกาฬ 60.72 คะแนน (ภาคอีสาน) อันดับ 5 มหาสารคาม 60.42 คะแนน (ภาคอีสาน) อันดับ 6 นนทบุรี 60.31 คะแนน (ภาคกลาง) อันดับ 7 ฉะเชิงเทรา

ความภาคภูมิใจของคนอีสาน‼️ พามาเบิ่ง “ขอนแก่น” ขึ้นแท่นอันดับ 1 ของไทย ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง “ชัยภูมิ” คว้าแชมป์หนี้เกษตร เปิดยอดหนี้เฉลี่ย “ครัวเรือนเกษตรอีสาน” ทะลุ 4.5 แสนบาท

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กำลังเผชิญโจทย์ใหญ่ด้านหนี้ครัวเรือนเกษตร โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 ระบุว่า ครัวเรือนเกษตรในภาคอีสานมีหนี้เฉลี่ย 286,735 บาทต่อครัวเรือน และส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับ “การผลิตทางการเกษตร” คิดเป็นกว่า 59.3% ขณะที่อีกก้อนใหญ่คือหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค ครัวเรือนจำนวนไม่น้อยจึงติดกับดักวงจรหนี้ที่ยืดเยื้อ เพราะรายได้ไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้นทุกปี หากเจาะลึกลงไปในระดับจังหวัด จะพบความน่าสนใจ คือ “ชัยภูมิ” กลายเป็นจังหวัดที่มีหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเกษตรสูงที่สุดในอีสาน อยู่ที่ราว 450,981 บาทต่อครัวเรือน สูงกว่าค่าเฉลี่ยภาคเกือบเท่าตัว รองลงมาคือ นครราชสีมาและอำนาจเจริญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตรในแต่ละจังหวัดมีผลอย่างยิ่งต่อภาระหนี้ โดยชัยภูมิเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ ข้าว มันสำปะหลัง และอ้อยโรงงาน ซึ่งพืชเหล่านี้ต้องการเงินทุนหมุนเวียนสูง ทั้งค่าปุ๋ย สารเคมี เมล็ดพันธุ์ แรงงาน และค่าเชื้อเพลิงในการขนส่ง ผลผลิตจึงขึ้นอยู่กับเงินกู้เป็นหลัก หากราคาตกต่ำ เกษตรกรก็ยิ่งยากที่จะปลดหนี้นั่นเอง อีกปัจจัยที่ทำให้หนี้ขยายตัว คือความผันผวนด้านต้นทุนปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะราคาปุ๋ยและพลังงานที่พุ่งสูงในรอบหลายปีที่ผ่านมา แม้ผลผลิตเกษตรจะขายได้ แต่รายได้สุทธิกลับถูกหักออกไปกับต้นทุนเกือบทั้งหมด จึงทำให้เกิดพฤติกรรม “กู้ใหม่เพื่อใช้หนี้เก่า” หรือหมุนหนี้จากหลายแหล่ง ทั้งในระบบ อย่างเช่น ธ.ก.ส., สหกรณ์การเกษตร และนอกระบบ การกู้ลักษณะนี้แม้จะช่วยพยุงการผลิตระยะสั้น แต่กลับซ้ำเติมภาระหนี้ระยะยาว หนี้ครัวเรือนเกษตรในอีสานส่งผลต่อศักยภาพการบริโภคและการลงทุนในภูมิภาคโดยตรง เมื่อรายได้ครัวเรือนจำนวนมากถูกผูกไว้กับหนี้ การใช้จ่ายในท้องถิ่นย่อมลดลง ส่งผลต่อธุรกิจรายย่อย ร้านค้า และตลาดแรงงานในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งนี่อาจเป็น “ช่องว่างเชิงธุรกิจ” ที่รอการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ อย่างเช่น สินเชื่อฤดูกาล ระบบประกันผลผลิต หรือการลงทุนในภาคแปรรูปเกษตร เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาและสร้างรายได้ที่มั่นคงกว่าเดิม การที่ชัยภูมิเป็น “แชมป์หนี้ครัวเรือนเกษตร” เป็นผลสะท้อนจากโครงสร้างพืชเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ใช้ต้นทุนสูง ความผันผวนของตลาดสินค้าเกษตร ตลอดจนพฤติกรรมการเงินของครัวเรือน หากไม่เร่งหาทางออกในเชิงโครงสร้าง ทั้งนโยบายและกลไกทางธุรกิจ ภาคอีสานอาจต้องแบกรับภาระหนี้ที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ และกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – ธนาคารแห่งประเทศไทย – TDRI – PIER (สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์) – ThaiPublica   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #หนี้ครัวเรือนเกษตรอีสาน #หนี้ครัวเรือน #หนี้  

ชวนมาเบิ่ง “ชัยภูมิ” คว้าแชมป์หนี้เกษตร เปิดยอดหนี้เฉลี่ย “ครัวเรือนเกษตรอีสาน” ทะลุ 4.5 แสนบาท อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “ภูเขาสูง” แดนอีสาน ที่ซ่อนความลับระดับ Unseen Thailand

ภูหมันขาว ที่จังหวัดเลยและเพชรบูรณ์ มีความสูง 1,820 เมตร ภูลมโล ที่จังหวัดเลย, พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ มีความสูง 1,664 เมตร ภูหลวง ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,571 เมตร เนิน 1408 ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,408 เมตร ภูเรือ ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,365 เมตร ภูกระดึง ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,316 เมตร ภูผาจิต ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,271 เมตร ภูบักได ที่จังหวัดเลย มีความสูง 1,200 เมตร เขาแถบอีสาน ตั้งแต่สันเขาของเลยถึงแนวเพชรบูรณ์ ไม่ได้เป็นเพียงภูมิทัศน์งดงามเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นสินทรัพย์เศรษฐกิจเชิงนิเวศที่สามารถสร้างมูลค่าหลายอย่าง ทั้งรายได้ท่องเที่ยวตรง บริการระบบนิเวศ และทุนทางวัฒนธรรม หากมองเชิงธุรกิจ ภูกระดึง ภูเรือ ภูลมโล และภูสูงอื่นๆ คือ “คลัสเตอร์ท่องเที่ยวอากาศเย็น” ที่ดึงดูดผู้คนตามฤดูกาลนั่นเอง โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปกว่า 2,500-3,500 บาท จากผู้มาเยือนหลักแสนต่อปี ก่อให้เกิดเงินสะพัดหลายร้อยล้านบาท และกระจายสู่โฮมสเตย์ ร้านอาหาร รถท้องถิ่น และสินค้า OTOP นั่นเอง รายได้จากการท่องเที่ยวภูเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผู้ประกอบการโฮมสเตย์หรืออุทยานเท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงเกษตรกรที่ขายผลผลิตให้ร้านอาหาร ร้านค้าเล็กๆ ที่จำหน่ายอุปกรณ์เดินป่า รถรับจ้างท้องถิ่น ไปจนถึงกลุ่มแม่บ้านที่ผลิตผ้าทอและงานหัตถกรรม การไหลเวียนของเงินเหล่านี้สร้างตัวคูณทางเศรษฐกิจที่ทำให้เงิน 1 บาทจากนักท่องเที่ยว ขยายผลเป็นรายได้ 1.5–2 บาทในระบบเศรษฐกิจของชุมชน ถือเป็นพลังที่ช่วยหล่อเลี้ยงคนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริงนั่นเอง อีกหนึ่งจุดแข็งของการท่องเที่ยวภูเขาในอีสานคือความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กัน อย่างเช่น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเชื่อมต่อจากภูกระดึงไปภูเรือ หรือจากภูหลวงไปภูลมโลได้ในเวลาไม่นาน หากมีการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเป็น “วงแหวนภูเขา” นักท่องเที่ยวจะอยู่ค้างคืนยาวขึ้น รายได้ก็จะกระจายไปยังหลายหมู่บ้าน และช่วยให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากธรรมชาติแล้ว วัฒนธรรมท้องถิ่นยังเป็นมูลค่าเพิ่มที่ทำให้ภูเขาเหล่านี้แตกต่างจากภูเขาในภาคอื่น นักท่องเที่ยวไม่ได้เพียงมาดูวิว แต่ยังได้สัมผัสอาหารอีสาน งานหัตถกรรม ผ้าทอ และประเพณีพื้นถิ่น ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้การท่องเที่ยวมีราคาสูงขึ้น นักท่องเที่ยวยินดีใช้จ่ายมากขึ้น และสร้างรายได้เสริมแก่ชุมชนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุทยานนั่นเอง   ในปัจจุบัน “การเดินป่า-ท่องเที่ยวภูเขา” กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของคนรุ่นใหม่และคนเมือง เพราะผู้คนเริ่มโหยหาความสงบและธรรมชาติ หลังจากใช้ชีวิตท่ามกลางความเร่งรีบและตึกสูงในเมืองใหญ่ การขึ้นภูเขาจึงไม่ใช่เพียงการท่องเที่ยว แต่เป็นการพักผ่อนเชิงสุขภาพ ทั้งกายและใจ บางคนมองว่าเป็นการ ชาร์จพลังชีวิต ขณะที่บางกลุ่มเห็นเป็นโอกาสในการออกกำลังกายแบบผจญภัย ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่กำลังเติบโตทั่วโลก เทรนด์นี้ช่วยเปิดตลาดใหม่ให้กับการท่องเที่ยวภูเขา นักท่องเที่ยวที่นิยมเดินป่า มักต้องการประสบการณ์มากกว่าที่พักหรูหรา แต่จะใช้จ่ายกับอุปกรณ์เดินป่า ไกด์ท้องถิ่น เส้นทางศึกษาธรรมชาติ และสินค้าพื้นถิ่นที่สะท้อนเอกลักษณ์ของพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายเล็ก อย่างเช่น ร้านเช่าเต็นท์ ร้านขายอุปกรณ์เดินป่า ร้านกาแฟชุมชน และกลุ่มชาวบ้านที่จัดกิจกรรมเชิงเรียนรู้

พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “ภูเขาสูง” แดนอีสาน ที่ซ่อนความลับระดับ Unseen Thailand อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top