Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

นี่คือเงินภาษีคุณ‼️ พาส่องเบิ่ง “งบประมาณจังหวัด” ที่คนท้องถิ่นต้องรู้ เมืองที่คุณอยู่ได้งบเท่าไหร่⁉️ งบปี 69

“งบประมาณจังหวัด” ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจท้องถิ่นทุกระดับ ตั้งแต่คุณภาพชีวิตของประชาชนไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ภาคธุรกิจใช้ในการขยายตัว ปีงบประมาณ 2569 หากเจาะลึกลงไปในแต่ละจังหวัด จะพบความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน จะเห็นได้ว่านครราชสีมาได้งบมากที่สุดถึง 442 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.1% ของงบอีสานทั้งหมด ขณะที่จังหวัดเล็กอย่างบึงกาฬกลับได้รับเพียง 190 ล้านบาท หรือแค่ 3.5%  งบประมาณจังหวัดเปรียบเสมือนแรงขับเคลื่อนแรกเริ่มที่กระจายเงินลงสู่ท้องถิ่น เมื่อโครงการสาธารณูปโภค ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน หรือระบบน้ำประปาได้รับการสนับสนุน เม็ดเงินที่รัฐจัดสรรลงไปจะหมุนเวียนต่อในระบบธุรกิจท้องถิ่น ทั้งการจ้างแรงงานท้องถิ่น การจัดซื้อวัตถุดิบ การสร้างงานบริการ และการกระตุ้นกำลังซื้อในตลาด อย่างเช่น ขอนแก่นแม้งบประมาณจะอยู่ที่ 333 ล้านบาทซึ่งน้อยกว่านครราชสีมา แต่ด้วยศักยภาพของการเป็นศูนย์กลางมหาวิทยาลัยและการแพทย์ งบประมาณที่ได้รับกลับสร้างผลทวีคูณสูง เพราะสามารถต่อยอดไปสู่การลงทุนภาคเอกชนและดึงดูดทุนใหม่เข้าสู่ภูมิภาคได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง อย่างไรก็ตาม การได้งบมากหรือน้อยไม่ได้หมายความว่าคุณภาพการพัฒนาจะสูงหรือต่ำตามไปด้วย จังหวัดใหญ่อย่างนครราชสีมามีภาระประชากรจำนวนมากและพื้นที่กว้าง การใช้งบแม้จะมากแต่ก็ต้องกระจายครอบคลุมหลายด้าน ต่างจากจังหวัดขนาดเล็ก อย่างเช่น ยโสธรหรือมุกดาหารที่แม้งบเพียงราว 200 ล้านบาท แต่หากมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อาจสร้างผลลัพธ์ที่ตรงจุดและเห็นผลเร็วกว่า จะเห็นได้ว่า งบประมาณไม่ได้เป็นเพียง “ขนาดเงิน” แต่คือ “คุณภาพการใช้เงิน” ที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญกว่า ในมุมมองธุรกิจนั้น เมืองที่ได้รับงบมากมักจะกลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาที่ดึงดูดโครงสร้างพื้นฐานและกำลังซื้อ ขณะที่เมืองงบน้อยกลับซ่อนโอกาสสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือ SME ที่สามารถเข้าไปเติมเต็มในสิ่งที่ภาครัฐไม่สามารถทำได้ครบถ้วน เมืองชายขอบ อย่างเช่นบึงกาฬ มุกดาหาร หรือหนองคาย แม้งบไม่สูง แต่มีความได้เปรียบด้านการค้าชายแดนที่สามารถเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นช่องว่างทางธุรกิจที่น่าจับตานั่นเอง งบประมาณจังหวัดคือภาพสะท้อนของนโยบายการพัฒนาและการกระจายทรัพยากรของรัฐที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประชาชน การที่บางจังหวัดได้มากบางจังหวัดได้น้อยก็เหมือนเป็นการกำหนดทิศทางอนาคตภูมิภาคอย่างชัดเจน คนท้องถิ่นเองก็ควรตระหนักว่าเงินเหล่านี้คือภาษีของประชาชน และควรติดตามตรวจสอบว่า งบประมาณถูกนำไปใช้กับโครงการที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์จริงหรือเพียงแค่ผ่านตัวเลขในเอกสารราชการ หากสามารถใช้เงินอย่างคุ้มค่า งบประมาณปี 2569 ก็อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้อีสานก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และกลายเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจไม่แพ้ส่วนอื่นของประเทศได้     อ้างอิงจาก: – สำนักงบประมาณ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ # #เศรษฐกิจอีสาน #งบประมาณจังหวัด #งบประมาณในอีสาน  #งบประมาณ #งบประมาณปี2569  

นี่คือเงินภาษีคุณ‼️ พาส่องเบิ่ง “งบประมาณจังหวัด” ที่คนท้องถิ่นต้องรู้ เมืองที่คุณอยู่ได้งบเท่าไหร่⁉️ งบปี 69 อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง สุดยอดค้าปลีก-ส่งภูธรรายได้พันล้านในไทย

ร้านค้าปลีก-ค้าส่งภูธร: ยืนหยัดท่ามกลางทุนใหญ่ด้วยความสัมพันธ์และการปรับตัว   “ร้านโชห่วยหน้าปากซอย” อาจดูเล็กน้อยในสายตาหลายคน แต่สำหรับชุมชนแล้ว ที่นี่คือทั้งแหล่งซื้อของ ศูนย์กลางข่าวสาร และบางครั้งก็เป็นเสมือนเพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ แม้ห้างใหญ่และร้านสะดวกซื้อจะขยายตัวไม่หยุด ร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรกลับยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เพราะพวกเขามีสิ่งหนึ่งที่ทุนใหญ่ไม่เคยมีนั่นคือ “ความผูกพันกับคนในพื้นที่” แม้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากทุนใหญ่และการเปลี่ยนแปลงของตลาด แต่ร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรยังคงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ด้วยจุดแข็งเฉพาะตัวที่ยากจะลอกเลียนแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชุมชน ความเข้าใจในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง และความคล่องตัวในการปรับตัว ซึ่งทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้พวกเขายังเป็น “ผู้เล่นที่น่าจับตา” ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น หัวใจของความแข็งแกร่งของร้านค้าภูธรคือความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เจ้าของร้านและพนักงานมักเป็น “คนกันเอง” ในพื้นที่ ทำให้รู้จักและเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง บรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ห้างใหญ่ไม่สามารถสร้างได้ง่าย นอกจากนี้ ร้านค้าภูธรยังสามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะถิ่นได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสินค้าทำบุญ เครื่องปรุงเฉพาะท้องถิ่น หรือสินค้าแบ่งขายในปริมาณเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนในชุมชน อีกหนึ่งจุดแข็งที่ไม่อาจมองข้ามคือ “ระบบเครดิต” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ติดไว้ก่อน” ร้านค้าท้องถิ่นสามารถให้ลูกค้าประจำลงบัญชีไว้ก่อนได้ ซึ่งช่วยรองรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอนและสร้างความผูกพันระยะยาว ความยืดหยุ่นเช่นนี้คือสิ่งที่โมเดิร์นเทรดไม่สามารถทำได้ นอกจากนั้น ร้านค้าภูธรยังมีความคล่องตัวสูง สามารถคิดเร็ว ทำเร็ว และตัดสินใจได้ทันที เช่น การเพิ่มสินค้าตามเทศกาล การสั่งสินค้าพิเศษตามความต้องการของลูกค้า หรือการปรับราคาอย่างฉับพลันโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากส่วนกลาง ความไม่ตายตัวของรูปแบบการดำเนินงานนี้เปรียบเสมือน “มวยวัด” ที่คาดเดายาก และบางครั้งกลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์เหนือห้างใหญ่ ในด้านกลยุทธ์ราคา ร้านค้าภูธรสามารถกดราคาลงได้ด้วยการตัดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เช่น การตกแต่งหรูหราหรือบริการที่ฟุ่มเฟือย ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ก็มักสนับสนุนร้านภูธร เพื่อสร้างสมดุลอำนาจการต่อรองกับรายใหญ่ ส่งผลให้ร้านท้องถิ่นได้รับทั้งโปรโมชั่นและกิจกรรมการตลาดที่ช่วยดึงดูดลูกค้า ข้อได้เปรียบอีกประการคือทำเลที่ตั้ง ร้านค้าภูธรจำนวนมากตั้งอยู่ใจกลางเมืองหรือใกล้ชุมชน ซึ่งสะดวกต่อการเข้าถึงของผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อต้องการซื้อสินค้าเล็กน้อยหรือของใช้ด่วน ทำให้ร้านท้องถิ่นยังคงเป็นคำตอบสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรก็เผชิญกับความท้าทายไม่น้อย การรุกคืบของทุนใหญ่ เช่น เซ็นทรัล ซี.พี. บิ๊กซี หรือเครือข่ายร้านค้าสมัยใหม่อย่าง “ถูกดี มีมาตรฐาน” และ “ร้านโดนใจ” ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้น สงครามราคายิ่งกดดันร้านภูธรที่มีอำนาจการซื้อน้อยกว่า อีกทั้งเศรษฐกิจที่ซบเซา กำลังซื้อที่ลดลง และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ล้วนบั่นทอนกำไรและความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ร้านค้าภูธรหลายแห่งยังคงใช้รูปแบบการบริหารแบบครอบครัว ขาดระบบมืออาชีพ และมีรูปแบบร้านที่ล้าสมัย ไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกและทันสมัยมากกว่า ขณะเดียวกัน ปัญหาการสืบทอดกิจการก็เป็นอีกโจทย์ใหญ่ เนื่องจากทายาทบางรายไม่ประสงค์จะสานต่อธุรกิจครอบครัว เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว ร้านค้าภูธรจำเป็นต้องเร่งปรับตัวในหลายด้าน ประการแรกคือการสร้างจุดยืนที่ชัดเจน เน้นความแตกต่างที่รายใหญ่ไม่สามารถแข่งขันได้ เช่น การขายสินค้าท้องถิ่นคุณภาพสูง หรือการเน้นบริการที่เป็นมิตรและใกล้ชิด ประการต่อมาคือการปรับปรุงร้านให้ทันสมัย จัดร้านให้สะอาด สว่าง และเป็นระเบียบ พร้อมเติมเต็มฟังก์ชันใหม่ๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านแฟชั่น หรือพื้นที่เอนเตอร์เทนเมนต์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ร้านค้าภูธรควรนำระบบจัดการหน้าร้าน (POS) เข้ามาใช้ รับชำระเงินดิจิทัล และทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงลูกค้ารุ่นใหม่ การสร้างเครือข่ายและการรวมกลุ่มกับร้านอื่นๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ และลดต้นทุนได้มากขึ้น สุดท้าย การผลักดันให้คนรุ่นใหม่หรือผู้บริหารมืออาชีพเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนกิจการ ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่สำคัญ เพราะพวกเขาสามารถนำความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนาให้ร้านค้าภูธรมีชีวิตชีวาและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยสรุปแล้ว จุดแข็งของร้านค้าปลีกและค้าส่งภูธรไม่ได้อยู่ที่เงินทุน แต่คือความเข้าใจในท้องถิ่น

พามาเบิ่ง ตัวอย่าง สุดยอดค้าปลีก-ส่งภูธรรายได้พันล้านในไทย อ่านเพิ่มเติม »

พาเเปิดเบิ่ง ปีงบประมาณ 69 “มหาวิทยาลัยรัฐ” อีสาน ม.ไหนได้งบมากสุด-น้อยสุด⁉️

มหาวิทยาลัย จังหวัด งบประมาณปี 2569 สัดส่วนงบประมาณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ขอนแก่น, หนองคาย 5,517 ล้านบาท 30.5% มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี  นครราชสีมา 2,110 ล้านบาท 11.6% มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  มหาสารคาม 1,529 ล้านบาท 8.4% มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน  นครราชสีมา, ขอนแก่น 1,521 ล้านบาท 8.4% มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  อุบลราชธานี 867 ล้านบาท 4.8% มหาวิทยาลัยนครพนม  นครพนม 753 ล้านบาท 4.2% มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี  อุดรธานี 663 ล้านบาท 3.7% มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี  อุบลราชธานี 644 ล้านบาท 3.6% มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา  นครราชสีมา 574 ล้านบาท 3.2% มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร  สกลนคร 551 ล้านบาท 3.0% มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์  สุรินทร์ 516 ล้านบาท 2.8% มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์  บุรีรัมย์ 510 ล้านบาท 2.8% มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม  มหาสารคาม 494 ล้านบาท 2.7% มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์  กาฬสินธุ์ 438 ล้านบาท 2.4% มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย  เลย 432 ล้านบาท 2.4% มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ  ศรีสะเกษ 370 ล้านบาท 2.0% มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ  ชัยภูมิ 324 ล้านบาท 1.8% มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด  ร้อยเอ็ด 304 ล้านบาท 1.7%   หมายเหตุ: ข้อมูลงมหาวิทยาลัยรัฐในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มา: สำนักงบประมาณ ปีงบประมาณ 2569   “มหาวิทยาลัยรัฐ” อีสาน ม.ไหนได้งบมากสุด-น้อยสุด⁉️  . . เมื่อพิจารณางบประมาณปี 2569 ของมหาวิทยาลัยรัฐในภาคอีสาน จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่และมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับงบประมาณสูงสุดถึง 5,517 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30.5% ของงบทั้งหมดในภาคอีสาน  . อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นมหาวิทยาลัยที่มีบุคลากรและนักศึกษาจำนวนมาก งบประมาณที่สูงจึงสะท้อนภาระค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนและสวัสดิการบุคลากรจำนวนมาก อีกทั้งยังมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ โดยเฉพาะการมีโรงพยาบาลศรีนครินทร์และคณะแพทยศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และการวิจัยสุขภาพในภูมิภาค ส่งผลให้งบประมาณด้านการดูแลประชาชนและการลงทุนเพื่อการวิจัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พาเเปิดเบิ่ง ปีงบประมาณ 69 “มหาวิทยาลัยรัฐ” อีสาน ม.ไหนได้งบมากสุด-น้อยสุด⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “เงินเดือนคนไทย”  ตัวเลขล่าสุดเผย คนกว่า 2.7 ล้านคน ได้ไม่ถึง 1.1 หมื่นบาท‼️

ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคมล่าสุดพบว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งส่วนใหญ่คือแรงงานในระบบเอกชน มีจำนวนกว่า 12.1 ล้านคน อีกทั้งยังพบว่า แรงงานจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเงินเดือน 9,001-11,000 บาทต่อเดือน มากถึงกว่า 2.7 ล้านคน หรือคิดเป็น 23.05% ของทั้งหมดเลยทีเดียว รองลงมาคือกลุ่มที่มีรายได้ 13,001-15,000 บาท จำนวนกว่า 1.7 ล้านคน หรือ 14.07% และกลุ่ม 11,001-13,000 บาท กว่า 12.3% สะท้อนให้เห็นว่าแรงงานไทยกว่าครึ่งหนึ่งยังอยู่ในระดับรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งก็ถือว่าเป็นฐานค่าจ้างขั้นต่ำถึงระดับปานกลางที่ยังไม่สูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพปัจจุบันนั่นเอง รายได้ของแรงงานนั่น สามารถสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริโภคของครัวเรือนไทยอย่างชัดเจน เนื่องจากกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนมีสัดส่วนมาก ทำให้กำลังซื้อโดยรวมของประเทศยังคงอยู่ในระดับจำกัด ส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนด้านบริการที่ต้องพึ่งพาฐานผู้บริโภคจำนวนมากนั่นเอง ขณะเดียวกันกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทขึ้นไปมีเพียง 12% ของแรงงานในระบบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มชนชั้นกลางระดับสูงและชนชั้นบนมีจำนวนน้อย อีกประเด็นสำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำที่ปรากฏจากโครงสร้างรายได้ คนไทยจำนวนกว่า 2.7 ล้านคน มีรายได้เพียง 9,000-11,000 บาท ขณะที่มีเพียงประมาณ 289,000 คน หรือ 2.38% เท่านั้นที่มีรายได้เกิน 80,000 บาทต่อเดือน สังเกตได้ว่าระหว่างแรงงานรายได้ต่ำกับแรงงานรายได้สูงจึงกว้างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ การกระจุกตัวของรายได้ในเมืองใหญ่ และความเปราะบางของครัวเรือนที่พึ่งพาค่าแรงขั้นต่ำ และข้อมูลนี้ยังชี้ให้เห็นทิศทางการวางกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน โดยบริษัทที่ทำธุรกิจแมสจำเป็นต้องออกแบบสินค้าและบริการให้มีราคาที่เข้าถึงได้ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีกำลังซื้อต่ำอยู่ ขณะที่ธุรกิจที่เน้นเจาะตลาดพรีเมียมหรือชนชั้นกลางถึงระดับสูง แม้จะเผชิญฐานลูกค้าที่เล็กกว่า แต่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงหากเจาะตรงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง การที่ผู้ประกันตนที่มีรายได้เกิน 17,500 บาท ต้องเริ่มจ่ายเงินสมทบเพิ่มจาก 750 บาทเป็น 875 บาทตั้งแต่ปี 2569 ก็สะท้อนความพยายามของรัฐในการปรับสมดุลกองทุนประกันสังคมให้สอดคล้องกับรายได้ที่สูงขึ้น แต่ในอีกมิติหนึ่งก็อาจเป็นภาระต่อแรงงานระดับกลางที่ยังไม่ได้มีฐานะมั่นคงมากนัก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายของระบบประกันสังคมที่ต้องดูแลทั้งแรงงานรายได้น้อยจำนวนมาก และแรงงานรายได้ปานกลางที่กำลังเผชิญค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น   อ้างอิงจาก:  – สำนักงานประกันสังคม (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ส.ค. 68) – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เงินเดือนคนไทย #เงินเดือน #ประกันสังคม

พาเปิดเบิ่ง “เงินเดือนคนไทย”  ตัวเลขล่าสุดเผย คนกว่า 2.7 ล้านคน ได้ไม่ถึง 1.1 หมื่นบาท‼️ อ่านเพิ่มเติม »

ก่อนเป็นจังหวัด อีสานมีชื่อที่ถูกลืม! พาย้อนเวลาเบิ่ง “ชื่อเก่า” ที่คนท้องถิ่นเองยังไม่เคยรู้

ภาคอีสานในปัจจุบันมี 20 จังหวัด แต่หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จะพบว่าดินแดนเหล่านี้เคยถูกเรียกขานด้วย “ชื่อเก่า” ที่สะท้อนทั้งเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และสภาพสังคมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งต่อมาได้ถูกปรับเปลี่ยนเมื่อมีการจัดระเบียบการปกครองใหม่จาก “เมือง” สู่ “จังหวัด” โดยเฉพาะในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ส่งผลให้ชื่อเก่าเหล่านี้ค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงในเอกสารเก่าและความทรงจำของผู้คนท้องถิ่นนั่นเอง การเปลี่ยนชื่อจาก “เมือง” ไปสู่ “จังหวัด” ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนที่มุ่งรวมศูนย์อำนาจและสร้างมาตรฐานเดียวกัน อย่างเช่น เมืองขามแก่น ซึ่งกลายเป็น “จังหวัดขอนแก่น” ในปี 2459 หรือบ้านหลวงที่กลายมาเป็น “จังหวัดชัยภูมิ” ในปี 2476 ก็สะท้อนให้เห็นถึงการขยายอำนาจรัฐเข้าสู่ท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีบางจังหวัดที่ได้รับการยกฐานะช้ากว่า อย่างเช่น จังหวัดบึงกาฬ ที่เพิ่งแยกจากหนองคายในปี 2554 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระบวนการจัดการพื้นที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องตามความจำเป็นและความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิศาสตร์ ในแง่เศรษฐกิจ เมื่อลองมองย้อนกลับไปก็จะเห็นว่าการเปลี่ยนสถานะจาก “เมือง” เป็น “จังหวัด” ได้สร้างความมั่นคงทางการปกครองและเศรษฐกิจให้แก่ท้องถิ่น เช่น จังหวัดนครพนม (เดิม “เมืองมรุกขนคร”) และสกลนคร (เดิม “เมืองสกลทวาปี”) ก็กลายเป็นศูนย์กลางการค้าริมแม่น้ำโขงที่มีบทบาทเชื่อมโยงกับลาวและเวียดนาม ขณะที่มหาสารคาม (เดิมคือ “บ้านลาดกุดยางใหญ่”) ได้กลายเป็นเมืองการศึกษาในอีสานตอนกลาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการยกฐานะเมืองเป็นจังหวัดไม่เพียงแต่ช่วยให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นระบบ แต่ยังถือเป็นการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมให้เติบโตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วยดังนั้น “ชื่อเก่า” ของเมืองอีสานจึงไม่ได้เป็นแค่ความทรงจำท้องถิ่นเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเมืองเล็กๆ ที่พึ่งพาธรรมชาติและภูมิศาสตร์ สู่การเป็นจังหวัดที่มีบทบาทเชื่อมโยงเศรษฐกิจระดับภูมิภาค อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของผู้คนในแต่ละถิ่น ที่แม้ชื่อเมืองจะเปลี่ยนไป แต่รากเหง้าและตัวตนของชุมชนก็ยังคงปรากฏในวิถีชีวิตของชาวอีสานจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง   ทำไมถึงต้อง “อีสาน” คำว่า “อีสาน” มีรากมาจากภาษาสันสกฤตว่า “อีศาน” ซึ่งหมายถึงพระศิวะ เทพผู้ประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ราวพุทธศตวรรษที่ 11 คำนี้ถูกใช้ทั้งในชื่อรัฐ “อีศานปุระ” และพระนามกษัตริย์ “อีศานวรมัน” ก่อนจะแผลงเป็นรูปบาลีว่า “อีสาน” ที่ภาษาไทยนำมาใช้เรียกภูมิภาคแห่งนี้ต่อมา ดังนั้น “อีสาน” จึงไม่ใช่เพียงชื่อภูมิศาสตร์ แต่ยังสะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรมและคติความเชื่อของผู้คนด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม “คนอีสาน” ไม่ได้หมายถึงชนชาติหนึ่งโดยตรง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกผู้คนในภูมิภาคนี้ซึ่งมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมร่วมกัน อัตลักษณ์ของคนอีสานจึงเกิดจากการผสมผสานของชนหลายกลุ่มทั้งคนดั้งเดิมและผู้คนที่อพยพเข้ามาในช่วงเวลาต่าง ๆ จนก่อรูปเป็นเครือข่ายเครือญาติทางภาษาและวัฒนธรรมที่สลับซับซ้อน หากย้อนกลับไปกว่า 5,000 ปี พื้นที่อีสานมีคนพื้นเมืองดั้งเดิมตั้งถิ่นฐานอยู่แล้ว หลักฐานทางโบราณคดีที่ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น แสดงให้เห็นการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และการตั้งบ้านเรือนมาแต่โบราณ คนพื้นเมืองเหล่านี้แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ พวกที่สูง ซึ่งทำไร่เลื่อนลอยแบบ “เฮ็ดไฮ่” ใช้ไฟเผาป่าและหยอดเมล็ดพืชโดยไม่ไถพรวน มีผลผลิตจำกัด แต่ชำนาญการถลุงโลหะ ส่วนพวกที่ราบนั้นตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ มีความรู้ด้านการจัดการน้ำเพื่อเกษตรกรรม ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์เกินพอก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนจนพัฒนาจากหมู่บ้านไปสู่เมืองและรัฐ ต่อมาเริ่มมีผู้คนจากภายนอกเคลื่อนย้ายเข้ามา จนผสมกลมกลืนกับคนพื้นเมือง ราว 3,000 ปีก่อน

ก่อนเป็นจังหวัด อีสานมีชื่อที่ถูกลืม! พาย้อนเวลาเบิ่ง “ชื่อเก่า” ที่คนท้องถิ่นเองยังไม่เคยรู้ อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนรอยเบิ่ง ค่ายอพยพผู้ลี้ภัย และความเจ็บปวดที่เขมรแดงฝากไว้ให้คนไทย

ความโหดร้ายของเขมรแดงและผลกระทบต่อไทย หากเอ่ยถึงโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่มีเหตุการณ์ใดสะเทือนใจเท่ากับยุคเขมรแดงในกัมพูชา ระหว่างปี พ.ศ. 2518-2522 ภายใต้การนำของพลพต กัมพูชาถูกผลักเข้าสู่การทดลองทางอุดมการณ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 20 รัฐบาลปฏิวัติยกเลิกเงินตรา ห้ามเทคโนโลยี และกวาดต้อนผู้คนจากเมืองไปทำเกษตรแบบยังชีพในชนบท ทำให้มีประชากรกว่า 2 ล้านคน เสียชีวิตจากความอดอยาก การทำงานหนักเกินมนุษย์ และการสังหารหมู่โดยรัฐ การสูญเสียครั้งนั้นไม่เพียงพรากชีวิต แต่ยังทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจและทุนมนุษย์ของกัมพูชาอย่างมหาศาล ผลกระทบของเขมรแดงไม่ได้หยุดอยู่แค่ภายในพรมแดนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทย ในปี 2520 เพียงปีเดียว เขมรแดงบุกโจมตีชายแดนไทยกว่า 400 ครั้ง หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2520 ที่อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสระแก้ว) เมื่อทหารเขมรแดงบุกฆ่าล้างหมู่บ้านชาวไทยถึง 21 คน เผาบ้านเรือน ข่มขืน และทำลายชุมชนอย่างป่าเถื่อน เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้รัฐไทยต้องเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงและขยายกำลังทหารเพื่อรับมือกับภัยคุกคาม ส่งผลให้พื้นที่ทางเศรษฐกิจในแนวชายแดนจำนวนมากถูกทิ้งร้าง ที่สำคัญสงครามและความอดอยากทำให้ชาวกัมพูชาหลั่งไหลเข้ามายังชายแดนไทย ในปี 2518 มีผู้อพยพเพียง 17,000 คน แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงปี 2522 ตัวเลขพุ่งขึ้นเป็นกว่า 137,000-200,000 คน ผู้ลี้ภัยจำนวนมากอิดโรยจากความหิวโหย ต้องนำทองคำและเงินตรามาแลกอาหารกับชาวบ้านไทย แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ต้องแบกรับภาระทางสาธารณสุขและความมั่นคงจำนวนมหาศาล เพราะเขมรแดงได้ฝังทุ่นระเบิดไว้ตามแนวชายแดน ทิ้ง “มรดกสงคราม” ที่คร่าชีวิตผู้คนไปอีกหลายสิบปีนั่นเอง จึงเกิดเป็นการตั้งค่ายผู้ลี้ภัยมากถึง 18 ค่าย อย่างเช่น ไซต์ทูและไซต์ทรี ซึ่งบางแห่งมีผู้อพยพหลายหมื่นคนจนกลายเป็น “เมืองเศรษฐกิจเฉพาะกิจ” ที่มีการค้าขาย ตลาดอาหาร และแรงงานราคาถูก อย่างไรก็ตาม ค่ายผู้ลี้ภัยก็สร้างผลกระทบทางลบ โดยเฉพาะต่อโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นปราสาทสด๊กก๊อกธม ที่ถูกใช้เป็นแหล่งน้ำและเชื้อเพลิงจนเกิดความเสียหายทางวัฒนธรรมอย่างใหญ่หลวง ขณะเดียวกันงบประมาณที่ไทยต้องใช้ในการดูแลผู้อพยพก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2523 เพียงปีเดียว รัฐบาลไทยใช้งบประมาณมากถึง 20.9 ล้านบาท แม้ได้รับการสนับสนุนจาก UNHCR แต่ไทยก็ยังต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนหลักดังกล่าว ตลอดเวลากว่าสองทศวรรษ ไทยต้องอยู่กับวิกฤตผู้อพยพที่ไม่เพียงเป็นปัญหาความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นทั้งภาระและโอกาสทางเศรษฐกิจ  ไทยเสียโอกาสจากพื้นที่เกษตรและการท่องเที่ยวในชายแดนที่ถูกทำลายจากสงครามและทุ่นระเบิด แต่อีกในมุมมอง การที่ไทยยื่นมือช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกลับยกระดับภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก ทำให้ได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่มีบทบาทสร้างสันติภาพและมนุษยธรรมในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม 2536 ผู้อพยพกลุ่มสุดท้ายจำนวน 199 คน ได้กลับประเทศจากศูนย์อพยพเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้ว ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยกัมพูชาของไทยที่ยาวนานเกือบ 20 ปี ประวัติศาสตร์ช่วงนี้สะท้อนให้เห็นว่า อุดมการณ์ที่สุดโต่งสามารถทำลายชาติหนึ่งชาติได้อย่างสิ้นเชิง และยังส่งแรงสะเทือนข้ามพรมแดนมาสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย   อ้างอิงจาก: – LUEhistory.com   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business

พาย้อนรอยเบิ่ง ค่ายอพยพผู้ลี้ภัย และความเจ็บปวดที่เขมรแดงฝากไว้ให้คนไทย อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่งการค้าระหว่างไทย–กัมพูชาพึ่งพาการค้าผ่านชายแดน กระทบเพียงใดหลังเหตุปะทะ

สรุปผลกระทบเศรษฐกิจข้อพิพาทชายแดน🇹🇭ไทย-🇰🇭กัมพูชา การชายแดนไทยทรุดตัวลงอย่างรุนแรงถึง 23% หรือกว่า 3 พันล้าน 🧐การค้าระหว่างไทย–กัมพูชาพึ่งพาการค้าผ่านชายแดนด่านบกมูลค่ากว่า 46.8% จากการค้า ไทย-กัมพูชาของด่านทั้งหมด (บก-น้ำ-อากาศ) ⚔️ทำให้ข้อพิพาทชายแดนที่ปะทุปลายเดือนพฤษภาคม ตลอดจนเหตุปะทะรุนแรงในเดือนกรกฎาคม เสี่ยงฉุดการค้ารวมให้ชะลอตัวอย่างหนัก เนื่องจากการปิดทำการของด่านชายแดน และความต้องการสินค้าจากไทยในตลาดกัมพูชาที่อาจหดตัวลงจากกระแสการแบนสินค้าไทย ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาส่งผลให้มูลค่าการค้าชายแดนทรุดตัวลงอย่างรุนแรงถึง 23% จากการจำกัดการทำการ ของด่านการค้าชายแดนกัมพูชาที่สำคัญหลายจุดในช่วงเดือนมิถุนายน ส่งผลให้มูลค่าการค้าที่มีอัตราการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง หดตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งอาจมีการทรุดตัวหนักขึ้นเนื่องจากเหตุปะทะชายแดนที่รุนแรงในเดือนกรกฎาคม   🚛เส้นทางโลจิสติกส์เชื่อมไทย-เวียดนามผ่านกัมพูชา: โอกาสและความท้าทายบนระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้🇻🇳🇹🇭 การค้าทางบกระหว่างไทยและเวียดนาม โดยมีกัมพูชาเป็นประเทศทางผ่าน นับเป็นเส้นทางโลจิสติกส์ที่สำคัญภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบน ระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสามประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เส้นทางคมนาคมหลัก เส้นทางการค้าทางบกที่สำคัญซึ่งเชื่อมโยงไทย-กัมพูชา-เวียดนาม ประกอบด้วย 2 เส้นทางหลัก ดังนี้: 🛣️เส้นทาง R1 (Central Sub-Corridor): เป็นเส้นทางสายหลักที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการขนส่งสินค้า มีระยะทางประมาณ 900 กิโลเมตร เริ่มต้นจากกรุงเทพมหานคร ผ่านจังหวัดสระแก้ว เข้าสู่ประเทศกัมพูชาที่ด่านคลองลึก-ปอยเปต ผ่านกรุงพนมเปญ และสิ้นสุดที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เส้นทางนี้มีข้อได้เปรียบในด้านระยะทางที่สั้นกว่าและโครงสร้างพื้นฐานที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ทำให้สามารถลดระยะเวลาการขนส่งสินค้าจากไทยไปเวียดนามตอนใต้เหลือเพียง 23-31 ชั่วโมง 🛣️เส้นทาง R10 (Southern Coastal Sub-Corridor): เป็นเส้นทางเลียบชายฝั่งทะเล เริ่มต้นจากจังหวัดตราดของไทย ผ่านเข้าสู่จังหวัดเกาะกงของกัมพูชา และเชื่อมต่อไปยังจังหวัดฮาเตียนของเวียดนาม แม้จะยังมีการใช้งานน้อยกว่าเส้นทาง R1 แต่ก็มีศักยภาพในการเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าเกษตรและสินค้าจากนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของไทยไปยังเวียดนามตอนใต้ 🚧ด่านการค้าและพิธีการศุลกากร การขนส่งสินค้าผ่านแดนจะต้องผ่านพิธีการศุลกากรที่ด่านชายแดนของแต่ละประเทศ โดยมี ด่านอรัญประเทศ-ปอยเปต เป็นด่านที่มีความสำคัญและมีมูลค่าการค้าสูงสุด ปัจจุบันมีการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าข้ามแดนผ่านระบบ ASEAN Single Window ซึ่งช่วยให้การยื่นเอกสารศุลกากรเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น สินค้าหลักและโอกาสทางการค้า สินค้าที่ขนส่งผ่านเส้นทางนี้มีความหลากหลาย โดยสินค้าส่งออกจากไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องจักรกล และชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่สินค้าจากเวียดนามที่ส่งมายังไทยมักเป็นสินค้าเกษตรและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมที่สะดวกและรวดเร็วขึ้นนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดไปยังเวียดนามตอนใต้ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงได้ง่ายขึ้น 🤝ข้อตกลงทางการค้าที่เกี่ยวข้อง แม้จะยังไม่มีข้อตกลงทางการค้าสามฝ่ายโดยตรง แต่การค้าบนเส้นทางนี้ได้รับอานิสงส์จากข้อตกลงทวิภาคีระหว่างประเทศต่างๆ เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และข้อตกลงทวิภาคีเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งช่วยลดอุปสรรคทางภาษีและอำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ ดังนั้น การค้าทางบกไทย-เวียดนามผ่านกัมพูชาเป็นเส้นทางที่มีศักยภาพสูงในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศ และมีแนวโน้มที่จะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต หากมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เหตุการปะทะ ไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้กระทบเพียง การค้าแค่ 2 ประเทศ แต่ยังกระทบคู่ค้าสำคัญของไทยที่บริโภคสินค้าไทยอย่าง เวียดนาม ด้วยนั่นเอง . #การค้าชายแดน #เศรษฐกิจชายแดน #ไทยกัมพูชา #ISANInsightAndOutlook พาเปิดเบิ่งสถิติ แรงงานต่างด้าวในอีสานพุ่งไม่หยุด‼️ “ลาว-เมียนมา-กัมพูชา” ใครยึดพื้นที่จังหวัดไหนบ้าง⁉️

พามาเบิ่งการค้าระหว่างไทย–กัมพูชาพึ่งพาการค้าผ่านชายแดน กระทบเพียงใดหลังเหตุปะทะ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่งพิกัด “เทือกเขาอีสาน” ที่ซ่อน “มรดกโลก” และ “ประวัติศาสตร์ชาติ” ไว้

เทือกเขาในภาคอีสาน มรดกธรรมชาติและโอกาสเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ภาคอีสานไม่ได้มีเพียงวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังซ่อนความงดงามทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะเทือกเขาต่างๆ ที่ถือเป็น “ขุนเขาแห่งอีสาน” และเป็นพื้นที่ที่ถูกบันทึกไว้ในมรดกโลก รวมถึงประวัติศาสตร์ชาติ และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงเศรษฐกิจที่สามารถขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในระดับสากลได้ 5 เทือกเขาในภาคอีสานมีอะไรบ้าง⁉️ เทือกเขาเพชรบูรณ์ จุดสูงสุดแห่งอีสาน ภูหินร่องกล้าและภูเขาสูงตระหง่าน อย่างเช่น ภูหินขาว มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,820 เมตร ทำให้เทือกเขาเพชรบูรณ์กลายเป็นพื้นที่ชมวิวที่โดดเด่นของภาคอีสาน การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงผจญภัย อย่างเช่น การปีนเขา เดินป่า และแคมป์ปิ้ง ก็สามารถเชื่อมโยงกับกระแสสุขภาพและธรรมชาติบำบัดได้เป็นอย่างดี ซึ่งในขณะนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มครอบครัวที่แสวงหาความเงียบสงบ ขณะเดียวกันยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การลงทุนธุรกิจโฮมสเตย์เชิงนิเวศและรีสอร์ตที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อีกด้วย เทือกเขาภูพญาเย็น-สันกำแพง มรดกโลกที่ใหญ่กว่ากรุงเทพฯ 4 เท่า มีขนาดพื้นที่กว่า 6,155 ตารางกิโลเมตรของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพ ธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่นี้สามารถต่อยอดในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากิจกรรมดูนก การจัดทริปศึกษาธรรมชาติ ไปจนถึงการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้สำหรับเยาวชน การได้รับเป็นมรดกโลกนั่น ยังเพิ่มมูลค่าให้กับการแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมองว่าเป็นจุดหมายที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต เทือกเขาพนมดงรัก รอยต่อประวัติศาสตร์ไทย-กัมพูชา พนมดงรักไม่เพียงเป็นเทือกเขาที่เต็มไปด้วยโบราณสถานสำคัญ อย่างเช่น ปราสาทเขาพระวิหาร และปราสาทหินพนมรุ้ง แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวระหว่างไทยและกัมพูชา การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมที่ผสานเข้ากับเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจประวัติศาสตร์อารยธรรมขอมโบราณ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมธุรกิจชุมชน เช่น งานหัตถกรรมและอาหารพื้นถิ่น ที่สามารถเป็นสินค้าที่ระลึกและเพิ่มรายได้ให้แก่คนท้องถิ่นนั่นเอง เทือกเขาภูพาน แหล่งอาหารป่าและพืชสมุนไพรของอีสาน ภูพานไม่ใช่เพียงเทือกเขาของอีสาน แต่คือพื้นที่ที่รวมคุณค่าหลายมิติ ทั้งรอยเท้าไดโนเสาร์และฟอสซิลที่ภูกุ้มข้าว-ภูแฝก ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว อาหารป่าและพืชสมุนไพรที่ทำให้ภูพานถูกขนานนามว่า “ตู้กับข้าวธรรมชาติ”ฃ สามารถต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงอาหารและสุขภาพ ขณะเดียวกันยังมีประวัติศาสตร์การเมืองในฐานะอดีตที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่สามารถพัฒนาเป็นเส้นทางเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรมได้อย่างแตกต่าง หากมีการบูรณาการเชิงกลยุทธ์ ภูพานจะกลายเป็น “จุดหมายปลายทางแห่งหลายประสบการณ์” ที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้ให้แก่ชุมชนรอบข้างได้อย่างยั่งยืน เทือกเขาในภาคอีสานจึงไม่ใช่เพียง “ขุนเขา” ที่เงียบสงบ แต่คือ “ทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรม” ที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล การบูรณาการเส้นทางท่องเที่ยวหลายมิติ (ธรรมชาติ-วัฒนธรรม-อาหาร) และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เทือกเขาอีสานจะไม่เพียงเป็น “ภูเขาแห่งความงาม” แต่ยังเป็น “ภูเขาแห่งโอกาส” ที่ยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่นได้ในระยะยาวนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช – กรมทรัพยากรธรณี – องค์การบริหารส่วนตำบลภูลานจัง – แผนที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย – ศูนย์ข้อมูลการวิจัย สกว. – สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เทือกเขาในภาคอีสาน #เทือกเขา #มรดกโลก #ประวัติศาสตร์ #มรดกธรรมชาติ #การท่องเที่ยว

พาเปิดเบิ่งพิกัด “เทือกเขาอีสาน” ที่ซ่อน “มรดกโลก” และ “ประวัติศาสตร์ชาติ” ไว้ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง งบประมาณอีสานปี 69 เปิดตัวเลขที่คนในพื้นที่ต้องรู้ เทศบาลไหน “รวยงบสุด” ในปีนี้⁉️

งบประมาณจากภาครัฐถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาของเทศบาลนคร เม็ดเงินเหล่านี้ถูกจัดสรรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการสาธารณะ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปจนถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น การได้รับงบประมาณที่เพียงพอและสอดคล้องกับขนาดและความต้องการของเทศบาลนครแต่ละแห่ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเมือง เทศบาลนครที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการงบประมาณนั้น ก็สามารถแปลงเม็ดเงินที่ได้รับมาเป็นโครงการและกิจกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน แต่ในทางตรงกันข้ามเทศบาลที่ประสบปัญหาในการบริหารจัดการ อาจเผชิญกับข้อจำกัดในการพัฒนาและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่ จากข้อมูลงบประมาณเทศบาลในภาคอีสานปี 2569 แสดงให้เห็นถึงภาพเศรษฐกิจเมืองอีสานที่กำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคการพัฒนาเชิงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ เมืองใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้า การศึกษา การแพทย์ และโลจิสติกส์ ได้รับงบประมาณจำนวนมากเพื่อรองรับการเติบโตของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งตามตัวเลขงบประมาณจึงไม่เพียงบอกว่าเมืองใดรวยงบที่สุด แต่ยังสะท้อนบทบาทของเมืองในฐานะเครื่องยนต์เศรษฐกิจภูมิภาคอีกด้วย 5 จังหวัดที่ได้รับงบมากที่สุด เทศบาลนครนครราชสีมา 952 ล้านบาท เทศบาลนครขอนแก่น 942 ล้านบาท เทศบาลนครอุดรธานี 854 ล้านบาท เทศบาลนครอุบลราชธานี 499 ล้านบาท เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด 477 ล้านบาท จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ทั้งหมดล้วนเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงและมีบทบาทเชื่อมโยงกับภูมิภาคใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นนครราชสีมาที่เป็นฐานอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์, ขอนแก่นซึ่งโดดเด่นด้านการแพทย์และมหาวิทยาลัย ส่วนอุดรธานีที่ทำหน้าที่เป็นประตูการค้าสู่ลาวและเวียดนาม, อุบลราชธานีที่เชื่อมเศรษฐกิจกับกัมพูชา รวมถึงร้อยเอ็ดที่แม้ไม่ใช่เมืองชายแดนแต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากบทบาทด้านบริการและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมนั่นเอง เหตุผลที่กลุ่มจังหวัดเหล่านี้ได้งบจำนวนมาก มาจากทั้งขนาดเศรษฐกิจและความซับซ้อนของเทศบาล เมืองใหญ่ต้องลงทุนมากกว่าเมืองเล็ก ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อย่างเช่น ถนน ระบบระบายน้ำ การจัดการขยะ และขนส่งสาธารณะ ตลอดจนการสร้างพื้นที่สาธารณะเพื่อรองรับประชากรและนักท่องเที่ยว อีกทั้งเทศบาลเหล่านี้ยังมีฐานรายได้ท้องถิ่นสูง จากภาษีที่ดิน ภาษีป้าย และค่าธรรมเนียม จึงได้รับการจัดสรรจากส่วนกลางมากขึ้นตามสัดส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั่นเอง อีกหนึ่งมุมมองน่าสนใจ คือ “งบต่อหัว” เมืองที่ไม่ได้อยู่ใน 5 อันดับแรกด้านงบรวมกลับโดดเด่น เช่น ร้อยเอ็ดที่มีงบต่อหัวสูงถึงราว 14,909 บาท/คน, เลยประมาณ 12,015 บาท/คน, และนครพนมกว่า 10,621 บาท/คน ทั้งนี้เพราะจำนวนประชากรตามทะเบียนบ้านไม่มาก แต่เทศบาลต้องดูแลผู้มาใช้บริการจริงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน นักศึกษา หรือผู้ป่วยจากต่างจังหวัด การมีงบต่อหัวสูงจึงสะท้อนการลงทุนในบริการที่มีคุณภาพและเจาะลึก อย่างเช่น การแพทย์ การท่องเที่ยว หรือโครงการพัฒนาเมืองเชิงวัฒนธรรมอีกด้วย งบประมาณอีสานปี 2569 สะท้อนความจริงที่ว่าเมืองใหญ่อย่างนครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานียังคงเป็นหัวรถจักรหลักของเศรษฐกิจภาคอีสาน ขณะที่อุบลราชธานีและร้อยเอ็ดกำลังเสริมบทบาทในฐานะศูนย์บริการและเมืองคุณภาพสูง เมืองที่สามารถแปลงงบประมาณให้เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ อย่างเช่น การแก้น้ำท่วม ขนส่งสาธารณะ และโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางใหม่ของเศรษฐกิจอีสานในอนาคตนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – สำนักงบประมาณ – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ # #เศรษฐกิจอีสาน #เทศบาลนคร #เทศบาลนครในอีสาน  #เทศบาลนคร #เทศบาลเมือง  

พาเปิดเบิ่ง งบประมาณอีสานปี 69 เปิดตัวเลขที่คนในพื้นที่ต้องรู้ เทศบาลไหน “รวยงบสุด” ในปีนี้⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา! “ประตูสู่แดนอีสาน” บานไหนคึกคักสุด? พาส่องเบิ่ง “เพื่อนบ้าน GMS” แห่ข้ามแดนด่านไหนมากสุด

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา สถิติการเดินทางข้ามแดนในอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของด่านชายแดนไทยกับกลุ่มประเทศ GMS ซึ่งไม่เพียงแต่ในเชิงการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะตัวเลขจาก ด่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย ซึ่งมีจำนวนผู้ข้ามแดนสูงถึงกว่า 703,160 คน ซึ่งมากที่สุดในอีสาน แสดงให้เห็นว่าหนองคายยังคงเป็น “ศูนย์กลางการเชื่อมโยงเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง” ที่ทรงพลังที่สุดนั่นเอง จะเห็นได้ว่าสัดส่วนของผู้ข้ามแดนจาก ประเทศลาวกว่า 91.5% ในด่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพิงซึ่งกันและกันระหว่างไทย-ลาว ในการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว แต่สิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามคือการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนและเวียดนาม แม้จะยังมีสัดส่วนไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นสัญญาณของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเชิงลึกที่สะท้อนให้เห็นว่าชายแดนไทย-ลาวกำลังกลายเป็นประตูรองรับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากจีนที่เล็งเห็นความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ของอีสานในการเข้าถึงตลาดอาเซียนนั่นเอง อีกด่าน คือ ด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีผู้ข้ามแดนกว่า 169,583 คน กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-ลาวตอนใต้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการค้าการลงทุน โดยเฉพาะด้านพลังงานและเกษตรอุตสาหกรรม เนื่องจากพื้นที่นี้เชื่อมโยงโดยตรงกับแขวงจำปาสักและเส้นทางเศรษฐกิจไปสู่เวียดนามตอนกลาง การเติบโตของด่านนี้จึงควรได้รับการจับตามองในฐานะฮับเศรษฐกิจชายแดนตอนใต้ที่พร้อมจะดึงดูดการลงทุนด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมแปรรูปนั่นเอง นอกจากนี้ ด่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 3 จังหวัดนครพนม แม้มีจำนวนผู้ข้ามแดนราว 63,816 คน แต่เมื่อพิจารณาเชิงโครงสร้างจะพบว่า ด่านนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อการเชื่อมโยง East-West Economic Corridor (EWEC) ที่เชื่อมไทย-ลาว-เวียดนาม จึงไม่ใช่แค่ปริมาณคน แต่คือคุณภาพของเส้นทางการค้าที่จะกำหนดศักยภาพการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะโลจิสติกส์และธุรกิจส่งออก แต่หากมองในภาพรวม จะเห็นได้ว่า ภาคอีสานกำลังกลายเป็น “หนึ่งในประสู่เศรษฐกิจ” ของไทย ที่รับแรงหนุนจากทั้งการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนข้ามพรมแดน จุดเด่นของอีสานไม่เพียงอยู่ที่จำนวนคนและแรงงานเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่สามารถเป็นสะพานเชื่อมจีน-ลาว-เวียดนามเข้าสู่ประเทศไทยได้อีกด้วย และต่อไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งหากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการยกระดับเมืองชายแดนให้เป็นเมืองเศรษฐกิจพิเศษ ก็จะทำให้อีสานไม่ใช่เพียงประตูผ่าน แต่กลายเป็น “จุดหมายปลายทางทางเศรษฐกิจ” อย่างแท้จริง     อ้างอิงจาก: – TRAVEL LINK   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ด่านชายแดน #การค้าาชายแดน #การค้าชายแดนอีสาน #ด่านในอีสาน #เศรษฐกิจชายแดน

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา! “ประตูสู่แดนอีสาน” บานไหนคึกคักสุด? พาส่องเบิ่ง “เพื่อนบ้าน GMS” แห่ข้ามแดนด่านไหนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top