Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

ส่องรายได้ธุรกิจ…ในกลุ่ม ‘สบายดี’ ว่ามีอีหยังน่าสนใจบ้าง

กลุ่มจังหวัด “สบายดี” หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย และหนองคาย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกันทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม โดยเฉพาะการเป็นประตูเศรษฐกิจสำคัญของไทยที่เชื่อมต่อกับประเทศลาวและเวียดนาม ในพื้นที่ 5 จังหวัดของกลุ่มจังหวัดสบายดี มีอยู่ 2 จังหวัดที่มีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเชื่อมต่อกับ สปป.ลาว โดยตรง ได้แก่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 เชื่อมจาก จังหวัดหนองคาย ไปยัง นครหลวงเวียงจันทน์ เปิดใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 เชื่อมจาก จังหวัดบึงกาฬ ไปยัง เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ใช้บริการได้ภายใน สิ้นปี พ.ศ. 2568 ด้วยทำเลที่ได้เปรียบดังกล่าว ทำให้กลุ่มจังหวัดนี้มีการค้าชายแดนระหว่างไทย–ลาวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางหลักที่นักท่องเที่ยวจาก ลาว เวียดนาม และจีน เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่งผลให้กลุ่มจังหวัดสบายดีได้รับอานิสงส์ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากการอยู่ติดชายแดนเป็นอย่างมาก นอกจากความโดดเด่นในด้านพื้นที่ชายแดนแล้ว กลุ่มจังหวัดสบายดี ยังมีความได้เปรียบด้าน การเกษตร ที่ไม่แพ้กัน หากพิจารณาพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะพบว่า ยางพาราและอ้อย เป็นพืชหลักที่มีการเพาะปลูกอย่างกว้างขวางในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะ ยางพารา ซึ่งพื้นที่ปลูกส่วนใหญ่ของภาคอีสานกว่า 2.6 ล้านไร่ อยู่ในกลุ่มจังหวัดสบายดี คิดเป็นเกือบ ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ปลูกยางพาราทั้งหมดของภาค ส่วนในด้าน อ้อย กลุ่มจังหวัดนี้ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยมีปริมาณผลผลิตคิดเป็นประมาณ 28% ของผลผลิตอ้อยทั้งภาคอีสาน เมื่อพิจารณาภาพรวมธุรกิจในกลุ่มจังหวัดสบายดี จะพบว่าธุรกิจหลักในพื้นที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ การเกษตร การค้าชายแดน และพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงน้ำตาล โรงงานยางพารา หรือกิจการค้าปลีกค้าส่งที่เติบโตตามเมืองศูนย์กลางอย่างอุดรธานีและหนองคาย อีกทั้งการคมนาคมที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศก็ยิ่งช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจในพื้นที่นี้มีความคึกคักขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลังโควิด-19 ปัจจัยดังกล่าวสอดคล้องกับการเติบโตของภาคธุรกิจในพื้นที่ โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวเนื่องกับผลผลิตทางการเกษตร เช่น บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด และ บริษัท กว๋างเขิ่น รับเบอร์ (แม่น้ำโขง) จำกัด ธุรกิจเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากการมีแหล่งวัตถุดิบอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตบางส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้ว กลุ่มจังหวัดสบายดีถือเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากฐานการเกษตรและการค้าชายแดน แม้จะยังไม่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ระดับประเทศเข้ามามากนัก แต่ศักยภาพของทำเล การคมนาคม และทรัพยากรในพื้นที่ ทำให้ภูมิภาคนี้ยังมีช่องทางขยายตัวในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเกษตรแปรรูปและโลจิสติกส์ข้ามแดน   อ้างอิง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ส่องรายได้ธุรกิจ…ในกลุ่ม ‘สบายดี’ ว่ามีอีหยังน่าสนใจบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

“ราคาทองคำ” ทะยานไม่หยุด พาเปิดเบิ่ง 10 ประเทศ “มหาเศรษฐีทองคำ” ไทยรั้งอันดับ 22 มีทองในมือเท่าไหร่?

ในยุคที่ระบบการเงินผันผวนและความไม่แน่นอนทางทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น “ทองคำ” ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด การจัดอันดับของ World Gold Council ชี้ให้เห็นว่า ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐอเมริกา ถือครองทองคำกว่า 8,133 ตัน, เยอรมนี 3,351 ตัน, อิตาลี 2,452 ตัน และ ฝรั่งเศส 2,437 ตัน ต่างถือครองทองคำในปริมาณมหาศาลเพื่อใช้เป็นทุนสำรองประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเงินที่เหนือชั้น ขณะที่ประเทศไทยแม้จะอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก แต่ก็ถือครองทองคำมากถึง 235 ตันเลยทีเดียว ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงใช้ทองคำเป็นเกาะป้องกันสำคัญในยามเศรษฐกิจโลกผันผวนนั่นเอง เมื่อมองย้อนกลับไปช่วง 10 ที่ผ่านมา ราคาทองคำขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2568 ที่ราคาพุ่งแตะระดับ 62,300 บาท ซึ่งสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความตื่นตระหนกของนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแรงกดดันเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก ทั้งภาวะเงินเฟ้อ สงคราม และการชะลอตัวของตลาดทุนโลก ซึ่งทำให้ทองคำกลับมาเป็นสินทรัพย์ที่ทุกประเทศแย่งกันถือ ประเทศไทยของเรา ราคาทองคำที่พุ่งสูงนั้นต่างก็มีทั้งด้านบวกและด้านลบด้วยกัน ด้านผู้ที่ถือทองอยู่แล้วได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง สะท้อนถึงค่าของเงินบาทที่อ่อนลง และต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น สำหรับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในภาคอีสานของเราที่มีรายได้เฉลี่ยที่ค่อนข้างต่ำ อีสานอินไซต์จะขอการเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ เมื่อราคาทองคำแตะ 62,300 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในหลายจังหวัดอีสานอยู่ราว 370-380 บาทต่อวัน หมายความว่าคนทำงานต้องใช้แรงกายกว่า 160 วัน เพื่อแลกทองคำ “หนึ่งบาท” อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงเป็นตัวชี้วัดทางความมั่นคงทางเศรษฐกิจของทั้งโลกและไทย การที่ไทยถือครองทองคำเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาณว่าไทยกำลังสร้างเกราะป้องกันต่อวิกฤตการเงินโลกในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการยกระดับรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะในภาคอีสานให้สามารถ “ก้าวทันต้นทุนชีวิต” ที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่างั้นทองคำจะยังคงเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของบางกลุ่มมากกว่าจะเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงที่ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – World Gold Council – สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ทองคำ #ทองคำราคาพุ่ง #ราคาทองคำ #ทองคำแท่ง

“ราคาทองคำ” ทะยานไม่หยุด พาเปิดเบิ่ง 10 ประเทศ “มหาเศรษฐีทองคำ” ไทยรั้งอันดับ 22 มีทองในมือเท่าไหร่? อ่านเพิ่มเติม »

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่?

  ปัจจุบันภาคอีสานในหลายๆ พื้นที่ กำลังจะมีโครงการใหญ่ๆ ที่หลายคนเฝ้ารอ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ สะพาน สนามบิน และอื่นๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีบางโครงการที่ได้มีการประกาศว่าจะเกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันกลับเงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงสัยให้กับคนพื้นที่ว่า ‘สรุปโครงการนี้จะเอายังไงกันแน่’ เราขอหยิบยกมานำเสนอ 2 โครงการ ได้แก่… ศูนย์การแพทย์ สถาบันพระบรมราชชนก วิทยาเขตอุดรธานี🏥 : หลายคนคงเคยได้ยินว่า อุดรฯ กำลังจะมีโรงเรียนเพื่อพัฒนาบุคลากรแพทย์ รวมไปถึงเป็นโรงพยาบาล ภายใต้งบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งตามกำหนดการจะใช้เวลาก่อสร้างในช่วง 2565 – 2567 แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับชาวบ้านในเขต ต.สามพร้าว ขึ้น ทำใหโครงการหยุดชะงัก ซึ่งปัจจุบันตัวก็ยังไม่มีการอัพเดตใดๆ จนคนอุดรหลายคนสงสัยไปตามๆ กันว่าศูนย์การแพทย์แห่งนี้จะได้ไปต่อหรือไม่🤔 ท่าอากาศยานมุกดาหาร ✈️: สนามบินมุกดาหาร เป็นโครงการที่ไม่เชิงว่าเงียบไป แต่ทำให้คนมุกนั้นสับสนกันพอสมควร ซึ่งตามแผนเดิมนั้นจะมีการก่อสร้างและเปิดใช้งานในปี 2571 แต่ในช่วงปลายเดือน เม.ย. 68 รมว.คมนาคม ในขณะนั้น รายงานว่ายังไม่มีนโยบายก่อสร้างสนามบินมุกดาหาร เนื่องจากหลายอย่างยังไม่พร้อม และอาจไม่คุ้มค่าทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ได้ออกมายืนยันว่าการก่อสร้างสนามบินมุกดาหารจะเดินหน้าต่อแน่นอน เพียงแต่ต้องทบทวนความพร้อมหลายๆ อย่างก่อน   ใครที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียง หรือติดตามเรื่องนี้อยู่ หรือมีโครงการอื่นๆ ของภาคอีสานในลักษณะที่ไม่รู้ว่าจะไปได้ต่อหรือไม่ มาแสดงความเห็นกันได้นะคะ ✍️ ที่มา: ศูนย์อนามัยที่ 8 อุดรธานี, สำนักข่าวชายขอบ, เดลินิวส์, สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่? อ่านเพิ่มเติม »

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย”

สุจินดา เชิดชัย หรือ “เจ๊เกียว” เดิมชื่อ “คาเกียว” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเมื่ออายุ 9 ขวบ เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรคนที่ 6 ของครอบครัว แม้จะเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ที่ 1 แต่กลับต้องหยุดเรียนเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะมารดาไม่อนุญาตให้เรียนต่อ หลังจบการศึกษา เจ๊เกียวเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากการเป็นแม่ค้าขายของตามสถานีรถไฟ ก่อนต่อยอดด้วยการเรียนตัดเสื้อ และเปิดโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อผ้า กระทั่งได้แต่งงานกับ นายวิชัย เชิดชัย (เฮียไช) เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจเดินรถโดยสาร จากจุดเล็ก ๆ นั้น เจ๊เกียวได้ขยายกิจการจนกลายเป็น เจ้าของสัมปทานรถโดยสารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ภายใต้ชื่อ “เชิดชัยทัวร์” ที่ดำเนินธุรกิจรถร่วม บขส. มานานกว่า 65 ปี มีรถกว่า 200 คัน วิ่งให้บริการครอบคลุมทั้งภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ นอกจากบทบาทนักธุรกิจ เจ๊เกียวยังดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วม บขส. และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าโดยสารในช่วงราคาน้ำมันพุ่งสูง อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 เจ๊เกียวเคยจะประกาศเตรียมเลิกกิจการรถทัวร์ และขายบริษัทเชิดชัยทัวร์ออกไป โดยให้เหตุผลว่าได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้โดยสารที่เปลี่ยนไป หลายคนหันมาขับรถส่วนตัว หรือเลือกใช้สายการบินโลว์คอสต์แทน เนื่องจากค่าโดยสารใกล้เคียงกันแต่ใช้เวลาเดินทางสั้นกว่า ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา “รถโดยสารระหว่างจังหวัด” เคยเป็นเส้นเลือดหลักของระบบคมนาคมไทย เชื่อมต่อเมืองใหญ่กับต่างจังหวัดทั่วประเทศ แต่เมื่อพฤติกรรมการเดินทางของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังการมาของ สายการบินต้นทุนต่ำ (Low-Cost Airline) และการที่ประชาชนหันมาใช้ รถยนต์ส่วนตัว กันมากขึ้น ธุรกิจเดินรถบัสสาธารณะจึงเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การเข้ามาของสายการบินต้นทุนต่ำ เช่น แอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ หรือไทยเวียดเจ็ท ทำให้การเดินทางทางอากาศไม่ใช่เรื่องของคนมีฐานะอีกต่อไป ราคาตั๋วเครื่องบินที่เคยอยู่หลักพันปลาย กลับลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถโดยสารวีไอพี โดยเฉพาะเมื่อมีโปรโมชั่น “บินถูกหลักร้อย” ออกมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้โดยสารจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว และพนักงานบริษัท ที่ต้องการประหยัดเวลาในการเดินทาง เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ที่เครื่องบินใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่รถบัสต้องใช้เวลากว่า 8 – 10 ชั่วโมง เมื่อเวลามีค่ามากขึ้น การจ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อแลกกับความรวดเร็วและความสะดวกสบายจึงกลายเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” สำหรับหลายคน ผลที่ตามมาคือ เส้นทางระยะไกลหลายสายของผู้ประกอบการเดินรถเริ่มมีผู้โดยสารลดลงอย่างต่อเนื่อง จนต้องลดจำนวนเที่ยวหรือยกเลิกบางเส้นทาง เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กดดันธุรกิจรถบัสคือ การใช้รถยนต์ส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากความสะดวกในการผ่อนรถ ราคาน้ำมันที่ทรงตัว และถนนที่เชื่อมต่อทั่วถึงมากขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวหรือเพื่อนร่วมทาง มองว่าการขับรถเอง

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย” อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ

ในปี 2567 ประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งหมด โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ยังคงมี “สัดส่วนคนจนสูง” แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะเริ่มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางในระดับครัวเรือนกลับยิ่งชัดเจนขึ้น โดยจังหวัด อุบลราชธานี และ ศรีสะเกษ กลายเป็นตัวแทนของภาพเศรษฐกิจอีสานในปัจจุบัน ทั้งคู่ติดอันดับ Top 10 จังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดของไทย โดยอุบลราชธานีมีสัดส่วนคนจนกว่า 20.34% ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด ส่วนศรีสะเกษอยู่ที่ 14.08% สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก แม้จะอยู่ในภูมิภาคที่อุดมด้วยทรัพยากรและพรมแดนการค้า แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกลับไม่กระจายสู่ชุมชนอย่างเท่าเทียมนั่นเอง เศรษฐกิจอีสานส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก แรงงานกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในภาคเกษตร โดยเฉพาะการทำนา ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด สินค้าหลักที่สามารถสร้างรายได้กลับผันผวนและพึ่งพาธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่แน่นอนของฝน ความเสียหายจากน้ำท่วมซ้ำซาก และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น กลายเป็น “กับดักรายได้ต่ำ” ที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถสะสมทุนเพื่อหลุดพ้นจากความยากจนได้ อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูง รายได้ที่ไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มที่ ขณะเดียวกัน โอกาสทางเศรษฐกิจในอีสานยังถูกจำกัดด้วย โครงสร้างการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่เอื้อให้เกิดธุรกิจสมัยใหม่ การลงทุนภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวในภาคกลางและภาคตะวันออก ขณะที่ภาคอีสานแม้จะมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์มหาศาล โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนอย่างมุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี ที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาวและกัมพูชา แต่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยังไม่ต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมหรือบริการได้อย่างแท้จริง . แรงงานจำนวนมากจึงเลือกเดินทางออกจากภูมิภาคไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อหารายได้สูงกว่า ผลคือ “เศรษฐกิจท้องถิ่นขาดแรงหมุนเวียน” เงินรายได้จากแรงงานอีสานที่ส่งกลับบ้านในรูปของเงินโอน แม้จะช่วยเลี้ยงครัวเรือนในระยะสั้น แต่ไม่ได้สร้างการเติบโตในระยะยาว เมื่อคนหนุ่มสาวย้ายถิ่น แรงงานในพื้นที่จึงเหลือเพียงผู้สูงอายุและแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งอีสานคือ โครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอีสานมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 28.4% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาค ซึ่งหมายความว่าภาคแรงงานจะยิ่งหดตัวลง และภาระการดูแลสังคมจะเพิ่มขึ้น  เมื่อเศรษฐกิจพึ่งเกษตร รายได้ไม่แน่นอน การลงทุนต่ำ และโครงสร้างประชากรเปลี่ยน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ได้กลายเป็น “วงจรความยากจนเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้ภาคอีสานของเราที่แม้จะมีศักยภาพ แต่ไม่อาจก้าวทันภูมิภาคอื่นของประเทศนั่นเอง อีสานมีศักยภาพมหาศาลทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน วัฒนธรรม และภูมิรัฐศาสตร์ หากได้รับการพัฒนาอย่างมีทิศทาง อีสานจะไม่ใช่เพียง “ภูมิภาคแห่งความยากจน” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ภูมิภาคแห่งพลังใหม่ของเศรษฐกิจไทย” ที่เติบโตบนฐานความยั่งยืนและภูมิปัญญาท้องถิ่น   อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. – ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “วิกฤตทางการศึกษา” ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตัวเลขจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปี 2567 พบว่า จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุดในประเทศกลับไม่ใช่เขตเศรษฐกิจหลัก แต่เป็นพื้นที่ชายขอบและชนบท อย่างเช่น แม่ฮ่องสอน นราธิวาส และโดยเฉพาะ ภาคอีสาน ที่ติดอันดับถึง 8 จังหวัดจาก 10 อันดับแรก ไม่ว่าจะเป็น นครพนม อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ยโสธร มุกดาหาร ศรีสะเกษ และสกลนคร โดยเด็กในพื้นที่เหล่านี้กว่า 35-40% มาจากครัวเรือนยากจนพิเศษ ซึ่งหมายความว่าแทบทุก 3-4 คน จะมี 1 คนที่ขาดปัจจัยพื้นฐานต่อการเรียนรู้นั่นเอง เบื้องหลังปัญหานี้คือ โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง โดยภาคอีสานยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก เผชิญภัยแล้ง ราคาผลผลิตผันผวน และขาดอุตสาหกรรมมูลค่าสูง จึงสร้างรายได้ที่ไม่มั่นคง ขณะเดียวกัน ครัวเรือนจำนวนมากมีการศึกษาสูงสุดเพียงระดับประถม ทำให้ขาดความสามารถในการสนับสนุนลูกหลานด้านการเรียน การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา เช่น โรงเรียนที่มีครูครบวิชา ห้องสมุด และเทคโนโลยีดิจิทัล ยิ่งซ้ำเติมช่องว่างเหล่านี้ เมื่อเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอหรือเท่าที่ควรจะเป็น โอกาสหลุดออกนอกระบบการศึกษาจึงสูง และเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็ถูกจำกัดให้ทำงานรายได้ต่ำในระบบเศรษฐกิจที่อาจไม่ก้าวหน้านั่นเอง วิกฤตนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาสังคม แต่คือ ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ที่ส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตของประเทศ การที่เด็กในภูมิภาคใหญ่ที่สุดของไทยขาดการศึกษาที่มีคุณภาพ คือสัญญาณว่าประเทศกำลังสูญเสีย “ทุนมนุษย์” (human capital) ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในอนาคต ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคอื่นเร่งพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล เด็กไทยจำนวนมากกลับยังติดอยู่กับความเหลื่อมล้ำพื้นฐาน หากรัฐและสังคมไม่ลงทุนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เราอาจต้องเผชิญกับวงจร “จน–ขาดโอกาส–ไม่มีศักยภาพแข่งขัน” ที่กัดกินทั้งสังคมและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว อย่างไรก็ตาม แม้การศึกษาจะเป็นปัจจัยสำคัญและถือเป็น “ใบเบิกทาง” ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงอาชีพ รายได้ และความก้าวหน้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งของอนาคต โลกความจริงเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้ที่ไม่ได้เรียนจบสูง แต่สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และสร้างรายได้มหาศาลได้ด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้าเสี่ยง การศึกษาไม่ใช่คำตอบเดียว หากเป็นสะพานที่ช่วยให้การเดินทางไปถึงฝั่งฝันง่ายขึ้น ขณะที่บางคนเลือกสร้างเรือของตนเองแล้วฝ่าคลื่นออกไป ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกันนั่นเอง ดังนั้น บทความนี้ไม่ได้ต้องการสรุปว่า ใครที่ยากจนหรือขาดการศึกษาในระบบจะต้องล้มเหลวในชีวิต หากแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า หากรัฐและสังคมละเลยเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เราอาจจะต้องสูญเสียศักยภาพมหาศาลจากเด็กจำนวนมากที่พร้อมจะเป็นพลังสำคัญของชาติ การศึกษาคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเปิดประตูโอกาส แม้ไม่การันตีความสำเร็จ แต่การมีโอกาสย่อมดีกว่าการถูกปิดกั้นตั้งแต่แรกเริ่ม   อ้างอิงจาก: – กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) – รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2567 – สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) – Thai PBS. – SDG Move.  – มติชนสุดสัปดาห์ – Cheewid Blog – Postjung   ติดตาม ISAN Insight &

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน

ฮู้บ่ว่า จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ ภายใต้แนวคิด “ทรัมป์ 2.0” ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนถึงการตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงต่อสินค้าจากจีน ได้ส่งผลให้จีนต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การส่งออกครั้งสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญต่อพลวัตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค โดยจีนที่มีการเร่งการส่งออกเข้าสู่สหรัฐฯต้นปี เริ่มชะลอตัวและหันมาส่งออกสู่ตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งมูลค่าการส่งออกโดยตรงจากจีนไปยังสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 215,909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงถึง 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (241,587 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การหดตัวนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนและผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบรุนแรงจากต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้น และลดการค้าโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและต้นทุนจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ยุทธศาสตร์ตอบโต้ของจีน: ใช้ “อาเซียน” เป็นฐานทัพใหม่ เมื่อประตูการค้าสู่สหรัฐฯ แคบลง จีนไม่ได้ยอมจำนน แต่เลือกใช้กลยุทธ์ “เบนเข็ม” โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งมีพรมแดนติดกันและมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจสูง การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของจีนมายังภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด: ภาพรวมอาเซียน: การส่งออกของจีนมายังอาเซียน เติบโตขึ้น 12.2% กัมพูชา: เติบโตสูงสุดถึง +24.0% ไทย: เติบโต +20.2% เวียดนาม: เติบโต +20.0% ซึ่งนัยนึงอาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนถึง “ทางเลี่ยง” ในการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ไม่ได้หมายความว่าสินค้าจีนทั้งหมดจะถูกบริโภคภายในอาเซียนเท่านั้น แต่มีนัยสำคัญเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์นี้ คือ “การใช้ประเทศที่สามในการสวมสิทธิสินค้า กระบวนการนี้ทำงานได้จากการ ส่งชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished goods) หรือวัตถุดิบมายังโรงงานในประเทศอาเซียน เช่น ไทย หรือ เวียดนาม และถูกนำมาผ่านกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า ให้กลายเป็น “Made in Thailand” หรือ “Made in Vietnam” สรุป: แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การย้ายตลาด แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก” ครั้งใหญ่ โดยมีสงครามการค้าเป็นตัวเร่ง ประเทศไทยและอาเซียนกำลังอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับทั้งโอกาสและความท้าทาย การวางนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสมดุล จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับภูมิทัศน์การค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

“ช่องอานม้า” ลุกเป็นไฟ🔥ทบ.เตือนอย่าตกหลุม “กัมพูชายิงยั่วยุ” หวังปั่นภาพบนเวทีโลก⁉️ พาเปิดพิกัดเบิ่ง เขมรเสริมกำลัง จ่อประชิดชายแดนไทย

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 บริเวณช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเหตุความตึงเครียดระหว่างหน่วยปฏิบัติการของทั้งสองฝ่ายในช่วงเวลากลางวัน โดยสื่อรายงานเหตุการณ์ว่าเวลาประมาณ 12.03 น. ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนกลมือและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามายังแนวป้องกันของไทย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยจะมีการตอบโต้ด้วยอาวุธชนิดเดียวกันและสถานการณ์คลี่คลายลงในประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา อย่างไรก็ตาม เพจอย่างเป็นทางการของกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นการ “ยิงยั่วยุ” จากฝั่งกัมพูชา และยืนยันว่าไทยไม่ได้เปิดการปะทะในเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมขอให้ประชาชนเชื่อถือข้อมูลจากช่องทางทางการเท่านั้น พฤติกรรมการใช้ปืนกลและเครื่องยิงลูกระเบิดในช่วงเวลากลางวัน รวมทั้งการตั้งกล้องบันทึกภาพบริเวณฐานปฏิบัติการ ของกัมพูชานั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการปะทะครั้งนี้อาจมีเป้าประสงค์ทางการประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างภาพเหตุการณ์สาธารณะหรือไม่? ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าเป็นความพยายาม “สร้างเงื่อนไข” ให้สอดคล้องกับการเดินทางของคณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ชายแดนในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปะทะเชิงทหารเท่านั้น แต่ยังผูกโยงกับการต่อสู้ในมิติสื่อและการเมืองระหว่างประเทศ โดยเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ก็ส่งผลกระทบในระดับท้องถิ่นที่ชัดเจน ชุมชนชายแดน/ตลาดชายแดน พ่อค้าแรงงานรายวัน เกษตรกรที่นำผลผลิตมาจำหน่าย และผู้ประกอบการขนส่ง จะได้รับผลกระทบทันทีจากการชะงักของกิจกรรมการค้าข้ามพรมแดน การปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว หรือการจำกัดการสัญจรของประชาชนย่อมทำให้รายได้วันต่อวันลดลง โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กและแรงงานนอกระบบซึ่งมีสภาพคล่องน้อย ผลกระทบเหล่านี้แม้จะไม่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจระดับชาติ แต่สำหรับชุมชนชายแดนแล้วสามารถแปลเป็นการสูญเสียทางรายได้ และแรงกดดันต่อการดำรงชีพภายในพื้นที่ได้ทันทีนั่นเอง ระยะเวลาของความตึงเครียดและระดับการบานปลายเป็นตัวกำหนดขนาดของความเสียหาย หากเหตุการณ์คลี่คลายเร็วและการสื่อสารทางการเป็นไปอย่างโปร่งใส ผลกระทบจะจำกัดอยู่ที่การชะงักชั่วคราวของการค้าและการท่องเที่ยวท้องถิ่น แต่หากมีการปะทะซ้ำหรือยืดเยื้อ จะเกิดค่าใช้จ่ายทางการทหารที่เพิ่มขึ้น งบประมาณท้องถิ่นต้องถูกเบียดบังไปสู่การรักษาความปลอดภัย การลงทุนหรือโครงการพัฒนาพื้นที่จะชะลอหรือลดขนาด นอกจากนี้ความไม่แน่นอนที่ยาวนานย่อมเพิ่ม “ความเสี่ยง” ทำให้ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศชะลอการตัดสินใจในโครงการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ใกล้ชายแดน ส่งผลต่อการจ้างงานและการเติบโตของเศรษฐกิจระดับภูมิภาคนั่นเอง เหตุการณ์ช่องอานม้าที่เกิดขึ้นเมื่อ 27 กันยายน 2568 แม้จะมีลักษณะจำกัดวง แต่สะท้อนความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนที่ผูกโยงกันทั้งมิติทหาร สื่อสาร และเศรษฐกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจแม้จะเน้นหนักในระดับท้องถิ่น แต่หากปล่อยให้ความไม่แน่นอนสะสมก็ย่อมขยายเป็นปัญหาระดับภูมิภาคได้ การสร้างความรัดกุมด้านความมั่นคง การสื่อสารเชิงรับผิดชอบ และมาตรการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับชุมชนชายแดน จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ต่อไป   อ้างอิงจาก: – กองทัพบก ทันกระแส – ประชาชาติธุรกิจ – ข่าวช่อง8 – PPTVHD 36   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ช่องอานม้า #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชา

“ช่องอานม้า” ลุกเป็นไฟ🔥ทบ.เตือนอย่าตกหลุม “กัมพูชายิงยั่วยุ” หวังปั่นภาพบนเวทีโลก⁉️ พาเปิดพิกัดเบิ่ง เขมรเสริมกำลัง จ่อประชิดชายแดนไทย อ่านเพิ่มเติม »

🔎“รากาซา” ทำอีสานฝนตกหนักมาก พาเปิดเบิ่ง แผนที่ “น้ำท่วม 10 ปี” และพื้นที่เสี่ยง☔️⛈️

⛰️จากการประมวลความถี่ของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  พบว่าในช่วงหนึ่งอายุของคนที่เกิดในปี 2563 จะมีโอกาสเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากกว่าคนที่เกิดในปี 2503 ถึง 3 เท่า  โดยรายงานการค้าและการพัฒนา (Trade and Development Report 2021) จัดทำโดย UNCTAD ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 2543 – 2562 ทั่วโลกเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ จำนวน 7,348 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไป 1.23 ล้านคน ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกกว่า 4,200 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 2.97 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 101.75 ล้านล้านบาท ⛈️เมื่อปี 2554 ประเทศไทยประสบกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี ส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของเคยไทยเกือบทุกภูมิภาคของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจได้รับความเสียหายอย่างมาก นับเป็นอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ☔️หากลงไปดูข้อมูลน้ำท่วมในภาคอีสาน ก็พบว่า ข้อมูลในปี 2567 ภาคอีสานมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 1.38 ล้านไร่ รวม 18 จังหวัดทั่วภาคอีสาน ยกเว้นจังหวัดมุกดาหารและเลยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยจังหวัดนครพนมมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมมากที่สุดประมาณ 221,706 ไร่ รองลงมาคือจังหวัดอุดรธานีและหนองคาย ที่มีพื้นที่ถูกน้ำท่วม 213,478 และ 206,727 ไร่  ​​หากเกิดน้ำท่วม ก็ย่อมกระทบตั้งแต่ต้นน้ำอย่างภาคเกษตร ซึ่งเป็นหัวใจหลักของอีสาน ไปจนถึงปลายน้ำอย่างการขนส่งสินค้าและตลาดท้องถิ่นที่ต้องหยุดชะงัก ผลกระทบเชิงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นตลาดสดและศูนย์กระจายสินค้าอาจขาดแคลนพืชผลการเกษตร ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อยต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่การเดินทางและการคมนาคมเชื่อมโยงไปยังจังหวัดเศรษฐกิจใหญ่ อย่างเช่น ขอนแก่น และนครราชสีมา อาจสะดุดและส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโดยรวม อีกทั้งภาวะน้ำท่วมยังบั่นทอนความเชื่อมั่นการลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและโลจิสติกส์ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นฐานหลัก   🌪️ในขณะนี้ เดือนกันยายน 2568 ไทยกำลังเผชิญสภาพอากาศแปรปรวนทั่วประเทศ โดยภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ เช่น พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ จันทบุรี และตราด ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ไม่พ้น มีฝนตกหนักบางแห่ง เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยภาคอีสาน มีฝนฟ้าคะนองถึง 80% ของพื้นที่ หลายจังหวัดเจอทั้งฝนหนักและลมแรง อาทิ เลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ และอีกหลายจังหวัด ควรเฝ้าระวังสถานการณ์ใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทาง เกษตรกรรม และชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   สัญญาณน้ำท่วมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องฝนตกหนักทั่วไป แต่กำลังกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ต่อทั้งเกษตรกรและประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย จากการวิเคราะห์ข้อมูล “พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 7 ปี”

🔎“รากาซา” ทำอีสานฝนตกหนักมาก พาเปิดเบิ่ง แผนที่ “น้ำท่วม 10 ปี” และพื้นที่เสี่ยง☔️⛈️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.มัธยมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน

จากข้อมูลที่อีสานอินไซต์พาเปิดโผ 3 อันดับโรงเรียนมัธยมที่มีนักเรียนมากที่สุดในแต่ละจังหวัดอีสาน เผยให้เห็นภาพการรวมตัวของ “สมองคนรุ่นใหม่” ที่กระจุกอยู่ในโรงเรียนใหญ่ใจกลางเมืองหลัก ไม่ว่าจะเป็น ขอนแก่นวิทยายนที่มีนักเรียนกว่า 4,554 คน, สุรนารีวิทยา จังหวัดนครราชสีมา 4,347 คน, หรืออุดรพิทยานุกูล 4,275 คน ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติด้านการศึกษาเท่านั้น แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่ลึกซึ้ง โดยโรงเรียนขนาดใหญ่นั่นก็สร้างข้อได้เปรียบในเรื่องการที่มีครูผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น หลักสูตรที่หลากหลาย และกิจกรรมเสริมทักษะที่ครบครัน แต่ในอีกมิติหนึ่งก็เผชิญความท้าทาย ทั้งความแออัด และการกระจายทรัพยากรที่ยังไม่ทั่วถึงนั่นเอง โรงเรียนเหล่านี้กลายเป็นศูนย์กลางชีวิตเมืองด้วยกัน ซึ่งก่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจรอบโรงเรียนนั่นเอง ตั้งแต่การขนส่ง ร้านอาหาร ร้านเครื่องแบบ ติวเตอร์ ไปจนถึงที่พักนักเรียน โรงเรียนจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่การเรียนรู้เท่านั้น แต่กลับยังมีความสำคัญของเศรษฐกิจบริเวณรอบโรงรียน และยังสะท้อนโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทร่วมลงทุนในการพัฒนาบริการทางการศึกษาและทักษะอาชีพได้มากขึ้น เมื่อมองในระยะยาว เด็กนักเรียนในภาคอีสานคือ “ทุนมนุษย์” ที่จะเติบโตเป็นแรงงานสมองของชาติไปอนาคตต่อไป พวกเขาเหล่านี้ต่างก็จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ไปจนถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกษตรต่างๆ ดังนั้นนโยบายการศึกษาจึงควรมุ่งกระจายทรัพยากรครูและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปถึงโรงเรียนชนบท สร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียน มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนเพื่อเปิดเส้นทางสู่อาชีพ และยกระดับโรงเรียนขนาดใหญ่ให้เป็นศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้นั่นเอง ดังนั้น การลงทุนในคุณภาพการศึกษามัธยมของอีสานวันนี้ คือการลงทุนใน “สมองอนาคต” ของประเทศ เพราะเด็กอีสานไม่ใช่เพียงผู้เรียน แต่คือพลังความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพการแข่งขัน ที่จะต่อยอดสู่ความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในวันหน้านั่นเอง   อ้างอิงจาก: – ข้อมูลสารสนเทศนักเรียน โรงเรียนสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #โรงเรียนมัธยม #โรงเรียนมัธยมในอีสาน #โรงเรียนในอีสาน 

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.มัธยมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top