Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พาเปิดเบิ่ง “เงินเดือนคนไทย”  ตัวเลขล่าสุดเผย คนกว่า 2.7 ล้านคน ได้ไม่ถึง 1.1 หมื่นบาท‼️

ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคมล่าสุดพบว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งส่วนใหญ่คือแรงงานในระบบเอกชน มีจำนวนกว่า 12.1 ล้านคน อีกทั้งยังพบว่า แรงงานจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเงินเดือน 9,001-11,000 บาทต่อเดือน มากถึงกว่า 2.7 ล้านคน หรือคิดเป็น 23.05% ของทั้งหมดเลยทีเดียว รองลงมาคือกลุ่มที่มีรายได้ 13,001-15,000 บาท จำนวนกว่า 1.7 ล้านคน หรือ 14.07% และกลุ่ม 11,001-13,000 บาท กว่า 12.3% สะท้อนให้เห็นว่าแรงงานไทยกว่าครึ่งหนึ่งยังอยู่ในระดับรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งก็ถือว่าเป็นฐานค่าจ้างขั้นต่ำถึงระดับปานกลางที่ยังไม่สูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพปัจจุบันนั่นเอง รายได้ของแรงงานนั่น สามารถสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริโภคของครัวเรือนไทยอย่างชัดเจน เนื่องจากกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนมีสัดส่วนมาก ทำให้กำลังซื้อโดยรวมของประเทศยังคงอยู่ในระดับจำกัด ส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนด้านบริการที่ต้องพึ่งพาฐานผู้บริโภคจำนวนมากนั่นเอง ขณะเดียวกันกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทขึ้นไปมีเพียง 12% ของแรงงานในระบบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มชนชั้นกลางระดับสูงและชนชั้นบนมีจำนวนน้อย อีกประเด็นสำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำที่ปรากฏจากโครงสร้างรายได้ คนไทยจำนวนกว่า 2.7 ล้านคน มีรายได้เพียง 9,000-11,000 บาท ขณะที่มีเพียงประมาณ 289,000 คน หรือ 2.38% เท่านั้นที่มีรายได้เกิน 80,000 บาทต่อเดือน สังเกตได้ว่าระหว่างแรงงานรายได้ต่ำกับแรงงานรายได้สูงจึงกว้างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ การกระจุกตัวของรายได้ในเมืองใหญ่ และความเปราะบางของครัวเรือนที่พึ่งพาค่าแรงขั้นต่ำ และข้อมูลนี้ยังชี้ให้เห็นทิศทางการวางกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน โดยบริษัทที่ทำธุรกิจแมสจำเป็นต้องออกแบบสินค้าและบริการให้มีราคาที่เข้าถึงได้ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีกำลังซื้อต่ำอยู่ ขณะที่ธุรกิจที่เน้นเจาะตลาดพรีเมียมหรือชนชั้นกลางถึงระดับสูง แม้จะเผชิญฐานลูกค้าที่เล็กกว่า แต่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงหากเจาะตรงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง การที่ผู้ประกันตนที่มีรายได้เกิน 17,500 บาท ต้องเริ่มจ่ายเงินสมทบเพิ่มจาก 750 บาทเป็น 875 บาทตั้งแต่ปี 2569 ก็สะท้อนความพยายามของรัฐในการปรับสมดุลกองทุนประกันสังคมให้สอดคล้องกับรายได้ที่สูงขึ้น แต่ในอีกมิติหนึ่งก็อาจเป็นภาระต่อแรงงานระดับกลางที่ยังไม่ได้มีฐานะมั่นคงมากนัก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายของระบบประกันสังคมที่ต้องดูแลทั้งแรงงานรายได้น้อยจำนวนมาก และแรงงานรายได้ปานกลางที่กำลังเผชิญค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น   อ้างอิงจาก:  – สำนักงานประกันสังคม (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ส.ค. 68) – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เงินเดือนคนไทย #เงินเดือน #ประกันสังคม

พาเปิดเบิ่ง “เงินเดือนคนไทย”  ตัวเลขล่าสุดเผย คนกว่า 2.7 ล้านคน ได้ไม่ถึง 1.1 หมื่นบาท‼️ อ่านเพิ่มเติม »

ก่อนเป็นจังหวัด อีสานมีชื่อที่ถูกลืม! พาย้อนเวลาเบิ่ง “ชื่อเก่า” ที่คนท้องถิ่นเองยังไม่เคยรู้

ภาคอีสานในปัจจุบันมี 20 จังหวัด แต่หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จะพบว่าดินแดนเหล่านี้เคยถูกเรียกขานด้วย “ชื่อเก่า” ที่สะท้อนทั้งเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และสภาพสังคมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งต่อมาได้ถูกปรับเปลี่ยนเมื่อมีการจัดระเบียบการปกครองใหม่จาก “เมือง” สู่ “จังหวัด” โดยเฉพาะในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ส่งผลให้ชื่อเก่าเหล่านี้ค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงในเอกสารเก่าและความทรงจำของผู้คนท้องถิ่นนั่นเอง การเปลี่ยนชื่อจาก “เมือง” ไปสู่ “จังหวัด” ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนที่มุ่งรวมศูนย์อำนาจและสร้างมาตรฐานเดียวกัน อย่างเช่น เมืองขามแก่น ซึ่งกลายเป็น “จังหวัดขอนแก่น” ในปี 2459 หรือบ้านหลวงที่กลายมาเป็น “จังหวัดชัยภูมิ” ในปี 2476 ก็สะท้อนให้เห็นถึงการขยายอำนาจรัฐเข้าสู่ท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีบางจังหวัดที่ได้รับการยกฐานะช้ากว่า อย่างเช่น จังหวัดบึงกาฬ ที่เพิ่งแยกจากหนองคายในปี 2554 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระบวนการจัดการพื้นที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องตามความจำเป็นและความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิศาสตร์ ในแง่เศรษฐกิจ เมื่อลองมองย้อนกลับไปก็จะเห็นว่าการเปลี่ยนสถานะจาก “เมือง” เป็น “จังหวัด” ได้สร้างความมั่นคงทางการปกครองและเศรษฐกิจให้แก่ท้องถิ่น เช่น จังหวัดนครพนม (เดิม “เมืองมรุกขนคร”) และสกลนคร (เดิม “เมืองสกลทวาปี”) ก็กลายเป็นศูนย์กลางการค้าริมแม่น้ำโขงที่มีบทบาทเชื่อมโยงกับลาวและเวียดนาม ขณะที่มหาสารคาม (เดิมคือ “บ้านลาดกุดยางใหญ่”) ได้กลายเป็นเมืองการศึกษาในอีสานตอนกลาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการยกฐานะเมืองเป็นจังหวัดไม่เพียงแต่ช่วยให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นระบบ แต่ยังถือเป็นการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมให้เติบโตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วยดังนั้น “ชื่อเก่า” ของเมืองอีสานจึงไม่ได้เป็นแค่ความทรงจำท้องถิ่นเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเมืองเล็กๆ ที่พึ่งพาธรรมชาติและภูมิศาสตร์ สู่การเป็นจังหวัดที่มีบทบาทเชื่อมโยงเศรษฐกิจระดับภูมิภาค อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของผู้คนในแต่ละถิ่น ที่แม้ชื่อเมืองจะเปลี่ยนไป แต่รากเหง้าและตัวตนของชุมชนก็ยังคงปรากฏในวิถีชีวิตของชาวอีสานจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง   ทำไมถึงต้อง “อีสาน” คำว่า “อีสาน” มีรากมาจากภาษาสันสกฤตว่า “อีศาน” ซึ่งหมายถึงพระศิวะ เทพผู้ประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ราวพุทธศตวรรษที่ 11 คำนี้ถูกใช้ทั้งในชื่อรัฐ “อีศานปุระ” และพระนามกษัตริย์ “อีศานวรมัน” ก่อนจะแผลงเป็นรูปบาลีว่า “อีสาน” ที่ภาษาไทยนำมาใช้เรียกภูมิภาคแห่งนี้ต่อมา ดังนั้น “อีสาน” จึงไม่ใช่เพียงชื่อภูมิศาสตร์ แต่ยังสะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรมและคติความเชื่อของผู้คนด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม “คนอีสาน” ไม่ได้หมายถึงชนชาติหนึ่งโดยตรง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกผู้คนในภูมิภาคนี้ซึ่งมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมร่วมกัน อัตลักษณ์ของคนอีสานจึงเกิดจากการผสมผสานของชนหลายกลุ่มทั้งคนดั้งเดิมและผู้คนที่อพยพเข้ามาในช่วงเวลาต่าง ๆ จนก่อรูปเป็นเครือข่ายเครือญาติทางภาษาและวัฒนธรรมที่สลับซับซ้อน หากย้อนกลับไปกว่า 5,000 ปี พื้นที่อีสานมีคนพื้นเมืองดั้งเดิมตั้งถิ่นฐานอยู่แล้ว หลักฐานทางโบราณคดีที่ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น แสดงให้เห็นการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และการตั้งบ้านเรือนมาแต่โบราณ คนพื้นเมืองเหล่านี้แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ พวกที่สูง ซึ่งทำไร่เลื่อนลอยแบบ “เฮ็ดไฮ่” ใช้ไฟเผาป่าและหยอดเมล็ดพืชโดยไม่ไถพรวน มีผลผลิตจำกัด แต่ชำนาญการถลุงโลหะ ส่วนพวกที่ราบนั้นตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ มีความรู้ด้านการจัดการน้ำเพื่อเกษตรกรรม ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์เกินพอก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนจนพัฒนาจากหมู่บ้านไปสู่เมืองและรัฐ ต่อมาเริ่มมีผู้คนจากภายนอกเคลื่อนย้ายเข้ามา จนผสมกลมกลืนกับคนพื้นเมือง ราว 3,000 ปีก่อน

ก่อนเป็นจังหวัด อีสานมีชื่อที่ถูกลืม! พาย้อนเวลาเบิ่ง “ชื่อเก่า” ที่คนท้องถิ่นเองยังไม่เคยรู้ อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนรอยเบิ่ง ค่ายอพยพผู้ลี้ภัย และความเจ็บปวดที่เขมรแดงฝากไว้ให้คนไทย

ความโหดร้ายของเขมรแดงและผลกระทบต่อไทย หากเอ่ยถึงโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่มีเหตุการณ์ใดสะเทือนใจเท่ากับยุคเขมรแดงในกัมพูชา ระหว่างปี พ.ศ. 2518-2522 ภายใต้การนำของพลพต กัมพูชาถูกผลักเข้าสู่การทดลองทางอุดมการณ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 20 รัฐบาลปฏิวัติยกเลิกเงินตรา ห้ามเทคโนโลยี และกวาดต้อนผู้คนจากเมืองไปทำเกษตรแบบยังชีพในชนบท ทำให้มีประชากรกว่า 2 ล้านคน เสียชีวิตจากความอดอยาก การทำงานหนักเกินมนุษย์ และการสังหารหมู่โดยรัฐ การสูญเสียครั้งนั้นไม่เพียงพรากชีวิต แต่ยังทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจและทุนมนุษย์ของกัมพูชาอย่างมหาศาล ผลกระทบของเขมรแดงไม่ได้หยุดอยู่แค่ภายในพรมแดนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทย ในปี 2520 เพียงปีเดียว เขมรแดงบุกโจมตีชายแดนไทยกว่า 400 ครั้ง หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2520 ที่อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสระแก้ว) เมื่อทหารเขมรแดงบุกฆ่าล้างหมู่บ้านชาวไทยถึง 21 คน เผาบ้านเรือน ข่มขืน และทำลายชุมชนอย่างป่าเถื่อน เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้รัฐไทยต้องเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงและขยายกำลังทหารเพื่อรับมือกับภัยคุกคาม ส่งผลให้พื้นที่ทางเศรษฐกิจในแนวชายแดนจำนวนมากถูกทิ้งร้าง ที่สำคัญสงครามและความอดอยากทำให้ชาวกัมพูชาหลั่งไหลเข้ามายังชายแดนไทย ในปี 2518 มีผู้อพยพเพียง 17,000 คน แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงปี 2522 ตัวเลขพุ่งขึ้นเป็นกว่า 137,000-200,000 คน ผู้ลี้ภัยจำนวนมากอิดโรยจากความหิวโหย ต้องนำทองคำและเงินตรามาแลกอาหารกับชาวบ้านไทย แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ต้องแบกรับภาระทางสาธารณสุขและความมั่นคงจำนวนมหาศาล เพราะเขมรแดงได้ฝังทุ่นระเบิดไว้ตามแนวชายแดน ทิ้ง “มรดกสงคราม” ที่คร่าชีวิตผู้คนไปอีกหลายสิบปีนั่นเอง จึงเกิดเป็นการตั้งค่ายผู้ลี้ภัยมากถึง 18 ค่าย อย่างเช่น ไซต์ทูและไซต์ทรี ซึ่งบางแห่งมีผู้อพยพหลายหมื่นคนจนกลายเป็น “เมืองเศรษฐกิจเฉพาะกิจ” ที่มีการค้าขาย ตลาดอาหาร และแรงงานราคาถูก อย่างไรก็ตาม ค่ายผู้ลี้ภัยก็สร้างผลกระทบทางลบ โดยเฉพาะต่อโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นปราสาทสด๊กก๊อกธม ที่ถูกใช้เป็นแหล่งน้ำและเชื้อเพลิงจนเกิดความเสียหายทางวัฒนธรรมอย่างใหญ่หลวง ขณะเดียวกันงบประมาณที่ไทยต้องใช้ในการดูแลผู้อพยพก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2523 เพียงปีเดียว รัฐบาลไทยใช้งบประมาณมากถึง 20.9 ล้านบาท แม้ได้รับการสนับสนุนจาก UNHCR แต่ไทยก็ยังต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนหลักดังกล่าว ตลอดเวลากว่าสองทศวรรษ ไทยต้องอยู่กับวิกฤตผู้อพยพที่ไม่เพียงเป็นปัญหาความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นทั้งภาระและโอกาสทางเศรษฐกิจ  ไทยเสียโอกาสจากพื้นที่เกษตรและการท่องเที่ยวในชายแดนที่ถูกทำลายจากสงครามและทุ่นระเบิด แต่อีกในมุมมอง การที่ไทยยื่นมือช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกลับยกระดับภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก ทำให้ได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่มีบทบาทสร้างสันติภาพและมนุษยธรรมในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม 2536 ผู้อพยพกลุ่มสุดท้ายจำนวน 199 คน ได้กลับประเทศจากศูนย์อพยพเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้ว ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยกัมพูชาของไทยที่ยาวนานเกือบ 20 ปี ประวัติศาสตร์ช่วงนี้สะท้อนให้เห็นว่า อุดมการณ์ที่สุดโต่งสามารถทำลายชาติหนึ่งชาติได้อย่างสิ้นเชิง และยังส่งแรงสะเทือนข้ามพรมแดนมาสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย   อ้างอิงจาก: – LUEhistory.com   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business

พาย้อนรอยเบิ่ง ค่ายอพยพผู้ลี้ภัย และความเจ็บปวดที่เขมรแดงฝากไว้ให้คนไทย อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่งการค้าระหว่างไทย–กัมพูชาพึ่งพาการค้าผ่านชายแดน กระทบเพียงใดหลังเหตุปะทะ

สรุปผลกระทบเศรษฐกิจข้อพิพาทชายแดน🇹🇭ไทย-🇰🇭กัมพูชา การชายแดนไทยทรุดตัวลงอย่างรุนแรงถึง 23% หรือกว่า 3 พันล้าน 🧐การค้าระหว่างไทย–กัมพูชาพึ่งพาการค้าผ่านชายแดนด่านบกมูลค่ากว่า 46.8% จากการค้า ไทย-กัมพูชาของด่านทั้งหมด (บก-น้ำ-อากาศ) ⚔️ทำให้ข้อพิพาทชายแดนที่ปะทุปลายเดือนพฤษภาคม ตลอดจนเหตุปะทะรุนแรงในเดือนกรกฎาคม เสี่ยงฉุดการค้ารวมให้ชะลอตัวอย่างหนัก เนื่องจากการปิดทำการของด่านชายแดน และความต้องการสินค้าจากไทยในตลาดกัมพูชาที่อาจหดตัวลงจากกระแสการแบนสินค้าไทย ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาส่งผลให้มูลค่าการค้าชายแดนทรุดตัวลงอย่างรุนแรงถึง 23% จากการจำกัดการทำการ ของด่านการค้าชายแดนกัมพูชาที่สำคัญหลายจุดในช่วงเดือนมิถุนายน ส่งผลให้มูลค่าการค้าที่มีอัตราการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง หดตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งอาจมีการทรุดตัวหนักขึ้นเนื่องจากเหตุปะทะชายแดนที่รุนแรงในเดือนกรกฎาคม   🚛เส้นทางโลจิสติกส์เชื่อมไทย-เวียดนามผ่านกัมพูชา: โอกาสและความท้าทายบนระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้🇻🇳🇹🇭 การค้าทางบกระหว่างไทยและเวียดนาม โดยมีกัมพูชาเป็นประเทศทางผ่าน นับเป็นเส้นทางโลจิสติกส์ที่สำคัญภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบน ระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสามประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เส้นทางคมนาคมหลัก เส้นทางการค้าทางบกที่สำคัญซึ่งเชื่อมโยงไทย-กัมพูชา-เวียดนาม ประกอบด้วย 2 เส้นทางหลัก ดังนี้: 🛣️เส้นทาง R1 (Central Sub-Corridor): เป็นเส้นทางสายหลักที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการขนส่งสินค้า มีระยะทางประมาณ 900 กิโลเมตร เริ่มต้นจากกรุงเทพมหานคร ผ่านจังหวัดสระแก้ว เข้าสู่ประเทศกัมพูชาที่ด่านคลองลึก-ปอยเปต ผ่านกรุงพนมเปญ และสิ้นสุดที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เส้นทางนี้มีข้อได้เปรียบในด้านระยะทางที่สั้นกว่าและโครงสร้างพื้นฐานที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ทำให้สามารถลดระยะเวลาการขนส่งสินค้าจากไทยไปเวียดนามตอนใต้เหลือเพียง 23-31 ชั่วโมง 🛣️เส้นทาง R10 (Southern Coastal Sub-Corridor): เป็นเส้นทางเลียบชายฝั่งทะเล เริ่มต้นจากจังหวัดตราดของไทย ผ่านเข้าสู่จังหวัดเกาะกงของกัมพูชา และเชื่อมต่อไปยังจังหวัดฮาเตียนของเวียดนาม แม้จะยังมีการใช้งานน้อยกว่าเส้นทาง R1 แต่ก็มีศักยภาพในการเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าเกษตรและสินค้าจากนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของไทยไปยังเวียดนามตอนใต้ 🚧ด่านการค้าและพิธีการศุลกากร การขนส่งสินค้าผ่านแดนจะต้องผ่านพิธีการศุลกากรที่ด่านชายแดนของแต่ละประเทศ โดยมี ด่านอรัญประเทศ-ปอยเปต เป็นด่านที่มีความสำคัญและมีมูลค่าการค้าสูงสุด ปัจจุบันมีการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าข้ามแดนผ่านระบบ ASEAN Single Window ซึ่งช่วยให้การยื่นเอกสารศุลกากรเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น สินค้าหลักและโอกาสทางการค้า สินค้าที่ขนส่งผ่านเส้นทางนี้มีความหลากหลาย โดยสินค้าส่งออกจากไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องจักรกล และชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่สินค้าจากเวียดนามที่ส่งมายังไทยมักเป็นสินค้าเกษตรและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมที่สะดวกและรวดเร็วขึ้นนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดไปยังเวียดนามตอนใต้ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงได้ง่ายขึ้น 🤝ข้อตกลงทางการค้าที่เกี่ยวข้อง แม้จะยังไม่มีข้อตกลงทางการค้าสามฝ่ายโดยตรง แต่การค้าบนเส้นทางนี้ได้รับอานิสงส์จากข้อตกลงทวิภาคีระหว่างประเทศต่างๆ เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และข้อตกลงทวิภาคีเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งช่วยลดอุปสรรคทางภาษีและอำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ ดังนั้น การค้าทางบกไทย-เวียดนามผ่านกัมพูชาเป็นเส้นทางที่มีศักยภาพสูงในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศ และมีแนวโน้มที่จะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต หากมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เหตุการปะทะ ไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้กระทบเพียง การค้าแค่ 2 ประเทศ แต่ยังกระทบคู่ค้าสำคัญของไทยที่บริโภคสินค้าไทยอย่าง เวียดนาม ด้วยนั่นเอง . #การค้าชายแดน #เศรษฐกิจชายแดน #ไทยกัมพูชา #ISANInsightAndOutlook พาเปิดเบิ่งสถิติ แรงงานต่างด้าวในอีสานพุ่งไม่หยุด‼️ “ลาว-เมียนมา-กัมพูชา” ใครยึดพื้นที่จังหวัดไหนบ้าง⁉️

พามาเบิ่งการค้าระหว่างไทย–กัมพูชาพึ่งพาการค้าผ่านชายแดน กระทบเพียงใดหลังเหตุปะทะ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่งพิกัด “เทือกเขาอีสาน” ที่ซ่อน “มรดกโลก” และ “ประวัติศาสตร์ชาติ” ไว้

เทือกเขาในภาคอีสาน มรดกธรรมชาติและโอกาสเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ภาคอีสานไม่ได้มีเพียงวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังซ่อนความงดงามทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะเทือกเขาต่างๆ ที่ถือเป็น “ขุนเขาแห่งอีสาน” และเป็นพื้นที่ที่ถูกบันทึกไว้ในมรดกโลก รวมถึงประวัติศาสตร์ชาติ และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงเศรษฐกิจที่สามารถขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในระดับสากลได้ 5 เทือกเขาในภาคอีสานมีอะไรบ้าง⁉️ เทือกเขาเพชรบูรณ์ จุดสูงสุดแห่งอีสาน ภูหินร่องกล้าและภูเขาสูงตระหง่าน อย่างเช่น ภูหินขาว มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,820 เมตร ทำให้เทือกเขาเพชรบูรณ์กลายเป็นพื้นที่ชมวิวที่โดดเด่นของภาคอีสาน การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงผจญภัย อย่างเช่น การปีนเขา เดินป่า และแคมป์ปิ้ง ก็สามารถเชื่อมโยงกับกระแสสุขภาพและธรรมชาติบำบัดได้เป็นอย่างดี ซึ่งในขณะนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มครอบครัวที่แสวงหาความเงียบสงบ ขณะเดียวกันยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การลงทุนธุรกิจโฮมสเตย์เชิงนิเวศและรีสอร์ตที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อีกด้วย เทือกเขาภูพญาเย็น-สันกำแพง มรดกโลกที่ใหญ่กว่ากรุงเทพฯ 4 เท่า มีขนาดพื้นที่กว่า 6,155 ตารางกิโลเมตรของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพ ธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่นี้สามารถต่อยอดในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากิจกรรมดูนก การจัดทริปศึกษาธรรมชาติ ไปจนถึงการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้สำหรับเยาวชน การได้รับเป็นมรดกโลกนั่น ยังเพิ่มมูลค่าให้กับการแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมองว่าเป็นจุดหมายที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต เทือกเขาพนมดงรัก รอยต่อประวัติศาสตร์ไทย-กัมพูชา พนมดงรักไม่เพียงเป็นเทือกเขาที่เต็มไปด้วยโบราณสถานสำคัญ อย่างเช่น ปราสาทเขาพระวิหาร และปราสาทหินพนมรุ้ง แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวระหว่างไทยและกัมพูชา การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมที่ผสานเข้ากับเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจประวัติศาสตร์อารยธรรมขอมโบราณ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมธุรกิจชุมชน เช่น งานหัตถกรรมและอาหารพื้นถิ่น ที่สามารถเป็นสินค้าที่ระลึกและเพิ่มรายได้ให้แก่คนท้องถิ่นนั่นเอง เทือกเขาภูพาน แหล่งอาหารป่าและพืชสมุนไพรของอีสาน ภูพานไม่ใช่เพียงเทือกเขาของอีสาน แต่คือพื้นที่ที่รวมคุณค่าหลายมิติ ทั้งรอยเท้าไดโนเสาร์และฟอสซิลที่ภูกุ้มข้าว-ภูแฝก ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว อาหารป่าและพืชสมุนไพรที่ทำให้ภูพานถูกขนานนามว่า “ตู้กับข้าวธรรมชาติ”ฃ สามารถต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงอาหารและสุขภาพ ขณะเดียวกันยังมีประวัติศาสตร์การเมืองในฐานะอดีตที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่สามารถพัฒนาเป็นเส้นทางเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรมได้อย่างแตกต่าง หากมีการบูรณาการเชิงกลยุทธ์ ภูพานจะกลายเป็น “จุดหมายปลายทางแห่งหลายประสบการณ์” ที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้ให้แก่ชุมชนรอบข้างได้อย่างยั่งยืน เทือกเขาในภาคอีสานจึงไม่ใช่เพียง “ขุนเขา” ที่เงียบสงบ แต่คือ “ทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรม” ที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล การบูรณาการเส้นทางท่องเที่ยวหลายมิติ (ธรรมชาติ-วัฒนธรรม-อาหาร) และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เทือกเขาอีสานจะไม่เพียงเป็น “ภูเขาแห่งความงาม” แต่ยังเป็น “ภูเขาแห่งโอกาส” ที่ยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่นได้ในระยะยาวนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช – กรมทรัพยากรธรณี – องค์การบริหารส่วนตำบลภูลานจัง – แผนที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย – ศูนย์ข้อมูลการวิจัย สกว. – สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เทือกเขาในภาคอีสาน #เทือกเขา #มรดกโลก #ประวัติศาสตร์ #มรดกธรรมชาติ #การท่องเที่ยว

พาเปิดเบิ่งพิกัด “เทือกเขาอีสาน” ที่ซ่อน “มรดกโลก” และ “ประวัติศาสตร์ชาติ” ไว้ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง งบประมาณอีสานปี 69 เปิดตัวเลขที่คนในพื้นที่ต้องรู้ เทศบาลไหน “รวยงบสุด” ในปีนี้⁉️

งบประมาณจากภาครัฐถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาของเทศบาลนคร เม็ดเงินเหล่านี้ถูกจัดสรรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการสาธารณะ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปจนถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น การได้รับงบประมาณที่เพียงพอและสอดคล้องกับขนาดและความต้องการของเทศบาลนครแต่ละแห่ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเมือง เทศบาลนครที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการงบประมาณนั้น ก็สามารถแปลงเม็ดเงินที่ได้รับมาเป็นโครงการและกิจกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน แต่ในทางตรงกันข้ามเทศบาลที่ประสบปัญหาในการบริหารจัดการ อาจเผชิญกับข้อจำกัดในการพัฒนาและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่ จากข้อมูลงบประมาณเทศบาลในภาคอีสานปี 2569 แสดงให้เห็นถึงภาพเศรษฐกิจเมืองอีสานที่กำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคการพัฒนาเชิงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ เมืองใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้า การศึกษา การแพทย์ และโลจิสติกส์ ได้รับงบประมาณจำนวนมากเพื่อรองรับการเติบโตของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งตามตัวเลขงบประมาณจึงไม่เพียงบอกว่าเมืองใดรวยงบที่สุด แต่ยังสะท้อนบทบาทของเมืองในฐานะเครื่องยนต์เศรษฐกิจภูมิภาคอีกด้วย 5 จังหวัดที่ได้รับงบมากที่สุด เทศบาลนครนครราชสีมา 952 ล้านบาท เทศบาลนครขอนแก่น 942 ล้านบาท เทศบาลนครอุดรธานี 854 ล้านบาท เทศบาลนครอุบลราชธานี 499 ล้านบาท เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด 477 ล้านบาท จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ทั้งหมดล้วนเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงและมีบทบาทเชื่อมโยงกับภูมิภาคใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นนครราชสีมาที่เป็นฐานอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์, ขอนแก่นซึ่งโดดเด่นด้านการแพทย์และมหาวิทยาลัย ส่วนอุดรธานีที่ทำหน้าที่เป็นประตูการค้าสู่ลาวและเวียดนาม, อุบลราชธานีที่เชื่อมเศรษฐกิจกับกัมพูชา รวมถึงร้อยเอ็ดที่แม้ไม่ใช่เมืองชายแดนแต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากบทบาทด้านบริการและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมนั่นเอง เหตุผลที่กลุ่มจังหวัดเหล่านี้ได้งบจำนวนมาก มาจากทั้งขนาดเศรษฐกิจและความซับซ้อนของเทศบาล เมืองใหญ่ต้องลงทุนมากกว่าเมืองเล็ก ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อย่างเช่น ถนน ระบบระบายน้ำ การจัดการขยะ และขนส่งสาธารณะ ตลอดจนการสร้างพื้นที่สาธารณะเพื่อรองรับประชากรและนักท่องเที่ยว อีกทั้งเทศบาลเหล่านี้ยังมีฐานรายได้ท้องถิ่นสูง จากภาษีที่ดิน ภาษีป้าย และค่าธรรมเนียม จึงได้รับการจัดสรรจากส่วนกลางมากขึ้นตามสัดส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั่นเอง อีกหนึ่งมุมมองน่าสนใจ คือ “งบต่อหัว” เมืองที่ไม่ได้อยู่ใน 5 อันดับแรกด้านงบรวมกลับโดดเด่น เช่น ร้อยเอ็ดที่มีงบต่อหัวสูงถึงราว 14,909 บาท/คน, เลยประมาณ 12,015 บาท/คน, และนครพนมกว่า 10,621 บาท/คน ทั้งนี้เพราะจำนวนประชากรตามทะเบียนบ้านไม่มาก แต่เทศบาลต้องดูแลผู้มาใช้บริการจริงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน นักศึกษา หรือผู้ป่วยจากต่างจังหวัด การมีงบต่อหัวสูงจึงสะท้อนการลงทุนในบริการที่มีคุณภาพและเจาะลึก อย่างเช่น การแพทย์ การท่องเที่ยว หรือโครงการพัฒนาเมืองเชิงวัฒนธรรมอีกด้วย งบประมาณอีสานปี 2569 สะท้อนความจริงที่ว่าเมืองใหญ่อย่างนครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานียังคงเป็นหัวรถจักรหลักของเศรษฐกิจภาคอีสาน ขณะที่อุบลราชธานีและร้อยเอ็ดกำลังเสริมบทบาทในฐานะศูนย์บริการและเมืองคุณภาพสูง เมืองที่สามารถแปลงงบประมาณให้เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ อย่างเช่น การแก้น้ำท่วม ขนส่งสาธารณะ และโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางใหม่ของเศรษฐกิจอีสานในอนาคตนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – สำนักงบประมาณ – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ # #เศรษฐกิจอีสาน #เทศบาลนคร #เทศบาลนครในอีสาน  #เทศบาลนคร #เทศบาลเมือง  

พาเปิดเบิ่ง งบประมาณอีสานปี 69 เปิดตัวเลขที่คนในพื้นที่ต้องรู้ เทศบาลไหน “รวยงบสุด” ในปีนี้⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา! “ประตูสู่แดนอีสาน” บานไหนคึกคักสุด? พาส่องเบิ่ง “เพื่อนบ้าน GMS” แห่ข้ามแดนด่านไหนมากสุด

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา สถิติการเดินทางข้ามแดนในอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของด่านชายแดนไทยกับกลุ่มประเทศ GMS ซึ่งไม่เพียงแต่ในเชิงการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะตัวเลขจาก ด่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย ซึ่งมีจำนวนผู้ข้ามแดนสูงถึงกว่า 703,160 คน ซึ่งมากที่สุดในอีสาน แสดงให้เห็นว่าหนองคายยังคงเป็น “ศูนย์กลางการเชื่อมโยงเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง” ที่ทรงพลังที่สุดนั่นเอง จะเห็นได้ว่าสัดส่วนของผู้ข้ามแดนจาก ประเทศลาวกว่า 91.5% ในด่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพิงซึ่งกันและกันระหว่างไทย-ลาว ในการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว แต่สิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามคือการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนและเวียดนาม แม้จะยังมีสัดส่วนไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นสัญญาณของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเชิงลึกที่สะท้อนให้เห็นว่าชายแดนไทย-ลาวกำลังกลายเป็นประตูรองรับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากจีนที่เล็งเห็นความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ของอีสานในการเข้าถึงตลาดอาเซียนนั่นเอง อีกด่าน คือ ด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีผู้ข้ามแดนกว่า 169,583 คน กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-ลาวตอนใต้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการค้าการลงทุน โดยเฉพาะด้านพลังงานและเกษตรอุตสาหกรรม เนื่องจากพื้นที่นี้เชื่อมโยงโดยตรงกับแขวงจำปาสักและเส้นทางเศรษฐกิจไปสู่เวียดนามตอนกลาง การเติบโตของด่านนี้จึงควรได้รับการจับตามองในฐานะฮับเศรษฐกิจชายแดนตอนใต้ที่พร้อมจะดึงดูดการลงทุนด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมแปรรูปนั่นเอง นอกจากนี้ ด่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 3 จังหวัดนครพนม แม้มีจำนวนผู้ข้ามแดนราว 63,816 คน แต่เมื่อพิจารณาเชิงโครงสร้างจะพบว่า ด่านนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อการเชื่อมโยง East-West Economic Corridor (EWEC) ที่เชื่อมไทย-ลาว-เวียดนาม จึงไม่ใช่แค่ปริมาณคน แต่คือคุณภาพของเส้นทางการค้าที่จะกำหนดศักยภาพการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะโลจิสติกส์และธุรกิจส่งออก แต่หากมองในภาพรวม จะเห็นได้ว่า ภาคอีสานกำลังกลายเป็น “หนึ่งในประสู่เศรษฐกิจ” ของไทย ที่รับแรงหนุนจากทั้งการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนข้ามพรมแดน จุดเด่นของอีสานไม่เพียงอยู่ที่จำนวนคนและแรงงานเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่สามารถเป็นสะพานเชื่อมจีน-ลาว-เวียดนามเข้าสู่ประเทศไทยได้อีกด้วย และต่อไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งหากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการยกระดับเมืองชายแดนให้เป็นเมืองเศรษฐกิจพิเศษ ก็จะทำให้อีสานไม่ใช่เพียงประตูผ่าน แต่กลายเป็น “จุดหมายปลายทางทางเศรษฐกิจ” อย่างแท้จริง     อ้างอิงจาก: – TRAVEL LINK   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ด่านชายแดน #การค้าาชายแดน #การค้าชายแดนอีสาน #ด่านในอีสาน #เศรษฐกิจชายแดน

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา! “ประตูสู่แดนอีสาน” บานไหนคึกคักสุด? พาส่องเบิ่ง “เพื่อนบ้าน GMS” แห่ข้ามแดนด่านไหนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

มัดรวมให้อ่าน 25 เรื่องน่าฮู้ “กัมพูชา” จากบทความ และ Infographic จาก ISAN Insight

มัดรวมให้อ่าน 25 เรื่องน่าฮู้ “กัมพูชา” จากบทความ และ Infographic จาก ISAN Insight . 1⃣พามาย้อนเบิ่ง เหตุการข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนไทย – กัมพูชา เป็นมาจังได๋ https://www.facebook.com/photo/?fbid=876793844623243&set=a.648085124160784   2⃣สมรภูมิเดือด! เขตแดนทับซ้อน เปิดตำนาน “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต จุดชนวนไทย-กัมพูชา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=997128919256401&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   3⃣ส่องซอด🧐ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน https://www.facebook.com/photo/?fbid=997868795849080&set=pb.100068779069701.-2207520000   4⃣‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา กับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่บรรลุผล https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1001537368815556&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   5⃣พื้นที่ 4 จุดเดือด กลุ่ม ปราสาท ชายแดนไทย-กัมพูชา https://www.facebook.com/photo/?fbid=1002855708683722&set=pb.100068779069701.-2207520000   6⃣พามาเบิ่ง🧐การค้าชายแดนไทย – กัมพูชาเสี่ยงชะลอตัว หากต้องปิดด่านระยะยาว https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1006653441637282&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   7⃣🇰🇭Cambodia อาจเป็น (S)cambodia เมื่ออุตสาหกรรม Scam มีรายได้กว่า 40% ของ GDP กัมพูชา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1008027091499917&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   8⃣”ทัพไทย” เบอร์ 14 โลก🏆 พาส่องเบิ่ง “กองกำลังรบ” เพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง และบทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารี🪖🎖️ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1011724614463498&set=pb.100068779069701.-2207520000   9⃣พามาเบิ่ง🧐กัมพูชากับความมั่นคงด้านพลังงาน “เส้นบางๆ ของการพึ่งพา”🇰🇭 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1013995680903058&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   🔟พาเจาะลึกเบิ่ง “ปราสาทตาเมือนธม” 1 ใน 4 ปราสาทที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ในถิ่นไทย https://www.facebook.com/photo/?fbid=1029069072729052&set=pb.100068779069701.-2207520000   1⃣1⃣พามาเบิ่ง ไทยต้องแบก “ค่ารักษาต่างด้าว” กว่า 2.3 พันล้าน ภาระนี้ ชายแดนไทย-กัมพูชา อ่วมหนัก 277 ล้าน https://www.facebook.com/photo/?fbid=1031831969119429&set=pb.100068779069701.-2207520000   1⃣2⃣จับตา ‘ชายแดนเดือด’ ไทย-กัมพูชา พาเปิดเบิ่ง “กองกำลังรบ” และ “ยุทโธปกรณ์”💂‍♂️🪖ใครมีอะไรในมือ… พร้อมรับสถานการณ์ล่าสุด!🎖️ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1034282618874364&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3   1⃣3⃣อาชญากรรมสงคราม🇰🇭ทำไมห้ามโจมตีโรงพยาบาลและพลเรือน? พามาฮู้จัก “อนุสัญญาเจนีวา” ที่โลกจับตา ในวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชานี้ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1034958075473485&set=pb.100068779069701.-2207520000   1⃣4⃣พาสรุป ไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่าง ไทย-กัมพูชา 24-25 ก.ค.2568 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1037967198505906&set=pb.100068779069701.-2207520000&type=3  

มัดรวมให้อ่าน 25 เรื่องน่าฮู้ “กัมพูชา” จากบทความ และ Infographic จาก ISAN Insight อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🧐เจ้าเวหาแห่งน่านฟ้า✈️เบอร์หนึ่งสายการบินแห่งชาติในอาเซียน

การบินไทย หนึ่งในห้าสายการบินผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรการบิน Star Alliance ในปี ค.ศ. 1997 ซึ่งปัจจุบันเป็นเครือข่ายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิกกว่า 25 สายการบิน เชื่อมต่อเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 186 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน การบินไทยมีอายุราว 65 ปี อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานในฐานะสายการบินแห่งชาติที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แม้ในปี พ.ศ. 2563 จะเกิดการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ธุรกิจการบินทั่วโลกหยุดชะงัก หลายสายการบินต้องปลดพนักงานจำนวนมาก บางแห่งจำเป็นต้องขายเครื่องบินออกเพราะค่าบำรุงรักษาสูงจากการจอดนิ่งและขาดผู้โดยสาร การบินไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน จนต้องยื่นคำร้องฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 นับเป็นหนึ่งในธุรกิจแห่งชาติรายใหญ่ที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยในขณะนั้นยังมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นเดิม ได้แก่ กระทรวงการคลัง 53.16% และผู้ถือหุ้นรายย่อย 46.84% หลังจากผ่านมากว่า 4 ปี นับตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ภายหลังบริษัทฯ ยื่นคำร้องขอยกเลิกเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 การกลับมาครั้งนี้เปรียบเสมือนการพิสูจน์ว่าการบินไทย แม้เผชิญวิกฤติหนักเพียงใด ก็สามารถฟันฝ่าและก้าวข้ามได้ แม้ต้องใช้เวลายาวนานในการฟื้นตัว นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ เปิดเผยว่า “ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการสำคัญตามแผนฟื้นฟูจนบรรลุผลในหลายด้าน อาทิ การปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มความคล่องตัว การขยายเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมภูมิภาคต่าง ๆ การปรับปรุงฝูงบินและห้องโดยสาร การพัฒนาระบบดิจิทัล และยกระดับมาตรฐานการให้บริการในทุกจุด ทั้งนี้เพื่อยกระดับการบินไทยสู่การเป็นสายการบินชั้นนำในภูมิภาค โดยมีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งในด้านการสร้างรายได้ การควบคุมต้นทุน และการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการแข่งขันได้รวดเร็วและคล่องตัวยิ่งขึ้น” การกลับมาครั้งนี้ของการบินไทย แตกต่างจากอดีตที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้นมากกว่า 50% ปัจจุบัน แม้กระทรวงการคลังยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยจำนวน 11 พันล้านหุ้น แต่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 38.9% ขณะที่ผู้ถือหุ้นรองลงมาคือกลุ่มสถาบันการเงินต่างๆ การที่การบินไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ นักลงทุน หลังจากหุ้นการบินไทย (THAI) ถูกระงับการซื้อขายยาวนานตั้งแต่เริ่มกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ก็ได้กลับมาเปิดซื้อขายอีกครั้งในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ที่ราคาเปิด 10.50 บาทต่อหุ้น และปรับขึ้นจนราคาปิด ณ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 17.80 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้การบินไทยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ราว 5 แสนล้านบาท ติดอันดับหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศ การกลับมาของการบินไทยในสถานะที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เปรียบเสมือนการปลดพันธนาการจาก พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ซึ่งเดิมทำให้การดำเนินการต่างๆ เต็มไปด้วยความล่าช้า เงื่อนไขทางกฎหมาย

พามาเบิ่ง🧐เจ้าเวหาแห่งน่านฟ้า✈️เบอร์หนึ่งสายการบินแห่งชาติในอาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

เมื่อด่านอีสานใต้ปิดเพราะความขัดแย้งชายแดน พาเปิดเบิ่งตัวเลข คนกัมพูชาหันข้ามผ่านฝั่งไทย–ลาว

ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่ปะทุขึ้นในช่วงกลางปี 2568 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจชายแดนอีสานอย่างไม่อาจมองข้ามได้ จำนวนผู้โดยสารผ่านด่านฝั่งไทย-กัมพูชาที่เคยสูงถึง 125,771 คนในเดือนเมษายน 2568 นั้น กลับร่วงลงเหลือเพียง 4,409 คนในเดือนกรกฎาคม หลังจากด่านฝั่งอีสานใต้ถูกปิดชั่วคราว การหดตัวนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการหยุดชะงักของการเดินทางเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงการหยุดชะงักของเม็ดเงินหมุนเวียนในเมืองชายแดนที่เคยพึ่งพาผู้มาเยือนจากกัมพูชา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าด่านไทย-กัมพูชาจะปิดชั่วคราว แต่คนกัมพูชาก็ยังคงหาทางเข้ามายังประเทศไทยกัน โดยเลือกเส้นทางใหม่ผ่านฝั่งไทย-ลาว   การเปลี่ยนเส้นทาง จากจุดชายแดนอีสานใต้สู่อีสานตอนบน ก่อนปิดด่าน ด่านหลักของฝั่งไทย-กัมพูชาที่มีผู้ใช้มากที่สุดคือ ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ และด่านคลองลึก จ.สระแก้ว ที่มีผู้สัญจรหลักหมื่นถึงหลายหมื่นต่อเดือน แต่หลังปิดด่าน ตัวเลขผู้ใช้ด่านฝั่งกัมพูชาลดลงเหลือเพียงเศษเสี้ยว ขณะที่ด่านฝั่งลาว ไม่ว่าจะเป็น สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 จ.มุกดาหาร และ ด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี กลับเห็นจำนวนผู้เดินทางจากกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยแสดงให้เห็นว่า คนกัมพูชาบางส่วนยอมเพิ่มระยะทางและต้นทุนการเดินทางเพื่อเข้ามาทำธุรกิจ จับจ่ายสินค้า หรือแม้กระทั่งทำงานในไทย ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของตลาดไทยต่อความต้องการสินค้าและบริการของกัมพูชานั่นเอง   แล้วสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่ออีสานอย่างไร⁉️ เมืองชายแดนฝั่งลาว อย่างเช่น มุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี เริ่มได้รับอานิสงส์จากการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น ร้านค้าปลีก ตลาดการค้า และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในพื้นที่เหล่านี้มีโอกาสฟื้นตัวและขยายตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักจะไม่ใช่ชาวลาวเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงชาวกัมพูชาที่ข้ามเข้ามาด้วย อีกทั้งเส้นทางจากกัมพูชาสู่ลาวและเข้าสู่ไทย อาจต้องผ่านหลายด่านและหลายรูปแบบการขนส่ง ทำให้ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ในอีสานตอนบนมีโอกาสให้บริการเส้นทางใหม่ ทั้งการขนสินค้าข้ามแดน การจัดการเอกสารศุลกากร และบริการคลังสินค้าอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จังหวัดชายแดนฝั่งกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นสุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว อาจสูญเสียเม็ดเงินจากการเดินทาง การค้าขาย และการท่องเที่ยวชายแดนในสัดส่วนสูง โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และตลาดนัดชายแดนที่เคยรองรับนักท่องเที่ยวและนักช้อปจากกัมพูชานั่นเอง   แม้สถานการณ์ความขัดแย้งจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจชายแดนฝั่งไทย-กัมพูชา แต่การปรับตัวของผู้คนและภาคธุรกิจถือเป็นการสร้างเส้นทางเศรษฐกิจใหม่ผ่านฝั่งไทย-ลาว ซึ่งไม่เพียงเป็นทางออกชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังอาจกลายเป็นโอกาสสำหรับอีสานตอนบน หากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการพัฒนาตลาดชายแดนให้รองรับความต้องการของทั้งชาวลาวและกัมพูชา     อ้างอิงจาก: – Travel Link   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ปิดด่านชายแดนกัมพูชา #แรงงานกัมพูชา

เมื่อด่านอีสานใต้ปิดเพราะความขัดแย้งชายแดน พาเปิดเบิ่งตัวเลข คนกัมพูชาหันข้ามผ่านฝั่งไทย–ลาว อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top