Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พาย้อนเวลาไปเบิ่ง “อาหารอีสานเก่าแก่” ที่กำลังจะถูกลืม⁉️

อาหารอีสานไม่ใช่เพียงรสชาติอันจัดจ้านที่ทำให้คนไทยจดจำได้เท่านั้น แต่คือภาพสะท้อนของภูมิปัญญาชาวบ้านที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน คนอีสานได้สร้างสรรค์อาหารจากสิ่งรอบตัว ทั้งพืชป่า แมลง และวัตถุดิบเฉพาะฤดูกาล กลายเป็นระบบอาหารที่ยั่งยืนในตัวเอง ความโดดเด่นของอาหารอีสานจึงอยู่ที่ “ความรู้เชิงนิเวศน์” ที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่เทคนิคการกำจัดพิษในพืชบางชนิด การถนอมอาหารด้วยการหลาม คั่ว หรือตากแห้ง ไปจนถึงการใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลเพื่อสร้างความหลากหลายทางโภชนาการ เมื่อย้อนกลับไปดูอาหารพื้นบ้านดั้งเดิม หลายเมนูในอีสานกำลังจางหายไปพร้อมกับผู้เฒ่าผู้แก่ “คั่วขูลู” หรือหนอนใบตองกล้วย คือของกินเล่นที่ใช้หนอนจากหลอดใบกล้วยมาคั่วให้หอม เป็นอาหารที่คนรุ่นก่อนถือว่าเลอค่าและเต็มไปด้วยโปรตีน ส่วน “ซุปดอกผักติ้ว” อาหารรสเปรี้ยวอมมันจากดอกผักติ้วที่มีเฉพาะช่วงหน้าแล้ง ก็สะท้อนความรู้เกี่ยวกับพืชป่าและฤดูกาลอย่างละเอียดอ่อน เช่นเดียวกับ “คั่วสี่จี” ที่สะท้อนวิถีการบริโภคแมลงพื้นถิ่นที่มีโปรตีนสูงและเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงทางอาหารในอดีต ขณะที่ “หลามปลาไข่มดแดง” ถือเป็นอาหารประจำฤดูร้อนที่รวมศิลปะการปรุงและเทคนิคถนอมอาหารไว้ในกระบอกไม้ไผ่ ส่วน “กุดจี่เบ้า” หรือแมงกุดจี่เบ้า เป็นอาหารจากตัวอ่อนแมลงในมูลสัตว์ที่หากินได้เพียงปีละครั้ง และ “แกงต้นบุก” กับ “กลอย” ก็แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการกำจัดพิษจากพืชพิษก่อนนำมาปรุงอย่างปลอดภัย อาหารเหล่านี้เองค่อยๆ สูญหายไปเพราะค่านิยมสมัยใหม่และการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม คนรุ่นใหม่จำนวนมากมองว่าอาหารเหล่านี้ “บ้านนอก” หรือ “ไม่สะอาด” ทำให้การถ่ายทอดความรู้เรื่องการปรุง การเก็บ และการแปรรูปวัตถุดิบลดลงอย่างน่าเป็นห่วง การสูญเสียอาหารพื้นบ้านจึงไม่เพียงหมายถึงการหายไปของรสชาติ แต่ยังเป็นการสูญเสียองค์ความรู้ด้านการจัดการทรัพยากร ความมั่นคงทางอาหาร และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม หากมองในเชิงเศรษฐกิจ อาหารอีสานเก่าแก่สามารถต่อยอดเป็นทุนวัฒนธรรม เพื่อสร้างรายได้แก่ชุมชนได้ ทั้งในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (food tourism) หรือการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน (OTOP) การอนุรักษ์จึงไม่ควรจำกัดอยู่ที่การเก็บสูตรเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการบันทึกองค์ความรู้ การวิจัยคุณค่าทางโภชนาการ และการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะสุดท้ายแล้ว “อาหารเก่า” เหล่านี้คือหลักฐานทางวัฒนธรรมที่บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ ซึ่งหากปล่อยให้ถูกลืม ย่อมเท่ากับเราสูญเสียรากทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่อาจเป็นคำตอบของการพัฒนาอาหารในอนาคตนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม – อาหารป่าและความมั่นคงทางอาหารของชุมชนอีสาน สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. – ภูมิปัญญาการบริโภคแมลงของชาวอีสานกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพ วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น – อาหารพื้นบ้านกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, – UNESCO Bangkok – ภูมิปัญญาอาหารพื้นถิ่นกับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในภาคอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #อาหารอีสาน #อาหารป่า #อาหารถิ่นอีสาน #อาหารหายาก #อาหารเก่าแก่

พาย้อนเวลาไปเบิ่ง “อาหารอีสานเก่าแก่” ที่กำลังจะถูกลืม⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ความจริงที่น่าตกใจ! “พยาบาลอีสาน” แบกรับภาระหนักสุดในประเทศ

ในปี 2567 สัดส่วนพยาบาลต่อประชากรภาคอีสาน อยู่ที่พยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 434 คน ซึ่งสัดส่วนจำนวนพยาบาลในภาคอีสานแต่ละจังหวัดกลับมีตัวเลขที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก เพราะ WHO หรือองค์การอนามัยโลกได้แนะนำสัดส่วนมาตรฐานเอาไว้ โดยกำหนดว่าสัดส่วนที่เหมาะสมคือ พยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 200 คน นั่นเอง โดย 5 จังหวัดแรกที่พยาบาลแบกรับภาระมากที่สุด หนองบัวลำภู มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 679 คน บึงกาฬ มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 574 คน ชัยภูมิ มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 553 คน นครพนม มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 537 คน ศรีสะเกษ มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 536 คน สำหรับในจังหวัดที่พยาบาลแบกรับภาระน้อยที่สุดนั้น คือ จังหวัดขอนแก่น โดยมีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากรเพียงแค่ 258 คน ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนพยาบาลที่ไม่ห่างจากสัดส่วนมาตรฐานมากนัก   🩺พยาบาลอีสาน แบกรับภาระหนักสุดในประเทศ จังหวัดในภาคอีสานจำนวนมากกำลังเผชิญ “วิกฤตบุคลากรทางการแพทย์” อย่างรุนแรง หนึ่งในนั้นคือพยาบาล จังหวัดหนองบัวลำภูแบกรับประชาชนต่อพยาบาลสูงสุดถึง 679:1 บึงกาฬ 574:1 และชัยภูมิ 553:1 ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่หนักที่สุดในประเทศ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอีสาน ที่แม้ประชากรจะมีจำนวนมากแต่กลับขาดการกระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียมนั่นเอง สาเหตุสำคัญที่ทำให้พยาบาลในจังหวัดเหล่านี้ต้องแบกรับภาระคนไข้จำนวนมาก มาจากความเหลื่อมล้ำเชิงเศรษฐกิจที่เรื้อรัง จังหวัดที่มีภาระสูงมักเป็นจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำ อย่างเช่น หนองบัวลำภูและบึงกาฬ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและยังพึ่งพาระบบสาธารณสุขของรัฐเป็นหลัก ภาระของโรงพยาบาลรัฐจึงพุ่งสูง ขณะที่งบประมาณและจำนวนบุคลากรกลับไม่ขยายตัวตามจำนวนประชากร  นอกจากนี้ ยังเกิดภาวะ “สมองไหล” ของบุคลากรทางการแพทย์จากพื้นที่ชนบทเข้าสู่จังหวัดใหญ่ เช่น ขอนแก่น หรืออุบลราชธานี ซึ่งมีโรงพยาบาลศูนย์ มหาวิทยาลัยแพทย์ และโอกาสทางอาชีพที่มั่นคงกว่า พยาบาลในพื้นที่ห่างไกลจึงต้องทำงานเกินกำลังจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและคุณภาพการบริการในระยะยาวนั่นเอง ในอีกด้านหนึ่ง ความอ่อนแอของโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นยังมีผลโดยตรงต่อระบบสุขภาพ เมื่อเศรษฐกิจจังหวัดไม่เติบโต โรงพยาบาลก็ขาดงบประมาณ ขาดเครื่องมือแพทย์ และขาดแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่กลับมาทำงานในบ้านเกิด ปัญหานี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสาธารณสุข แต่เป็นภาพสะท้อนความไม่เท่าเทียมทางการพัฒนา ระหว่างเมืองศูนย์กลางกับเมืองรองในภาคอีสาน ขณะที่จังหวัดขอนแก่นกลับตรงข้าม ด้วยอัตราประชาชนต่อพยาบาลเพียง 258:1 เพราะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการแพทย์ของภูมิภาค มีโรงเรียนพยาบาลและสถาบันฝึกอบรมจำนวนมาก จึงดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงและงบประมาณได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม การที่พยาบาลอีสานจำนวนมากยังคงทำงานหนักภายใต้ทรัพยากรจำกัด ถือเป็นพลังเชิงบวกที่น่าชื่นชม พวกเขาไม่เพียงรักษาผู้ป่วยเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด-19 พยาบาลท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ การรณรงค์วัคซีน และการให้ความรู้ด้านสุขภาพอีกด้วย ปัญหาพยาบาลขาดแคลนในอีสานไม่ใช่เพียงตัวเลขเท่านั้น แต่คือภาพสะท้อนของ “ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง” ที่ยังฝังลึกในระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย จังหวัดที่พยาบาลต้องดูแลประชาชนหลายร้อยชีวิตต่อคน มักเป็นจังหวัดที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะที่จังหวัดที่มีฐานเศรษฐกิจมั่นคงย่อมมีระบบสุขภาพที่เข้มแข็งกว่า ดังนั้น หากประเทศไทยต้องการสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

พาเปิดเบิ่ง ความจริงที่น่าตกใจ! “พยาบาลอีสาน” แบกรับภาระหนักสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง “ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตในอีสาน” ไม่ใช่แค่ที่บันเทิง แต่คือ “เครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจ” 

ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ในภาคอีสาน ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แห่งความสนุกเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการหมุนเวียนรายได้ สร้างงานให้คนท้องถิ่น และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ สะท้อนศักยภาพของเมืองใหญ่ในอีสานที่พร้อมก้าวสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) อย่างเต็มรูปแบบ 🎵KICE – Khon Kaen International Convention and Exhibition Center📍ขอนแก่น ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขนาดใหญ่ระดับภาคอีสาน ที่รองรับการจัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์นานาชาติได้หลายหมื่นคน เป็นหัวใจของ “อีเวนต์อีโคโนมี” เมืองขอนแก่น 🎵Khonkaen Hall – เซ็นทรัล ขอนแก่น📍ขอนแก่น ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ภายในห้างฯ ที่รองรับงานคอนเสิร์ต งานสัมมนา และกิจกรรมแบรนด์ระดับภูมิภาค เป็นจุดรวมของคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว 🎵Terminal Hall – เทอร์มินอล 21 โคราช📍นครราชสีมา ฮอลล์ในร่มสุดทันสมัย เหมาะสำหรับคอนเสิร์ตขนาดกลางถึงใหญ่ และอีเวนต์ทัวร์ของศิลปินชื่อดัง ช่วยกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวและบริการในเมืองโคราชอย่างต่อเนื่อง 🎵Korat Hall – เซ็นทรัล โคราช📍นครราชสีมา หนึ่งในฮอลล์ใหญ่ที่สุดของอีสานตอนล่าง รองรับผู้ชมได้หลายพันคน เป็นที่จัดงานทัวร์คอนเสิร์ตและแฟนมีตของศิลปินไทยและต่างประเทศ อย่างเช่น RUSSELL PETERS ACT YOUR AGE World Tour สร้างกระแสการเดินทางและการใช้จ่ายในเมืองแบบเห็นได้ชัดนั่นเอง 🎵Udon Thani Hall – เซ็นทรัล อุดรธานี📍อุดรธานี ศูนย์จัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ทัวร์สำคัญของอีสานตอนบน มีบทบาทในการดึงดูดผู้ชมจากจังหวัดใกล้เคียง ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองท่องเที่ยวชายแดนไทย–ลาว 🎵Ubon Hall – เซ็นทรัล อุบลราชธานี📍อุบลราชธานี ฮอลล์จัดงานครบวงจร รองรับทั้งงานแสดงสินค้า สัมมนา คอนเสิร์ต และอีเวนต์บันเทิง เป็นเวทีสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้คนในพื้นที่และจังหวัดรอบข้าง   อย่างไรก็ตาม “คอนเสิร์ต” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภายในฮอลล์หรือศูนย์ประชุมขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีการจัดงานแบบ กลางแจ้ง ในหลายพื้นที่ทั่วภาคอีสาน โดยเฉพาะพื้นที่กลางแจ้งในเขาใหญ่และภาคอีสานตอนล่างก็ถือเป็นทำเลทองของเทศกาลดนตรีระดับประเทศที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศให้หลั่งไหลเข้ามาสร้างสีสันทางเศรษฐกิจอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น “ทองสมบูรณ์คลับ เขาใหญ่” หรือพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งถูกใช้จัดงานใหญ่ระดับตำนานอย่างเช่น Big Mountain Music Festival ที่กลายเป็นแม่เหล็กสำคัญในการกระตุ้นการท่องเที่ยวและรายได้ของชุมชนโดยรอบ แม้จะอยู่นอกเขตอำเภอเมืองโคราชก็ตาม ขณะเดียวกัน ภาคอีสานตอนบนเองก็ไม่น้อยหน้า หลายเทศกาลดนตรีชื่อดัง อย่างเช่น “เฉียงเหนือเฟส” และ “E-san Music Festival” ต่างเลือกใช้พื้นที่กลางแจ้งขนาดใหญ่ เช่น บริเวณ บขส. 3 ขอนแก่น หรือ ริมเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งสามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้หลายหมื่นคน สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่กลางแจ้งของอีสานไม่เพียงเป็นเวทีแห่งเสียงเพลง แต่ยังเป็นเวทีแห่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของภูมิภาคอย่างแท้จริงนั่นเอง   คอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีจึงไม่ใช่เพียง “เวทีแห่งความบันเทิง” เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องจักรสำคัญทางเศรษฐกิจ ที่ช่วยขับเคลื่อนรายได้ของชุมชนโดยรอบในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ผู้ให้บริการขนส่ง และผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ที่ต่างได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการหลั่งไหลของผู้คนจำนวนมหาศาลนั่นเอง ตัวอย่างเช่น

พามาเบิ่ง “ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตในอีสาน” ไม่ใช่แค่ที่บันเทิง แต่คือ “เครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจ”  อ่านเพิ่มเติม »

ส่องรายได้ธุรกิจ…ในกลุ่ม ‘สบายดี’ ว่ามีอีหยังน่าสนใจบ้าง

กลุ่มจังหวัด “สบายดี” หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย และหนองคาย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกันทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม โดยเฉพาะการเป็นประตูเศรษฐกิจสำคัญของไทยที่เชื่อมต่อกับประเทศลาวและเวียดนาม ในพื้นที่ 5 จังหวัดของกลุ่มจังหวัดสบายดี มีอยู่ 2 จังหวัดที่มีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเชื่อมต่อกับ สปป.ลาว โดยตรง ได้แก่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 เชื่อมจาก จังหวัดหนองคาย ไปยัง นครหลวงเวียงจันทน์ เปิดใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 เชื่อมจาก จังหวัดบึงกาฬ ไปยัง เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ใช้บริการได้ภายใน สิ้นปี พ.ศ. 2568 ด้วยทำเลที่ได้เปรียบดังกล่าว ทำให้กลุ่มจังหวัดนี้มีการค้าชายแดนระหว่างไทย–ลาวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางหลักที่นักท่องเที่ยวจาก ลาว เวียดนาม และจีน เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่งผลให้กลุ่มจังหวัดสบายดีได้รับอานิสงส์ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากการอยู่ติดชายแดนเป็นอย่างมาก นอกจากความโดดเด่นในด้านพื้นที่ชายแดนแล้ว กลุ่มจังหวัดสบายดี ยังมีความได้เปรียบด้าน การเกษตร ที่ไม่แพ้กัน หากพิจารณาพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะพบว่า ยางพาราและอ้อย เป็นพืชหลักที่มีการเพาะปลูกอย่างกว้างขวางในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะ ยางพารา ซึ่งพื้นที่ปลูกส่วนใหญ่ของภาคอีสานกว่า 2.6 ล้านไร่ อยู่ในกลุ่มจังหวัดสบายดี คิดเป็นเกือบ ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ปลูกยางพาราทั้งหมดของภาค ส่วนในด้าน อ้อย กลุ่มจังหวัดนี้ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยมีปริมาณผลผลิตคิดเป็นประมาณ 28% ของผลผลิตอ้อยทั้งภาคอีสาน เมื่อพิจารณาภาพรวมธุรกิจในกลุ่มจังหวัดสบายดี จะพบว่าธุรกิจหลักในพื้นที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ การเกษตร การค้าชายแดน และพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงน้ำตาล โรงงานยางพารา หรือกิจการค้าปลีกค้าส่งที่เติบโตตามเมืองศูนย์กลางอย่างอุดรธานีและหนองคาย อีกทั้งการคมนาคมที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศก็ยิ่งช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจในพื้นที่นี้มีความคึกคักขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลังโควิด-19 ปัจจัยดังกล่าวสอดคล้องกับการเติบโตของภาคธุรกิจในพื้นที่ โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวเนื่องกับผลผลิตทางการเกษตร เช่น บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด และ บริษัท กว๋างเขิ่น รับเบอร์ (แม่น้ำโขง) จำกัด ธุรกิจเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากการมีแหล่งวัตถุดิบอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตบางส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้ว กลุ่มจังหวัดสบายดีถือเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากฐานการเกษตรและการค้าชายแดน แม้จะยังไม่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ระดับประเทศเข้ามามากนัก แต่ศักยภาพของทำเล การคมนาคม และทรัพยากรในพื้นที่ ทำให้ภูมิภาคนี้ยังมีช่องทางขยายตัวในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเกษตรแปรรูปและโลจิสติกส์ข้ามแดน   อ้างอิง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ส่องรายได้ธุรกิจ…ในกลุ่ม ‘สบายดี’ ว่ามีอีหยังน่าสนใจบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

“ราคาทองคำ” ทะยานไม่หยุด พาเปิดเบิ่ง 10 ประเทศ “มหาเศรษฐีทองคำ” ไทยรั้งอันดับ 22 มีทองในมือเท่าไหร่?

ในยุคที่ระบบการเงินผันผวนและความไม่แน่นอนทางทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น “ทองคำ” ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด การจัดอันดับของ World Gold Council ชี้ให้เห็นว่า ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐอเมริกา ถือครองทองคำกว่า 8,133 ตัน, เยอรมนี 3,351 ตัน, อิตาลี 2,452 ตัน และ ฝรั่งเศส 2,437 ตัน ต่างถือครองทองคำในปริมาณมหาศาลเพื่อใช้เป็นทุนสำรองประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเงินที่เหนือชั้น ขณะที่ประเทศไทยแม้จะอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก แต่ก็ถือครองทองคำมากถึง 235 ตันเลยทีเดียว ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงใช้ทองคำเป็นเกาะป้องกันสำคัญในยามเศรษฐกิจโลกผันผวนนั่นเอง เมื่อมองย้อนกลับไปช่วง 10 ที่ผ่านมา ราคาทองคำขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2568 ที่ราคาพุ่งแตะระดับ 62,300 บาท ซึ่งสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความตื่นตระหนกของนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแรงกดดันเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก ทั้งภาวะเงินเฟ้อ สงคราม และการชะลอตัวของตลาดทุนโลก ซึ่งทำให้ทองคำกลับมาเป็นสินทรัพย์ที่ทุกประเทศแย่งกันถือ ประเทศไทยของเรา ราคาทองคำที่พุ่งสูงนั้นต่างก็มีทั้งด้านบวกและด้านลบด้วยกัน ด้านผู้ที่ถือทองอยู่แล้วได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง สะท้อนถึงค่าของเงินบาทที่อ่อนลง และต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น สำหรับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในภาคอีสานของเราที่มีรายได้เฉลี่ยที่ค่อนข้างต่ำ อีสานอินไซต์จะขอการเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ เมื่อราคาทองคำแตะ 62,300 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในหลายจังหวัดอีสานอยู่ราว 370-380 บาทต่อวัน หมายความว่าคนทำงานต้องใช้แรงกายกว่า 160 วัน เพื่อแลกทองคำ “หนึ่งบาท” อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงเป็นตัวชี้วัดทางความมั่นคงทางเศรษฐกิจของทั้งโลกและไทย การที่ไทยถือครองทองคำเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาณว่าไทยกำลังสร้างเกราะป้องกันต่อวิกฤตการเงินโลกในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการยกระดับรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะในภาคอีสานให้สามารถ “ก้าวทันต้นทุนชีวิต” ที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่างั้นทองคำจะยังคงเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของบางกลุ่มมากกว่าจะเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงที่ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – World Gold Council – สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ทองคำ #ทองคำราคาพุ่ง #ราคาทองคำ #ทองคำแท่ง

“ราคาทองคำ” ทะยานไม่หยุด พาเปิดเบิ่ง 10 ประเทศ “มหาเศรษฐีทองคำ” ไทยรั้งอันดับ 22 มีทองในมือเท่าไหร่? อ่านเพิ่มเติม »

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่?

  ปัจจุบันภาคอีสานในหลายๆ พื้นที่ กำลังจะมีโครงการใหญ่ๆ ที่หลายคนเฝ้ารอ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ สะพาน สนามบิน และอื่นๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีบางโครงการที่ได้มีการประกาศว่าจะเกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันกลับเงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงสัยให้กับคนพื้นที่ว่า ‘สรุปโครงการนี้จะเอายังไงกันแน่’ เราขอหยิบยกมานำเสนอ 2 โครงการ ได้แก่… ศูนย์การแพทย์ สถาบันพระบรมราชชนก วิทยาเขตอุดรธานี🏥 : หลายคนคงเคยได้ยินว่า อุดรฯ กำลังจะมีโรงเรียนเพื่อพัฒนาบุคลากรแพทย์ รวมไปถึงเป็นโรงพยาบาล ภายใต้งบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งตามกำหนดการจะใช้เวลาก่อสร้างในช่วง 2565 – 2567 แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับชาวบ้านในเขต ต.สามพร้าว ขึ้น ทำใหโครงการหยุดชะงัก ซึ่งปัจจุบันตัวก็ยังไม่มีการอัพเดตใดๆ จนคนอุดรหลายคนสงสัยไปตามๆ กันว่าศูนย์การแพทย์แห่งนี้จะได้ไปต่อหรือไม่🤔 ท่าอากาศยานมุกดาหาร ✈️: สนามบินมุกดาหาร เป็นโครงการที่ไม่เชิงว่าเงียบไป แต่ทำให้คนมุกนั้นสับสนกันพอสมควร ซึ่งตามแผนเดิมนั้นจะมีการก่อสร้างและเปิดใช้งานในปี 2571 แต่ในช่วงปลายเดือน เม.ย. 68 รมว.คมนาคม ในขณะนั้น รายงานว่ายังไม่มีนโยบายก่อสร้างสนามบินมุกดาหาร เนื่องจากหลายอย่างยังไม่พร้อม และอาจไม่คุ้มค่าทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ได้ออกมายืนยันว่าการก่อสร้างสนามบินมุกดาหารจะเดินหน้าต่อแน่นอน เพียงแต่ต้องทบทวนความพร้อมหลายๆ อย่างก่อน   ใครที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียง หรือติดตามเรื่องนี้อยู่ หรือมีโครงการอื่นๆ ของภาคอีสานในลักษณะที่ไม่รู้ว่าจะไปได้ต่อหรือไม่ มาแสดงความเห็นกันได้นะคะ ✍️ ที่มา: ศูนย์อนามัยที่ 8 อุดรธานี, สำนักข่าวชายขอบ, เดลินิวส์, สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร

2 โครงการใหญ่ในอีสาน ที่หลายคนสงสัยว่าได้ไปต่อหรือไม่? อ่านเพิ่มเติม »

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย”

สุจินดา เชิดชัย หรือ “เจ๊เกียว” เดิมชื่อ “คาเกียว” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเมื่ออายุ 9 ขวบ เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรคนที่ 6 ของครอบครัว แม้จะเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ที่ 1 แต่กลับต้องหยุดเรียนเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะมารดาไม่อนุญาตให้เรียนต่อ หลังจบการศึกษา เจ๊เกียวเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากการเป็นแม่ค้าขายของตามสถานีรถไฟ ก่อนต่อยอดด้วยการเรียนตัดเสื้อ และเปิดโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อผ้า กระทั่งได้แต่งงานกับ นายวิชัย เชิดชัย (เฮียไช) เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจเดินรถโดยสาร จากจุดเล็ก ๆ นั้น เจ๊เกียวได้ขยายกิจการจนกลายเป็น เจ้าของสัมปทานรถโดยสารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ภายใต้ชื่อ “เชิดชัยทัวร์” ที่ดำเนินธุรกิจรถร่วม บขส. มานานกว่า 65 ปี มีรถกว่า 200 คัน วิ่งให้บริการครอบคลุมทั้งภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ นอกจากบทบาทนักธุรกิจ เจ๊เกียวยังดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วม บขส. และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าโดยสารในช่วงราคาน้ำมันพุ่งสูง อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 เจ๊เกียวเคยจะประกาศเตรียมเลิกกิจการรถทัวร์ และขายบริษัทเชิดชัยทัวร์ออกไป โดยให้เหตุผลว่าได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้โดยสารที่เปลี่ยนไป หลายคนหันมาขับรถส่วนตัว หรือเลือกใช้สายการบินโลว์คอสต์แทน เนื่องจากค่าโดยสารใกล้เคียงกันแต่ใช้เวลาเดินทางสั้นกว่า ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา “รถโดยสารระหว่างจังหวัด” เคยเป็นเส้นเลือดหลักของระบบคมนาคมไทย เชื่อมต่อเมืองใหญ่กับต่างจังหวัดทั่วประเทศ แต่เมื่อพฤติกรรมการเดินทางของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังการมาของ สายการบินต้นทุนต่ำ (Low-Cost Airline) และการที่ประชาชนหันมาใช้ รถยนต์ส่วนตัว กันมากขึ้น ธุรกิจเดินรถบัสสาธารณะจึงเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การเข้ามาของสายการบินต้นทุนต่ำ เช่น แอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ หรือไทยเวียดเจ็ท ทำให้การเดินทางทางอากาศไม่ใช่เรื่องของคนมีฐานะอีกต่อไป ราคาตั๋วเครื่องบินที่เคยอยู่หลักพันปลาย กลับลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถโดยสารวีไอพี โดยเฉพาะเมื่อมีโปรโมชั่น “บินถูกหลักร้อย” ออกมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้โดยสารจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว และพนักงานบริษัท ที่ต้องการประหยัดเวลาในการเดินทาง เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ที่เครื่องบินใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่รถบัสต้องใช้เวลากว่า 8 – 10 ชั่วโมง เมื่อเวลามีค่ามากขึ้น การจ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อแลกกับความรวดเร็วและความสะดวกสบายจึงกลายเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” สำหรับหลายคน ผลที่ตามมาคือ เส้นทางระยะไกลหลายสายของผู้ประกอบการเดินรถเริ่มมีผู้โดยสารลดลงอย่างต่อเนื่อง จนต้องลดจำนวนเที่ยวหรือยกเลิกบางเส้นทาง เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กดดันธุรกิจรถบัสคือ การใช้รถยนต์ส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากความสะดวกในการผ่อนรถ ราคาน้ำมันที่ทรงตัว และถนนที่เชื่อมต่อทั่วถึงมากขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวหรือเพื่อนร่วมทาง มองว่าการขับรถเอง

อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย” อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ

ในปี 2567 ประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งหมด โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ยังคงมี “สัดส่วนคนจนสูง” แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะเริ่มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางในระดับครัวเรือนกลับยิ่งชัดเจนขึ้น โดยจังหวัด อุบลราชธานี และ ศรีสะเกษ กลายเป็นตัวแทนของภาพเศรษฐกิจอีสานในปัจจุบัน ทั้งคู่ติดอันดับ Top 10 จังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดของไทย โดยอุบลราชธานีมีสัดส่วนคนจนกว่า 20.34% ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด ส่วนศรีสะเกษอยู่ที่ 14.08% สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก แม้จะอยู่ในภูมิภาคที่อุดมด้วยทรัพยากรและพรมแดนการค้า แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกลับไม่กระจายสู่ชุมชนอย่างเท่าเทียมนั่นเอง เศรษฐกิจอีสานส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก แรงงานกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในภาคเกษตร โดยเฉพาะการทำนา ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด สินค้าหลักที่สามารถสร้างรายได้กลับผันผวนและพึ่งพาธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่แน่นอนของฝน ความเสียหายจากน้ำท่วมซ้ำซาก และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น กลายเป็น “กับดักรายได้ต่ำ” ที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถสะสมทุนเพื่อหลุดพ้นจากความยากจนได้ อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูง รายได้ที่ไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มที่ ขณะเดียวกัน โอกาสทางเศรษฐกิจในอีสานยังถูกจำกัดด้วย โครงสร้างการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่เอื้อให้เกิดธุรกิจสมัยใหม่ การลงทุนภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวในภาคกลางและภาคตะวันออก ขณะที่ภาคอีสานแม้จะมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์มหาศาล โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนอย่างมุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี ที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาวและกัมพูชา แต่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยังไม่ต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมหรือบริการได้อย่างแท้จริง . แรงงานจำนวนมากจึงเลือกเดินทางออกจากภูมิภาคไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อหารายได้สูงกว่า ผลคือ “เศรษฐกิจท้องถิ่นขาดแรงหมุนเวียน” เงินรายได้จากแรงงานอีสานที่ส่งกลับบ้านในรูปของเงินโอน แม้จะช่วยเลี้ยงครัวเรือนในระยะสั้น แต่ไม่ได้สร้างการเติบโตในระยะยาว เมื่อคนหนุ่มสาวย้ายถิ่น แรงงานในพื้นที่จึงเหลือเพียงผู้สูงอายุและแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งอีสานคือ โครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอีสานมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 28.4% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาค ซึ่งหมายความว่าภาคแรงงานจะยิ่งหดตัวลง และภาระการดูแลสังคมจะเพิ่มขึ้น  เมื่อเศรษฐกิจพึ่งเกษตร รายได้ไม่แน่นอน การลงทุนต่ำ และโครงสร้างประชากรเปลี่ยน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ได้กลายเป็น “วงจรความยากจนเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้ภาคอีสานของเราที่แม้จะมีศักยภาพ แต่ไม่อาจก้าวทันภูมิภาคอื่นของประเทศนั่นเอง อีสานมีศักยภาพมหาศาลทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน วัฒนธรรม และภูมิรัฐศาสตร์ หากได้รับการพัฒนาอย่างมีทิศทาง อีสานจะไม่ใช่เพียง “ภูมิภาคแห่งความยากจน” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ภูมิภาคแห่งพลังใหม่ของเศรษฐกิจไทย” ที่เติบโตบนฐานความยั่งยืนและภูมิปัญญาท้องถิ่น   อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. – ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “วิกฤตทางการศึกษา” ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตัวเลขจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปี 2567 พบว่า จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุดในประเทศกลับไม่ใช่เขตเศรษฐกิจหลัก แต่เป็นพื้นที่ชายขอบและชนบท อย่างเช่น แม่ฮ่องสอน นราธิวาส และโดยเฉพาะ ภาคอีสาน ที่ติดอันดับถึง 8 จังหวัดจาก 10 อันดับแรก ไม่ว่าจะเป็น นครพนม อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ยโสธร มุกดาหาร ศรีสะเกษ และสกลนคร โดยเด็กในพื้นที่เหล่านี้กว่า 35-40% มาจากครัวเรือนยากจนพิเศษ ซึ่งหมายความว่าแทบทุก 3-4 คน จะมี 1 คนที่ขาดปัจจัยพื้นฐานต่อการเรียนรู้นั่นเอง เบื้องหลังปัญหานี้คือ โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง โดยภาคอีสานยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก เผชิญภัยแล้ง ราคาผลผลิตผันผวน และขาดอุตสาหกรรมมูลค่าสูง จึงสร้างรายได้ที่ไม่มั่นคง ขณะเดียวกัน ครัวเรือนจำนวนมากมีการศึกษาสูงสุดเพียงระดับประถม ทำให้ขาดความสามารถในการสนับสนุนลูกหลานด้านการเรียน การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา เช่น โรงเรียนที่มีครูครบวิชา ห้องสมุด และเทคโนโลยีดิจิทัล ยิ่งซ้ำเติมช่องว่างเหล่านี้ เมื่อเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอหรือเท่าที่ควรจะเป็น โอกาสหลุดออกนอกระบบการศึกษาจึงสูง และเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็ถูกจำกัดให้ทำงานรายได้ต่ำในระบบเศรษฐกิจที่อาจไม่ก้าวหน้านั่นเอง วิกฤตนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาสังคม แต่คือ ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ที่ส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตของประเทศ การที่เด็กในภูมิภาคใหญ่ที่สุดของไทยขาดการศึกษาที่มีคุณภาพ คือสัญญาณว่าประเทศกำลังสูญเสีย “ทุนมนุษย์” (human capital) ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในอนาคต ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคอื่นเร่งพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล เด็กไทยจำนวนมากกลับยังติดอยู่กับความเหลื่อมล้ำพื้นฐาน หากรัฐและสังคมไม่ลงทุนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เราอาจต้องเผชิญกับวงจร “จน–ขาดโอกาส–ไม่มีศักยภาพแข่งขัน” ที่กัดกินทั้งสังคมและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว อย่างไรก็ตาม แม้การศึกษาจะเป็นปัจจัยสำคัญและถือเป็น “ใบเบิกทาง” ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงอาชีพ รายได้ และความก้าวหน้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งของอนาคต โลกความจริงเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้ที่ไม่ได้เรียนจบสูง แต่สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และสร้างรายได้มหาศาลได้ด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้าเสี่ยง การศึกษาไม่ใช่คำตอบเดียว หากเป็นสะพานที่ช่วยให้การเดินทางไปถึงฝั่งฝันง่ายขึ้น ขณะที่บางคนเลือกสร้างเรือของตนเองแล้วฝ่าคลื่นออกไป ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกันนั่นเอง ดังนั้น บทความนี้ไม่ได้ต้องการสรุปว่า ใครที่ยากจนหรือขาดการศึกษาในระบบจะต้องล้มเหลวในชีวิต หากแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า หากรัฐและสังคมละเลยเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เราอาจจะต้องสูญเสียศักยภาพมหาศาลจากเด็กจำนวนมากที่พร้อมจะเป็นพลังสำคัญของชาติ การศึกษาคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเปิดประตูโอกาส แม้ไม่การันตีความสำเร็จ แต่การมีโอกาสย่อมดีกว่าการถูกปิดกั้นตั้งแต่แรกเริ่ม   อ้างอิงจาก: – กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) – รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2567 – สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) – Thai PBS. – SDG Move.  – มติชนสุดสัปดาห์ – Cheewid Blog – Postjung   ติดตาม ISAN Insight &

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน

ฮู้บ่ว่า จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ ภายใต้แนวคิด “ทรัมป์ 2.0” ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนถึงการตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงต่อสินค้าจากจีน ได้ส่งผลให้จีนต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การส่งออกครั้งสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญต่อพลวัตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค โดยจีนที่มีการเร่งการส่งออกเข้าสู่สหรัฐฯต้นปี เริ่มชะลอตัวและหันมาส่งออกสู่ตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งมูลค่าการส่งออกโดยตรงจากจีนไปยังสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 215,909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงถึง 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (241,587 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การหดตัวนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนและผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบรุนแรงจากต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้น และลดการค้าโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและต้นทุนจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ยุทธศาสตร์ตอบโต้ของจีน: ใช้ “อาเซียน” เป็นฐานทัพใหม่ เมื่อประตูการค้าสู่สหรัฐฯ แคบลง จีนไม่ได้ยอมจำนน แต่เลือกใช้กลยุทธ์ “เบนเข็ม” โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งมีพรมแดนติดกันและมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจสูง การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของจีนมายังภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด: ภาพรวมอาเซียน: การส่งออกของจีนมายังอาเซียน เติบโตขึ้น 12.2% กัมพูชา: เติบโตสูงสุดถึง +24.0% ไทย: เติบโต +20.2% เวียดนาม: เติบโต +20.0% ซึ่งนัยนึงอาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มการทะลักของสินค้าจีนระลอกใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนถึง “ทางเลี่ยง” ในการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ไม่ได้หมายความว่าสินค้าจีนทั้งหมดจะถูกบริโภคภายในอาเซียนเท่านั้น แต่มีนัยสำคัญเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์นี้ คือ “การใช้ประเทศที่สามในการสวมสิทธิสินค้า กระบวนการนี้ทำงานได้จากการ ส่งชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished goods) หรือวัตถุดิบมายังโรงงานในประเทศอาเซียน เช่น ไทย หรือ เวียดนาม และถูกนำมาผ่านกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า ให้กลายเป็น “Made in Thailand” หรือ “Made in Vietnam” สรุป: แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การย้ายตลาด แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก” ครั้งใหญ่ โดยมีสงครามการค้าเป็นตัวเร่ง ประเทศไทยและอาเซียนกำลังอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับทั้งโอกาสและความท้าทาย การวางนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสมดุล จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับภูมิทัศน์การค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้

จีนมีแนวโน้มจะเบนเข็มยุทธศาสตร์ส่งออกหลบกำแพงภาษี มุ่งหน้าสู่อาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top