Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

ฝุ่นกลับมาอีกครั้ง พาเลาะเบิ่งแผนที่ “จุดเผา” หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5

สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 กลับมาปกคลุมประเทศไทยอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 และทวีความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะวันที่ 30 พฤศจิกายน มีรายงานค่าฝุ่นในระดับ “ไม่ดีต่อสุขภาพ” (สีส้ม/แดง) สูงขึ้นอย่างชัดเจนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ บริเวณเขตปทุมวัน ที่ดัชนีคุณภาพอากาศ (US AQI) พุ่งสูงสุดถึง 159 ซึ่งจัดอยู่ในระดับ”Unhealthy for Sensitive Groups” หรือ “ไม่ดีต่อสุขภาพสำหรับกลุ่มคนไวต่อมลพิษ” ปัญหาคุณภาพอากาศที่ยิ่งทวีความหนักหน่วงในเมืองใหญ่ ทำให้หลายคนเริ่มสัมผัสอาการแสบจมูก ระคายคอ เหนื่อยง่ายจากมลพิษที่ลอยปกคลุมอยู่ทั่วเมือง ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ช่วงปลายปีมักเกิดภาวะอากาศนิ่ง ฝุ่นสะสม และการจราจรที่หนาแน่นยิ่งซ้ำเติมให้คุณภาพอากาศตกลงอย่างรวดเร็ว แม้หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่การรู้เท่าทันสถานการณ์และปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันยังช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้บางส่วน อีสานอินไซต์เลยจะขอพามาดู “จุดเผา” หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5 🔥จุดความร้อน หรือ Hot Spot คืออะไร? จุดความร้อน พูดง่ายๆก็คือ จุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลก ซึ่งส่วนมากก็คือความร้อนจากไฟ แสดงในรูปแบบแผนที่เพื่อนำเสนอตำแหน่งที่เกิดไฟในแต่ละพื้นที่แบบคร่าวๆ การได้มาซึ่งข้อมูลจุดความร้อนอาศัยหลักการที่ว่า ดาวเทียมสามารถตรวจวัดคลื่นรังสีอินฟาเรดหรือรังสีความร้อนที่เกิดจากไฟ (อุณหภูมิสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส) บนพื้นผิวโลก จากนั้นก็ประมวลผลแสดงในรูปแบบจุด โดยแผนภาพที่นำเสนอจุดแดง📛คือ จุดความร้อนที่กระจายอยู่ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากไฟหรือการเผาในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะงานเกษตร อย่างเช่น การเผาตอซังและฟางข้าวที่พบมากในภาคอีสาน เนื่องจากต้นทุนการไถกลบยังสูงจนเกษตรกรจำนวนมากเลือกวิธีเผาแทน ส่งผลให้ภาพรวมของภูมิภาคเต็มไปด้วยจุดความร้อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลายเป็นแหล่งกำเนิด PM 2.5 สำคัญของประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัญหาฝุ่นไม่ได้เกิดจากการเผาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย ทั้งไฟป่า ควันจากประเทศเพื่อนบ้าน การจราจรที่หนาแน่น การขนส่ง เครื่องยนต์ดีเซล รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม ประกอบกับสภาพอากาศช่วงต้นปีที่มักถูกปกคลุมด้วยความกดอากาศสูง ลมอ่อน และอากาศปิด ทำให้ฝุ่นไม่กระจายตัวและสะสมในระดับอันตรายต่อสุขภาพได้ง่าย โดย PM 2.5 ที่มีอนุภาคเล็กมากสามารถแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด ปอด และหัวใจ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด และปัญหาสุขภาพเรื้อรังอีกมากมาย วิกฤตฝุ่นในครั้งนี้ แม้สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจอย่างหนัก แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ผลักดันให้เกิดดีมานด์ใหม่ในตลาดสินค้าและบริการด้านสุขภาพ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัสประเมินว่า ความต้องการหน้ากาก เครื่องฟอกอากาศ และการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เช่น BDMS, BH, BCH รวมถึงกลุ่มค้าปลีกที่จำหน่ายอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เช่น HL, IP, MEGA, HMPRO และ CRC เพราะประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันและดูแลสุขภาพมากขึ้นนั่นเอง ฝุ่น PM 2.5 จึงไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างสาธารณสุข เศรษฐกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งกำลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญในยุคที่มลพิษอากาศกลายเป็นความเสี่ยงระยะยาวของคนเมืองไทยทุกคน   ที่มา:  – THE […]

ฝุ่นกลับมาอีกครั้ง พาเลาะเบิ่งแผนที่ “จุดเผา” หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5 อ่านเพิ่มเติม »

🔎พาเปิดเบิ่งสถิติ “น้ำท่วมซ้ำซาก” ในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา และพื้นที่เสียหายสูงสุดใน 30 วันนี้☔️🌧️

⛰️จากการประมวลความถี่ของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  พบว่าในช่วงหนึ่งอายุของคนที่เกิดในปี 2563 จะมีโอกาสเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากกว่าคนที่เกิดในปี 2503 ถึง 3 เท่า  โดยรายงานการค้าและการพัฒนา (Trade and Development Report 2021) จัดทำโดย UNCTAD ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 2543 – 2562 ทั่วโลกเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ จำนวน 7,348 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไป 1.23 ล้านคน ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกกว่า 4,200 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 2.97 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 101.75 ล้านล้านบาท ⛈️เมื่อปี 2554 ประเทศไทยประสบกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี ส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของเคยไทยเกือบทุกภูมิภาคของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจได้รับความเสียหายอย่างมาก นับเป็นอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ☔️หากลงไปดูหลังคาเรือนที่ได้รับผลกระทบมากสุดในช่วง 30 วันที่ผ่านมา (30 ต.ค. – 28 พ.ย. 68) จะพบว่า จังหวัดสงขลา อยุธยา นนทบุรี ชัยนาท และปทุมธานีมีบ้านเรือนเสียหายรวมกันหลายแสนหลัง ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ชนบท แต่กินพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อย่างเช่น นิคมอุตสาหกรรมลุ่มเจ้าพระยา เขตที่อยู่อาศัยเมืองใหม่ และศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับประเทศ ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งการหยุดผลิต ความล่าช้าของโลจิสติกส์ ต้นทุนประกันที่สูงขึ้น และมูลค่าทรัพย์สินที่ลดลง โดยในพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญนั่นเอง 🌪️ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ภาคใต้ของไทยกำลังเผชิญกับ “มหาอุทกภัย” ที่ได้รับการประเมินว่าเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยจังหวัดศูนย์กลางอย่าง หาดใหญ่ และ สงขลา เป็นหนึ่งในจุดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงสุด หลังจากได้รับฝนตกหนักและต่อเนื่อง โดยในบางพื้นที่ปริมาณน้ำฝนสูงทำลายสถิติหลายร้อยปี ล่าสุด สถานการณ์มีผู้ได้รับผลกระทบท่วมถึง “กว่า 2.9 ล้านคน” จากหลายจังหวัดภาคใต้ และหลายแสนครัวเรือนได้รับความเดือดร้อนทั้งพื้นที่อยู่อาศัย พืชผลเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านเศรษฐกิจ ผลจากการหยุดชะงักทั้งภาคบริการ เกษตร โรงงาน และการค้าทำให้เสียหายเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท และหากสถานการณ์ลากยาวออกไป อาจสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจภาคใต้โดยรวมอย่างหนัก รวมถึงส่งผลกระทบต่อ GDP ประเทศโดยรวมอีกด้วย   อ้างอิงจาก: – มิตรเอิร์ธ – mitrearth – Hydro Informatics Institute – GISTDA – สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ – กรุงเทพธุรกิจ – วิจัยกรุงศรี – ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) –

🔎พาเปิดเบิ่งสถิติ “น้ำท่วมซ้ำซาก” ในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา และพื้นที่เสียหายสูงสุดใน 30 วันนี้☔️🌧️ อ่านเพิ่มเติม »

พาอัพเดทเบิ่ง โรงงานที่ก่อตั้งใหม่ในอีสาน เดือน ตุลาคม 68

ภาคอีสานในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงภูมิภาคเกษตรกรรมอย่างในอดีตอีกต่อไป เดือนตุลาคม 2568 มีโรงงานอุตสาหกรรมใหม่จดทะเบียนกว่า 21 แห่ง กระจายตัวในหลายจังหวัดทั่วภูมิภาค ทั้งจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ อย่างเช่น นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานี และจังหวัดชายแดนอย่าง มุกดาหาร การเติบโตของโรงงานเหล่านี้ เป็นสัญญาณของ “การย้ายฐานเศรษฐกิจ” ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในอีสาน ซึ่งเริ่มเปลี่ยนจากพื้นที่แรงงานราคาถูก มาเป็นฐานผลิตที่มีความหลากหลาย มีศักยภาพด้านโลจิสติกส์ รองรับการส่งออก และเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง การเกิดขึ้นของโรงงานใหม่จำนวนมากกำลังสร้างแรงเหวี่ยงสำคัญต่อโครงสร้างสังคมภาคอีสาน โดยเฉพาะด้านแรงงาน เพราะการมีงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นนั่นก็จะช่วยลดการอพยพออกนอกภูมิภาค ซึ่งเป็นปัญหามาอย่างยาวนานของคนอีสานที่ต้องเดินทางไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือภาคตะวันออก การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมจึงไม่เพียงเป็นเรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังมีมิติในทางสังคมที่ช่วยดึงดูดคนไว้กับบ้านเกิด ในบรรดาโรงงานใหม่กว่า 21 แห่ง มี 10 แห่งแรก ที่โดดเด่นที่สุดในแง่มูลค่าการลงทุน โดยโรงงานที่ลงทุนสูงสุดคือ “บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์” จังหวัดมุกดาหาร ด้วยวงเงินกว่า 1,836 ล้านบาท ประกอบธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความต้องการพลังงานในอีสานกำลังเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากโรงงานใหม่และการขยายเมือง การมีโรงไฟฟ้าในพื้นที่ยังลดต้นทุนด้านพลังงานและเพิ่มความมั่นคงทางระบบไฟฟ้า ทำให้อีสานสามารถรองรับการลงทุนใหม่ๆ ได้มากขึ้นในอนาคตนั่นเอง อันดับถัดมาคือโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างจำนวนมาก อย่างเช่น โรงงานผลิตยางมะตอยใน อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ และยโสธร สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นถนน 4 เลน เส้นทางเชื่อมลาว-จีน หรือโครงข่ายรถไฟทางคู่ที่กำลังทยอยเปิดใช้ ขณะที่ธุรกิจแปรรูปอาหาร เช่น โรงฆ่าสัตว์ปีกในจังหวัดนครราชสีมา ยังคงเป็นรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรงของภูมิภาค เพราะสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคและรองรับตลาดส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านได้ดี จังหวัดใหญ่อย่างนครราชสีมา อุดรธานี และอุบลราชธานี ก็ยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักลงทุน เนื่องจากเป็นเมืองที่มีระบบโลจิสติกส์ครบวงจร โรงงานด้ต่างๆ และอุตสาหกรรมเฉพาะทางจึงเริ่มกระจายตัวเข้ามามากขึ้น การลงทุนในเดือนเดียวมากกว่า 20 แห่ง แสดงให้เห็นว่าอีสานเริ่มมีปัจจัยพื้นฐานที่เพียงพอ ทั้งแรงงาน ที่ดิน ราคาที่แข่งขันได้ และทำเลที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านได้ดี การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงสร้างเม็ดเงินลงทุนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น รายได้ที่หมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น และความเข้มแข็งของเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ขยายตัวตามโรงงานใหม่อย่างเป็นระบบ หากแนวโน้มนี้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ภาคอีสานบ้านเราอาจกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ของไทยตอนบน ที่เชื่อมโยงตลาดลาว-กัมพูชา-เวียดนาม และรองรับการผลิตหลายประเภทที่เคยจำกัดอยู่เฉพาะในภาคตะวันออกหรือกรุงเทพฯ เท่านั้นนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – กรมโรงงานอุตสาหกรรม   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #โรงงานในอีสาน #โรงงานใหม่ในอีสาน #โรงงาน #ก่อตั้งโรงงาน

พาอัพเดทเบิ่ง โรงงานที่ก่อตั้งใหม่ในอีสาน เดือน ตุลาคม 68 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.ประถมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน

25 พฤศจิกายนนี้ คือ “วันประถมศึกษา” ซึ่งเป็นวันสำคัญที่ย้ำเตือนเราถึงรากฐานที่มั่นคงของการศึกษาไทย เพราะในช่วงชั้นประถมศึกษานี่เองที่เด็กๆ ได้รับการบ่มเพาะ ทั้งความรู้พื้นฐาน ทักษะชีวิต และการสร้างตัวตนทางสังคมที่จำเป็นที่สุดของชีวิต เนื่องในวาระสำคัญนี้ อีสานอินไซต์ จึงขอพาเจาะลึกไปที่หัวใจของการศึกษาในภาคอีสานบ้านเรา ด้วยการเปิดข้อมูล 3 อันดับโรงเรียนประถมศึกษา ที่มีจำนวนนักเรียนมากที่สุดในแต่ละจังหวัด  ข้อมูลโรงเรียนประถมชั้นนำในภาคอีสาน ซึ่งจัดเรียงตามจำนวนนักเรียน อาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิดที่ว่าโรงเรียนที่มีตัวเลขสูงกว่าย่อมเหนือกว่า แต่แท้จริงแล้วโรงเรียนประถมศึกษาระดับอนุบาลทั้งหมดนั้น คือเพชรเม็ดงามที่ส่องประกายในแบบของตนเองอย่างเท่าเทียม ไม่มีโรงเรียนใดที่ด้อยกว่าใคร หากแต่พวกเขากำลังทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการเป็น “เบ้าหลอม” ที่แตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นนั่นเอง จากข้อมูลที่ได้นำเสนอไปนั้น เห็นได้ชัดว่าโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนสูงลิ่วมากกว่า 2,000 คน มักกระจุกตัวอยู่ในอำเภอเมืองของจังหวัดหลัก อย่างเช่น อนุบาลร้อยเอ็ด, อนุบาลนครราชสีมา, อนุบาลขอนแก่น และอนุบาลอุดรธานี ซึ่งตัวเลขก็เหมือนเป็นแรงดึงดูดทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่เชื่อมั่นในคุณภาพและทรัพยากรที่โรงเรียนขนาดใหญ่ในเขตเมืองมอบให้ พวกเขาเหล่านี้เปรียบเสมือน “เรือธง” ที่รับภาระในการผลิตบุคลากรคุณภาพจำนวนมหาศาล ขณะเดียวกัน โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในอำเภอรองหรือชุมชนย่อย อย่าง อนุบาลปราสาท ศึกษาคาร หรือ อนุบาลวานรนิวาส ก็ไม่ได้แปลว่ามีคุณภาพด้อยกว่า แต่พวกเขาคือ “รากแก้ว” ที่หยั่งลึกและมั่นคง ทำหน้าที่กระจายโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพสูงออกไปสู่พื้นที่ห่างไกลได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน แก่นแท้ของการศึกษาที่มีคุณภาพนั้นไม่ได้วัดจากจำนวนนักเรียนที่นั่งอยู่เต็มห้อง แต่มาจากความสามารถของโรงเรียนในการขัดเกลาและดึงศักยภาพสูงสุดของเด็กแต่ละคนออกมา โรงเรียนประถมแต่ละแห่งมีปรัชญาและวิถีการสอนที่ถูกออกแบบมาอย่างละเอียดอ่อนและแตกต่างกันกันไป บางแห่งอาจเน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการผ่านการเล่น เพื่อสร้างเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าแสดงออก ในขณะที่บางแห่งอาจเน้นความพร้อมทางวิชาการ เพื่อปูพื้นฐานการศึกษาในระดับต่อไป ความแตกต่างนี้เองคือความสวยงามของระบบการศึกษาไทย ทุกโรงเรียนดีหมด เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าเด็กแต่ละคนคือต้นกล้าที่ต้องการการบำรุงในรูปแบบที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง โรงเรียนประถมในภาคอีสานเหล่านี้ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก ล้วนเป็นสถาบันที่เปี่ยมด้วยความตั้งใจและคุณภาพที่น่าชื่นชม พวกเขาคือผู้ผลิตพลเมืองแห่งอนาคต ที่ใช้หลักสูตรและรูปแบบการสอนเป็นเครื่องมือในการเจียระไนศักยภาพของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง การตัดสินว่าโรงเรียนใดดีที่สุดจึงไม่ใช่การหาผู้ชนะในตารางจัดอันดับที่อีสานอินไซต์ได้นำเสนอไป แต่คือการค้นหาโรงเรียนที่ “ตอบโจทย์” และ “สอดคล้อง” กับความฝันและความคาดหวังในการเติบโตของบุตรหลานแต่ละคนได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดนั่นเอง     อ้างอิงจาก: กระทรวงศึกษาธิการ, Lathapipat (2012), Mouz (2025), ONEC (2566) และ S-Mom Club   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #โรงเรียนประถม #โรงเรียนประถมในอีสาน #โรงเรียนในอีสาน

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.ประถมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะกิน ‘ร้านอาหารสุดแซ่บแดนอีสาน’ ที่ได้รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ จาก มิชลินไกด์ 2569🍜🍲🍴

ในประเทศไทยมีร้านอาหารที่ได้รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ จาก มิชลินไกด์ 2569 อยู่ทั้งหมด 137 ร้าน โดยภาคอีสานบ้านเราก็มีร้านได้ที่รับรางวัลเช่นกันกว่า 28 ร้านด้วยกัน ซึ่งจะกระจายอยู่ตาม 4 จังหวัดใหญ่ของภาคอีสาน อย่างขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี และอุดรธานี ที่จะสะท้อนให้เห็นอัตลักษณ์อาหารอีสานที่โดดเด่นและมีรสชาติจัดจ้าน ซึ่งต้องอาศัยทักษะในการประกอบอาหารที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการต้ม, ย่าง, นึ่ง หรือตุ๋นด้วยไฟอ่อน อีกทั้งยังมีเทคนิคการถนอมอาหารที่ถือเป็นจุดเด่นของอาหารอีสานและแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านในการหมักดองปลาและผักตามฤดูกาลให้สามารถเก็บไว้ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารได้นานขึ้น โดยมีเครื่องปรุงรสพื้นฐานในครัวอีสานอย่าง “ปลาร้า” ที่ทำจากการนำปลาในท้องถิ่นมาหมักกับเกลือและข้าว เป็นวัตถุดิบยอดนิยมที่ใช้ใส่ในอาหารและน้ำจิ้มต่าง ๆ แทบทุกจาน ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติมาตั้งแต่ปี 2555 อาหารอีสานของเรานั้นก็มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ โดยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรเขมรโบราณ รวมทั้งจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เวียดนาม กัมพูชา และจีน ภาคอีสานประกอบด้วยทุ่งหญ้าและผืนป่าบนที่ราบสูงและเทือกเขาซึ่งเหมาะกับการทำปศุสัตว์ นอกจากนี้ ภาคอีสานยังเป็นแหล่งปลูกข้าวคุณภาพสูง ทั้งข้าวหอมมะลิที่โด่งดังไปทั่วโลกและข้าวเหนียว อาหารอีสานส่วนใหญ่จะไม่ใช้อาหารทะเลเป็นวัตถุดิบเนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ไม่ติดกับทะเลหรือมหาสมุทร แต่เนื่องจากภูมิภาคนี้มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน โดยเฉพาะแม่น้ำแม่โขง จึงมีปลาน้ำจืดจำนวนมากให้เลือกใช้เป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร อีกทั้ง ภาคอีสานเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความโดดเด่นในเรื่องของอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ มีชาวไทยและชาวต่างชาติที่ชื่นชมในอาหาร นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวไม่น้อย ที่ตามหาของอร่อยตามรอย “คู่มือมิชลิน ไกด์” ซึ่งคัดสรรและรวบรวมร้านอาหารที่ควรค่าแก่การเดินทางไปเยือนและลิ้มชิมรส ให้ในแง่ของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจแล้ว ร้านอาหารที่ได้รับการรับรองจากมิชลินถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในจังหวัดได้ดี   อ้างอิงจาก:  – Thailand Property News – MICHELIN GUIDE – PPTV Online   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #Business #ธุรกิจ #ธุรกิจอีสาน #มิชลินไกด์ #ร้านอาหารอีสาน #อาหารอีสาน #บิบกูร์มองด์ #ร้านอาหารมิชลินไกด์ 

พาเลาะกิน ‘ร้านอาหารสุดแซ่บแดนอีสาน’ ที่ได้รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ จาก มิชลินไกด์ 2569🍜🍲🍴 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง อัตราส่วนสุดช็อก! อีสาน “ขาดแคลนหมอฟัน” หนักสุดในประเทศ

ปัจจุบันทันตแพทย์ในประเทศไทยยังไม่เพียงพอ โดยปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 8,524 คน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงบริการทันตกรรม และไปรับบริการจากหมอฟันเถื่อน ซึ่งสัดส่วนของทันตแพทย์ต่อประชากรในพื้นที่ที่เหมาะสมคือ 1 ต่อ 3,000 ประชากร แต่ปัจจุบันสัดส่วนอยู่ที่ 1 ต่อ 7,626 ประชากร แต่บางพื้นที่มีปัญหาขาดแคลนมาก โดยเฉพาะภาคอีสาน อยู่ที่ 1 ต่อ 10,280 ประชากร ซึ่งถือว่าน้อยมาก ภาคอีสานกำลังเผชิญภาวะ “ขาดแคลนทันตแพทย์” ในระดับที่น่าตกใจที่สุดของประเทศ โดยข้อมูลจากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขชี้ชัดว่า หลายจังหวัดมี สัดส่วนประชากรต่อทันตแพทย์สูงกว่า 10,000 คนต่อหมอฟันเพียง 1 คน  โดย 5 จังหวัดที่มีสัดส่วนประชากรต่อทันตแพทย์สูงที่สุด บึงกาฬ มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 14,955 คน สกลนคร มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 14,602 คน ศรีสะเกษ มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 13,015 คน สุรินทร์ มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 12,498 คน อุดรธานี มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 12,182 คน จังหวัดเหล่านี้มีทั้งพื้นที่กว้าง ประชากรจำนวนมาก ทำให้ความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนผู้ให้บริการไม่เพิ่มตาม โดยเฉพาะอุดรธานีและสกลนครที่ถือว่าเป็นเมืองศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่กลับมีสัดส่วนหมอฟันต่ำกว่าความต้องการจริงอย่างมาก ในทางกลับกัน จังหวัดที่มีภาระน้อยที่สุดคือ ขอนแก่น มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 5,716 คน ด้วยบทบาทด้านเป็นศูนย์กลางการแพทย์และมีคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ช่วยดึงดูดบุคลากรได้มากกว่า สาเหตุที่อีสานขาดแคลนหมอฟัน ไม่ได้เกิดจากจำนวนหมอฟันในประเทศไทยไม่พอ แต่เป็นเพราะบุคลากรส่วนใหญ่ไหลออกจากระบบรัฐไปสู่ภาคเอกชนหรือเปิดคลินิกเองทันทีหลังจบใหม่ รายได้ในคลินิกเอกชนสูงกว่าระบบรัฐหลายเท่าตัว ขณะที่ภาระงานในโรงพยาบาลชุมชนหนักกว่ามาก ทั้งการรักษา การออกหน่วย การดูแลผู้ป่วยเป็นวงกว้าง ซึ่งทำให้แรงจูงใจอยู่ในระบบลดลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในอีสานที่พื้นที่กว้างไกลและมีประชากรหนาแน่น การทำงานในพื้นที่ห่างไกลจึงยิ่งมีต้นทุนชีวิตสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นทั้งเวลา การเดินทาง ความก้าวหน้าในอาชีพ รวมถึงรายได้เสริมที่แทบไม่มี ต่างจากเมืองใหญ่ที่มีศูนย์บริการเอกชน การแข่งขันสูง และรายได้ตอบแทนที่มากกว่านั่นเอง ขณะเดียวกัน อีสานมีจำนวนคณะทันตแพทยศาสตร์น้อยกว่าความต้องการจริง แม้เป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตบุคลากรไม่ทันกับการเติบโตของประชากรและกลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการด้านการทำฟันพุ่งสูงเกินกำลังของระบบสาธารณสุขที่มีอยู่ กลับกัน อุตสาหกรรมทันตกรรมในภาคเอกชน โดยเฉพาะการจัดฟัน รากฟันเทียม และทันตกรรมความงาม กลับเติบโตเร็วมาก ทำให้หมอฟันรุ่นใหม่สนใจเข้าสู่คลินิกเอกชนมากกว่ากลับไปเสริมระบบรัฐ ความไม่สมดุลเช่นนี้ทำให้เกิด “การกระจุกตัวของหมอฟันในเมืองกลางและเมืองใหญ่” อย่างขอนแก่น อุบลฯ หรือโคราช ในขณะที่จังหวัดรอบนอกกลับขาดแคลนอย่างหนักแบบไม่เคยเป็นมาก่อน     อ้างอิงจาก: – สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข – HFocus – ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย –

พาเปิดเบิ่ง อัตราส่วนสุดช็อก! อีสาน “ขาดแคลนหมอฟัน” หนักสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

อีสานหวานไม่หยุด! ตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานพุ่งแตะ 1.4 ล้าน พาเปิดเบิ่ง จังหวัดไหน ‘คนเป็นเบาหวาน’ มากที่สุด?

จากข้อมูลผู้ป่วยเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนและมารับการรักษาต่อเนื่องจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปี 2568 ประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานรวมสูงถึง 3,815,361 คน และ “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้านเรา” มีผู้ป่วยเบาหวานสูงที่สุดของประเทศ อยู่ที่ 1,441,243 คน ซึ่งสามารถสะท้อนภาพความท้าทายด้านสุขภาพที่ต้องการความร่วมมืออย่างจริงจัง ทั้งจากภาครัฐ ชุมชน และพฤติกรรมรายบุคคลเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนี้ หากลงไปดูในรายจังหวัดจะพบว่า จังหวัดเลยครองอันดับหนึ่งด้าน “อัตราผู้ป่วยต่อประชากร 100,000 คน” สูงถึง 8,030 ราย ขณะที่จังหวัดใหญ่อย่างนครราชสีมามีจำนวนผู้ป่วยจริงมากที่สุดกว่า 178,000 ราย ตัวเลขเหล่านี้กลายเป็นเหมือน “แผนที่ความเสี่ยง” ทางสุขภาพของภาคอีสานที่ควรทำความเข้าใจในเชิงลึกกว่าที่เห็น จังหวัดที่มีอัตราผู้ป่วยสูง ก็มักมีปัจจัยร่วมหลายอย่าง ทั้งโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก หรือพฤติกรรมการบริโภคที่ยังยึดโยงกับอาหารท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียว อาหารหมักดอง และอาหารแปรรูปที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โรคเบาหวานนั้นเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปในยุคสังคมเร่งด่วน คนจำนวนมากหันไปพึ่งอาหารแปรรูป อาหารรสจัดหวานมันเค็ม และการดื่มน้ำอัดลมที่เข้าถึงง่ายในราคาถูก นอกจากนี้ ความนิยมของอาหารสไตล์ “อีสานหวานนำ” อย่างเช่น น้ำปลาร้าปรุงรส ขนมพื้นบ้าน เครื่องดื่มหวานเย็น และการบริโภคข้าวเหนียวซึ่งมีลักษณะเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยเร็วและมีดัชนีน้ำตาลสูง สิ่งเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง อีกปัจจัยสำคัญคือ รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป คนวัยทำงานจำนวนมากย้ายจากงานใช้แรงไปสู่งานนั่งโต๊ะหรือใช้เวลานานในการเดินทาง ทำให้กิจกรรมทางกายลดลงอย่างมาก เมื่อผสานกับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ความเครียดสะสม และการไม่มีเวลาสำหรับดูแลสุขภาพ จึงเป็นเงื่อนไขที่ผลักให้โรคเบาหวานเกิดง่ายขึ้นและรุนแรงขึ้นกว่าเดิม สังคมในภาคอีสานยังเป็นภูมิภาคที่มีประชากรสูงอายุจำนวนมาก ทำให้สัดส่วนของผู้ป่วยเพิ่มตามอายุ อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นอย่างเช่น พันธุกรรมร่วมด้วย ซึ่งทำให้บางครอบครัวมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ ขณะที่ระบบบริการสุขภาพแม้จะเข้มแข็ง แต่ความหนาแน่นของผู้ป่วยและพื้นที่ห่างไกลก็อาจทำให้การเข้าถึงการตรวจคัดกรองเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึงนั่นเอง เมื่อวิเคราะห์เชิงลึกในด้านการเพาะปลูกอ้อย พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า จังหวัดเลย ขอนแก่น และอุดรธานีมีพื้นที่ปลูกอ้อยจำนวนมาก ทำให้อ้อยกลายเป็นวัตถุดิบหลักของท้องถิ่น ส่งผลให้ราคาน้ำตาลและผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลสูงในพื้นที่ถูกกว่าและมีให้เลือกหลากหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ คนในพื้นที่จึงเข้าถึงเครื่องดื่มหวาน ขนมหวาน และอาหารแปรรูปที่ใช้น้ำตาลได้ง่ายและในราคาที่จับต้องได้สะดวก ซึ่งก็เห็นได้ชัดในอาหารท้องถิ่น เช่น ร้านชา-ชานมที่เพิ่มขึ้นแทบทุกอำเภอ ร้านน้ำอัดลมและขนมแปรรูปที่ขายดีในตลาดชุมชน หรือแม้กระทั่งในงานประเพณีของหมู่บ้านซึ่งมักมีเครื่องดื่มหวานวางจำหน่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ประชาชนได้รับน้ำตาลในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่ได้รับรู้ว่ากำลังกิน “อาหารหวาน” เป็นพิเศษก็ตาม ในทางกลับกัน หากมองในอีกมุมมองหนึ่งนั้น ภาคอีสานกำลังเติบโตเป็น ตลาดใหญ่ของสินค้าและบริการด้านสุขภาพ ตั้งแต่คลินิกดูแลเบาหวาน อาหารสุขภาพ โภชนบำบัด ไปจนถึงเทคโนโลยีตรวจน้ำตาลและการติดตามสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน ธุรกิจท้องถิ่นยังสามารถต่อยอดวัตถุดิบพื้นถิ่น อย่างเช่น ผักพื้นบ้าน โปรตีนพืช และข้าวพันธุ์พื้นเมือง ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพหรือ functional foods ที่มีมูลค่าสูง สอดรับกับกระแสผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญเรื่องโภชนาการมากขึ้น รวมถึงโอกาสในภาค telemedicine และระบบติดตามผู้ป่วยทางไกล ซึ่งตอบโจทย์พื้นที่ชนบทที่ยังขาดบุคลากรทางแพทย์     อ้างอิงจาก: – กระทรวงสาธารณสุข. ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสาธารณสุข (HDC) – สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) – สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.). กระทรวงอุตสาหกรรม   ติดตาม ISAN Insight & Outlook

อีสานหวานไม่หยุด! ตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานพุ่งแตะ 1.4 ล้าน พาเปิดเบิ่ง จังหวัดไหน ‘คนเป็นเบาหวาน’ มากที่สุด? อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง “ทีมฟุตบอลนักเรียน” จากแดนอีสาน ในศึก “แชมป์กีฬา 7HD 2025” รอบ 32 ทีม

การแข่งขัน “ฟุตบอลนักเรียน 7 คน รายการแชมป์กีฬา 7HD ” นับเป็นหนึ่งในรายการที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของวงการฟุตบอลระดับเยาวชนไทย เพราะนี่ไม่ใช่เพียงเวทีแข่งขันกีฬาเท่านั้น แต่คือพื้นที่สร้างโอกาสทางสังคมและการศึกษา ที่เปิดกว้างให้เด็กทั่วประเทศได้แสดงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ ทั้งทักษะฟุตบอล การทำงานเป็นทีม วินัย ความมุ่งมั่น และความสามารถเชิงยุทธวิธีที่หลายคนอาจไม่เคยมีเวทีให้พิสูจน์ รายการนี้ถูกจัดขึ้นด้วยเป้าหมายสำคัญคือการสร้างระบบพัฒนาเยาวชนผ่านกีฬา ซึ่งถือเป็น “บันไดขั้นแรก” ให้เด็กๆ จำนวนมากก้าวสู่ลีกอาชีพ ทุนการศึกษา หรือแม้แต่เส้นทางชีวิตใหม่ที่มั่นคงกว่าเดิม ในปี 2025 กระแสของรายการยิ่งร้อนแรงกว่าทุกปี เพราะมีทีมสมัครเข้าร่วมมากถึง 503 ทีมจากทั่วประเทศ มีโรงเรียนจำนวนมากมองเวทีนี้เป็นทั้ง “สนามพัฒนา” และ “สนามโอกาส” ที่อาจเปลี่ยนอนาคตของนักเรียนหนึ่งคน ครอบครัวหนึ่งครอบครัว หรือชุมชนทั้งจังหวัดได้ในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสานที่ขึ้นชื่อว่ามีเด็กเก่งด้านกีฬาอย่างมากมาย แต่ที่ผ่านมาอาจยังขาดเวทีระดับประเทศให้แจ้งเกิดอย่างเป็นระบบ รายการนี้จึงทำหน้าที่เหมือนสปอตไลต์ขนาดใหญ่ส่องไปยังอีสาน ทำให้ศักยภาพของเยาวชนปรากฏเด่นชัดขึ้นบนเวทีระดับชาตินั่นเอง กระแสที่ร้อนแรงที่สุดปีนี้ต้องยกให้กับ โรงเรียนหมอนทองวิทยา ซึ่งแม้ไม่ได้คว้าแชมป์ แต่ได้รับความสนใจมหาศาลจากแฟนกีฬา ด้วยสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ การทำทีมที่มีระบบ และพลังสนับสนุนจากแฟนๆ จนเกิด “ฐานแฟนคลับ” ตามติดทุกแมตช์ กระทั่งกลายเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ถูกจับตามากที่สุดในรายการปีนี้ กระแสความนิยมของหมอนทองวิทยาทำให้เห็นว่ารายการนี้ไม่เพียงสร้างแชมป์เท่านั้น แต่ยังสร้าง “ปรากฏการณ์ทางสังคม” ที่ทำให้ผู้คนหันมาภูมิใจและร่วมสนับสนุนเด็กๆ กันมากขึ้น และสำหรับผลการแข่งขันปีล่าสุด (2025) ผู้ที่คว้าแชมป์ไปได้คือ โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ซึ่งโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและต่อเนื่อง  เมื่อมองย้อนกลับไปจะพบว่า ภาคอีสานเองก็มีทีมที่เคยสร้างประวัติศาสตร์บนเวทีนี้มาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนกันทรารมณ์ จังหวัดศรีสะเกษ (แชมป์ปี 2023) หรือแม้กระทั่ง โรงเรียนภัทรบพิตร จังหวัดบุรีรัมย์ (แชมป์ปี 2024) ซึ่งทำให้เห็นว่า อีสานไม่ได้เป็นเพียงผู้เข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังเป็น “ผู้ล่าแชมป์” ที่สร้างผลงานระดับประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนอีสานสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดด้านทรัพยากร และพัฒนาไปสู่มาตรฐานการแข่งขันระดับชาติได้อย่างแท้จริง โดยมีทั้งโรงเรียนภูธร โรงเรียนขนาดกลาง และโรงเรียนกีฬาเฉพาะทางที่สามารถขึ้นมายืนบนโพเดียมแชมป์ได้สำเร็จนั่นเอง “เหล่าทัพนักฟุตบอลนักเรียนจากแดนอีสานก็ไม่น้อยหน้า” โดยในปีนี้สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 32 ทีมได้หลายโรงเรียน แต่ละทีมมีคุณภาพสูงทั้งด้านทักษะ เทคนิคการเล่น และการฝึกซ้อมที่เข้มข้นจนเห็นได้ชัดว่าระบบการพัฒนาเยาวชนของอีสานกำลังแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญคือ ทุกทีมที่มาจากอีสานมีศักยภาพโดดเด่น ไม่ใช่ “ม้ามืด” แต่เป็น “ม้ามั่น” ที่พร้อมสู้ได้กับทุกภูมิภาคอย่างสูสี ทั้งยังมีสไตล์การเล่นรวดเร็ว ดุดัน การแข่งขัน “ฟุตบอลนักเรียน 7 คน รายการแชมป์กีฬา 7HD ” นี้แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเยาวชนในทุกภูมิภาคของไทยกำลังก้าวสู่ระดับที่ทัดเทียมกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่โรงเรียนใหญ่หรือจังหวัดศูนย์กลางเท่านั้นที่มีโอกาสชนะ แต่ทุกพื้นที่มี “ศักยภาพที่พร้อมจะระเบิด” หากได้รับเวทีและระบบฝึกที่ดีพอนั่นเอง อีกทั้งยังงเป็น พื้นที่สร้างความหวังและความเป็นไปได้ใหม่ให้เด็กไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะเด็กอีสานที่มักถูกมองว่าขาดทรัพยากร เมื่อมีเวทีระดับชาติรองรับ พวกเขาจึงโชว์ให้เห็นว่า ความสามารถไม่ได้จำกัดด้วยพื้นที่หรือโอกาส แต่เกิดจากการฝึกฝน ความตั้งใจ และเวทีที่เปิดรับความฝันของพวกเขาอย่างแท้จริงนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – เว็บไซต์ของ ช่อง 7HD   ติดตาม ISAN Insight

พาย้อนเบิ่ง “ทีมฟุตบอลนักเรียน” จากแดนอีสาน ในศึก “แชมป์กีฬา 7HD 2025” รอบ 32 ทีม อ่านเพิ่มเติม »

สดจากฟาร์มอีสาน นมโคแท้ 100% จากปากช่อง

จากประเด็นถกเถียงที่เกิดจากบทสนทนาส่วนหนึ่งในรายการ “Woody อเวนเจอร์” ที่มีการพูดว่า “นมในไทยไม่ใช่นมแท้ ส่วนมากคือนมผงผสมบลาๆๆ” ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวางถึงความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและอุตสาหกรรมนมในประเทศ จนนำไปสู่การระงับการออกอากาศคลิปดังกล่าวในเวลาต่อมา ในความเป็นจริง คำกล่าวเช่นนั้นถือเป็นการเหมารวมที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ตลาดนมในประเทศไทยมีความหลากหลายและมีผลิตภัณฑ์หลายประเภท โดยสามารถแบ่งได้หลักๆ 3 ประเภท ได้แก่ นมโคสดแท้ (Fresh Milk) คือน้ำนมดิบจากแม่โคที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ เช่น นมพาสเจอร์ไรส์ (Pasteurized Milk) ซึ่งมักเป็นนมโคสดแท้ 100% และมีอายุการเก็บรักษาสั้น นมคืนรูป (Reconstituted Milk) คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำ นมผง (Powdered Milk) หรือนมขาดมันเนย มาละลายน้ำและผสมไขมันนม (หรือไขมันพืชในบางผลิตภัณฑ์) เพื่อให้ได้สัดส่วนใกล้เคียงกับนมสด มักใช้ในนม UHT หรือนมปรุงแต่งรสชาติต่างๆ เพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้นาน ผลิตภัณฑ์นมสำหรับปรุงอาหาร (Evaporated Milk/Condensed Milk) เช่น นมข้นจืด หรือนมข้นหวาน ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้บ่อยครั้งที่มีส่วนผสมของนมผงและไขมันพืช (เช่น น้ำมันปาล์ม) ซึ่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการดื่มโดยตรงแบบนมสด ดังนั้น การที่ผู้บริโภคตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ด้วยตนเองนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการ อ่านฉลากส่วนประกอบ (Ingredients) ที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์อย่างละเอียด ฉลากจะระบุชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็น “นมโคสดแท้ 100%” หรือมีส่วนประกอบของ “นมผง” การที่ผู้ผลิตจะเลือกใช้นมโคสดแท้หรือนมผงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือถูกโดยสิ้นเชิง แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน ทั้งสูตรการผลิต วัตถุประสงค์การใช้งาน การขนส่ง อายุการเก็บรักษาที่ต้องการ และระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อได้ตามความพึงพอใจ หลังจากคลิปถูกเผยแพร่และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ผู้ที่สามารถให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้องและเที่ยงตรงที่สุด ย่อมหนีไม่พ้นนักวิชาการ อาจารย์ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนม ซึ่งหลายคนได้ออกมาอธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นมในรูปแบบต่างๆ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้บริโภค จากรายงานของ TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย) พบว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำนมรายสำคัญของโลก โดยมีจำนวนประชากรโคนมมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมโคนมต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ประเทศไทยมีจำนวนโคนมราว 563,231 ตัว ลดลงจาก 810,518 ตัว ในปี 2564 การลดลงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น จากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 และสงครามรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งทำให้ราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พุ่งสูง ในขณะที่ ราคาน้ำนมดิบยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากขาดแรงจูงใจในการเลี้ยงโคนม และทยอยเลิกอาชีพนี้ไป สำหรับภาคอีสานมีจำนวนประชากรโคนมประมาณ 159,890 ตัว โดยจังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่ที่มีโคนมมากที่สุดในภูมิภาค และมากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดสระบุรีเท่านั้น หนึ่งในแหล่งฟาร์มโคนมสำคัญของจังหวัดนครราชสีมาคือ อำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพภูมิประเทศเหมาะสมต่อการทำปศุสัตว์ ด้วยลานหญ้ากว้างและภูมิอากาศที่เหมาะต่อการเลี้ยงโคนม ทำให้มีฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลายแห่ง และเป็นแหล่งผลิตนมให้กับหลากหลายแบรนด์ เช่น ฟาร์มโชคชัย Dairy Home และ Umm Milk นอกจากนี้

สดจากฟาร์มอีสาน นมโคแท้ 100% จากปากช่อง อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก ตัวอย่าง อาณาจักร “แบรนด์เครื่องสำอาง” จากแดนอีสาน ที่ก้าวสู่ตลาดระดับประเทศ

“อาณาจักรธุรกิจความงาม” ได้กลายเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดในไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม แบรนด์เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่เกิดจากผู้ประกอบการท้องถิ่น ที่สามารถใช้พลังของโลกออนไลน์อย่างเช่น TikTok Shop, Affiliate Marketing และ Live Stream มาเปลี่ยนภาพลักษณ์ของธุรกิจท้องถิ่นให้กลายเป็น “แบรนด์ระดับชาติ” ได้อย่างน่าทึ่ง สุรีย์พร (Sureeporn Cosmetics) แบรนด์จากอุดรธานี “สุรีย์พร” คือตัวอย่างของแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์ตลาดแบบ Mass Market ได้อย่างชาญฉลาด โดยผู้ก่อตั้ง คุณสุรีย์พร หรือที่เรารู้จักกันในนาม “มินิอาย ตันจัง” ที่ใช้ช่องทาง TikTok Shop เป็นหัวใจหลักในการกระจายสินค้าและสร้างฐานลูกค้าทั่วประเทศ โดยจุดเด่นของแบรนด์อยู่ที่ “คุณภาพที่เข้าถึงง่าย” และการสื่อสารแบบจริงใจ ทำให้สามารถครองใจกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้างได้อย่างต่อเนื่อง และสินค้าขายดีของสุรีย์พรคือ แป้งพัฟสุรีย์พร ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ โดยยอดขายของแบรนด์มีการเติบโตต่อเนื่องจนมีรายได้กว่า 260 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2.2 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงพลังของแบรนด์ท้องถิ่นที่เข้าใจ “ตลาดมวลชน” อย่างแท้จริงนั่นเอง เจ้านาง (Chaonang) สร้างอาณาจักรด้วยกลยุทธ์อินฟลูเอนเซอร์ “เจ้านาง” ถือเป็นแบรนด์ที่พลิกเกมการตลาดออนไลน์ของอีสาน ด้วยกลยุทธ์ Affiliate Marketing และ Live Stream ที่ผสมผสานการขายแบบอินเทอร์แอคทีฟเข้ากับการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์อย่างมืออาชีพ มีทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่งนำโดย คุณปุ้ง – ธัญญ์ฐิตา ทรัพย์ศิริมารุกุล และคุณสิทธา สมควรดี ที่สร้างความสำเร็จผ่านการสื่อสารที่เข้าถึงง่ายแต่ทรงพลัง โดยสินค้าหลักคือ แป้งพัฟเจ้านาง ซึ่งโด่งดังจากรีวิวของผู้ใช้จริงทั่วประเทศ จนมียอดขายทะลุหลักร้อยล้านต่อปี โดยในปี 2567 มีรายได้รวมกว่า 240 ล้านบาท และกำไรสุทธิสูงถึง 43 ล้านบาท เจ้านางจึงเป็นกรณีศึกษาของแบรนด์ท้องถิ่นที่เข้าใจ “พลังของแพลตฟอร์มออนไลน์” ได้อย่างลึกซึ้ง ออร่าริช (Aura Rich) ความงามเชิงคุณค่าและการสร้างชุมชนแบรนด์ อีกหนึ่งแบรนด์จากขอนแก่นที่น่าจับตา คือ “ออร่าริช” ก่อตั้งโดย คุณวัช – สรรค์ธนกฤต กาญจน์วัฒกุล และ คุณยุ้ย – สุธประภา จันทรปภาพร ซึ่งเน้นการสร้างแบรนด์แบบ Community-Based Branding หรือ “สร้างชุมชนผู้บริโภค” ที่ผูกพันกับสินค้าและแนวคิดของแบรนด์ ออร่าริชใช้กลยุทธ์การตลาดที่ผสมผสานทั้งคุณภาพสินค้า การสื่อสารเชิงบวก และการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงไทยที่อยากมีรายได้เสริมผ่านการขายออนไลน์ สินค้าเด่นคือ แป้งพัฟออร่าริช ซึ่งมียอดขายต่อเนื่องและแบรนด์ยังมีรายได้รวมกว่า 132 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11 ล้านบาท ถือว่าเป็นแบรนด์ที่เติบโตอย่างยั่งยืนบนฐานความเชื่อมั่นของลูกค้า   ความสำเร็จของทั้งสามแบรนด์นั้นสะท้อนให้เห็นว่า มีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในอีสานสามารถใช้เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียสร้างธุรกิจที่มีมูลค่าสูงได้โดยไม่ต้องอยู่ในกรุงเทพฯ แบรนด์เหล่านี้ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจอีกด้วย ทั้งในแง่การจ้างงาน และการสร้างเครือข่ายซัพพลายเชนในภูมิภาค แบรนด์เครื่องสำอางเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “คนอีสานบ้านเฮาก็มีศักยภาพไม่แพ้ใคร” ด้วยแนวคิดสร้างสรรค์ กลยุทธ์การตลาดทันสมัย และความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง

พามาฮู้จัก ตัวอย่าง อาณาจักร “แบรนด์เครื่องสำอาง” จากแดนอีสาน ที่ก้าวสู่ตลาดระดับประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top