อาณาจักรพันล้านของ เจ๊เกียว เชิดชัย “เจ้าแม่รถทัวร์เมืองไทย”

สุจินดา เชิดชัย หรือ “เจ๊เกียว” เดิมชื่อ “คาเกียว” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเมื่ออายุ 9 ขวบ เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรคนที่ 6 ของครอบครัว แม้จะเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ที่ 1 แต่กลับต้องหยุดเรียนเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะมารดาไม่อนุญาตให้เรียนต่อ

หลังจบการศึกษา เจ๊เกียวเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากการเป็นแม่ค้าขายของตามสถานีรถไฟ ก่อนต่อยอดด้วยการเรียนตัดเสื้อ และเปิดโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อผ้า กระทั่งได้แต่งงานกับ นายวิชัย เชิดชัย (เฮียไช) เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจเดินรถโดยสาร

จากจุดเล็ก ๆ นั้น เจ๊เกียวได้ขยายกิจการจนกลายเป็น เจ้าของสัมปทานรถโดยสารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ภายใต้ชื่อ “เชิดชัยทัวร์” ที่ดำเนินธุรกิจรถร่วม บขส. มานานกว่า 65 ปี มีรถกว่า 200 คัน วิ่งให้บริการครอบคลุมทั้งภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ

นอกจากบทบาทนักธุรกิจ เจ๊เกียวยังดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วม บขส. และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าโดยสารในช่วงราคาน้ำมันพุ่งสูง

อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 เจ๊เกียวเคยจะประกาศเตรียมเลิกกิจการรถทัวร์ และขายบริษัทเชิดชัยทัวร์ออกไป โดยให้เหตุผลว่าได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้โดยสารที่เปลี่ยนไป หลายคนหันมาขับรถส่วนตัว หรือเลือกใช้สายการบินโลว์คอสต์แทน เนื่องจากค่าโดยสารใกล้เคียงกันแต่ใช้เวลาเดินทางสั้นกว่า ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา “รถโดยสารระหว่างจังหวัด” เคยเป็นเส้นเลือดหลักของระบบคมนาคมไทย เชื่อมต่อเมืองใหญ่กับต่างจังหวัดทั่วประเทศ แต่เมื่อพฤติกรรมการเดินทางของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังการมาของ สายการบินต้นทุนต่ำ (Low-Cost Airline) และการที่ประชาชนหันมาใช้ รถยนต์ส่วนตัว กันมากขึ้น ธุรกิจเดินรถบัสสาธารณะจึงเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

การเข้ามาของสายการบินต้นทุนต่ำ เช่น แอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ หรือไทยเวียดเจ็ท ทำให้การเดินทางทางอากาศไม่ใช่เรื่องของคนมีฐานะอีกต่อไป ราคาตั๋วเครื่องบินที่เคยอยู่หลักพันปลาย กลับลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถโดยสารวีไอพี โดยเฉพาะเมื่อมีโปรโมชั่น “บินถูกหลักร้อย” ออกมาอย่างต่อเนื่อง

สิ่งนี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้โดยสารจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว และพนักงานบริษัท ที่ต้องการประหยัดเวลาในการเดินทาง เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ที่เครื่องบินใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่รถบัสต้องใช้เวลากว่า 8 – 10 ชั่วโมง เมื่อเวลามีค่ามากขึ้น การจ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อแลกกับความรวดเร็วและความสะดวกสบายจึงกลายเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” สำหรับหลายคน

ผลที่ตามมาคือ เส้นทางระยะไกลหลายสายของผู้ประกอบการเดินรถเริ่มมีผู้โดยสารลดลงอย่างต่อเนื่อง จนต้องลดจำนวนเที่ยวหรือยกเลิกบางเส้นทาง เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการ

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กดดันธุรกิจรถบัสคือ การใช้รถยนต์ส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากความสะดวกในการผ่อนรถ ราคาน้ำมันที่ทรงตัว และถนนที่เชื่อมต่อทั่วถึงมากขึ้น

ผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวหรือเพื่อนร่วมทาง มองว่าการขับรถเอง “คุ้มกว่า” เพราะสามารถแบ่งค่าใช้จ่ายกันได้ อีกทั้งยังสามารถกำหนดเวลาเดินทาง แวะพัก หรือเปลี่ยนเส้นทางได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นความยืดหยุ่นที่ระบบรถโดยสารให้ไม่ได้

เส้นทางระยะกลาง เช่น กรุงเทพฯ – นครราชสีมา หรือกรุงเทพฯ – เพชรบูรณ์ ซึ่งเคยเป็นตลาดหลักของรถโดยสาร กลับมีผู้โดยสารลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะระยะเวลาเดินทางเพียง 3 – 4 ชั่วโมงด้วยรถยนต์ส่วนตัวนั้นสะดวกกว่า และมีค่าใช้จ่ายต่อคนใกล้เคียงกับการซื้อตั๋วรถบัส

แรงกดดันจากทั้งสายการบินโลว์คอสและการใช้รถยนต์ส่วนตัว ทำให้ผู้ประกอบการรถโดยสารระหว่างจังหวัดต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก หลายรายจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาวะที่จำนวนผู้โดยสารลดลงอย่างต่อเนื่อง

บางบริษัทเลือกที่จะลดจำนวนเที่ยวเดินรถ หรือเปลี่ยนมาใช้รถขนาดเล็กลง เพื่อควบคุมต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและค่าแรงให้เหมาะสมกับรายได้ที่ลดลง ขณะที่บางรายหันมาพัฒนาเส้นทางและบริการเฉพาะกลุ่ม เช่น รถบัสวีไอพี รถนอน หรือเพิ่มบริการขนส่งพัสดุควบคู่กับผู้โดยสาร เพื่อสร้างรายได้เสริมและเพิ่มมูลค่าการให้บริการ

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการท้องถิ่นขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยกลับไม่สามารถปรับตัวได้ทัน และต้องยุติการดำเนินกิจการลง เนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนคงที่และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้ ภาพรวมของอุตสาหกรรมรถโดยสารจึงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ จากยุคของการ “แข่งขันเพื่อเติบโต” มาสู่ยุคของการ “ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด”

ปัจจุบันอาณาจักร “เชิดชัย” ของเจ๊เกียวนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น 6 กิจการโดยในปี 2567 ที่ผ่านมาสามารถทำรายได้รวมกันกว่า 2 พันล้านบาท ได้แก่ 

1. บริษัท เชิดชัยคาร์ส จำกัด

  • ประกอบกิจการ: ขายยานยนต์ส่วนบุคคลรถใหม่
  • รายได้รวม: 1,332.2 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: 36.8 ล้านบาท

2. บริษัท เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ จำกัด

  • ประกอบกิจการ: บริการเดินรถขนส่งประจำทาง เช่ารถโดยสาร
  • รายได้รวม: 505.4 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: 4.0 ล้านบาท

3. บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด

  • ประกอบกิจการ: ผลิตรถยนต์โดยสาร
  • รายได้รวม: 174.6 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: 11.4 ล้านบาท

4. บริษัท อู่เชิดชัยอุตสาหกรรม จำกัด

  • ประกอบกิจการ: ผลิตตัวถังยานยนต์
  • รายได้รวม: 42.4 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: 7.6 ล้านบาท

5. บริษัท กิจการราชสีมายานยนต์ จำกัด

  • ประกอบกิจการ: ขนส่งผู้โดยสารประจำทาง
  • รายได้รวม: 11.6 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: 0.9 ล้านบาท

6. บริษัท เกลียวเวิลด์ จำกัด

  • ประกอบกิจการ: ขายชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมใหม่ของยานยนต์
  • รายได้รวม: 1.2 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: -0.4 ล้านบาท

7. บริษัท เชิดชัย บัส แอนด์ พาร์ท จำกัด

  • ประกอบกิจการ: ขายปลีกชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมยานยนต์
  • รายได้รวม: 0.0 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: -0.2 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา นางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว ได้ถึงแก่กรรมด้วยความสงบที่บ้านพักภายในอู่เชิดชัย รวมอายุได้ 88 ปี โดยเจ๊เกียวมีลูกทั้งหมด 4 คน ได้แก่ 1. นางสาวกฤตินี เชิดชัย 2. นายอัสนี เชิดชัย 3. นายอัสพงษ์ เชิดชัย หรือนายรัฐนันท์ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อปี 2564 และ 4. นายสุรวุฒิ เชิดชัย

ตลอดชีวิตการทำงาน “เจ๊เกียว” คือภาพแทนของหญิงแกร่งผู้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค จากแม่ค้าตัวเล็กๆ สู่การสร้างอาณาจักรธุรกิจขนส่งที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ เธอเป็นทั้งนักสู้ นักบริหาร และผู้นำที่ยืนหยัดเพื่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถโดยสารมาโดยตลอด

แม้วันนี้ “เจ๊เกียว” จะจากไป แต่เรื่องราว ความมุ่งมั่น และจิตวิญญาณนักสู้ของเธอยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ได้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เกิดจาก “ความอดทนและไม่ยอมแพ้” ที่เธอได้พิสูจน์ให้เห็นตลอดชีวิตของเธอเอง

 

อ้างอิง

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, เว็บไซต์ของบริษัท, MGR Online

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top