Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

ทำไม ขอนแก่น ถึงถูกวางให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน?

ทำไม ขอนแก่น ถึงถูกวางให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน . . ขอนแก่นมักจะเป็นจังหวัดแรกๆที่คนนึกถึง เมื่อพูดถึงอีสาน จากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางของภาคอีสาน . แต่ขอนแก่นไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางของอีสานในด้านภูมิศาสตร์เท่านั้น เพราะจังหวัดแห่งนี้ ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางในหลายๆด้านของภาคอีสานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ การคมนาคม และศูนย์ราชการ ทำให้มีผู้เกิดผู้คนสัญจรและเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้าจังหวัดจำนวนมากและต่อเนื่อง . ขอนแก่น น่าสนใจอย่างไร ทำไม ถึงจึงถูกวางให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน ? อีสานอินไซต์ จะพามาเบิ่ง . . 1. ขอนแก่น มีพื้นที่ประมาณ 10,880 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของภาคอีสาน โดยมีเขตติดต่อกับหลายจังหวัด . – ทิศเหนือ ติดกับอุดรธานี เลย และหนองบัวลำภู – ทิศใต้ ติดกับนครราชสีมา และบุรีรัมย์ – ทิศตะวันออก ติดกับกาฬสินธุ์ และมหาสารคาม – ทิศตะวันตก ติดกับชัยภูมิ และเพชรบูรณ์ . จะเห็นว่าขอนแก่นตั้งอยู่ในภาคอีสานตอนกลาง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างภาคอีสานตอนบน และภาคอีสานตอนล่าง หลายคนจึงเรียกจังหวัดนี้ว่าเป็น ศูนย์กลางของภาคอีสาน . อีกทั้งขอนแก่น ยังเป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางได้สะดวก ทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และทางเครื่องบิน ถือว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งที่สำคัญของภาคอีสาน โดยสนามบินขอนแก่นเองก็มีศักยภาพในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสารได้ไม่ต่ำกว่า 100,000 คนต่อวัน และมีเส้นทางการบิน ขอนแก่น-กทม (16 เที่ยวต่อวัน) และบินตรงระหว่างภูมิภาค ขอนแก่น-ภูเก็ต (3 วันต่อสัปดาห์) ขอนแก่น-เชียงใหม่ (ทุกวัน) อีกทั้ง สนามบินขอนแก่นยังเป็นสนามบินนานาชาติ (รองรับสายการบินระหว่างประเทศได้ เมื่อมีความต้องการ) . 2. ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้น ปี 2565 ขอนแก่น มีมูลค่าเศรษฐกิจ (GPP) 216,367 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 2 ของอีสาน (เป็นรองจังหวัดโคราช) และอันดับที่ 16 ของประเทศ และมีรายได้ต่อหัว (GPP per capita) 126,636 บาท มากเป็นอันดับ 2 ของอีสาน ซึ่งทางด้านเศรษฐศาสตร์รายได้ต่อหัวสะท้อนถึงคนมีเงินมากน้อยแค่ไหน ยิ่งตัวเลขมากก็หมายถึงคนมีกำลังซื้อสูงนั่นเอง โดยเศรษฐกิจของขอนแก่นพึ่งพารายได้จากภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก สะท้อนได้จากข้อมูลสัดส่วนโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดขอนแก่น ในปี 2565 มาจาก – ภาคบริการ 56% – ภาคอุตสาหกรรม 34% – ภาคเกษตรกรรม 10% . ซึ่งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก […]

ทำไม ขอนแก่น ถึงถูกวางให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

ไขรหัส แผนพัฒนา กาฬสินธุ์ จากโมเดลแก้จน สู่จังหวัดที่การลงทุนจากจีนเป็นอันดับ 2 ของอีสาน

“มั่งคั่งด้วยเกษตรปลอดภัย ท่องเที่ยววิถีใหม่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” คำขวัญเชิงนโยบายนี้สะท้อนภาพการพัฒนาอย่างสมดุลของจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างทั่วถึง สอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัด ที่วางเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและครอบคลุม . “เมื่อกาฬสินธุ์กลายเป็นจุดสนใจของทุนต่างชาติ: ศักยภาพที่ยังรอการปลดล็อก” แม้จะไม่ได้เป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวหรือศูนย์กลางเศรษฐกิจใหญ่ในภาคอีสาน แต่กาฬสินธุ์กำลังกลายเป็นพื้นที่ศักยภาพสูงที่ได้รับความสนใจจากการลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ ตัวอย่างชัดเจนคือ การที่กาฬสินธุ์มีมูลค่าการลงทุนจากประเทศจีนสูงเป็นอันดับ 2 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นมูลค่าร่วมกว่า 828 ล้านบาท การลงทุนจากจีนในด้านการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรอาจเป็นจุดพลิกของเศรษฐกิจท้องถิ่น หากมีการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน เช่น การพัฒนาศูนย์โลจิสติกส์ หรือ อุตสาหกรรมอาหารปลอดภัย ก็สามารถเปลี่ยนจังหวัดนี้จากพื้นที่วัตถุดิบให้เป็นศูนย์กลางแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มได้ แต่ความเสี่ยงที่ตามมาคือการกระจุกตัวของประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการขาดความสามารถในการต่อรองของเกษตรกรรายย่อย หากไม่มีระบบกำกับดูแลหรือกลไกตรวจสอบร่วมระหว่างรัฐและชุมชน . . โดยจังหวัดกาฬสินธุ์ก็มีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทุนจดทะเบียนมากกว่า 774 ล้านบาท อย่างบริษัท อุตสาหกรรมน้ำตาลอีสาน จำกัด ซึ่งทำธุรกิจการผลิตน้ำตาลบริสุทธิ์ โดยมีมูลค่าการลงทุนของชาวจีนมากกว่า  14.3 ล้านบาทเลยทีเดียว และนอกเหนือจากการลงทุนในน้ำตาลบริษุทธิ์ ก็จะมีดังนี้ตามภาพ และเมื่อดูสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนชาวจีน จะพบว่า มีการลงทุนกระจุกตัวในพื้นที่ NeEC (ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคอีสาน) เป็นหลัก มีมูลค่ารวมกันทั้ง 4 จังหวัดมากกว่า 588 ล้านบาท หรือหรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% เลยทีเดียว ซึ่งในพื้นที่ NeEC เป็นเส้นเชื่อมระหว่างเขตขยายแนวทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกับจีน โดยส่วนใหญ่นักลงทุนชาวจีนนิยมลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด และภาคการผลิตที่เกี่ยวกับยาง   . .   กาฬสินธุ์จะสามารถ “มั่งคั่งด้วยเกษตรปลอดภัย” ได้อย่างไร? ภาคเกษตรกรรมยังคงเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจกาฬสินธุ์ โดยเฉพาะการส่งเสริมการปลูกข้าวอินทรีย์ ข้าว GAP และข้าว GIอย่างข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์ ที่มีการรับรองมาตรฐาน ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร การรวมกลุ่มของเกษตรกร การสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ และการเป็นที่รู้จักของแบรนด์ข้าวกาฬสินธุ์ในตลาดพรีเมียมคือจุดแข็งสำคัญ แต่ยังมีข้อจำกัด เช่น การเข้าถึงตลาดของเกษตรกรรายย่อยยังจำกัด และยังขาดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ การสร้างแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระดับจังหวัดและการพัฒนาเครือข่ายระบบชลประทานขนาดเล็ก จะช่วยแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการสร้าง “ตราสินค้าจังหวัด” ผ่านการเชื่อมโยงเกษตรปลอดภัยกับวัฒนธรรม เช่น ผ้าไหมแพรวา+ข้าวอินทรีย์+วิถีอีสาน ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มจากประสบการณ์มากกว่าการผลิตที่เพิ่มปริมาณ   . .   ท่องเที่ยววิถีใหม่: ผสานวัฒนธรรมและความยั่งยืน กาฬสินธุ์มีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งแหล่งประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการพัฒนา “การท่องเที่ยววิถีใหม่” ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยเฉพาะแนวคิด slow tourism และ soft power ท้องถิ่น เช่น การสาธิตการทอผ้าแพรวาโดยชาวบ้านดั้งเดิม หรือการจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปทำอาหารอีสานที่ใช้วัตถุดิบปลอดภัยจากชุมชน การวางแผนเชิงพื้นที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาคนในพื้นที่ให้สามารถทำหน้าที่เป็นไกด์ที่มีความเชี่ยวชาญในโซนท้องถิ่น จะช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ขณะเดียวกัน การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ในการวิจัยพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ เช่น เส้นทางตามรอยไดโนเสาร์  หรือเส้นทางวิถีเกษตร จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง   . กาฬสินธุ์ ถิ่นน้ำดำ

ไขรหัส แผนพัฒนา กาฬสินธุ์ จากโมเดลแก้จน สู่จังหวัดที่การลงทุนจากจีนเป็นอันดับ 2 ของอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

4 พืชเศรษฐกิจอีสาน หัวใจเกษตรไทย กระดูกสันหลังของชาติ

บทความนี้เป็นการสรุปประเด็นสำคัญจากคลิปวิดีโอ “อีสาน กับ การเกษตร ข้าว มัน อ้อย ยาง ดินแดนแห่งพืชเศรษฐกิจกระดูกสันหลังของชาติ”  ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เนื่องจากคนไทยทำเกษตรกรรมกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนแรงงานทั้งหมดในประเทศ ซึ่งกว่าครึ่งของเกษตรกรในประเทศนั้นเป็นคนภาคอีสาน อีกทั้งภาคอีสานเป็นภาคที่มีพื้นที่ทำการเกษตรมากที่สุด ดังนั้นจะกล่าวได้ว่าภาคอีสานนั้นเป็นกระดูกสันหลังของชาติก็ว่าได้ แต่อาชีพเกษตรกรนั้นกลับมีรายได้น้อยเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ และภาคอีสานมีปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถมีผลผลิตดีเท่าที่ควร ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรของภาคอีสาน ระบบชลประทาน ภาคการเกษตรของภาคอีสาน เป็นภาคที่พึ่งฟ้าพึ่งฝนจากธรรมชาติเป็นหลัก เนื่องจากระบบชลประทานของภาคอีสานไม่ทั่วถึง โดยมีเพียง 11.9% ของพื้นที่การเกษตร(7.6 ล้านไร่) ที่อยู่ในเขตชลประทาน เท่านั้น อีกทั้งภาคอีสานเป็นภาคที่ปลูกข้าวเยอะ และมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวมากที่สุดในประเทศ แต่ข้าวเป็นพืชที่ต้องใช้ปริมาณน้ำในการเพาะปลูกมาก จึงทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าปกติและแปรผันตามฟ้าฝนจากธรรมชาติ   ปัญหาดิน ดินในภาคอีสานเป็นดินทรายไม่อุ้มน้ำ ทำให้เก็บน้ำได้น้อยและเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมได้ง่าย ดังนั้นภาคอีสานเผชิญทั้งปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมภายในปีเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากภาคกลางที่เป็นดินเหนียว จึงเหมาะกับการทำการเกษตรมากกว่าภาคอีสาน และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือภาคอีสานเผชิญกับปัญหาดินเค็ม เนื่องจากดินเค็มแพร่กระจายอยู่ทั่วจังหวัดในภาคอีสาน ทำให้ภาคอีสานทำการเกษตรได้ยากกว่าภาคอื่นๆ ถึงแม้ว่าภาคอีสานจะมีอุปสรรคที่ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร แต่ภาคอีสานก็ยังถือว่าเป็นภาคที่มีผลผลิตทางการเกษตรเยอะเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ซึ่งพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคอีสานคือ ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย และยางพารา ซึ่งเนื้อหาภายในคลิปวีดิโอนั้นได้พูดถึงเพียงแค่ ข้าว มันสำปะหลัง และยางพาราเท่านั้น ข้าว ภาคอีสานเป็นภาคที่พื้นที่เพาะปลูกข้าวข้าวนาปีมากกว่า 39 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 61.9% ของขนาดพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตมากกว่า 13 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 48.1% ของผลผลิตปลูกข้าวนาปีทั้งหมดในประเทศ ซึ่งทั้งพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตข้าวนาปีในอีสานมากเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ และยังเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมดอกมะลิ 105 ที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ส่วนข้าวนาปรัง ภาคอีสานมีผลผลิตข้าวนาปรังอยู่ที่1,080,911 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 17.5% ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตต่อพื้นที่เก็บเกี่ยวอยู่ 574 กิโลกรัม/ไร่  โดยข้าวที่มีชื่อเสียงในภาคอีสานคือ ข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งคือพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็น สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 โดยมีข้อกำหนดว่าต้องปลูกที่ทุ่งกุลาร้องไห้เท่านั้น   มันสำปะหลัง ในภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเรามีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังมากกว่า 5.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 54% ของขนาดพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตมากกว่า 18.7 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 55% ของผลผลิตมันสำปะหลังทั้งหมดในประเทศ หากพิจารณารายจังหวัด จะพบว่าผลผลิตมันสำปะหลังในภาคอีสานกระจุกตัวในจังหวัดนครราชสีมามากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 23.82% รองลงมาเป็นชัยภูมิ (11.5%) อุบลราชธานี (9.65%) อุดรธานี (9.07%) และกาฬสินธุ์  (6.56%) ยางพารา ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกยางพารามากที่สุดอันดับ 1 ของโลก มีแหล่งผลิตยางพาราคุณภาพในพื้นที่ภาคใต้ แต่ภาคอีสานก็เป็นภาคที่ปลูกยางพาราและสามารถผลิตน้ำยางที่มีคุณภาพเป็นอันดับ 2

4 พืชเศรษฐกิจอีสาน หัวใจเกษตรไทย กระดูกสันหลังของชาติ อ่านเพิ่มเติม »

มหาลัยศูนย์เหรียญ การเข้ามาของทุนจีน ในแวดวงอุดมศึกษาของไทย

ฮู้บ่ว่า? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการอุดมศึกษาไทย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน กำลังเผชิญกับการเข้ามาของ “ทุนจีน” ซึ่งโดยมากอาจไม่ได้เป็นการร่วมมือในด้านวิชาการ แต่เป็นการเข้าซื้อกิจการโดยตรง และอาจเป็นการถือหุ้นผ่านบริษัทนอมินี . ข้อมูลจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาของทุนจีน ผ่านการถือหุ้นในมหาวิทยาลัยเอกชน ถึง 3 แห่ง  ได้แก่ มหาวิทยาลัยชินวัตร, มหาวิทยาลัยเกริก และมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด ซึ่งการเข้าซื้อกิจการของทุนจีนมีแนวโน้มที่จะไม่ได้ดำเนินการอย่างเปิดเผยทั้งหมด บางรายใช้วิธีตั้งบริษัทในสิงคโปร์หรือฮ่องกง ก่อนย้อนเข้ามาลงทุนในไทย ผ่านตัวกลางคนไทยหรือบริษัทนอมินี และมีการถือหุ้นทางอ้อมข้ามไปมา จึงทำให้ยากต่อการตรวจสอบแหล่งที่มาของทุนและจุดประสงค์ที่แท้จริงในการเข้ามาถือหุ้นจากจีน . แนวโน้มการเข้ามาของทุนจีนในธุรกิจการศึกษาของไทย อาจสะท้อนผ่าน แนวโน้มการลดลงของประชากรวัยเรียน และอัตราการเกิดที่ลดลงของไทย ที่เป็นผลให้มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่ง อาจเสี่ยงต่อการขาดรายได้ และเป็นผลทำให้ต้องปิดกิจการหรือมีการปรับตัว อีกทั้งกระแสการเข้ามาของตลาดนักศึกษาจีนขาออก ที่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ จีนจะเป็นประเทศอันดับหนึ่ง ที่มีนักศึกษาเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด . ข้อสังเกตอีกอย่างที่เกิดขึ้นในประเด็นของการเข้ามาของทุนจีนในมหาวิทยาลัยเอกชนของไทย อาจเป็นการขายวุฒิการศึกษา เหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้า ในช่วงต้นปี 2568 หรือแม้กระทั่ง การเข้ามาทำงานผิดกฎหมายผ่านการใช้วีซ่าในรูปแบบนักศึกษา อย่างไรก็ตามการเข้ามาในรูปแบบนี้ยังเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตุเพียงเท่านั้น ซึ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันด้านแรงงาน และความมั่นคงในด้านระบบการศึกษาของประเทศ จึงควรเร่งให้มีการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง และหารือเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น รายการ News digest ได้สรุปข่าว มหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญไว้ดังนี้  

มหาลัยศูนย์เหรียญ การเข้ามาของทุนจีน ในแวดวงอุดมศึกษาของไทย อ่านเพิ่มเติม »

10 ปีข้างหน้า ‘หนองคาย’ จะกลายเป็น ‘ประตูสู่ยูนนาน’ สำรวจโอกาสของจังหวัด จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมลาว-จีน

หนองคาย เป็นจังหวัดในภาคอีสานตอนบน ที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นเอกลักษณ์คือมีทอดยาวตามแม่น้ำโขงกว่า 210.6 กิโลเมตร  มีอาณาเขตติดตอกับประเทศลาว คือ แขวงเวียงจันทน์ นครหลวงเวียงจันทน์ และแขวงบอลิคําไซ โดยมีจุดผ่านแดนได้แก่ 1. ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 2. ด่านพรมแดนทาเรือหนองคาย 3. ด่านตรวจคนเขาเมือง ณ สถานีรถไฟหนองคาย นอกจากนั้นยังมีจุดผ่อนปรนทางการค้าอีก 4 แห่ง  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จังหวัดหนองคาย มีความโดดเด่นด้านการค้าชายแดนเป็นอย่างมาก ทำไมหนองคายจึงเป็นจังหวัดที่มีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว? ปัจจัยที่ทำให้หนองคายดูน่าดึงดูดที่จะลงทุน คือการที่ในอนาคต หนองคายกำลังจะมี รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – หนองคาย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างในระยะที่ 1 (กรุงเทพฯ – นครราชสีมา) และเพิ่งมีการอนุมัติจาก ครม. ในการเริ่มโครงการระยะที่ 2 (นครราชสีมา – หนองคาย) รวมระยะทางทั้ง 2 โครงการ 606.17 กิโลเมตร แม้ว่าการก่อสร้างในระยะที่ 1 จะมีความล่าช้า แต่คาดการณ์ว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงนี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2575 หรืออีก 10 ปีต่อจากนี้ การเดินทางโดยใช้รถไฟความเร็วสูงจากระหว่างหนองคายไปกรุงเทพฯ จะใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเศษๆ เพิ่มตัวเลือกด้านการคมนาคมนอกเหนือจากการเดินทางด้วยรถยนต์หรือเครื่องบิน สร้างความสะดวกสบายแก่ชาวหนองคายและผู้เยี่ยมเยือน รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ – หนองคาย เชื่อมโยงภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รถไฟกรุงเทพฯ – หนองคายมีความพิเศษที่สำคัญต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของไทย จะสามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟลาว-จีน ที่ได้เปิดให้บริการไปแล้วในปี 2564 มีสถานีต้นทาง-ปลายทางคือ สถานีคุนหมิงใต้ของจีน และสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ ของ สปป. ลาว มีสถานีรวม 32 สถานี ที่มารูปภาพ: กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม โดยการเชื่อมรถไฟความเร็วสูงจากไทย-ลาว-จีนนั้น จะถูกเชื่อมโยงโดย สะพานมิตรภาพสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (หนองคาย-เวียงจันทน์) แห่งที่ 2 เป็นสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 3 ปี 2569 และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2572 โดยสถานีรถไฟหนองคาย จะเป็นจุดตรวจหนังสือเดินทางของประเทศไทย ซึ่งในแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง จะมีจุดตรวจ 4 แห่ง ดังนี้ สถานีรถไฟหนองคาย ประเทศไทย สถานีรถไฟเวียงจันทน์ สปป.ลาว สถานีรถไฟบ่อเต็น สปป.ลาว สถานีรถไฟโม่ฮาน ประเทศจีน ที่มารูปภาพ: Shutterstocks และจากคนจีนที่เดินทางเข้าในภาคอีสานของไทย ปี 2567 พบว่าจุดผ่านแดนสะพานมิตรภาพ 1 จังหวัดหนองคาย เป็นจุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเดินทางเข้ามาทางบกของชาวจีน โดยมีจำนวนกว่า 24,000 ราย (ข้อมูล

10 ปีข้างหน้า ‘หนองคาย’ จะกลายเป็น ‘ประตูสู่ยูนนาน’ สำรวจโอกาสของจังหวัด จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมลาว-จีน อ่านเพิ่มเติม »

หนี้ข้าราชการไทย 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือน ยอดกู้กว่า 5 ล้านล้านบาท เสี่ยงถูกยื่นล้มละลาย 1.4 หมื่นคน

ฮู้บ่ว่าข้าราชการไทย กู้รวมกันกว่า 5 ล้านล้าน เป็นหนี้ในระบบ 3 ล้านล้าน และกู้สหกรณ์อีก 2 ล้านล้านเสี่ยงล้มละลายพุ่ง 1.4 หมื่นคน, ‘ครู’ ครองแชมป์มากที่สุด วิกฤตหนี้ครัวเรือนไทย’ จากข้อมูลบัญชีลูกหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตนมากกว่า 84 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้คงค้างกว่า 13.6 ล้านล้านบาท พบคนไทยก่อหนี้วนลูป จนกลายเป็นหนี้พอกเรื้อรังไปตลอดชีวิต ที่น่ากังวลไม่ต่างกันคือ มากกว่า 1 ใน 3 หรือมากกว่า 5 ล้านล้านบาท นั้นเป็นหนี้ครัวเรือนของข้าราชการไทย . ด้าน ดร.ณรินทร์ ชำนาญดู นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) เปิดเผยว่า “ตัวเลขข้าราชการ’ล้มละลายพุ่ง 1.4 หมื่น ‘ครู’ ครองแชมป์เสี่ยงถูกให้ออกมากสุด” . ปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 14,000 คน หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่า และในจำนวนนี้เป็นข้าราชการครูกว่า 5,000 คน ซึ่งหากถูกฟ้องล้มละลายก็จะถูกให้ออกจากราชการ ไม่มีอาชีพทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาจึงมีการเร่งถก’ก.พ.’เปิดช่องให้โอกาสทำงานต่อ เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ถูกฟ้องล้มละลาย ไม่ต้องออกจากราชการ เนื่องจากเป็น ‘คดีทางแพ่ง’ ไม่ใช่การทุจริตหรือเป็นคดีอาญาแผ่นดิน เพราะหากถูกบังคับออกจากราชการก็จะเสียช่องทางการหารายได้เป็นการสร้างภาระเพิ่ม“จากนี้จะต้องหารือกับทางคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)ซึ่งเป็นผู้แลภาพรวมของข้าราชการทั่วประเทศ รวมไปถึงหารือกับคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ปยป.) เพื่อยกก่อนจะนำเรื่องนี้เข้าเสนอที่ประชุมครม.ต่อไปซึ่งเป็นขั้นตอนปกติของการผลักดันร่างกฎหมาย ส่วนสหกรณ์ที่เข้าระบบมีเพียง 7 แห่งเท่านั้น ทำให้เกิดการกู้ทั้งซ้ำซ้อน จนไม่สามารถใช้คืนหนี้ได้ โดยรายชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์ที่สมัครเข้าร่วมเครดิตบูโรแล้ว ได้แก่ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำกัด (สอ.สป.) สหกรณ์อิสลามอิบนูอัฟฟาน จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์กรมป่าไม้ จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยมหิดล จำกัด   พามาเบิ่ง🧐 “อีสาน” ครองแชมป์มีข้าราชการมากสุด🏦 ชวนมาเบิ่ง จังหวัดไหน “ข้าราชการ” แน่นที่สุด. เวียดนามจ่อลดขนาดหน่วยงานรัฐ ท่ามกลางเป้าหมายในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น

หนี้ข้าราชการไทย 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือน ยอดกู้กว่า 5 ล้านล้านบาท เสี่ยงถูกยื่นล้มละลาย 1.4 หมื่นคน อ่านเพิ่มเติม »

Big 4 อีสานติดโผ! 15 จังหวัดที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมากที่สุดในประเทศไทย

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2537 จนถึง 2567 รวม 31 ปี และโดยเฉพาะในจังหวัดภูมิภาค ทั้งหมด 40 หลักจังหวัดที่มีโครงการทั่วประเทศ ซึ่งได้คัด 15 จังหวัดหลักที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยไม่นับ6 จังหวัดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อันดับ 1 และอันดับ 2 คือจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งเติบโตด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยมาก เนื่องจากเป็นจังหวัดหลักในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ โดยจังหวัดชลบุรี ณ ปี 2567 ยังมีหน่วยขายรอผู้มาซื้ออยู่ 45,470 หน่วย หรือเหลืออยู่ 15% มีมูลค่ารวม 159,738 ล้านบาท ในส่วนของจังหวัดระยอง ยังมีหน่วยที่อยู่อาศัยรอขายอยู่  23,092 หน่วย หรือ 25% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด รวมมูลค่า 58,563 ล้านบาท อันดับที่ 3 เป็นจังหวัดใหญ่ของภาคเหนือ นั่นคือ จังหวัดเชียงใหม่ ยังมีหน่วยขายรอขายอยู่ 11,900 หน่วย ถือเป็นเพียง 14% ของหน่วยขายทั้งหมด โดยมีมูลค่ารวมกัน 54,218 ล้านบาท และอันดับที่ 4 เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวระดับโลกและจังหวัดสำคัญของภาคใต้ คือจังหวัดภูเก็ต มีหน่วยที่อยู่อาศัยรอขายอยู่ 11,607 หน่วย คิดเป็น 15% ของปริมาณทั้งหมด มีมูลค่ารวมสูงถึง 142,796 ล้านบาท ข้ามฝั่งมายังอีสาน พบว่ามีจังหวัดในภาคอีสานติดอยู่ในลำดับจังหวัดที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมากที่สุด ซึ่งได้แก่จังหวัดกลุ่ม Big 4 อย่าง นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และ อุบลราชธานี โดยมีข้อมูลดังต่อไปนี้ นครราชสีมา หน่วยขายรอขาย: 8,336 หน่วย คิดเป็น 21% ของหน่วยขายทั้งหมด มูลค่าที่รอขายรวม 26,458 ล้านบาท   ขอนแก่น หน่วยขายรอขาย: 5,642   หน่วย คิดเป็น 95% ของหน่วยขายทั้งหมด มูลค่าที่รอขายรวม 19,484  ล้านบาท   อุดรธานี หน่วยขายรอขาย: 2,530 หน่วย คิดเป็น 16% ของหน่วยขายทั้งหมด มูลค่าที่รอขายรวม 9,229 ล้านบาท   อุบลราชธานี หน่วยขายรอขาย:

Big 4 อีสานติดโผ! 15 จังหวัดที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมากที่สุดในประเทศไทย อ่านเพิ่มเติม »

บุรีรัมย์ โมโตจีพี มหกรรมความเร็วระดับโลก เเรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท

ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหรือ MotoGP ฤดูกาล 2025 ก็จะเริ่มเปิดสนามอย่างเป็นทางการกันแล้ว และสนามแรกก็ประเดิมที่บ้านเราเลยกับ ‘พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์’ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 2 มีนาคมนี้ ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ แถมในปีนี้แฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตไทยก็มีเรื่องราวให้น่ายินดีมากขึ้นไปอีกเพราะเราจะได้เชียร์ ‘คิงคองก้อง’ สมเกียรติ จันทรา นักบิดไทยคนแรกที่ได้ลงแข่ง MotoGP ไปกันยาวๆ ในซีซั่นนี้  โดยมีแข่งขันสนามแรกประจำฤดูกาลที่บุรีรัมย์ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพปีที่ 6 ซึ่งดอร์นา สปอร์ต เปิดเผยว่า ทั้ง 3 อีเวนต์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศไทย ใช้เงินลงทุนไปมากกว่า 23 ล้านยูโร หรือประมาณ 819 ล้านบาท ไม่รวมกับงบประมาณจัดงานจากฝั่งการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. ซึ่งบทบาทในปีนี้ถือเป็นโอกาสทองจาก 22 สนามที่จะถูกจัดขึ้นทั้งปีทั่วโลก เนื่องจากได้รับความสนใจจากทั้งสื่อมวลชนและแฟนความเร็วมากที่สุด เพราะจะได้เห็นนักแข่งกับการวางแผนทำงานของทีมแข่ง ภายใต้รถแข่งในเทคโนโลยีใหม่, ผลงานภายใต้สนามนี้ เรียกว่าเป็นสนามที่จะชี้ชะตาของฤดูกาล 2025 เลยก็ว่าได้ และการได้รับโอกาสเหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของ “สนามประเทศไทย” ที่โดดเด่นมากที่สุดสนามหนึ่งของโลก โมโตจีพี MotoGP ในปีนี้เป็นปีที่ทุบสถิติในแทบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมูลค่าทางเศรษฐกิจเเละตัวเลขผู้ชมที่มากเป็นประวัติการณ์ในปี 2568 . กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเผยข้อมูลสำคัญ PT Grand Prix of Thailand 2025 ระหว่างวันที่ 28 ก.พ.-2 มี.ค. 2025 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ผู้เข้าร่วมงานรวมกว่า 224,634 คน เป็นคนไทย 172,565 คน ชาวต่างชาติ 52,069 คน มูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 5,043 ล้านบาท กระตุ้นการใช้จ่ายกว่า 4,268 ล้านบาท ใช้งบจัดงาน 775 ล้านบาท สร้างงาน 7,772 ตำแหน่ง ภาษีที่รัฐเก็บได้กว่า 318 ล้านบาท ที่มา : กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา . .   Motorsports: กีฬาความเร็วกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ Motorsports หรือกีฬาแข่งขันความเร็วที่ใช้ยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เป็นหนึ่งในกีฬาที่ได้รับความนิยมทั่วโลก การแข่งขันรายการใหญ่ เช่น Formula 1, MotoGP, Nascar และ IndyCar  ดึงดูดแฟนกีฬาจำนวนมาก และมีการจัดแข่งขันในหลายประเทศ ทำให้ Motorsports

บุรีรัมย์ โมโตจีพี มหกรรมความเร็วระดับโลก เเรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

ทำไมศรีสะเกษ ถึงเป็นแดน ทุเรียนภูเขาไฟ เปิดเบื้องหลังขุมทรัพย์ทางธรณีดินภูเขาไฟ

Key Points “ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ (Lava Durian Sisaket)” หมายถึง ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง พันธุ์ชะนี พันธุ์ก้านยาว ทุเรียนที่มีรสชาติหวานมัน มีกลิ่นหอมปานกลาง เนื้อละเอียด แห้ง สีเนื้อเหลืองสม่ำเสมอทั้งผล ซึ่งปลูกในพื้นที่อำเภอขุนหาญ อำเภอกันทรลักษ์ และอำเภอศรีรัตนะ ของจังหวัดศรีสะเกษ “ทุเรียนภูเขาไฟ” ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียน สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ตั้งแต่ปี 2562 ทุเรียนชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากทุเรียนที่ปลูกในภาคอื่น เนื่องจากสภาพดินภูเขาไฟในศรีสะเกษ ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO), แคลเซียมออกไซด์ (CaO) และโพแทสเซียมออกไซด์ (K₂O) ซึ่งช่วยให้ทุเรียนมีรสชาติที่เข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ ภาคตะวันออก (จันทบุรี ตราด ระยอง) ผลิตมากที่สุด 1,045,410 ตัน หรือคิดเป็น เกือบ 75% ของผลผลิตทั้งประเทศ ส่วนภาคอีสาน นำโดย ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ ผลิต ประมาณ 14,000 ตัน และยังเน้นตลาดผู้บริโภคภายในประเทศ การผลักดันจากทางจังหวัด และภาครัฐ ในการเป็นจุดยุทธศาสตร์อีสานใต้ ภาครัฐได้ดำเนินโครงการ “เกษตรแปลงใหญ่” โดยสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มอำนาจต่อรองทางการตลาด นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนา “ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ” ยังมีบทบาทสำคัญในการศึกษาพันธุ์ทุเรียนและพัฒนาเทคนิคการปลูก เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) และรองรับตลาดส่งออก ศรีสะเกษ: เมืองเกษตรกรรมแห่งอีสานใต้ และบทบาทของทุเรียนภูเขาไฟในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ   จังหวัดศรีสะเกษเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของภาคอีสานตอนล่าง ด้วยโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่พึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะ ทุเรียนภูเขาไฟ ซึ่งเป็นสินค้าที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดในระดับประเทศและกำลังขยายสู่ตลาดต่างประเทศอย่างมีศักยภาพ ด้วยพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 3.71 ล้านไร่ หรือเกือบ 68% ของพื้นที่ทั้งหมด ศรีสะเกษจึงกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของภาคอีสาน โดยมีพืชเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ หอมแดง กระเทียม พริก และทุเรียนภูเขาไฟ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสินค้าหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ   .    ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ: สินค้า GI ที่สร้างชื่อเสียงระดับประเทศ “ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ (Lava Durian Sisaket)” หมายถึง ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง พันธุ์ชะนี พันธุ์ก้านยาว ทุเรียนที่มีรสชาติหวานมัน มีกลิ่นหอมปานกลาง เนื้อละเอียด แห้ง สีเนื้อเหลืองสม่ำเสมอทั้งผล ซึ่งปลูกในพื้นที่อำเภอขุนหาญ อำเภอกันทรลักษ์ และอำเภอศรีรัตนะ ของจังหวัดศรีสะเกษ หนึ่งในจุดเด่นของศรีสะเกษที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคือ “ทุเรียนภูเขาไฟ” ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียน สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ตั้งแต่ปี 2562 ทุเรียนชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากทุเรียนที่ปลูกในภาคอื่น ๆ โดยมี

ทำไมศรีสะเกษ ถึงเป็นแดน ทุเรียนภูเขาไฟ เปิดเบื้องหลังขุมทรัพย์ทางธรณีดินภูเขาไฟ อ่านเพิ่มเติม »

ผู้ประกันตน 24 ล้าน ในภาคอีสาน 2 ล้าน กับวิกฤติความเชื่อมั่น กองทุนประกันสังคม ฿2.65 ล้านล้าน

ประเด็นร้อน สิทธิบัตรทอง ในอีสาน 19 ล้านคน “ทำฟันฟรี คลินิกเอกชน” ขูดหินปูน, อุดฟัน, ถอน ฯ 3 ครั้ง/ปี ไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนสิทธิผู้ประกันตนในอีสาน 2 ล้านคน ทำฟันไม่เกิน ฿900 /ปี . เงินลงทุนของกองทุนประกันสังคม ณ 31 ธันวาคม 2567 มูลค่าทั้งสิ้น 2,657,245 ล้านบาท แบ่งเป็น หลักทรัพท์มั่นคงสูง 71.58% และหลักทรัพย์เสี่ยง 28.42% โดยมีการกระจายการลงทุนในประเทศ จำนวน 1,800,064 ล้านบาท คิดเป็น 67.74% และลงทุนต่างประเทศ จำนวน 857,181 คิดเป็นสัดส่วน 32.26% กองทุนประกันสังคม มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี อยู่ที่ 2.29% ส่วนอัตราผลตอบแทนปี 2567 อยู่ที่ 5.34% . ปัจจุบันเงินลงทุนรวมของกองทุน #ประกันสังคม มูลค่ารวม 2,657,245 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินจาก 2 ส่วนหลัก คือ 1. เงินสมทบสะสมจากนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล จำนวน 1,666,556 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 62.72% 2. เงินผลประโยชน์สะสมที่ได้รับจากการลงทุน จำนวน 990,689 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37.28% . ในปี 2567 กองทุน ประกันสังคม มีผลประโยชนจากการลงทนที่รับรู้แล้ว จำนวน 71,960 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.) ดอกเบี้ยรับและกำไรจากการขายตราสารหนี้ 42,774 ล้านบาท 2.) เงินปันผลรับและกำไรจากการขายหุ้น นวน 29,186 ล้านบาท . จะเห็นว่าผลกำไรส่วนใหญ่ของประกันสังคมนั้นยังคงมาจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน และตราสารหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากกรอบนโยบายการลงทุนยังคงจำกัดอยู่ที่สินทรัพย์มั่นคง (เสี่ยงต่ำ) มากถึง 60% แต่ในอีกแง่ก็เป็นเกราะกำบังให้กองทุนประกันสังคมไม่เคยลงทุนแล้ว “ขาดทุน” มาตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา . กองทุนประกันสังคม เตรียมปรับยุทธศาสตร์พอร์ตลงทุนครั้งใหญ่ ในปี 2568-2570 โดยการเพิ่มลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเป็น 60% และสินทรัพย์มั่นคง 40% วางเป้าหมายพอร์ตการลงทุนต้องสร้าง “ผลตอบแทน” หรือ “Return Income”

ผู้ประกันตน 24 ล้าน ในภาคอีสาน 2 ล้าน กับวิกฤติความเชื่อมั่น กองทุนประกันสังคม ฿2.65 ล้านล้าน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top