ในขณะที่จังหวัดขอนแก่นครองตำแหน่งผู้นำด้านจำนวนฟาร์มเลี้ยงปลานิลในภาคอีสาน ด้วยจำนวนฟาร์มนับหมื่น แต่เมื่อมองลึกลงไปในแง่ของผลผลิต กลับกลายเป็นว่า อุบลราชธานี ต่างหากที่ขึ้นแท่นเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตปลานิลมากที่สุดในภูมิภาคนี้
ปี 2566 จังหวัดอุบลราชธานีมีจำนวนฟาร์มเลี้ยงปลานิลเพียง 8,820 แห่ง คิดเป็นลำดับที่ 13 ของภาค แต่กลับผลิตได้มากถึง 10,744 ตัน หรือ คิดเป็น 15% ของทั้งภาคอีสาน สร้างมูลค่าสูงถึง 644 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นที่ไม่อาจมองข้ามได้
ฟาร์มน้อย…แต่ผลิตได้มาก เพราะอะไร?
เบื้องหลังตัวเลขอันน่าทึ่งนี้ สะท้อนถึงความจริงข้อหนึ่งที่มักถูกมองข้ามในวงการเกษตรน้ำจืด “จำนวนฟาร์มไม่ได้สะท้อนศักยภาพการผลิตเสมอไป” เพราะปริมาณนั้นอาจน้อยกว่า แต่คุณภาพของระบบเลี้ยงต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ
ภูมิประเทศของอุบลราชธานีเอื้ออำนวยอย่างยิ่งต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะปลานิล เพราะเป็นพื้นที่ “ปลายน้ำ” ของแม่แม่น้ำสำคัญของภาคอีสานไหลผ่านหลายสาย ทั้งแม่น้ำโขง ชี และมูล รวมไปถึงลำน้ำสายย่อยอีกมากมาย ทำให้มีแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวนมากและคุณภาพน้ำดีเหมาะแก่การเลี้ยงปลาในกระชัง
และนี่คือหัวใจสำคัญ อุบลราชธานีมีการเลี้ยงปลานิลในกระชังมากที่สุดในอีสาน ด้วยจำนวน 493 ฟาร์ม ซึ่งระบบกระชังในแหล่งน้ำไหลผ่านเหล่านี้ ช่วยให้ปลานิลมีสุขภาพแข็งแรง โตไว เนื้อแน่น รสชาติดี และได้ราคาสูงกว่าการเลี้ยงในบ่อ
แหล่งผลิตหลักอยู่ที่ไหน?
หากมองลึกลงไปในระดับพื้นที่ พบว่าอำเภอที่มีฟาร์มเลี้ยงปลานิลมากที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ อำเภอเดชอุดม อำเภอม่วงสามสิบ อำเภอนาจะหลวย
พื้นที่เหล่านี้ล้วนมีลำน้ำสายย่อยจำนวนมากเชื่อมกับแม่น้ำหลัก ทำให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันยังมีการรวมกลุ่มและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในระดับท้องถิ่นที่เข้มแข็ง
รายได้เฉลี่ยต่อฟาร์มสูงกว่าจังหวัดอื่น
แม้จำนวนฟาร์มปลานิลจะไม่มากเท่าจังหวัดอื่น แต่ รายได้เฉลี่ยต่อฟาร์มของเกษตรกรในอุบลฯ กลับสูงถึง 73,043 บาท/ฟาร์ม แสดงให้เห็นว่าระบบการเลี้ยงมีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงกับตลาดได้ดี
ในส่วนของการเลี้ยงปลานิลในกระชังเพียงอย่างเดียว ยังสร้างมูลค่าถึง 517 ล้านบาท จากทั้งหมด 644 ล้านบาท หรือมากกว่า 80% ของมูลค่ารวมจากปลานิลทั้งจังหวัด
ปริมาณและมูลค่าผลผลิตสัตว์น้ำจืด
นอกจากปลานิลอุบลฯ จะยืนหนึ่งในอีสานแล้วนั้น การเลี้ยงสัตว์น้ำจืดชนิดอื่นๆ ก็มีการเลี้ยงมากและสร้างมูลค่ามากเช่นเดียวกัน โดยอุบลฯ ,uปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำจืดรวมทั้งสิ้น 13,474 ตัน คิดเป็นร้อยละ 2.93 ของปริมาณผลผลิตทั้งประเทศ
มูลค่าผลผลิตรวมทั้งสิ้น 814,052 พันบาทผลผลิตส่วนใหญ่มาจากการเลี้ยงในกระชัง ซึ่งมีปริมาณ 8,883 ตัน และมูลค่า 532,589 พันบาท
ชนิดสัตว์น้ำจืดที่ผลิตได้และมูลค่า (บางส่วน):
- ปลานิล: ปริมาณ 10,744 ตัน มูลค่า 644,236 พันบาท
- ปลาดุก: ปริมาณ 1,604 ตัน มูลค่า 89,544 พันบาท
- กุ้งก้ามกราม: ปริมาณ 6 ตัน มูลค่า 1,438 พันบาท
- ปลาตะเพียน: ปริมาณ 729 ตัน มูลค่า 45,990 พันบาท
- ปลาสวาย: ปริมาณ 35 ตัน มูลค่า 1,540 พันบาท
- ปลาสลิด: ปริมาณ 3 ตัน มูลค่า 273 พันบาท
- ปลากด: ปริมาณ 92 ตัน มูลค่า 11,538 พันบาท
- กบ: ปริมาณ 13 ตัน มูลค่า 1,079 พันบาท
- ปลาช่อน: ปริมาณ 44 ตัน มูลค่า 3,610 พันบาท
ไม่ใช่แค่ปลา…แต่คือระบบที่ทำงานร่วมกัน
ความสำเร็จของอุบลราชธานีไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการวางระบบและสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและท้องถิ่น เช่น
- กรมประมง
- สำนักงานประมงจังหวัด
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ
- เครือข่ายเกษตรกรและเทคโนโลยีชาวบ้าน
เมื่อ ภูมิประเทศเอื้ออำนวย ผนวกกับ องค์ความรู้และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เกิดระบบการผลิตปลานิลที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นแบบอย่างได้สำหรับจังหวัดอื่นในภาคอีสาน
ข้อเสนอ: โอกาสต่อยอดและขยายผล จาปลานิลอุบลสู่สินค้า GI
จากข้อมูลทั้งหมด อุบลราชธานีมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปอีกขั้น โดยเฉพาะการสร้าง “แบรนด์ปลานิลอุบล” หรือ “ปลานิลกระชังแม่น้ำมูล” ที่อาจนำไปสู่การยื่นขอ GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) เพื่อเพิ่มมูลค่า และแยกตัวจากปลานิลทั่วไปในตลาด
อีกทางหนึ่งคือการพัฒนาแพลตฟอร์มการขายออนไลน์เฉพาะสำหรับสินค้าประมงของอุบลฯ เพื่อเชื่อมโยงกับตลาดผู้บริโภคเมืองใหญ่ และผลักดันให้เกษตรกรฟาร์มเล็กสามารถเข้าถึงตลาดระดับภูมิภาคได้โดยตรง
ที่มา
- กรมประมง
- สำนักงานประมงจังหวัดอุบลราชธานี
- สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดอุบลราชธานี
พามาเบิ่ง🐟ทำไม? อุบล มีถึงผลผลิต ‘ปลานิล’ มากสุดในอีสาน แม้ไม่ได้มีจำนวนฟาร์มเยอะสุด🧐