บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568
🟦 : ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย
โดย ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย /ผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนภาคและเมือง และการยกระดับการจัด Festival, รองผู้อำนวยการ Center of Excellence in Social Design Chulalongkorn University
กลยุทธ์ Long Stay ควรปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใดและเพราะเหตุใด
กลยุทธ์ Long Stay ควรปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ ที่เรียกว่า “Long Stayer” ซึ่งหมายถึงชาวต่างชาติที่เดินทางมาพำนักในประเทศไทยเป็นระยะเวลานานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป คือ เกิน 10 วันขึ้นไป โดยไม่เปลี่ยนสัญชาติหรืออพยพย้ายถิ่นฐานถาวร การเปลี่ยนแปลงแนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจาก “Visitor Economy” แบบดั้งเดิมที่เน้นปริมาณ ไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณค่าสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
กลุ่มนักท่องเที่ยวที่กลยุทธ์ Long Stay ควรมุ่งเน้นและเหตุผลในการดึงดูดมีดังนี้:
- ผู้สนับสนุน (Supporters) และผู้พำนักระยะยาว (Residents):
- เหตุผล: เดิมที “Visitor Economy” เน้นจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายต่อครั้ง แต่ปัจจุบันต้องการสร้างฐานแฟนคลับ (fan base) ที่รักและผูกพันกับวัฒนธรรมไทย มาเยี่ยมเยียนซ้ำ ๆ และใช้ชีวิตเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง พวกเขาจะช่วยเผยแพร่เรื่องราวดี ๆ ของไทยไปสู่ตลาดสากล
- กลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูง (High Spenders):
- เหตุผล: โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวญี่ปุ่นที่มีรายได้มากกว่า 10 ล้านเยนต่อปี (ประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อปี) มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายในทุกด้านเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เมื่อมาพำนักระยะยาว การมุ่งเป้าไปที่กลุ่มนี้จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในท้องถิ่น
- ผลลัพธ์: กลุ่ม Long Stayer ชาวญี่ปุ่นที่มาพำนักในไทยแล้ว เมื่อออกไปเที่ยวในประเทศจะใช้จ่ายเกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่านักท่องเที่ยวคุณภาพสูงทั่วไปที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 5,172 บาทต่อคนต่อวันเสียอีก
- กลุ่ม Expat และครอบครัว (Experts and Families):
- เหตุผล: พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีกำลังใช้จ่ายสูง มักจะอยู่เป็นครอบครัว และสามารถทำหน้าที่เป็น “Influencer” หรือผู้มีอิทธิพลในการจูงใจผู้อื่นได้ดี เมื่อมาอยู่ไทยแล้วมักประทับใจและกลับมาเที่ยวซ้ำ รวมถึงแนะนำให้ครอบครัวและเพื่อนมาเที่ยว โดยเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย
- ความท้าทาย: ปัจจุบัน Expat ชาวญี่ปุ่นมักจะหาข้อมูลการท่องเที่ยวในไทยเองไม่เจอ และพึ่งพา HR หรือคนไทยช่วยหา ซึ่งมักจะแนะนำแต่เมืองหลัก ๆ ดังนั้นจึงต้องมีการสื่อสารข้อมูลของเมืองรองและพื้นที่อื่น ๆ ออกไปให้เข้าถึงกลุ่มนี้
- กลุ่ม Digital Nomad และ Creative Class:
- เหตุผล: เป็นกลุ่มคนที่ทำงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือทำงานบนฐานความคิด (เช่น โปรแกรมเมอร์, ผู้สร้างคอนเทนต์, นักเขียน) ที่พร้อมจะย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศเพื่อเก็บประสบการณ์และทำงานจากที่ไหนก็ได้ (work from home/workation) การระบาดของโควิด-19 ยิ่งเร่งพฤติกรรมนี้ หลายประเทศทั่วโลกพยายามดึงดูดกลุ่มนี้
- นักเรียน (Student) ทั้งระยะสั้นและระยะยาว:
- เหตุผล: การเรียนภาษาญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียวสร้างข้อจำกัดในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ คนญี่ปุ่นจำนวนมากจึงส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ โดยคาดหวังจะเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ แต่ค่าใช้จ่ายในญี่ปุ่นสูง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลักสูตรนานาชาติ การดึงดูดกลุ่มนี้มาเรียนในไทยสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะยาวได้
- เจ้าของธุรกิจ/นักลงทุน (Business Owner):
- เหตุผล: ผู้ที่มาเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ที่ลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศไทย ทำให้เดินทางกลับมาซ้ำ ๆ และมีกำลังใช้จ่ายสูง
- กลุ่มคนหนุ่มสาวและวัยทำงานที่มีทักษะสูง:
- เหตุผล: หลังโควิด-19 คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มย้ายออกจากญี่ปุ่นเพื่อหาประสบการณ์และทำงานในต่างประเทศ (6 เดือน – 2 ปี) เนื่องจากต้องการความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ และหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมการทำงานที่กดดันในญี่ปุ่น
- กลุ่ม FIRE (Financial Independence Retire Early): คือกลุ่มคนที่ตั้งใจทำงานเก็บเงินในช่วงวัย 20-30 ปี และวางแผนเกษียณก่อนกำหนดในช่วงวัย 30-40 ปี เพื่อใช้เวลาท่องเที่ยวและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับครอบครัวก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่น
จุดแข็งของไทยที่ดึงดูด Long Stayer: Long Stayer ชาวญี่ปุ่นที่เคยมาไทยแล้ว 90% ประทับใจเมืองไทยในเรื่องการกิน การท่องเที่ยว อุปนิสัยของคนไทย ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน และสภาพอากาศ พวกเขาสนใจกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมที่ให้ประสบการณ์แปลกใหม่และมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่สามารถหาได้ในญี่ปุ่น
สิ่งที่ต้องปรับปรุงเพื่อดึงดูด Long Stayer: แม้ไทยจะมีเสน่ห์ด้านวัฒนธรรมและอาหาร แต่ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องแก้ไขเพื่อดึงดูด Long Stayer:
- โครงสร้างพื้นฐานและคุณภาพชีวิต: ความสะอาด ความสวยงามของบ้านเมือง, คุณภาพบริการจากภาครัฐ, ระบบคมนาคมขนส่ง, ความปลอดภัย, สุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ให้ความสำคัญ
- โอกาสในการทำกิจกรรม: ต้องมีกิจกรรมที่หลากหลายและน่าสนใจ ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวซ้ำ ๆ รวมถึงโอกาสในการทำงาน ลงทุน และมีบทบาทในสังคม
- ระบบประกันสุขภาพ: ระบบที่สามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้ในราคาที่เหมาะสม หรือรองรับประกันของประเทศต้นทางได้
- ระยะเวลาวีซ่า: วีซ่าที่เอื้อต่อการ Workation, นักเรียน และ Digital Nomad
- แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ: ต้องมีช่องทางและแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ (เช่น เว็บไซต์ทางการ) เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันเกี่ยวกับเมืองรองหรือพื้นที่ต่าง ๆ
การปรับเปลี่ยนนี้จะทำให้ประเทศไทยสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมได้มากขึ้นจากการดึงดูดกลุ่ม Long Stayer ที่มีคุณภาพและกำลังซื้อสูง.
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ตัดสินใจพำนักระยะยาวในไทย?
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ตัดสินใจพำนักระยะยาวในประเทศไทย สามารถแบ่งออกได้หลายประเด็น โดยพิจารณาจากงานวิจัยที่มุ่งเน้นกลุ่มชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย:
เหตุผลทั่วไปที่ชาวญี่ปุ่นเดินทางไปต่างประเทศเพื่อพำนักระยะยาว:
- การขาดความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจโลกและการทำงานในญี่ปุ่น พวกเขาพบว่าการอยู่แต่ในญี่ปุ่นทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการเอาตัวรอดในเศรษฐกิจโลก
- สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีแรงกดดันสูง แม้ญี่ปุ่นจะพยายามปฏิรูปการทำงานแล้ว แต่คนหนุ่มสาวจำนวนมากมองว่าการทำงานในต่างประเทศสบายกว่า มีแรงกดดันน้อยกว่า และได้ประสบการณ์ใหม่ๆ
- แนวคิด Financial Independence Retire Early (FIRE) คนบางกลุ่มทำงานหนักในช่วงวัย 20-30 ปี เพื่อเก็บเงินและใช้เวลากับครอบครัวในวัย 30-40 ปี โดยการออกไปท่องเที่ยวและใช้ชีวิตในต่างประเทศก่อนจะกลับญี่ปุ่น
- การพัฒนาทักษะและความสามารถ คนหนุ่มสาวที่มีทักษะสูงหลายคนต้องการออกไปหาประสบการณ์เพื่อสร้างความแตกต่าง
- การศึกษาบุตรหลาน ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากต้องการส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำในยุโรปและอเมริกา เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเรียนนานาชาติในญี่ปุ่นค่อนข้างสูง ทำให้บางครอบครัวตัดสินใจมาอยู่ไทยเพื่อให้บุตรหลานได้เรียนในหลักสูตรนานาชาติที่นี่
- รายได้เฉลี่ยสูงขึ้น ผู้ที่มีรายได้สูงมีแนวโน้มที่จะสนใจออกไปพำนักระยะยาวในต่างประเทศมากกว่าคนที่มีรายได้ปานกลาง
ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกประเทศปลายทางสำหรับชาวญี่ปุ่น:
- งบประมาณและค่าครองชีพ พวกเขาเลือกประเทศที่สามารถอยู่ได้อย่างคุ้มค่า โดยมีงบประมาณประมาณ 200,000-300,000 เยนต่อเดือน (ประมาณ 60,000-100,000 บาท) ซึ่งถือว่ายังคงเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานการใช้จ่ายของคนไทย
- ความโดดเด่นทางวัฒนธรรมที่เป็นที่ยอมรับในสากล ประเทศไทยมีอาหารอร่อย วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ซึ่งตรงกับความต้องการนี้
- ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง นี่คือปัจจัยสำคัญที่พวกเขาใช้ในการพิจารณาเลือกประเทศ
- ความปลอดภัย เป็นปัจจัยพื้นฐานและสำคัญที่สุดในการตัดสินใจ
- สุขอนามัยและคุณภาพการบริการทางการแพทย์ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ตามมา
- ความคุ้มค่าและเอกลักษณ์ของประสบการณ์ พวกเขาไม่ได้มองว่าราคาถูกหรือแพงเป็นหลัก แต่เน้นความคุ้มค่าและประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งหาไม่ได้ในญี่ปุ่น รวมถึงการได้สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบคนท้องถิ่น
- ภาษาในการรับบริการ โดยทั่วไปภาษาอังกฤษก็เพียงพอ ยกเว้นบริการรักษาพยาบาลหรือฟื้นฟูสุขภาพที่ต้องการการสื่อสารเชิงลึก พวกเขาจะต้องการใช้ภาษาญี่ปุ่น
- กิจกรรมที่ต้องการทำ การพักผ่อน, การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ, การมีส่วนร่วมกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม, และการดูแลสุขภาพ/เวลเนส
สิ่งที่ชาวญี่ปุ่นประทับใจเมื่อมาพำนักในประเทศไทย:
- อาหารการกิน
- การท่องเที่ยว (ทั้งในแง่ของวัฒนธรรมและธรรมชาติ)
- อัธยาศัยและนิสัยของคนไทย
- ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน
- สภาพอากาศ
- การเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศ ชาวญี่ปุ่นที่มาพำนักระยะยาวมักจะเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศไทยและใช้จ่ายค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่ใช้จ่ายเกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงทั่วไป
- การเป็นผู้มีอิทธิพล (Influencer) หากประทับใจ พวกเขามักจะกลับมาเที่ยวซ้ำและแนะนำให้ครอบครัวและเพื่อนมาเที่ยว โดยใช้โซเชียลมีเดียในการเผยแพร่เรื่องราวและประสบการณ์
ความท้าทายและสิ่งที่ไม่ประทับใจสำหรับชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย:
- ความไม่สะอาดหรือไม่สวยงามของบ้านเมือง
- โครงสร้างพื้นฐานและบริการจากภาครัฐที่ยังไม่ได้คุณภาพ
- สถานการณ์ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
- ข้อจำกัดด้านโอกาสในการทำงาน ลงทุน และบทบาทในสังคม พวกเขามองว่าเมื่ออยู่ไปนานๆ กิจกรรมอาจซ้ำซากและน่าเบื่อ หากมีโอกาสสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือมีบทบาทในสังคมมากขึ้นจะเป็นเรื่องสำคัญ
- ระบบประกันสุขภาพ ที่ยังไม่ครอบคลุมหรือสามารถใช้ประกันของญี่ปุ่นได้ง่ายและไม่แพง
- ระยะเวลาของวีซ่า ที่ยังไม่เอื้อต่อกลุ่ม workation, นักเรียน หรือ digital nomad มากพอ
- แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ชาวญี่ปุ่นมักจะพบว่าข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ปรากฏในญี่ปุ่นหรือแหล่งข้อมูลทั่วไปยังไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง หรือหาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ยาก ทำให้ต้องพึ่งพาข้อมูลจาก SNS ของคนรู้จักหรือ HR ของบริษัท
หากประเทศไทยต้องการดึงดูดผู้พำนักระยะยาว โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น จะต้องเน้นการสร้าง “เมืองที่น่าอยู่” ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณสุข และการบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล รวมถึงการสร้างโอกาสในการทำงานและบทบาททางสังคม ควบคู่ไปกับการสื่อสารจุดแข็งด้านวัฒนธรรม อาหาร และอัธยาศัยของคนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ.
การเปลี่ยนผู้มาเยือนสู่ผู้สนับสนุนในภาคอีสาน ควรพัฒนาจุดแข็งและลดอุปสรรคใดบ้าง?
กลยุทธ์ Long Stay ควรมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยน “ผู้มาเยือน” (visitor) ให้เป็น “ผู้สนับสนุน” (supporter) และ “ผู้พำนักอาศัย” (resident) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านจาก “Visitor Economy” แบบดั้งเดิมที่เน้นจำนวนนักท่องเที่ยวไปสู่การท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงขึ้นและสร้างประโยชน์ในระยะยาว
กลุ่มนักท่องเที่ยว Long Stayer ที่ควรดึงดูด:
- ผู้พำนักระยะยาว (Long Stayer): ชาวต่างชาติที่เดินทางมาพำนักในประเทศไทยนานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป คือ เกิน 10 วันขึ้นไป โดยไม่เปลี่ยนสัญชาติหรือย้ายถิ่นฐานถาวร วัตถุประสงค์ของการมาอาจรวมถึงการพักผ่อน เรียน ทำงานชั่วคราว ดูแลสุขภาพ หรือกิจกรรมนันทนาการ
- Expat (ชาวต่างชาติที่มาทำงาน): กลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง มักมาพร้อมครอบครัว และเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงในการบอกต่อประสบการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย
- Digital Nomads (แรงงานดิจิทัล): กลุ่มคนทำงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ทั่วโลก กลุ่มนี้มีการเดินทางและพำนักระยะยาวเพิ่มขึ้นมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19
- Creative Class (กลุ่มคนทำงานสายครีเอทีฟ): คนที่ทำงานบนฐานความคิด เช่น โปรแกรมเมอร์ นักเขียน คนทำคอนเทนต์ ที่พร้อมย้ายถิ่นฐานเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์
- Business Owners (เจ้าของธุรกิจ): ผู้ที่ลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทยและกลับมาเยือนซ้ำเพื่อดูแลกิจการ มักมีกำลังซื้อสูง
- Students (นักเรียน): โดยเฉพาะนักเรียนที่เข้ามาเรียนหลักสูตรนานาชาติ ทั้งในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเรียนต่างประเทศในญี่ปุ่นสูง และต้องการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระดับนานาชาติ
- กลุ่มผู้มีรายได้สูง (High Spender): โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่มีรายได้เกิน 10 ล้านเยนต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าในทุกด้านเมื่อมาพำนักระยะยาว ผู้หญิงมีความสนใจที่จะออกไปลอง Long Stay ในต่างประเทศมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า
เหตุผลในการปรับเปลี่ยนแนวคิดและพัฒนาจุดแข็ง:
- การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ (Visitor Economy Transformation): โลกกำลังเปลี่ยนจากธุรกิจเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมไปสู่การค้าและบริการมากขึ้น โดยเฉพาะหลังปี 2010 ที่มีปัจจัยอย่างสายการบินราคาประหยัด, Airbnb, และ Workation ที่เร่งตัวขึ้นในช่วงโควิด-19
- โครงสร้างประชากร (Demographic Changes): หลายประเทศพัฒนาแล้ว เช่น EU, ญี่ปุ่น, จีน ประสบปัญหาประชากรลดลง โดยเฉพาะวัยแรงงาน การดึงดูด Long Stayer จึงเป็นการเพิ่มปริมาณการบริโภคในท้องถิ่น
- การสร้างมูลค่าสูง (High Value Tourism): ประเทศไทยต้องการเปลี่ยนจากการท่องเที่ยวเชิงปริมาณเป็นการท่องเที่ยวที่มีคุณค่าสูง ซึ่งหมายถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น และการพัฒนาสังคมควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม Long Stayer มักใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปที่ตั้งเป้าไว้ และยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ที่มีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์
- การกระจายรายได้สู่เมืองรอง (Income Distribution to Secondary Cities): การท่องเที่ยวของไทยมักกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลัก การดึงดูด Long Stayer ที่เป็น “Repeater” (มาซ้ำ) และ “Influencer” จะช่วยกระจายรายได้และเรื่องราวดีๆ ไปยังเมืองรองอย่างภาคอีสานได้
- ศักยภาพของภาคอีสาน:
- เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่แตกต่าง: ภาคอีสานมีเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Long Stayer อยากสัมผัส
- อาหาร: อาหารไทยและอาหารอีสานเป็นจุดแข็งสำคัญที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ
- ธรรมชาติและประวัติศาสตร์: การพักผ่อนในธรรมชาติ การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และประเพณีเป็นกิจกรรมที่ Long Stayer สนใจ
- ศักยภาพการทำงานจากที่บ้าน: หากมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดี (โรงแรม, คอนโด, พื้นที่ทำงาน) ภาคอีสานสามารถดึงดูดกลุ่ม Work from Home / Digital Nomads ได้
จุดแข็งที่ควรพัฒนาสำหรับภาคอีสาน:
- วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และประสบการณ์ท้องถิ่น: เน้นการนำเสนอ เอกลักษณ์เฉพาะที่ทำได้ในประเทศไทยเท่านั้น และประสบการณ์ที่แปลกใหม่
- คุณภาพสินค้าและบริการ: โดยรวมแล้ว Long Stayer ไม่ได้ต้องการบริการเฉพาะภาษาญี่ปุ่น แต่ต้องการ ความคุ้มค่าและคุณภาพของบริการ (ยกเว้นบริการทางการแพทย์ที่อาจต้องการการสื่อสารเฉพาะภาษา)
- กิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม: Long Stayer โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นสนใจเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม
- แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness): การบริการสุขภาพของไทยโดดเด่นในระดับโลก ซึ่งเป็นจุดดึงดูด
- การสร้างเรื่องราวและแบรนด์เมือง: แต่ละเมืองในอีสานต้องมีฐานข้อมูล ช่องทางในการนำเสนอแบรนด์ของตนเองให้ชาวต่างชาติรับรู้ เช่น ขอนแก่นมีอะไร สุรินทร์มีอะไร เพื่อให้คนค้นหาข้อมูลได้ง่าย
อุปสรรคที่ควรลด/แก้ไขสำหรับภาคอีสาน (และประเทศไทยโดยรวม):
- ความปลอดภัยและสุขอนามัย: เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกประเทศสำหรับ Long Stay การที่เมืองไม่สะอาด ไม่สวยงาม หรือระบบสุขอนามัยยังไม่ดีเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ประทับใจ
- โครงสร้างพื้นฐานและบริการภาครัฐ: คุณภาพของการบริการจากภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐาน และระบบคมนาคมขนส่งที่ดี เป็นสิ่งจำเป็น
- แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ: ปัจจุบันชาวต่างชาติประสบปัญหาการหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับประเทศไทยและเมืองรอง โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษ หรือแหล่งข้อมูลที่อัปเดตและตรงปก การสร้างช่องทางสื่อสารที่เป็นทางการและน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- โอกาสในการทำกิจกรรมที่หลากหลาย: หากมาอยู่ระยะยาว กิจกรรมอาจซ้ำซากและน่าเบื่อ ควรมีโอกาสในการทำงาน การลงทุน และการมีส่วนร่วมในสังคมเพื่อสร้างความผูกพันกับท้องถิ่น
- ระบบประกันสุขภาพ: ค่ารักษาพยาบาลในไทยอาจไม่ถูกนัก และชาวต่างชาติอาจมีแนวโน้มกลับไปรักษาที่ประเทศตนเองหากมีระบบประกันที่ดีกว่า
- กฎระเบียบและระยะเวลาของวีซ่า: วีซ่าควรเอื้อต่อกลุ่ม Workation, นักเรียน, และ Digital Nomads มากขึ้น
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง: เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกประเทศพำนักระยะยาว
กลยุทธ์การสื่อสารและการตลาด:
- เน้นการสื่อสารผ่าน HR ของบริษัทและโซเชียลมีเดีย: โดยเฉพาะสำหรับกลุ่ม Expat ชาวญี่ปุ่น การสื่อสารโดยตรงกับ HR ของบริษัทเพื่อนำเสนอแพ็คเกจสำหรับพนักงานและการใช้โซเชียลมีเดียที่น่าเชื่อถือในภาษาที่กลุ่มเป้าหมายเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ
- สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและตรงปก: เนื้อหาควรเน้นภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและวิถีชีวิตที่สะดวกสบายในเมืองใหญ่ๆ ของไทย (เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือขอนแก่น) ไม่ใช่แค่ภาพสถานที่โบราณหรือวิถีชีวิตชนบทแบบเดิมๆ
- ใช้ Long Stayer เป็น Influencer: สนับสนุนให้กลุ่ม Long Stayer ที่ประทับใจประเทศไทยช่วยเผยแพร่ข้อมูลและประสบการณ์ของตนเองผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางที่เพื่อนๆ และครอบครัวของพวกเขาเชื่อถือ
โดยสรุปแล้ว การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็นผู้สนับสนุนและผู้พำนักระยะยาวในภาคอีสานนั้น ควรเน้นที่ การสร้าง “เมืองที่น่าอยู่” ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่ได้มาตรฐานสากล มีความปลอดภัย สุขอนามัยที่ดี มีโอกาสทางเศรษฐกิจและประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างและน่าสนใจ ควบคู่ไปกับการสื่อสารจุดแข็งด้านวัฒนธรรม อาหาร และความเป็นมิตรของคนไทย ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย Long Stayer ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“LONG STAY” Talk ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่”