Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน

ISAN Insight สิพามาเบิ่ง กรณีปะทะไทย–กัมพูชาที่ช่องบก และรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน สมรภูมิเดือด! เขตแดนทับซ้อน เปิดตำนาน “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต จุดชนวนไทย-กัมพูชา พร้อมข้อตกลงล่าสุด   เหตุปะทะล่าสุดในพื้นที่ช่องบก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 กองทัพบกไทยรายงานเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี หลังตรวจพบว่าทหารกัมพูชาเข้ามาขุด “ช่องคูเลต” หรือร่องสนามเพาะ เพื่อเตรียมตั้งแนวรบในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างกรรมสิทธิ์ โดยมีระยะทางกว่า 650 เมตร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศในพื้นที่พิพาท จนนำไปสู่การปะทะซึ่งกินเวลาประมาณ 10–25 นาทีในช่วงเช้ามืด ซึ่งจากการรายงานข่าวของกัมพูชา ระบุว่ามีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และทางกัมพูชาอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน ทั้งนี้ แถลงการจากกองทัพบกไทยได้ระบุว่าสาเหตุการปะทะระหว่างทหารสองประเทศว่า หลังจากมีรายงานการรุกล้ำพื้นที่ดังกล่าว ไทยได้พยายามมีการเข้าไปเจรจา แต่เกิดการสื่อสารคลาดเคลื่อน และทางทหารกัมพูชาเข้าใจผิดและเปิดฉากยิงก่อน ทำให้จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยกำลัง ทางฝั่งกัมพูชาได้มีการเคลื่อนไหวโดย  “Samdech Hun Sen of Cambodia” ของ จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา บิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน มีการโพสต์ข้อความประณามผ่านโซเชียลมีเดีย และมีการหยิบยกกรณีพิพาทพระวิหาร อีกทั้งภายในที่ประชุมรัฐสภากัมพูชายังได้มีการหยิบยก แนวทางการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อหาทางยุติข้อพิพาทเขตแดนกับไทย หลัง กัมพูชาปิดกั้นบล็อกเฟสบุ๊ค IP คนไทย ส่วน ไทย(มีแผนเตรียม)สั่งปิดด่านชายแดนเขมร 6 แห่ง และจุดผ่อนปรน 10 แห่ง ก่อนจะได้ข้อสรุปยังไม่ผิดด่าน เพื่อหาทางเจรจาต่อไป   ไทยยืนยันสถานการณ์โดยรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีลักษณะใดที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังแต่อย่างใด พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบันว่า สถานการณ์โดยรวมยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีลักษณะใดที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกำลังแต่อย่างใด   เมื่อวันที่ 30 พฤภาคม 68 กองทัพบกออกหนังสือแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย – ผบ.ทบ.กัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 1. ผบ.ทบ.ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของ รมว.กลาโหม ของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการให้มีการเจรจา เพื่อยุติความขัดแย้ง พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนการพูดคุยเจรจาด้วยสันติวิธีในการหาข้อตกลงร่วมกัน และขอยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตย หรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ 2. กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้ตกลงที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่ ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นพ้องในการใช้กลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความ […]

ไฟใต้เถ้าแห่งพรมแดน กรณีปะทะไทย–กัมพูชา “ช่องบก” พาย้อนรอยร้าวประวัติศาสตร์ข้อพิพาทชายแดน อ่านเพิ่มเติม »

อุดรธานี ศักยภาพเกินเมืองรอง ดึงดูดผู้เยี่ยมเยือนเกือบ 5 ล้านคน พร้อมครองแชมป์รายได้จากชาวต่างชาติสูงสุดในภาคอีสาน

อุดรธานี เป็นจังหวัดที่อยู่ในกลุ่มจังหวัด ‘สบายดี’ (ประกอบไปด้วย: บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) มีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) ในปี 2566 อยู่ที่ 124,478 ล้านบาท โดยอุดรธานีนั้นขึ้นชื่อเรื่องการค้า และการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวหลากสายหลากสไตล์ ยกตัวอย่างเช่น:  สายธรรมชาติ: ทะเลบัวแดง บึงหนองหานกุมภวาปี  สายประวัติศาสตร์: พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติบ้านเชียง สายธรรมะและสายมู: วังนาคินทร์คำชะโนด วัดป่าภูก้อน สายเมือง: เซนทรัลพลาซ่าอุดรธานี ศูนย์การค้ายูดี ทาวน์ Agoda เผย อุดรธานีคว้าอันดับ 1 จุดหมายท่องเที่ยวสุดคุ้ม   อุดรฯ เป็นหมุดหมายแรกในการลงทุนในอีสาน อุดรธานีตั้งอยู่ในภาคอีสานตอนบน และมีเขตติดต่อกับจังหวัดชายแดนลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งถือว่าใกล้กับประเทศลาว อีกทั้งอุดรธานี ยังเป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางได้สะดวก ทั้งทางถนน ราง และทางเครื่องบิน จึงถือว่ามีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางคมนาคมเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการลงทุนจากภาครัฐในโครงการ “รถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย กรุงเทพฯ – โคราช – หนองคาย” โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – หนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง แบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ระยะด้วยกัน ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ – นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 253 กิโลเมตร วงเงิน 179,413 ล้านบาท ระยะที่ 2 นครราชสีมา – หนองคาย ระยะทางประมาณ 357.12 กิโลเมตร วงเงินรวมกว่า 341,351 ล้านบาท โดยหากโครงการนี้แล้วเสร็จในอนาคตจะย่นระยะเวลาการเดินทาง 606.17 กิโลเมตร ให้เหลือเวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง 36 นาที เท่านั้น และจะทำให้การเดินทางข้ามจังหวัด และขจัดอุปสรรคในการเดินทางข้ามจังหวัดในภาคอีสานลดลง และจะกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวตลอดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงนี้มากขึ้น . นอกจากนี้แล้ว อุดรธานียังมีโครงการศูนย์กลางการค้าและการขนส่งสินค้า (Logistic Park) และโครงการท่าเรือบก (Inland Container Deport) ที่จะจัดตั้งขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี เพื่อยกระดับการขนส่งสินค้าและพร้อมเป็นศูนย์โลจิสติกส์ประจำอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย . ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้น ปี 2565 อุดรธานี มีมูลค่าเศรษฐกิจ (GPP) 120,539 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของอีสาน และมีรายได้ต่อหัว (GPP per capita) 96,546 บาท สูงเป็นอันดับ 5 ของอีสาน ซึ่งมีการเติบโตจากปีก่อนหน้าทั้งมูลค่าเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัว . โดยเศรษฐกิจของอุดรธานีพึ่งพาภาคบริการเป็นหลัก

อุดรธานี ศักยภาพเกินเมืองรอง ดึงดูดผู้เยี่ยมเยือนเกือบ 5 ล้านคน พร้อมครองแชมป์รายได้จากชาวต่างชาติสูงสุดในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

“บั้งไฟลายศรีภูมิ” ลวดลายแห่งฟ้า ศิลป์แห่งแผ่นดิน ถิ่นร้อยเอ็ดต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ผลักดัน เศรษฐกิจชุมชน

“บุญบั้งไฟ ถือเป็นหนึ่งในประเพณีที่สำคัญของภาคอีสานที่จะขาดไปไม่ได้เลย ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวอีสานมีความเชื่อว่า ถ้าปีใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้ง ไม่มีน้ำทำนา แต่ถ้าปีใดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะตกต้องตามฤดูกาล เกิดความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย งานบุญบั้งไฟจึงถือเป็นงานประเพณีประจำปีที่สำคัญของชาวอีสาน พอใกล้ถึงวันงานชาวอีสานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะกลับบ้านไปร่วมงานบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นงานที่สร้างความรักความสามัคคีของคนท้องถิ่นเป็นอย่างดี  ภาพโดย คุณครูประภากร กลางคาร เผยแพร่โดย เพจ สุวรรณภูมิ .   ณ จังหวัดร้อยเอ็ด อำเภอ สุวรรณภูมิ ที่กำเนิดหนึ่งใน บั้งไฟที่มีการเอ้บั้งไฟที่งดงามมากที่สุดได้มีการจัดงานบุญบั้งไฟลายศรีภูมิ  โดยในปีนี้ ประเพณีบุญบังไฟลายศรีภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จะถูกจัดขึ้น วันที่ 4-8 เดือน มิถุนายน ปี 2568 ในงานประเพณีในปีนี้ ก็จะมีกิจกรรมตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น ขบวนมเหศักดิ์ สักการะและอัญเชิญถ้วยรางวัลพระราชทาน, ขบวนฟ้อน วัฒนธรรมเมืองศรีภูมิ, การแสดงวัฒนธรรม, ประกวดขบวนฟ้อนสวยงาม, ประกวด บั้งไฟเอ้สวยงาม, และ จุดบั้งไฟถวยตามประเพณี และ ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายภายในงาน ภาพจาก: Sriphume  ในงานนี้ยังเป็นหนึ่งในงานที่ได้รับ โปรดเกล้าฯ พระราชทาน ถ้วยรางวัล การแข่งขันประเภท บั้งไฟเอ้สวยงาม และนอกจากนี้ ยังมีการประกวด “ขบวนฟ้อนสวยงาม” ขิงถ้วยรางวัลพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกด้วย ส่งผลให้ งานประเพณีบุญบั้งไฟลายศรีภูมิ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็น งานเดียวในประเทศไทย ที่มี การประกวดชิงถ้วยรางวัลพระราชทาน ของทั้งสองพระองค์   ทำไมถึงว่าบั้งไฟลายศรีภูมิเป็นหนึ่งในบั้งไฟที่มีการเอ้บั้งไฟสวยมากที่สุด จากการศึกษาวิจัย ของ ดร.อำคา แสงงาม ปราชญ์แห่งท้องทุ่งกุลา เรื่องการตกแต่งบั้งไฟของชาวอำเภอสุวรรณภูมิ ในปี 2535 นั้น ได้ให้ข้อสังเกตในเบื้องต้นว่า การ “เอ้บั้งไฟ”หรือ การประดับตกแต่งบั้งไฟ  ของชาวสุวรรณภูมิ มีลักษณะที่เป็นแบบแผนเฉพาะถิ่น ในด้านการใช้วัสดุ วิธีการสร้าง รูปทรงวิธีการการเอ้ การใช้สีจากกระดาษ เอ้ตัวบั้งไฟ ประการที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ “การเอ้บั้งไฟ” ของสุวรรณภูมิ แตกต่างจากที่อื่นโดยชัดเจน คือ ลวดลายที่นำไปใช้ประดับตกแต่งนั้น จะเป็น ลวดลายที่เกิดจากการใช้ เทคนิคการตัดกรรไกรด้วยกระดาษ เท่านั้น ซึ่ง แตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง โดยลวดลาย มีพัฒนาการ โดยช่างในท้องถิ่น และมีการพัฒนาลวดลาย ไม่น้อยกว่า 100 ปี ในอีกประการหนึ่ง ของเอกลักษณ์การตกแต่งเอ้บั้งไฟ ของชาวสุวรรณภูมิ คือ รูปเศียรนาค ที่ใช้เอ้ ส่วนหัวบั้งไฟ โดย เสมือนเป็นการระลึกถึง ท้าวสุวรรณภังคี ซึ่งเป็นพยานาค

“บั้งไฟลายศรีภูมิ” ลวดลายแห่งฟ้า ศิลป์แห่งแผ่นดิน ถิ่นร้อยเอ็ดต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ผลักดัน เศรษฐกิจชุมชน อ่านเพิ่มเติม »

จากกาแฟแพง สู่ทุเรียนถูก บทเรียนเกษตรกร เมื่อเวียดนามหันมาปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการหดตัวลงของการปลูกกาแฟ

จากกาแฟแพง สู่ ทุเรียนถูกเวียดนามล้มกาแฟโรบัสต้า ปลูกทุเรียนหวังส่งออก กลับต้องเผชิญกับทุเรียนล้นตลาดราคาถูก เวียดนาม กาแฟแพง ทุเรียนถูก ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้อาจมีความเกี่ยวข้องกัน และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ เหตุการณ์ทั้งสองมีนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากเป็นผลพวงที่ต่อเนื่องกัน เนื่องจากแรงจูงใจในการปลูกทุเรียนที่เพิ่มขึ้น โดยได้อานิสงค์จากความนิยมอย่างมากในตลาดส่งออก โดยเฉพาะตลาดจีน ทำให้ทุเรียนเป็นที่ต้องการในตลาดส่งออก และการได้รับการยอมรับในตลาดจีนผลักดันให้ราคาทุเรียนเวียดนามอยู่คงในระดับสูงพอสมควรและมีแนวโน้มทำกำไรได้ดีกว่าการปลูกพืชอื่นๆ รวมถึงกาแฟโรบัสต้าที่ราคาอาจไม่จูงใจเท่า . จากข้อมูลของ กรมการผลิตพืช สังกัดกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ของเวียดนามพบว่า ในปี 2023 เวียดนามมีพื้นที่ปลูกทุเรียนรวมประมาณ 131,000 เฮกตาร์ โดยเพิ่มขึ้นกว่า 20% ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี สะท้อนถึงแนวโน้มการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกหรือแม้กระทั้งการลดการปลูกกาแฟ เพื่อหันไปปลูกทุเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ในภูมิภาค Central Highlands ที่เป็นพื้นที่หลักที่เป็นแหล่งเพาะปลุกกาแฟของเวียดนาม แต่ปัจจุบันมีการปลุกทุเรียนมากขึ้น และกลายเป็นพื้นที่หลักที่เป็นแหล่งปลูกทุเรียน ด้วยสัดส่วน 40.4% ของพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนทั้งหมดในประเทศ และการปลูกทุเรียนยังเป็นที่นิยมในพื้นที่อื่นๆ พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong River Delta) 36.4% ภาคตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast) 19.4% และชายฝั่งตอนใต้ตอนกลาง (South Central Coast) 5.6% การที่เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ลดปริมาณการผลิตลง ส่งผลให้ปริมาณกาแฟโรบัสต้าในตลาดโลกลดน้อยลง และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ราคากาแฟมีการปรับตัวขึ้น ผลกระทบต่อตลาดทุเรียน: การที่เกษตรกรจำนวนมากพร้อมใจกันเปลี่ยนมาปลูกทุเรียนในช่วงเวลาใกล้เคียงกันทั่วประเทศเวียดนาม (และใช้เวลาหลายปีกว่าต้นทุเรียนจะให้ผลผลิตเต็มที่) ทำให้ในที่สุด ปริมาณผลผลิตทุเรียนในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ผลผลิตที่ล้นตลาดนี้มีปริมาณมากกว่าความต้องการของตลาดส่งออก (โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก) และตลาดภายในประเทศ * ภาวะทุเรียนล้นตลาดและราคาตก: เมื่ออุปทานทุเรียนมีมากกว่าอุปสงค์อย่างมาก ผู้ขายจึงต้องแข่งขันกันระบายสินค้าที่เน่าเสียง่ายออกไป ทำให้ต้องลดราคาลงอย่างหนัก จนเกิดภาวะ “ทุเรียนล้นตลาดราคาถูก” อย่างที่พบเห็นในปัจจุบัน ✅สรุปคือ: การที่เกษตรกรเวียดนามจำนวนมากตัดสินใจทิ้งการปลูกกาแฟโรบัสต้าที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าในขณะนั้น เพื่อไปปลูกทุเรียนตามกระแสราคาดี คือ สาเหตุ ที่นำไปสู่ ผลลัพธ์ สองประการพร้อมๆ กันในช่วงเวลาที่ต่างกัน คือ ราคาโรบัสต้าในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น (จากอุปทานที่ลดลง) หลังจากผ่านไปหลายปี ทุเรียนที่ปลูกใหม่จำนวนมหาศาลก็ออกสู่ตลาดพร้อมกัน ทำให้อุปทานล้นเกินและราคาทุเรียนตกต่ำลงอย่างมาก มันคือวัฏจักรของพืชผลทางการเกษตรที่มักเกิดขึ้น เมื่อราคาสินค้าเกษตรชนิดใดดี เกษตรกรจำนวนมากจะหันไปปลูก ทำให้ในอีกไม่กี่ปีต่อมาผลผลิตล้นตลาดและราคาตก จากนั้นเกษตรกรอาจจะหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ราคากำลังดีแทน วนเวียนไปเช่นนี้       ผลจากกาแฟโรบัสต้าที่ผลิตลดลง กลับส่งผลดีต่อเกษตรกรที่เพาะปลูกกาแฟในไทย   การที่เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ลดปริมาณการผลิตลง ส่งผลให้ปริมาณกาแฟโรบัสต้าในตลาดโลกลดน้อยลง และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ราคากาแฟมีการปรับตัวขึ้น ประกอบกับการส่งออกของกาแฟบราซิลที่ลดลง และความต้องการในตลาดที่สูง ทำให้ราคากาแฟในช่วงต้นปี 2025 มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงต้นปี แต่เริ่มปรับตัวลงเล็กน้อยในเดือนเมษายนเนื่องจากการเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวของทั้งเวียดนามและบราซิล ผลจาก กาแฟโรบัสต้า ส่งผลดีต่อเกษตรกรชาวไทยที่เพาะปลูกกาแฟเป็นอย่างมาก เพราะ ในขณะที่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ราคาตกต่ำ แต่กาแฟโดยเฉพาะโรบัสต้ากับมีราคาพุ่งสูงขึ้นเกือบเทียบเท่ากับสายพันธุ์อาราบิก้า ที่ก่อนหน้านี้มีราคามากกว่า

จากกาแฟแพง สู่ทุเรียนถูก บทเรียนเกษตรกร เมื่อเวียดนามหันมาปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการหดตัวลงของการปลูกกาแฟ อ่านเพิ่มเติม »

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย: บทบาทเมืองรองและความยืดหยุ่นที่มากกว่าเมืองหลวง (Resilient infrastructure)

บริบททางเศรษฐกิจและการเติบโตของประเทศไทย ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่งในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา เปลี่ยนจากประเทศรายได้ต่ำเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวที่ช้ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ความท้าทายเหล่านี้มาพร้อมกับปัญหาด้านผลิตภาพ (productivity) และแนวโน้มด้านประชากรที่ไม่เอื้ออำนวย (อัตราการเกิดลดลงและประชากรสูงอายุ) การขยายตัวของเมืองในประเทศไทยได้กระจุกตัวอย่างมากในกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีความโดดเด่นที่สุดในโลก (primate cities) และทำหน้าที่เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมี GDP ของพื้นที่เมืองกรุงเทพฯ สูงกว่าพื้นที่เมืองใหญ่อันดับสองถึง 40 เท่า การกระจุกตัวของเศรษฐกิจและกิจกรรมในกรุงเทพฯ แม้จะสร้างประโยชน์มหาศาลด้านผลิตภาพและรายได้ แต่ก็กำลังถึงจุดที่ให้ผลตอบแทนลดลง (diminishing returns) เนื่องจากปัญหาความแออัดและต้นทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังสร้างความเปราะบางทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อประเทศ ดังที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่สำคัญซึ่งกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่สมดุลนี้ นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันและยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แหล่งข้อมูลชี้ว่ากรุงเทพฯ อาจมีผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง (underperforms relative to its endowment level) ในขณะที่จังหวัดรอบนอกซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองรองจำนวนมาก มีผลการดำเนินงานเกินกว่าระดับผลิตภาพที่คาดหวังไว้   บทบาทของเมืองรองในการขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ แหล่งข้อมูลจาก World Bank ชี้ว่า เมืองรองเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพการเติบโตใหม่ที่สมดุลและทั่วถึงของประเทศไทย แนวคิด “พอร์ตโฟลิโอของสถานที่” (portfolio of places) ระบุว่า ประเทศต้องการเมืองหลากหลายประเภททำหน้าที่ต่างกัน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เมืองรองหลายแห่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอยู่แล้ว โดยมีอุตสาหกรรมและภาคส่วนที่หลากหลาย แหล่งข้อมูลระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา การเติบโตของ GDP ต่อหัวในเมืองรองของไทยสูงกว่าในกรุงเทพฯ เกือบ 15 เท่า และเมืองรองที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ หรือพื้นที่ชายฝั่งทะเลมักแสดงให้เห็นถึงผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การพัฒนาเมืองรองจะช่วยกระจายการเติบโต ลดความแออัดในเมืองใหญ่ และสร้างฐานเศรษฐกิจที่กระจายตัวมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับประชาชนและธุรกิจ และมีส่วนช่วยลดความยากจนในพื้นที่ชนบทโดยรอบ การลงทุนที่เหมาะสมในโครงสร้างพื้นฐาน ทุนมนุษย์ และการเสริมสร้างศักยภาพเชิงสถาบัน รวมถึงการปรับกรอบการทำงานระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถิ่น จะช่วยให้เมืองรองเหล่านี้สามารถยกระดับผลิตภาพ กระตุ้นการเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศไทยได้ การเชื่อมโยงการเติบโตกับความยืดหยุ่นของเมือง ประเด็นสำคัญที่แหล่งข้อมูลเน้นย้ำคือ ความจำเป็นในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น (resilient infrastructure) เพื่อให้เมืองสามารถรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง) การกระจุกตัวทางเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากน้ำท่วมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การคาดการณ์ระบุว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่อาจสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าหากไม่มีมาตรการปรับตัวที่แข็งแกร่ง ปัญหาความร้อนในเมือง (Urban Heat Island effect) ก็เป็นอีกความท้าทายด้านความน่าอยู่อาศัยและผลิตภาพในอนาคต โดยกรุงเทพฯ มีความร้อนสูงกว่าเมืองรองอื่นๆ ภาพ : New York Times สำหรับประเทศไทย พื้นที่เกือบทั้งหมดของกรุงเทพมหานคร หรือคิดเป็นพลเมืองมากกว่า 10 % ที่อาศัยบนพื้นดินใกล้ชายฝั่ง รวมถึงในกรุงเทพมหานครเสี่ยงได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลสูง หรือเผชิญกับอุทกภัย ภายในปี พ.ศ. 2593 เทียบกับผลวิจัยก่อนหน้าที่คาดว่าจะกระทบต่อประชาชนเพียง 1 % ของกรุงเทพฯเท่านั้น หรือเลวร้ายจากการประเมินครั้งก่อนถึง 12 เท่า การพัฒนาเมืองรองเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจในระดับชาติ

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย: บทบาทเมืองรองและความยืดหยุ่นที่มากกว่าเมืองหลวง (Resilient infrastructure) อ่านเพิ่มเติม »

ถอดรหัส “เซินเจิ้น” จากหมู่บ้านชาวประมง สู่ Silicon Valley แห่งเมืองจีน โอกาสและบทเรียนที่ไทยและเมืองหลัก ควรเรียนรู้

ฮู้บ่ว่า? จากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ใน 40 ปีก่อน “เซินเจิ้น” ได้กลายเป็นมหานครเทคโนโลยี และนวรรตกรรมที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน ให้ทะยานขึ้นไปในระดับโลก . เป็นเมืองหลักที่อยู่ทางตะวันออกของชะวากทะเลแม่น้ำจูในมณฑลกวางตุ้งตอนใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีอาณาเขตทางใต้ติดกับฮ่องกง ตะวันออกเฉียงเหนือติดกับฮุ่ยโจว ตะวันตกเฉียงเหนือติดกับตงกว่าน และทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ติดกับกว่างโจว จงชาน และจูไห่ ซึ่งเป็นอีกฝั่งของชะวากทะเล โดยใช้เขตแดนทางทะเลเป็นตัวแบ่งอาณาเขต ด้วยจำนวนประชากร 17.5 ล้านคนใน ค.ศ. 2020 ทำให้เชินเจิ้นเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสาม (วัดตามจำนวนประชากรในเขตเมือง) ของประเทศจีน รองจากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ท่าเรือเซินเจิ้นยังเป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่พลุกพล่านมากเป็นอันดับ 4 ของโลก จากชุมชนเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทางตอนใต้ของจีน ที่ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพประมงและ GDP ทั้งเมืองมีเพียง 270 ล้านหยวน เซินเจิ้นได้รับการพลิกโฉมครั้งใหญ่เมื่อปี 1980 ด้วยการประกาศให้เป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของประเทศจีน” การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของพายุแห่งการพัฒนา จากแรงผลักดันของรัฐบาลที่ต้องการเปิดเมืองรับการลงทุนจากต่างชาติ ส่งผลให้เงินทุน และเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองชายฝั่งเล็ก ๆ แห่งนี้ จากข้อได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานที่มีราคาถูก และวิสัยทัศน์ที่ต้องการเรียนรู้องค์ความรู้และนวรรตกรรมจากต่างชาติ ทำให้ในเวลาไม่นาน เซินเจิ้นก็กลายเป็นหนึ่งในแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เซินเจิ้น (Shēnzhèn) ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าไปทั่วโลก และด้วยการผลิตที่เน้น “ปริมาณมาก ต้นทุนต่ำ” ทำให้สินค้าที่ผลิตในเมืองเซินเจิ้นมีความสามารถในการแข่งขันได้ในระดับโลก แต่ในขณะเดียวกัน นั่นทำให้เซินเจิ้นในยุคหนึ่งถูกมองว่าเป็น “เมืองแห่งสินค้าก็อปปี้” ที่เน้นปริมาณและราคามากกว่าคุณภาพ การเติบโตของภาคอุตสาหกรรม การเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านเทคโนโลยีของจีน รวมถึงแรงสะสมขององค์ความรู้ด้านเทคนิค แรงงานฝีมือ และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการผลิต ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเซินเจิ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐหันมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) การส่งเสริมสตาร์ทอัพ และการให้ทุนแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ส่งผลให้.ในปัจจุบัน เซินเจิ้นเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “เมืองแห่งสินค้าก็อปปี้” สู่การเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือที่หลายคนขนานนามว่า “Silicon Valley แห่งเอเชีย” ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากมาย . ในปัจจุบัน เศรษฐกิจของเซินเจิ้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 8.35% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบัน มูลค่า GDP ล่าสุดของเมืองอยู่ที่ประมาณ 3.68 ล้านล้านหยวน หรือราว 514.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2025) ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับประเทศขนาดกลางอย่างประเทศไทย รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในเมืองเซินเจิ้นอยู่ที่ประมาณ 1แสน 9 หมื่นหยวน หรือราวๆ 900,989 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศจีนอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นของเซินเจิ้น รวมถึงความก้าวหน้าทางการพัฒนาเมืองในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งยังตอกย้ำบทบาทของเซินเจิ้นในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน สู่การเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและนวัตกรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเป็นฐานการผลิตและศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สำคัญของสินค้าด้านเทคโนโลยี อาทิ โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต

ถอดรหัส “เซินเจิ้น” จากหมู่บ้านชาวประมง สู่ Silicon Valley แห่งเมืองจีน โอกาสและบทเรียนที่ไทยและเมืองหลัก ควรเรียนรู้ อ่านเพิ่มเติม »

1 เดียวในโลก ‘บั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ความภาคภูมิใจของชาวกาฬสินธุ์ จาก ประเพณี สู่ ‘อัตลักษณ์เศรษฐกิจสร้างสรรค์’

1. ‘บั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ประเพณี 1 เดียวในโลก ภาพจาก: ททท.สำนักงานขอนแก่น TAT Khonkaen Fanpage ท่ามกลางเสียงหวีดแหลมของตะไลที่หมุนทะยานขึ้นฟ้า และกลิ่นควันดินประสิวที่คลุ้งทั่วท้องนาเล็ก ๆ แห่งตำบลกุดหว้า มีบางสิ่งที่มากกว่า ‘ประเพณี’ ประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นประเพณีที่ผูกโยงกับความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวอีสานมาอย่างช้านาน เชื่อว่าเป็นการจุดขึ้นเพื่อขอให้เทพเทวดาบันดาลให้ฝนตกดี เพื่อทำการทำนาในช่วงต้นฤดูฝน    ณ ตำบลกุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ มีงานประเพณีบุญบั้งไฟที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่นไม่ซ้ำประเพณีบั้งไฟที่ไหนในโลก นั่นคือ ‘ประเพณีบุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ความโดดเด่นที่ว่านั่นคือ การจุด ‘บั้งไฟตะไล’ ซึ่งเป็นบั้งไฟที่มีลักษณะเป็นวงกลม มีหลายขนาดตามปริมาณดินประสิวที่ใช้ในการบรรจุ ตั้งแต่บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน และบั้งไฟล้านจนไปถึงสิบล้าน เอกลักษณ์ของบั้งไฟตะไลคือ เวลาจุดจะมีลักษณะหมุนขึ้นพร้อมกับปล่อยควันเป็นเกลียวคลื่น ส่งเสียงดังกังวาน และตัวบั้งไฟก็จะตกลงพื้นอย่างช้าๆ จากร่มชูชีพที่คอยพยุง สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก   สำหรับปี 2568 นี้ งานบุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า จะจัดขึ้นในวันที่ 17–18 พฤษภาคม โดยมีกิจกรรมหลากหลายตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น   ขบวนแห่บั้งไฟสุดอลังการ การจุดบั้งไฟตะไลแสน ตะไลสองล้าน และตะไลสิบล้าน ที่จะทะยานขึ้นฟ้าอย่างตื่นตาตื่นใจ การแสดงศิลปวัฒนธรรมอีสานพื้นบ้าน รวมถึงกิจกรรมสนุกสนานอีกมากมายตลอด 2 วันเต็ม ภาพจาก: ททท.สำนักงานขอนแก่น TAT Khonkaen Fanpage งานใหญ่ประจำปีที่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ใครที่อยากสัมผัสมนต์เสน่ห์ของบั้งไฟตะไลล้านและบรรยากาศงานบุญอีสานแท้ ๆ ห้ามพลาดเด็ดขาด!   นอกจากนี้ อีสาน อินไซต์ สิพามาเบิ่ง ว่าทำไม ‘บุญบั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ จึงเป็นมากกว่าแค่ประเพณี @aum_wimonrat บั้งไฟตะไลสิบล้าน #บุญบั้งไฟ #กุดหว้า ♬ เสียงต้นฉบับ – หมอแคนอุ้ม วิมลรัตน์ – หมอแคนอุ้ม Shop   2. ไม่ใช่แค่เพียงสิ่งที่จุดขึ้นฟ้า แต่ บั้งไฟตะไลล้าน คือ ‘สัญลักษณ์แห่งความเป็นกุดหว้า’ ก่อนที่จะมีบั้งไฟตะไล ชาวบ้านกุดหว้าซึ่งเป็นชาวผู้ไท ก็มีการจุดบั้งไฟเช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆในภาคอีสาน กระทั่ง ‘นายพิศดา จำพล’ ได้คิดค้นและริเริ่มการทำ บั้งไฟตะไล ขึ้นเป็นครั้งแรก และมีการเริ่มจุดในปี 2521 ด้วยความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ แม้จะลอยอยู่บนฟ้าได้ไม่นาน แต่กลับสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ชม และได้กลายมาเป็น อัตลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในโลก ของชุมชนกุดหว้า @pailolhnaidee แล่นล่ะแม้ บั้งไฟตะไล 10 ล้าน ทีมงาน #เหิรฟ้าพญาแถน หนึ่งเดียวในโลก! ประเพณีอีสานบ้านเฮา งานบุญบั้งไฟตะไลล้าน ประจำปี 2567 เทศบาลตำบลกุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์

1 เดียวในโลก ‘บั้งไฟตะไลล้านบ้านกุดหว้า’ ความภาคภูมิใจของชาวกาฬสินธุ์ จาก ประเพณี สู่ ‘อัตลักษณ์เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ อ่านเพิ่มเติม »

ทำไม บึงกาฬ จึงเป็นจังหวัดเดียวในอีสานที่เศรษฐกิจหดตัว ปี 66 เจาะลึกปัญหา และ โอกาสที่ต้องเผชิญ

 บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่กับปัญหา และ โอกาสที่ต้องเผชิญ จังหวัดบึงกาฬหรือจังหวัดน้องใหม่เป็นจังหวัดที่มีการพึ่งพาภาคการเกษตรมากที่สุดในภาคอีสานจังหวัดบึงกาฬเป็นหนึ่งในจังหวัดสำคัญในการปลูก ต้นยาง และ ปาล์มน้ำมัน เพื่อส่งออกเป็นรายได้ให้กับจังหวัดจังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่มีการปลูกยางพารามากที่สุดในภาคอีสานรวมไปถึงปาล์มน้ำมันก็เช่นเดียวกันที่การปลูกมากที่สุดในภาคอีสาน การท่องเที่ยวก็เช่นกันมีการท่องเที่ยวเชิง ศาสนาที่เดินตามรอยพยานาค จังหวัดน้องใหม่ที่มีขนาดเศรษฐกิจอยู่ที่อันดับที่ 17 ของภูมิภาค แต่มีรายได้ต่อหัวสูงถึง อันดับที่ 7 ของภูมิภาค อะไรที่ทำให้จังหวัดน้องใหม่อย่างบึงกาฬมีรายได้ต่อหัวที่สูงขนาดนี้ และ จังหวัดบึงกาฬจะสามารถพัฒนาไปในทิศทางไหนได้บ้าง  พาส่องเบิ่ง GPP อีสานปีล่าสุด 2566 จังหวัด Big 5 of ISAN มีมูลค่ามากกว่า 50% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งภาคอีสาน . . อีสานอินไซต์ สิพามาเบิ่ง ทำไม บึงกาฬ จังหวัดเดียวที่เศรษฐกิจหดตัว? . ก่อนอื่นอาจจะต้องทำความเข้าใจโครงสร้างของจังหวัดบึงกาฬก่อน เพราะจังหวัดบึงกาฬนั้นมีแรงงานกว่า 80% อยู่ในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเกษตรกรเหล่านี้เพาะปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมันและปลูกข้าว ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับราคาของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และเกษตรกรเหล่านี้ก็นำเงินที่ได้ไปจับจ่ายใช้สอยซึ่งทำให้เกิดมูลค่าในเศรษฐกิจภาคการค้าและบริการในจังหวัด . ในภาคการเกษตรนั้น หากจะกล่าวก็คือบึงกาฬนั้นเป็นจังหวัดที่มีผลิตภาพทางการเกษตรสูงสุด นั่นหมายความว่าเกษตรกร 1 คนมีมูลค่าที่ได้จากการผลิตทางการเกษตรนั้นสูงที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน เพราะ บึงกาฬนั้นมีผลิตผลผลิตทางการเกษตร สูงสุดคือ ยางพารา . แต่ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ดัชนีราคายางพาราทั่วประเทศนั้น ค่อนข้างตกต่ำในรอบหลายปี ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรซึ่งเป็นรายได้หลักและเป็นเศรษฐกิจภาคการเกษตรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดบึงกาฬ เมื่อเกษตรกรรายได้ลดลงการจับจ่ายใช้สอยและการซื้อสินค้าคงทน ทั้งรถยนต์รวมไปถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือน การหดตัวของสินเชื่อและรวมถึงความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อทำให้การซื้อและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หดตัวลงเช่นกัน นอกจากนั้นในฝั่งภาคการลงทุนด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในภาคอีสานนั้น มักจะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร แต่กลับพบว่าการลงทุนเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นโรงงานการแปรรูปยางพารา ลงทุนในจังหวัดใกล้เคียงอย่าง เช่น สกลนคร และ นครพนม ซึ่งมีพื้นที่ติดกับชายแดนและเขตพื้นที่การค้า ทำให้บทบาทของจังหวัดบึงกาฬนั้นกลายเป็นเพียงพื้นที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ส่วนพื้นที่แปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าการผลิตทางการเกษตรนั้น ไปเติบโตในจังหวัดใกล้เคียง และเมื่อภาคอุตสาหกรรมไม่ได้ถูกลงทุน ภาคการเกษตรที่เป็นรายได้หลักหดตัวจากราคาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง การบริโภคหดตัวลงและส่งผลกระทบต่อภาคการค้าและภาคบริการในจังหวัด ทั้งหมดนี้จึงทำให้จังหวัดบึงกาฬเป็นเพียงแค่จังหวัดเดียว ที่มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือ GPP หดตัวถึง 5.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเป็นเพียงแค่จังหวัดเดียวในภาคอีสานที่ขนาดเศรษฐกิจหดตัวลงนั่นเอง   โดยจะแยกรายละเอียดเพิ่มเติมถึงโอกาส และ ความท้าทายที่จังหวัด บึงกาฬ ได้ 5 ประเด็น ดังนี้ .   1. อย่างที่เรารู้กันจังหวัดบึงกาฬนั้นเป็นจังหวัดที่มีการ ปลูก ยางพารา และ ปาล์มน้ำมันมากที่สุด ในภาคอีสาน ซึ่งยางพาราสามารถให้ผลผลิตกว่า 1.3ล้านตัน จังหวัดบึงการมีการพึ่งพาภาคการเกษตรเป็นหลัก และ ในปี 2565 จังหวัดบึงกาฬ ถือเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตการเพาะปลูกยางพารามากทึ่สุดในภาคอีสาน อยู่ที่ 208,035 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 15.6% อีกทั้งมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงที่สุดในภาคอีสาน และสูงที่สุดของประเทศด้วย โดยมีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่อยู่ที่ 248

ทำไม บึงกาฬ จึงเป็นจังหวัดเดียวในอีสานที่เศรษฐกิจหดตัว ปี 66 เจาะลึกปัญหา และ โอกาสที่ต้องเผชิญ อ่านเพิ่มเติม »

ธุรกิจโรงสีข้าวร้อยเอ็ด มีรายได้รวมมากที่สุดในอีสาน แต่กระจุกตัวเพียงไม่กี่รายจริงหรือไม่?

บริบทภาคการเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด ‘ข้าว’ ถือเป็นจิตวิญญาณของคนร้อยเอ็ด โดยพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดแห่งนี้เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ ด้วยพื้นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ ทำให้ร้อยเอ็ดสามารถปลูกข้าวได้หลากหลายสายพันธุ์ตลอดทั้งปี โดยร้อยเอ็ดมีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 3.1 ล้านไร่ มีผลผลิตข้าวนาปีในปี 2567 ปริมาณ 9.9 แสนตัน มากเป็นอันดับ 6 ของภาค และมี ‘ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้’ เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)ประจำจังหวัด มีความหอมและความเรียวสวยงามเป็นเอกลักษณ์ สามารถส่งออกสู่ตลาดนานาชาติ พาเปิดเบิ่ง “ทุ่งกุลาร้องไห้” มีอะไรบ้าง🌾🍚✈️ บทบาทของโรงสีข้าวต่อเศรษฐกิจอีสานและจังหวัดร้อยเอ็ด ในด้านของธุรกิจที่ควบคู่มากับชุมชนปลูกข้าว คงหนีไม่พ้น ‘ธุรกิจโรงสีข้าว’ ซึ่งเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานอันสำคัญ จากการที่ในภาคอีสานซึ่งมีการปลูกข้าวมาก จึงทำให้มีโรงสีข้าวกระจายอยู่ทั่วไป ตั้งแต่โรงสีข้าวขนาดเล็กในชุมชน จนไปถึงโรงสีขนาดใหญ่ที่ผลิตข้าวระดับประเทศและเป็นผู้ส่งออก ซึ่งบทบาทของโรงสีนั้นไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับแปรรูปผลผลิต แต่ยังถือว่าเป็น ‘จุดผ่านสำคัญ’ ของข้าว ช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่มีแหล่งจำหน่ายข้าว สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนั้นธุรกิจโรงสียังก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่อีกด้วย จากข้อมูลนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงสีข้าวที่ยังดำเนินการอยู่ในปี 2568 ในภาคอีสานมีทั้งสิ้น 336 ราย คิดเป็นสัดส่วน 32% ของประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนและจำนวนโรงสีมากที่สุดในประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็นรายเล็ก จากการที่มีทุนจดทะเบียนรวม 1.25 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเพียง 27% ของประเทศ และมีรายได้รวม 6.67 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเพียง 20% ของประเทศ โดย 3 จังหวัดที่มีธุรกิจโรงสีข้าวมากที่สุดในภาคอีสาน ได้แก่ สุรินทร์ 51 ราย อุบลราชธานี 40 ราย นครราชสีมา 40 ราย ศรีสะเกษ 27 ราย อุดรธานี 27 ราย โดยจังหวัดร้อยเอ็ด มีจำนวนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงสีข้าวอยู่ทั้งสิ้น 26 ราย เป็นอันดับ 6 ในอีสาน โดยคิดเป็นเพียง 8% ของนิติบุคคลประเภทเดียวกันในภาค  และมีทุนจดทะเบียนรวม 0.13 หมื่นล้านบาท แม้ในด้านจำนวนนิติบุคคลจะไม่ได้ติด Top 5 ของภูมิภาค แต่เมื่อมองในด้านของรายได้รวมของธุรกิจแล้วนั้น จะพบว่าธุรกิจโรงสีในร้อยเอ็ดมีรายได้รวม ‘มากที่สุดในอีสาน’ กว่า 1.11 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ทั้งภูมิภาคถึง 17% ในส่วนของอันดับ 2 – 5 จังหวัดที่มีรายได้รวมสูงสุด ได้แก่ ศรีสะเกษ 0.93 หมื่นล้านบาท สุรินทร์ 0.78 หมื่นล้านบาท นครราชสีมา 0.72 หมื่นล้านบาท อุบลราชธานี 0.59 หมื่นล้านบาท   โรงสีข้าวร้อยเอ็ด ใหญ่อันดับต้นๆของอีสาน ชูจุดแข็ง

ธุรกิจโรงสีข้าวร้อยเอ็ด มีรายได้รวมมากที่สุดในอีสาน แต่กระจุกตัวเพียงไม่กี่รายจริงหรือไม่? อ่านเพิ่มเติม »

ประเทศไทย ประเทศเทา รายได้ใต้เงา กับธุรกิจนอกระบบในสังคมไทย

ธุรกิจรายย่อยในประเทศไทยนับหมื่นรายถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของการจ้างงาน และการสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ไม่มากก็น้อย แม้ว่าธุรกิจในกลุ่มนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยแต่ผู้ประกอบการธุรกิจในกลุ่มนี้หลายรายไม่ได้มีการจดทะเบียนธุรกิจอย่างถูกกฎหมายหรือเรียกว่าธุรกิจนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการจดทะเบียนพาณิชย์หรือนิติบุคคลก็ตาม ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้อย่างเต็มเม็ดเต้มหน่วย อีกทั้งธุรกิจนอกระบบเหล่านี้เนื่องจากไม่ได้มีการจดทะเบียนทำให้ลูกจ้างนั้นไม่ได้มีการส่งเข้าสู่ระบบประกันสังคมซึ่งถือเป็นสิทธิ์ของลูกจ้างเช่นกัน รายงานจากธนาคารโลก (World Bank) ในปี พ.ศ. 2563 ระบุว่า ประเทศไทยมีขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก และใหญ่ที่สุดในอาเซียน คิดเป็นมูลค่าราว 7 ล้านล้านบาท จากมูลค่า GDP ที่ 15.7 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งหากรวมเศรษฐกิจนอกระบบเข้าไปจะทำให้ GDP โดยรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 22.7 ล้านล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ถูกนำมาบันทึกในระบบ และบ่งชี้ว่า หากสามารถดึงสัดส่วนที่อยู่นอกระบบเหล่านี้เข้าสู่ระบบได้ ก็จะทำให้รายได้ของรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้น มีแหล่งรายได้เพิ่มเติม และสามารถจัดสรรทรัพยากรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนได้มากขึ้น และจากรายงานของ OECD ระบุว่า ในภูมิภาคอาเซียนกว่า 80% ของธุรกิจ และ 55% ของแรงงาน ยังคงอยู่นอกระบบ ซึ่งหมายความว่าแรงงานจำนวนมหาศาลไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ขาดหลักประกันทางสังคม และไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แม้จะเป็นแรงงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานราก รูปที่ 1 ขนาดเศรษฐกิจนอกระบบทั่วโลก พ.ศ. 2563 ที่มา: World Bank เมื่อพิจารณาจากธุรกิจทั่วประเทศ พบว่า จากการรายงานของ สสว. ประเทศไทยมีผู้ดำเนินกิจการประมาณ 3.2 ราย แต่มีเพียง 890,000 รายเท่านั้นที่จดมีการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งใกล้เคียงกับข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่แจ้งว่ามีจำนวนธุรกิจที่จดทะเบียนและยังดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้นราว 9.3 แสนแห่ง สะท้อนว่าเกือบ 3 ใน 4 ของผู้ประกอบการรายย่อยยังคงดำเนินกิจการอยู่นอกระบบ ซึ่งเป็นผลจากทั้งอุปสรรคเชิงโครงสร้าง เช่น ขั้นตอนการจดทะเบียนที่ซับซ้อน การขาดความรู้ด้านบัญชีและกฎหมาย ตลอดจนปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น ไม่เห็นความจำเป็นในการเข้าสู่ระบบ ซึ่งหากผู้ประกอบการที่เหลือมีการเข้าสู่ระบบทั้งหมด จะทำให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ธุรกิจนอกระบบมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากธุรกิจในระบบอย่างชัดเจน โดยมักดำเนินการอยู่ในระดับครัวเรือนหรือรายบุคคล เช่น ร้านขายของชำขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย ร้านอาหารในชุมชน ช่างฝีมืออิสระ และบริการพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งกระจายอยู่ในหลากหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม การค้าปลีกขนาดเล็ก และภาคบริการ รูปที่ 2 สัดส่วนธุรกิจที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคล ที่มา: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภาคอีสานเป็นภาคที่มีสัดส่วนของธุรกิจนอกระบบสูงที่สุด โดยกว่า 90% ของร้านค้าในพื้นที่ไม่ได้จดทะเบียนกับภาครัฐ รองลงมาคือภาคเหนือ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน ปัจจัยที่มีผล ได้แก่ ระดับรายได้เฉลี่ยของประชาชนในพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ความพร้อมด้านทักษะและเทคโนโลยี ตลอดจนการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ยังไม่เพียงพอ สถานการณ์นี้ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยในภูมิภาคดังกล่าวขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนหรือการสนับสนุนด้านพัฒนาอาชีพ และต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากธุรกิจในระบบที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่า รูปที่ 3 สัดส่วนธุรกิจนอกระบบ แบ่งตามภูมิภาค

ประเทศไทย ประเทศเทา รายได้ใต้เงา กับธุรกิจนอกระบบในสังคมไทย อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top