Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

ไขรหัส แผนพัฒนา กาฬสินธุ์ จากโมเดลแก้จน สู่จังหวัดที่การลงทุนจากจีนเป็นอันดับ 2 ของอีสาน

“มั่งคั่งด้วยเกษตรปลอดภัย ท่องเที่ยววิถีใหม่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” คำขวัญเชิงนโยบายนี้สะท้อนภาพการพัฒนาอย่างสมดุลของจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างทั่วถึง สอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัด ที่วางเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและครอบคลุม . “เมื่อกาฬสินธุ์กลายเป็นจุดสนใจของทุนต่างชาติ: ศักยภาพที่ยังรอการปลดล็อก” แม้จะไม่ได้เป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวหรือศูนย์กลางเศรษฐกิจใหญ่ในภาคอีสาน แต่กาฬสินธุ์กำลังกลายเป็นพื้นที่ศักยภาพสูงที่ได้รับความสนใจจากการลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ ตัวอย่างชัดเจนคือ การที่กาฬสินธุ์มีมูลค่าการลงทุนจากประเทศจีนสูงเป็นอันดับ 2 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นมูลค่าร่วมกว่า 828 ล้านบาท การลงทุนจากจีนในด้านการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรอาจเป็นจุดพลิกของเศรษฐกิจท้องถิ่น หากมีการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน เช่น การพัฒนาศูนย์โลจิสติกส์ หรือ อุตสาหกรรมอาหารปลอดภัย ก็สามารถเปลี่ยนจังหวัดนี้จากพื้นที่วัตถุดิบให้เป็นศูนย์กลางแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มได้ แต่ความเสี่ยงที่ตามมาคือการกระจุกตัวของประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการขาดความสามารถในการต่อรองของเกษตรกรรายย่อย หากไม่มีระบบกำกับดูแลหรือกลไกตรวจสอบร่วมระหว่างรัฐและชุมชน . . โดยจังหวัดกาฬสินธุ์ก็มีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทุนจดทะเบียนมากกว่า 774 ล้านบาท อย่างบริษัท อุตสาหกรรมน้ำตาลอีสาน จำกัด ซึ่งทำธุรกิจการผลิตน้ำตาลบริสุทธิ์ โดยมีมูลค่าการลงทุนของชาวจีนมากกว่า  14.3 ล้านบาทเลยทีเดียว และนอกเหนือจากการลงทุนในน้ำตาลบริษุทธิ์ ก็จะมีดังนี้ตามภาพ และเมื่อดูสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนชาวจีน จะพบว่า มีการลงทุนกระจุกตัวในพื้นที่ NeEC (ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคอีสาน) เป็นหลัก มีมูลค่ารวมกันทั้ง 4 จังหวัดมากกว่า 588 ล้านบาท หรือหรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% เลยทีเดียว ซึ่งในพื้นที่ NeEC เป็นเส้นเชื่อมระหว่างเขตขยายแนวทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกับจีน โดยส่วนใหญ่นักลงทุนชาวจีนนิยมลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด และภาคการผลิตที่เกี่ยวกับยาง   . .   กาฬสินธุ์จะสามารถ “มั่งคั่งด้วยเกษตรปลอดภัย” ได้อย่างไร? ภาคเกษตรกรรมยังคงเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจกาฬสินธุ์ โดยเฉพาะการส่งเสริมการปลูกข้าวอินทรีย์ ข้าว GAP และข้าว GIอย่างข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์ ที่มีการรับรองมาตรฐาน ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร การรวมกลุ่มของเกษตรกร การสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ และการเป็นที่รู้จักของแบรนด์ข้าวกาฬสินธุ์ในตลาดพรีเมียมคือจุดแข็งสำคัญ แต่ยังมีข้อจำกัด เช่น การเข้าถึงตลาดของเกษตรกรรายย่อยยังจำกัด และยังขาดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ การสร้างแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระดับจังหวัดและการพัฒนาเครือข่ายระบบชลประทานขนาดเล็ก จะช่วยแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการสร้าง “ตราสินค้าจังหวัด” ผ่านการเชื่อมโยงเกษตรปลอดภัยกับวัฒนธรรม เช่น ผ้าไหมแพรวา+ข้าวอินทรีย์+วิถีอีสาน ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มจากประสบการณ์มากกว่าการผลิตที่เพิ่มปริมาณ   . .   ท่องเที่ยววิถีใหม่: ผสานวัฒนธรรมและความยั่งยืน กาฬสินธุ์มีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งแหล่งประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการพัฒนา “การท่องเที่ยววิถีใหม่” ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยเฉพาะแนวคิด slow tourism และ soft power ท้องถิ่น เช่น การสาธิตการทอผ้าแพรวาโดยชาวบ้านดั้งเดิม หรือการจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปทำอาหารอีสานที่ใช้วัตถุดิบปลอดภัยจากชุมชน การวางแผนเชิงพื้นที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาคนในพื้นที่ให้สามารถทำหน้าที่เป็นไกด์ที่มีความเชี่ยวชาญในโซนท้องถิ่น จะช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ขณะเดียวกัน การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ในการวิจัยพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ เช่น เส้นทางตามรอยไดโนเสาร์  หรือเส้นทางวิถีเกษตร จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง   . กาฬสินธุ์ ถิ่นน้ำดำ […]

ไขรหัส แผนพัฒนา กาฬสินธุ์ จากโมเดลแก้จน สู่จังหวัดที่การลงทุนจากจีนเป็นอันดับ 2 ของอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ครม. ไฟเขียว 400 ลบ. พัฒนากลุ่มจังหวัด “สนุก” มุ่งสู่เป้าหมาย “เชื่อมโยงอนุภูมิภาคและจุดหมายการพักผ่อนริมโขง”

ครม. ไฟเขียว 400 ลบ. พัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 มุ่งสู่เป้าหมาย “เชื่อมโยงอนุภูมิภาคและจุดหมายการพักผ่อนริมโขง” . ครม.(29เม.ย.68) รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (นครพนม สกลนคร มุกดาหาร) ตามที่ สศช. เสนอ พร้อม เห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด จำนวน 4 โครงการ กรอบวงเงิน 200 ล้านบาท โดยให้ขอรับจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบฯ 2568 งบกลาง และให้ สำนักงบประมาณพิจารณาความพร้อม ความคุ้มค่า และความเหมาะสมตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด . เห็นชอบในหลักการของโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) 5 โครงการ กรอบวงเงิน 200 ล้านบาท โดยให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการขอรับจัดสรร และเร่งทำข้อเสนอโครงการโดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ จากการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ . มอบ สศช. รับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) ที่เหลือ 21 โครงการ เพื่อบรรจุในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป . มอบ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด และ รายงานผลการดำเนินงานให้ สศช. . สนับสนุนการพัฒนากลุ่มจังหวัดสู่เป้าหมาย “เชื่อมโยงอนุภูมิภาคและจุดหมายการพักผ่อนริมโขง” โดยพัฒนาการท่องเที่ยวริมแม่น้ำโขงเชื่อมโยงวัฒนธรรมชุมชน ยกระดับการเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูงอย่างยั่งยืน พัฒนาขีดความสามารถโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เสริมสร้างทักษะแรงงานและความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน และยกระดับการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชุมชนในพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น @thaigov ครม. เดินหน้ายกระดับ พัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 มุ่งสู่เป้าหมาย “เชื่อมโยงอนุภูมิภาคและจุดหมายการพักผ่อนริมโขง” #เทรนด์วันนี้້ #ไทยคู่ฟ้า #สื่อสารรัฐบาลไทย #ครมสัญจร #นครพนม #บริหารจัดการน้ํา #สกลนคร #นายกรัฐมนตรี #นายกแพทองธารชินวัตร ♬ epicmusicei – 北昼 สำหรับโครงการเร่งด่วนและข้อเสนอเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนบน 2 ทั้ง 3 จังหวัดนั้น ที่ผ่านมาได้ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.กลุ่มจังหวัด) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีด้วยกัน 9 โครงการ แบ่งเป็นโครงการต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มแรก : โครงการที่มีความพร้อมและดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1 ปี มีโครงการของกลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน 2 และข้อเสนอโครงการของ 3 จังหวัด (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) รวม 4 โครงการ วงเงินรวม 200 ล้านบาท ประกอบด้วย กลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน 2  โครงการพัฒนาพื้นที่และปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณริมแม่น้ำโขงเหนือเมืองนครพนมและพื้นที่ต่อเนื่อง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม

ครม. ไฟเขียว 400 ลบ. พัฒนากลุ่มจังหวัด “สนุก” มุ่งสู่เป้าหมาย “เชื่อมโยงอนุภูมิภาคและจุดหมายการพักผ่อนริมโขง” อ่านเพิ่มเติม »

เครือ MKG Global Group ผลักดัน Soft Power บุกเซ็นทรัล โคราช ในงาน ESAN F.A.C.E.2025

มหกรรม Soft Power อีสาน ครั้งใหญ่ที่ไม่ควรพลาด!!! E-SAN F.A.C.E. ‘จิ๊บ วสุ – ดร.โก้ ธีรศักดิ์’ ร่วมแถลง พร้อมชวนร่วมงาน 23-25 พฤษภาคม นี้ ที่เซ็นทรัล โคราช   วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2568 MKG Global Group โดย อาจารย์มงคลพัฒน์ ทิพยจันทร์ (มงคลพัฒน์ ดวงและฮวงจุ้ย) , คุณสมเกียรติ ทวีสิทธิ์ , คุณวรฉัตร สัมมาชีวกุล , คุณอรรถพล จันทรวงศ์ไพศาล , คุณณัฏฐสิทธิ์ วีนาซีมูทู และคณะผู้จัดงาน ได้จัดงานแถลงข่าว E-SAN F.A.C.E. : The Future of E-SAN Soft Power โดยได้รับเกียรติอย่างสูงจาก คุณกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมแขกผู้มีเกียรติ ดร. ไจตันยะ ประกาศ โยคี ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมสวามี วิเวกานันท์ สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ , ดร.ฤทธิ์ ลือชา , สัญญา พรนารายณ์ ,แสนรัก เมืองโคราช ,สุมิตร สัจจเทพ , ดีเจ โจ้ เฉลิมศักดิ์ อังศุพันธุ์ , ดร.พรนารายณ์ มณีรุ่งโรจน์ทวี บ.ดาราอินไซค์ทีวี จำกัด และ ดารา นักแสดง คุณจิ๊บ วสุ แสงสิงห์แก้ว , ดร.โก้ ธีรศักดิ์ พันธุจริยา , คุณปุ๋ย นิทัศน์, คุณปิงปอง สะแกวัลย์ , นักแสดงดาวรุ่ง จิก้า ณัฐนนท์ เพ็ชรรัตน์ จากซีรีส์วาย เรื่อง อาการมันเป็นยังไงไหนบอกหมอ ,รักฝังเข็ม และ ยกนี้พี่ต้องชนะ , ธานัท จุลสัตย์ Mister Landscapes International Thailand 2025 , ธงดนัย แตงอวบ National Director Mister Landscapes

เครือ MKG Global Group ผลักดัน Soft Power บุกเซ็นทรัล โคราช ในงาน ESAN F.A.C.E.2025 อ่านเพิ่มเติม »

4 พืชเศรษฐกิจอีสาน หัวใจเกษตรไทย กระดูกสันหลังของชาติ

บทความนี้เป็นการสรุปประเด็นสำคัญจากคลิปวิดีโอ “อีสาน กับ การเกษตร ข้าว มัน อ้อย ยาง ดินแดนแห่งพืชเศรษฐกิจกระดูกสันหลังของชาติ”  ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เนื่องจากคนไทยทำเกษตรกรรมกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนแรงงานทั้งหมดในประเทศ ซึ่งกว่าครึ่งของเกษตรกรในประเทศนั้นเป็นคนภาคอีสาน อีกทั้งภาคอีสานเป็นภาคที่มีพื้นที่ทำการเกษตรมากที่สุด ดังนั้นจะกล่าวได้ว่าภาคอีสานนั้นเป็นกระดูกสันหลังของชาติก็ว่าได้ แต่อาชีพเกษตรกรนั้นกลับมีรายได้น้อยเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ และภาคอีสานมีปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถมีผลผลิตดีเท่าที่ควร ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรของภาคอีสาน ระบบชลประทาน ภาคการเกษตรของภาคอีสาน เป็นภาคที่พึ่งฟ้าพึ่งฝนจากธรรมชาติเป็นหลัก เนื่องจากระบบชลประทานของภาคอีสานไม่ทั่วถึง โดยมีเพียง 11.9% ของพื้นที่การเกษตร(7.6 ล้านไร่) ที่อยู่ในเขตชลประทาน เท่านั้น อีกทั้งภาคอีสานเป็นภาคที่ปลูกข้าวเยอะ และมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวมากที่สุดในประเทศ แต่ข้าวเป็นพืชที่ต้องใช้ปริมาณน้ำในการเพาะปลูกมาก จึงทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าปกติและแปรผันตามฟ้าฝนจากธรรมชาติ   ปัญหาดิน ดินในภาคอีสานเป็นดินทรายไม่อุ้มน้ำ ทำให้เก็บน้ำได้น้อยและเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมได้ง่าย ดังนั้นภาคอีสานเผชิญทั้งปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมภายในปีเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากภาคกลางที่เป็นดินเหนียว จึงเหมาะกับการทำการเกษตรมากกว่าภาคอีสาน และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือภาคอีสานเผชิญกับปัญหาดินเค็ม เนื่องจากดินเค็มแพร่กระจายอยู่ทั่วจังหวัดในภาคอีสาน ทำให้ภาคอีสานทำการเกษตรได้ยากกว่าภาคอื่นๆ ถึงแม้ว่าภาคอีสานจะมีอุปสรรคที่ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร แต่ภาคอีสานก็ยังถือว่าเป็นภาคที่มีผลผลิตทางการเกษตรเยอะเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ซึ่งพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคอีสานคือ ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย และยางพารา ซึ่งเนื้อหาภายในคลิปวีดิโอนั้นได้พูดถึงเพียงแค่ ข้าว มันสำปะหลัง และยางพาราเท่านั้น ข้าว ภาคอีสานเป็นภาคที่พื้นที่เพาะปลูกข้าวข้าวนาปีมากกว่า 39 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 61.9% ของขนาดพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตมากกว่า 13 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 48.1% ของผลผลิตปลูกข้าวนาปีทั้งหมดในประเทศ ซึ่งทั้งพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตข้าวนาปีในอีสานมากเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ และยังเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมดอกมะลิ 105 ที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ส่วนข้าวนาปรัง ภาคอีสานมีผลผลิตข้าวนาปรังอยู่ที่1,080,911 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 17.5% ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตต่อพื้นที่เก็บเกี่ยวอยู่ 574 กิโลกรัม/ไร่  โดยข้าวที่มีชื่อเสียงในภาคอีสานคือ ข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งคือพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็น สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 โดยมีข้อกำหนดว่าต้องปลูกที่ทุ่งกุลาร้องไห้เท่านั้น   มันสำปะหลัง ในภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเรามีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังมากกว่า 5.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 54% ของขนาดพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั้งหมดในประเทศ และมีผลผลิตมากกว่า 18.7 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 55% ของผลผลิตมันสำปะหลังทั้งหมดในประเทศ หากพิจารณารายจังหวัด จะพบว่าผลผลิตมันสำปะหลังในภาคอีสานกระจุกตัวในจังหวัดนครราชสีมามากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 23.82% รองลงมาเป็นชัยภูมิ (11.5%) อุบลราชธานี (9.65%) อุดรธานี (9.07%) และกาฬสินธุ์  (6.56%) ยางพารา ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกยางพารามากที่สุดอันดับ 1 ของโลก มีแหล่งผลิตยางพาราคุณภาพในพื้นที่ภาคใต้ แต่ภาคอีสานก็เป็นภาคที่ปลูกยางพาราและสามารถผลิตน้ำยางที่มีคุณภาพเป็นอันดับ 2

4 พืชเศรษฐกิจอีสาน หัวใจเกษตรไทย กระดูกสันหลังของชาติ อ่านเพิ่มเติม »

มหาลัยศูนย์เหรียญ การเข้ามาของทุนจีน ในแวดวงอุดมศึกษาของไทย

ฮู้บ่ว่า? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการอุดมศึกษาไทย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน กำลังเผชิญกับการเข้ามาของ “ทุนจีน” ซึ่งโดยมากอาจไม่ได้เป็นการร่วมมือในด้านวิชาการ แต่เป็นการเข้าซื้อกิจการโดยตรง และอาจเป็นการถือหุ้นผ่านบริษัทนอมินี . ข้อมูลจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาของทุนจีน ผ่านการถือหุ้นในมหาวิทยาลัยเอกชน ถึง 3 แห่ง  ได้แก่ มหาวิทยาลัยชินวัตร, มหาวิทยาลัยเกริก และมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด ซึ่งการเข้าซื้อกิจการของทุนจีนมีแนวโน้มที่จะไม่ได้ดำเนินการอย่างเปิดเผยทั้งหมด บางรายใช้วิธีตั้งบริษัทในสิงคโปร์หรือฮ่องกง ก่อนย้อนเข้ามาลงทุนในไทย ผ่านตัวกลางคนไทยหรือบริษัทนอมินี และมีการถือหุ้นทางอ้อมข้ามไปมา จึงทำให้ยากต่อการตรวจสอบแหล่งที่มาของทุนและจุดประสงค์ที่แท้จริงในการเข้ามาถือหุ้นจากจีน . แนวโน้มการเข้ามาของทุนจีนในธุรกิจการศึกษาของไทย อาจสะท้อนผ่าน แนวโน้มการลดลงของประชากรวัยเรียน และอัตราการเกิดที่ลดลงของไทย ที่เป็นผลให้มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่ง อาจเสี่ยงต่อการขาดรายได้ และเป็นผลทำให้ต้องปิดกิจการหรือมีการปรับตัว อีกทั้งกระแสการเข้ามาของตลาดนักศึกษาจีนขาออก ที่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ จีนจะเป็นประเทศอันดับหนึ่ง ที่มีนักศึกษาเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด . ข้อสังเกตอีกอย่างที่เกิดขึ้นในประเด็นของการเข้ามาของทุนจีนในมหาวิทยาลัยเอกชนของไทย อาจเป็นการขายวุฒิการศึกษา เหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้า ในช่วงต้นปี 2568 หรือแม้กระทั่ง การเข้ามาทำงานผิดกฎหมายผ่านการใช้วีซ่าในรูปแบบนักศึกษา อย่างไรก็ตามการเข้ามาในรูปแบบนี้ยังเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตุเพียงเท่านั้น ซึ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันด้านแรงงาน และความมั่นคงในด้านระบบการศึกษาของประเทศ จึงควรเร่งให้มีการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง และหารือเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น รายการ News digest ได้สรุปข่าว มหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญไว้ดังนี้  

มหาลัยศูนย์เหรียญ การเข้ามาของทุนจีน ในแวดวงอุดมศึกษาของไทย อ่านเพิ่มเติม »

🐼 Food Panda ประกาศยุติกิจการ ยุติเส้นทาง 13 ปี หลัง ขาดทุนสะสม 1.3 หมื่นล้าน

FoodPanda เลิกกิจการ 13 ปีขาดทุน 1.3 หมื่นล้าน ตกงานทันทีนับไม่ถ้วน มีธุรกิจในเครือ 6 บริษัทไม่รอด Foodpanda Thailand ขอแจ้งยุติการให้บริการแอปพลิเคชัน foodpanda มีผลตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. 2568 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ขับเคลื่อนธุรกิจร่วมจัดส่งความสุข ผ่านทุกๆ ออเดอร์ให้แก่ลูกค้าทุกท่านในประเทศไทย เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับใช้ลูกค้าที่รักยิ่งของเรา และได้รับการสนับสนุนที่ดีมาโดยตลอดจากร้านค้า พารท์เนอร์ และไรเดอร์ทุกท่าน ที่ร่วมเป็นผู้ขับเคลื่อนความสำเร็จที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพตลาดในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาวของฟู้ดแพนด้าอีกต่อไป เรามีความเสียใจอย่างยิ่งที่การเดินทางของเราต้องสิ้นสุดลง และเราขอขอบพระคุณลูกค้าทุกๆ ท่านที่เชื่อมั่นในฟู้ดแพนด้าเสมอมา ขอแสดงความนับถือ ฟู้ดแพนด้า ประเทศไทย . ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/1UmsZqchAb/

🐼 Food Panda ประกาศยุติกิจการ ยุติเส้นทาง 13 ปี หลัง ขาดทุนสะสม 1.3 หมื่นล้าน อ่านเพิ่มเติม »

10 ปีข้างหน้า ‘หนองคาย’ จะกลายเป็น ‘ประตูสู่ยูนนาน’ สำรวจโอกาสของจังหวัด จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมลาว-จีน

หนองคาย เป็นจังหวัดในภาคอีสานตอนบน ที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นเอกลักษณ์คือมีทอดยาวตามแม่น้ำโขงกว่า 210.6 กิโลเมตร  มีอาณาเขตติดตอกับประเทศลาว คือ แขวงเวียงจันทน์ นครหลวงเวียงจันทน์ และแขวงบอลิคําไซ โดยมีจุดผ่านแดนได้แก่ 1. ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 2. ด่านพรมแดนทาเรือหนองคาย 3. ด่านตรวจคนเขาเมือง ณ สถานีรถไฟหนองคาย นอกจากนั้นยังมีจุดผ่อนปรนทางการค้าอีก 4 แห่ง  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จังหวัดหนองคาย มีความโดดเด่นด้านการค้าชายแดนเป็นอย่างมาก ทำไมหนองคายจึงเป็นจังหวัดที่มีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว? ปัจจัยที่ทำให้หนองคายดูน่าดึงดูดที่จะลงทุน คือการที่ในอนาคต หนองคายกำลังจะมี รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – หนองคาย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างในระยะที่ 1 (กรุงเทพฯ – นครราชสีมา) และเพิ่งมีการอนุมัติจาก ครม. ในการเริ่มโครงการระยะที่ 2 (นครราชสีมา – หนองคาย) รวมระยะทางทั้ง 2 โครงการ 606.17 กิโลเมตร แม้ว่าการก่อสร้างในระยะที่ 1 จะมีความล่าช้า แต่คาดการณ์ว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงนี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2575 หรืออีก 10 ปีต่อจากนี้ การเดินทางโดยใช้รถไฟความเร็วสูงจากระหว่างหนองคายไปกรุงเทพฯ จะใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเศษๆ เพิ่มตัวเลือกด้านการคมนาคมนอกเหนือจากการเดินทางด้วยรถยนต์หรือเครื่องบิน สร้างความสะดวกสบายแก่ชาวหนองคายและผู้เยี่ยมเยือน รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ – หนองคาย เชื่อมโยงภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รถไฟกรุงเทพฯ – หนองคายมีความพิเศษที่สำคัญต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของไทย จะสามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟลาว-จีน ที่ได้เปิดให้บริการไปแล้วในปี 2564 มีสถานีต้นทาง-ปลายทางคือ สถานีคุนหมิงใต้ของจีน และสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ ของ สปป. ลาว มีสถานีรวม 32 สถานี ที่มารูปภาพ: กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม โดยการเชื่อมรถไฟความเร็วสูงจากไทย-ลาว-จีนนั้น จะถูกเชื่อมโยงโดย สะพานมิตรภาพสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (หนองคาย-เวียงจันทน์) แห่งที่ 2 เป็นสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 3 ปี 2569 และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2572 โดยสถานีรถไฟหนองคาย จะเป็นจุดตรวจหนังสือเดินทางของประเทศไทย ซึ่งในแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง จะมีจุดตรวจ 4 แห่ง ดังนี้ สถานีรถไฟหนองคาย ประเทศไทย สถานีรถไฟเวียงจันทน์ สปป.ลาว สถานีรถไฟบ่อเต็น สปป.ลาว สถานีรถไฟโม่ฮาน ประเทศจีน ที่มารูปภาพ: Shutterstocks และจากคนจีนที่เดินทางเข้าในภาคอีสานของไทย ปี 2567 พบว่าจุดผ่านแดนสะพานมิตรภาพ 1 จังหวัดหนองคาย เป็นจุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเดินทางเข้ามาทางบกของชาวจีน โดยมีจำนวนกว่า 24,000 ราย (ข้อมูล

10 ปีข้างหน้า ‘หนองคาย’ จะกลายเป็น ‘ประตูสู่ยูนนาน’ สำรวจโอกาสของจังหวัด จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมลาว-จีน อ่านเพิ่มเติม »

จากคดี ร่วมกันยักยอกทรัพย์ สู่ผลตัดสิน ‘เอกราช ช่างเหลา’ และการถูกขับออกจาก ภูมิใจไทย

เอกราช ช่างเหลา สส.ขอนแก่น และอีกบทบาทหนึ่งคือ พ่อนายก อบจ. ป้ายแดงของชาว #ขอนแก่น ถูกศาลสั่งจำคุก 5 ปี คดีโกงเงินสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดขอนแก่น 431 ล้านบาท ที่ยีดเยื้อมานาน ศาลพิพากษาตัดสินแล้วศาลสั่งจำคุก 5 ปี 93 เดือน “เอกราช” สส.ภูมิใจไทย ขอนแก่น 17 เม.ย.-ศาลจังหวัดขอนแก่น พิพากษาจำคุก 5 ปี 93 เดือน นายเอกราช ช่างเหลา สส.ขอนแก่น เขต 4 พรรคภูมิใจไทย พร้อมสั่งชดใช้เงินกว่า 405 ล้านบาท คดียักยอกเงินสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น 1,275 ล้านบาท ที่ห้องพิจารณาคดี 6 ศาลจังหวัดขอนแก่น นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ และนายสุธน สอนคำแก้ว ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเอกราช ช่างเหลา สส.ขอนแก่น เขต 4 พรรคภูมิใจไทย เป็นจำเลยในฐานความผิดร่วมกันยักยอกทรัพย์ ร่วมกันปลอมเอกสาร และร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม กรณีทุจริตเงิน 1,275 ล้านบาทของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น ระหว่างปี 2554-2563 ขณะดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการสหกรณ์ฯ โดยนายเอกราช เคยเซ็นหนังสือรับสภาพหนี้ และให้การรับสารภาพมาตลอด เพิ่งขอยื่นกลับคำให้การ วันที่ 7 ตุลาคม 2567 หลังสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว ให้เหตุผลว่า ทนายความชุดเก่าหลอกให้รับสารภาพ โดยเงินที่นำออกไป ได้ซื้อที่ดินมาจดจำนองเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้จากการซื้อลอตเตอรี่ให้สหกรณ์ฯ แต่ศาลไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การใหม่ เชื่อว่า เป็นการประวิงคดี ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทำผิดตามฟ้องจริง โดยปลอมเอกสารยืนยันยอดเงินฝาก เงินคงเหลือ ทั้งฉบับ และบางส่วนรวม 35 ครั้ง เพื่อให้ ผู้พบเห็นชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคาร ผู้สอบ ผู้ตรวจบัญชีและประชาชนทั่วไป รวมจำนวน เงินยักยอก 1275 ล้านบาทชดใช้คืนแล้วเกือบ 900 ล้านบาทคงเหลือกว่า 405 ล้านบาท โดยจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน พิพากษาจำคุก ข้อหายักยอก 5 กระทง กระทงละ 3 ปี ข้อหาใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม 21 กระทง กระทงละ 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกข้อหายักยอก 5 ปี 30 เดือน ข้อหาใช้เอกสารสิทธิปลอม 63 เดือน รวมจำคุก 5 ปี 93

จากคดี ร่วมกันยักยอกทรัพย์ สู่ผลตัดสิน ‘เอกราช ช่างเหลา’ และการถูกขับออกจาก ภูมิใจไทย อ่านเพิ่มเติม »

หนี้ข้าราชการไทย 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือน ยอดกู้กว่า 5 ล้านล้านบาท เสี่ยงถูกยื่นล้มละลาย 1.4 หมื่นคน

ฮู้บ่ว่าข้าราชการไทย กู้รวมกันกว่า 5 ล้านล้าน เป็นหนี้ในระบบ 3 ล้านล้าน และกู้สหกรณ์อีก 2 ล้านล้านเสี่ยงล้มละลายพุ่ง 1.4 หมื่นคน, ‘ครู’ ครองแชมป์มากที่สุด วิกฤตหนี้ครัวเรือนไทย’ จากข้อมูลบัญชีลูกหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตนมากกว่า 84 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้คงค้างกว่า 13.6 ล้านล้านบาท พบคนไทยก่อหนี้วนลูป จนกลายเป็นหนี้พอกเรื้อรังไปตลอดชีวิต ที่น่ากังวลไม่ต่างกันคือ มากกว่า 1 ใน 3 หรือมากกว่า 5 ล้านล้านบาท นั้นเป็นหนี้ครัวเรือนของข้าราชการไทย . ด้าน ดร.ณรินทร์ ชำนาญดู นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) เปิดเผยว่า “ตัวเลขข้าราชการ’ล้มละลายพุ่ง 1.4 หมื่น ‘ครู’ ครองแชมป์เสี่ยงถูกให้ออกมากสุด” . ปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 14,000 คน หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่า และในจำนวนนี้เป็นข้าราชการครูกว่า 5,000 คน ซึ่งหากถูกฟ้องล้มละลายก็จะถูกให้ออกจากราชการ ไม่มีอาชีพทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาจึงมีการเร่งถก’ก.พ.’เปิดช่องให้โอกาสทำงานต่อ เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ถูกฟ้องล้มละลาย ไม่ต้องออกจากราชการ เนื่องจากเป็น ‘คดีทางแพ่ง’ ไม่ใช่การทุจริตหรือเป็นคดีอาญาแผ่นดิน เพราะหากถูกบังคับออกจากราชการก็จะเสียช่องทางการหารายได้เป็นการสร้างภาระเพิ่ม“จากนี้จะต้องหารือกับทางคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)ซึ่งเป็นผู้แลภาพรวมของข้าราชการทั่วประเทศ รวมไปถึงหารือกับคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ปยป.) เพื่อยกก่อนจะนำเรื่องนี้เข้าเสนอที่ประชุมครม.ต่อไปซึ่งเป็นขั้นตอนปกติของการผลักดันร่างกฎหมาย ส่วนสหกรณ์ที่เข้าระบบมีเพียง 7 แห่งเท่านั้น ทำให้เกิดการกู้ทั้งซ้ำซ้อน จนไม่สามารถใช้คืนหนี้ได้ โดยรายชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์ที่สมัครเข้าร่วมเครดิตบูโรแล้ว ได้แก่ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำกัด (สอ.สป.) สหกรณ์อิสลามอิบนูอัฟฟาน จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์กรมป่าไม้ จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยมหิดล จำกัด   พามาเบิ่ง🧐 “อีสาน” ครองแชมป์มีข้าราชการมากสุด🏦 ชวนมาเบิ่ง จังหวัดไหน “ข้าราชการ” แน่นที่สุด. เวียดนามจ่อลดขนาดหน่วยงานรัฐ ท่ามกลางเป้าหมายในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น

หนี้ข้าราชการไทย 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือน ยอดกู้กว่า 5 ล้านล้านบาท เสี่ยงถูกยื่นล้มละลาย 1.4 หมื่นคน อ่านเพิ่มเติม »

Big 4 อีสานติดโผ! 15 จังหวัดที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมากที่สุดในประเทศไทย

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2537 จนถึง 2567 รวม 31 ปี และโดยเฉพาะในจังหวัดภูมิภาค ทั้งหมด 40 หลักจังหวัดที่มีโครงการทั่วประเทศ ซึ่งได้คัด 15 จังหวัดหลักที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยไม่นับ6 จังหวัดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อันดับ 1 และอันดับ 2 คือจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งเติบโตด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยมาก เนื่องจากเป็นจังหวัดหลักในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ โดยจังหวัดชลบุรี ณ ปี 2567 ยังมีหน่วยขายรอผู้มาซื้ออยู่ 45,470 หน่วย หรือเหลืออยู่ 15% มีมูลค่ารวม 159,738 ล้านบาท ในส่วนของจังหวัดระยอง ยังมีหน่วยที่อยู่อาศัยรอขายอยู่  23,092 หน่วย หรือ 25% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด รวมมูลค่า 58,563 ล้านบาท อันดับที่ 3 เป็นจังหวัดใหญ่ของภาคเหนือ นั่นคือ จังหวัดเชียงใหม่ ยังมีหน่วยขายรอขายอยู่ 11,900 หน่วย ถือเป็นเพียง 14% ของหน่วยขายทั้งหมด โดยมีมูลค่ารวมกัน 54,218 ล้านบาท และอันดับที่ 4 เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวระดับโลกและจังหวัดสำคัญของภาคใต้ คือจังหวัดภูเก็ต มีหน่วยที่อยู่อาศัยรอขายอยู่ 11,607 หน่วย คิดเป็น 15% ของปริมาณทั้งหมด มีมูลค่ารวมสูงถึง 142,796 ล้านบาท ข้ามฝั่งมายังอีสาน พบว่ามีจังหวัดในภาคอีสานติดอยู่ในลำดับจังหวัดที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมากที่สุด ซึ่งได้แก่จังหวัดกลุ่ม Big 4 อย่าง นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และ อุบลราชธานี โดยมีข้อมูลดังต่อไปนี้ นครราชสีมา หน่วยขายรอขาย: 8,336 หน่วย คิดเป็น 21% ของหน่วยขายทั้งหมด มูลค่าที่รอขายรวม 26,458 ล้านบาท   ขอนแก่น หน่วยขายรอขาย: 5,642   หน่วย คิดเป็น 95% ของหน่วยขายทั้งหมด มูลค่าที่รอขายรวม 19,484  ล้านบาท   อุดรธานี หน่วยขายรอขาย: 2,530 หน่วย คิดเป็น 16% ของหน่วยขายทั้งหมด มูลค่าที่รอขายรวม 9,229 ล้านบาท   อุบลราชธานี หน่วยขายรอขาย:

Big 4 อีสานติดโผ! 15 จังหวัดที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมากที่สุดในประเทศไทย อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top