Article

ปังหลาย กกท. ผนึก 3 จังหวัดอีสาน จัด “SAT ISAN SPORTS FEST”  ใช้กีฬาหนุนการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

ปังหลาย กกท. ผนึก 3 จังหวัดอีสาน จัด “SAT ISAN SPORTS FEST”  ใช้กีฬาหนุนการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน   ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นประธานในการแถลงข่าวการจัดการแข่งขันกีฬาเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sports Tourism Economic Triangle Festival 2023) ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยมี นายสิงหชัย ผ่องบุรุษ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์,นายสรสาสน์ สีเพ็ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์, และนางสาวอรอาภา โลห์วีระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ร่วมแถลง ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา กกท. เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา   กกท. ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้น การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และการกระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ชุมชน ผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ซึ่งครั้งนี้ได้จัดการแข่งขันกีฬาเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยว Sports Tourism Economic Triangle Festival 2023 ผ่านพื้นที่ 3 จังหวัดภาคอีสาน ได้แก่ จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ ในชื่อการแข่งขันกีฬารายการ SAT ISAN Sports Fest 2023   กิจกรรมดังกล่าว กกท. มุ่งมั่นที่จะช่วย กระตุ้นการสร้างเศรษฐกิจในท้องถิ่นควบคู่ไปกับการกีฬาและการสร้างนักกีฬาสู่ความเป็นเลิศ ยกระดับมาตรฐานการเล่นกีฬาในระดับภูมิภาคไปสู่ระดับประเทศ อีกทั้งการแข่งขันครั้งนี้จะสร้างแรงจูงใจให้กับเด็กและเยาวชนหันมาสนใจกีฬาไม่พึ่งพายาเสพติด รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าท้องถิ่นมีความพร้อม มีความตั้งใจจริงทั้งมิติของกีฬา การท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี   ซึ่งบุรีรัมย์ถือเป็น 1 ในจังหวัด Sports City ซึ่งความพร้อมในเรื่องการจัดการแข่งขันกีฬา เรามีความพร้อมเป็นอย่างมาก เพราะเราเคยจัดการแข่งขันกีฬามาแล้วทั้งระดับชาติ อาทิ กีฬาเยาวชนแห่งชาติ รวมถึงการจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติอย่าง MOTO GP ในฐานะตัวแทนจังหวัดบุรีรัมย์เชื่อมั่นว่าจะเป็นการบรรลุวัตถุประสงค์ของ กกท. ที่ได้วางไว้ และเป็นประโยชน์แก่จังหวัดบุรีรัมย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เกิดการหมุนเวียนจากการจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ Sports Expo การส่งเสริมการท่องเที่ยว และที่สำคัญการแข่งขันกีฬาฯ จะช่วยทำให้เยาวชนและประชาชนหันมาเล่นกีฬาและออกกําลังกาย เป็นต้นแบบการสร้างสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง   และจากการที่จังหวัดสุรินทร์ได้รับเกียรติในการจัดการแข่งกีฬาที่ผ่านมานั้น มีประชาชนหันมาเล่นกีฬา และออกกำลังกายเป็นจำนวนมากขึ้น เช่นเดียวกับทางจังหวัดได้มีการทำงานแบบบูรณาการกิจกรรมร่วมกันในหลายภาคส่วน เพื่อให้กิจกรรมดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และสร้างความประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาเอง ผู้ชม รวมถึงแฟนๆจังหวัดใกล้เคียงเชื่อว่า นักกีฬา แฟนกีฬา …

ปังหลาย กกท. ผนึก 3 จังหวัดอีสาน จัด “SAT ISAN SPORTS FEST”  ใช้กีฬาหนุนการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน อ่านเพิ่มเติม »

เริ่ดคักหลาย ททท. ฟ้าวฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย ดันรายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน

การการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมแถลงทิศทางการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว ปี 2567 ประกาศเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทยสู่บทต่อไปที่ดีขึ้น ทั้งฝั่ง Supply และ Demand ด้วยหัวใจหลักของการสร้างระบบนิเวศใหม่ที่มีคุณค่า สมดุลและยั่งยืน พร้อมเสริมภูมิคุ้มกันสร้างความมั่นคงทางการท่องเที่ยว ก้าวสู่ High Value and Sustainable Tourism อย่างแท้จริง มั่นใจฟื้นรายได้สูงสุด 3 ล้านล้านบาท เทียบเท่าปี 2562 นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเร่ง “ฟื้นฟู” (Resilience) พร้อมพลิกโฉมสู่ High Value and Sustainable Tourism ที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน ททท. จึงได้ยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและ ททท. แบบ Moving forward to Better เดินหน้าต่อเนื่องสู่ก้าวต่อไปของการท่องเที่ยวไทยที่ดียิ่งขึ้น ททท. วางแผนกระตุ้นตลาดด้วย 5 ทิศทางหลัก ได้แก่ เสริมภาพลักษณ์แบรนด์ท่องเที่ยวไทยด้านความยั่งยืนและใช้เป็นจุดขายใหม่ของประเทศไทย เน้นไม่สร้างภาระ แต่สร้างสาระรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและชุมชน (Travel with Care) กระจายรายได้อย่างทั่วถึง (Fair Income) และเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่นเป็นจุดขาย (Encourage Identity & Biodiversity) โดย ททท. มีแนวคิดดำเนินโครงการ Kinnaree Brand Refresh ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้รู้จักรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยหรือรางวัลกินรีในวงกว้าง เพื่อเป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวภายใต้มาตรฐาน การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Responsible Tourism) รุกเปิดตลาดคุณภาพใหม่ให้ท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โฟกัสตลาดใหม่ในภูมิภาคยุโรปและตะวันออกกลาง และขยายสู่กลุ่มตลาดย่อย ซึ่งเป็นผู้มีรายได้สูง แสวงหาคู่ค้ารายใหม่และขยายความร่วมมือกับคู่ค้ารายใหญ่ในเวทีโลก ตลาดในประเทศ ททท. ให้น้ำหนักไปที่การกระตุ้นให้เที่ยวไทยทันที เพิ่มความถี่และการกระจายตัวท่องเที่ยวหลากหลายพื้นที่มากขึ้น เป็น 365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทยเที่ยว ได้ทุกวัน ตลอดทั้งปี เพื่อสร้างรายได้ให้ทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียม ควบคู่กับการนำเสนอจุดแข็งสู่จุดขาย ของ Soft Power (5F) และนำเสนอสินค้าเชิงประสบการณ์ผ่านอัตลักษณ์ของ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ เกิดเป็น Meaningful Travel ประกอบด้วย ภาคเหนือ ชวนสัมผัส “เสน่ห์วันวานเมืองเหนือ” ผสานความร่วมสมัย ผ่าน Northern Thailand Soft Power ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ กระตุ้นค่าใช้จ่ายด้วย Art & Craft ขยายฤดูกาลท่องเที่ยว ภาคกลาง เสิร์ฟความสุขง่าย ๆ ใกล้ตัวจากสุขภาพดี …

เริ่ดคักหลาย ททท. ฟ้าวฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย ดันรายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน อ่านเพิ่มเติม »

“ส้มตำนัว” เริ่ดคักหลาย เดินหน้ารีเฟรชแบรนด์ในรอบ 23 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Enjoy Nua Meal” ตั้งเป้าขยายโมเดลใหม่ 5 สาขา

ส้มตำนัว (SOMTAMNUA) เป็นหนึ่งแบรนด์อาหารอีสานที่เป็นที่คุ้นหูคุ้นตากันดี โดยมีเมนูชูโรงเป็น “ตำมั่ว”ซิกเนเจอร์เมนูที่สร้างชื่อให้กับร้านเป็นอย่างมาก แม้จะได้รับความนิยมอย่างมากแต่ในปัจุบันที่โลกและผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นตัวเร่งให้ ตำมั่ว เข้าใกล้ความเป็นแบรนด์ที่อาจกำลัง “ตกยุค” เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ ตำมั่ว ภายใต้การกุมบังเหียนของ “อภิรัตน์ อังกุรนาค” จึงตัดสินใจ รีเฟรชแบรนด์ใหม่ในรอบ 23 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ ใหม่ที่มีชื่อว่า “Enjoy Nua Meal” เพื่อปรับแบรนด์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น รวมไปถึงปรับโลโก้แบรนด์ใหม่ และการตกแต่งร้าน ด้วยการนำคู่สีใหม่ ๆ เข้ามาเติมเต็มให้ภาพรวมของแบรนด์ดู POP สดใส สนุก มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ อภิรัตน์ อังกุรนาค ผู้อำนวยการอาวุโสแบรนด์ส้มตำนัว (SOMTAMNUA) เปิดเผยถึงที่มาของการปรับลุคแบรนด์ใหม่ในครั้งนี้ด้วย 3 โจทย์หลักว่า เริ่มที่ โจทย์แรก คือ ความต้องการที่หลากหลายในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคมีความต้องการอะไรใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงเสมอ และอาหารอีสานยังคงเป็น 1 ในอาหารที่เป็น Top of mind ของผู้บริโภค เราต้องการคงรูปแบบการรับประทานอาหารอีสานที่เป็นการทานด้วยกันหลาย ๆ คน ซึ่งจะทำให้มื้ออาหารนั้น ๆ มีความสนุกสนานมากขึ้น ด้วยการสอดแทรกความเป็นแฟชั่น และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เข้ามาด้วย โจทย์ที่สอง คือชื่อร้าน ด้วยการนำเอาคำว่า “นัว” ซึ่งเป็นภาษาอีสาน ที่มีความหมายว่า อร่อย กลมกล่อม และเป็นอัตลักษณ์หรือ Brand Identity ของเรา มาผสมความครีเอทีฟ ใส่เป็นลูกเล่นสนุก ๆ มาใส่ในหลาย ๆ จุด ภายในร้าน จนเกิดเป็นแท็กไลน์ (Tagline) ‘I’m Nua : นัวแต่ไหน” เพื่อเป็น Key message ที่ Connect กับลูกค้า และสร้างการจดจำ ว่าเราเป็น “นัว” ตัวจริงเสียงจริงมายาวนานกว่า 23 ปี และโจทย์สุดท้าย ในแง่ของการสื่อสาร เริ่มจากการปรับโลโก้แบรนด์ สร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยการปรับเส้นสายให้ดู Smooth ยิ่งขึ้น แต่ยังคงเค้าโครงเดิมไม่ให้ลูกค้าสับสน และ Mood & Tone ใหม่ พร้อมกับการตกแต่งร้านใหม่ในรูปแบบของ “Nua Home” ที่สร้างบรรยากาศทำให้เหมือนลูกค้าทานอาหารอยู่ที่บ้าน ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบาย ๆ เหมาะกับการมาพักผ่อน และทานอาหารอร่อย ๆ สไตล์อีสานแท้ ๆ ไปด้วยกัน นอกจากนี้ ยังมีการเลือกใช้วัสดุ และใส่องค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีสีสันเข้ามาผสมผสาน …

“ส้มตำนัว” เริ่ดคักหลาย เดินหน้ารีเฟรชแบรนด์ในรอบ 23 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Enjoy Nua Meal” ตั้งเป้าขยายโมเดลใหม่ 5 สาขา อ่านเพิ่มเติม »

ปังหลาย คัมภีร์ใบลานเรื่องอุรังคธาตุ  ขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก”

ปังหลาย คัมภีร์ใบลานเรื่องอุรังคธาตุ  ขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก”   องค์การยูเนสโก รับรอง “คัมภีร์ใบลานเรื่องอุรังคธาตุ” ตำนานพระธาตุพนม เอกสารโบราณสำคัญ ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาฉบับพื้นถิ่นภาคอีสานที่ใช้สำนวนภาษาเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาค ขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก”   จากการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยโครงการและความร่วมมือกับองค์การอื่นๆ (Programme and External Relations Commission – PX) ในการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การยูเนสโก ครั้งที่ 216 ณ องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาวาระการขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจำแห่งโลก (Nominations of new items of documentary heritage to be inscribed on the Memory of the World International Register) ซึ่งรวมถึงคัมภีร์ใบลานเรื่องอุรังคธาตุ (National Collection of Palm-Leaf Manuscripts of Phra That Phanom Chronicle)   คัมภีร์ใบลานเรื่องอุรังคธาตุ จัดเป็นเอกสารโบราณสำคัญ เป็นของแท้ดั้งเดิมที่มีเพียงคัมภีร์เดียว เนื้อหาจัดเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาฉบับพื้นถิ่นภาคอีสานที่ใช้สำนวนภาษาเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาค เป็นหนังสือใบลานจารด้วยอักษรธรรมอีสาน ภาษาไทย และภาษาบาลี ที่มีทำนองการแต่งเป็นภาษาโบราณแบบเฉพาะของท้องถิ่น มีความไพเราะ แทรกคติธรรม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี มีการใช้คำเป็นสำนวนภาษาให้เห็นภาพพจน์ ทำนองเปรียบเทียบ มีจำนวน 7 ผูก มีหลักฐานปรากฏอยู่ในลานหน้าสุดท้ายกล่าวไว้ชัดเจนว่าหนังสือฉบับนี้อาชญาเจ้าพระอุปราช พร้อมด้วยบุตร ภรรยา ให้สร้างขึ้นไว้เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2405 อีกทั้งรูปอักษรธรรมอีสานนี้ใช้จารเรื่องในคัมภีร์ก็เป็นอักษรโบราณที่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว สภาพทั่วไปแข็งแรง เส้นอักษรยังเห็นได้ชัดเจน เนื้อเรื่อง เบื้องต้นเกริ่นนำด้วยนิทานตำนานเมืองต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณริมฝั่งน้ำโขง   สาระสำคัญของเรื่องอยู่ที่อุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) ได้มาประดิษฐานอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ด้วยอำนาจบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ ส่วนความสำคัญของเนื้อหา นอกจากจะสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมของชุมชนในท้องถิ่นที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งแล้ว ยังแสดงถึงความเป็นบทประพันธ์ประเภทวรรณกรรมพื้นบ้านที่แฝงไว้ด้วยคติธรรม ความเชื่อของชุมชนในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติ ความเอื้ออาทรต่อกันของคนในหมู่ชนที่ร่วมสังคมเดียวกันประดุจคนในครอบครัว ซึ่งเป็นพื้นฐานอันสอดคล้องกับวัฒนธรรม อารยธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ที่แพร่กระจายอยู่โดยรอบภูมิภาคของพื้นถิ่น ซึ่งมีการอยู่อาศัยของผู้คนตลอดบริเวณพื้นที่แถบลุ่มน้ำโขงและใกล้เคียงอย่างยั่งยืน ยาวนานไม่ขาดช่วงจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าในทางการเมืองจะมีการแบ่งเขตบ้านแดนเมืองเป็นประเทศต่างๆ กันแล้วก็ตาม แต่ความเคารพนับถือศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา อันมีพระธาตุพนมเป็นหลักชัย ยังยืนหยัดอย่างมั่นคง หลอมรวมจิตใจชาวพุทธ สืบสานกันมาตลอดสองฝั่งแม่น้ำโขง เป็นความเชื่อมโยงที่เหนียวแน่นชัดเจนตราบถึงทุกวันนี้   การขึ้นทะเบียนเอกสารหรือเหตุการณ์สำคัญเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกของยูเนสโก มีกระบวนการการพิจารณาโดย International Advisory Committee …

ปังหลาย คัมภีร์ใบลานเรื่องอุรังคธาตุ  ขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก” อ่านเพิ่มเติม »

พลิกโฉม “เขาใหญ่ – ศรีราชา EEC” ORI โฮมกันกับ ASIAN เฮ็ดแลนด์มาร์กปั้นเมืองใหม่ มูลค่ารวม 1,422 ล้านบาท

กลายเป็นทำเลคง”อัตลักษณ์” น่าจับตา สำหรับ “เขาใหญ่” จังหวัดนคราชสีมา เมือง โอโซนและเมืองมรดกโลก ที่บริษัทพัฒนาที่ดินสนใจเข้าพื้นที่ พัฒนาโครงการ เป็นย่านอยู่อาศัย พักตากอากาศของเหล่าเซเลป ไฮโซคนดัง และที่พูดถึงกันมาก เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จุดหมายปลายทางการลงทุนทั้งไทยและต่างชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญใช้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ส่งผลให้มีนักลงทุนทั้งภาคอตุสาหกรรม ภายท่องเที่ยวบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์เข้าไปปักหมุดโครงการจำนวนมาก เช่นเดียวกับ “วัน ออริจิ้น” หรือ ONEO บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จับมือกับพันธมิตร เนรมิต เมืองใหม่ บนที่ดินผืนสุดท้ายใจกลาง “ขุนเขาใหญ่” ถนนธนะรัชต์ เส้นทางเศรษฐกิจสำคัญ นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO เปิดเผยว่า จากแผนการเติบโต “Origin Infinity” ของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ในปีนี้ ทุกบริษัทในเครือเตรียมเดินหน้ารวมพลังสร้างความร่วมมือ (Synergy) เพื่อสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ สู่การตอบโจทย์การพักอาศัยและพักผ่อนของผู้บริโภคทั่วประเทศ ล่าสุด เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ นำโดย บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI จะเดินหน้าจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท เอเชี่ยน เวลเนส เรสซิเดนซ์ จำกัด จำนวน 4 บริษัท ภายใต้สัดส่วน 60 ต่อ 40 ทั้ง 4 บริษัท เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการร่วมกันใน 2 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ 1.ที่ดิน 40 ไร่ บน ถ.ธนะรัชต์ ใจกลางเขาใหญ่ และ 2.ที่ดินประมาณ 9 ไร่ บน ถ.ศรีราชา-หนองค้อ ใจกลางศรีราชา มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1,422 ล้านบาท นายปิติย้ำว่า บริษัทไม่ได้ไปบริษัทเดียว แต่เราไปพร้อมกันถึง 4 บริษัท เพื่อร่วมกันสร้างเมือง สร้างความเปลี่ยนแปลง และเติมเต็มทุกความต้องการของพื้นที่เขาใหญ่และศรีราชา เราจะร่วมกันบูรณาการจุดเด่นของแต่ละพื้นที่กับความชำนาญของทั้ง 4 บริษัทเข้าด้วยกัน รังสรรค์เป็นโรงแรม วิลล่า และคอนโดมิเนียม ครบวงจรของการใช้ชีวิตภายในพื้นที่เดียว โดยวัน ออริจิ้น จะเป็นผู้นำทัพในการพัฒนา เนื่องจากการลงทุนโรงแรมทั้ง 2 ทำเลรวมกัน จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 890 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62.6% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด สูงกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ …

พลิกโฉม “เขาใหญ่ – ศรีราชา EEC” ORI โฮมกันกับ ASIAN เฮ็ดแลนด์มาร์กปั้นเมืองใหม่ มูลค่ารวม 1,422 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

ม่วนจอย “ T-POP CAMPUS TOUR 2023 ”  ขนทัพศิลปินทีป๊อปบุกเสิร์ฟความสนุกในรั้วมหาวิทยาลัย

ม่วนจอย “ T-POP CAMPUS TOUR 2023 ”  ขนทัพศิลปินทีป๊อปบุกเสิร์ฟความสนุกในรั้วมหาวิทยาลัย   หลังพ้นช่วงโควิด กระแส T-POP ได้เริ่มกลับมาเป็นที่สนใจ จากคนรุ่นใหม่ อีกครั้ง และกลายเป็นแรงผลักดัน ให้ศิลปินรุ่นใหม่และวงการเพลงกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำการเติบโตของกระแส T-POP จึงได้เริ่มขยายผล เริ่มทยอยขนทัพศิลปินบุกรั้วมหาวิทยาลัย ในงาน ‘Pepsi Present T-POP CAMPUS TOUR 2023’ ซึ่งงานนี้ได้ รวมเหล่าศิลปินมากมาย อาทิ เช่น 4EVE, ATLAS, PROXIE, TIGGER, YOUR MOOD, WHALE & DOLPH, FOOLSTEP รวมถึง THE RICHMAN TOY และคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง DOM, JUSTMINENIKA, VENITA, THI-O & TUTOR พร้อมส่งความสนุกถึงในรั้วมหาวิทยาลัย   สำหรับงาน ‘Pepsi Present T-POP CAMPUS TOUR 2023’ นอกจากจะเป็นงานที่รวมเหล่าศิลปินตัวท็อปของวงการ T-POP แล้ว งานนี้ยังจะได้เห็นความสดใสของศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ที่ได้เตรียมจัดโชว์สุดพิเศษมาให้แฟน ๆ ได้ชมกันอย่างแน่นอน!    โดยประเดิมบุกรั้วที่แรก มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566, ต่อด้วยมหาวิทยาลัยบูรพา วันที่ 21 กรกฎาคม 2566, และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตหาดใหญ่) ในวันที่ 30 สิงหาคม 2566 ปิดท้ายที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในวันที่ 15 กันยายน 2566 มาร่วมสร้างโมเมนต์สุดพิเศษกับบรรยากาศแสนอบอุ่น ไปกับเหล่าศิลปินอย่างใกล้ชิด ที่ยกขบวนไปเสิร์ฟความสุขถึงรั้วมหาวิทยาลัย สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Social Media T-POP Stage ทุกช่องทาง   ซึ่งเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ได้ประเดิมบุกรั้วที่แรก มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นที่แรกร่วมกับ กิจกรรมเปิดโลกทัศน์ ที่จัดโดยองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยภายในงานมีทั้ง – บูธกิจกรรมจากชมรมนักศึกษาและชมรมกีฬามากถึง 49 ชมรม  – บูธจากหน่วยงานต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย – บูธอาหารและเครื่องดื่ม – บูธกิจกรรมสุดพิเศษจาก sponsor  – การแสดง Cover Dance …

ม่วนจอย “ T-POP CAMPUS TOUR 2023 ”  ขนทัพศิลปินทีป๊อปบุกเสิร์ฟความสนุกในรั้วมหาวิทยาลัย อ่านเพิ่มเติม »

เริ่มแล้วเด้อ งานทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษปี 66  23 มิ.ย.-2 ก.ค. 66. ชวนชิมความกรอบนอก นุ่มใน

เริ่มแล้วเด้อ งานทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษปี 66  23 มิ.ย.-2 ก.ค. 66. ชวนชิมความกรอบนอก นุ่มใน   เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่ งานเทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษปี 2566 ชวนนักท่องเที่ยวมาเลือกชิม และซื้อ ทุเรียนภูเขาไฟ GI จากสวนหนึ่งเดียวของไทย เนื้อกรอบนอกนุ่มใน เปรียบดังหัวขบวนรถไฟของดีศรีสะเกษ ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ” ประจำปี 2566 เพื่อสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกร ชาวสวนนำผลผลิตมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภคโดยตรง เป็นการสร้างโอกาสทางการตลาด และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด มีการให้บริการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อนำนักท่องเที่ยวเข้าชมสวนทุเรียน เลือกชิมและเลือกซื้อ ทุเรียนจากสวน ซึ่งทำให้เกิดรายได้ต่อชาวสวน และสร้างรายได้เข้าจังหวัดศรีสะเกษ โดยมี นายสำรวย เกษกุล ผวจ.ศรีสะเกษ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการให้การต้อนรับ   การจัดงานในปี 2566 นี้ ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดที่เปรียบทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษเสมือนหัวขบวนรถไฟที่ลากตู้ขบวนของดีเมืองศรีสะเกษไปสู่ผู้บริโภค จังหวัดศรีสะเกษด้วยความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และชาวจังหวัดศรีสะเกษทุกท่าน จึงได้กำหนดจัดงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ ปี 2566” ในระหว่างวันที่ 23 มิ.ย.-2 ก.ค. 66 รวมระยะเวลาการจัดงานสิ้น 10 วัน โดยภายในงานจะมีการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะทุเรียน และผลไม้อื่นๆ จากกลุ่มแปลงใหญ่และกลุ่มวิสาหกิจชุมชม โดยไม่ต้องกลัวทุเรียนหมดหรือไม่พอขาย นอกจากนี้ยังมีสินค้าเกษตรแปรรูป และผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) ตลอดจนการจัดนิทรรศการของหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ รวมทั้งสิ้นกว่า 200 ร้าน   นอกจากภายในงานแล้วนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดศรีสะเกษ ยังสามารถเดินทางไปยังสวนที่ผลิตทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ ที่ได้มีการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ได้อีกด้วย ขณะที่ทางจังหวัดศรีสะเกษยังได้มีมาตรการป้องปรามทุเรียนด้อยคุณภาพ โดยจังหวัดศรีสะเกษ ได้มีการปล่อยแถวสารวัตรทุเรียน เพื่อให้ผู้บริโภคได้มั่นใจว่าทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ มีคุณภาพได้มาตรฐานทุกลูก ซึ่งหากประชาชนผู้บริโภค ท่านใดพบเห็นร้านมีการจำหน่วยแอบอ้างนำทุเรียนอื่นมาขายโดยอ้างว่าเป็นทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ หรือ จำหน่วยทุเรียนอ่อนให้ สามารถโทร. เข้ามาแจ้ง หรือ ร้องเรียนได้ที่ 1567 สายด่วนร้องเรียน ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งหากสามารถจับกุมผู้ขายได้จะมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดให้ถึงที่สุดทั้งทางแพ่ง และทางอาญา.   อ้างอิงจาก: ไทยรัฐออนไลน์   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ได้ที่  Instagram : https://www.instagram.com/isan.insight.and.outlook/  Website : https://isaninsight.kku.ac.th    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #สินค้าGI #ทุเรียนภูเขาไฟ #ศรีสะเกษ  

ไทวัสดุ เร่งบุกอีสาน ลุยเปิดสาขา “เลย” ตลาดอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้างกำลังมาแฮง

ไทวัสดุ ผู้นำค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ประกาศแผนการขยายสาขาร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในปี 2566 รวมจำนวน 10 สาขา โดยในช่วงครึ่งปีแรกได้มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดในเดือน มิ.ย.นี้ ได้มีการเปิดสาขาใหม่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปักหมุด “จังหวัดเลย” เป็นครั้งแรก สำหรับการเปิดสาขาใหม่ที่”เลย” ถือเป็นสาขาที่ 72 ของบริษัท โดยสาขาแห่งนี้มีขนาดพื้นที่กว่า 16,000 ตร.ม โดยรวบรวมสินค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านแบรนด์ดัง มุ่งนำเสนอราคาเป็นมิตร เพื่อขยายตลาดแก่กลุ่มลูกค้าชาวจังหวัดเลยและจังหวัดใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ “นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่า การขยายสาขาใหม่ของ ร้านไทวัสดุในปีนี้ จำนวน 10 สาขา เน้นสาขา ทั้งรูปแบบมาตรฐาน (Red Format) และแบบไฮบริด ฟอร์แมท (Hybrid Format) ทำเลยุทธศาสตร์จะเป็นตลาดเมืองเมืองท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายว่า ในสิ้นปีนี้ ไทวัสดุ มีสาขารวม 80 สาขาทั่วประเทศ พร้อมประเมินยอดขายรวมในปีนี้จะเติบโต 15% จากปีก่อน ทั้งนี้หากมาประเมินตลาดการค้าปลีกในจังหวัดเลยมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง จากแรงหนุนการเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองที่สำคัญของประเทศไทย ตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ระบุไว้ และเป็นเมืองที่เดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี รวมถึงถูกจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวเชื่อมโยงไปยังประเทศลาว และต่อไปยังจีน ทั้งนี้ ททท. ระบุว่า นักท่องเที่ยวชาวจีน สามารถเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงจากคุณหมิง เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน มายังนครหลวงเวียงจันทน์ สปป. ลาว พร้อมข้ามด่านชายแดนจังหวัดหนองคาย เดินทางเข้าสู่อําเภอปากชม และอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย หรือเลือกผ่านด่านชายแดนท่าลี่ หรือด่านบ้านนากระเซ็งได้เช่นกัน ขณะที่สาขารวมของไทวัสดุในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปัจจุบันมีจำนวน 14 สาขา รวมใน 12 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ สกลนคร ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด มหาสารคาม มุกดาหาร อุดรธานี หนองบัวลำภู นครราชสีมา และล่าสุดที่ จังหวัดเลย โดยจังหวัดที่มีสาขามากสุดคือ นครราชสีมา จำนวน 3 สาขา อ้างอิงจาก: https://www.bangkokbiznews.com/business/1075442 ติดตาม ISAN Insight & Outlook ได้ที่ Instagram : https://www.instagram.com/isan.insight.and.outlook/ Website : https://isaninsight.kku.ac.th …

ไทวัสดุ เร่งบุกอีสาน ลุยเปิดสาขา “เลย” ตลาดอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้างกำลังมาแฮง อ่านเพิ่มเติม »

อีสานสุดปัง “บีโอไอ” เผย 3 เหตุผล ดันอีสาน เป็นเมืองหลวง BCG อาเซียน ไตรมาสแรกปีนี้มียอดขอรับส่งเสริมลงทุนกว่า 3,800 ล้านบาท

นโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่ถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในภาพรวม โดยการขับเคลื่อน “ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค” จะเป็นหนึ่งในกลไกที่จะช่วยกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน รวมทั้ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) หรือ Northeastern Economic Corridor (NeEC) กำหนดพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย และขอนแก่น ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและโอกาสที่จะพัฒนาเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bioeconomy) แห่งใหม่ของประเทศและเป็นผู้นำในระดับอาเซียน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ตลอดห่วงโซ่การผลิต รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) และมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ที่สนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG ทำให้มียอดการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.- มี.ค.) ของปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 24 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 3,800 ล้านบาท โดยการลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร โดยมี 3 เหตุผลที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ ได้แก่ 1.ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ภาคอีสานมีพื้นที่มากที่สุด คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ หรือกว่า 160,000 ตารางกิโลเมตร และมีขนาดประชากรคิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ กว่า 22 ล้านคน ทั้งยังเป็นพื้นที่เพาะปลูกสูงถึง 43% ของประเทศ โดยมีการปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ข้าว และยางพารา ซึ่งวัสดุเหลือใช้จากพืชเหล่านี้ จะกลายเป็นวัตถุดิบล้ำค่าในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ 2. มีความพร้อมพัฒนาต่อยอดงานวิจัย ภาคอีสานเป็นถิ่นกำเนิดของศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาที่มีขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และหน่วยงานวิจัยจำนวนมาก 3.ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ภาคอีสานอยู่ในจุดที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเป็นประตูเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีศักยภาพการเติบโตสูงได้อย่างดี จุดแข็งและสินทรัพย์เหล่านี้ ทำให้ภาคอีสานจะเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญในการดึงดูดการลงทุน และมีบทบาทช่วยขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูปอุตสาหกรรมชีวภาพ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต รวมถึงบทบาทของภาคเอกชนในการร่วมขับเคลื่อนการลงทุน “ด้วยศักยภาพอันโดดเด่นของพื้นที่ NeEC ผนวกกับสิทธิประโยชน์บีโอไอที่มุ่งเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม” โดยบีโอไอมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ ซึ่งจะมีการเชื่อมโยงตั้งแต่วัตถุดิบต้นน้ำโดยเฉพาะวัตถุดิบการเกษตรท้องถิ่น ไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมูลค่าสูง จะส่งผลให้ NeEC สามารถสร้างฐานการลงทุนอุตสาหกรรมชีวภาพแบบครบวงจร หรือไบโอคอมเพล็กซ์ และก้าวไปสู่การเป็นเมืองหลวง BCG (Bio-Circular-Green Industry) ของภูมิภาคอาเซียนได้ในที่สุด อ้างอิงจาก: https://www.bangkokbiznews.com/business/1074037 ติดตาม …

อีสานสุดปัง “บีโอไอ” เผย 3 เหตุผล ดันอีสาน เป็นเมืองหลวง BCG อาเซียน ไตรมาสแรกปีนี้มียอดขอรับส่งเสริมลงทุนกว่า 3,800 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก“ทุเรียนเสิงสาง” ราชาผลไม้ของดีที่คนจีนแห่ซื้อ

พามาฮู้จัก“ทุเรียนเสิงสาง” ราชาผลไม้ของดีที่คนจีนแห่ซื้อ   ขึ้นชื่อว่า “ทุเรียน” ราชาแห่งผลไม้ ที่เชื่อว่าทุกคนต่างชอบทุกเรียน ผลไม้ที่มีเอกลลักษณ์เฉพาะตัว และ 1 ปีก็มีให้หารับประทานเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าปัจจุบันจะมีการทำทุเรียนนอกฤดูกันบ้างแล้วในหลายพื้นที่แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ล่าสุดทุเรียนเสิงสาง ซึ่งกำลังมาแรงและได้รับความนิยมจากกลุ่มคนจีนและคนไทยที่ชื่นชอบรับประทานทุเรียนเป็นอย่างมากจนแทบไม่พอขาย บางต้นมีการลงชื่อจับจองตั้งแต่ทุเรียนยังไม่แก่เลยก็มี สร้างรายได้ให้กับชาวสวนทุเรียนเป็นอย่างมาก   เรามาทำความรู้จักทุเรียนเสิงสางกัน  ทุเรียนเป็นทุเรียนของอำเภอเสิง จ.นครราชสีมา นั้นมีการปลูกมากนานแล้ว เพียงแต่อาจจะรู้จักกันเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ทั้งนี้เอกลักษณ์ที่สำคัญของทุเรียนเสิงสาง คือ เนื้อละเอียดเป็นครีม และกลิ่นไม่แรง แตกต่างจากทางภาคใต้ ภาคตะวันออก เนื่องจากมีกรดกำมะถันน้อย ก่อให้เกิดความร้อนน้อยกว่าทุเรียนทางภาคอื่นๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่รับประทานเข้าไปก็จะมีอาการเรอได้น้อย ทำให้ทุเรียนของอำเภอเสิงสางกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ราคาจำหน่ายทุเรียนเสิงสาง ที่สวน จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 140 บาท   และล่าสุดที่อำเภอเสิงสาง มีเกษตรกรหันมาปลูกทุเรียนเป็นพืชหลักในพื้นที่ 6 ตำบล กำลังให้ผลผลิตออกสู่ท้องตลาดแล้วกว่า 100 ไร่ และขณะนี้ทางอำเภอเตรียมที่จะผลักดันการปลูกทุเรียนให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้นในรูปแบบของเกษตรแปลงใหญ่ ซึ่งคาดการณ์ว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้าทุเรียนเสิงสาง จะสร้างรายได้เข้าพื้นที่ปีละประมาณ 80-100 ล้านบาท   อย่างเช่นที่บ้านดงเย็น ตำบลเสิงสาง อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา สวนทุเรียนของนายธวัชชัย สายทองทิพย์ อายุ 60 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนที่รอเกษียณ ได้ปลูกทุเรียนเอาไว้เป็นจำนวนมาก บนเนื้อที่ 15 ไร่ โดยทำสวนทุเรียนแบบเบญจพรรณหลากหลายสายพันธุ์ และในช่วงนี้ทุเรียนของอำเภอเสิงสางกำลังออกผลผลิตพอดี ทำให้มีเข้ามากว้านซื้อทุเรียนในเขตอำเภอเสิงสางเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันอำเภอเสิงสางมีพื้นที่ปลูกทุเรียนไม่ต่ำกว่า 2,000 ไร่   ซึ่งปีนี้อากาศค่อนข้างร้อนจัด ทำให้ทุเรียนไม่ค่อยติดผล จึงมีผลผลิตออกสู่ท้องตลาดไม่มากและยิ่งประเทศจีนมีความต้องการทุเรียนไทยสูง ราคาจำหน่ายจึงค่อนข้างสูงตามไปด้วย ซึ่งล่าสุดเข้ามาติดต่อขอซื้อทุเรียนไปแล้ว ชุดแรกเกือบ 1 ตัน สร้างรายได้ให้อย่างงดงาม แต่ทางสวนก็ยังเหลือทุเรียนไว้อีก 1 ชุด เพื่อเอาไว้ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สนใจอยากชิมทุเรียนเสิงสางได้มาชิมลิ้มลองกันอีกด้วย   ทางด้าน นางอมรรัตน์ ขอนพุทรา เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรของสำนักงานเกษตรอำเภอเสิงสาง ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรในพื้นที่ปรับเปลี่ยนชนิดพืชที่จะนำมาปลูก ซึ่งเดิมเกษตรกรเคยปลูกแต่มันสำปะหลัง และเมื่อประสบปัญหาเรื่องโรคใบด่างระบาด เกษตรกรส่วนใหญ่จึงเริ่มหันมาปลูกทุเรียนในไร่มันสำปะหลังเพิ่มเติม จนปัจจุบันนี้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว    ทั้งนี้ สำนักงานเกษตรอำเภอเสิงสางได้จัดการอบรมให้ความรู้ในเรื่องการตัดทุเรียนด้วย โดยกำชับทุกสวนที่จะตัดทุเรียนไปจำหน่าย ให้ตัดเฉพาะที่แก่จัดเท่านั้นเพื่อตัดปัญหาการร้องเรียนเรื่องทุเรียนอ่อน รับประทานไม่ได้ ถือเป็นการรักษาคุณภาพมาตรฐานทุเรียนเสิงสางเอาไว้ด้วย   อ้างอิงจาก:  ฐานเศรษฐกิจ, ผู้จัดการออนไลน์   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ได้ที่  Instagram : https://www.instagram.com/isan.insight.and.outlook/  Website : https://isaninsight.kku.ac.th    #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #ทุเรียน #ทุเรียนไทย #ทุเรียนเสิงสาง

Scroll to Top