Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

โคราช แดน วีรสตรีแห่ง “สุรา” สู่ถิ่นธุรกิจผลิตไวน์ สุรา แห่งอีสาน

‘สุรา’ ทั้งในรูปแบบกลุ่นและหมัก ในภาคอีสานมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เริ่มต้นจากการนำเอาข้าวเหนียวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวอีสานมาหมักและกลั่นเป็นสุรา ในอดีตชาวบ้านจะทำสุรากลั่นใช้ในครัวเรือนเอง โดยเฉพาะในช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าวที่มีข้าวเหลือใช้มาก หรือข้าวที่มีคุณภาพไม่ดีพอสำหรับการบริโภค บทบาทของสุราในภาคอีสาน ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มที่ใช้เพื่อความมึนเมา แต่สุรากลั่นมีบทบาทสำคัญในงานบุญและประเพณีต่างๆ ของชาวอีสาน เช่น งานบุญผะเหวด งานบุญข้าวจี่ งานบุญบั้งไฟ โดยจะใช้เป็นเครื่องไหว้เจ้าที่ ผีปู่ย่า และเป็นเครื่องดื่มในการสังสรรค์ การเสิร์ฟสุรากลั่นให้แขกที่มาเยือนเป็นการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความจริงใจของเจ้าบ้าน ถือเป็นมารยาทที่ดีในวัฒนธรรมอีสาน    ความรู้เรื่องกรรมวิธีการทำสุราได้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยผู้สูงอายุจะสอนให้ลูกหลานได้เรียนรู้เทคนิคและวิธีการที่เป็นความลับของแต่ละท้องถิ่น ทำให้เกิดความหลากหลายในรสชาติและวิธีการผลิตในแต่ละพื้นที่ ซึ่งความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมเหล่านี้ ได้ผนวกรวมกับความรู้และนวัตกรรมสมัยใหม่ ต่อยอดเป็นธุรกิจการผลิตสุราในท้องถิ่น ที่ไม่เพียงสะท้อนวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชุมชน แต่ยังมีศักยภาพในการสร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก   โคราช แหล่งธุรกิจผลิตสุราและไวน์แห่งอีสาน โคราช ดินแดน ย่าโม ท้าวสุรนารี วีรสตรีที่สร้างชัยชนะด้วย “สุรา” พื้นที่แห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งอารยธรรมและมี สาโท ที่เป็นสุราท้องถิ่นที่โด่งดังมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันในภาคอีสานมีธุรกิจผลิตสุรากลั่นและไวน์ ทั้งรายใหญ่และรายย่อยรวมกัน 137 ราย มีรายได้รวมกว่า 14,000 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีธุรกิจประเภทผลิตสุรากลั่นและไวน์มากที่สุดในอีสาน ได้แก่ นครราชสีมา หรือ โคราช โดยมีนิติบุคคลจดทะเบียนทั้งสิ้น 33 ราย รองลงมาคือ กาฬสินธุ์ 18 ราย โดยธุรกิจผลิตสุรากลั่นและไวน์ในโคราช ล้วนปล้วเป็นเป็นธุรกิจรายย่อยที่ไม่ใช่โรงงานผลิตของบริษัทใหญ่   โดยนิติบุคคลในธุรกิจผลิตสุรากลั่นและไวน์ ของโคราชมีรายได้รวมกันกว่า 250 ล้านบาท โดย 3 อันดับนิติบุคคลที่มีรายได้มากที่สุด ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สัมฤทธิ์มั่นคง ทุนจดทะเบียน: 400,000 บาท (2 กรกฎาคม 2545) รายได้รวม: 66,766,721.71 บาท เป็นนิติบุคคลที่ผลิตสุราประเภทสุราแช่มากว่า 20 ปี โดยมีสินค้าหลักคือ “สาโทสยาม” ซึ่งผลิตมาจากการหมักข้าวเหนียว ซึ่งเป็นวัตถุดิบท้องถิ่น @ploy.chompu_ สาโทสยาม #สุราไทย #สุราก้าวไกล ♬ เจ็บเมื่อไหร่ KRIST – RISER MUSIC บริษัท อโศกวัลเล่ย์ ไวน์เนอร์รี่ จำกัด ทุนจดทะเบียน: 5,000,000 บาท (5 พฤศจิกายน 2551) รายได้รวม: 57,435,961.47 บาท เป็นธุรกิจผลิตไวน์องุ่นรายใหญ่ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ อ.ปากช่อง ตัวอย่างสินค้า เช่น ไวน์แบรนด์ “GranMonte” นอกจากนั้นยังมีไร่องุ่นและร้านอาหารที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ห้างหุ้นส่วน อังคณาเทรดดิ้ง จำกัด  ทุนจดทะเบียน: 5,000,000 บาท (5 พฤศจิกายน 2551) รายได้รวม: […]

โคราช แดน วีรสตรีแห่ง “สุรา” สู่ถิ่นธุรกิจผลิตไวน์ สุรา แห่งอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

ปอยเปต ประตูชายแดนกัมพูชา เศรษฐกิจของเมืองที่โตจาก “ด่าน” มากกว่า “ดิน”

ส่องซอด ปอยเปต เมืองชายแดนของกัมพูชา ตรงข้ามกับอรัญประเทศของไทย ที่เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดจากการดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะผ่านธุรกิจกาสิโน จนถูกขนานนามว่าเป็น “นครแห่งธุรกิจสีเทา” ทั้งยังเป็นจุดผ่านแดนสำคัญ ที่มีมูลค่าการค้าคิดเป็นกว่า 63.4% ของการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาทั้งหมด แต่ใครจะรู้—ความรุ่งเรืองที่ผูกอยู่กับ “ด่าน” อาจกลายเป็นความเปราะบางที่ย้อนกลับมาเป็นจุดอ่อนของเมืองในระยะยาว . ปอยเปต เป็นเมืองชายแดนของกัมพูชา ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย อยู่ติดกับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ของไทย เมืองนี้มีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในจุดผ่านแดนที่มีการสัญจรของผู้คนและการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชามากที่สุด อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของแหล่งกาสิโนขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนไทยมากที่สุดแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ปอยเปตยังเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศสูงอย่างน่าจับตามอง ในอดีต ปอยเปตเป็นเพียงพื้นที่ป่ากว้าง มีประชากรบางส่วนใช้พื้นที่เพาะปลูกเพื่อยังชีพ และยังเคยผ่านการเปลี่ยนแปลงอำนาจอาณานิคมหลายครั้ง ตั้งแต่การอยู่ภายใต้สยาม การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส จนถึงการประกาศเอกราชของกัมพูชา หากจะเข้าใจการเติบโตทางเศรษฐกิจของปอยเปต เมืองชายแดนห่างไกลจากเมืองหลวง จำเป็นต้องย้อนกลับไปถึงแนวคิดของรัฐบาลกัมพูชาในการหารายได้จากกิจการกาสิโนซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการดัดแปลงสถานพักผ่อนยุคอาณานิคมฝรั่งเศสให้กลายเป็นรีสอร์ทและคาสิโน เพื่อใช้เป็นแหล่งรายได้ของรัฐ อย่างไรก็ตาม รายได้จากกาสิโนเพียงแห่งเดียวยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ รัฐบาลกัมพูชาจึงดำเนินกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์การค้า โรงแรม และกาสิโน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา พร้อมได้รับใบอนุญาตดำเนินกิจการกาสิโน โดยเฉพาะในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศ แต่การขยายตัวของกาสิโนในพนมเปญ ทั้งที่ถูกกฎหมายและลักลอบเปิด ดันให้เกิดปัญหาสังคมอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรม พฤติกรรมติดการพนัน และการขยายตัวของเศรษฐกิจสีเทา จนในปี พ.ศ. 2541 นายกรัฐมนตรีฮุน เซน สั่งกวาดล้างคาสิโนผิดกฎหมาย และห้ามเปิดกาสิโนในรัศมี 200 กิโลเมตรจากเมืองหลวง คำสั่งดังกล่าวทำให้ธุรกิจกาสิโนส่วนใหญ่ต้องย้ายออกจากพนมเปญ โดยพื้นที่ชายแดน เช่น ปอยเปตและบาเวต กลายเป็นปลายทางใหม่ที่ได้รับอานิสงส์จากข้อจำกัดเชิงภูมิศาสตร์และกฎหมาย เมืองชายแดนเหล่านี้สามารถดึงดูดรายได้จากนักท่องเที่ยวและนักพนันต่างชาติได้อย่างมหาศาล . เศรษฐกิจปอยเปต: เติบโตจากด่าน มากกว่าดิน การเข้ามาของกาสิโนในปอยเปตส่งผลให้เมืองมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ นักท่องเที่ยวและนักเสี่ยงโชคจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ส่งผลให้ธุรกิจในพื้นที่เฟื่องฟู ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม ศูนย์การค้า และกาสิโนที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ส่วนใหญ่ดำเนินกิจการโดยนักการเมือง นักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพล หรือแม้แต่บุคคลในภาครัฐเอง ปรากฏการณ์นี้ก่อให้เกิดคำถามจากประชาชนว่า ปอยเปตสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศและประชาชนทั่วไปจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแหล่งรายได้ของกลุ่มทุนรายใหญ่ที่ดูดเงินและทรัพยากรจากพื้นที่โดยไม่กระจายผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม และนอกจากนี้ ปอยเปตยังถูกจับตาว่าเป็นแหล่งกบดานของอาชญากรรมไซเบอร์ ฟอกเงิน และทุนจีนสีเทา ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองกลายเป็น “เมืองสีเทา” ที่พึ่งพารายได้จากธุรกิจผิดกฎหมายและการพนันเป็นหลัก ที่มา: กรมการค้าต่างประเทศ การเติบโตของปอยเปตได้กลายเป็นแรงผลักสำคัญต่อการค้าชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชา ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ (ม.ค.–พ.ค. 2567) ระบุว่า มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชากว่าครึ่ง (80,723 ล้านบาท หรือ 48.3%) เกิดขึ้นผ่านเส้นทางชายแดน โดยเฉพาะด่านปอยเปต–อรัญประเทศซึ่งมีสัดส่วนถึง 63.4% ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมด นอกจากนี้ ปอยเปตยังเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ภายใต้โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Poipet SEZ) ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักของรัฐบาลกัมพูชาในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป บรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และสายไฟ โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้า ต้นทุนแรงงานต่ำและแรงงานจำนวนมาก ส่งผลให้ประเทศอย่างจีน เวียดนาม มาเลเซีย

ปอยเปต ประตูชายแดนกัมพูชา เศรษฐกิจของเมืองที่โตจาก “ด่าน” มากกว่า “ดิน” อ่านเพิ่มเติม »

งานบุญแห่ ผีตาโขน หน้ากากผีเอกลักษณ์ สะท้อนความเชื่อท่องถิ่น บินไกลสู่สากล

1.ประเพณีเดือน 7 : ประเพณีการละเล่นผีตาโขนในงานบุญหลวง จังหวัดเลย ผีตาโขน เป็นคำเรียกชื่อการละเล่นชนิดหนึ่งที่ผู้เล่นต้องสวมหน้ากากที่วาดหรือแต้มให้น่ากลัวแต่งกายด้วยชุดทำจากเศษผ้านำมาเย็บติดกัน ซึ่งจะเข้าร่วมขบวนแห่และมีการแสดงท่าทางต่าง ๆ เพื่อสร้างความตื่นเต้น สนุกสนาน รื่นเริง ในระหว่างที่มีงานบุญประเพณีใหญ่หรือที่เรียกว่า “งานบุญหลวง” หรือ “บุญผะเหวด” ซึ่งตรงกับเดือน 7เป็นการละเล่นที่มีเฉพาะในท้องที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ว่ากันว่าการแห่ผีตาโขนเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและนางมัทรีจะเดินทางออกจากป่ากลับสู่เมือง บรรดา ผีป่าหลายตน และสัตว์นานาชนิดอาลัยรักจึงพาแห่แหนแฝงตัวแฝงตน มากับชาวบ้านเพื่อมาส่งทั้งสอง พระองค์ กลับ เมือง “ผีตามคน” หรือ “ผีตาขน” จนกลายมาเป็น “ผีตาโขน” อย่างในปัจจุบัน Chaikom / Shutterstock.com . จังหวัดเลย อำเภอด่านซ้าย ณ ที่แห่งนี้ได้มีการกำเนิดประเพณีที่มีต้นกำเนิดมาจากเวสสันดรชาดก พระชาติที่ 10 ที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้า หรือ ตำนานผีตามคนนั่นเอง โดยในปีนี้ประเพณีผีตาโขน จะถูกจัดขึ้นที่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย วันที่ 28-30 มิถุนายน ปี 2568 ภายในงานปีนี้ก็จะมีกิจกรรมมากมายตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น วันโฮม,ขบวนแห่,สู่ขวัญเจ้าพ่อกวน และ เจ้าแม่นางเทียม,มีพิธีจุดบั้งไฟขอฝนอีกด้วย และยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายภายในงาน ภาพจาก:ด่านซ้ายไทเลย งานประเพณีบุญหลวง และงานผีตาโขน จะมีหลักๆ 3 วันด้วยกันคือ วันที่ 1 เป็น เทศกาลผีตาโขน ซึ่งเรียกวันนี้ว่า วันรวม หรือ วันโฮม จะมี พิธีเบิกพระอุปคุต พิธีการบวชพราหมณ์ เพื่อเชิญพระอุปคุต พิธีแห่จากวัดโพนชัย ไปริมฝั่งแผ่น้ำหมันเพื่อเชิญพระอุปคุต พิธีงมพระอุปคุตจากแม่น้ำหมันอัญเชิญขึ้นประดิษฐานหออุปคุต วัดโพนชัย พิธีเบิกพระอุปคุต พร้อมยิงปืนทั้ง 4 ทิศ พิธีบายศรีสู่ขวัญเจ้าพ่อกวนและเจ้าแม่นางเทียม วันที่ 2 เป็น วันแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง หรือ ขบวนแห่ผีตาโขน พิธีสู่ขวัญพระเวส อัญเชิญพระเวสเข้าเมือง ขบวนแห่พระเวสเข้าเมือง (ขบวนแห่ผีตาโขน) เจ้าพ่อกวนและคณะ นำขบวนแห่ไปวัดโพนชัยแห่รอบโบสถ์ 3 รอบ เจ้าพ่อกวนและคณะจุดบั้งไฟขอฝน คณะผู้เล่นบุญนำหน้ากากผีตาโขนน้อยและผีตาโขนใหญ่ทิ้งลงแม่น้ำหมัน วันที่ 3 เป็น วันฟังเทศน์มหาชาติ 13 กัณฑ์ พิธีสวดมาลัยหมื่นมาลัยแสน ในการฟังเทศมหาชาติ พิธีสวดชำฮะเพื่อขอขมาลาโทษสะเดาะเคราะห์รับโชค นำอาหารหวานใส่กระทง เพื่อให้ทานสะเดาะเคราะห์ และสืบชะตาบ้านเมือง พ่อแสนท้าพิธี “จำเนื้อจำคิง” เพื่อการสะเดาะเคราะห์ นำเครื่องสะเดาะเคราะห์ทิ้งลงแม่น้ำหมัน พิธีคารวะองค์องค์พระใหญ่ โดยเจ้าพ่อกวนและคณะ เป็นอันเสร็จพิธี และประเพณียังคงมีความเชื่อกันว่า สำหรับคนที่เล่นหรือมีการแต่งตัวเป็น ผีตาโขนใหญ่ ต้องถอดเครื่องแต่งกายผีตาโขนใหญ่ออกให้หมดและนำไปทิ้งในแม่น้ำหมัน ห้ามนำเข้าบ้าน เป็นการทิ้งความทุกข์ยากและสิ่งเลวร้ายไปอีกด้วย 2.หนึ่งเดียวในภาคอีสาน ผีตาโขนของชาวไท-เลย ทำไมประเพณีผีตาโขนจึงมีเพียงที่เดียวในภาคอีสาน และพบเฉพาะในจังหวัดเลย? คำตอบอยู่ที่ความเชื่อที่ฝังแน่นในวิถีชีวิตของชาวไท–เลย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ไท–ลาวในอำเภอด่านซ้าย ซึ่งมีความเชื่อแบบ พุทธผสมอนิมิสต์ หรือศรัทธาที่ผสานระหว่างพุทธศาสนาและความเชื่อพื้นบ้านที่เชื่อว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา

งานบุญแห่ ผีตาโขน หน้ากากผีเอกลักษณ์ สะท้อนความเชื่อท่องถิ่น บินไกลสู่สากล อ่านเพิ่มเติม »

ศักยภาพมุกดาหาร ด่านโตแสนล้าน แต่เศรษฐกิจ(อาจโต)ไม่ถึงมือประชาชน

1.ศักยภาพของจังหวัดชายแดนขนาดเล็ก อย่างที่เรารู้กันจังหวัดมุกดาหารไม่ได้เป็นจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่มากนัก รวมไปถึงจำนวนประชากรที่ก็ไม่ได้เยอะมากด้วย เช่นกัน ถึงแม้ว่าจังหวัดมุกดาหารจะมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กก็ตามแต่มุกดาหารยังมีศักยภาพที่สามารถทำให้มุกดาหารนั้นเติบโตขึ้นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นภาคการบริการ และ ภาคการเกษตร ที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆของจังหวัด และ รวมไปถึงการค้าระหว่างชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง สปป ลาว ทำให้เศรษฐกิจภาคบริการ และ การค้าระหว่างประเทศของจังหวัดมุกดาหารมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีที่ผ่าน มูลค่าการค้าชายแดนในปีที่ผ่านมามีมูลค่าอยู่ที่ 286,775 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าโตขึ้นมาจากปี 66 อยู่ที่ 10.13% สินค้าหลักในการส่งออกนั่นคือน้ํามันดีเซล,น้ำมันสําเร็จรูปอื่นๆ และ น้ำตาลทรายขาว และ ด้วยความที่เป็นจังหวัดชายแดนตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงตรงข้ามกับแขวงสะหวันนะเขตของประเทศลาวนั่นทำให้มุกดาหารเป็น ด่านส่งออก และ นำเข้าสินค้าสำคัญจาก ไทย-จีน เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีเส้นทางถนนเชื่อมต่อได้ยาวถึงประเทศจีน สินค้าที่ขนมาทางรถส่วนหนึ่งก็จะมาเส้นทางนี้ และกระจายต่อไปยัง จ.ขอนแก่นโดยเส้นทางที่ผ่านด่านมุกดาหารนั่นคือเส้นทางสาย R9 ที่เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการค้าระหว่างไทย – จีน โดยแบ่งเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 : ด่านมุกดาหาร (ประเทศไทย) –> ด่านสะหวันนะเขต     (สปป.ลาว) –> ด่านลาวบาว (ประเทศเวียดนาม) –> กรุงฮานอย (ประเทศเวียดนาม) –> ด่านหูหงิ (ประเทศเวียดนาม) –> ด่านโหยวอี้กวน เมืองผิงเสียง (ประเทศจีน) –> นครหนานหนิง  เขตปกครองตนเองกว่างสีจ้วง (ประเทศจีน) ด้วยระยะทางรวมประมาณ 1,590 กิโลเมตร การพัฒนาเส้นทาง R9 เส้นทางที่ 1 นี้ได้ช่วยลดระยะเวลาการขนส่งเมื่อเทียบกับการขนส่งสินค้าไทยทางเรือ ยกตัวอย่าง การขนส่งผลไม้ของไทยไปยังประเทศจีนก่อนหน้านี้ใช้เวลาประมาณ 7-8 วัน แต่การขนส่งทางผ่านเส้นทาง R9 ทำให้ระยะเวลาการขนส่งสั้นลงเหลือเพียง 2-3 วัน ซึ่งมีความสำคัญต่อธุรกิจการส่งออกผลไม้เป็นอย่างมาก เนื่องจากระยะเวลาขนส่งมีผลต่ออายุและการรักษาความสดของผลไม้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เส้นทางที่ 2 : ด่านมุกดาหาร (ประเทศไทย) –> ด่านสะหวันนะเขต (สปป.ลาว) –> ด่านลาวบาว (ประเทศเวียดนาม) –> ด่านหม่องก๋อย (ประเทศเวียดนาม) –> ด่านตงชิง (เมืองฝางเชิงก่าง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ประเทศจีน) ที่เป็นเส้นทางใหม่ในการขนส่งผลไม้ไทยสู่จีน หลังจากนั้น จะไปสิ้นสุดที่นครหนางหนิงเพื่อกระจายสินค้าไปยังมณฑลฝูเจี้ยน มณฑลกวางตุ้ง มณฑลหูหนาน กรุงปักกิ่ง และนครเซี่ยงไฮ้ เส้นทาง R9 นั้นเป็นเส้นทางการส่งโดยรถยนต์ซึ่งนอกเหนือจากเส้นทางนี้ จะมีรถไฟรางคู่สายบ้านไผ่-นครพนมที่จะมาเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของการขนส่งสินค้า และ การเดินทางของนักท่องเที่ยวหรือผู้คนในพื้นที่ ซึ่งเส้นทางรถไฟรางคู่นี้จะเล็งตัดถนนเส้นใหม่ ระยะทาง 14 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมโยงระบบราง และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 มุกดาหาร-สะหวันนะเขต

ศักยภาพมุกดาหาร ด่านโตแสนล้าน แต่เศรษฐกิจ(อาจโต)ไม่ถึงมือประชาชน อ่านเพิ่มเติม »

🇹🇭โต 3% แทบไม่มีหวัง🌏World Bank หั่นไทยเหลือ 1.8% ปี 2025 โตต่ำสุดในอาเซียน เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย(เชิงเทคนิค)📉

ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (economic recession) หรือนิยมเรียกย่อ ๆ ว่า recession มีหลายนิยามแตกต่างกัน หากยึดตามนิยามของ NBER[1] คือ ภาวะการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ กินเวลายาวนานหลายเดือน และดูตัวชี้วัดหลายตัวร่วมด้วย ได้แก่ (1) รายได้ของบุคคลหักด้วยรายจ่าย (2) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payrolls) (3) ตัวเลขการจ้างงานของครัวเรือน (4) รายจ่ายเพื่อการบริโภค (5) ยอดขายสินค้า และ (6) การผลิตในภาคอุตสาหกรรม ส่วนภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (technical recession) คือ ภาวะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ติดลบติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนวัฏจักรเศรษฐกิจโดยรวม แต่เรามักได้ยินสำนักข่าวใช้ในการรายงานข่าว เพราะดูจากแค่จีดีพีอย่างเดียว ซึ่งสามารถหาได้ง่ายและรวดเร็ว   ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia and Pacific: EAP) ในปี 2025 จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงเหลือ 4.5% จาก 5% ในปี 2024 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบทางตรงของมาตรการกีดกันทางการค้า และผลกระทบทางอ้อมจากความไม่แน่นอนเชิงนโยบายที่เพิ่มสูงขึ้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความเชื่อมั่นที่อ่อนแรงลง ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการลงทุน การส่งออก และการบริโภคในประเทศต่าง ๆ ของภูมิภาค โดยธนาคารโลกได้มีการปรับคาดการณ์ของประเทศไทยลงเหลือ 1.8% ลดลง -1.1% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงกัน  สรุปตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี 2025 ในกลุ่มอาเซียน โดย World Bank จากรายงาน Global Economic Prospects, June 2025 ของ World Bank ภาพแสดงการคาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP ในกลุ่มประเทศอาเซียนปี 2025 โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้: ภาพรวมการเติบโต: เวียดนาม คาดการณ์การเติบโตสูงสุดที่ 5.8% แม้จะมีการปรับลดลงเล็กน้อยจากประมาณการเดือนเมษายน 2025 ที่ -0.8% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่ยังคงโดดเด่น ฟิลิปปินส์ คาดการณ์การเติบโต 5.3% โดยมีการปรับลดลง -0.8% อินโดนีเซีย คาดการณ์การเติบโต 4.7% โดยมีการปรับลดลง -0.4% กัมพูชา คาดการณ์การเติบโต 4.0% โดยมีการปรับลดลง -1.5% ซึ่งเป็นการปรับลดที่มากที่สุดในกลุ่มนี้ มาเลเซีย คาดการณ์การเติบโต 3.9% โดยมีการปรับลดลง -0.6% ลาว คาดการณ์การเติบโต 3.5%

🇹🇭โต 3% แทบไม่มีหวัง🌏World Bank หั่นไทยเหลือ 1.8% ปี 2025 โตต่ำสุดในอาเซียน เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย(เชิงเทคนิค)📉 อ่านเพิ่มเติม »

อีก 3 ปี หากไม่แก้ รักษาฟรีอาจไม่มี บัตรทอง ระเบิดต้นทุนโรงพยาบาลที่รอวันปะทุ เปิด 4 ปัจจัยทำไมโรงพยาบาลรัฐถึงขาดทุน

บัตรทอง⌛ระเบิดเวลา อีก 3 ปี หากไม่แก้ รักษาฟรีอาจไม่มี❗สปสช.วางแผนรับมือ เตรียมตั้ง คกก.กลางศึกษาต้นทุนโรงพยาบาล เหตุโรงพยาบาลทั่วไทย🏥ขาดสภาพคล่อง 901 แห่ง 5.1 หมื่นล้าน และ ขาดทุนอีก 183 แห่ง 4.3 พันล้าน เฉพาะ Top10 ร.พ.ขาดทุน มาจากภาคอีสาน 4 ใน 10 [4 ปัจจัยทำไมโรงพยาบาลรัฐถึง(เงินสมทบติดลบ)ขาดทุน❓] โรงพยาบาลรัฐในประเทศไทยประสบปัญหาหนี้สะสมและขาดทุนจากหลายสาเหตุที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน โดยหลักๆ มาจากความไม่สมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย รวมถึงโครงสร้างระบบสาธารณสุขในปัจจุบัน ปัจจัยสำคัญมีดังนี้: . 1. รายรับไม่เพียงพอต่อต้นทุนที่แท้จริง:💸 ▪️งบเหมาจ่ายรายหัว (บัตรทอง/หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า) ต่ำกว่าต้นทุน: ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีการจัดสรรงบประมาณแบบเหมาจ่ายรายหัวให้กับโรงพยาบาล ซึ่งมักจะต่ำกว่าต้นทุนจริงในการให้บริการ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่ซับซ้อนหรือโรคเรื้อรัง ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนจากการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ ▪️การหักเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่าย: เดิมมีการหักเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่ายรายหัวที่จัดสรรให้โรงพยาบาล ซึ่งทำให้โรงพยาบาลมีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ลดลง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีบุคลากรจำนวนมาก ▪️การเคลมค่าบริการต่ำกว่าความเป็นจริง: บางครั้งการเคลมค่าบริการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบการจ่ายเงิน (เช่น สปสช.) ไม่ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด หรือมีการจ่ายล่าช้า ทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระทางการเงิน ▪️การรักษาผู้ป่วยต่างด้าว: โรงพยาบาลรัฐจำนวนมากต้องให้การรักษาผู้ป่วยต่างด้าวโดยไม่ได้มีการชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพียงพอ ทำให้เกิดหนี้ค้างชำระ . 2. ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น:💊 ▪️ค่าวัสดุทางการแพทย์และค่ายาที่เพิ่มขึ้น: ราคาของยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ค่าชดเชยที่ได้รับอาจไม่ปรับเพิ่มตาม ▪️การรักษาที่ซับซ้อนและทันสมัยขึ้น: เมื่อวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น การวินิจฉัยและการรักษามีความซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น ▪️ค่าตอบแทนบุคลากรที่ไม่สอดคล้อง: แม้บุคลากรทางการแพทย์จะทำงานหนัก แต่ค่าตอบแทนอาจไม่จูงใจเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับภาระงานและความรับผิดชอบ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนบุคลากรและอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว ▪️ภาระงานที่หนักเกินไป: จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลรัฐมีภาระงานล้นมือ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนแฝง เช่น ค่าล่วงเวลา หรือการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ . 3. ปัญหาเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการ:🏦 ▪️ข้อจำกัดด้านงบประมาณภาครัฐ: รัฐบาลมีงบประมาณจำกัดในการจัดสรรให้กับระบบสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาลไม่ได้รับงบประมาณที่เพียงพอต่อการดำเนินงานและพัฒนา ▪️การบริหารจัดการที่ไม่ยืดหยุ่น: โรงพยาบาลรัฐบางแห่งอาจมีข้อจำกัดในการบริหารจัดการงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้ไม่สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ▪️การขาดประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้: โรงพยาบาลอาจมีปัญหาในการจัดเก็บรายได้จากผู้ป่วยบางกลุ่ม หรือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง . 4. ผลกระทบที่ตามมา:🧑‍⚕️ ▪️โรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง: เมื่อรายจ่ายสูงกว่ารายรับต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่มีเงินเพียงพอในการชำระหนี้ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ หรือค่าสาธารณูปโภค ▪️คุณภาพบริการอาจได้รับผลกระทบ: เมื่อโรงพยาบาลประสบปัญหาการเงิน อาจส่งผลต่อการจัดซื้อยาและอุปกรณ์ที่จำเป็น หรือการพัฒนาบุคลากร ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการรักษาพยาบาล ▪️บุคลากรหมดกำลังใจ: การทำงานภายใต้ภาวะขาดแคลนทรัพยากรและภาระงานที่หนัก อาจทำให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดภาวะหมดกำลังใจและลาออก . 🏥โดยสรุปแล้ว ปัญหาหนี้สะสมและการขาดทุนของโรงพยาบาลรัฐเป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งเรื่องของโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณ ต้นทุนที่สูงขึ้น และการบริหารจัดการ ซึ่งต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาเชิงระบบจากภาครัฐอย่างจริงจังและต่อเนื่อง   จริงๆ ตอนนี้ทาง สปสช. เตรียมตั้ง คณะกรรมการกลาง ศึกษาต้นทุนโรงพยาบาล เพื่อหาต้นทุนกำหนดปัญหา#พร้อมย้ำไม่ล่ม . รวมทั้งศึกษาแนวโน้มความเป็นไปได้ต่างๆ

อีก 3 ปี หากไม่แก้ รักษาฟรีอาจไม่มี บัตรทอง ระเบิดต้นทุนโรงพยาบาลที่รอวันปะทุ เปิด 4 ปัจจัยทำไมโรงพยาบาลรัฐถึงขาดทุน อ่านเพิ่มเติม »

ท่องเที่ยวไทย จีนไป เมกา มา อีสานไม่กระทบ สหรัฐฯ ยกไทยสู่ประเทศ ‘ปลอดภัยระดับ 1’ ในวันที่ชาวจีนไม่กล้าเที่ยวไทย

ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนลดลงจากความกังวลเรื่องความปลอดภัย(จากจีนเทา) สหรัฐฯ ยกไทยสู่ประเทศ ‘ปลอดภัยระดับ 1’ เทียบเท่า ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และสิงคโปร์ สร้างแรงหนุนความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวโลก ในปี 2568 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยลดลงราว -46.1% ต่อเดือนตลอดช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วงต้นปีลดลงไปประมาณ 1 ล้านคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นอัตราลดลงที่ -32.7% นักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นกลุ่มหลักที่ประเทศไทยพึ่งพาในภาคการท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนแต่ละคนมักใช้เวลาเที่ยวเฉลี่ย 5 – 7 วันต่อทริป และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 25,000 – 50,000 บาทต่อคน หรือประมาณวันละ 6,118 บาท แม้ว่าจะไม่สูงเท่านักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลางก็ตาม ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 63,000 – 94,000 ต่อทริป ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นซึ่งอยู่ที่ราว 4,077 บาทต่อวัน ดังนั้น ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงและมูลค่าการใช้จ่ายที่สูงนั้นส่งผลให้การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศ และเศรษฐกิจในพื้นที่ยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวจีนมักเดินทางไปเยือน ภาพที่ 1 จำนวนนักท่องเที่ยว 5 เดือนแรกของไทยแบ่งตามสัญชาติ 10 อันดับแรก ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากรายงานของ KKP Research พบว่า ชาวจีนกว่า 50% มองว่าไทยไม่ปลอดภัย เพิ่มขึ้นจาก 38% ในปีก่อน ปัจจัยที่ส่งผลต่อทัศนคตินี้รวมถึงกรณีข่าวลักพาตัวชาวจีน การปราบปรามธุรกิจสีเทา และเหตุการณ์ภัยพิบัติในไทยที่ถูกขยายผ่านสื่อจีน โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้เป็นพิเศษมากกว่าผู้ที่เดินทางกับกรุ๊ปทัวร์ อีกทั้ง ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในจีน ทำให้ชาวจีนมีแนวโน้มใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนเองก็ผลักดันนโยบาย “เที่ยวในประเทศ” เพื่อลดการไหลออกของเงินตราและกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ทำให้การเดินทางออกนอกประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่กลับมาสูงถึง 93.6% ของระดับก่อนโควิดแล้ว นอกจากนี้ยังรายงานอีกว่า นักท่องเที่ยวจีนในปัจจุบันเลือกเดินทางด้วยตนเองมากขึ้น แทนการมาแบบกรุ๊ปทัวร์เหมือนในอดีต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อรูปแบบการใช้จ่าย ความคาดหวัง และประสบการณ์ที่ต้องการในต่างประเทศ โดยกลุ่ม FIT มักให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์เฉพาะตัว มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว ทั้งยังมีแนวโน้มเที่ยวซ้ำเฉพาะพื้นที่ที่ชอบ ทำให้การตัดสินใจมาเที่ยวประเทศเดิมซ้ำต้องใช้เวลาพิจารณามากขึ้น อย่างไรก็ดี แม้การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนจะกระทบต่อภาพรวมรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ก็มีสัญญาณบวกจากนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับคำแนะนำการเดินทาง (Travel Advisories) ของประเทศไทยเป็นระดับ 1 (Level 1: Exercise Normal Precautions) ให้ใช้ความระมัดระวังตามปกติในการเดินทางในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่ยังคงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยมีเพียงพื้นที่บริเวณ 4 จังหวัดในภาคใต้ที่ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเดินทางไป ได้แก่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา เนื่องจากความไม่สงบจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในพื้นที่ นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์

ท่องเที่ยวไทย จีนไป เมกา มา อีสานไม่กระทบ สหรัฐฯ ยกไทยสู่ประเทศ ‘ปลอดภัยระดับ 1’ ในวันที่ชาวจีนไม่กล้าเที่ยวไทย อ่านเพิ่มเติม »

Cambodia อาจเป็น (S)cambodia เมื่ออุตสาหกรรม Scam มีรายได้กว่า 40% ของ GDP กัมพูชา

ฮู้บ่ว่าHumanity Research Consultancy คาดการณ์กัมพูชามีรายได้จาก แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คิดเป็น 40-60% ของ GDP หรือประมาณ 1.2-1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กัมพูชา ประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกหลายประเทศเฝ้าระวังเนื่องจากมีโอกาสเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อันเนื่องมาจากการเอื้อประโยชน์ระหว่างภาครัฐฯ อาชญากร และทุนสีเทาจากต่างประเทศ เศรษฐกิจในเบื้องหน้าของกัมพูชา ถูกผลักดันด้วยภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก ด้วยสัดส่วนร้อยละ 30 ของ GDP ประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอ ที่เป็นสินค้าส่งออกหลัก และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกัมพูชาที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นกว่า 5.6% ในปี 2567 รูปที่ 1: เปรียบเทียบโครงสร้าง GDP กัมพูชาปี 2566 และรายได้จากธุรกิจสแกมเมอร์ อีกทั้งกระแสของการลงทุนจากต่างชาติที่เริ่มไหลเข้ามาลงทุนในกัมพูชามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการลงทุนจากประเทศจีนภายใน 10 ปีให้หลังมานี้ ที่คิดเป็นกว่า 61% ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นแรงผลักดันให้กัมพูชามีการเติบโตทางการค้าและการลงทุนมากยิ่งขึ้น แต่ในอีกมุมึง กัมพูชาก็กำลังเติบโตผ่านการเป็นศูนย์กลางของธุรกิจสีเทา ที่ได้รับการเอื้อประโยชน์จากผู้มีอำนาจหรือแม้กระทั่งการปิดตาข้างนึงจากคนบางกลุ่มของฝั่งของรัฐบาลกัมพูชาเอง รายงานของ Humanity Research Consultancy ระบุว่ารายได้จากอาชญากรรมไซเบอร์ของกัมพูชาอาจมีมากถึง 1.2 – 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงจนน่าตกใจ เนื่องจากรายได้ดังกล่าวนี้หากคิดเป็นสัดส่วนอาจสูงกว่า 40% ของ GDP สะท้อนถึงอุตสาหกรรมผิดกฎหมายที่มีขนาดใหญ่ และหากตัวเลขดังกล่าวเป็นจริงอาจหมายถึงขนาดของอุตสาหกรรมฉ้อฉลที่ใหญ่มากกว่า GDP ของภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมของกัมพูชารวมกัน อุตสาหกรรมอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่มีขนาดใหญ่ได้ขนาดนี้ จะไม่สามารถเติบโตได้เลยหากไม่มีการเอื้อประโยชน์จากผู้มีอำนาจ เครือข่ายอุปถัมภ์ หรือแม้กระทั้งอาจมีคนในรัฐบาลบางส่วนที่เพิกเฉยและชี้ว่าไม่มีการดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย หรือแม้กระทั่งการให้การสนับสนุน อีกทั้งทุนสีเทาจากจีนที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการเข้ามาลงทุนในโครงการหรือเข้ามาผ่านบริษัทนอมินี เพื่อใช้ช่องโหว่และโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์จากอุตสาหกรรมผิดกฎหมายนี้ ตลอดจนโอกาสในการใช้ประโยชน์จากธุรกิจกาสิโนที่มีอยู่เดิมในการเป็นแหล่งฟอกเงินผิดกฎหมาย ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้เครือข่ายเหล่านี้สามารถขยายตัวอย่างรวดเร็วได้ภายในเวลาไม่นาน อาชญากรรมผิดกฎหมาย และธุรกิจสีเทา ไม่จะเป็นธุรกิจสแกม การฟอกเงิน ตลอดจนการค้ามนุษย์ ในกัมพูชา อาจสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และความเชื่อมั่นของนานาประเทศ จากการดึงแรงงานผิดกฏหมายจากหลายแห่งเข้ามา และการไหลออกของเงินสีเทาที่กระจายไปภายนอก ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาคว่ำบาตรบริษัทในกัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน โดยบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าฟอกเงินมีชื่อว่า “Huione Group” บริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับคาสิโนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองพระสีหนุ ซึ่งเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลของกัมพูชา อีกทั้งยังมีข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ ธนาคารเถื่อน ที่เป็นศูนย์กลางในการฟอก และโยกย้ายเงินทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย และสหรัฐฯ ยังแสดงท่าทีตอบโต้ทางการค้ากับกัมพูชา ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากกัมพูชากว่า 49% ซึ่งนับว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับการขึ้นภาษีต่อประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังขึ้นภาษีสินค้าจากบริษัทที่เป็นนอมินีจากจีน โดยได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเภทแผงโซลาร์เซลล์จากกัมพูชาในอัตราสูงสุดถึง 3,521% ซึ่งส่วนนึงเป็นแนวทางการลดการขาดดุลทางการค้ากับกัมพูชา แต่อีกนัยนึงก็อาจเป็นการปิดช่องโหว่ในการสวมสิทธิกัมพูชาในการส่งออกสินค้าของจีน และลดการไหลออกของกระแสเงินทุนสีเทาภายในกัมพูชา   อ้างอิง : Humanity research consultancy, Salika, KResearch, Trading Economics, พามาเบิ่ง🧐การค้าชายแดนไทย – กัมพูชาเสี่ยงชะลอตัว หากต้องปิดด่านระยะยาว ‘สามเหลี่ยมมรกต อุบลราชธานี’ ชายแดนสามเส้า ไทย – ลาว – กัมพูชา

Cambodia อาจเป็น (S)cambodia เมื่ออุตสาหกรรม Scam มีรายได้กว่า 40% ของ GDP กัมพูชา อ่านเพิ่มเติม »

ส่องซอด “3 สิทธิรักษาพยาบาล” สำหรับคนต่างด้าว (ถูกกฎหมาย)

“ต่างด้าว” เข้ารักษามีค่าใช้จ่าย ยกเว้น 3 กลุ่ม “รอสัญชาติไทย-อยู่ในประกันสังคม-ซื้อประกันสุขภาพ” มีกองทุนดูแล หลังมีประเด็นข้อพิพาทระหว่างไทย กับ กัมพูชาล่าสุด จึงมีคลิปเล่าเหตุการณ์จาก นพ.พจน์ ปทุมนากุล แพทย์ประจำบ้าน อายุรศาสตร์ มาเล่าประสบการณ์ เมื่อ 3 ปีก่อนว่า ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ รพ.แห่งหนึ่งที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบชาวกัมพูชา ใช้บัตรประชาชนคนไทย มาใช้สิทธิ์ 30 บาท 10 มิ.ย. 68 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สาธารณสุข) ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่แพทย์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ออกมาเปิดเผยว่า มีการสวมสิทธิ์บัตร 30 บาทรักษาทุกที่ของคนไทยโดยชาวกัมพูชา ยืนยันเตรียมดันมาตรการใช้ “ไบโอเมตริกซ์” (Biometric) มาตรวจสอบตัวตนเพื่อสกัดการสวมสิทธิ์ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตนได้นำเรื่องปัญหาแรงงานผิดกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุขสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันโรคระบาดที่อาจเข้ามาในประเทศได้อย่างเต็มที่ โดยระบุว่าในอดีตมีหลาย พ.ร.บ. ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ซึ่งกำลังพิจารณาปรับแก้ เมื่อสอบถามว่าได้ตรวจสอบการสวมสิทธิ์ของชาวกัมพูชาแล้วหรือไม่ รมว.สาธารณสุข ชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวเป็นรายละเอียดในระดับเจ้าหน้าที่ ไม่ได้ส่งมาถึงตนโดยตรง เช่นเดียวกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่ตนได้ปรับแก้ปัญหาในภาพรวมไปแล้ว นายสมศักดิ์ ย้ำชัดเจนว่าผู้ที่มีสิทธิ์ใช้บัตร 30 บาทรักษาทุกที่นั้น จะต้องเป็นประชาชนชาวไทยเท่านั้น พร้อมกล่าวถึงประเด็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ว่า “ตามที่ได้มีคลิปออกมาว่าตนได้ขอกรรมการควบคุมโรคติดต่อให้มี Biometric ตนก็ยังตกใจเพราะคิดว่าคนคงจะเห็นว่าแพงมาก เครื่องนึงแค่ 15,000 บาท ถ้า 30 โรงพยาบาลที่ชายแดน ซื้อเครื่องนี้ ก็เป็นเงินเพียง 400,000 กว่าบาทเท่านั้นเอง เรื่องนี้สำหรับตรวจม่านตา เพราะเราไม่สามารถออกรหัสให้คนต่างด้าวได้” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการลงทุนเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ในพื้นที่ชายแดน   ISAN Insight พามาฮู้จัก “3 สิทธิรักษาพยาบาล” สำหรับคนต่างด้าว (ถูกกฎหมาย) ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ระบบสาธารณสุขของไทยมุ่งเน้นการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพื่อดูแลผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยไม่เลือกเชื้อชาติหรือศาสนา ปัจจุบันมีการแบ่งสิทธิการรักษาสำหรับคนต่างด้าวออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิหรือบุคคลไร้รัฐ (กลุ่ม ท.99) บุคคลในกลุ่มนี้กำลังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์สัญชาติไทย ได้รับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และมีรายชื่อในฐานข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ใช้สิทธิรักษาผ่านกองทุนประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ (กองทุน ท.99) ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล ปัจจุบันมีผู้ขึ้นทะเบียนกับกองทุนกว่า 723,603 คน 2.แรงงานต่างด้าวที่ลงทะเบียนถูกต้อง แรงงานกลุ่มนี้อยู่ภายใต้ระบบประกันสังคม นายจ้างจะต้องส่งเงินสมทบให้ตามกฎหมาย ได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชยรายได้เมื่อเจ็บป่วย สิทธิคลอดบุตร ชราภาพ และกรณีว่างงาน 3.กองทุนประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว แรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม หรือกำลังรอสิทธิ จะต้องซื้อประกันสุขภาพจากกระทรวงสาธารณสุข สิทธินี้ครอบคลุมการตรวจสุขภาพ การรักษา การส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค  

ส่องซอด “3 สิทธิรักษาพยาบาล” สำหรับคนต่างด้าว (ถูกกฎหมาย) อ่านเพิ่มเติม »

ทำไม อิสราเอล จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของแรงงานอีสาน?

อาคารของสถานีโทรทัศน์อิหร่านในกรุงเตหะราน ถูกโจมตีโดยอิสราเอลเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 เสียงระเบิดดังสนั่นเกิดขึ้นก่อนที่ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐอิหร่าน (State TV) ซึ่งกำลังออกอากาศสดต้องลุกหนี ท่ามกลางเศษซากและฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย และเสียงตื่นตระหนกของคนในสถานี ก่อนหน้านี้มีเสียงระเบิดดังขึ้นแล้วหลายครั้ง แต่ผู้ประกาศยังคงรายงานสถานการณ์ โดยระบุว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการที่ระบอบไซออนิสต์รุกรานอิหร่านและสื่อของรัฐ แต่สุดท้ายก็ต้องลุกหนีไป กลุ่มควันพวยพุ่งจากเหตุระเบิดทางตะวันตกเฉียงใต้ของเตหะรานเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2025 สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของอิหร่านถูกโจมตีโดยอิสราเอลจนไม่สามารถออกอากาศได้ชั่วคราว ถ่ามกลางข่าวการปะทะ อิหร่าน – อิสราเอล นั้น แรงงานไทยที่ไปขายแรงที่ต่างแดนก็ต้องตกอยู่ในสภาวะทางสงคราม ทำไม อิสราเอล จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของแรงงานอีสาน? เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ภาคอีสาน เป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนการส่งออกแรงงานไปยังต่างประเทศสูงที่สุดของไทย ปัจจัยสำคัญมาจากข้อจำกัดด้านรายได้ เนื่องจากเศรษฐกิจในภาคอีสานยังคงพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งขึ้นอยู่กับฤดูกาลที่ควบคุมไม่ได้ และราคาผลผลิตที่มีแนวโน้มผันผวนและไม่สูงมากนัก ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากมีรายได้ไม่มั่นคง และมักประสบปัญหาหนี้สินเรื้อรัง ขณะเดียวกัน ภูมิภาคอีสานยังเผชิญข้อจำกัดด้านโอกาสในการจ้างงาน จากโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศที่เน้นการรวมศูนย์ ส่งผลให้งานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวงและนิคมอุตสาหกรรม แม้งานบางประเภทจะมีในภูมิภาค แต่ค่าแรงก็ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยของจังหวัดในภาคอีสานอยู่ที่ 350.5 บาทต่อวัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่ 355 บาทต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านค่านิยมที่ส่งเสริมให้การไปทำงานต่างประเทศของคนอีสานได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ เมื่อมีคนในหมู่บ้านหนึ่งเดินทางไปทำงานต่างประเทศและสามารถส่งเงินกลับมาช่วยเหลือครอบครัว จนฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็ทำให้คนอื่นๆ ในชุมชนมองเห็นโอกาสว่าการไปทำงานต่างแดนนั้นคือ ‘ความหวัง’ และต้องการเดินรอยตาม เกิดเป็นค่านิยมในสังคมอีสานที่มองว่าการไปทำงานต่างประเทศคือหนทางหนึ่งในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว จากปัจจัยเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่แรงงานจากภาคอีสานจำนวนมากเลือกย้ายถิ่นฐานไปหางานในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เพื่อแสวงหารายได้ที่มั่นคงกว่าและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2568 มีแรงงานจากภาคอีสานเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายจำนวนทั้งสิ้น 14,206 คน โดยจังหวัดที่มีจำนวนแรงงานไปทำงานต่างแดนมากที่สุดคือ อุดรธานี ซึ่งมีประวัติการส่งออกแรงงานไปต่างประเทศมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในอดีตที่ ซาอุดีอาระเบีย เคยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของแรงงานจากจังหวัดนี้   แล้วทำไมต้องเป็นอิสราเอล? นอกจาก ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ที่เป็นประเทศยอดนิยมสำหรับแรงงานในภาคอีสานแล้วนั้น อีกประเทศที่นิยมไปกันคือ ‘อิสราเอล’ รัฐของชาวยิวที่เต็มไปด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งกับชาวปาเลสไตน์ รวมไปถึงชาวอาหรับโดยรอบตลอดเวลาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  โดยล่าสุดวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 รัฐอิสราเอล ได้มีการปะทะกับอิหร่าน ส่งผลให้มีผู้เสียบาดเจ็บและชีวิตจำนวนมากในทั้ง 2 ประเทศ แต่แม้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศนี้จะไม่เคยสงบ แต่ทำไม แรงงานชาวไทย โดยเฉพาะภาคอีสาน จึงเดินทางไปทำงานที่นั่นอย่างไม่ขาดสาย? รัฐอิสราเอลนั้นตั้งอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้งและทะเลทราย ไม่ได้มีทรัพยากรธรรมชาติมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น อิสราเอลก็ได้ทำการพัฒนาพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเกษตรกรรมจนกลายเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของโลก ทั้ง พืชสวน เช่น ส้ม, อะโวคาโด, มะเขือเทศ และธัญพืช เช่น ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโพด จนไปถึงการเลี้ยงปศุสัตว์อย่าง โคนม, ไก่ไข่, ไก่เนื้อ เป็นต้น แต่ภาคเกษตรกรรมของอิสราเอลก็ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างมาก เหตุผลนั้นเริ่มมาจากประวัติศาสตร์และสังคมของอิสราเอล อิสราเอลมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกับปาเลสไตน์และกลุ่มฮามาสมายาวนาน ส่งผลให้แรงงานท้องถิ่นโดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ไม่สามารถทำงานในหลายพื้นที่ได้ ทำให้เกิดช่องว่างแรงงานในภาคเกษตรและภาคบริการ  ดร.เมเอียร์ ชโลโม (เอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย) ด้วยเหตุนี้

ทำไม อิสราเอล จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของแรงงานอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top