Article

บทความ จากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจอีสาน ทั้ง ISAN Outlook และข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยสู่สาธารณะ รวบรวมให้คุณรู้ทันทุกข้อมูล เศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีสาน

ยโสธร รวยกระจุก จนกระจาย กับความเหลื่อมล้ำรายได้ ที่สูงสุดในอีสาน?

จังหวัดยโสธร จังหวัดที่เมื่อพูดถึงแล้ว หลายคนต้องนึกถึงบั้งไฟเป็นอันดับแรก ซึ่งบุญบั้งไฟเมืองยโสจัดขึ้นช่วงเดือนพฤษภาคมในทุกปี ซึ่งเป็นการขอฝนช่วงก่อนการดำนาปลูกข้าว สอดคล้องกับเป้าหมายในการเป็น “เมืองเกษตรอินทรีย์ เมืองแห่งวิถีอีสาน” เป็นพื้นที่ต้นแบบการผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ สินค้าเกษตรปลอดภัย และมีนโยบายขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์อย่างจริงจังมานานกว่า 20 ปี ที่มารูปภาพ:https://yst-pao.go.th/public/list/data/showdetail/id/1672/menu/1619  มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ปี 2566 อยู่ที่ 34,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปี 2565 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจไม่ใหญ่นัก โดยอยู่ในอันดับที่ 16 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรอยู่ที่ 72,523 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ดังนี้   ภาคเกษตรกรรม: 8,864 ล้านบาท (คิดเป็น 26%) ภาคการศึกษา: 4,728 ล้านบาท (14%) ภาคอุตสาหกรรมการผลิต: 4,577 ล้านบาท (13%) การค้าส่งค้าปลีก และการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์: 3,823 ล้านบาท (11%)   เศรษฐกิจของยโสธรมีฐานหลักอยู่ที่ภาคเกษตรกรรม โดยมีพื้นที่เกษตรรวมกว่า 1,824,765 ไร่ หรือประมาณ 70% ของพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัด พืชเศรษฐกิจหลักคือ ข้าว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งจังหวัด โดยในปี 2566 มีผลผลิตรวมจากข้าวนาปีและข้าวนาปรังประมาณ 622,232 ตัน นอกจากนี้ยังมีพืชเศรษฐกิจสำคัญอื่น ๆ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง และอ้อยโรงงาน แนวโน้มความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดยโสธร   จากรายงาน ‘รายได้และการกระจายรายได้ของครัวเรือน พ.ศ. 2566’ ซึ่งได้รายงานตัวเลข สัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค หรือ Gini Coefficient ซึ่งก็คือตัวชี้วัดระดับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในสังคม โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 ซึ่งหากค่าใกล้1 แสดงว่ามีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง โดยความเหลื่อมล้ำทางรายได้คือความแตกต่างในการกระจายรายได้ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มประชากรในสังคม โดยแสดงให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างกลุ่มผู้มีรายได้สูงและผู้มีรายได้ต่ำ ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน   ในปี 2566 สัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคของไทยมีค่าเท่ากับ 0.382 เมื่อพิจารณาภาคอีสาน พบว่ามีค่าสัมประสิทธิ์ 0.377 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากภาคใต้ที่เท่ากับ 0.395 โดยจังหวัดในภาคอีสานที่มีค่าสัมประสิทธิ์มากที่สุดคือ ‘ยโสธร’ ที่มีครัวเรือน 1.4 แสนครัวเรือน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคเท่ากับ 0.440 บ่งบอกถึงระดับความเหลื่อมล้ำที่สูงเป็นอันดับ 1 ของภาคอีสานและสูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ จากการจัดกลุ่มครัวเรือนในจังหวัดยโสธรตามระดับรายได้ออกเป็น 5 กลุ่มเท่า ๆ กัน หรือที่เรียกว่า “ควินไทล์ […]

ยโสธร รวยกระจุก จนกระจาย กับความเหลื่อมล้ำรายได้ ที่สูงสุดในอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

ทำไมเศรษฐกิจ ‘บุรีรัมย์’ จึงโดดเด่น ขึ้นแท่น Big 5 แห่งอีสาน?

บุรีรัมย์ จังหวัดในโซนอีสานใต้ที่เป็นที่รู้จักดีในฐานะเมืองที่เคยเป็นอาณาจักรขอมโบราณ สะท้อนผ่านสถานที่โบราณมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์ของอารยธรรมขอม เช่น ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ คูน้ำโบราณโบราณหรือละลมที่กระทายอยู่ทั่วพื้นที่   ด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ถือได้ว่าโดดเด่น จากการที่บุรีรัมย์มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) เป็นอันดับ 5 ของภาคอีสานมาโดยตลอด โดยในปี 2566 มีมูลค่าเศรษฐกิจราว 108,467ล้านบาท บุรีรัมย์จึงติดอันดับ “Big 5 of ISAN” รองจากนครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี และอุดรธานี    โดยบทความนี้จะพามาสำรวจว่า อะไรเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดบุรีรัมย์ รวมไปถึงสำรวจถึงความท้าทายเรื่องเรื่องโครงสร้างทางการเงินของคนในจังหวัด   จำนวนประชากรขนาดใหญ่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากข้อมูลปี 2567 จังหวัดบุรีรัมย์มีประชากรราว 1.57 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของภาคอีสาน ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะ การมีคนมาก เท่ากับมีแรงงานรองรับภาคการผลิต เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ ซึ่งเป็นฐานสำคัญของ GPP โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและท่องเที่ยวอย่างบุรีรัมย์  นอกจากนั้น คน ก็คือผู้บริโภคในฝั่งอุปสงค์ ส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัย สินค้าอุปโภคบริโภค บริการด้านสุขภาพ การศึกษา ซึ่งล้วนเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่น พาส่องเบิ่ง GPP อีสานปีล่าสุด 2566 จังหวัด Big 5 of ISAN มีมูลค่ามากกว่า 50% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งภาคอีสาน ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า จำนวนประชากรของจังหวัดในภูมิภาคอีสานมีความสัมพันธ์กับขนาดเศรษฐกิจ (GPP) สูงถึง 96% สะท้อนว่าจำนวนประชากรเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจระดับจังหวัดอย่างมีนัยสำคัญ   พื้นฐานเศรษฐกิจการเกษตรแข็งแรง บุรีรัมย์มีขนาดพื้นที่ 10,322.89 ตารางกิโลเมตร หรือ 6.5 ล้านไร่ ใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของภาคอีสาน และพื้นที่กว่า 70.76% เป็นพื้นที่ทำการเกษตร พืชเกษตรหลักๆ ได้แก่ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา  โดยในปีเพาะปลูก 2566/67 บุรีรัมย์มีผลผลิตข้าวนาปีกว่า 1.06 ตัน สูงเป็นอันดับที 5 ของภาคอีสาน    นอกจากนั้นภาคเกาตรกรรมของบุรีรัมย์ยังมีความโดดเด่นเรื่องการเลี้ยงปศุสัตว์ โดยเฉพาะ โคเนื้อ มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อถึง 86,618 ราย มีโคเนื้อสะสมราว 563,668 ตัว มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศในแง่จำนวนเกษตรกร และอันดับ 4 ของประเทศในจำนวนโคเนื้อ มีการเน้นพัฒนาสายพันธุ์ลูกผสม เช่น ชาโรเล่ส์และแองกัส เพื่อให้เนื้อมีโครงสร้างใหญ่และรสชาติดี เป็นที่ต้องการตลาด   เศรษฐกิจบุรีรัมย์มีสัดส่วนภาคการเกษตร 24.6% ในปี

ทำไมเศรษฐกิจ ‘บุรีรัมย์’ จึงโดดเด่น ขึ้นแท่น Big 5 แห่งอีสาน? อ่านเพิ่มเติม »

ทำไม สกลนคร คือศูนย์กลางของสมุนไพร และการแพทย์แผนไทยแห่งอนาคต ?

สมุนไพร เป็นพืชที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างช้านาน ได้สั่งสมความรู้เรื่องการใช้พืชสมุนไพรในการรักษาโรค ดูแลสุขภาพ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น สมุนไพรจึงกลายเป็นมากกว่าเพียงแค่ยารักษาโรค แต่เป็นวัฒนธรรมทางการแพทย์ที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สมุนไพรนั้นพบได้ทั่วภูมิภาคในประเทศ เช่นเดียวกันกับภาคอีสาน ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่ทำให้พบสมุนไพรได้หลายชนิดในธรรมชาติ มีการปลูกและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โครงการเมืองสมุนไพรจังหวัดสกลนคร   สกลนคร จังหวัดในภาคอีสานตอนบนที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ หรือเทือกเขาภูพาน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พบสมุนไพรธรรมชาติหลายชนิด เช่น ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน คราม เป็นต้น ซึ่งนอกจากสมุนไพรธรรมชาติแล้ว เกษตรกรในจังหวัดก็มีการปลูกสมุนไพรกันมาช้านาน และมีการแปรรูปสู่ผลิตภัณฑ์ โดยในช่วงปี 2557 – 2565 มีผลิตภัณฑ์ OTOP ประเภทสมุนไพร ทั้งสิ้น 257 ผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น สบู่สมุนไพรไทบรู เป็นผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ไทบรูใน อ.พรรณานิคม ชาย่านาง และผลิตภัณฑ์เพื่อการผ่อนคลาย เช่นลูกประคบ หรือน้ำมันนวด เป็นต้น   อีกศักยภาพสมุนไพรของสกลนคร มีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นศูนย์ฝึกอบรมผู้ช่วยแพทย์แผนไทยที่ได้รับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นแหล่งผลิตยาสมุนไพร โดยมีเครือข่ายอินแปงและกลุ่มผู้ปลูกสมุนไพรรวมตัวเป็นสหกรณ์สมุนไพรสกลนครเพื่อจัดหาวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังมีศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มีสวนสาธิตสมุนไพร อาคารแปรรูป และเครือข่ายผู้ปลูกสมุนไพร   โดยการปลูกพืชสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยของสกลนคร ได้ถูกผลักดันอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2559 จากนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาพืชสมุนไพร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชน จากศักยภาพของสกลนคร ส่งผลให้จังหวัด ได้ถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดปราจีนบุรี เชียงราย สกลนคร และสุราษฏร์ธานี ให้เป็น ‘เมืองแห่งสมุนไพร’    โครงการเมืองสมุนไพรสกลนครขับเคลื่อนผ่านยุทธศาสตร์หลัก 4 ด้าน คือ 1) การส่งเสริมวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพ 2) การพัฒนาอุตสาหกรรมและการตลาด 3) การส่งเสริมการใช้สมุนไพรในระบบสุขภาพ และ 4) การสร้างความเข้มแข็งด้านนโยบายและการบริหารจัดการ โดยมีความคืบหน้าเด่นชัดในด้านต่างๆ ดังนี้   ต้นน้ำ (การเพาะปลูก): มีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพ เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ไพล และพืชสมุนไพรที่เป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่น โดยเน้นการพัฒนาสู่มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่สะอาด ปลอดภัย และมีสารสำคัญในปริมาณที่เหมาะสม ดังตัวอย่างความสำเร็จในการพัฒนา “ฟ้าทะลายโจร” ภายใต้แบรนด์ “ภูพานไพล” โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ที่สามารถเพิ่มสารแอนโดรกราโฟไลด์ให้สูงขึ้น สร้างรายได้ให้กับครัวเรือนเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม   กลางน้ำ (การแปรรูป): โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ถือเป็นหน่วยงานสำคัญในการรับวัตถุดิบสมุนไพรจากเกษตรกรมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชนพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรในรูปแบบที่หลากหลาย

ทำไม สกลนคร คือศูนย์กลางของสมุนไพร และการแพทย์แผนไทยแห่งอนาคต ? อ่านเพิ่มเติม »

อุบลราชธานี เศรษฐกิจเงินสะพัดพันล้าน สู่ อวดเมือง “ฅน เมือง เทียน”

อุบลราชธานี เมืองแห่งปราชญ์-ปรัชญา-ภูมิปัญญาริมฝั่งโขง จังหวัดอุบลราชธานี หนึ่งใน จังหวัดที่ถูกเรียกว่า Big 4 ของอีสาน และ หนึ่งในเมืองรองของการท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคอีสานซึ่งในตอนนี้เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้านขึ้นแซง โคราช ขอนแก่น อะไรทำให้เมืองชายแดนที่ดูเหมือนจะอยู่นอกสายตาอย่าง “อุบลราชธานี” กลายมาเป็นจังหวัดที่สร้างรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์ได้สูงที่สุดในภาคอีสาน? ทำไมเมืองที่ไม่ได้อยู่กลางแผนที่เศรษฐกิจอย่างกลุ่ม Big 4 ถึงสามารถแซงหน้าเมืองใหญ่อย่างขอนแก่นและโคราชได้ในมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์? อีสานอินไซต์สิพามาเบิ่ง . 1.อุบลหนึ่งในเมืองรองที่สำคัญของภาคอีสาน ด้วยความที่เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวในภาคอีสานไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ หรือ การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ถึงแม้อุบลจะเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดนแต่ก็ยังมีผู้เยี่ยมเยือนผ่านเข้าออกอยู่เป็นประจำในแต่ละปี ซึ่งมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนในปี 2567 อยู่ที่ 3,763,066 คน ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 5 ของภาคอีสาน สามารถทำรายไดไปปมากถึง 9126.57 ล้านบาท ถือว่าสูงเป็นอันดับ 6 ของภาคอีสานในด้านรายได้จากการท่องเที่ยว และมีอีกสิ่งที่น่าตกใจอย่างมากในปีนี้ก็คือ เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้าน โดยภาคอีสานสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 38,778 ล้านบาท เฉพาะงานอีสานสร้างสรรค์ปี 67 ก็สร้างมูลค่ากว่า 6 ร้อยล้านบาท แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานะเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง “กลุ่ม Big 4 ของอีสาน” ที่ประกอบด้วย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี แต่ในช่วงหลัง อุบลฯ กลับเป็นจังหวัดเดียวในกลุ่มนี้ที่ “แซงหน้า” เมืองใหญ่ในมิติของธุรกิจสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจน โดยในปี 2567 อุบลราชธานีสร้างรายได้จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้สูงสุดของภาคอีสาน มูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าขอนแก่นและโคราชที่เคยเป็นผู้นำในด้านนี้ นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่สะท้อนปรากฏการณ์ใหม่ของเมืองชายแดนที่สามารถเติบโตจาก “ทุนวัฒนธรรม” อย่างยั่งยืนหัวใจของความสำเร็จอยู่ที่การรู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ให้เกิดมูลค่าอย่างมีกลยุทธ์ อุบลราชธานีไม่ได้เริ่มต้นจากความว่างเปล่า แต่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นจำนวนมากที่รอการต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นงานเทียนพรรษา ผ้าทอ เครื่องจักสาน ผ้าย้อมคราม หัตถกรรมพื้นบ้าน ไปจนถึงศิลปะการแสดงแบบอีสาน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดร่วมสมัย พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์เศรษฐกิจ จาก “ประเพณีแห่เทียนพรรษา” ทั่วอีสาน ที่สร้างรายได้มหาศาล❗กระตุ้นเศรษฐกิจพุ่ง❗ สิ่งที่ทำให้อุบลฯ เดินได้เร็วกว่าเมืองอื่น คือการมีคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด และกล้าลงมือสร้างธุรกิจจากวัฒนธรรมดั้งเดิม นักออกแบบรุ่นใหม่ ศิลปินพื้นถิ่น และผู้ประกอบการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและวิทยาลัยในพื้นที่ต่างผนึกกำลังกันสร้างแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน เช่น แบรนด์เสื้อผ้าที่นำผ้าทอมาดีไซน์ร่วมสมัย คาเฟ่และโฮมสเตย์ที่ใช้แนวคิดภูมิสถาปัตย์ ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ไม่ได้ยืนดูเฉย ๆ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ได้ร่วมมือกับจังหวัดและองค์กรภาคีต่าง ๆ สร้างโครงการอย่าง “Ubon Creative City Fair”, “ตลาดนัดคนสร้างสรรค์”, และเทศกาล “Isan Creative Festival” ซึ่งมีนักสร้างสรรค์เข้าร่วมกว่า 900 ราย

อุบลราชธานี เศรษฐกิจเงินสะพัดพันล้าน สู่ อวดเมือง “ฅน เมือง เทียน” อ่านเพิ่มเติม »

อุบลราชธานี ยืนหนึ่งเรื่อง ‘ปลานิล’ แห่งอีสาน จากแหล่งน้ำที่ดี สู่ฟาร์มประมงคุณภาพสูง

ในขณะที่จังหวัดขอนแก่นครองตำแหน่งผู้นำด้านจำนวนฟาร์มเลี้ยงปลานิลในภาคอีสาน ด้วยจำนวนฟาร์มนับหมื่น แต่เมื่อมองลึกลงไปในแง่ของผลผลิต กลับกลายเป็นว่า อุบลราชธานี ต่างหากที่ขึ้นแท่นเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตปลานิลมากที่สุดในภูมิภาคนี้   ปี 2566 จังหวัดอุบลราชธานีมีจำนวนฟาร์มเลี้ยงปลานิลเพียง 8,820 แห่ง คิดเป็นลำดับที่ 13 ของภาค แต่กลับผลิตได้มากถึง 10,744 ตัน หรือ คิดเป็น 15% ของทั้งภาคอีสาน สร้างมูลค่าสูงถึง 644 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นที่ไม่อาจมองข้ามได้   ฟาร์มน้อย…แต่ผลิตได้มาก เพราะอะไร? เบื้องหลังตัวเลขอันน่าทึ่งนี้ สะท้อนถึงความจริงข้อหนึ่งที่มักถูกมองข้ามในวงการเกษตรน้ำจืด  “จำนวนฟาร์มไม่ได้สะท้อนศักยภาพการผลิตเสมอไป” เพราะปริมาณนั้นอาจน้อยกว่า แต่คุณภาพของระบบเลี้ยงต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ   ภูมิประเทศของอุบลราชธานีเอื้ออำนวยอย่างยิ่งต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะปลานิล เพราะเป็นพื้นที่ “ปลายน้ำ” ของแม่แม่น้ำสำคัญของภาคอีสานไหลผ่านหลายสาย ทั้งแม่น้ำโขง ชี และมูล รวมไปถึงลำน้ำสายย่อยอีกมากมาย ทำให้มีแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวนมากและคุณภาพน้ำดีเหมาะแก่การเลี้ยงปลาในกระชัง   และนี่คือหัวใจสำคัญ  อุบลราชธานีมีการเลี้ยงปลานิลในกระชังมากที่สุดในอีสาน ด้วยจำนวน 493 ฟาร์ม ซึ่งระบบกระชังในแหล่งน้ำไหลผ่านเหล่านี้ ช่วยให้ปลานิลมีสุขภาพแข็งแรง โตไว เนื้อแน่น รสชาติดี และได้ราคาสูงกว่าการเลี้ยงในบ่อ   แหล่งผลิตหลักอยู่ที่ไหน? หากมองลึกลงไปในระดับพื้นที่ พบว่าอำเภอที่มีฟาร์มเลี้ยงปลานิลมากที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ อำเภอเดชอุดม อำเภอม่วงสามสิบ อำเภอนาจะหลวย พื้นที่เหล่านี้ล้วนมีลำน้ำสายย่อยจำนวนมากเชื่อมกับแม่น้ำหลัก ทำให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันยังมีการรวมกลุ่มและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในระดับท้องถิ่นที่เข้มแข็ง   รายได้เฉลี่ยต่อฟาร์มสูงกว่าจังหวัดอื่น แม้จำนวนฟาร์มปลานิลจะไม่มากเท่าจังหวัดอื่น แต่ รายได้เฉลี่ยต่อฟาร์มของเกษตรกรในอุบลฯ กลับสูงถึง 73,043 บาท/ฟาร์ม แสดงให้เห็นว่าระบบการเลี้ยงมีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงกับตลาดได้ดี   ในส่วนของการเลี้ยงปลานิลในกระชังเพียงอย่างเดียว ยังสร้างมูลค่าถึง 517 ล้านบาท จากทั้งหมด 644 ล้านบาท หรือมากกว่า 80% ของมูลค่ารวมจากปลานิลทั้งจังหวัด   ปริมาณและมูลค่าผลผลิตสัตว์น้ำจืด นอกจากปลานิลอุบลฯ จะยืนหนึ่งในอีสานแล้วนั้น การเลี้ยงสัตว์น้ำจืดชนิดอื่นๆ ก็มีการเลี้ยงมากและสร้างมูลค่ามากเช่นเดียวกัน โดยอุบลฯ ,uปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำจืดรวมทั้งสิ้น 13,474 ตัน คิดเป็นร้อยละ 2.93 ของปริมาณผลผลิตทั้งประเทศ มูลค่าผลผลิตรวมทั้งสิ้น 814,052 พันบาทผลผลิตส่วนใหญ่มาจากการเลี้ยงในกระชัง ซึ่งมีปริมาณ 8,883 ตัน และมูลค่า 532,589 พันบาท ชนิดสัตว์น้ำจืดที่ผลิตได้และมูลค่า (บางส่วน): ปลานิล: ปริมาณ 10,744 ตัน มูลค่า 644,236 พันบาท  ปลาดุก: ปริมาณ 1,604 ตัน มูลค่า 89,544 พันบาท  กุ้งก้ามกราม: ปริมาณ 6

อุบลราชธานี ยืนหนึ่งเรื่อง ‘ปลานิล’ แห่งอีสาน จากแหล่งน้ำที่ดี สู่ฟาร์มประมงคุณภาพสูง อ่านเพิ่มเติม »

ส่องธุรกิจในเครือ ‘เอราวัณ’ แห่ง หนองบัวลำภู น้ำตาล ขนส่ง และผลิตไฟฟ้า กวาดรายได้รวมกว่า 7 พันล้านบาท

  จังหวัดหนองบัวลำภูมีพื้นที่ประมาณ 3,859 ตารางกิโลเมตร (2,411,875 ไร่) ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นที่ราบสูงและที่ราบลุ่ม ประกอบกับสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อนที่มีฤดูฝนและฤดูแล้ง ทำให้เหมาะสมกับการปลูกอ้อยเป็นอย่างมาก ดินในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อ้อยสามารถเจริญเติบโตได้ดี   ปี 2567/2568 จังหวัดหนองบัวลำภู มีพื้นที่เพาะปลูกอ้อยทั้งสิ้น 335,806 ไร่ (14% ของพื้นที่จังหวัด) มากเป็นอันดับ 6 จาก 20 ของภาคอีสาน มีปริมาณอ้อยทั้งสิ้น 3,264,034 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 9.72 ตันต่อไร่ อ้อยเป็นแหล่งรายได้หลักของเกษตรกรในจังหวัดหนองบัวลำภูซึ่งปลูกกันทุกอำเภอ โดยแต่ละอำเภอมีพื้นที่ปลูกอ้อยดังนี้ อำเภอศรีบุญเรือง 122,470 ไร่ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู 69,245 ไร่ อำเภอนากลาง 61,640 ไร่  อำเภอสุวรรณคูหา 32,084 ไร่  อำเภอโนนสัง 6,091 ไร่   อุตสาหกรรมอ้อยในจังหวัดสร้างงานให้กับคนในพื้นที่นับหมื่นคน ตั้งแต่การปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยว การขนส่ง ไปจนถึงการแปรรูป โดยหนองบัวลำภูนั้น มีโรงงานผลิตน้ำตาลทรายจากอ้อยรายใหญ่อย่าง ‘บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด’ เป็นนิติบุคคลประเภทธุรกิจ : 10722 (การผลิตน้ำตาลบริสุทธิ์) ที่มีรายได้มากที่สุดในอีสาน  โดยบทความนี้ อีสาน อินไซต์ จะพามาส่องเบิ่ง กลุ่มธุรกิจในเครือเอราวัณ ที่นอกเหนือจากผลิตน้ำตาล ก็ยังมีธุรกิจประเภทอื่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดหนองบัวลำภู   บริษัท น้ำตาล เอราวัณ จำกัด    เป็นนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงงานผลิตน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายดิบ น้ำเชื่อมและผลิตภัณฑ์จากการผลิตน้ำตาลทุกชนิด ตั้งอยู่ เลขที่ 111 หมู่ที่ 12 ตำบลนากลาง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู จดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2547 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 6,138 ล้านบาท มีรายได้ 7,443 ล้านบาท และกำไร 962 ล้านบาท สูงที่สุดในบรรดานิติบุคคลสาขา การผลิตน้ำตาลน้ำตาลบริสุทธิ์ ในภาคอีสาน    โดยนอกจากผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลแล้วนั้น กลุ่มบริษัทเอราวัณมีศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ทำงานด้านการวิจัยอย่างครบวงจร ซึ่งประกอบด้วย การวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อย การผลิตวัสดุปรับปรุงดิน โครงการผลิตอ้อยสะอาดปลอดโรคใบขาว และการพัฒนาเครื่องมือการเกษตร   ซึ่งการลงทุนในส่วนนี้สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นเพียงกำไรในระยะสั้น แต่ต้องการสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำ (เกษตรกร) ไปจนถึงปลายน้ำ (โรงงาน) ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกรคู่สัญญา และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว   กลุ่มบริษัทอื่น ในเครือ น้ำตาลเอราวัณ นอกจากโรงงานผลิตน้ำตาลแล้ว

ส่องธุรกิจในเครือ ‘เอราวัณ’ แห่ง หนองบัวลำภู น้ำตาล ขนส่ง และผลิตไฟฟ้า กวาดรายได้รวมกว่า 7 พันล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

Customer-Centric Mindset : Hack เคล็ดลับ ‘อ่านใจ’ ลูกค้า ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจสร้างสรรค์

เกริ่น ‘พี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ’ เป็นอดีตผู้บริหาร dtac ผู้โด่งดังในหมู่นักการตลาดจากการทำแบรนด์ Happy ของ dtac ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารฝ่ายการตลาด ธนาคารไทยพาณิชย์ และประธานกรรมการบริหาร Purple Ventures บริษัทลูกของ SCB ที่ดูแล Robinhood แอป Food Delivery สัญชาติไทย   1.Topic : การสร้าง “แฟน” ไม่ใช่แค่ “Follower” เนื้อหา : ในยุคที่การยิงโฆษณาไม่คุ้มค่า เพราะแพลตฟอร์มปิดกั้นการมองเห็น คุณโจ้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้าง “แฟน” ที่แท้จริง  แฟนคือลูกค้าที่ให้คะแนนความพึงพอใจสูงมาก (9-10 คะแนน) พวกเขาจะบอกต่อ เชียร์ ปกป้อง และพร้อมจ่ายทุกราคา การมีแฟนเพียงไม่กี่ร้อยคนมีค่ากว่าการมีผู้ติดตามเป็นล้าน   เนื้อหา : ในยุคที่การยิงแอดแพงขึ้นและเข้าถึงยากขึ้น แบรนด์ไม่ควรหวังแค่ “ยอดวิว” หรือ “ผู้ติดตามจำนวนมาก” แต่ต้องโฟกัสที่การสร้าง “แฟนตัวจริง” ซึ่งคือกลุ่มลูกค้าที่รักแบรนด์ พร้อมสนับสนุน และบอกต่อโดยไม่ต้องจ้าง แฟนตัวจริงไม่ใช่แค่ซื้อซ้ำ แต่ยังปกป้องแบรนด์ แชร์ต่อแบบจริงใจ และพร้อมจ่ายแม้สินค้าแพงกว่า เพราะเขา อิน กับแบรนด์จริงๆ แม้จะมีแค่หลักร้อยคน แต่มีพลังมากกว่าผู้ติดตามหลักล้านที่ไม่เคยซื้อเลย   2.Topic : แม่น้ำเปลี่ยนทิศ จุดกำเนิดธุรกิจ  เนื้อหา : ความจำเป็นในยุคที่ “แม่น้ำเปลี่ยนทิศ” คุณโจ้ได้อธิบายว่าหลายสิ่งในโลกธุรกิจกำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างถาวร ไม่ใช่แค่ขึ้นๆ ลงๆ ชั่วคราวเหมือนแต่ก่อน45 เช่น หุ้นไทย การท่องเที่ยวไทย และแพลตฟอร์มการค้าต่าง ๆ ที่กลายเป็นของต่างชาติ5 ในสภาวะเช่นนี้ การหวนกลับมายังหลักการพื้นฐานและจุดกำเนิดของธุรกิจ นั่นคือ “ลูกค้า” จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง   เนื้อหา : ทุกวันนี้หลายอย่างเปลี่ยนไปแบบถาวร ไม่ใช่แค่แผ่วแล้วเดี๋ยวกลับมาเหมือนเดิม เหมือนแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศ ธุรกิจเองก็ต้องปรับตาม ไม่งั้นก็หลงทาง คุณโจ้เลยย้ำว่า ถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไง ให้กลับไปที่จุดเริ่มต้นของทุกธุรกิจ  “ลูกค้า”ลองกลับไปฟังจริง ๆ ว่าลูกค้าต้องการอะไร ชอบอะไร หรืออะไรที่เขาไม่ชอบ ไม่ใช่แค่ขายของ แต่ต้องเข้าใจและเชื่อมโยงกับเขาให้ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่อยู่รอด ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่คือคนที่เข้าใจลูกค้าที่สุดต่างหาก   3.Topic : การเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของลูกค้า –ลูกค้าในปัจจุบันมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื้อหา : ใจร้อนขึ้นมาก ลูกค้ามีความอดทนน้อยลงอย่างมหาศาล เช่น จากที่เคยรอการอนุมัติธนาคาร 3 วัน กลายเป็นต้องได้ภายใน 1 ชั่วโมง

Customer-Centric Mindset : Hack เคล็ดลับ ‘อ่านใจ’ ลูกค้า ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจสร้างสรรค์ อ่านเพิ่มเติม »

“LONG STAY” Talk : “ลอง STAY” Khon Kaen New Destination

บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 🟥 : “ลอง STAY” Khon Kaen New Destination โดย คุณธนัฏฐา โกสีหเดช และคุณภิรญา รวงผึ้งทอง / ผู้ก่อตั้ง The Contextual ที่ปรึกษาด้านธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องงานออกแบบบริการและประสบการณ์ผู้ใช้ (Service Design)   พลิกโฉมขอนแก่นสู่จุดหมาย Long Stay การสร้างประสบการณ์ Long Stay ที่น่าประทับใจต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายประการ โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจภาพรวมของเป้าหมายของขอนแก่นในการเป็น “New Destination” ไปจนถึงการออกแบบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของกลุ่มผู้พักอาศัยระยะยาวแต่ละกลุ่ม และการพิจารณาองค์ประกอบของเมืองโดยรวม ต่อไปนี้คือองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณา: การกำหนดทิศทางของขอนแก่นในฐานะ New Destination: ก่อนที่จะระบุว่าขอนแก่นจะเป็น New Destination ของอะไร จำเป็นต้องคิดอย่างรอบคอบว่าควรจะเป็นของกลุ่มคนประเภทไหน เช่นเดียวกับที่กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายของชาวญี่ปุ่น ภูเก็ตเป็นของชาวสแกนดิเนเวียน หรือเชียงใหม่ก็เป็นของชาวญี่ปุ่น ซึ่งมักมีเหตุผลจากวิถีชีวิต ปรัชญา หรือค่าครองชีพที่คล้ายกัน การกำหนดทิศทางนี้จะช่วยให้แน่ใจว่านโยบายการพัฒนาของทั้งจังหวัดไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถดึงดูดกลุ่มคน Long Stayer ที่ต้องการเข้ามาได้ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (Persona) และความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่ม: จากการศึกษาของ The Contexual ที่ได้รับมอบหมายจาก CA ให้มุ่งเน้น 5 กลุ่มหลัก และพบเพิ่มเติมอีก 2 กลุ่มย่อยในขอนแก่น พบว่ามี 7 กลุ่มหลัก โดยแต่ละกลุ่มมีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน: Digital Nomads / Work from Anywhere (ต่างชาติ): แรงจูงใจ: มักถูกว่าจ้างจากบริษัทในประเทศที่มีค่าครองชีพสูง เช่น อเมริกา ทำให้การมาใช้ชีวิตในเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำกว่าอย่างขอนแก่นช่วยให้มีเงินเก็บมากขึ้น พร้อมกับได้ไลฟ์สไตล์ที่ดีและน่าสนใจ ความต้องการหลัก: สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงาน: ต้องการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อการประชุม และสถานที่ที่เอื้อต่อการทำงานคนเดียว เช่น คาเฟ่ หรือ Co-working space ที่เป็นมิตร หรือแม้แต่ร้านเบียร์ที่มี Wi-Fi ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ทำงานแบบออฟฟิศ: พวกเขาต้องการอิสระในการทำงานได้ทุกที่ที่รู้สึกสบาย ไม่ใช่พื้นที่ทำงานแบบเป็นทางการ ความน่าอยู่ของเมือง: เลือกเมืองที่มีความน่าสนใจ มีเรื่องราวที่อยากไปใช้ชีวิตอยู่ ข้อสังเกต: บางคนอาจทำงานต่าง Time Zone ทำให้ใช้ชีวิตและทำงานในเวลาที่ต่างกัน (เช่น เที่ยวกลางวัน ทำงานกลางคืน) Work from Anywhere (คนไทย):

“LONG STAY” Talk : “ลอง STAY” Khon Kaen New Destination อ่านเพิ่มเติม »

“LONG STAY” Talk ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่”

บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 🟨 : ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่” โดย Xiaokun Gao, Country Manager – Sanook, Image Future (Thailand) Ltd / Tencent   โอกาสใดที่อีสานมีเพื่อดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจีนให้มาลองอยู่ระยะยาว? อีสานมีศักยภาพและโอกาสหลายประการในการดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจีนให้มาลองพำนักระยะยาว โดยสิ่งสำคัญที่ตลาดจีนมองหาคือ การบริการและผู้คน ผลิตภัณฑ์ และประสบการณ์ โอกาสสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการจีน: ผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม: ตลาดจีนกำลังมองหา ผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนต้องการสินค้าพรีเมียม คุณภาพดี ในราคาที่สมเหตุสมผล อีสานมี ศักยภาพทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่แข็งแกร่งมาก ทำให้เป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรที่จะเข้าสู่จีน การสร้างแบรนด์: การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งสำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น ข้าวหอมมะลิ สามารถเพิ่มมูลค่าและราคาได้อย่างมากในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน แทนที่จะผ่านกระบวนการค้าส่งเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันยังไม่มีแบรนด์จากอีสานที่เป็นที่จดจำในตลาดจีนเท่ากับแบรนด์เครื่องสำอาง Mistine หรือน้ำมะพร้าว IF ที่มาจากไทย การใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นที่รู้จักและ มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่นักศึกษาจีน ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นในการนำเสนอเสน่ห์ของอีสานให้กับนักธุรกิจจีน โดยเฉพาะผู้ที่มองหาโอกาสด้านการศึกษา การเชื่อมโยงผ่านชุมชนอีสานในกรุงเทพฯ: แทนที่จะให้นักลงทุนเดินทางมาอีสานโดยตรง วิธีที่รวดเร็วกว่าคือ การสร้างช่องทางและระบบนิเวศสำหรับคนอีสานในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เพื่อให้นักธุรกิจจีนสามารถเข้าถึงและเชื่อมโยงกับคนอีสานในกรุงเทพฯ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งคนเหล่านี้สามารถช่วยประสานงานธุรกิจในอีสานได้ โอกาสสำหรับนักท่องเที่ยวจีนที่มาพำนักระยะยาว (Long Stay): การสร้างชุมชน: ปัจจุบันเชียงใหม่ยังเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับการพักระยะยาวของชาวจีน เนื่องจากมีชุมชนชาวจีนที่พักอาศัยอยู่แล้วหลายหมื่นคน สำหรับอีสาน สิ่งสำคัญคือการ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาและสร้างชุมชนขึ้นก่อน เพื่อให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยดึงดูดผู้คนได้มากขึ้น การตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักศึกษา/คนวัยทำงานที่พักจากการเรียน/ทำงาน (Experienced Children): กลุ่มนี้มองหาการพำนักระยะยาวเพื่อหลีกหนีชีวิตประจำวัน และคาดหวัง ความสะดวกสบายในการเข้าถึงข้อมูล อาหาร ที่พัก และบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ขอนแก่นมีศักยภาพสูงสำหรับกลุ่มนี้ สิ่งที่ต้องทำคือการ สร้างข้อมูลเป็นภาษาจีนที่เข้าถึงได้ง่าย และเผยแพร่บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน เพื่อให้พวกเขารู้ว่าสามารถใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ได้อย่างง่ายดายในอีสาน การตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัว (Family Stays): กลุ่มนี้มักมาเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว เช่น ตรุษจีน โดยใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จุดหมายปลายทางจะต้อง เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (เช่น มีป้ายหรือข้อมูลภาษาจีนที่อ่านง่าย เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่พูดภาษาอื่นไม่ได้นอกจากจีน) ต้อง เป็นมิตรกับเด็ก (เช่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็ก และสถานที่ที่เข้าถึงได้สะดวกสำหรับเด็ก) การสร้างจุดเด่นหรือ Flagship Product/Experience: ควรมี หนึ่งหรือสองสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์หรือเป็นจุดขายสำคัญ ที่ทำให้ผู้คนจดจำอีสานหรือขอนแก่นได้ เทศกาลสงกรานต์ในขอนแก่น เป็นเทศกาลขนาดใหญ่และน่าสนใจ ที่สามารถเป็นจุดขายที่ง่ายที่สุดในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวจีน ผลิตภัณฑ์เด่น

“LONG STAY” Talk ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่” อ่านเพิ่มเติม »

“LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย

บทความนี้ ISAN Insight พามาเบิ่ง ประเด็นที่น่าสนใจจาก “LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย ในงาน*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 🟦 : ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย โดย ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย /ผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนภาคและเมือง และการยกระดับการจัด Festival, รองผู้อำนวยการ Center of Excellence in Social Design Chulalongkorn University   กลยุทธ์ Long Stay ควรปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใดและเพราะเหตุใด กลยุทธ์ Long Stay ควรปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ ที่เรียกว่า “Long Stayer” ซึ่งหมายถึงชาวต่างชาติที่เดินทางมาพำนักในประเทศไทยเป็นระยะเวลานานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป คือ เกิน 10 วันขึ้นไป โดยไม่เปลี่ยนสัญชาติหรืออพยพย้ายถิ่นฐานถาวร การเปลี่ยนแปลงแนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจาก “Visitor Economy” แบบดั้งเดิมที่เน้นปริมาณ ไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณค่าสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น กลุ่มนักท่องเที่ยวที่กลยุทธ์ Long Stay ควรมุ่งเน้นและเหตุผลในการดึงดูดมีดังนี้: ผู้สนับสนุน (Supporters) และผู้พำนักระยะยาว (Residents): เหตุผล: เดิมที “Visitor Economy” เน้นจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายต่อครั้ง แต่ปัจจุบันต้องการสร้างฐานแฟนคลับ (fan base) ที่รักและผูกพันกับวัฒนธรรมไทย มาเยี่ยมเยียนซ้ำ ๆ และใช้ชีวิตเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง พวกเขาจะช่วยเผยแพร่เรื่องราวดี ๆ ของไทยไปสู่ตลาดสากล กลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูง (High Spenders): เหตุผล: โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวญี่ปุ่นที่มีรายได้มากกว่า 10 ล้านเยนต่อปี (ประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อปี) มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายในทุกด้านเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เมื่อมาพำนักระยะยาว การมุ่งเป้าไปที่กลุ่มนี้จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในท้องถิ่น ผลลัพธ์: กลุ่ม Long Stayer ชาวญี่ปุ่นที่มาพำนักในไทยแล้ว เมื่อออกไปเที่ยวในประเทศจะใช้จ่ายเกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่านักท่องเที่ยวคุณภาพสูงทั่วไปที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 5,172 บาทต่อคนต่อวันเสียอีก กลุ่ม Expat และครอบครัว (Experts and Families): เหตุผล: พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีกำลังใช้จ่ายสูง มักจะอยู่เป็นครอบครัว และสามารถทำหน้าที่เป็น “Influencer” หรือผู้มีอิทธิพลในการจูงใจผู้อื่นได้ดี เมื่อมาอยู่ไทยแล้วมักประทับใจและกลับมาเที่ยวซ้ำ รวมถึงแนะนำให้ครอบครัวและเพื่อนมาเที่ยว โดยเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย ความท้าทาย: ปัจจุบัน Expat ชาวญี่ปุ่นมักจะหาข้อมูลการท่องเที่ยวในไทยเองไม่เจอ และพึ่งพา HR หรือคนไทยช่วยหา

“LONG STAY” Talk ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top